The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aurmporn.ha, 2022-09-10 04:17:29

หนังสืออ่านเพิ่มเติม เล่าขานตำนานลุ่มแม่ปิง

เล่าขานตำนานลุ่มแม่ปิง

เล่าขานตำนานลุ่ม
แม่ปิง

คำนิยม ก

อำเภอดอยเต่า มีประวัติศาสตร์การก่อตั้งมายาวนาน ทั้งกลุ่มลุ่มน้ำแม่หาด
และ กลุ่มลุ่มน้ำปิง ซึ่งมีศิลปวัฒนธรรม ประเพณีสืบทอด รุ่นต่อรุ่น นับว่ามี
ความ สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะก่อให้เกิดความรัก ความผูกพันและความภาค
ภูมิใจในสังคม ของตนเอง ทําให้ได้ทราบถึงรากเหง้าของตนเอง เป้าหมายสา
คัญทําให้เกิดความ ภาคภูมิใจในประวัติการต่อสู้ของชุมชน ที่มีคุณค่า ทำให้
เกิดความรักและผูกพันใน วิถีชีวิตของชุมชน ความรักและหวงแหนในสิ่งที่
บรรพบุรุษของตนเองได้สร้างสม ถือเป็นการสร้างกระบวนการเรียน ความ
ภาคภูมิใจ ถือเป็นการสร้างกระบวนการเรียนรู้จากสิ่งที่ใกล้ตนเอง สามารถ
จะ จากสิ่งที่ใกล้ตนเองสามารถจะสมผสได้ ขอชื่นชมนักเรียนชั้น ม. 4 ทุกคน
ที่ได้รวบรวมข้อมูลประวัติศาสตร์อำเภอดอยเต่า ทำโดยนำมาจัดทำหนังสือ
อ่านเพิ่มเติมท้องถิ่นและการเผยแพร่ความรู้ในชั้นหนังสือออนไลน์เป็นเอก
สารทางวิชาการที่มีคุณค่ายิ่งและหวังเป็นอย่างยิ่งว่า คงจะ สร้างสรรค์ผลงาน
ที่มีประโยชน์ต่อนักเรียน และบุคคลทั่วไปที่สนใจศึกษาในเรื่อง ประวัติและ
ความเป็นมาของของอำเภอดอยเต่า ต่อไป

ว่าที่ร้อยตรีเอื้อมพร หาญสนามยุทธ
ตำแหน่งครูคศ.3

คำนำ ข

หนังสือเล่าขานตำนานลุ่มน้ำปิงเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาการงานอาชีพ
รหัสวิชา ง ๓๑๑๐๑ ค้นคว้าเรียบเรียงขึ้นเพื่อเป็น สื่อในการรับรู้ เรื่องราวของ
บรรพชนคนดอยเต่าในอดีต เพื่อให้คน รุ่นหลังได้เกิดความรักใน ท้องถิ่น
บ้านเกิด เมืองนอนของตน และยัง เป็นประโยชน์ต่อวงการรักษา ใช้เป็น
เอกสารประกอบการเรียนการ สอนหลักสูตรท้องถิ่น ตามพระราชบัญญัติ
การศึกษา แห่งชาติ พุทธศักราช ๒๕๔๒ และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช ๒๕๖๐ และผู้สนใจทั่วไป
เนื้อหาใน หนังสือเป็นเรื่องของ เมืองดอยเต่าก่อนถูกน้ำท่วม วิถีชีวิตชาวบ้าน
และขนบทเนียมประเพณี ที่ควรค่าแก่การศึกษา เรียบเรียงจากค่า บอกเล่า
ของคนเฒ่าคนแก่ที่เล่าสืบต่อกันมา อบพระคุณผู้อาวุโส ผู้ให้สัมภาษณ์ทุก
ท่าน ที่ทำให้เรื่องราวใน ขอขอบ ดีตมีความสมบูรณ์ชัดเจน อดีตความ
สมบูรณ์ชัดเจนยิ่งขึ้น และ ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ม ส่วนร่วมแต่ไม่ได้เอ่ย
นาม อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้คงเป็นสื่อที่ใช้ ในการศึกษาค้นคว้าเรื่องราว
ของ เมืองดอยเต่า จากท่านผู้รู้ใน โอกาสต่อไป ท้ายสุดขอขอบคุณ
กัลยาณมิตรทุกท่าน และครอบครัว ที่ให้โอกาสให้กำลังใจ ช่วยพิมพ์ ช่วย
รวบรวมข้อมูล คนหนังสือเล่มนี้ สมบูรณ์

คณะผู้ัจัดทำ รายงาน

สารบัญ ค

เรื่อง หน้า
ต้นกำเนิดน้ำแม่ปิง 1
ทะเลสาบดอยเต่า 3
เล่าขานตำนานดอยเต่า 4
ความเป็นมา 5
บ้านที่ย้ายจากพื้นที่น้ำท่วม 6
ดอยเต่าเดิม 7
เมืองดอยเต่าที่ควรรู้
ประวัติหมู่บ้าน 13
- บ้านก๋าดอนใจ หรือ บ้านมืดกาตะวันออก
- บ้านมืดกาตะวันตก 16
- บ้านตีนดอย 18
- บ้านชั่ง 19
- บ้านท่าครั่ง 22
- บ้านโท้ง 27
- บ้านวังหลวง 32
- บ้านดงมะนะ 35
ศูนย์การเรียนรู้กลุ่มผ้าทอบ้านชั่ง 37
ผ้าทอวังหลวง 38
ศูนย์การเรียนรู้วัฒนธรรมผ้าทอกะเหรี่ยงบ้านหล่ายแก้ว 66
ประวัติผู้จัดทำ 68
79

สารบัญรูปภาพ ง

เรื่อง หน้า
ภาพที่ 1 น้ำปิงสมัยก่อน 1
ภาพที่ 2 แผนที่หมู่บ้านต่าง ๆ ตามลุ่มน้ำปิง 2
ภาพที่ 3 เรือนแพสมัยก่อน 3
ภาพที่ 4 รูปปั้ นเต่า ณ ทะเลสาบดอยเต่า 4

ณ ปัจจุบัน 5
ภาพที่ 5 สัมภาษณ์นางแก้ว สายทอง 7
ภาพที่ 6 สัมภาษณ์ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา 8
ภาพที่ 7 สภาพของชุมชนก่อนปี พ.ศ. 2507 9
ภาพที่ 8 แนวการย้ายจากหมู่บ้านเก่าเข้าสู่หมู่บ้านใหม่
10
และจำนวนครัวเรือนที่ย้าย 11
ภาพที่ 9 แผนผังการจัดสรรที่อยู่อาศัยตอนอพยพ 15
ภาพที่ 10 ขนบธรรมเนียมปอยข้าวสังในสมัยก่อน
ภาพที่ 11 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร 20
21
มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร 22
เสร็จพระราชดำเนินอำเภอดอยเต่า 23
ภาพที่ 12 ภาพวาดจำลองประเพณีวันสงกรานต์ในอดีต 25
ภาพที่ 13 ภาพวาดจำลองประเพณีวันลอยกระทงในอดีต 28
ภาพที่ 14 สัมภาษณ์จากนายดนัย แก้วหิรัญกิจ 35
ภาพที่ 15 อิฐเก่าของวักกาด 40
ภาพที่ 16 บ่อน้ำพันปี
ภาพที่ 17 วัวเทียมเกวียณ
ภาพที่ 18 สัมภาษณ์ผู้เฒ่า ผู้แก่บ้านวังหลวง
ภาพที่ 19 นางแสงเดือน เปี้ ยตั๋น

สารบัญรูปภาพ จ

เรื่อง หน้า
ภาพที่ 20 ศูนย์การเรียนรู้กลุ่มผ้าทอบ้านชั่ง 40
ลายผ้าทอ
ภาพที่ 21 ผ้าทอลายกุดตาแสง 41
ภาพที่ 22 ผ้าทอลายแอ้ 42
ภาพที่ 23 ผ้าทอลายอึ่ง 43
ภาพที่ 24 ผ้าตีนจกลายกุดสูน 44
ภาพที่ 25 ผ้าทอลายตะขอ 45
ภาพที่ 26 ผ้าทอลายจงกลนี 46
ภาพที่ 27 ผ้าซิ่นตีนจกลายตะขอ 47
ภาพที่ 28 ผ้าทอลายแสงงาม 48
ภาพที่ 29 ผ้าทอลายขันธหิรัญ 49
ภาพที่ 30 ผ้าทอลายพัควัฒ 50
ภาพที่ 31 ผ้าทอลายเอื้อมเดือน 51
ภาพที่ 32 ผ้าทอลายดีดอกใหญ่ 52
ภาพที่ 33 ผ้าทอลายหัวใจสมนา 53
ภาพที่ 34 ผ้าลายซิ่นแซง 54
ภาพที่ 35 ผ้าทอลายดอกข้าว 55
ภาพที่ 36 ผ้าทอลายเส้นตรง ลายซิกแซก ลายตะขอ 56
ภาพที่ 37 ผ้าทอลายยกมุก 57
ภาพที่ 38 ผ้าทอลายบ้านชั่ง
ภาพที่ 39 หางสะเปา 58
ภาพที่ 40 ผ้าทอลายดอกแก้ว 59
60

สารบัญรูปภาพ ฉ

เรื่อง หน้า
ภาพที่ 41 ผ้าทอลายขอ 61
ภาพที่ 42 ผ้าทอลายนิล 62
ภาพที่ 43 ผ้าทอลายแสงงาม 63
ภาพที่ 44 ผ้าตีนจกลายกุดฮังกำปุ๊ง (รังแมงมุม) 64
ภาพที่ 45 ผ้าทอลายใหม่ของแม่เดือน 65
ภาพที่ 46 ผ้าทอลายละโอแบ 66
ภาพที่ 47 ผ้าทอบ้านวังหลวง 67
ภาพที่ 48 นายจันทร์คำ ปู่เป็ด
ภาพที่ 49 ศูนย์เรียนรู้วัฒนธรรมผ้าทอกะเหรี่ยง 70
ภาพที่ 50 กระเป๋าลายกากบาท 70
ภาพที่ 51 ผ้าทอลายกากบาท 71
ภาพที่ 52 ผ้าทอลายมัดย้อม 72
ภาพที่ 53 ผ้าทอลายกายกอง 73
ภาพที่ 54 ผ้าทอลายเมล็ดฟักทอง 74
ภาพที่ 55 ผ้าทอลายกะลางแจว่ 75
ภาพที่ 56 ผ้าทอลายรังแมงมุม 76
ภาพที่ 57 ผ้าทอลายแซง 77
ภาพที่ 58 ประวัติส่วนตัวของนายวรเมธ ปู่ปี 78
ภาพที่ 59 ประวัติส่วนตัวของนายปิยวัฒน์ ปัญโญ 79
ภาพที่ 60 ประวัติส่วนตัวของนางสาวกัญญาณัฐ ใหม่นวน 80
ภาพที่ 61 ประวัติส่วนตัวของนางสาวจันทกานต์ แสงจันทร์ 81
ภาพที่ 62 ประวัติส่วนตัวของนางสาวศุภิสรา ปู่ก่ำ 82
ภาพที่ 63 ประวัติส่วนตัวของนางสาวณัฐวรรณ มะโล่ 83
84

สารบัญรูปภาพ ฉ

เรื่อง หน้า
ภาพที่ 64 ประวัติส่วนตัวของธนารีย์ ปันสลี 85
ภาพที่ 65 ประวัติส่วนตัวของนางสาวธัญชนก ศรีมา 86
ภาพที่ 66 ประวัติส่วนตัวของนางสาวนริสรา เครือแก้ว 87
ภาพที่ 67 ประวัติส่วนตัวของนางสาวพิมลรัตน์ แก้วเรือน 88
ภาพที่ 68 ประวัติส่วนตัวของนางสาวมัลลิกา ทองคำ 89
ภาพที่ 69 ประวัติส่วนตัวของนางสาววรัญญา แสนคำ 90
ภาพที่ 70 ประวัติส่วนตัวของนางสาวสุภัชชา รินแก้วงาม
ภาพที่ 71 ประวัติส่วนตัวของนางสาวณัฐณิชา หล้าแหง 91
ภาพที่ 72 ประวัติส่วนตัวของนางสาววีรยา รังสรรค์เพิ่มบุญ 92
93

1

ต้นกำเนิดน้ำแม่ปิง

ภาพที่ 1 น้ำปิงสมัยก่อน ณ เทือกเขาผีปันน้ำ อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่
ที่มา : ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา.2507

แม่น้ำปิงมีต้นกำเนิดจากเทือกเขาผีปันน้ำ ในพื้นที่ เขตอำเภอเชียงดาว จังหวัด
เชียงใหม่ ไหลลงมาทางทิศไต้ผ่านหุบเขาเข้าสู่เขตอำเภอแม่แตง มีแม่น้ำแม่งัดไหลมา
บรรจบทางฝั่งซ้าย และน้ำแม่แตงไหลมาบรรจบทางฝั่งขวา เข้าสู่พื้นที่ราบลุ่มจังหวัด
เชียงใหม่ และมีน้ำแม่กวง ซึ่งเป็นสาขาของแม่น้ำปิงไหลมาบรรจบทางฝั่งซ้าย บริเวณ
พื้นที่ อำเภอป่าซาง จังหวัดลำพูน จากนั้นแม่น้ำปิงจะไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้
โดยมีแม่น้ำลี้ ซึ่งไหลผ่านจากอำเภอลี้ มาบรรจบกับแม่น้ำปิงที่อำเภอจอมทองทางฝั่ง
ซ้าย และจากอำเภอจอมทอง แม่น้ำปิงจะไหลลงไปทางใต้ มีแม่น้ำแม่แจ่มไหลมาบรรจบ
ทางฝั่งขวา ที่อำเภอฮอด ก่อนจะไหลเข้าสู่อ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล ที่อำเภอดอยเต่า
จังหวัดเชียงใหม่

2

ภาพที่ 2 แผนที่หมู่บ้านต่าง ๆ ตามลุ่มน้ำปิง ปี พ.ศ. 2506
ที่มา : ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา.2506

ทะเลสาบดอยเต่า 3

ภาพที่ 3 เรือนแพ หรือ บ้านของชาวบ้าน แสดงถึงการดำรงชีวิตของชาวบ้านใน
สมัยนั้น เนื่องจากชาวบ้านอาศัยอยู่บนน้ำจึงมีการออกหากิน ทำอาชีพประมง
ที่มา : นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล.2510
ทะเลสาบดอยเต่า ตั้งอยู่ที่ ตำบลท่าเดื่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ เป็น

อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ ที่อยู่เหนือเขื่อนภูมิพล เมื่อก่อนนั้น ดอยเต่า ถือเป็นแหล่งต้นน้ำ
ของเขื่อนและเป็นต้นน้ำของลำน้ำปิง ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในที่ลุ่มของอ่างเก็บน้ำได้อพยพ
ย้ายถิ่นฐานมาตั้งรกรากอยู่บนที่สูงเหนือเขื่อน ตามนโยบายของรัฐบาลเมื่อปี พ.ศ.
2510 ต่อมาในช่วงที่มีฝนตกชุก ทำให้น้ำในอ่างเพิ่มสูงขึ้นจนท่วมบริเวณแปลงเพาะ
ปลูกของชาวเขา การจับปลาในทะเลสาบเลยกลายมาเป็นอาชีพหลัก และมีร้านอาหารบน
แพ แพที่พัก เป็นธุรกิจท่องเที่ยวที่เกิดขึ้นต่อมา

4

เล่าขานตำนานดอยเต่า

ภาพที่ 4 รูปปั้นเต่า ณ ทะเลสาบดอยเต่า ในปัจจุบัน
ที่มา : นางสาวธัญชนก ศรีมา.2563

ประวัติศาสตร์เมืองดอยเต่า เมืองดอยเต่า ปรากฏชื่อในตำนานที่เรียกชื่อแตก
ต่างกันไป ตามความเข้าใจของแต่ละคนเช่น ดอยเต่า มะเต้า จากการศึกษาน่าจะคลาด
เคลื่อนเกี่ยวกับการพูด และภาษาเขียน ( ดอน คือเนินเล็กๆ เต้า คือ มะเต้า หรือ
แตงโม) เมืองดอนเต้าหมายถึง เมื่อที่อยู่บนเนินและอุดมไปด้วยแตงโม บุคคลเป็น
จำนวนมากอยากทราบ คำว่า " ดอยเต่า " มีประวัติความเป็นมาอย่างไร บางคนเข้าใจว่า
พื้นที่แห่งนี้มีรอยหรือภูเขารูปร่างคล้ายเต่า จึงเรียกว่า "ดอยเต่า" บ้างก็ว่า ตามภูเขา
ดอยในท้องที่แห่งนี้แต่ก่อนนานมามีเต่าคลาน ต้วมเตี้ยมเต็มไปหมด จึงเรียกตามที่
พบเห็นว่า "ดอยเต่า"

ความเป็นมา 5

"เดิมประชากรดอยเต่า จะอาศัยอยู่

เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆด้วยกัน คือ

กลุ่มลูกน้ำแม่หาด ซึ่งจะอยู่บน

พื้นที่ราบสูงริมน้ำแม่หาด

ได้แก่ บ้านดอยเต่าเก่า บ้านไร่ โปงทุ่ง ภาพที่ 5 สัมภาษณ์ผู้รู้(อดีตผู้อำนวยการโรงเรียน
อีกกลุ่มหนึ่งได้แก่ ผู้ที่อยู่อาศัย ดอยเต่าวิทยาคม) ซึ่งศึกษาค้นคว้าข้อมูลเรื่องนี้ตลอด
อยู่แถบที่ราบลุ่มแม่ปิง นับเป็น
กลุ่มที่ค่อนข้างมากกว่ากลุ่มแรก ปัจจุบันท่านอายุ 62 ปี
ที่มา : นางแก้ว สายทอง.2565

กลุ่มนี้ได้แก่ บ้านแม่กา บ้านชั่ง ท่าเดื่อ บ้านน้อย จนถึงบ้านแอ่น มีหมู่บ้านทั้งเล็กและ

ใหญ่รวมกันถึง 21 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ถึง 54 ตารางกิโลเมตร อาชีพเดิมได้แก่

การเพาะปลูกข้าว ถั่ว ยาสูบ ครั่ง และค้าขาย โดยนำสินค้าใส่เรือแพล่องไปขายทางตอน

ล่าง แถบเมืองตาก ปากน้ำโพ จนกระทั่งถึงปีพ.ศ 2506 เมื่อสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จ เริ่ม

ปิดกั้นน้ำได้เอ่อขึ้นมาท่วมพื้นที่ราบสองฝั่งแม่น้ำปิง ชาวบ้านต้องอพยพขึ้นมาอยู่พื้นที่

ที่ทางราชการจัดเตรียมไว้ให้โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นแปลงๆเรียกกันว่า บ้านอพยพแปลง

ที่เท่านั้นเท่านี้ โดยจัดหมวดหมู่ว่าแปลงที่เป็นเลขคี่จะอยู่ทางด้านขวามือของถนนฮอด-

ดอยเต่า-แม่ตืน ส่วนด้านฝั่งซ้ายจะเป็นเลขคู่

บ้านที่ย้ายจากพื้นที่น้ำท่วม 6

• บ้านงิ้วเฒ่าย้ายไปบ้านแปลง 4
• มืดกาตะวันตก บ้านตีนดอยย้ายไปบ้านแปลง2
• บ้านมืดกาตะวันออกย้ายไปบ้านแปลง1
• บ้านชั่งย้ายไปบ้านแปลง 8
• บ้านหนอง ย้ายขึ้นมาข้างบนนิดหน่อยใช้ชื่อว่าบ้านหนองบัวคำ (แต่ย้ายวัดไป
ที่ลี้ที่นั่นจึงมีวัดหนองบัวคำ) อีกครึ่งหนึ่งอยู่บ้านแปลง 5
• บ้านท่าครั่งกระจายตัวย้ายไปบ้านแปลง 3 โปงทุ่ง แม่สอด บ้านสามหลัง
จอมทอง
• บ้านท่าเดื่อ จัดสรรมาอยู่บ้านแปลง 5 และบ้านหนองผักบุ้ง
• บ้านโท้งปราสาท ย้ายมาเป็นบ้านโท้ง
• บ้านน้อย ยกบ้านมาสร้างบ้านที่แปลง 14
• บ้านนาแก่ง ย้ายไปห้วยหินดำ ตำบลนาคอเรือ อ.ฮอด
• บ้านแอ่น ย้ายไปบ้านแอ่นจัดสรร บ้านแอ่นดงถ่าน บ้านแอ่นห้วยจว้า
• บ้านวังหม้อ ย้ายขึ้นมาตั้งบ้านวังหม้อ
• บ้านหนองอีปุ้ม ย้ายไปบ้านห้วยทรายแล้ง และทุ่งโป่ง อ.ฮอด

ข้อมูลจาก
-พ่อบุญมี ทาวงษ์ ปราชญ์ชุมชนบ้านโปงทุ่ง
-หนังสือ เล่าขานตำนานดอยเต่า โดย ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา

ดอยเต่าเดิม 7

เมืองดอยเต่าในอดีต

เมืองดอยเต่าในอดีตตั้งอยู่บนที่ราบลุ่ม

น้ำแม่ปิงมีพื้นที่ 58 ตารางกิโลเมตร

อยู่ในความปกครองของอำเภอฮอด

ประกอบด้วย 4 ตำบล คือ ตำบลบ้านแอ่น

ตำาบลมืดกา ตำาบลท่าเดื่อ และตำบลดอยเต่า

การคมนาคมติดต่อกับอำเภอฮอด ภาพที่ 6 สัมภาษณ์ผู้รู้(อดีตผู้อำนวยการ

แต่ก่อนนั้นเป็นไปด้วยความยากลำบาก โรงเรียนดอยเต่าวิทยาคม) ซึ่งศึกษาค้นคว้าข้อมูล
เรื่องนี้ตลอดปัจจุบันท่ายอายุ 62 ปี
หากจะเดินทางโดยรถยนต์จากดอยเต่าไป ที่มา : ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา.2565
อำเภอฮอด ต้องนั่งรถยนต์จากตำาบลดอยเต่า

ไปออกที่บ้านแม่ตื่น ตำบลแม่ตื่น อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ไปจังหวัดเชียงใหม่ แล้วย้อน

กลับมาที่อำเภอสันป่าตอง อำเภอจอมทอง และอำเภอฮอด ทำให้เสียเวลาในการเดิน

ทางทั้งวัน หากเดินทางเท้า ก็ต้องผ่านป่าเขาและค้างแรมระหว่างทาง หรือถ้าจะเดิน

ทางด้วยรถจักรยาน (รถถีบ) ต้องไปนอนที่บ้านหนองปุ่ม 1 คืน รุ่งเช้าจึงออกเดินทาง

ต่อไปยังอำเภอฮอด การติดต่อประสานงานระหว่างอำเภอ ตำบล หมู่บ้าน เป็นไปอย่าง

ล่าช้า จึงเป็น ปัญหาด้านการปกครอง ไม่สามารถที่จะขจัดทุกข์บำรุงสุขให้กับราษฎรได้

อย่างทั่วถึง

คนดอยเต่าสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากคน 3 เผ่า คือ ถั่ว (ละว้า) ตะโข่ คะฉิ่น
เพราะคนดอยเต่าส่วนใหญ่มีผิวดำ รูปร่างใหญ่ ภาษาพูดก็ต่างจากอำเภออื่น ๆ ใน
จังหวัดเชียงใหม่ และตามประวัติศาสตร์บริเวณนี้ก็เป็นที่อยู่ของคน 3 เผ่านี้ หมู่บ้านที่
เก่าแก่ที่สุด จากคำบอกเล่าของผู้นำชุมชนและคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้าน คือ บ้านชั่งและ
บ้านมืดกาตะวันตก มีอายุหมู่บ้านประมาณ 400 – 530 ปี โดยเฉพาะ บ้านมืดกาตะวัน
ตก มีหงส์ทองซึ่งอายุ ประมาณ 400 - 550 ปี สร้างขึ้นเป็น สัญลักษณ์ของกษัตริย์
มอญเมื่อมีอำนาจจะสร้างหงส์ไว้เป็นสัญลักษณ์โดยตั้งเสาสูงไว้ กลางหมู่บ้าน

8

ภาพที่ 7 สภาพของชุมชนก่อนปีพ.ศ.2507 จะอยู่รวมเป็นกลุ่มติดตามถนน
ที่มา : นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล

สภาพของชุมชนก่อนปี พศ. 2507 การตั้งถิ่นฐานหมู่บ้านของแต่ละ หมู่บ้าน มี
ทั้งรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ตามแนวถนน และกระจายอยู่ตามที่ราบสองฝั่งริม แม่
น้ำปิงโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตตำบลดอยเต่า ตำบลท่าเดื่อ และตำบลบ้านแอ่น
หลังจากเขื่อนภูมิพลฯ สร้างเสร็จเมื่อ ปี พ.ศ. 2506 มีการกักเก็บน้ำและน้ำ
เพิ่ม สูงขึ้น หมู่บ้านที่กระจายอยู่ที่ราบริมสองฝั่งแม่น้ำปิงต้องย้ายขึ้นมาอยู่ในที่
จัดสรรของ นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล และกระจายไปอยู่ในที่ต่าง ๆ ดังแนว
การย้ายหมู่บ้านใน อดีตหน้าถัดไป

9

ภาพที่ 8 แนวการย้ายจากหมู่บ้านเก่าเข้าสู่หมู่บ้านใหม่และจำนวนครัวเรือนที่ย้าย
ที่มา : นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล

10

ภาพที่ 9 แผนผังการจัดสรรที่อยู่อาศัยให้ชาวบ้านที่อพยพขึ้นมาหลังจากน้ำท่วม
ที่มา : นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล

11

ภาษาของชาวดอยเต่า

ภาษาถิ่นของชาวดอยเต่ามีสำเนียงและคำที่แตกต่างไปจากท้องถิ่นอื่นในจังหวัด
เชียงใหม่ โดยจะออกเสียงช้า เรียกห้วยหรือลำธารว่า อุ่ม หรือ อม เช่น อุ่มป้า
ด ซึ่งหมายถึง ห้วยที่พาดผ่าน เรียกน้ำ เป็น นม เรียก ไก่ เป็น ก่อย พูดคำว่า
ไป เป็น ปอย ไหน เป็น หนอย เป็นต้น

วัฒนธรรมประเพณี

คนดอยเต่ามีขนบธรรมเนียมประเพณีหลายอย่างที่แตกต่างจากถิ่นอื่น เช่น
ประเพณีปอยข้าวสัง ซึ่งเป็นประเพณีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บรรพบุรุษ
ที่ ล่วงลับไปแล้ว ถือเป็นประเพณีที่สำคัญอันหนึ่งแต่ระยะหลังเริ่มหายไป

ภาพที่ 10 ขนบธรรมเนียมปอยข้าวสังในสมัยก่อน เป็นประเพณีที่ทำขึ้นเพื่ออุทิศ
ส่วนกุศลให้บรรพบุรุษ

ที่มา : นางสม จันทร์หย้อง.2510

12

คนดอยเต่าดั้งเดิม

คนดอยเต่าดั้งเดิมมีอยู่ 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจะอาศัยอยู่ตามลุ่มน้ำแม่หาด ได้แก่
บ้านดอยเต่าเก่า, บ้านไร่, เกาะหลวง, โปงทุ่งและ บ้านงิ้วสูง กลุ่มที่ 2 อาศัยอยู่
แถบ ที่ราบลุ่มแม่ปิงเป็นกลุ่มที่ใหญ่กว่ากลุ่มแรก กลุ่มนี้ได้แก่ บ้านงิ้วเฒ่า,
บ้านมืดกา ตะวันตก, บ้านมืดกาตะวันออก, บ้านตีนดอย, บ้านชั่ง, บ้านท่าเดื่อ,
บ้านโท้ง, บ้านน้อย, บ้านแอ่นและบ้านหนองปุ่ม มีหมู่บ้านทั้งเล็กและใหญ่รวม
กันถึง 21 หมู่บ้าน ครอบคลุมพื้นที่ถึง 54 ตารางกิโลเมตร

อาชีพเดิมของคนดอยเต่า

อาชีพเดิมของคนดอยเต่าได้แก่ การเพาะปลูกข้าว ถั่ว ยาสูบ ครั่ง และ ค้าขาย
โดยนาสินค้าใส่เรือแพล่องไปขายทางตอนล่าง แถบเมืองตาก เมืองปากน้ำโพ
นครสวรรค์
ปีพุทธศักราช 2506 เมื่อรัฐบาลไทยสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จ เขื่อนเริ่มปิด กั้น
น้ำ น้ำได้เอ่อขึ้นมาท่วมพื้นที่ราบสองฝั่งแม่น้ำปิง ชาวบ้านที่อาศัยตามลุ่มน้ำปิง
ได้ อพยพขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ ที่ทางราชการจัดไว้ให้ เป็นแปลง ๆ เรียกกันว่า
บ้านอพยพ แปลงที่เท่านั้นเท่านี้ โดยจัดหมวดหมู่แปลงตามถนนฮอด ดอยเต่า
- แม่ตื่น แปลง เลขที่จะอยู่ทางด้านขวามือ ส่วนแปลงเลขคู่จะอยู่ทางด้านซ้าย
มือ ในการอพยพ ราษฎรจะได้ค่าชดเชยที่ดินเดิมไร่ละ 400 บาท

เมืองดอยเต่าที่ควรรู้ 13

วันที่ 25 กรกฎาคม 2500 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้
พระราชทาน พระปรมาภิไธยให้ชื่อเขื่อนว่า “เขื่อนภูมิพล” สร้างปิดกั้นลำน้ำปิง
ที่บริเวณ เขาแก้ว อำาเภอสามเงา จังหวัดตาก มีรัศมีความโค้ง 250 เมตร สูง
154 เมตร ยาว 486 เมตร สันเขื่อนกว้าง 6 เมตร รองรับน้ำได้สูงสุด 3,462
ล้านลูกบาศก์เมตร

วันที่ 24 มิถุนายน 2504 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จ
พระราชดำเนินทรงวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างก่อสร้าง ปี พ.ศ.2506 เริ่มมีการ
เริ่มปิด เขื่อนกั้นนํ้า

วันที่ 17 พฤษภาคม 2507 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จ
พระราชดำเนินทรงเปิดเขื่อนภูมิพล ชะตากรรมของชาวบ้านทางตอนเหนือของ
เขื่อนภูมิพล รวมถึงชาวบ้านดอยเต่าเริ่มสั่นคลอน สองฝั่งลำน้ำปิง ที่เคยมี
ต้นไม้ นานาพรรณ ให้ชาวบ้านล่องเรือแพ ชื่นชมความงาม ตีฆ้องตีกลองร้อง
เพลง ล่องขึ้นมาเป็นวัดๆ ก็หายไป เป็นการสูญเสียวัฒนธรรมอันล้ำค่า ในปี
พ.ศ. 2502 ทาง เขื่อนภูมิพล ได้ทำการเวนคืนที่ดินในเขตน้ำท่วม เริ่มตั้งแต่
บ้านงิ้วเฒ่าจนถึง บ้านวังหม้อและต่อไปอำเภอฮอด แต่ชาวบ้านได้ปฏิเสธที่จะ
โยกย้ายไปอยู่ในพื้นที่ ดังกล่าว เพราะทุกคนเห็นว่าพื้นที่ที่ทางการเตรียมไว้ให้
นั้น ยังขาดสาธารณูปโภค ด้านต่างๆ

14

ในปี พ.ศ.2507 น้ำเริ่มแผ่ขยายเข้าท่วมพื้นที่ตำบลมืดกา ตำบลท่าเดื่อ
และ ตำบลบ้านแอ่น หมู่บ้านที่เจอน้ำท่วมบ้านแรก คือ หมู่บ้านงิ้วเฒ่า ถัดมา
น้ำได้เข้าท่วม หมู่บ้านมืดกาตะวันตก มีดกาตะวันออก บ้านชั่ง บ้านตีนดอย
บ้านหนองบัวคำ บ้าน ท่าครั่ง บ้านท่าเดื่อ บ้านโท้ง บ้านน้อย บ้านนาแก่ง บ้าน
แพะ บ้านแอ่น บ้านวังหม้อ บ้านหนองปุ่ม ตามลำดับ หลังจากย้ายหมู่บ้านแล้ว
ยังมีอีกหลายสิ่งที่ย้ายไปจาก ชุมชนเดิมไม่ได้ คือ วัฒนธรรม และโบราณสถาน
ที่เหลือแค่ร่องรอย วัดโบราณ

ปี พ.ศ. 2506 กรมประชาสงเคราะห์ได้ดำเนินการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง
เขื่อนภูมิพลจังหวัดเชียงใหม่ ขึ้นเพื่อช่วยเหลือราษฎร 2,400 ครอบครัว

วันที่ 17 ตุลาคม 2515 แยกพื้นที่ตำบลนาคอเรือ ตำบลดอยเต่า ตำบล
มืดกา และตำบลบ้านแอ่น อำเภอฮอด มาตั้งเป็น กิ่ง อำเภอดอยเต่า

วันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2522 กระทรวงมหาดไทย มีพระราชกฤษฎีกา
ยก ฐานะกิ่งอ่าน เต่าขึ้นเป็นอำเภอดอยเต่า โดยรวมเอาตำบลนาคอเรือเข้าไป
ด้วย ดังนั้น อำเภอดอยเต่า มี 5 ตำบล ตำบลดอยเต่า ตำบลบ้านแอ่น ตำบล
นาคอเรือ ตำบลท่าเดื่อ ตำบลมืดกา

วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 มีพระราชกฤษฎีกาโอนตำบลนาคอ
เรือ ไปขึ้นกับอำเภอฮอดตามเดิม เพราะสะดวกในการคมนาคม และตั้งตำบล
โป่งทุ่ง แยกจากตำบลดอยเต่า ตั้งตำบลบงตัน แยกจากตำบลท่าเดื่อ ปัจจุบัน
อำเภอดอยเต่า มีเขตการปกครองทั้งหมด 6 ตำบล 43 หมู่บ้าน

15

ภาพที่ 11 พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชบรมนาถ
บพิตร เสร็จพระราชดำเนินอำเภอดอยเต่าเมื่อวันที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2519
ที่มา : นายวิทยา พัฒนเมธาดา.2519

บ้านแม่ก๋าดอนใจ หรือบ้านมืดกาตะวันออก 16

ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำปิง ทิศเหนือติดกับแหล่ง ท่องเที่ยวชื่อดังสมัย
ก่อนคือผาเผือก บางครั้งชาวบ้านเรียกว่าผาเปี๊ยก ทิศใต้ติดกับ หมู่บ้านงิ้วเฒ่า
ทิศตะวันออกติดกับตำบลดอยเต่า ทิศตะวันตกติดแม่น้ำปิง บ้านมืด กาตะวัน
ออกมีวัดชื่อวัดแม่กำดอนใจ โรงเรียนตั้งอยู่ทิศตะวันออกของหมู่บ้าน ชื่อ
โรงเรียนบ้านมืดกาตะวันออก บ้านมืดกาตะวันออกมีบ้านเรือน 145 หลังคา
เรือน นับว่าเป็นหมูบ้านที่ใหญ่มากจึง มีสถานีตำรวจภูธรแม่กาตั้งอยู่ในหมู่บ้าน
นี้ (ปัจจุบันสถานีตำรวจแม่กาย้ายไปอยู่ที่บ้านดอยเต่าเก่า) อาชีพคนมีดกา
ตะวันออก

อาชีพคนมืดกาตะวันออก


ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอาชีพ ทำนา หลังเสร็จนาจะปลูกยาสูบ ปลูก
ผักกาด ปลูกหอม กระเทียม ไว้กินและไว้ขาย สัตว์เลี้ยงชาวบ้านจะเลี้ยงควาย
ไว้ใช้งาน ส่วนวัวมีเลี้ยงเป็นบางครอบครัว อุตสาหกรรมครัวเรือนที่สำคัญ คือ
การทอผ้า (ผ้าซิ่นตีนจกลายน้ำท่วมในปัจจุบัน)ไว้ใช้นุ่งห่ม ในครัวเรือน

วัดประถมการาม

วัดประถมการาม เดิมชื่อวัดมีดกาตะวันออก (ดอนชัย) หรือวัดแม่ก๋าดอนใจ
เป็นวัดเก่าแก่อายุหลายร้อยปี สร้างขึ้นประมาณ พ.ศ. 2343 โดยครูบาเสียง
หน้อย เป็นผู้สร้าง ตั้งอยู่บนฝั่งขวาของแม่น้ำปิง ณ หมู่ที่ 2 ตมืดกา อ.ฮอด
จ.เชียงใหม่ สิ่งก่อสร้างภายในวัดมี วิหาร ศาลา 9 ห้อง กุฏิพระสงฆ์สามเณร
กำแพงรอบวัดก่อ ด้วยก้อนหินโดยวางเรียงกันสูง 120 เซนติเมตร ในวัดเปิด
สอนพระปริยัติธรรม ตั้งแต่ปี พศ2485

บ้านแม่ก๋าดอนใจ หรือบ้านมืดกาตะวันออก 17
บ้านมืดกาตะวันออก

พ่อครูยง อินทรจักร เล่าว่า บ้านมืด ตะวันออก เดิมชื่อบ้านแม่ ดอนใจ ตอน
หลังได้เปลี่ยนชื่อมาเป็นบ้านมืดก่าตะวันออกและวัดก็เปลี่ยนชื่อไปด้วยเป็นวัด
ประถมการาม ( ปัจจุบันตั้งอยู่บ้านแปลง 1 ต. มืดกา อ. ดอยเต่า จ. เชียงใหม่)
แต่ชาวบ้านทั่วไปนิยมเรียกวัดแม่กำวันออกเพราะความเคยชิน พ่อครูยง เล่า
ต่ออีก ว่าที่ได้ชื่อว่าบ้านมืดกาเพราะว่า “เวลาค่ำแลงลงมาจะมีฝูงนกกาบินกลับ
รังมานอนที่ หมู่บ้านนี้ตลอดกาล”

18

บ้านมืดกาตะวันตก

บ้านมืดกาตะวันตกตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันตกของแม่น้ำปิง ทิศเหนือติดกับ
ลำห้วย แม่ลาย ทิศใต้ติดกับหน่วยอนุรักษ์อุทยานแห่งชาติแม่ปิง ทิศตะวันออก
ติดกับแม่น้ำ แม่ปิง ทิศตะวันตกติดเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าอมก๋อย บ้านมืดกา
ตะวันตกมีวัดชื่อ วัดปัจฉิมการาม หรือวัดจำป่าแยงเงา ( ปัจจุบันตั้งอยู่บ้าน
แปลง 2 หมู่ที่ 1 ต. มืดกา อ. ดอยเต่า จ. เชียงใหม่) ตั้งอยู่บนเนินสูงประมาณ
5 - 6 เมตร ติดกับแม่น้ำปิง เมื่อถึงเวลาบ่าย 3 โมง ถึง 5 โมง เย็น เงาวิหาร
วัดกับเงาพระธาตุในวัดจะยื่นลงสู่ แม่น้ำปิง คนสมัยนั้นจึง เรียกว่า วัดแยงเงา
หรือจำป่าแยงเงา วัดนี้สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2447 โดยครูบากันหวัง และครูบา
ศรีวิชัยนักบุญแห่งล้านนาเคยมาจำพรรษา อยู่วัดนี้ วัดจำป่าแยงเงามีสิ่งสำคัญ
ที่เป็นมงคลและศักดิ์สิทธิ์มากคือ หงส์ไม้สักลงรัก ปิดทอง ศิลปะมอญ อายุ
ประมาณ 400 - 550 ปี นำมาจากประเทศพม่าติดตั้งไว้ บนหลังคาโบสถ์วัด
จําป่าแยงเงา เมื่อพ่อค้าล่องเรือจากทางใต้ลอยตามลำน้ำแม่ปิง เมื่อมองเห็น
หงส์ไม้สีทองจะพากันดีใจ เพราะหงส์เป็นสัญลักษณ์ของความดี ความมั่นคง
มั่งคั่ง ความปลอดภัย ถึงเขตอันอุดมสมบูรณ์แล้ว บ้านมืดกาตะวันตก มี
โรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่ทิศตะวันตกของวัดชื่อโรงเรียนบ้านมืดกาตะวันตก
อาชีพ

ชาวบ้านส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพ ทำนา ปลูกยาสูบ ปลูกผักกาด ปลูก
หอม กระเทียม ไว้กินและไว้ขาย เลี้ยงวัวควายไว้ใช้งาน

บ้านตีนดอย 19

บ้านตีนดอย หลังจากงานประเพณีสรงน้ำ สักการะพระธาตุเจ้าดอย
เกิ้ง ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (มาฆบูชา) ณ วัดพระธาตุดอยเกิ้ง ผ่านพ้นไป
ชาวบ้านตีนดอยจะทำความ สะอาดวัดให้สะอาดเรียบร้อยเป็นกิจวัตรทำ เป็น
ประจำทุกปี

ทำอย่างมีความสุขที่ตื้นตันใจ ขณะที่ผมเขียนก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่
พึ่งผ่านมา เป็นวิถีชีวิตเป็นศาสตร์ท้องถิ่นที่ดีงามในการสร้างความรักความ
สามัคคี บ้านตีนดอย หรือบ้านหนองโป่ง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ตีนดอยเกิ้ง ใน
อดีตเป็นหมู่บ้านที่มี ความสัมพันธ์กับวัดพระธาตุเจ้าดอยเกิ้งมากที่สุด มีบ้าน
เรือนประมาณ 20 กว่า หลังคาเรือน ทิศเหนือติดกับห้วยผาอ่าง และผาจอม
สวรรค์ ทิศตะวันออกติดแม่น้ำปิง ตรงข้ามกับบ้านชั่ง ทิศใต้ติดห้วยแม่ลาย
ห่างบ้านมืดกาตะวันตกประมาณ 5 กม. ทิศ ตะวันตกติดดอยเกิ้ง บ้านตีนดอย
มีวัดชื่อวัดหนองโป่ง ตั้งอยู่ด้านล่างของพระธาตุจอม สวรรค์ พ่อประดิษฐ์
เมธาสุข อายุ 83 ปี บ้านถิ่นสำราญ อ.ดอยเต่า เล่าว่า หมู่บ้าน ตีนดอย ตั้งอยู่
ตีนดอยเกิ้ง ก่อนการจัดงานประเพณีสรงน้ำพระมหาบรมธาตุเจ้าดอย เก๋งชาว
อำเภอฮอด และชาวอำเภอดอยเต่า จะทำการจัดงานบวงสรวงฉลองสมโภชน์
พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้งที่ ศาลาหมู่บ้านหนองโป่ง หรือบ้านตีนดอยแห่งนี้
พอวันรุ่งขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 (มาฆบูชา)ชาวบ้านจะพากันเดินเท้าขึ้นไปสรงน้ำ
พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง การเดินขึ้นไปสรงน้ำพระมหาธาตุเจ้าดอยเกิ้ง
เมื่อเดิน ไปถึงเขตพื้นที่ห้วยดำหัว บางคนจะมีอาการเมา วิงเวียนศรีษะไม่
สามารถเดินต่อไปได้ ก็จะนั่งพักที่ห้วยและเดินทางกลับลงมา คนโบราณเชื่อว่า
นั้นหมายถึงคนๆนั้นไม่มีบุญ พอที่จะได้กราบไหว้พระมหาบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง
พ่อประดิษฐ์ เล่าต่อไปอีกว่า ชาวบ้านตีนดอยทุกคนจะคอยดูแลรักษา และ
ทำความสะอาดวัดพระธาตุดอยเกิ้ง หลังมีการจัดงานสรงน้ำพระธาตุ หรือก่อน
จัดงานสรงน้ำพระธาตุ ทุกครั้ง

20

หลังจากที่น่าในเขื่อนภูมิพล ไหลเอ่อท่วมบ้านตีนดอยแล้ว ชาวบ้านส่วน
หนิง ได้อพยพมาอยู่หลังวัดและช้างปัจ กราม บ้านแปลง 2 ความศักดิ์สิทธิ์อีก
อย่าง ของบ้านตีนดอยคือหินลอยน้ำได้ปัจจุบันอยู่ที่วัดบ้านทั้ง บ้านแปลง8
พันนามาจาก คาถาบ้านหนองโปง หรือบ้านตีนดอย...

ภาพที่ 12 ภาพวาดจำลองประเพณีวันสงกรานต์ ของคนดอยเต่าในอดีต
ที่มา : วิหารวัดปัจฉิมการาม บ้านแปลง 2 .2565

21

ภาพที่ 13 ภาพวาดจำลองประเพณีวันลอยกระทง ของคนดอยเต่าในอดีต
ที่มา : วิหารวัดปัจฉิมการาม บ้านแปลง 2 .2565

บ้านชั่ง 22




บ้านชั่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 ต. ท่าเดื่อ
อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ ทิศเหนือติดบ้านท่าครั่ง
ทิศใต้ติดลำห้วยแม่หาด ทิศตะวันออก
ติดตำบลท่าเดื่อ ทิศตะวันตกติดแม่น้ำปิง
ตรงกันข้ามกับหมู่บ้านตีนดอย

บ้านชั่งเป็นหมู่บ้านใหญ่
มีโรงเรียนกลางหมู่บ้าน
วัดบ้านชั่งในอดีต ภาพที่ 14 : สัมภาษณ์จากผู้รู้ พ่อหนานชาวบ้านชั่ง
ที่มา นายดนัย แก้วหิรัญกิจ.2565
ตั้งอยู่บน ฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันออก
ตรงข้ามกับพระธาตุเจ้าดอยเกิ้ง
ตั้งอยู่บนดอยสูงซึ่งเป็น สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
แห่งหนึ่ง วัดบ้านซึ่งเป็นวัดที่เก่าแก่มากวัดหนึ่ง สร้างเมื่อใดไม่มี หลักฐาน
ปรากฏ คาดว่าคงสร้างก่อน พ.ศ. 2300 ขึ้นไป ปี พ.ศ.2420 ครูบาสุข อินโต
ได้ปฏิสังขรต่อจากของเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้ว นอกจากนี้บริเวณบ้านชั่ง ยังมีวัด
ร้างอีก 3 วัด คือ วัดกาด วัดไม้สามโฮง และวัดป่าช้า ทั้งสามวัดนี้ เหลือแต่ซาก
ของฐานราก พอให้เห็นเท่านั้น ด้านหลังวัดบ้านซึ่งมีต้นไม้ใหญ่ขนาด 5 คนโอบ
ชาวบ้านเรียกว่า ไม้งั้น ต้นไม้นี้จะมีผึ้งมาอาศัยทำรังเป็นจำนวนมากประมาณ
100 กว่ารัง ชาวบ้านจึง เรียกอีกว่า “ไม้ต้นผึ้ง” บ้านชั่งนั้น เดิมตั้งอยู่บนฝั่งแม่
น้ำปิง ต่อมาน้ำปิงได้เปลี่ยนทิศ ทางการไหลห่างออกไปจากที่เดิมประมาณ
300 เมตร วัดกาด(วัดร้าง ) ก็เลยอยู่ไกล ฝั่งน้ำปิง ท้องของแม่น้ำปิงตรงจุด
วัดกาดได้เกิดเป็นหนองน้ำขึ้น ชาวบ้านเรียกว่า หนองยะลา จุดที่ตั้งของวัดกาด
เป็นจุดที่สูงที่สุดของฝั่งแม่น้ำปิงด้านตะวันออกทำให้ มองเห็นหมู่บ้านต่างๆตาม
ลำน้ำปิง นอกจากนี้บ้านซึ่งยังมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างคือ บ่อน้ำโบราณอายุราว
สองร้อยกว่าปี จำนวน 3 บ่อเป็นบ่อน้ำลึกประมาณ 10 เมตร ปากบ่อก่อด้วย
อิฐเผาโบราณสภาพอิฐเผายังดี หนาประมาณ 5 นิ้ว ในบ่อมีน้ำตลอด ทั้งปี
ปัจจุบันสภาพบ่อน้ำยังดี

23

ในอดีตหลายช่วงอายุคน นับพันๆ ปีบริเวณที่ราบลุ่มแห่งนี้ อาจจะเป็น
ที่อยู่เดิม ของคนเผ่าละว้า หรือ ลั๊วะ ก็ได้ โดยหลักฐานจากหนองน้ำที่วัดกาด
(วัดร้าง) ที่บ้าน ซึ่งเก่านั้นมีชื่อว่า หนองย่านลั๊วะ และมักจะพบสิ่งประดิษฐ์จาก
ดินเหนียวปั้น ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “บูยา” ไม่ใช่บูชา บูยาคือสิ่งที่บรรจุยาสูบบุหรี่
ที่ทำขึ้นจาก ดินเหนียวปั้นแกะลวดลายสวยงามมากปัจจุบันหาดูได้ที่
พิพิธภัณฑ์ทั่วไป สิ่งเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นของชาวลั๊วะ ชาวลั๊วะคงอาศัยอยู่ตาม
ริมฝั่งน้ำปิง ตั้งแต่อำเภอฮอด ล่องลงมา บ้านแอ่น บ้านโค้ง บ้านน้อย บ้านท่า
เดื่อ บ้านชั่ง บ้านท่าครึ่ง บ้านหนองบัวคำ บ้านมืดกา ที่เหล่านี้ คงเป็นที่อยู่
อาศัยของชนชาวลั๊วะมาก่อน ก่อนที่จะถูกไทยใหญ่รุกรานหนีไป จะเห็นได้จาก
วัดร้างที่บ้านซึ่งมีทั้งหมด 3 วัด บนดอยแม่ส้ม ก็มีซากวัดเก่าอยู่หลายที่เช่นกัน

ภาพที่ 15 อิฐเก่าของวัดกาด
ที่มา : ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา.2560

24

ตามตำนานพระเจ้าเลียบโลก กล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกโปรดสัตว์โลก
มาถึงตรงบ้านชั่งจึงได้หยุดพักหรือจัง คำว่าจึงหมายถึง หยุดพัก คำว่ายังและ
ตั้งก็คำ เดียวกัน ต่อมาก็เลยเพี้ยน จากตั้งมาเป็นดั่งหรือคั่ง สืบทอดกันมา
บ้านซึ่งสมัยก่อน นั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก ทำเกษตรกรรมโดยวิธีธรรมชาติ
เท่านั้น หลังจากการเก็บ เกี่ยวผลผลิตแล้ว จะช่วยกันซ่อมแซมปรับปรุงทนุ
บำรุง วัดวาอารามเป็นอย่างดี มีเรื่องเล่ากันว่าครั้งหนึ่งมีเจ้า(พระ)พร้อมด้วย
ศรัทธาชาวบ้านและสามเณร ได้พากัน ไปค้นหาธรรม หรือพระไตรปิฎก ฉบับ
ใบลาน โดยนำเรือล่องน้ำปิงไปหาธรรม ตามวัดร้างต่าง ๆ ในแก่งสร้อย แก่ง
ปวง หรือตามถ้ำ หรือที่วัดกะตา เมื่อได้ธรรมมา หลายหีบก็นำใส่เรือถ่อขึ้นมา
เรื่อย ๆ (พายเรือทวนน้ำ) เมื่อมาถึงวัดผาเรียก ตรงกับ วัดสมแคเหนือ บ้าน
มิตกาตะวันตกเก่า สามเณรน้อย วัดสบแค เห็นสามเณรน้อย องค์หนึ่ง ที่มาใน
เรือกับคณะค้นหาธรรม พิการหลังโก่ง สามเณรน้อยวัดสบแคก็เลย ถามเป็น
ปัญหาไปว่า “เอาโลพระนั่งมาด้วยหรือ” ทุกคนที่มาในเรือนั้นต่างก็ตอบ แก้
ปัญหาไม่ได้สักคน คณะที่ถ่อเรือน้ำหีบธรรมนั้นไปเก็บไว้ที่วังผาหีบเหนือบ้าน
ท่าครั่ง ที่ตรงนั้นจึงได้ชื่อมาหีบเท่าทุกวันนี้ ส่วนผาเรียกนั้น เพี้ยนมาจากคำว่า
" เปี๊ยก” เพียกก็คือพูดล้อเล่น แซวเล่น พูดส่อเสียดให้คนอื่นอับอายที่ตรงนั้นก็
มีชื่อว่า ผาเยียก ทั้งผาเรียกและผาหีบยังมีให้ เห็นในปัจจุบัน (ขอบคุณข้อมูล
จาก พ่ออุ้ยจันทร์ตา ยานะ บ้านแปลง 8 หมู่ 2 ตำบล ท่าเดื่อ อำาเภอดอยเต่า
จังหวัด เชียงใหม่

25

ภาพที่ 16 บ่อน้ำพันปี
ที่มา : ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา.2560

26

ตามตำนานพระเจ้าเลียบโลก กล่าวว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าออกโปรด
สัตว์โลก มาถึงตรงบ้านชั่งจึงได้หยุดพักหรือจัง คำว่าทั้งหมายถึง หยุดพัก คำ
ว่ายั้งและตั้งก็คำ เดียวกัน ต่อมาก็เลยเพี้ยน จากจังมาเป็นดั่งหรือชั่ง สืบทอด
กันมา บ้านชั่งสมัยก่อน นั้นมีความอุดมสมบูรณ์มาก ทำเกษตรกรรมโดยวิธี
ธรรมชาติเท่านั้น หลังจากการเก็บ เกี่ยวผลผลิตแล้ว จะช่วยกันซ่อมแซมปรับ
ปรุงทนุบำรุง วัดวาอารามเป็นอย่างดี มีเรื่องเล่ากันว่าครั้งหนึ่งมีเจ้า (พระ)
พร้อมด้วยศรัทธาชาวบ้านและสามเณร ได้พากัน ไปค้นหาธรรม หรือพระ
ไตรปิฎก ฉบับใบลาน โดยนำเรือล่องน้ำปิงไปหาธรรม ตามวัดร้างต่าง ๆ ใน
แก่งสร้อย แก่งปวง หรือตามถ้ำ หรือที่วัดกะตา เมื่อได้ธรรมมา หลายหีบก็นำ
ใส่เรือถือขึ้นมาเรื่อย ๆ (พายเรือทวนน้ำ) เมื่อมาถึงวัดผาเพียก ตรงกับ วัดสม
แคเหนือ บ้านมืดกาตะวันตกเก่า สามเณรน้อย วัดสบแค เห็นสามเณรน้อย
องค์หนึ่ง ที่มาในเรือกับคณะค้นหาธรรม พิการหลังโก่ง สามเณรน้อยวัดสบแค
ก็เลย ถามเป็นปัญหาไปว่า “เอาโลพระนั่งมาด้วยหรือ” ทุกคนที่มาในเรือนั้น
ต่างก็ตอบ แก้ปัญหาไม่ได้สักคน คณะที่ถ่อเรือนำหีบธรรมนั้นไปเก็บไว้ที่วังผา
หีบเหนือบ้าน ท่าครั่ง ที่ตรงนั้นจึงได้ชื่อมาหีบเท่าทุกวันนี้

ส่วนผาเรียกนั้น เพี้ยนมาจากคำว่า “ เปี๊ยกเพียกก็คือพูดล้อเล่น แซวเล่น พูด
ส่อเสียดให้คนอื่นอับอายที่ตรงนั้นก็มีชื่อว่า ผาเยียก ทั้งผาเผียกและผาหีบยังมี
ให้ เห็นในปัจจุบัน (ขอบคุณข้อมูลจาก พ่ออุ้ยจันทร์ตา ยานะ บ้านแปลง 8
หมู่ 2 ตำบลท่าเดือ อำเภอดอยเต่า)

บ้านท่าครั่ง 27

บ้านท่าครั่ง ตั้งอยู่หมู่ที่ 7 ตำบลท่าเดื่อ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
ทิศเหนือติดลำห้วยแม่ตาล ทิศใต้ติดกับบ้านชั่ง ทิศตะวันออกติดตาบลท่าเดือ
ทิศตะวันตกติดแม่น้ำปิง ( บริเวณดอยเรือในปัจจุบัน) ก่อนน้ำท่วม มีประชากร
ประมาณ 550 คน 130 ครัวเรือน ประชากรส่วนใหญ่ ประกอบอาชีพ เลี้ยง
ครั่ง ทํานา ปลูกยาสูบ ปลูกผักกาด ปลูกหอม กระเทียม ไว้กินและไว้ขาย สัตว์
เลี้ยงนิยม เลี้ยงควายไว้ใช้งาน อุตสาหกรรมครัวเรือนที่สำคัญคือการทอผ้า (ผ้า
ซิ่นตีนจก ลายน้ำ ท่วมในปัจจุบัน) ไว้ใช้ในครัวเรือน
โรงเรียนบ้านท่าครั่งอยู่ติดกับวัดบ้านซึ่งเปิดสอนระดับชั้น ป.1 - ป.6 วัดบ้าน ท่า
ครั่ง ชื่อเดิมคือวัดบ้านอีก้อมในฤดูน้ำหลากวัดอีก้อมได้ถูกน้ำปิงเปลี่ยนทิศทาง
เจาะเซาะผ่าตรงกลางวัด พัดพาวัดหายไปกับสายน้ำ ชาวบ้านจึงย้ายวัดขึ้นไปตั้ง
ในที่ แห่งใหม่ อยู่ริมฝั่งแม่น้ำปิงด้านทิศตะวันออกมีเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่เศษ
เรียกชื่อวัด ใหม่ว่า วัดท่าครั่ง โดยมี ครูบาปัญญา เป็นผู้นำสร้าง ประกาศตั้งวัด
เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2440 บ้านท่าครั่งมีท่าเรือเป็นสถานที่ซื้อขายครั่งของ
พ่อค้าเพื่อส่ง สินค้าไปขายต่อทางภาคกลาง ในปีพ.ศ. 2507 น้ำจากเขื่อนภูมิพล
เอ่อท่วมวัด ชาวบ้านจึงพากันอพยพไปอยู่ในที่จัดสรรของนิคมสร้างตนเองเขื่อน
ภูมิพลจังหวัด เชียงใหม่ที่จัดสรรให้โดยศรัทธาได้ช่วยกันนำพระพุทธรูปและวัตถุ
โบราณต่าง ๆ 3 วัด คือวัดบ้านชั่ง วัดท่าครั่ง และวัดหนองบัวคำ ไปรวมกันไว้ใน
ที่เดียวกัน

28

ปีพ.ศ. 2513 ศรัทธาวัดห่าง ตกลงกันได้มาสร้างวัดขึ้นใหม่ที่บ้านโปงทุ่ง
หมู่ที่ 5 ตำบลโปงทุ่ง อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ หนังสือที่ดิน น.ส. 3 เลขที่
32 มีที่ดิน 6 ไร่ 1 งาน 50 วา อาณาเขตทิศเหนือประมาณ 71 วา จดทาง
สาธารณประโยชน์ ทิศใต้ประมาณ 72 วา จดทางสาธารณประโยชน์ ทิศตะวัน
ตก ประมาณ 55 21 นายดิบ ปัญญามี และนายจันท น วันดา ทิศตะวันตก จด
ทางสาธารณะประโยชน์ จึงได้นำพระพุทธรูปและสิ่งของวัตถุโบราณมา ไว้ วัดท่า
คงจบลงปัจจุบัน

ภาพที่ 17 วัวเทียมเกวียณ
ที่มา : ดร.วิทยา พัฒนเมธาดา.2560

29

ไปอยู่ที่จัดสรรใหม่ในเขตป่าของตำบลท่าเดื่อ แต่ชาวบ้านท่าเดือส่วนมากไม่
ยินยอมไปอยู่ในที่จัดสรรให้ จึงได้แบ่งออกเป็นกลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 อพยพไปอยู่ในที่ที่รัฐบาลจัดสรรให้ ซึ่งก็ได้แก่หมู่บ้านแปลง 5
กลุ่ม นี้ควรที่จะได้รับตั้งชื่อของหมู่บ้านว่า “ท่าเดื่อ” ตามชื่อเดิมเพราะ
ยินยอมเข้าไปอยู่ โดยสมัครใจ มีความเห็นรวมกันว่า หากได้รับความเดือด
ร้อน ก็จะได้รับ ความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องด้วยดี
กลุ่มที่ 2 เป็นกลุ่มที่ได้รับการชดเชยค่าที่ดินหรือมีที่นามาก มีเงินพอ
ประมาณ มีฐานะดีอยู่แล้วจึงพากันย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในถิ่นเจริญในเขตอำเภอ
จอมทอง อำเภอ เชียงดาว อำเภอเมือง และอำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
กลุ่มที่ 3 อพยพไปอยู่ในเขตตำบลดอยเต่า และอำเภอลี้ จังหวัดลำพูน
บางท้องที่มีชาวบ้านท่าเดื่ออพยพเข้าไปทำมาหากินอยู่ก่อนแล้วก่อนที่ชาว
บ้านจะ
อพยพเข้าไปอยู่ใหม่ โดยมีความเห็นว่า มีที่ทำมาหากินตัวเองอยู่แล้ว ส่วน
มากจะ
เข้าไปอยู่ตามหมู่บ้านเล็กๆ ค่อนข้างห่างไกลความเจริญ ปัจจุบันทราบว่าได้
รับการเอาใจใส่ดูแลจากทางราชการเป็นอย่างดี การสัญจรไปมาสะดวกสบาย
ขึ้น

30

กลุ่มที่ 4 กลุ่มนี้เป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ยอมอพยพเข้าไปอยู่ในที่จัดสรรบ้านแปลง 5
โดยมีความเห็นร่วมกันว่า สถานที่ตั้งหมู่บ้านแปลง 5 นั้นกันดารน้ำ จึงพร้อมใจ
กัน เลือกไร่ร้างของชาวกะเหรี่ยง เป็นที่ตั้งของหมู่บ้าน ซึ่งอยู่ใกล้กับดอยหิน และ
ดอย ทอก บริเวณแถวนี้แต่เดิมเรียกกันว่า “ดงสักงาม” ขณะที่ชาวบ้านเข้ามาตั้ง
หมู่บ้าน เหลือสักไม่กี่ต้น วัดท่าเดือก็โยกย้ายตามชาวบ้านกลุ่มนี้ ในขณะนั้นพระ
มหาทอง ยามเวที รักษาการเจ้าอาวาส ให้เหตุผลที่วัดไม่โยกย้ายไปตามกลุ่มที่ 1
นั้น เพราะขณะนั้นทางราชการไม่ต้องการให้มีวัดมากบำรุงไม่ทั่วถึงบ้านชั่ง บ้านท่า
ครั่ง บ้านหนองบัวค่า และบ้านท่าเดื่อ แปลง 5) จะให้รวมเป็นวัดเดียวหรือเหลือ
วัดเดียว คือวัดบ้านชั่งแปลง 8 ปัจจุบันนี้

ชาวบ้านไม่ยอมจึงช่วยกันจัดสร้างหมู่บ้านขึ้น โดยมีนายสม หมื่นแยง
เป็นหัวหน้ากลุ่ม อาศัยน้ำในลำห้วยแม่ตาล เป็นน้ำอเนกประสงค์ เมื่อจัดสร้าง
หมู่บ้านเสร็จแล้ว ได้ประชุมปรึกษากันว่า จะตั้งชื่อหมู่บ้านนี้อย่างไร มีผู้เสนอชื่อ
หลายชื่อเช่น บ้านดงสักงาม บ้านดอยหิน บ้านสมพัฒนา บ้านสมนิมิต บ้าน
อุทุมพร ดิตถ์ (ท่าเดื่อ) และบ้านศรีสมบูรณ์ ตอนทำพิธีตั้งหมู่บ้านนั้น หลวงพ่อ
พระครูอดุล ญาณสุนทร (จันทร์ เตโช) เจ้าคณะตำบลท่าเดื่อ ในขณะนั้น ได้มา
เป็นประธานสงฆ์ เจริญพระพุทธมนต์ พระอาจารย์คำมูล สุจิตโต (อินทจักร) ได้
เลือกชื่อบ้านศรีสมบูรณ์ เป็นชื่อบ้านใหม่ เนื่องจากมีความเคารพนับถือซึ่งกัน
และกัน จึงไม่มีใครคัดค้าน ตกลงว่าบ้านนี้ชื่อบ้าน “ศรีสมบูรณ์”

31

เมื่อมีหมู่บ้านแล้ว ก็ต้องมีวัด มีโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านจึง
พร้อมใจ กันจัดสร้างวัดและสร้างโรงเรียน แบบชั่วคราวขึ้นก่อนด้านทิศตะวัน
ตกของหมู่บ้าน วัดและโรงเรียนอยู่ภายในบริเวณเดียวกัน ครูคนแรกที่เข้ามา
สอนคือ นายปั่น อาศนะ ซึ่งเคยเป็นครูของโรงเรียนประชาบาลบ้านท่าเดื่อมา
ก่อน แต่ครูปั่น อพยพเข้าไปอยู่ กับหมู่บ้านแปลง 5 ครูปั่นไม่ได้ถามทางวัดและ
กรรมการหมู่บ้านว่าบ้านนี้ชื่ออะไร แต่ได้ถามผู้เฒ่าผู้แก่บางคน ซึ่งก็ได้รับคำ
ตอบว่า บ้านหนองผักบุ้ง ครูปั่น จึงเขียน ป้ายโรงเรียนว่า โรงเรียนบ้านหนอง
ผักบุ้ง หมู่บ้านนี้จึงได้ชื่อตามโรงเรียนว่า บ้านหนองผักบุ้ง มาถึงทุกวันนี้

32

บ้านโท้ง

บ้านโค้งเดิมชื่อว่า บ้านโค้งปราสาทที่ชื่อบ้านโค้งปราสาทเพราะสมัย
ก่อนทุกปี เจ้าครองเมืองนครเชียงใหม่จะจัดขบวนไทยทานลงเรือเป็นจํานว
นมากมาไหว้สาดอย เก๋งทุกปี บริเวณบ้านโท้งเป็นทุ่งกว้างลำน้ำปิงคดเคี้ยวไป
มา เมื่อขบวนผ่านจึงมองเห็น ปราสาทที่ตกแต่งเครื่องไทยธรรมเต็มท้องทุ่งจึง
เรียกขานว่าทุ่งผาสาดและเพี้ยนเป็น โท้งผาสาดตามสำเนียงท้องถิ่น ตั้งอยู่หมู่
ที่ 2 ตำบลท่าเดื่อ กิ่งอำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ทิศเหนือติดกับบ้าน
น้อย ทิศใต้ติดกับบ้านท่าเดื่อ ทิศตะวันออก ติดทุ่งนา ทิศตะวันตก ติดลำน้ำ
ปิง บ้านโท้งมีวัดเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจวัดบ้านโท้ง สร้างเมื่อ1 กุมภาพันธ์
พ.ศ2480 ติดกับลำน้ำปิง โดยมีพระชาว โสติธมโม พร้อมด้วยศรัทธาบ้านโท้ง
ร่วมกันสร้างขึ้น

ใน ปี พ.ศ. 2507 หลังเกิดน้ำท่วมหมู่บ้าน วัดบ้านโท้งได้อพยพมาพร้อมกับ
ชาวบ้านโดยมีพระคำปัน ปณ.ญาวโร เป็นเจ้าอาวาสในสมัยนั้น มาสร้างวัดอยู่
ในที่ดิน จัดสรรของนิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล ซึ่งเป็นที่ตั้งหมู่บ้านในที่
ปัจจุบัน บริเวณนี้แต่ ก่อนเป็นพื้นที่ทําไร่เลื่อนลอยของชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง
ชาวบ้านจึงมาแผ้วถางทำเป็น พื้นที่อยู่อาศัยครอบครัวละ 1 งาน

อาชีพและรายได้ ชาวบ้านโท้งสมัยก่อนมีอาชีพทำไร่ ทำสวน ปลูกข้าว ถั่วลิสง
และฝ้าย

วัฒนธรรมประเพณี 33

วัฒนธรรมประเพณีของชาวบ้านโท้งสมัยก่อนที่ทำสืบทอดต่อกันมา มีดังนี้
1. การเลี้ยงเจ้าพ่อบ้านของหมู่บ้าน ซึ่งจะจัดขึ้นในเดือนเก้าของทุกปี โดยใน
งานจะมีการจัดเตรียมดอกไม้ ธูป เทียน และไก่ไว้สำหรับเลี้ยง โดยจะเลี้ยงไก่
3 ปี ในปีที่ 4 จะเลี้ยงหมู และเวียนกันไปแบบนี้ตลอด
2. การเลี้ยงผีบ้านผีเรือน หรือผีปู่ย่า จะทำหลังจากการเลี้ยงเจ้าพ่อบ้านของ
หมู่บ้านเสร็จแล้ว จะกลับมาทำพิธีที่บ้านของตนเอง

การเลี้ยงผี จะทำเมื่อมีการทำผิดผี คือ การที่ผู้ชายและผู้หญิงที่ไม่ได้เป็น
อะไรกัน มีการถูกเนื้อต้องตัวกัน หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็นการจ่ายค่าสินไหม
กันใน ปัจจุบัน แต่สมัยก่อนจะต้องมีการแก้ด้วยการเลี้ยงผีขอโทษ โดยนำ
หัวหมู เหล้า ดอกไม้ ธูป เทียน หรือของต่าง ๆ มาเซ่นไหว้
3. การแต่งงาน สมัยก่อนเมื่อชาย - หญิงแต่งงานกัน ผู้ชายจะต้องเป็นฝ่ายมา
อยู่ที่บ้านผู้หญิง แต่ในสมัยนี้ขึ้นอยู่กับความจำเป็นของแต่ละครอบครัว

34

4. การเกิด (การคลอดลูก) ในสมัยก่อนผู้หญิงจะคลอดลูกที่บ้านโดยมีแม่
จ้าง (หมอตำแย) เป็นผู้ทำคลอดให้ โดยใช้ไม้ฮวก(ไม้ไผ่)ในการตัดสายสะดือ
เด็ก เมื่อคลอดลูกได้ประมาณ 10 วันหรือครึ่งเดือนถ้าเด็กร้องไห้มากเกินไป
จะต้องถาม เมื่อ (หมอดูในปัจจุบัน) ว่าเป็นใครมาเกิดและทำพิธีเพื่อไม่ให้เด็ก
ร้องไห้ ผู้หญิงที่ คลอดลูกแล้วจำเป็นต้องมีการอยู่เดือนให้ครบ 30 วัน ในช่วง
นี้จะต้องทานข้าวจี่ (ข้าวเหนียวปิ้งไฟ)เท่านั้น พออยู่เดือนได้ครึ่งเดือนให้ทานพ
ริกดำป่นและเกลือกับ ข้าวเหนียว นอกจากนี้จะต้องดื่มน้ำร้อนที่ต้มกับแก่น
ฝางหรือไม้ฝ้ายตลอด ไม่ให้ดื่ม น้ำเย็น โดยเชื่อว่าเป็นการฆ่าเชื้อโรคต่าง ๆ เมื่อ
ออกเดือนแล้วจะต้องทำการอยู่เส้า เป็นเวลา 5 วัน (การอยู่เส้าคือ การขุดหลุม
ลึก 1 ศอก กว้าง 1 ศอกล้อมรอบ บริเวณนั้นด้วยเชือกเป็นรูปวงกลม แล้วเผา
ก้อนหินให้ร้อนใส่ไว้ในหลุมเสร็จแล้วให้ตำ ใบปูเลยผสมกับน้ำรดลงไปบนก้อน
หินร้อน ๆ แล้วให้ผู้หญิงนั่งรมควันอยู่ในเส้าเพื่อให้ เหงื่อออก โดยมีความเชื่อ
ว่าเป็นการทำให้มดลูกหดตัวเร็วขึ้น

5. การรักษาโรค ของชาวบ้านในสมัยก่อน คือ การรักษาแบบแผนโบราณ
ได้แก่ การต้มราก ลำต้น ใบไม้ต่าง ๆ รักษาตามอาการ เช่น
5.1 ท้องเสียให้ดื่มน้ำยอดไม้แพ่ง ยอดใบฝรั่ง หรือใบทับทิม
5.2 อาเจียนและท้องเสีย ให้ดื่มน้ำผักขมที่ใช้ไม้คนข้าวคน
5.3 มีไข้และปวดหัว ให้ดื่มน้ำที่แช่หญ้าเมืองวาย(สาบเสือ) และรากผักขม
เชื่อกันว่าเป็นชาเพิ่ม ทำให้หายได้ แต่ต้องใช้เวลาในการรักษา
6. การตาย สมัยก่อนจะจัดงานศพไว้ที่บ้าน 3-5 วันขึ้นอยู่กับฐานะของแต่ละ
ครอบครัว ศพจะถูกวางไว้ แล้วชาวบ้านจะช่วยกันทำแตะเป็นรูปแมวมาครอบ
ศพไว้ เพื่อไม่ให้มองดู ดจาดา และจะไม่มี สสวท พของพระสงฆ์ แต่เมื่อนำไป
ฝังหรือเผา บน กรมท่าทีให้แก่คน

35

บ้านวังหลวง


หมู่บ้านวังหลวง อำเภอดอยเต่า

จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหมู่บ้านที่ชาวบ้าน

อพยพมาอยู่กันก่อนการจัดสรรที่ดินของ

นิคมสร้างตนเองเขื่อนภูมิพล ตำบลท่าเดื่อ

อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ปัจจุบัน

มีประชากรอาศัยอยู่สองกลุ่มคือ ภาพที่ 18 สัมภาษณ์จากผู้รู้ ผู้เฒ่าผู้แก่บ้านวังหลวง
กลุ่มกะเหรี่ยงเผ่าโผล่ว ปัจจุบ้นอายุ 102 ปี
และกลุ่มคนพื้นเมือง ซึ่งจาก
ที่มา : นางสาวจันทกานต์ แสงจันทร์.2565

คำบอกเล่าของชาวบ้านทราบถึงข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ของหมู่บ้านวังหลวงว่า

ชาวบ้านวังหลวงที่ย้ายมากลุ่มแรกคือกะเหรี่ยงเผ่าโผล่ว โดยคนพื้นเพเดิมที่อยู่

บ้านเหล่ามะนาว อำเภอฮอดจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งอยู่บริเวณลุ่มน้ำแม่ปิงเป็น

พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ชาวบ้านอาศัยการทำการเกษตรพอเลี้ยงชีพต่อมามีการ

สร้างเขื่อนยันฮีหรือเขื่อนภูมิพล โดยเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2506 ส่งผลให้ประมาณ

ปี พ.ศ. 2507 น้ำท่วมบริเวณบ้านเหล่ามะนาวชาวบ้านทั้งหมดจึงต้องอพยพ

ออกจากบ้านเหล่ามะนาวและรื้อถอนบ้านเรือน พร้อมทั้งขนย้ายสัมภาระโดย

เทียมเกวียนและชาวบ้านก็ได้แยกย้ายไปตั้งรกรากตามถิ่นต่างๆ คือ หมู่บ้าน

กองวะ ตำบลแม่ลาน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูนหมู่บ้านหล่ายแก้ว ตำบลบงตัน

อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่

36

หมู่บ้านวังหลวง ตำบลท่าเดื่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยปี
พ.ศ. 2506 เมื่อสร้างเขื่อนภูมิพลเสร็จเริ่มปิดกั้นน้ำ น้ำได้เอ่อขึ้นมาท่วมพื้นที่
ราบสองฝั่งแม่น้ำปิงชาวบ้านต้องอพยพขึ้นมาอยู่ในพื้นที่ทางราชการจัดไว้ให้
โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นแปลงแปลงเรียกกันว่าบ้านแปลงอพยพแปลงที่เท่านั้น
เท่านี้ โดยจัดหมวดหมู่ว่าแปลงที่เป็นเลขคี่จะอยู่ทางด้านขวามือของถนน ฮอด-
ดอยเต่า-แม่ตืน ส่วนฝั่งซ้ายจะเป็นเลขคู่ในการอพยพราษฎรจะได้ค่าชดเชย
ที่ดินเดิมไร่ละ 400 บาทในขณะนั้น แต่ไม่มีการพูดถึงส่วนใหญ่จะได้ไม่ครบ
เพราะเนื่องจากการรับเงินค่าชดเชยจะต้องไปรับที่อำเภอจอมทอง ซึ่งการเดิน
ทางสมัยนั้นลำบากมาก ถนนหนทางทุรกันดานมาก การจ่ายก็เป็นไปอย่างไม่มี
ระบบราษฎรจึงใช้วิธีให้ผู้อื่นไปรับแทน โดยได้รายละ 350 บาท หรือ 325
บาท มากหรือน้อยกว่านี้ก็มี ซึ่งมีชาวบ้านอพยพมาอยู่ในพื้นที่บ้านบางหลวง
ประมาณ 50-60 ครัวเรือนเนื่องจากเป็นไรส่วนที่เคยแผ้วถางจับจองเป็นที่ดิน
ของตนและลักษณะพื้นที่เป็นพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์มีลำมีลำห้วยไหล ผ่าน
บริเวณหลังหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่าลำห้วยแม่เยียบ” เนื่องจากในอดีตมักมี
ชาวบ้านผู้หญิงลงไปใช้น้ำในลำห้วยทั้งเพื่ออุปโภคและบริโภคและยังหาบนำขึ้น
ไปใช้ในบ้านเรือนจากลักษณะพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ชาวบ้านส่วนใหญ่จึง
ประกอบเกษตรกรรม ปลูกข้าว ปลูกอ้อย ปลูกข้าวโพด พอเลี้ยงชีพ
ปัจจุบันจำนวนครัวเรือนของการเรียงมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 130 ครัวเรือน
เนื่องจาก เมื่อมีบุตรหลานและมีการแต่งงานทั้งกับคนในหมู่บ้านและคนนอก
หมู่บ้านจึงทำให้ประชากรและหลังคาเรือนเพิ่มมากขึ้น

บ้านดงมะนะ 37

เดิมอยู่หมู่ที่ 8 (บ้านชั่ง) ตำบลท่าเดื่อ อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ บนฝั่งด้าน
ตะวันออก ของแม่น้ำปิงตรงข้ามกับพระบรมธาตุเจ้าดอยเกิ้ง ซึ่งประดิษฐานอยู่
บนเขาสูงงามตา เป็นสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์ของอำเภอดอยเต่า แล้วได้อพยพหนี
น้ำท่วมจากการสร้างเขื่อนภูมิพลกั้นลำน้ำแม่บึง เมื่อปี พ.ศ. 2507 แล้วมาหา
ที่ดินโดยการจับจองกันเอง มีราษฎรประมาณ 40 หลังคาเรือน อยู่ได้ประมาณ
2-3 ปี ก็ได้แยกย้ายไปตั้งรกรากบ้านหนองบัวคำ บ้านกองวะ บ้านโปง ลี้ ส่วน
ที่เหลือก็อยู่ที่เดิม เหลือประมาณ 32 หลังคาเรือน ซึ่งตอนนั้นขึ้นอยู่กับบ้าน
แปลง 8 หมู่ที่ 2 ตำบลท่าเรื่อ อำเภอดอยเต่า
จังหวัดเชียงใหม่ ต่อมาก็ได้ตั้งหมู่บ้าน เมื่อปี พ.ศ. 2535 ชื่อหมู่บ้านดงมะนะ
หมู่ที่ 6 ตำบลท่าเดื่อ อำเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ โดยมีอาณาเขตติดต่อ
ดังนี้
ทิศเหนือ จด บ้านแปลง 3 - บ้านแปลง 5
ทิศใต้ จด แนวเขตการไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล
ทิศตะวันออก จด บ้านผาจุก
ทิศตะวันตก จด แนวเขตการไฟฟ้าเขื่อนภูมิพล
ได้แต่งตั้ง นายล้วน ถาเมา เป็นผู้ใหญ่บ้านคงมะนะ จนถึงปัจจุบัน
บ้านดงมะนะ มี ทั้งหมด 40 หลังคาเรือน ราษฎร 125 คน
แยกเป็น ชาย 62 คน หญิง 63 คน

38

ศูนย์การเรียนรู้
กลุ่มทอผ้าบ้านชั่ง

ความเป็นมาของผ้าทอบ้านแปลง 8
ศูนย์การเรียนรู้การทอผ้าจกบ้านชั่งแปลง 8 ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2541 ศูนย์การ
เรียนรู้ การทอผ้าจกบ้าน ชั่งแปลง 8 เริ่มจากการรวมกลุ่มของชาวบ้านที่ว่าง
เว้นจากการ กําสวนท่านา ในช่วงแรกทอผ้าเพื่อใช้สอยกันในแต่ละ บ้าน ไม่ได้
จัดสถานที่รวมกลุ่มกัน ทอผ้าใต้ถุนบ้าน ของตนเอง ปัจจุบันได้รับการ
สนับสนุนงบประมาณ จากภาครัฐและเอกชน จึงมีการรวมกลุ่มที่ บ้านเลขที่
39 หมู่ 2 ตำบลท่าเดื่อ อำเภอดอยเต่า ซึ่งเป็นบ้าน ของแม่แสงเดือน เปี้ยตี๋น
ประธานศูนย์การเรียนรู้ง การทอผ้าจกรูปแบบชาวไทยวน สายโบราณและลาย
ประยุกต์ งานหัตถกรรมส่วนใหญ่เป็น ผ้าซิ่นทอด้วย เทคนิคการอก หรือการ
ขิด และ ผ้าพื้น 2และ4ตะกรอ

แม่ครู แสงเดือน เปี้ยต้น ประธานศูนย์การเรียนรู้ฯ มีความสามารถในการทอ
ผ้าจก ตั้งแต่ อายุ 16 ปี ได้เรียนรู้การทอผ้า อกจากแม่เฒ่า แม่นิล ถามัง
ประมาณ 2 อาทิตย์ ก็สามารถเรียนรู้ วิธีทอผ้าจกได้ และหลังจากนั้นได้สืบค้น
ลวดลายผ้าเก่าจากผู้สูงอายุ มาทำาการแกะลายผ้า ซึ่งเป็นลายเก่าแก่ถือว่าเป็น
ภูมิปัญญาดั้งเดิม ของชุมชน ลายสาวแอ้ สายกุดตาแสง ลายหงส์เครือ ลายกุด
ลาว หลวง สายดอกแก้ว ลายกุดสุน เป็นต้น ปัจจุบัน ได้รับการยกย่องให้ เป็น
ครูภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านผ้าทอและผลิตภัณฑ์ผ้าทอของโรงเรียน ดอยเต่า
วิทยาคม อำาเภอดอยเต่า จังหวัดเชียงใหม่ ประวัติ บ่แสงเดือน เป็นต้น 1
2563

39

ศูนย์การเรียนรู้
กลุ่มทอผ้าบ้านชั่ง

ความเป็นมาของผ้าทอบ้านแปลง 8
วัฒนธรรมดั้งเดิมของชาวบ้านแปลง 8 สตรีแม่บ้านเมื่อว่างเว้นจากการทำนา
ทำสวน ที่จะทอผ้า แทบทุกใต้ถุนบ้านจะมีที่ที่ใช้สำหรับทอผ้าอยู่เสมอ เพื่อทอ
ผ้าไว้ในชีวิตประจำวันเท่านั้น มีการทอผ้ากันทุก ครัวเรือน เนื่องจากแต่เดิม
ไม่มีเสื้อผ้าขาย ต้องทอด้วย โดยผ้าที่พอคือเสื้อและผ้าถุง ผ้าห่ม ที่นอน สตรี
ไม่ต้องออกไปทำมาหากินนอกบ้าน มีหน้าที่เฝ้าบ้าน หุงหาอาหาร จึงมีเวลาว่าง
มากมายที่จะสร้างสรรค์ ผลิตภัณฑ์ผ้าทอของตนเอง ให้แลดูสวยงาม สมัยก่อน
จะดูแลเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม โดยเย็บผ้าเอง ทอเสื้อผ้า ใส่เอง ไม่มีจักรเย็บผ้า
ต้องเย็บด้วยมือใช้เข็มอย่างเดียว ขณะที่ฝ่ายชายมีหน้าที่ออกไปเดินป่า ล่าสัตว์
ทำนา ทำไร่ ทำสวน เนื่องจากห่างไกลความเจริญประกอบกับในหมู่บ้านมี
วัตถุดิบในการผลิตคือ ต้นฝ้าย ซึ่งสามารถเพาะปลูกไว้ใช้เอง จึงจำต้องทอผ้า
ไว้ใช้เองในครัวเรือน โดยการทอผ้าด้วย ชาวบ้านแปลง 8 เป็น ชนกลุ่มน้อยที่มี
ความผูกพันกันทางเชื้อชาติ มีการรวมกลุ่ม มีความรักสามัคคี หวยออน น ารง
ชีพอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข มีการแบ่งปันอาหารการกิน เงินในไม่มีค่าหนีนปัน
เวลา จองกินใช้ จะใช้วิธีการแลกเปลี่ยน ของกันและกัน เสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม
จึงต้องเอง เพราะ วัตถุดิบธรรมชาติมากมาย สตรีแม่บ้านจึงปลุกคนไทยเพื่อ
นำมาเป็นฝัน

ลายผ้าซิ่นแม่เดือน 40

ภาพที่ 19
นางเเสงเดือน เปี้ยตั๋น
ที่มา : นางสาวธัญชนก ศรีมา.2565

ภาพที่ 20
ศูนย์เรียนรู้กลุ่มผ้าทอบ้านชั่ง
ที่มา : นางสาวมัลลิกา ทองคำ.2565

ลายผ้าซิ่นแม่เดือน 41

ภาพที่ 21
ผ้าทอลายกุดตาแสง
ที่มา : นางสาวธนารีย์ ปันสลี.2565

ลายผ้าซิ่นแม่เดือน 42

ภาพที่ 22
ผ้าทอลายแอ้
ที่มา : นางสาวมัลลิกา ทองคำ.2565


Click to View FlipBook Version