The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Sophanat Jarernroob, 2023-07-11 23:29:45

รูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ไทย

รูปแบบการแสดงนาฏศิลป์ไทย

รูปแบบการแสดง นาฏศิลป์ไทย


ละครเป็นส่วนหนึ่งของนาฏศิลป์ไทย เกิดจากวัฒนธรรม และความเป็นอยู่ของคนในสมัยต่าง ๆ สื่อสารผ่านภาษาท่า โดยมีนาฏศิลป์ที่เกิดขึ้นในรูปแบบ ดั้งเดิม คือละครรำ ละครไทยแบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้2 ประเภท คือ ละครรำ และละครที่ไม่ใช่ละครรำ


ละครชาตรี ละครนอก ละครใน ละครดึกดำ บรรพ์ ละครพันทาง ละครเสภา


เป็นละครเก่าแก่ หรือ เป็นต้นเค้าละครประเภทอื่น ๆ มีกำ เนิดมาตั้งแต่สมัยอยุธยา การแสดงมักเล่าเรื่องของกษัตริย์ จึงออกเสียงอย่างสันสกฤตแล้วเพี้ยนเป็นฉัตรีและชาตรี คำ ว่า “ชาตรี” มักเป็นคำ ที่นิยมเรียกกันแต่ในภาคกลาง ส่วนภาคใต้จะเรียกว่า “โนรา


วิธีการแสดงแต่เดิมมีผู้แสดง 3ตัวคือ ตัวนายโรงตัวนางและตัวตลก ผู้แสดงเป็นชายล้วน ละครชาตรีมีปี่นอกดำ เนินทำ นอง และมีเครื่องประกอบจังหวะ ส่วนโนราจะใช้เสียงซอ หรือปี่ ไม่ใช้ระนาด


การแต่งกาย ถ้าเป็นละครโนราแต่งแบบโนรา ส่วนละครชาตรีแต่งยืนเครื่องพระ-นาง เรื่องที่แสดงสมัยโบราณนิยมแสดงเรื่องมโนราห์ และเรื่องรถเสน ต่อมาเรื่องที่แสดง มักเป็นเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เช่น แก้วหน้าม้า พิกุลทอง


เป็นละครที่ปรับปรุง มาจากละครโนรา-ชาตรี มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยา วิธีการแสดงแต่เดิมใช้ผู้ชายแสดงล้วน การดำ เนินเรื่องรวดเร็ว ตลกขบขัน คำ ที่ใช้เป็นคำ ตลาดไม่เคร่งครัดต่อระเบียบแบบแผนจารีตประเพณี ผู้แสดงละครนอกจะต้องมีความคล่องแคล่ว สามารถหาคำ พูดมาใช้ในการแสดงอย่างทันเหตุการณ์ เพราะขณะแสดงต้องเจรจาเอง ในสมัยต่อมามีผู้หญิงแสดงร่วมด้วย


การแต่งกายในระยะแรกแต่งตัวอย่างคนธรรมดาสามัญ ต่อมามีการแต่งกายให้งดงามมากขึ้น เพราะเลียนแบบมาจากละครใน เรียกการแต่งกายลักษณะนี้ว่า “ยืนเครื่อง”


ดนตรีและเพลงร้อง มักใช้ปี่พาทย์เครื่องห้าหรือเครื่องคู่ เพลงร้องเป็นเพลงชั้นเดียวหรือเพลงสองชั้น ที่มีจังหวะกระชับรวดเร็ว มักมีคำ ว่า “นอก”ต่อท้าย มักเป็นเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เรื่องที่แสดง เช่น คาวี พิกุลทอง มณีพิชัย


เป็นละครที่เกิดขึ้นหลังละครนอก เดิมเรียกว่าละครข้างใน ละครนางในหรือละครในพระราชฐาน และแสดงในพระราชฐานเท่านั้น ต่อมาเรียกให้สั้นลงจึงเหลือแต่“ละครใน”


วิธีการแสดงละครในเป็นละครที่มีแบบแผนเฉพาะตัว เน้นความงดงามของท่ารำ กระบวนการรำ ต้องพิถีพิถัน มีความอ่อนช้อย บทกลอนที่ใช้ต้องเลือกสรรบทกลอน ที่มีสำ นวนสละสลวย เพลงที่ขับร้องเน้นความไพเราะ เป็นสำ คัญ


การแต่งกาย พิถีพิถันตามแบบเครื่องต้น เครื่องทรงของกษัตริย์ เรียกว่า การแต่งกายยืนเครื่อง ดนตรีและเพลงร้อง นิยมใช้ปี่ช้ปี่ พาทย์เครื่องคู่ส่วนเพลงร้องมีทำ นองและจังหวะช้า มีคำ ว่า “ใน”ต่อท้ายเพลง เช่น ช้าปี่ใน โอ้โลมใน เรื่องที่แสดง มีเพียง 3 เรื่องคือรามเกียรติ์อุณรุท และอิเหนา


เกิดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ให้กำ เนิดละครดึกดำ บรรพ์ คือ เจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ (ม.ร.ว. หลาน กุญชร)


ดนตรีและเพลงร้อง ใช้ปี่พาทย์ดึกดำ บรรพ์ ซึ่งเป็นวงดนตรีที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ โดยยึดปี่พาทย์เครื่องใหญ่เป็นหลัก ตัดเครื่องดนตรีที่เสียงแหลม เช่น ฆ้องวงเล็ก และระนาดเอกเหล็กอ่อน


การแต่งกายยืนเครื่องพระ-นาง วิธีการแสดง ผู้แสดงต้องร้องเองรำ เอง ไม่มีการบรรยายกิริยาของตัวละคร ผู้ดูต้องติดตามฟังการร้อง เรื่องที่แสดงส่วนมากเป็นเรื่องเดียวกับละครนอก-ละครใน เรื่องบทโขนของเดิม เช่น สังข์ทองสังข์ศิลป์ชัย คาวีบทแทรกเจรจาของผู้แสดงเอง มีการสร้างฉากตามท้องเรื่อง


เกิดใน สมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงดัดแปลง จากการแสดงละครของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธำ รง (เพ็ง เพ็ญกุล)


ซึ่งท่านได้เห็นละครของยุโรปจึงนำ ละครนอก ละครใน มาปรับปรุง โดยนำ พงศาวดารของชาติต่าง ๆ มาแสดง ทรงปรับปรุงเพลงและวิธีการแสดงใหม่ โดยนำ ศิลปะทางเพลงดนตรีและ การขับร้องกับการฟ้อนรำ ประเภทต่าง ๆ มาผสมด้วย


การแต่งกาย แต่งกายตามลักษณะเชื้อชาติของเรื่องที่แสดง เช่น ถ้าแสดงเรื่องเกี่ยวกับลาวก็แต่งแบบลาว ดนตรีและเพลงร้อง ใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่และ เพิ่มเครื่องภาษาเข้าไปด้วย


วิธีการแสดง การใช้ท่ารำ ไทยผสมกับลีลาของชนชาติต่าง ๆ ตามท้องเรื่องนั้น มีบทเจรจาสำ เนียงของชาติต่าง ๆ ดำ เนินเรื่องรวดเร็ว เรื่องที่แสดง มีการแสดงเรื่องที่เป็นพงศาวดาร ของชาติต่าง ๆ เช่น พระลอราชาธิราชลาว


ละครเสภา เป็นละครที่เกิดขึ้นใหม่ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงปรับปรุงการแสดงละครชนิดนี้ โดยนำ การแสดงเสภารำ มาผสมกับละครพันทาง


การแต่งกายแต่งตามท้องเรื่องเหมือนกับละครพันทาง ดนตรีและเพลงร้อง นิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องคู่ เพลงที่ใช้มีลักษณะคล้ายกับละครพันทาง แต่มีการขับเสภาและขยับกรับประกอบการขับเสภา แทรกอยู่ในเรื่องตลอดเวลา


เรื่องที่แสดง นำ มาจากนิทานพื้นบ้าน นิยมแสดงเรื่องไกรทองและขุนช้างขุนแผน บทกลอนว่าครานั้น ปางนั้น


ละครพูด ละครร้อง ละครสังคีต


เป็นละครแบบใหม่ ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก ใช้การร้องในการดำ เนินเรื่องราว มี 2 ประเภท คือ 1.ละครร้องล้วน ๆ หรือละครร้องแบบรัชกาลที่ 6 ผู้ให้กำ เนิดละครประเภทนี้ คือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเลียนแบบจากละครอุปรากรที่เรียกว่า โอเปอเรติก ลิเบรตโต


วิธีการแสดง เป็นละครที่ดำ เนินเรื่องด้วยการร้อง ไม่มีคำ พูดแทรก เล่าเรื่องเป็นเพลงแทนการเจรจา ใช้ท่าทางแบบสามัญชน อาจมีการรำ แทรกบ้าง การแต่งกายแต่งกายตามท้องเรื่อง


ดนตรีและเพลงร้อง ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม เล่าเรื่องเป็นทำ นอง แทนการพูดใช้ลูกคู่ร้องประกอบการแสดง มีการเปลี่ยนฉากตามท้องเรื่อง เรื่องที่แสดง ได้แก่ สาวิตรี เป็นละครร้องล้วนๆ เรื่องเดียวที่ไม่มีบทพูดเเทรกอยู่เลย


หรือละครร้องแบบกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิประพันธ์พงศ์ ทรงดัดแปลงนำ เค้ามาจากการแสดงของชาวมลายู ที่เรียกว่า“บังสาวัน”หรือ“มาเลย์โอเปร่า” ละครร้องสลับพูดนี้เกิดขึ้นพร้อมกับละครร้องล้วนๆ แต่ได้รับความนิยมมากกว่า


วิธีการแสดง ใช้การขับร้องดำ เนินเรื่อง มีพูดสลับเจรจา สอดแทรกเพื่อทบทวนบทที่ผู้แสดงร้องมาแล้ว ถ้าตัดบทพูดออกก็ไม่เสียความใด ๆ ใช้กิริยาท่าทาง อย่างสามัญชนตามธรรมชาติซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ทรงเรียกว่า “ละครกำ แบ”


ดนตรีและเพลงร้อง ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องเกริ่นเรื่องและดำ เนินเรื่อง ถ้าบทนั้นเป็นคำ พูดของตัวละคร ผู้แสดงตัวนั้นจะต้องร้องเอง แต่ร้องเฉพาะที่เป็นถ้อยคำ เท่านั้น ส่วนการเอื้อนลูกคู่จะเป็นผู้ร้องแทรกให้


การแต่งกายแต่งตามท้องเรื่อง คำ นึงถึงฐานะของตัวละคร เรื่องที่แสดง เป็นเรื่องของสามัญชน เช่น ตุ๊กตายอดรัก ขวดแก้วเจียระไน สาวเครือฟ้า


เป็นละครที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงริเริ่มขึ้น มีลักษณะคล้ายกับละครร้องแต่จะมีบทร้องและบทเจรจาเท่ากัน จะตัดสิ่งใดสิ่งหนึ่งออกไม่ได้


วิธีการแสดง ใช้ผู้แสดงชายและหญิงแสดงจริง ผู้แสดงจะต้องร้องเอง มุ่งความไพเราะของบทเพลง มีเครื่องแต่งกาย และฉากงดงาม


การแต่งกายแต่งตามท้องเรื่องคำ นึงถึงฐานะของตัวละคร ดนตรีและเพลงร้อง ใช้วงปี่พาทย์ไม้นวม ผู้แสดงต้องร้องและเจรจาเอง เรื่องที่แสดง เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ หนามยอกเอาหนามบ่ง วิวาหพระสมุทร มิกาโดและวั่งตี่


เป็นละครที่ใช้การพูดดำ เนินเรื่อง ผู้ที่ริเริ่มละครพูดคือ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ครั้งยังทรงดำ รงตำ แหน่งสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ ละครนี้เป็นที่นิยมมาก ในสมัยรัชกาลที่ 6แบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือละครพูดล้วนๆ ละครพูดสลับลำ ละครพูดแบบร้อยกรอง


ละครพูดล้วน ๆ ดำ เนินเรื่องด้วยวิธีการพูด ถ้าเป็นบทที่คิดอะไรอยู่ในใจ ก็ใช้วิธีป้องปากพูดกับผู้ดู แล้วสมมุติว่าตัวแสดงอื่น ๆ ไม่ได้ยิน ใช้ท่าทางประกอบตามธรรมชาติ ละครพูดแบบร้อยกรอง ดำ เนินการพูดแต่เป็นการพูด เป็นคำ กลอน การออกเสียง เหมือนพูดร้อยแก้ว แต่มีจังหวะ วรรคตอนเรื่องด้วย ละครพูดสลับลำ เป็นละครที่มีเพลงเข้ามาแทรก การดำ เนินเรื่องอยู่ที่การพูด บทร้อง เป็นเพียงส่วนเสริมความ ยํ้าความ ประกอบเรื่อง ถ้าตัดบทร้องออก ก็ไม่ทำ ให้เนื้อเรื่องเสีย


การแต่งกายแต่งตามเนื้อเรื่อง เหมาะสมตามสภาพจริงและบุคลิกของตัวละคร เรื่องที่แสดง 1.ละครพูดล้วน ๆ เรื่องที่แสดงเรื่องแรก คือโพงพาง 2.ละครพูดสลับลำ เรื่องที่แสดง ได้แก่ ชิงนางและปล่อยแก่ของนายบัวทองอิน 3.ละครพูดแบบร้อยกรอง เรื่องที่แสดง ได้แก่ เวนิสวานิช เป็นละครพูดแบบคำ กลอน เรื่องมัทนะพาธา เป็นละครพูดแบบคำ ฉันท์


Click to View FlipBook Version