The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1.นายนันทพงศ์ พุฒด้วง เลขที่ 1
2.นายนนทพัฒน์ วินิจผล เลขที่ 4
3.นายวัชรินทร์ คงเซ็น เลขที่ 9
4.นางสาวกิตติวรา หงษ์ทอง เลขที่ 14
5.นางสาวญาณิศา ตุ้งซี่ เลขที่ 20
6.นางสาวณัฐมน ทิพย์กองลาศ เลขที่ 23
7.นางสาวพัทธนันท์ ดำโอ เลขที่ 29
8.นางสาวพิชญธิดา รักดี เลขที่ 30
9.นางสาววิรากานต์ สงพุ่ม เลขที่ 35
10.นางสาวสิริรัตน์ คำแก้ว เลขที่ 38

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Pattanan Dam-o, 2022-11-03 11:53:18

นาฏศิลป์ประเทศเมียนมาร์

1.นายนันทพงศ์ พุฒด้วง เลขที่ 1
2.นายนนทพัฒน์ วินิจผล เลขที่ 4
3.นายวัชรินทร์ คงเซ็น เลขที่ 9
4.นางสาวกิตติวรา หงษ์ทอง เลขที่ 14
5.นางสาวญาณิศา ตุ้งซี่ เลขที่ 20
6.นางสาวณัฐมน ทิพย์กองลาศ เลขที่ 23
7.นางสาวพัทธนันท์ ดำโอ เลขที่ 29
8.นางสาวพิชญธิดา รักดี เลขที่ 30
9.นางสาววิรากานต์ สงพุ่ม เลขที่ 35
10.นางสาวสิริรัตน์ คำแก้ว เลขที่ 38

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6

Keywords: นาฏศิลป์เมียนมาร์

Myanmar

นาฏศิลป์ประเทศเมียนมาร์

คำนำ

หนังสือนาฏศิลป์ประเทศเมียนมาร์ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา
ศ32102 จัดทำขึ้นโดยมีเป้ าหมายเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยว
กับวัฒนธรรมของประเทศเมียนมาร์ ประวัติความเป็นมา วิธีการ
แสดง เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรีที่ใช้ในการแสดงนาฏศิลป์
และโอกาสที่ใช้ในการแสดงนาฏศิลป์ ของประเทศเมียนมาร์

การจัดทำหนังสือนาฏศิลป์ประเทศเมียนมาร์ รายวิชา
ศ32102 คณะผู้จัดทำได้ศึกษารายละเอียดของเรื่องต่างๆที่
เกี่ยวข้องกับนาฏศิลป์ประเทศเมียนมาร์ แล้วนำองค์ความรู้ที่ได้มา
ออกแบบการเรียนรู้ โดยแต่ละเรื่องประกอบไปด้วย ประวัติความ
เป็นมา วิธีการแสดงนาฏศิลป์ เครื่องแต่งกาย เครื่องดนตรีที่ใช้ใน
การแสดง และโอกาสที่ใช้ในการแสดง ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะ
ช่วยให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ เกิดกระบวนการความคิดได้อย่าง
ครบถ้วน รวมไปถึงกระบวนการทำงานของผู้จัดทำ และสามารถนำ
ความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้

คณะผูจัดทำ

สารบัญ 1
2
ประวัติการแสดงนาฏศิลป์ 4
วิธีการแสดงนาฏศิลป์ 5
เครื่องแต่งกายการแสดงนาฏศิลป์ 9
เครื่องดนตรีประกอบการแสดงนาฏศิลป์ 10
โอกาสที่ใช้ในการแสดงนาฏศิลป์
อ้างอิง

ป ร ะ วั ติ ก า ร แ ส ด ง

น า ฏ ศิ ล ป์ ป ร ะ เ ท ศ พ ม่ า

หลังจากกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 2 พม่าได้รับอิทธิพลนาฏศิลป์ไปจากไทย
ก่อนหน้ านี้นาฏศิลป์ของพม่าเป็นแบบพื้นเมือง นาฏศิลป์พม่าเริ่มต้นจากพิธีการ
ทางศาสนา ต่อมาเมื่อพม่าติดต่อกับอินเดียและจีน ท่าร่ายรําของสองชาติดังกล่าว
ก็มีอิทธิพลแทรกซึมในนาฏศิลป์พื้นเมืองของพม่า แต่ท่าร่ายรําเดิมของพม่านั้นมี
ความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องรามยะณะหรือมหา
ภารตะเหมือนประเทศเอเชียอื่นๆ

นาฏศิลป์ และการละครในพม่า แบ่งได้เป็ น 3 ยุค คือ

▪️ 1. ยุคก่อนนับถือพระพุทธศาสนา เป็นยุคของการนับถือผี การฟ้ อนรําเป็นไป

ในการทรงเจ้าเข้าผี บูชาผีและบรรพบุรุษที่ล่วงลับ ต่อมาก็มีการฟ้ อนรําในงานพิธี
ต่างๆเช่น โกนจุก เป็นต้น

▪️ 2. ยุคนับถือพระพุทธศาสนา มีการละคร “นิพัทขิ่น” เป็นละครเร่ แสดงเรื่อง

พุทธประวัติเพื่อเผยแพร่ความรู้ในพระพุทธศาสนา เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจได้ง่าย

▪️3. ยุคอิทธิพลละครไทย หลังเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่า ในปี พ.ศ. 2310 ชาวไทย

ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย พวกละครและดนตรีถูกนําเข้าไปไว้ในพระราชสํานัก จึง
เกิดความนิยมละครแบบไทยขึ้น ละครแบบพม่ายุคนี้เรียกว่า “โยธยาสัตคยี” หรือ
ละครแบบโยธยา ท่ารํา ดนตรี และเรื่องที่แสดงรวมทั้งภาษาที่ใช้ก็เป็นของไทย มีการ
แสดงอยู่ 2 เรื่อง คือ รามเกียรติ์ เล่นแบบโขน และอิเหนา เล่นแบบละครใน ในปี
พ.ศ. 2328 เมียวดี ข้าราชการสํานักพม่าได้คิดละครแบบใหม่ขึ้นชื่อเรื่อง
“อีนอง” ซึ่งมีลักษณะใกล้เคียง กับอิเหนามาก ที่แปลกออกไปคือ ตัวละครของเรื่อง
มีลักษณะเป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญที่มีกิเลส มีความดีความชั่ว ละครเรื่องนี้เป็นแรง
บันดาลใจให้เกิดละครในแนวนี้ขึ้นอีกหลายเรื่อง ต่อมาละครในพระราชสํานักเสื่อม
ความนิยมลง เมื่อกลายเป็นของชาวบ้านก็ค่อยๆ เสื่อมลงจนกลายเป็นของน่ารังเกียจ
เหยียดหยาม แต่ละครแบบนิพันขิ่นกลับเฟื่ องฟูขึ้น แต่มีการลดมาตรฐานลงจนกลาย
เป็นจําอวดเมื่อประเทศพม่าตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษแล้ว ในปี พ.ศ. 2428 ละคร
หลวงและละครพื้ นเมืองซบเซาต่อมามีการละครที่นํ าแบบอย่างมาจากอังกฤษเข้า
แทนที่ ถึงสมัยปัจจุบันละครคู่บ้านคู่เมืองของพม่าหาชมได้ยากและรักษาของเดิมไว้
ไม่ค่อยจะได้ ไม่มีการฟื้ นฟูกัน เนื่องจากบ้านเมืองไม่อยู่ในสภาพสงบสุข

1

วิธีการแสดง
นาฏศิลป์ประเทศ

พม่า

ศิลปะการแสดงที่สืบทอดมาจากอดีตและยังคงได้รับความนิยมชมชอบอยู่ในสังคมพม่าในปั จจุบัน
ได้นั้น เห็นจะต้องยกให้การแสดง 2 ประเภทอัน ได้แก่ ซะปแว หรือ ลิเกพม่า และโย่วเต

ซะปแว

ขั้นตอนการแสดงซะปแวเริ่มจากหัวหน้ าหรือครูอาวุโสของคณะทำพิธีขอพรจากนัต
ช่วยคุ้มครองให้การแสดงชุดนี้สำเร็จลุล่วงและได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ชม โดย
ใช้ของเซ่นไหว้ที่มีกล้วยกับมะพร้าวเป็นหลัก หลังจากพิธีเสร็จแล้วดนตรีปี่พาทย์จะ
เริ่มประโคมเพื่อเป็นการโหมโรงเรียกผู้ชมเข้ามาดู เมื่อได้เวลาแสดงจะมีนักแสดง

ชาย 2 คน แต่งกายและพูดจาตลกขบขัน เกริ่นนำเรื่องราวที่จะแสดงในวันนั้นๆ
เมื่อเล่าเรื่องราวต่างๆ เสร็จแล้วจึงเริ่มแนะนำตัวนักแสดงทีละคนว่าใครมีบทบาท
อะไร พร้อมกันนั้นนักแสดงก็จะออกมานำเสนอตัวเองโดยการโชว์ทีเด็ดส่วนตัว
หลังจากที่โชว์ตัวนักแสดงเสร็จแล้วจึงเริ่มแสดงตามเนื้อหาของเรื่อง โดยจะแบ่ง
ออกเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกเป็นการแสดงเรื่องสมัยใหม่ ซึ่งคณะซะปแวนั้นๆ เป็นผู้
ประพันธ์เรื่องราวขึ้นเอง ส่วนใหญ่มักจะมีเนื้อหาในชีวิตประจำวันทั่วไปส่วนช่วง
สุดท้ายเป็นการแสดงเรื่องราวของชาดกต่างๆ ไปจนถึงรุ่งเช้า โดยมีนักแสดงชาย 2
คน ออกมาเกริ่นก่อนในช่วงแรก เสร็จแล้วก็นั่งอยู่หน้ าเวทีตลอดเวลา เพื่อคอยสอด
แทรกเนื้อหาดำเนินเรื่องราวตอนต่างๆ หรือในบางครั้งก็มีการเสริมมุกตลกบ้าง

หยอกล้อนักแสดงบ้าง จนกว่าการแสดงจะจบ

2

วิธีการแสดง
นาฏศิลป์ประเทศ

พม่า

โย่วเต

เรื่องราวที่นำมาใช้เล่นหุ่นกระบอกจะมีความแตกต่างกันไปแต่ละคณะ
มักนิยมเขียนบทขึ้นเพื่อแสดงเอง และไม่มีการหยิบยืมเรื่องราวระหว่าง
คณะมาใช้เล่นโดยเด็ดขาด แต่บทเพลงที่ใช้ประกอบการเล่นอาจมีการ
หยิบยืมใช้บ้าง เนื้อหาในการเล่นหุ่นมักเป็น ชาดก นิทานพื้นบ้าน ตำนาน
เกี่ยวกับนัตหรือองค์เจดีย์ เรื่องราวบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์
พม่า และ รามายณะ เป็นต้น ซึ่งแสดงผ่านหุ่นทั้งสิ้น 36 ตัว ต่อมาบาง
คณะใช้หุ่นทั้งสิ้น 32 ตัว หรือ 24 ตัว และในขณะที่ไม่มีการแสดง หุ่นทุก

ตัวจะถูกเก็บรักษาไว้บนหิ้งเป็ นอย่างด



อะเญ่ย

เมื่อได้เวลาแสดงก็จะเริ่มด้วยการแสดงฟ้ อนรำเดี่ยวของมีนตะมีที่ออกมา
ร่ายรำในท่วงท่าต่างๆ ด้วยทำนองเพลงสนุกสนานจากวงษ์ปี่พาทย์ที่อยู่

ด้านหน้ า
หลังจากฟ้ อนรำเปิดตัวจบลงไปแล้ว นักแสดงชายจำนวน 5-6 คน ซึ่ง
เรียกว่า ลูชวินด่อ จะออกมาแสดงท่าทางอากัปกิริยาต่างๆ หรือใช้คำพูดที่
ชวนให้ตลกขบขัน โดยใช้ผ้าโพกหัวเป็นอุปกรณ์หลัก สร้างสมมติว่าเป็น
สิ่งของ สัตว์ต่างๆ หรืออะไรก็ได้ตามแต่จะจินตนาการ ที่สำคัญจะต้อง
เรียกเสียงหัวเราะให้ได้มากที่สุด พร้อมทั้งมีการแสดงฟ้ อนรำสลับกันไป

บ้างแล้วแต่เทคนิคของแต่ละคณะ

3

เครื่องแต่งกายการแสดงนาฏศิลป์ของพม่า

เครื่องแต่งกายโดยปกติ ชาวพม่าทั้งหญิงและชายนิยมนุ่งโสร่ง ที่เรียกว่า “ลองยี”

(Longeje)ซึ่งมีทั้งผ้าฝ้ายและไหมที่มีสีสด ของผู้หญิงจะมีลายเชิงด้านล่างและมี

ลวดลายเล็ก ๆ กระจายทั่ว ผืนผ้า ลวดลายของแต่ละท้องถิ่นจะต่างกัน

ซึ่งผู้หญิงโดยทั่วไปไว้ผมยาวเกล้าสูง บางครั้งก็ปล่อยชายห้อยลงมาไว้ทางซ้ายบ้าง

ขวางบ้าง มีดอกไม้แซมผม เครื่องประดับ นิยมหิน และพลอยที่มีค่าเช่น ทับทิม นิล

และหยก ส่วนผู้ชายตัดผมสั้น ไม่นิยมสวมหมวก หรือโพกศีรษะตามประเพณีเดิม เมื่อ

มีพิธีจะมีผ้าหรือ แพรโพกศีรษะทำเป็นกระจุกปล่อยชายทิ้งไว้ทางด้านขวา นิยมใช้

สีชมพู

การแต่งกายของการแสดง ผู้ชายใส่เสื้อแขนยาว นุ่งโสร่งหรือกางเกงคลุมเข่า ประดับ

ด้วยเลื่อม ดิ้นคล้ายของไทย ส่วนผู้หญิงใส่เสื้อรัดอก สวมเสื้อแขนยาวไม่มีกระดุม เปิดให้

เห็นเสื้อตัวใน ชายเสื้อโค้งงอน นุ่งผ้าถุงกรอมเท้าเกล้ามวยสูงปล่อยชายผมยาวมาด้าน

ขวา ถ้าเป็นตัวเอกจะสวมเครื่องประดับศีรษะ

4

เครื่องดนตรีในการแสดงนาฏศิลป์ของพม่า

ในบรรดาเครื่องดนตรีที่มีอยู่ในภูมิภาคนี้ เครื่องดนตรีพม่านับว่าเป็นเครื่อง
ดนตรีที่มีความสวยงามประณีต เด่นสะดุดตาจนเป็นที่รู้จักกันทั่วไป นอกจากความ
งามและอรรถรสทางเสียงของเครื่องดนตรีพม่า ยังมีความไพเราะและจังหวะที่
แปลกออกไปจากดนตรีในภูมิภาคนี้ การจำแนกเครื่องดนตรีแบบพม่านั้นแตกต่าง
กันจากแบบไทย กล่าวคือ ดนตรีไทยได้แบ่งชนิดของเตรื่องดนตรีไว้เป็น 4 ประเภท
คือ เครื่องดีด สี ตี และเป่า แต่พม่านิยมแบ่งประเภทเครื่องดนตรีเป็น 5 ประเภท
คือ ทองเหลืองหรือเครื่องโลหะ เครื่องสาย เครื่องหนัง เครื่องลม และเครื่องตี โดยมี
คำเรียกให้คล้องจองเป็นภาษาพม่าว่า เจ โจ ตะเหย่ เหล่ โค่ว

เจ
เครื่ องดนตรีประเภทแรกนี้เป็ นหมวดเครื่ องดนตรีที่รวมเอาเครื่ องโลหะทุก

ชนิดรวมกัน ทั้งจากสำริด ทองเหลือง ทองแดง อันได้แก่ ฆ้องวงหรือเจวาย ฆ้อง
ใหญ่หรือมอง ฉิ่งหรือซี ฉาบหรือลินกวีน กังสดาลหรือเจซี ฉิ่งและฉาบพม่ามีลักษณะ
น่าสนใจและแปลกกว่าของไทย ฉิ่งมีขนาดประมาณ 5 – 14 นิ้ว พม่าจัดเป็น
ประเทศที่มีชื่อเสียงในเรื่องเครื่องดนตรีประเภทโลหะโดยเฉพาะฆ้องโหม่ง ซึ่งมี
คุณภาพเสียงที่ดีมากกว่าฆ้องของกลุ่มอื่นๆ ที่ทำใช้กันในภูมิภาคนี้ แม้แต่ฆ้องที่ใช้
ตีประโคมงานพิธีสำคัญของไทยก็ยังเป็ นฆ้องโหม่งที่นำเข้ามาจากพม่าตั้งแต่สมัย
อดีต ในปัจจุบันฆ้องพม่ายังเป็นที่นิยมใช้ในภาคกลางและภาคเหนือของไทย โดย
หาซื้อได้ง่ายตามด่านชายแดนทั่วไป มีแหล่งใหญ่อยู่ที่ด่านชายแดนอำเภอแม่สาย
จังหวัดเชียงราย

5

โจ
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายของพม่านั้น เมื่อเทียบกับเครื่องดนตรีไทย

แล้วถือว่ามีจำนวนไม่มาก เนื่องจากเครื่องสายที่ยังคงนิยมใช้กันในพม่า ปัจจุบัน
เหลือเพียงพิณซาวก้าว หรือพิณโค้งเท่านั้น นอกเหนือจากพิณแล้ว ในอดีตยังมี
เครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายอีกหลายชิ้นอาทิ ตะยอ เป็นเครื่องสีชนิดหนึ่ง วิธีเล่น
คล้ายซอของไทย แต่มีรูปร่างคล้ายไวโอลินมีทั้งแบบ 2 สาย และ 3 สาย ฮอร์นตะ
ยอ เป็นเครื่องดนตรีลูกผสมระหว่างไวโอลีนและแตรมี 4 สาย ภาษาไทยเรียกว่าไว
โอลีนปากแตร มิจาว เป็นเครื่องดนตรีที่มีรูปร่างเป็นแบบจะเข้ เวลาเล่นต้องวาง
ระนาบกับพื้น มี 3 สาย เครื่องดนตรีทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นเครื่องดนตรีจาก
วัฒนธรรมมอญ ที่ปัจจุบันทั้งเครื่องดนตรีและผู้เล่นเหลืออยู่น้ อยมาก ซึ่งส่วนใหญ่มี
ตามชุมชนรอบนอก เช่น รัฐมอญ รัฐฉาน เป็นต้น

ตะเหย่
ตะเหย่หรือเครื่องดนตรีประเภทเครื่องหนัง อันได้แก่กลองชนิดต่างๆ พม่าเรียก

ว่าโบ่ง แหล่งการผลิตกลองที่สำคัญของพม่าอยู่ที่ตำบลมะเกว เมืองมีนละ ในอดีตที่
นี่เคยเป็นชุมชนที่มีอาชีพเป็นช่างทำกลอง อาศัยอยู่ริมแม่น้ำซึ่งสะดวกต่อการเดิน
ทางขนส่งกลองสู่ตลาด จนชาวพม่าเรียกแม่น้ำแห่งนี้ว่าแม่น้ำโอซี ซึ่งหมายถึงแม่น้ำ
กลอง ช่างทำกลองชาวพม่ามีความพิถีพิถันในการทำกลองเป็นอย่างมาก เพื่อได้มา
ซึ่งกลองที่มีคุณภาพ รูปทรงสวยงาม เสียงดีและคงทน โดยจะเลือกไม้ที่มีคุณภาพ
มาทำ เช่นไม้สะเดา ไม้ประดู่ ไม้จามจุรี ไม้ต่างๆ เหล่านี้ชาวพม่าถือว่าเป็นไม้มงคล
ของพม่า เมื่อนำมาทำกลองแล้วจะทำให้เกิดเสียงกลองที่เป็นมงคลแก่ผู้ตีและผู้ฟัง
ส่วนหนังที่ใช้ในการขึงหน้ ากลองนิยมใช้หนังวัวมากที่สุด นอกจากหนังวัวยังมีหนัง
กวาง และหนังแพะบ้าง กลองพม่ามีลักษณะพิเศษคือการทำ “ถ่วงกลอง” ที่ต้องทา
ยางรักลงไปก่อนตรงบริเวณศูนย์กลางของหนังหน้ ากลอง กว้างประมาณ 2 ใน 3
ส่วนของหน้ ากลอง ด้วยเหตุผลคือ เพื่อรักษาหน้ ากลองให้คงทนยาวนาน และยัง
ช่วยให้กลองมีเสียงดีมีคุณภาพตามต้องการถ่วงกลองแบบโบราณของพม่า ทำจาก
ข้าวสวยบดกับขี้เถ้าไม้มะขามบดบนไม้กระดานจนได้เนื้อเหนียวเกาะกันดี มีความ
ฝาดน้ อย และยังเก็บไว้ใช้ได้นาน 3 – 5 วัน เมื่อถ่วงกลองมีคุณภาพดีก็จะส่งผลให้
เสียงกลองมีคุณภาพตามไปด้วย ส่วนถ่วงกลองที่นิยมใช้กันในเป็นส่วนผสมระหว่าง
แป้ งชนิดหนึ่งที่นำมาผสมสีนวดกับน้ำและเก็บไว้ใช้ได้นานเป็นปีๆ ถ่วงกลอง
ประเภทนี้มีขายทั่วไปตามท้องตลาดราคาประมาณก้อนละ 5 บาทหรือ 150 จั๊ต สูตร
ผสมของถ่วงกลองประเภทนี้ช่างชาวพม่าถือว่าเป็นสูตรลับจึงไม่มีการเปิดเผย ถ่วง
กลองทั้ง 2 ชนิดนี้มีคุณสมบัติของความเค็มสูง ทำให้หน้ ากลองชำรุดได้ง่าย

6

เหล่
คำว่า เหล่ ในภาษาพม่าหมายถึง ลม แต่ในที่นี้มีความหมายว่าเป็นเครื่องดนตรี
ที่ต้องใช้ลม หมายถึง เครื่องเป่า ซึ่งในพม่านั้นมีอยู่ 2 ชนิด คือ ขลุ่ยหรือปะลเว
และปี่หรือแน เครื่องดนตรีทั้ง 2 ชนิดนี้มักใช้เล่นประสมวงกับวงดนตรีอื่นๆ กล่าว
คือ ขลุ่ยพม่ามักจะใช้บรรเลงเดี่ยวควบคู่กันกับเครื่องดนตรีที่ใช้แสดงเดี่ยว เช่น
พิณหรือระนาด ซึ่งพม่าเรียกว่า ปัตตะลา ใช้ขลุ่ยเป็นตัวประสานเพื่อให้เครื่องดนตรี
ที่บรรเลงเดี่ยวอยู่นั้นเด่นชัดขึ้น แต่ในขณะเดียวกันขลุ่ยจะทำหน้ าที่เป็นนักร้องคลอ
เบาๆไปกับเครื่องเดี่ยว เพราะสำเนียงการเป่าขลุ่ยของพม่าจะเป็นการเป่าเลียน
สำเนียงนักร้อง คล้ายการสีซอสามสายของไทย ส่วนปี่แนของพม่ามีอยู่ 2 ขนาดคือ
แนเล็กที่เรียกว่า แนกะเล และแนใหญ่ ที่เรียกว่า แนจี ตัวแนทำมาจากไม้ประดู่หรือ
ไม้ชิงชัน เหลากลึงจนได้รูปทรงคล้ายปี่มอญหรือปี่แนแบบทางภาคเหนือ มี 8 รู ตัว
ลำโพงของแนเล็กในอดีตมักจะทำมาจากไม้ยะมเหน่แล้วลงรักปิดทอง แต่ปัจจุบัน
นิยมใช้แผ่นโลหะทองเหลืองหรือทองแดงแบบแนใหญ่แทน ส่วนลิ้น กำพวดและ
ส่วนอื่นๆ คล้ายกับปี่แนของภาคเหนือ ในการเล่นประสมวงปี่พาทย์พม่าจะต้องมีปี่
แนเล็กและใหญ่เป่าควบคู่กันเสมอ เช่นเดียวกันกับปี่แนที่ใช้ในภาคเหนือที่ได้รับ
อิทธิพลโดยตรงจากพม่า สมัยที่พม่ายังปกครองล้านนาช่วงพุทธศตวรรษที่ 21 – 23
ซึ่งหลักฐานทางประวัติศาสตร์พบว่าก่อนหน้ านี้ชาวล้านนาเรียกปี่แนว่า สรไน หรือ ปี่
สรไน
โค่ว
คำว่าโค่ว หมายถึง ตี เคาะ แต่มิได้หมายเฉพาะหมวดของเครื่องประกอบ
จังหวะเท่านั้น เนื่องจากหมวดนี้ชาวพม่ายังรวมระนาดหรือปัตตะลาอีกด้วย ใน
หมวดของเครื่องประกอบจังหวะพม่านั้นมีอยู่หลายชนิด คือ ฉาบเล็ก ฉาบใหญ่ ฆ้อง
โหม่ง กรับ เกราะ ฉิ่งเล็ก (ใช้ในวงเครื่องบรรเลงควบคู่กับกรับ) ฉิ่งใหญ่ ไม้เหิบ
กลองแผง กลองใหญ่ (คล้ายกลองตะโพน) เครื่องประกอบจังหวะหรือเครื่องเคาะ
ต่างๆ เหล่านี้ล้วนเป็นส่วนสำคัญในวงดนตรีและการแสดงฟ้ อนรำของพม่า

7

ตัวอย่างเครื่องดนตรี

ตะยอ

เจวาย

ปัตตลา

8

โอกาสที่ใช้ในการแสดง



•ซะปแว

เมื่อมีงานบุญที่ไหนก็จะต้องได้ดูลิเกพม่าที่นั่น ควบคู่ไปกับการแสดงหุ่นชัก
เนื้อเรื่องส่วนหนึ่งที่ซะปแวนำมาแสดงไม่ต่างไปจากหุ่นชัก คือมาจากนิทาน
ชาดก ที่ต่างกันอยู่ตรงผู้แสดงระหว่างคนกับหุ่นชัก อันที่จริงชาวไทใหญ่ก็มี
การแสดงที่เหมือนซะปแว ซึ่งเรียกว่า จ้าดไต โดยเรียก ซะปแวว่า จ้าด
พม่า ซึ่งคำว่า ซะ หรือ จ้าด มาจากคำว่า ชาตก หรือ ชาดก ในภาษาไทย

•โย่วเต

หุ่นชักพม่าเป็นศิลปะที่นิยมในราชสำนักพม่า เป็นการแสดงที่สื่อถึงนัยยะ
สำคัญทางการเมือง เรื่องราวต่างๆ ในราชสำนักที่ไม่สามารถพูดถึงอย่าง
ตรงไปตรงมาได้
มักนิยมเขียนบทขึ้นเพื่อแสดงเอง เนื้อหาในการเล่นหุ่นมักเป็น ชาดก
นิทานพื้นบ้าน ตำนานเกี่ยวกับนัตหรือองค์เจดีย์ เรื่องราวบางส่วนที่
เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์พม่า และ รามายณะ

•อะเญ่ย

นักท่องเที่ยวสามารถพบเห็นการแสดงอะเญ่ยนี้ได้ตามงานวัดทั่วไป
เช่นเดียวกับการแสดงอื่นๆ

9

อ้างอิง

http://tecs4.com/intranet/course/detail-user.php?
id=59&fbclid=IwAR1oZaaEbS3FrkUVlWBLlFrkzgDIzuRH1A
T2sIOGy5BJpkWBadl6hmMyIBo

http://tecs4.com/intranet/course/detail-user.php?
id=59&fbclid=IwAR1oZaaEbS3FrkUVlWBLlFrkzgDIzuRH1A
T2sIOGy5BJpkWBadl6hmMyIBo

https://sites.google.com/dei.ac.th/ws31003t/%E0%B8%9A
%E0%B8%97%E0%B8%97-3-
%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8F%E0%B8%A8%
E0%B8%A5%E0%B8%9B/%E0%B9%80%E0%B8%A3%E
0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97-3-
%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%8F%E0%B8%A8%
E0%B8%A5%E0%B8%9B%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E
0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0
%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%
B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9
%84%E0%B8%97%E0%B8%A2?
fbclid=IwAR0oJwyFHHYi2PxxjLLYvMjQavPyh8YhlPdHH6e
7xbHcGt4_5k0bXYzTAek

10

สมาชิก




1.นายนันทพงศ์ พุฒด้วง เลขที่ 1

2.นายนนทพัฒน์ วินิจผล เลขที่ 4

3.นายวัชรินทร์ คงเซ็น เลขที่ 9

4.นางสาวกิตติวรา หงษ์ทอง เลขที่ 14

5.นางสาวญาณิศา ตุ้งซี่ เลขที่ 20

6.นางสาวณัฐมน ทิพย์กองลาศ เลขที่ 23

7.นางสาวพัทธนันท์ ดำโอ เลขที่ 29

8.นางสาวพิชญธิดา รักดี เลขที่ 30

9.นางสาววิรากานต์ สงพุ่ม เลขที่ 35

10.นางสาวสิริรัตน์ คำแก้ว เลขที่ 38

ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/6

10


Click to View FlipBook Version