The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

E-book abstracts<br>การนำเสนอผลงานวิชาการการประชุมวิชาการสัญจร ครั้งที่ 3 ประจำปี 2566<br>สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย ฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br> เรื่อง การจัดเตรียมผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการทางการพยาบาล เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น<br>วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ณ ห้องประชุมภูหลวง โรงพยาบาลเลย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Thidaratana Lertwittayakul, 2023-12-16 08:35:02

E-book abstracts

E-book abstracts<br>การนำเสนอผลงานวิชาการการประชุมวิชาการสัญจร ครั้งที่ 3 ประจำปี 2566<br>สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทย ฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br> เรื่อง การจัดเตรียมผลงานวิจัยและผลงานทางวิชาการทางการพยาบาล เพื่อก้าวสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้น<br>วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 ณ ห้องประชุมภูหลวง โรงพยาบาลเลย

บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 30 ข้อเสนอแนะในการนําผลการศึกษาไปใช้ 1) พัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิคการพยาบาลหญิงตั้งครรภ์ที่มีภาวะความดันโลหิตสูงให้สอดคล้องกับ แนวทางการรักษาของสูติแพทย์ 2) ศึกษาเปรียบเทียบ ภาวะแทรกซ้อนจากการให้ยาmg So4 และการจัดทำสัญญาณเตือนอันตราย (early warning sign) เพื่อเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน คำสำคัญ : การพยาบาลความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรงขณะตั้งครรภ์: มารดาตั้งครรภ์: ภาวะแทรกซ้อน


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 31 029 การพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อรุนแรงบริเวณช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกในโพรงใต้คางที่มารับการให้ยาระงับ ความรู้สึกเพื่อระบายหนอง Nursing Anesthesia for Ludwig’s Angina c tongue abscess: กรณีศึกษา ปุณยาภรณ์ วิสุทธิญาณภิรมย์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ:ผู้ป่วยโรคติดเชื้อรุนแรงบริเวณช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกในโพรงใต้คางที่มารับ การให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อระบายหนอง พบอุบัติการณ์ใส่ท่อช่วยหายใจยาก เนื่องจากเป็นการติดเชื้อของ ช่องว่างที่อยู่บริเวณคอตั้งแต่ใต้ฐานกะโหลกลงมา เป็นภาวะฉุกเฉิน คุกคามต่อชีวิต ภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ คือการอุดกั้นทางเดินหายใจส่วนบนการติดเชื้อลุกลามเข้าช่องอกและภาวะช็อกจากการติดเชื้อเกิด ภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายกว่ากลุ่มผู้ป่วยปกติ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคติดเชื้อรุนแรงบริเวณช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกในโพรงใต้ คางที่มารับการให้ยาระงับความรู้สึกเพื่อระบายหนอง วิธีดำเนินการศึกษา:เลือกกรณีศึกษา: เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วย ผลตรวจทางห้องปฏิบัติการ คลื่น หัวใจ ผลตรวจทางรังสี แผนการรักษา นำมาวิเคราะห์วางแผนการพยาบาลตามมาตรฐาน ประเมินผลและ สรุปผลการศึกษา ผลการศึกษา:ผู้ป่วยเพศชาย อายุ 54 ปี ติดเชื้อจากฟันกรามขวา และลิ้น ได้รับการรักษาโดยการ ผ่าตัดระบายหนองออก โดยการให้ยาระงับความรู้สึกแบบผู้ป่วยรู้สึกตัว พบอุบัติการณ์หักงอของส่วนปลาย fiber optic ทำให้ไม่สามารถใส่ท่อได้ ประเมินผู้ป่วยและเลือก Hyper angulated Video laryngoscopy c Blind nasal tracheal tube ได้สำเร็จ ผ่าตัดได้ราบรื่น ข้อเสนอแนะ: การวินิจฉัย การประเมินผู้ป่วย การวางแผน และการเตรียมอุปกรณ์และการเตรียมทีม ที่เหมาะสมจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจาการใส่ท่อช่วยหายใจยากในผู้ป่วยติดเชื้อ Ludwig’s angina ได้ คำสำคัญ: โรคติดเชื้อรุนแรงบริเวณช่องเยื่อหุ้มคอชั้นลึกในโพรงใต้คาง,การให้ยาระงับความรู้สึก


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 32 030 การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน : กรณีศึกษา นงลักษณ์ ลังโคกสูง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ กลุ่มงานบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: โรคหลอดเลือดสมอง ถือว่าเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของทั่วโลก ที่มีความรุนแรงสูงถึงขั้นเสียชีวิตหรือเกิดความพิการระยะยาว ต้องอาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นตลอดชีวิต เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่บ้าน และส่งเสริมให้ผู้ป่วย ญาติ/ผู้ดูแลสามารถดูแลตนเองได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ยอมรับต่อสภาพความเจ็บป่วย รวมถึงไม่เกิด ภาวะแทรกซ้อน วิธีดำเนินการ: เลือกกรณีศึกษาจากผู้ป่วยที่จำหน่ายจากโรงพยาบาล และยังพบปัญหาที่ต้องติดตาม ดูแลต่อเนื่อง ที่บ้าน ช่วงปี 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วยแบบบันทึกข้อมูล รวบรวมข้อมูล จากเวชระเบียนผู้ป่วย สัมภาษณ์ญาติ และสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์เปรียบเทียบ ค้นหาปัญหาและ ข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล วางแผน และปฏิบัติการพยาบาลติดตามต่อเนื่องที่บ้าน ผลการศึกษา:ผู้ป่วยหญิงไทย อายุ 86 ปี มีประวัติโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลด้วยอาการปากเบี้ยว แขนขาซีกซ้ายอ่อนแรง พูดไม่ชัด แพทย์วินิจฉัยว่าเป็น หลอดเลือดสมองตีบร่วมกับมีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว หลังจำหน่ายจากโรงพยาบาล ผู้ป่วยมีอาการของ Recurrent stroke 2 ครั้ง และพบความพิการเพิ่มขึ้น ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ ต้องมีผู้ดูแลปฏิบัติกิจวัตร ประจำวันทั้งหมด ปัญหาที่พบคือมีโอกาสเกิดหลอดเลือดสมองตีบซ้ำ ผู้ป่วยมีภาวะซึมเศร้าเนื่องจาก ภาพลักษณ์ที่เปลี่ยนไป รวมถึงญาติขาดความรู้ในเรื่องของการดูแลผู้ป่วย เสี่ยงต่อการเกิดแผลกดทับ เสี่ยงต่อ การเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการได้รับยา warfarin เสี่ยงต่อการพลัดตกหกล้ม จากการติดตามเยี่ยมบ้านให้ การพยาบาลตามทฤษฎีทางการพยาบาล ที่บ้านเป็นเวลา 4 เดือน พบว่าความสามารถในการช่วยเหลือตนเอง ของผู้ป่วยเพิ่มขึ้น แขนขามีกำลังเพิ่มขึ้น ไม่เกิดภาวะแทรกซ้อนจากพยาธิสภาพของโรคและการรักษาพยาบาล ผู้ป่วยและญาติไม่มีภาวะซึมเศร้า สามารถปรับตัวอยู่ในสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนไปได้ แต่ญาติยังคงต้อง ดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันการพลัดตกหกล้ม


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 33 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: ในการศึกษาครั้งนี้ทีมสุขภาพควรมีแนวทางการดูแลผู้ป่วย แบบ สหสาขาวิชาชีพ มีการติดตามผู้ป่วยหลังจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนการมีส่วนร่วมในการดูแล ของภาคีเครือข่าย และมีการติดตามประเมินความรู้ความสามารถของผู้ดูและระบบให้คำปรึกษาเมื่อผู้ดูแลพบ ปัญหา คำสำคัญ:โรคหลอดเลือดสมอง,การพยาบาลที่บ้าน


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 34 031 การพยาบาลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดSTยก ที่ได้รับยาละลายลิ่มเลือด(SK) : กรณีศึกษา ฐานิตา ซึ่งพรหม พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ งานอุบัติเหตุฉุกเฉินและนิติเวช โรงพยาบาลขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ บทนำ: โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน(ACS)เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตทั่วโลก และมี แนวโน้มเพิ่มขึ้น เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน และพบว่าในประเทศไทยผู้ป่วยโรคACS ประมาณร้อยละ 67 เป็นชนิด STยก(STEMI) ซึ่งเป็นโรคที่โรงพยาบาลทุติยภูมิส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยSK โดยรับการปรึกษาผ่านโรงพยาบาล แม่ข่าย จากสถิติปี 2564-2566 โรงพยาบาลขามสะแกแสงมีผู้ป่วยSTEMI จำนวน 13 ราย,14ราย และ15 ราย ตามลำดับ ได้รับยาSK จำนวน 7 ราย, 4 ราย และ 2 ราย ตามลำดับ เสียชีวิต 2ราย, 2ราย และ 2ราย ตามลำดับ ซึ่งผู้ป่วยโรคนี้ หากได้รับการวินิจฉัย การดูแลรักษาพยาบาลที่ถูกต้องรวดเร็ว และการส่งต่อที่ ทันเวลาจะทำให้ลดอัตราการเสียชีวิต และภาวะทุภพลภาพจากภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการดำเนินการของโรค การรักษา และแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรค กล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดSTยกที่ได้รับยา SK และนำไปประยุกต์ใช้ในหน่วยงานร่วมกับสหสาขา วิชาชีพ วิธีดำเนินการ: เลือกกรณีศึกษาจากผู้ป่วยSTEMIที่ได้รับยาSK ที่มารับบริการที่ห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลขามสะแกแสง ทบทวน ศึกษาค้นคว้าเอกสารวิชาการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเก็บรวบรวม ข้อมูล วิเคราะห์ปัญหา ทบทวนมาตรฐานการพยาบาลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันเฉียบพลัน ชนิดSTยกที่ได้รับยาSK โดยใช้กระบวนการพยาบาล บูรณาการกับแนวคิดการพยาบาลผู้ป่วยวิกฤตตามกรอบ Admission Quick Check Assessment จัดทำเอกสารวิชาการและเผยแพร่ ผลการศึกษา: ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 64 ปีUnderlying DM Type2 with dyslipidemia มา โรงพยาบาลวันที่ 5 มีนาคม 2566 เวลา 12.30 น. ด้วยอาการจุกแน่นใต้ลิ้นปี่และหน้าอกด้านขวาก่อนมา 30 นาที แรกรับที่ ER มีอาการจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เจ็บหน้าอกขวา ร้าวไปหลัง Pain score 8/10 เหงื่อออก ตัวเย็น จ ั ดท ่ านอน Semi-fowler’s position T=36◦ C Pเบา =56/min RR=20/min BP=87/57 mmHg. O2 Sat=99% RA DTX=165 mg% GCS=15 EKGพบ Sinus bradycardia rate =46/min STE at lead I, aVL, V2, V3 STD at lead II, III, aVF แต่EKG ยกไม่ชัดเจน แพทย์ให้repeat EKG อีก 2 ครั้งอีก 5 นาที และ15 นาที ดูแล On 0.9% NSS load 500 ml then 80ml/hr. ฉีดAtropine 0.6 mg iv ส่ง CBC BUN Cr. E’lyte Trop-I CXR EKGค ร ั ้ งท ี ่ 3 พบ STE at I, aVL V3 STD at lead II,III,aVF,V4-6 P=84/min


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 35 RR=20/min BP=102/73 mmHg. Trop-I: neg ปรึกษาแม่ข่าย ให้ ASA (300)1tabเคี้ยว Plavix (75) 4 tab oral Lasix 20mg iv stat Retained Foley’ Cath. ให้ SK 1.5 mu iv drip 1 hr. ดูแลอธิบายแผนการรักษา และภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิด ให้คำแนะนำ เซ็นยินยอมให้การรักษา Monitor V/S ทุก 5 min หลังDrip SK 15 min ผู้ป่วยอาเจียน 1 ครั้งไม่มีเลือดปน BP=82/50 mmHg. P=84/min RR=20/min . O2 Sat=98% ดูแลให้ Levophed (4:100) start 10 ml/hr. titrate keep BP≥90/60 mmHg. หลังได้SKครบEKGซ้ำยังมี STE at lead I, aVL และ STD at lead aVF, V4-6 Pain scoreลดเหลือ2/10 สัญญาณชีพปกติ ดูแลส่งต่อ ตามระบบ Fast Track ถึงรพ.แม่ข่ายอย่างปลอดภัย ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ 1. การพยาบาลผู้ป่วยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดSTยกที่ได้รับยาSK ต้องใช้ความรู้และ ทักษะเฉพาะในการประเมิน คัดกรอง วินิจฉัยทางการพยาบาลได้อย่างรวดเร็ว ให้การพยาบาลและเฝ้าระวัง ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงและมีการประสานงานกับสหวิชาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ จะส่งผลให้ผู้ป่วยปลอดภัย 2. ควรมีการประเมินผลการใช้กระบวนการพยาบาลในระยะวิกฤตเพื่อหาโอกาสพัฒนาให้การ พยาบาลมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นโดยอาจทำเป็น check list ให้ครอบคลุมกระบวนการพยาบาลและครบองค์ รวม คำสำคัญ: โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดSTยก, ยาละลายลิ่มเลือด, กรณีศึกษา


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 36 032 การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือดร่วมกับมีภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว : กรณีศึกษา เอื้อการย์ สุขวัฒน์ โรงพยาบาลขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ โรคหลอดเลือดสมอง มีความรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตหรือพิการ ร้อยละ 87 ของโรคหลอดเลือดสมองเกิดจากการอุดตันจากลิ่มเลือด (thrombus) หรือก้อนเลือด (Embolus) ในผู้ที่มี ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ มีความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดสมองได้มากกว่าคนปกติถึง 5เท่า ทำให้ ค่าใช้จ่ายในระบบสุขภาพเพิ่มขึ้น ดังนั้นการพยาบาลที่มีมาตรฐาน การให้คำแนะนำ ฝึกทักษะในการดูแล ตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติ ลดการกลับเป็นซ้ำและลดภาวะแทรกซ้อนจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก วัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองร่วมกับมีภาวะหัวใจห้องบน สั่นพริ้ว วิธีการดำเนินการ เลือกกรณีศึกษาจากผู้ป่วยในมาดำเนินการค้นคว้าเอกสาร ตำรา งานวิจัย ปรึกษา แพทย์ พยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญ ดำเนินการศึกษาโดยใช้กรอบแนวคิด 11 แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน ทฤษฎีการดูแลตนเองของโอเร็ม หน้าที่ความรับผิดชอบหลักของพยาบาลวิชาชีพ ร่วมกับการใช้กระบวนการ พยาบาลมาสรุปและอภิปรายผลการศึกษา จัดทำเป็นรูปเล่มเผยแพร่ ผลการศึกษา ผู้ป่วยหญิงไทยอายุ86ปีมีโรคประจำตัว Hypertension Dyslipidemia DM Type2 รับReferกลับจากโรงพยาบาลแม่ข่ายด้วยแขนขาซ้ายอ่อนแรง พูดคุยไม่รู้เรื่อง ไม่ทำตามคำสั่งมา 1 วัน DX:Ischemic stroke และมีภาวะ Atrial fibrillationร่วมด้วยจึงDDX: Cardioembolic stroke มีแผนการ รักษาให้ยา warfarin แต่ผู้ป่วยปฏิเสธ นอนรพ. 1วัน Refer กลับรพช. ให้Hydration keep BP, ส่ง PT, Adviceการให้warfarin ต่อ กรณีaccept ให้start day6 แรกรับ E4V4M6 แขนขาซ้ายเกรด3 แขนขวาเกรด4 การพยาบาลเน้นการเฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำร่วมกับการฝึกทักษะการดูแลตนเองให้กับผู้ป่วยและญาตินอน โรงพยาบาล 5 วัน ผู้ป่วยE4V5M6แขนขาซ้ายเกรด3 แขนขวาเกรด5 แพทย์ให้กลับบ้านได้ ให้เริ่มยา warfarin คู่กับ ASA(81) และส่งทีมHHC ติดตามเยี่ยมบ้าน อภิปรายผล/สรุปผล ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มีโรคร่วมเป็นหัวใจห้องบนสั่นพริ้วเสี่ยงที่จะเกิด การอุดตันของหลอดเลือดสมองซ้ำจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาและเฝ้าระวังอาการของโรคและ ภาวะแทรกซ้อนอย่างใกล้ชิด เพื่อให้การช่วยเหลือได้รวดเร็ว ทันท่วงที


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 37 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ควรจัดทำแนวทางปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอด เลือดสมองชนิดขาดเลือดเพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ และป้องกันอันตรายจากการให้ยาละลายลิ่มเลือด คำสำคัญ โรคหลอดเลือดสมอง, การพยาบาล


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 38 033 การพยาบาลผู้ป่วยโรคมะเร็งกล่องเสียงระยะลุกลามและโรคหลอดเลือดสมองขาดเลือด ที่ได้รับการใส่สายให้อาหารทางหน้าท้องด้วยการดูแลประคับประคองแบบผสมผสาน : กรณีศึกษา Nursing care of metastasis stage larynx carcinoma and ischemic stroke Patient with gastrostomy by complementary palliative Care: Case study พรประภา เฉลิมพรไพศาล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ งานการแพทย์ทางเลือก (ฝังเข็ม) โรงพยาบาลเทพรัตน์นครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : ปี พ.ศ. 2563-2564 โรคมะเร็ง และโรคระบบไหลเวียนโลหิตเป็น สาเหตุการเสียชีวิตของคนไทยในลำดับที่1 และ2 ผู้ป่วยที่ไม่เสียชีวิตก็จะกลายเป็นผู้ป่วยโรคเรื้อรัง หลงเหลือ ความพิการ และอาจจะต้องมีการดูแลแบบประคับประคองร่วมด้วย ผู้ดูแลมีส่วนสำคัญในการช่วยฟื้นฟู สมรรถภาพร่างกาย พยาบาลที่ให้บริการต้องมีทักษะในการดูแลที่ซับซ้อนมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการดูแลแบบ องค์รวม และการพยาบาลระยะประคับประคองแบบผสมผสาน วัตถุประสงค์: ให้การพยาบาลผู้ป่วยตามปัญหาที่มีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ปวยอย่าง เหมาะสม เสริมพลังครอบครัว ให้ผู้ป่วยสามารถปรับตัวอย่างเหมาะสมกับสภาวะของโรค และครอบครัวเกิด ความมั่นใจที่จะดูแลผู้ป่วย วิธีดำเนินการ: การศึกษาเชิงพรรณนา เลือกผู้ป่วยแบบเฉพาะเจาะจง เป็นผู้ป่วยที่มารับบริการ ฝังเข็มร่วมรักษาตั้งแต่เดือน กรกฎาคม 2566 ถึง ตุลาคม 2566 จำนวน 1 ราย เก็บข้อมูลจากเวชระเบียน ผู้ป่วย ประเมินอาการผู้ป่วย และสัมภาษณ์ผู้ดูแล นำข้อมูลที่ได้มาวางแผนการพยาบาล ให้การพยาบาล และ ประเมินผลการพยาบาล ผลการศึกษา: ผู้ป่วยชายไทย อายุ 68 ปี มาด้วยอาการแผลเจาะคอมีหนองไหลซึม แผลใส่สายยาง ทางหน้าท้องมีอาหารไหลออกมา ขณะนอนรักษาในโรงพยาบาล มีแขนอ่อนแรงทั้งสองข้างจากมีเส้นเลือด สมองตีบจึงได้รับการฝังเข็มร่วมรักษา หลังจำหน่ายมารับบริการฝังเข็มร่วมรักษาแบบผู้ป่วยนอก ภายใน 3 เดือน พบปัญหาดังนี้ 1)เกิดแผลกดทับบริเวณหลังและก้นกบ 2)มีภาวะติดเชื้อที่แผลท่อหลอดลมคอ จาก ก้อนมะเร็งลุกลาม 3) ไม่สุขสบายจากอาการปวดตามร่างกาย 4) มีอาการอ่อนเพลีย และมีภาวะไม่สมดุลย์ของ สารน้ำและอิเล็คโทรไลต์ในร่างกาย 5) ครอบครัววิตกกังวล มีภาวะเครียด อ่อนหล้า หลังให้การพยาบาล พบว่าผู้ป่วยยังคงมีอาการรบกวนคือ อาการปวด มีแผลกดทับ แผลเจาะคอติดเชื้อ การติดเชื้อดื้อยา ครอบครัว สามารถปรับตัว และมีความมั่นใจในการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองได้อย่างเหมาะสม


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 39 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: พัฒนาแนวปฏิบัติทางการพยาบาลประคับประคองแบบ ผสมผสาน พัฒนาทักษะผู้ดูแลผู้ป่วย ในการดูแลผู้ป่วยที่มีแผลกดทับ หรือแผลอื่นๆในระยะประคับประคอง พัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยระยะประคับประคองต่อเนื่องที่เชื่อมโยงการดูแลที่บ้านโดยการมีส่วนร่วมของ ทีมสหวิชาชีพในชุมชน คำสำคัญ: มะเร็งกล่องเสียงระยะลุกลาม โรคหลอดเลือดสมอง การให้อาหารทางหน้าท้อง การดูแลประคับประคองแบบผสมผสาน การฝังเข็มร่วมรักษา


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 40 034 การพยาบาลผู้ป่วยเลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนต้นที่มีภาวะช็อกจากการเสียเลือด: กรณีศึกษา บุญญาพร โกจินอก พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ เลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น เป็นภาวะฉุกเฉินทาง ศัลยกรรม การวินิจฉัยอย่างถูกต้องรวดเร็ว และการรักษาพยาบาลที่เหมาะสม จะทำให้ผู้ป่วยปลอดภัยจาก ภาวะคุกคามชีวิตได้ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาและพัฒนาระบบการดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยเลือดออกในระบบทางเดิน อาหารส่วนต้นที่มีภาวะช็อกจากการเสียเลือด วิธีการศึกษา เลือกกรณีศึกษา เก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ป่วย ศึกษาค้นคว้าทฤษฎีที่เป็นปัจจุบันและ ทันสมัย ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จากนั้นนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ปัญหา วางแผนการพยาบาล ปฏิบัติการพยาบาล ตามมาตรฐาน ประเมินและสรุปผลการศึกษา ผลการศึกษา ผู้ป่วยชายไทย อายุ 56 ปี มาด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ เหนื่อยเพลีย ก่อนมาโรงพยาบาล 4 ชั่วโมง มีโรคประจำตัว คือ Liver Cirrhosis แพทย์วินิจฉัย Upper Gastrointestinal Bleeding with Hypovolemic Shock ได้รับการประเมินปัญหา วางแผนการรักษาพยาบาลในระยะวิกฤต และการดูแลต่อเนื่องได้แก่ การรักษาพยาบาลเพื่อคงไวซึ่งความสมดุลของสารน้ำในร่างกาย การดูแลและเฝ้า ระวังอันเกิดจากภาวะเนื้อเยื่อของร่างกายได้รับออกชิเจนไม่เพียงพอ การดูแลเพื่อเฝ้าระวังการเกิด ภาวะแทรกซ้อนจากการรักษา รวมถึงได้รับการตรวจพิเศษที่สำคัญคือ Esophagogastroduodeno Scope พบ Esophageal Varices Gr.3, Portal Hypertensive Gastropathy ซึ่งต้องดูแลแนะนำให้ผู้ป่วยและญาติมี ความรู้ ลดความกลัวหรือคลายความวิตกกังวล หลังเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอาการดีขึ้นตามลำดับ แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ รวมระยะเวลารับการรักษา 5 วัน นัดติดตามอาการ 2 สัปดาห์ พยาบาลเตรียม ความพร้อมก่อนกลับบ้าน แนะนำการปฏิบัติตัว การสังเกตอาการผิดปกติ เฝ้าระวังการกลับเป็นซ้ำ ข้อเสนอแนะ การดูแลผู้ป่วยในภาวะวิกฤต ต้องใช้ความรู้ความสามารถด้านการปฏิบัติการพยาบาล พยาบาลผู้ดูแลจึงควรพัฒนาสมรรถนะอยู่เสมอ เพื่อที่จะสามารถปฏิบัติในบทบาทของพยาบาลได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะคุกคามชีวิตและไม่มีภาวะแทรกซ้อนจากการดูแลรักษา คำสำคัญ : การพยาบาล, เลือดออกในระบบทางเดินอาหารส่วนต้น, ภาวะช็อกจากการเสียเลือด


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 41 036 การพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบที่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อ : กรณีศึกษา ยุพิน เพชรน้อย พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : โรคปอดอักเสบในเด็กเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 โดยเฉพาะในกลุ่ม เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี พบได้บ่อยและมีอาการรุนแรง โรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติมีผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ ปี 2564 ,2565 ,2566 จำนวน 357,895,747 และเกิดภาวะช็อก 3,7,5 รายตามลำดับ จากการทบทวนสาเหตุ พบว่าเกิดจากผู้ป่วย/ญาติขาดความรู้ทำให้เข้าถึงบริการล่าช้า อาการไม่ชัดเจน การคัดกรองคลาดเคลื่อน ได้รับ ยาปฏิชีวนะล่าช้า ไม่เหมาะสม จึงมีความจำเป็นที่ต้องปรับกระบวนการพยาบาลเพื่อ เฝ้าระวังไม่ให้ผู้ป่วยเข้าสู่ ภาวะวิกฤตทีมสหสาขาได้ร่วมกำหนดแนวทางการดูแลผู้ป่วย 3 ขั้นตอนดังนี้ 1) การค้นหาผู้ป่วยในระยะเริ่มต้น 2)การรักษาที่ถูกต้อง ทันเวลา3) การทำงานแบบสหสาขาวิชาชีพ พยาบาลมีบทบาทสำคัญในการดูแลผู้ป่วยจึง ต้องมีความรู้และทักษะในการคัดกรอง ดูแล และเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะวิกฤต วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยเด็กโรคปอดอักเสบที่มีภาวะช็อคจากการติดเชื้อ วิธีการดำเนินการ : ศึกษาผลของการพยาบาลโดยใช้ 7 Aspect of care ในเด็กหญิงอายุ 1 เดือน diagnosis pneumonia with septic shock ในระหว่างวันที่ 20-29 กันยายน 2566 รวมวันนอนโรงพยาบาล 9 วัน โดยแบ่งการพยาบาล 3 ระยะได้แก่ 1.การพยาบาลระยะวิกฤต 2. การพยาบาลระยะฟื้นฟูสภาพ 3.การ พยาบาลระยะจำหน่าย ผลการศึกษา :ผู้ป่วยปลอดภัย ไม่มีภาวะแทรกซ้อน ญาติมีความรู้และปฏิบัติตัวได้ถูกต้อง และ พยาบาลมีสมรรถนะในการดูแลผู้ป่วย ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: ควรพัฒนาสมรรถนะพยาบาลให้มีความรู้และทักษะใน การคัดกรอง ดูแล และเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนของโรคปอดอักเสบ เพื่อให้ผู้ป่วยปลอดภัยจากภาวะวิกฤต คำสำคัญ : การพยาบาล โรคปอดอักเสบ ภาวะช็อค


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 42 037 ผลของโปรแกรมการบำบัดแบบจิตสังคมบำบัด (Matrix Program) ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ติดยา เสพติดแบบผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลมุกดาหาร The effect of Martrix program on Quality of Life of Drug Addicts in the Outpatient Department Mukdaharn hospital วรนุช เกราะชูกุล หน่วยงาน : แผนกจิตเวชและยาเสพติด โรงพยาบาลมุกดาหาร บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อประเมินผลจากการปฏิบัติงานการบำบัดรักษายาเสพติดตามรูปแบบ โปรแกรมจิตสังคม (Matrix Program) ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงเชิงปฏิบัติการทางการพยาบาล (Action Research) กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ป่วยยาเสพติดที่เข้ารับการบำบัดยาเสพติด คลินิกบำบัดยาเสพติด โรงพยาบาล มุกดาหาร ระหว่างวันที่ 11 เมษายน 2566 – 30 กันยายน 2566 ที่มีการบันทึกเวชระเบียนครบถ้วน จำนวน 189 คน ได้มาจากการเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม วิเคราะห์ ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูป SPSS ผลการวิจัยครั้งนี้พบว่า ผู้เข้ารับการบำบัดรักษาด้วยโปรแกรมจิตสังคมบำบัดเป็นผู้เข้ารับการบำบัด จำนวน 189 คน จำแนกเป็นระบบสมัครใจ จำนวน 168 ราย คิดเป็นร้อยละ 88.88 ระบบบังคับบำบัด จำนวน 21 ราย คิดเป็นร้อยละ 11.11 สามารถหยุดเสพได้ จำนวน 127 ราย คิดเป็นร้อยละ 67.19 และ กลับไปเสพซ้ำ จำนวน 62 ราย คิดเป็น ร้อยละ 32.80 การวัดคุณภาพชีวิต ก่อนการบำบัด อยู่ในระดับคุณภาพชีวิต ดีปานกลาง จำนวน 108 คน คิดเป็นร้อย ละ 57.14 รองลงมาอยู่ในระดับคุณภาพชีวิตดี จำนวน 67 คน คิดเป็นร้อยละ 35.44 หลังการบำบัด อยู่ใน ระดับคุณภาพชีวิตดีปานกลาง จำนวน 123 คน คิดเป็นร้อยละ 65.07 รองลงมาอยู่ในระดับคุณภาพชีวิตดี จำนวน 56 คน คิดเป็นร้อยละ 29.62 คุณภาพชีวิตโดยรวมทุกด้าน พบว่า มีคุณภาพชีวิตกลางๆ ก่อนการ บำบัดเฉลี่ย 66.72 คะแนน หลังการบำบัดเฉลี่ย 68.27 คะแนน และการจำแนกค่าเฉลี่ยคะแนนคุณภาพชีวิต ออกเป็นรายด้าน พบว่า ด้านสุขภาพกาย มีคุณภาพชีวิตกลาง ๆ ก่อนการบำบัดเฉลี่ย 18.27 คะแนน หลัง การบำบัดเฉลี่ย 20.24 คะแนน ด้านจิตใจ ก่อนการบำบัด มีคุณภาพชีวิตที่ไม่ดีเฉลี่ย 14.97 คะแนน หลัง การบำบัดเฉลี่ย 16.98 คะแนน ด้านสัมพันธภาพทางสังคม มีคุณภาพชีวิตกลาง ๆ ก่อนการบำบัดเฉลี่ย 7.94 คะแนน หลังการบำบัดเฉลี่ย 8.13 คะแนน ด้านสิ่งแวดล้อม มีคุณภาพชีวิตกลาง ๆ ก่อนการบำบัด เฉลี่ย 21.67 คะแนน หลังการบำบัดเฉลี่ย 21.97 คะแนน


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 43 ข้อเสนอแนะ ในการดำเนินกิจกรรมควรมีการยืดหยุ่นปรับลดจำนวนครั้งลง เพื่อให้ผู้เข้ารับการบำบัด สามารถเข้าร่วมกิจกรรมได้อย่างสม่ำเสมอและไม่ส่งผลกระทบต่อการทำงานแต่ยังคงระยะเวลาการบำบัดเท่า เดิม คือ 4 เดือน และพัฒนาศึกษางานวิจัยต่อเนื่อง เรื่องปัจจัยที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ติดสารเสพติด โดย ใช้แบบวัดคุณภาพชีวิตของผู้ติดสารเสพติด คำสำคัญ: โปรแกรมการบำบัดแบบจิตสังคมบำบัด, คุณภาพชีวิต, ผู้ติดยาเสพติดแบบผู้ป่วยนอก


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 44 038 การประยุกต์ใช้แนวคิด Recovery Oriented Services (ROS)ในการพยาบาลผู้ป่วยจิตเภทที่มี พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง(SMI-V) ชุมชนไม่ยอมรับ : กรณีศึกษา ดาวเรือง ฦาชา พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ จ.ชัยภูมิ บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : จิตเภทเป็นโรคทางจิตเวชที่ก่อเกิดความรุนแรง จากการกำเริบซ้ำ บ่อยจากขาดยา ไม่ยอมรับการเจ็บป่วยและมีปัจจัยกระตุ้นจากการใช้สุรา/ยาเสพติดทำให้เกิดอาการหลงผิด หวาดระแวงก่อเหตุรุนแรงทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ในการดูแลผู้ป่วยกลุ่ม SMI-Vสิ่งที่ยุ่งยากที่สุดในช่วงการดูแล คือการจำหน่ายผู้ป่วยลงสู่ชุมชนดังนั้นผู้ศึกษาจึงมีความสนใจที่จะศึกษาปัญหาและนำแนวคิด ROS ไป ประยุกต์ใช้ในการพยาบาล วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาแนวทางการดูแลผู้ป่วย SMI-VตามแนวคิดROS เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถอยู่ใน ชุมชนได้ไม่กลับมาป่วยซ้ำกำเริบซ้ำหรือไม่ก่อรุนแรงซ้ำทั้งต่อตนเองและผู้อื่น วิธีการดำเนินการ : การศึกษารายกรณี 1 รายที่หอผู้ป่วยจิตเวชและยาเสพติด กลุ่มงานการพยาบาล จิตเวชโรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ ช่วงวันที่ 2 ต.ค 66 ถึง 15 ต.ค 66 รวมวันนอน 14 วัน ผลการศึกษา : 1.ญาติรับรู้ถึงอาการของผู้ป่วยมีแนวโน้มดีขึ้นรับรู้ถึงการสำนึกผิดของคนไข้2.ญาติ เข้าใจและมีทักษะการจัดการกับปัญหาพร้อมรับมือกับชุมชน3.สิ่งแวดล้อมเข้าใจและได้รับคำชี้แนะจาก ผู้เชี่ยวชาญ4.มีความพร้อมอย่างเป็นระบบในการจัดการอาการผิดปกติของผู้ป่วยและรับรู้สัญญาณเตือน ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: 1. ควรพัฒนาสมรรถนะพยาบาลให้สามารถปฏิบัติการ พยาบาลอย่างมีประสิทธิภาพตามมาตรฐานวิชาชีพ 2. ควรมีการจัดประชุมทุกภาคส่วนให้มีความรู้และทักษะที่ จำเป็นสำคัญในการดูแลและเฝ้าระวังภาวะฉุกเฉินเพื่อให้ชุมชนสามารถจัดการป้องกัน ดูแลผู้ป่วยได้ คำสำคัญ : โรคจิตเภท พฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรง การพยาบาลจิตเภท


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 45 039 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ:กรณีศึกษา จรัญญา หงษ์คำ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลบัวใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : ผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่เข้ารับการรักษาในหอผู้ป่วยหนัก ที่ จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจและเครื่องช่วยหายใจ มีโอกาสเกิดอุบัติการณ์ที่สำคัญคือ ภาวะปอดอักเสบจาก การใช้เครื่องช่วยหายใจ ซึ่งทำให้เพิ่มระยะเวลาการใช้เครื่องช่วยหายใจ เพิ่มระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล และค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ วิธีการศึกษา: เลือกกรณีศึกษา รวบรวมข้อมูลผู้ป่วย ผลการประเมินผู้ป่วย ผลตรวจทาง ห้องปฏิบัติการผลตรวจคลื่นหัวใจ ผลตรวจทางรังสีวิทยา แผนการรักษาของแพทย์ นำมาวิเคราะห์ เพื่อตั้งข้อ วินิจฉัยทางการพยาบาล ดูแลผู้ป่วยด้วยกระบวนการพยาบาล ประเมินผล และสรุปผลการศึกษา ผลการศึกษา: ผู้ป่วยชายไทยอายุ 71 ปี มีโรคประจำตัวเป็นถุงลมโป่งพองและมะเร็งต่อมลูกหมาก มาโรงพยาบาลด้วยอาการไอ หายใจหอบเหนื่อย แพทย์วินิจฉัย R/O Pneumonia รับไว้รักษาที่ตึกอายุรกรรม ชาย On O2 Canular ต่อมาผู้ป่วยหายใจหอบเหนื่อยมากขึ้น ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจและ ย้ายเข้ารักษาใน หอผู้ป่วยหนัก ผู้ป่วยใส่ท่อช่วยหายใจต่อกับเครื่องช่วยหายใจ เป็นเวลา 6 วัน ก็สามารถหย่าเครื่องช่วยหายใจ และถอดท่อช่วยหายใจได้ หลังถอดท่อช่วยหายใจ On HFNC ผู้ป่วยตอบสนองต่อการให้ออกซิเจน สามารถ หย่าออกซิเจนได้ หายใจได้เอง ระหว่างที่รับไว้ในความ ดูแล มีการศึกษา ติดตาม ประเมินผล การพยาบาลใน ระยะวิกฤต กึ่งวิกฤต ระยะฟื้นฟู และวางแผน จำหน่าย โดยการให้ความรู้ การปฏิบัติตัวหลังจำหน่ายอย่าง เหมาะสม รวมวันนอนรักษาตัวใน โรงพยาบาล 18 วัน ข้อเสนอแนะ : การวินิจฉัย การประเมินผู้ป่วย การปฏิบัติตามแนวทางการดูแลผู้ป่วย จะช่วยลดภาวะ ปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจได้ คำสำคัญ: ภาวะปอดอักเสบจากการใช้เครื่องช่วยหายใจ


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 46 041 การพัฒนาระบบบริการการพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ในหอผู้ป่วยทางเดินหายใจ โรงพยาบาลยางตลาด อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ Development of nursing service system for Tuberculosis patients In the respiratory ward Yang Talad Hospital, Yangtalad District, Kalasin Provine มธุรส ศีลพันธ์ Maturos Silpunt หอผู้ป่วยทางเดินหายใจ โรงพยาบาลยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อพัฒนาระบบการให้บริการผู้ป่วยวัณโรค และ 2) เพื่อประเมินผลระบบการดำเนินงานการดูแลผู้ป่วยโรควัณโรคที่หอผู้ป่วยทางเดินหายใจ โรงพยาบาลยางตลาด เก็บรวบรวมข้อมูลผู้ป่วยที่มารับบริการในหอผู้ป่วยทางเดินหายใจโรงพยาบาลยางตลาด จำนวน 33 คน เครื่องมือที่ใช้ ประกอบด้วย 1) แบบสำรวจความคิดเห็นในบุคลากรผู้ให้บริการ 2) แบบระดมสมองในทีมสห วิชาชีพ 3) แบบประเมินการปฏิบัติตัวและการเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยที่บ้าน 4) แบบประเมินความ พึงพอใจผู้ให้บริการ และ 5) แบบประเมินความพึงพอใจผู้รับบริการ กลุ่มผู้ให้ข้อมูล ประกอบด้วย อายุรแพทย์ แพทย์ทั่วไป พยาบาลผู้ปฏิบัติงานในหน่วยงาน และผู้รับบริการที่หอผู้ป่วยทางเดินหายใจ การศึกษาแบ่งเป็น 2 ระยะ ได้แก่ ระยะที่ 1 การพัฒนาระบบการให้บริการผู้ป่วยโรควัณโรค ระยะที่ 2 การใช้แนวทางการดำเนินงาน การดูแลผู้ป่วยวัณโรคที่ได้พัฒนาขึ้น และประเมินผลการใช้แนวทาง ผลการศึกษา พบว่า 1) ได้แนวทางการ พัฒนาระบบบริการการพยาบาลผู้ป่วยวัณโรค ในหอผู้ป่วยทางเดินหายใจ โรงพยาบาลยางตลาด อำเภอยาง ตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ 2)การปฏิบัติตัวและการเตรียมความพร้อมในการดูแลผู้ป่วยที่บ้านอย่างเหมาะสม คิด เป็นร้อยละ 88.62 3)ความพึงพอใจของบุคลากร ร้อยละ 90.32 4) ความพึงพอใจผู้รับบริการ ร้อยละ 89.17 5) ร้อยละการขาดนัดรับยาใน 2 เดือนแรก ร้อยละ 1.32 และ 6) การคัดกรองกลุ่มเสี่ยงผู้สัมผัสร่วมบ้าน ครอบคลุม ร้อยละ 89.15 คำสำคัญ วัณโรค, หอผู้ป่วยทางเดินหายใจ, บริการการพยาบาล, ผู้สัมผัสร่วมบ้าน


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 47 042 การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองระยะฟื้นฟูสภาพ : กรณีศึกษา แก้วไพฑูรย์ แสนเพียร พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลเฉลิมพระเกียรติสมเด็จย่า 100 ปี จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ โรคหลอดเลือดสมอง เป็นความผิดปกติของระบบประสาทเนื่องจาก สมองขาดเลือดไปเลี้ยง หากได้รับการรักษาที่ล่าช้าและไม่ได้มาตรฐาน ทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิต และเป็น สาเหตุความพิการในผู้ที่รอดชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว พยาบาลวิชาชีพ มีบทบาทสำคัญในการดูแลฟื้นฟูสภาพร่างกาย และเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเคลื่อนไหว การสื่อสาร การ รับรู้ และสภาพจิตใจ ให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติให้ได้มากที่สุด วัตถุประสงค์: เพื่อนำความรู้เรื่องโรค แนวคิดทฤษฎีของการพยาบาลมาประยุกต์ใช้ในการพยาบาล ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง วิธีดำเนินการ: เลือกกรณีศึกษาจากผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่มารักษาในหอผู้ป่วยใน ศึกษาข้อมูล จากผู้ป่วยและญาติ เวชระเบียนและวิเคราะห์ปัญหาความต้องการในการดูแลรักษา โดยใช้กระบวนการ พยาบาล แนวคิดทฤษฎีทางการพยาบาล ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการพยาบาล ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการ รักษาพยาบาลและสหสาขาวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง สรุปกรณีศึกษา ผลการศึกษา: ผู้ป่วยสูงอายุเพศชายอายุ 91 ปี มาด้วยอาการแขนขาอ่อนแรง 2 ข้าง พูดไม่ชัด ญาติ นำส่งที่ห้องฉุกเฉินและได้รับการส่งต่อไปโรงพยาบาลศูนย์ เพื่อรักษาระยะเฉียบพลัน เมื่อพ้นระยะเฉียบพลัน ทางโรงพยาบาลศูนย์จึงส่งกลับโรงพยาบาลชุมชนเพื่อดูแลฟื้นฟูต่อ ขณะรักษาตัวในโรงพยาบาล ให้การ พยาบาลเพื่อเตรียมความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และวางแผนการจำหน่าย ขณะนอนรักษาตัวที่ โรงพยาบาล 3 วันไม่พบภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง ข้อเสนอแนะ: พัฒนาระบบการวางแผนจำหน่ายตั้งแต่แรกรับ การติดตามผู้ป่วยอย่างต่อเนื่องและการ เตรียมการเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูสภาพอย่างเป็นระบบจะส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป คำสำคัญ: การพยาบาล,โรคหลอดเลือดสมอง,ระยะฟื้นฟูสภาพ


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 48 043 การพัฒนารูปแบบการดูแลแบบประคับประคองโดยการมีส่วนร่วม เครือข่ายบริการสุขภาพอำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี กัลยาณี คำศรี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ รพ.สต.คำหว้า อำเภอตาลสุม จังหวัดอุบลราชธานี บทคัดย่อ รูปแบบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองโดยการมีส่วนร่วม เครือข่ายสุขภาพอำเภอตาลสุม จังหวัด อุบลราชธานีประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ดังนี้ 1) เชื่อมระบบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองแบบไร้ รอยต่อ 2) สร้างและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคอง โดยการจัดอบรมจิตอาสา อสม.และผู้ดูแลผู้ป่วย 3) เสริมสร้างองค์ความรู้ในการดูแลที่ทันสมัย โดยให้ความรู้แก่บุคลากร ผู้ป่วย ผู้ดูแล ผู้ป่วย และเครือข่ายชุมชนในการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองและระยะท้ายอย่างครอบคลุมและทันสมัย 4) ใช้หลัก “บวร” (บ้าน วัด ราชการ) บูรณาการการทำงานร่วมกับชุมชนอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง 5) จัดตั้ง ศูนย์อุปกรณ์ในชุมชน ผลลัพธ์เชิงกระบวนการ อัตราการได้รับการเยี่ยมครอบครัว (ประชุมครอบครัว) จำนวน 74 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 100 อัตราการได้รับการวางแผนการดูแลล่วงหน้า จำนวน 74 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 100 อัตราการได้รับคำปรึกษา จำนวน 74 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 100 อัตราการได้รับการเยี่ยมที่บ้าน จำนวน 74 ครอบครัว คิดเป็นร้อยละ 100 ผลลัพธ์การดูแลแบบประคับประคอง พบว่า ผลลัพธ์การดูแลของผู้ดูแลผู้ป่วยหลังการใช้รูปแบบ ดีกว่าก่อนการใช้รูปแบบ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = 4.56, P = <.001) ความพึงพอใจของญาติต่อการ บริการตามรูปแบบการดูแลฯ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = 422, P <.001) หลังการนำรูปแบบไปใช้ ทีมผู้ให้บริการมีความคิดเห็นต่อการปฏิบัติตามรูปแบบการดูแลแบบประคับประคองฯ โดยรวมอยู่ในระดับ สามารถปฏิบัติทุกครั้ง เพิ่มขึ้นกว่าก่อนการใช้รูปแบบฯ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (Z = 6.59, P <.001) ผลลัพธ์/ข้อค้นพบที่เกิดขึ้นคือ 1) ผู้ป่วยได้รับการดูแล ร้อยละ 100 2) เกิด อสม.บั๊ดดี้ในการเยี่ยม บ้าน 3) เกิดเครือข่ายการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองโดยการมีส่วนร่วม 4) มีการทำ Advance Care Plan สำหรับผู้ป่วย 5 ราย 6) มีศูนย์อุปกรณ์การแพทย์ที่จำเป็นสำหรับให้ผู้ป่วยยืมใช้ที่บ้าน คำสำคัญ : การดูแลแบบประคับประคอง, การมีส่วนร่วม


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 49 044 การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด : กรณีศึกษา บุษรินทร์ ด้วงสีแก้ว พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลขามสะแกแสง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : ภาวะตกเลือดหลังคลอดเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยส่งผลกระทบ ต่อสุขภาพมารดาทารกและครอบครัว จากข้อมูลห้องคลอดโรงพยาบาลขามสะแกแสงพบว่า อุบัติการณ์ตก เลือดหลังคลอดมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น จากข้อมูลปี 2564-2566 พบอุบัติการณ์ร้อยละ 2.63 ,4.10 และ 4.27 ตามลำดับ ในปี 2566 สาเหตุที่พบเกิดจากมดลูกหดรัดตัวไม่ดีร้อยละ 60 และรกค้างร้อยละ 40 การเฝ้าระวัง และดูแลช่วยเหลือให้ได้รับการรักษาตามสาเหตุอย่างรวดเร็วจะสามารถลดอันตรายจากภาวะตกเลือดหลัง คลอดได้ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด วิธีการดำเนินงาน : เลือกกรณีศึกษาที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด ทบทวน ศึกษาค้นคว้าวิชาการ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ปัญหา ทบทวนมาตรฐานการพยาบาลผู้คลอดที่มี ภาวะตกเลือดหลังคลอด โดยใช้กระบวนการพยาบาลตามมาตรฐานการพยาบาล จัดทำเอกสารวิชาการและ เผยแพร่ ผลการศึกษา : หญิงไทยอายุ 37 ปี G3-2-1-1 with GDMA1 GA 37+2 wks. ผลเลือดปกติ มา โรงพยาบาลด้วยเจ็บครรภ์คลอดร่วมกับมีน้ำเดินก่อนมา6ชั่วโมง45นาที สัญญาณชีพปกติ Cx. dilate 2 cms, eff 50%, ML (clear), Station -1, Vx. Uterine Contraction I=20', D=55'' FHS 146/ min, Dtx 76 mg%, NST= Late decelerate FHS 120-160/min, ทำ IUR ประเมิน NSTซ้ำ 1 ชม. Reactive, Day2 Cx 3 cms, eff 50%ML, station 0, ให้ยาเร่งคลอด, มีน้ำเดินมากกว่า24ชั่วโมง ให้ยาปฏิชีวนะ ampicillin iv. มารดามีไข้ 38.4 ํC , FHS 190/min consult โรงพยาบาลแม่ข่าย ให้ refer มารดามีลมเบ่ง Cx. fully dilate ย้ายเข้าห้องคลอด คลอดปกติ หลังทารกคลอดมี Active bleed 350 cc. แพทย์ทำ Cord control traction รกคลอดใน11นาที มดลูกไม่แข็งตัว BP= 94/66 mmHg ดูแลคลึงมดลูก ให้ยากระตุ้นการหดรัดตัวมดลูก ให้ RLS IV load 1500 cc , BP= 89/57 mmHg ให้ levophed กระตุ้นความดันโลหิต 2วัน มดลูกกลมแข็ง ไม่มี Active bleed รวม Blood loss 800 ccเจาะ Hct 2 ชั่วโมงหลังคลอด 28% จากเดิม 38% ย้ายไปตึกหลัง คลอด Day3 เลือดออกทางช่องคลอดลดลง ได้ PRC 1 unit IV หลังให้เลือด Hct 29% BP= 100/60 mmHg , Day4 Hct 28%-30% มารดาสดชื่นขึ้น ให้นมลูกได้ Day5 จำหน่ายกลับบ้าน ลูกมีภาวะติดเชื้อได้รับยา ปฏิชีวนะ 7 วัน referไปตรวจหูอาการปกติ


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 50 สรุปและอภิปรายผล : ผู้คลอดมีความเสี่ยงต่อการตกเลือดหลังคลอด ได้แก่ Elderly pregnancy และ GDM แรกรับเจ็บครรภ์ห่าง มีน้ำเดินจึงเพิ่มปัจจัยเสี่ยงด้านการติดเชื้อและ Fetal distress การพยาบาล จึงต้องเฝ้าระวังโดยการประเมินสัญญาณชีพ จับ Contraction ฟัง FHS และทำ NST เป็นระยะอย่างใกล้ชิด เพื่อประเมินภาวะผิดปกติได้รวดเร็วและให้การพยาบาลอย่างเหมาะสมรวมถึงรายงานแพทย์เพื่อสั่งการรักษาที่ ถูกต้อง ข้อเสนอแนะและการนำไปใช้ประโยชน์ : ควรร่วมกับสหวิชาชีพกำหนดแนวทางการเฝ้าระวัง ดูแล รักษาและการพยาบาลมารดาที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนร่วมกันหลายอย่าง เพื่อป้องกันการเกิด อันตรายต่อผู้คลอดและทารก คำสำคัญ: การพยาบาลผู้คลอดที่มีความเสี่ยงตกเลือด, ภาวะตกเลือดหลังคลอด


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 51 045 การพัฒนานวัตกรรมการพยาบาล“มาเบิ่งเด้อ”สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัส โรงพยาบาลน้ำโสม หงษ์ทอง บุตรพรม หงษ์ทอง บุตรพรม , นภชา สิงห์วีรธรรม , กิตติพร เนาว์สุวรรณ , อัจฉรา คำมะทิตย์ , อิ๋น วงษ์เคน หนูกาญจน์ แฝงเมืองคุก , พสชนัน จิตรแก้ว , คณรัตน์ เดโฟเซซ์ โรงพยาบาลน้ำโสม จ.อุดรธานี บทคัดย่อ ความสำคัญ ผู้ป่วยพร่องความรู้เรื่องการปฏิบัติตัวส่งผลต่อพฤติการการดูแลตนที่ที่ไม่ถูกต้อง และไม่ เข้าใจสถานะปริมาณเชื้อไวรัสเอชไอวีในเลือดของตนเอง วัตถุประสงค์ เพื่อสร้างและพัฒนานวัตกรรมการพยาบาล “มาเบิ่งเด้อ” และศึกษาประสิทธิผล นวัตกรรมการพยาบาล“มาเบิ่งเด้อ” สำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ได้รับยาต้านไวรัสในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง วิธีการดำเนินงาน เป็นวิจัยและพัฒนานวัตกรรมการพยาบาล ดำเนินการ 2 ขั้นตอน คือ 1) สร้างและ พัฒนานวัตกรรมการพยาบาล ได้แก่ การวิเคราะห์ความต้องการ ทบทวนวรรณกรรม ยกร่างนวัตกรรมการ พยาบาล ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ทดลองใช้ และพัฒนานวัตกรรมการพยาบาล 2) ศึกษาประสิทธิผลของ นวัตกรรมการพยาบาล เป็นวิจัยแบบกึ่งทดลองแบบกลุ่มเดียววัดก่อนและหลังการทดลอง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ ได้แก่ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จำนวน 45 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นวัตกรรมการพยาบาล“มาเบิ่งเด้อ” แบบบันทึกปริมาณผลเลือด HIV viral load และแบบสอบถาม ประเมินความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา และสถิติ Wilcoxon signed ranks test ผลการศึกษา พบว่า 1. นวัตกรรมการพยาบาล “มาเบิ่งเด้อ” 1 ชุด ประกอบด้วยวงล้อวงกลมแบ่งระดับสีของผล HIV viral load และมีแผ่นอธิบายความหมายและการปฏิบัติตัวของสีแต่ละสี ได้แก่ สีเขียวคือกลุ่มดี สีเหลืองคือกลุ่ม เสี่ยง และสีแดงคือกลุ่มดื้อยา 2. หลังใช้นวัตกรรมการพยาบาล “มาเบิ่งเด้อ” ปริมาณ HIV Viral load ลดลงอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ.001 (p<.001) 3. หลังใช้นวัตกรรมการพยาบาล “มาเบิ่งเด้อ” ค่าคะแนนเฉลี่ยความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเอง ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ก่อนและหลัง แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 (p <0.05) โดยเพิ่มขึ้นจากระดับปานกลาง เป็นระดับสูง


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 52 ข้อเสนอแนะ ควรนำนวัตกรรมการพยาบาล“มาเบิ่งเด้อ”ไปปรับใช้เป็นแนวทางสำหรับโรงพยาบาล อื่นๆ ในประเทศไทย ในการดูแลผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ตลอดจนขยายผลลงสู่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล และปรับใช้ให้ความรู้ในผู้ป่วยที่มารับบริการทั่วไป คำสำคัญ นวัตกรรม, ผู้ติดเชื้อเอชไอวี, ยาต้านไวรัส


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 53 046 การพัฒนารูปแบบการบริการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ในหน่วยบริการด้านปฐมภูมิและองค์รวม โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัด ขอนแก่น นิสา จันทร์ลี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลน้ำพอง จังหวัด ขอนแก่น บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: มะเร็งปากมดลูก เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในสตรีเป็นอันดับต้นๆ ในแต่ละปีมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนใหญ่พบในประเทศที่กำลังพัฒนาเนื่องจากการคัดกรองยังไม่มี ประสิทธิภาพที่หารอยโรคในระยะก่อนเป็นมะเร็งได้ สถานการณ์การคัดกรองมะเร็งปากมดลูกของอำเภอน้ำ พองในปี 2563-2565 พบว่าสตรีกลุ่มเป้าหมายได้รับการคัดกรองร้อยละ 33.1 49.2 และ 51.5 ตามลำดับซึ่ง ไม่ผ่านเป้าหมายที่กระทรวงกำหนดคือร้อยละ 60 รูปแบบบริการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเดิมพบปัญหาใน ดำเนินงาน ผู้ศึกษาจึงมีความสนใจในการพัฒนารูปแบบการคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่มีส่วนร่วมของผู้ที่มีส่วน เกี่ยวข้อง จึงนำมาสู่การศึกษาครั้งนี้ วัตถุประสงค์: ศึกษาสถานการณ์พัฒนารูปแบบการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก และประเมินผล ของรูปแบบที่พัฒนาขึ้น วิธีดำเนินการ: เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติ ในการดำเนินการแบ่งเป็น 3 ระยะได้แก่ 1) วิเคราะห์ สถานการณ์2) พัฒนารูปแบบ 3) ประเมินผลของการพัฒนา เลือกพื้นที่ตำบลน้ำพอง ผู้ให้ข้อมูลหลักเลือก แบบเจาะจง จากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้แก่พยาบาลวิชาชีพผู้ให้บริการ 10 คน อสม./แกนนำ 30 คน สตรี กลุ่มเป้าหมาย 45 คน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสัมภาษณ์เชิงลึก แนวทางการสนทนากลุ่ม และ แบบสอบถาม ได้ผ่านจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ สำนักสาธารณสุขจังหวัดขอนแก่น เลขที่.KCE .64031 การ ตรวจสอบตามตรงของเนื้อหาโดยผู้ทรงวุฒิจำนวน 3 ท่าน แบบประเมินความพึงพอใจของผู้รับบริการ มีค่า สัมประสิทธิ์ครอนบาคแอลฟาได้เท่ากับ 0.94 วิเคราะห์ข้อมูลโดยสถิติเชิงพรรณนา วิเคราะห์ความแตกต่าง ค่าเฉลี่ยด้วย Paired T-test ข้อมูลเชิงคุณภาพโดยการวิเคราะห์เชิงเนื้อหา ผลการศึกษา: พบว่า 1) สถานการณ์ผลการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ขาดการวางแผนร่วมกัน ทีมผู้ ให้บริการต้องการการพัฒนาองค์ความรู้ ระบบฐานข้อมูลไม่ครอบคลุม ขาดการแจ้งผลในรายที่ปกติระบบการ ติดตามขาดความต่อเนื่อง 2) รูปแบบที่พัฒนาขึ้น ประกอบด้วย 1) การประชาสัมพันธ์และการประชุมแบบมี ส่วนร่วมทุกหมู่บ้าน 2) การพัฒนาศักยภาพบุคลากรและติดตามประเมินผลงานทุก 6 เดือน 3) จัดทำแนวทาง ให้บริการในรพ.และในชุมชน พัฒนานวตกรรมชุดตรวจสามเกลอเชิงรุกบุกถึงบ้าน 4) การใช้ฐานข้อมูลที่เป็น


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 54 ปัจจุบัน 5) การแจ้งผลทางไปรษณีย์และทางโทรศัพท์และ6) การติดตามและส่งต่อโดยใช้กูเกิลซีต และ ประเมินผลการนำใช้ พบว่า ผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 66.2 ทีมผู้ให้บริการมีความรู้ เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (P<.001) อัตราความพึงพอใจของสตรีกลุ่มเสี่ยงต่อบริการคิดเป็นร้อยละ 89.6 ข้อเสนอแนะ: นำผลการศึกษานี้ไปใช้ในพื้นที่อื่นที่มีบริบทใกล้เคียงกันเพื่อเป็นการเพิ่มการเข้ารับ บริการคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ข้อเสนอแนะในการศึกษาต่อไป ควรมีการศึกษารูปแบบการติดตามกลุ่มสตรี ที่มีผลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกที่ผิดปกติเพื่อกลุ่มนี้ได้รับการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างทันท่วงที คำสำคัญ: การพัฒนารูปแบบ, การคัดกรอง มะเร็งปากมดลูก


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 55 047 ผลของแนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการจัดการตนเองในการออกกำลังกาย ในผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน คณรัตน์ เดโฟเซซ์1 พย.บ. วท.ม. สำนักงานสาธารณสุขเมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี อิ๋น วงษ์เคน พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลน้ำโสม2 หนูกาญจน์ แฝงเมืองคุก โรงพยาบาลน้ำโสม 3 นางอรัญญา ศรีหาวงษ์ พยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลเพ็ญ4 บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการณ์ (Action Research) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของแนวปฏิบัติทางการ พยาบาลเพื่อส่งเสริมการจัดการตนเองในการออกกำลังกายในผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน ดำเนินการวิจัย ในเดือน พฤษภาคม พ.ศ. 2565 ถึงตุลาคม พ.ศ. 2565 จากกรอบแนวคิดทางการพยาบาลของซูคัพ (Soukup 2,000) คือ 1) การประเมินด้านความรู้พฤติกรรม ภาวะสุขภาพ 2) การให้ความรู้ เรื่องโรคเบาหวาน อาหาร การออกกำลังกาย 3) การวางเป้าหมายร่วมกันเพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรม4)การสนับสนุนของครอบครัวในการ ออกกำลังกาย 5)การติดตามผลกลุ่มตัวอย่างเป็นกลุ่มเสี่ยงโรคเบาหวาน จำนวน 38 คน รวบรวมข้อมูลก่อน และหลังการทดลอง โดยใช้แบบสัมภาษณ์ วิเคราะห์ข้อมูลทั่วไปด้วยสถิติ ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติ Dependent t–test ที่ระดับนัยสำคัญ0.05ผลการศึกษา พบว่าหลังการวิจัยกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานคะแนนเฉลี่ยพฤติกรรมการดูแล ตนเองในการออกกำลังกายสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05และมีค่าเฉลี่ยน้ำตาล ในเลือดต่ำกว่าก่อนการทดลองอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ0.05การประเมินผลความเป็นไปได้ของการนำ แนวปฏิบัติทางการพยาบาลฯไปใช้ พบว่ามีความเป็นไปได้ในการนำไปใช้ใน ดังนั้นการเสริมพลังอำนาจมีผลต่อ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการออกกำลังกายและน้ำตาลในเลือด ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป ศึกษาในกลุ่มผู้ป่วยอื่นๆ เช่น ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน เพื่อใช้ประกอบในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการปฏิบัติตัวด้านสุขภาพ คำสำคัญ แนวปฏิบัติทางการพยาบาลเพื่อส่งเสริมการจัดการตนเอง การออกกำลังกาย ผู้สูงอายุกลุ่มเสี่ยง โรคเบาหวาน


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 56 048 การพัฒนาแนวปฏิบัติการบริการทางการพยาบาลเพื่อเฝ้าระวังผู้ป่วยอาการทรุดระหว่างรอตรวจ แผนก ผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี อิ๋น วงษ์เคน พว.ชำนาญการ รพ.น้ำโสม 1 คณรัตน์ เดโฟเซซ์ พย.บ. วท.ม. สำนักงานสาธารณสุขเมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี2 หนูกาญจน์ แฝงเมืองคุก พว.ชำนาญการ รพ.น้ำโสม3 หงษ์ทอง บุตรพรม พว.ชำนาญการ รพ.น้ำโสม4 นพรัตน์ เหมุทัย พว.ชำนาญการ รพ.น้ำโสม 5 บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้เป็น (research and development: R&D) วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาพัฒนาแนว ปฏิบัติการบริการทางการพยาบาลเพื่อการเฝ้าระวังผู้ป่วยอาการทรุดระหว่างรอตรวจ แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาลน้ำโสม จังหวัดอุดรธานี ดำเนินการวิจัยระหว่างเดือน ตุลาคม 2564 – มิถุนายน 2565 ขั้นตอน การวิจัย 4 ขั้นตอน 1)การวางแผน 2)การดำเนินการ 3)การตรวจสอบศึกษาผล 4)การดำเนินการรักษาคุณภาพ บริการ กลุ่มตัวอย่างแบ่งเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) พยาบาลผู้ใช้แนวปฏิบัติ จำนวน 15 ราย 2) ผู้ป่วยที่มารับ บริการรอตรวจแผนกผู้ป่วยนอก จำนวน 226 ราย เครื่องมือวิจัยที่ใช้ ได้แก่ 1)แนวปฏิบัติการบริการทางการ พยาบาลเพื่อการเฝ้าระวังผู้ป่วยอาการทรุดระหว่างรอตรวจแผนกผู้ป่วยนอกการคัดแยกผู้ป่วยโดยใช้ดัชนีความ รุนแรงฉุกเฉิน (Triage) และการประเมิน SOSP score 2)เครื่องมือประเมินผลการทดลอง ได้แก่ แบบบันทึก ข้อมูลการเฝ้าระวังอาการทรุด แบบสังเกตการปฏิบัติตามแนวทางการเฝ้าระวังอาการทรุดของพยาบาล แบบ เก็บระยะเวลารอคอยของผู้รับบริการ แบบสอบถามความพึงพอใจต่อการพัฒนาแนวปฏิบัติ การวิเคราะห์ ข้อมูลเชิงคุณภาพและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ Independent t-test ผลการวิจัยพบว่าแนวปฏิบัติการบริการทางการพยาบาลเพื่อการเฝ้าระวังฯ และ ผลการใช้แนวทางการเฝ้าระวังผู้ป่วยอาการทรุดลงฯ มีค่าเฉลี่ยของระยะเวลารอคอยการตรวจน้อยลงอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (p<.001) เจ้าหน้าที่สามารถใช้แนวทางการเฝ้าระวัง ฯ ร้อยละ 97.78 และมีความพึงพอใจ ต่อการใช้แนวทางการเฝ้าระวัง ฯ ในระดับมาก คำสำคัญ : แนวปฏิบัติการบริการทางการพยาบาล ผู้ป่วยอาการทรุดระหว่างรอตรวจ แผนกผู้ป่วยนอก


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 57 049 การพยาบาลผู้ป่วยที่มีภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด : กรณีศึกษา นางสาวอัจฉรา ภูวทิตย์ โรงพยาบาลโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ สถิติผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดโรงพยาบาลโนนสูง ปี 2564 มีอัตราการเสียชีวิต ร้อยละ 7.56 และ อุบัติการณ์การเกิดภาวะช็อกตั้งแต่แรกรับ ร้อยละ 16.37 ภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือดเป็นภาวะ วิกฤตฉุกเฉินที่มีความซับซ้อน ผู้ป่วยต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน หากมีความล่าช้าอาจทำให้เสียชีวิต ได้ การศึกษาครั้งนี้เป็นการศึกษารายกรณี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาการดูแลตามแนวทางการดูแลผู้ป่วยติดเชื้อในกระแสเลือดของ โรงพยาบาลโนนสูง โดยศึกษาผู้ป่วยหญิงไทยอายุ 81 ปี มีโรคประจำตัวความดันโลหิตสูง เข้ารับการรักษาที่ ห้องฉุกเฉิน ด้วยอาการเหนื่อย ปวดท้องน้อย ก่อนมา 6 ชั่วโมง มีประวัติ 2 วันก่อนมา ไม่ถ่ายอุจจาระ รับประทานยาระบายสมุนไพร หลังจากนั้นมีอาการถ่ายอุจจาระเป็นน้ำสีเหลืองมีมูกปน วันละ 4-5 ครั้ง ปริมาณมาก มีอาการเหนื่อยมาก ปวดท้องน้อย ปัสสาวะกระปริดกระปรอย วัดสัญญาณชีพ อุณหภูมิ 37.4 องศาเซลเซียส ชีพจร 92 ครั้ง/นาที อัตราการหายใจ 28 ครั้ง/นาทีความดันโลหิต 84/48 มิลลิเมตรปรอท MAP 66 มิลลิเมตรปรอท SOS 4 คะแนน ออกซิเจนในเลือด 95 % แพทย์วินิจฉัยเป็น Septic shock with Acute diarrhea with AKI ให้การรักษาตามแนวทางการดูแล sepsis 6 bundle การประเมินปัญหาความ ต้องการพยาบาล โดยใช้แนวคิดและแบบแผนสุขภาพตามทฤษฎีทางการพยาบาลของโอเร็ม การวินิจฉัยทางการพยาบาล ได้แบ่งเป็นระยะวิกฤตฉุกเฉิน ระยะกึ่งวิกฤต และระยะฟื้นฟูสภาพ หลังจากได้รับการดูแลรักษาและให้การพยาบาลแล้วผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น แพทย์พิจารณาให้กลับบ้านได้ การศึกษานี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้องค์ความรู้ในการพยาบาล และนำไปพัฒนาแนวทางการดูแลผู้ป่วยที่มี ภาวะช็อกจากการติดเชื้อในกระแสเลือด คำสำคัญ: การพยาบาล, ช็อก, การติดเชื้อในกระแสเลือด


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 58 050 การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมไม่ดีมีภาวะแทรกซ้อนไตวายเฉียบพลัน : กรณีศึกษา วรรณทอง ศรีทองสุข โรงพยาบาลโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: นโยบายยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี กระทรวงสาธารณสุขวางนโยบาย SERVICE pLAN ตัวชี้วัด เน้น NCD PLUS โรคเบาหวานต้องได้รับการคัดกรองไต ปัจจุบันมีเพิ่มมากขึ้นและ มี สถิติอัตราการตายสูงอันดับที่1 ถ้าหากไม่ยับยั้งโรคเบาหวานที่กลายเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังได้ การรักษาที่มี ค่าใช้จ่ายสูง ส่งผลกระทบทั้งในด้าน ครอบครัว เศรษฐกิจ สังคมและภาครัฐ วัตถุประสงค์: เพื่อการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ควบคุมน้ำตาลไม่ดีและมีภาวะแทรกซ้อนทางไต : กรณีศึกษา ระยะเวลาการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม 2566 ถึง 29 มกราคม 2566 วิธีดำเนินการ:กรณีศึกษาดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและศึกษา เป็นระยะเวลา 1 เดือน ระหว่าง วันที่ 25 มกราคม 2566 ถึง 29 มกราคม 2566 : กรณีศึกษา ชายไทย อายุ 67 ปีหม้าย มีบุตรหลานดูแล พบปัญหา ผู้ป่วยมีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจนเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน มีพฤติกรรมสุขภาพไม่เหมาะสมทำ ให้ไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติ มีภาวะเสี่ยง HYPO-HYPERGLYCEMIA บกพร่องความรู้และพฤติกรรมการดูแลตนเอง มีภาวะวิตกกังวล รับไว้นอนโรงพยาบาล 4 วัน มีประวัติ นอนโรงพยาบาลหลายครั้ง มี re- admited ผู้ศึกษาจึงใช้กรอบแนวคิด กรณีศึกษาการจัดการตนเอง (Selfmanagement) โดยใช้มิติกระบวนการ ร่วมกับ แนวคิดการจัดการรายกรณี ( Casemanagement) ซึ่งเป็น กระบวนการความร่วมมือสหสาขาวิชาชีพในการประเมิน วางแผน ดำเนินการปฏิบัติ ประสานงาน ติดตาม ประเมินทางเลือกและบริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้ป่วย โดยมีพยาบาลเป็นผู้จัดการผู้ป่วยราย กรณี ใช้แบบแผนของกอร์ดอน มีการติดตามเยี่ยมบ้าน 2 ครั้ง ผลการศึกษา: ผลลัพธ์ของการให้การพยาบาล พบว่า มีภาวะน้ำตาลในเลือดปกติ ดูแลปรับ พฤติกรรมได้ดี ควบคุมระดับน้ำตาลได้ ไม่มีภาวะ Hypo-hyperglycemia ผู้ป่วยมีความตระหนักในการ ดูแลตนเองเพิ่มขึ้น มีความหวังอาการเจ็บป่วยจะดีขึ้น


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 59 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ 1) การนำผลการศึกษาไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยมีลักษณะเดียวกับกรณีศึกษา 2) เป็นตัวอย่างในการรักษาพยาบาลในชุมชน มุ่งเน้นการเสริมพลัง อำนาจให้ผู้ป่วยและครอบครัว เครือข่ายในชุมชนมีส่วนร่วมดูแลต่อเนื่อง คำสำคัญ : การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวาน ,เบาหวานที่ควบคุมไม่ดี, ภาวะไตวายเฉียบพลัน


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 60 051 การพยาบาลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองที่ส่งกลับมาดูแลต่อที่ โรงพยาบาลชุมชน : กรณีศึกษา นางสาวจิตติมา ชลอกลาง โรงพยาบาลโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: โรคหลอดเลือดสมองเป็นภัยคุกคามที่พบบ่อย ก่อให้เกิดความพิการทุ พลภาพ ดังนั้น การพยาบาลเมื่อผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤติและกลับมารักษาต่อที่ โรงพยาบาลชุมชนก็มีความสำคัญ มุ่งเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลฟื้นฟูผู้ป่วยและญาติที่บ้าน ร่วมกับทีมสุขภาพ ให้การส่งเสริมและติดตาม ภาวะสุขภาพ ลดความพิการ มีคุณภาพชีวิตที่ดี วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการให้พยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่พ้นระยะวิกฤติและส่งตัวกลับมา เพื่อดูแลให้การพยาบาลต่อเนื่องที่โรงพยาบาลชุมชน จำนวน 1 ราย วิธีการศึกษา: เป็นการศึกษาการให้การพยาบาลผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่พ้นระยะวิกฤติและ ส่งกลับเพื่อฟื้นฟูในโรงพยาบาลโนนสูง จำนวน 1 ราย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาคือ การรวบรวมข้อมูลจาก เวชระเบียนผู้ป่วย การสัมภาษณ์ญาติและการสังเกต การวิเคราะห์ข้อมูล วิเคราะห์เปรียบเทียบ พยาธิสภาพ ปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพที่มีผลต่อการเกิดโรค 11 แบบแผนสุขภาพ ของกอร์ดอน กรณีศึกษาเป็นชายไทย อายุ 59 ปี อาการสำคัญ ผู้ป่วยมีอาการเกร็งตาค้าง กระตุกแขนขาข้างซ้ายอ่อนแรง เป็นมา 30 นาที แพทย์ วินิจฉัย Acute haemorrhagic stroke ได้กลับมารักษาต่อที่ โรงพยาบาลโนนสูง ในระยะที่ 2 คือ การ พยาบาลระยะดูแลต่อเนื่อง การช่วยเหลือตนเองบกพร่องเนื่องจากแขนขาอ่อนแรง เสี่ยงต่อการเกิด ภาวะแทรกซ้อน จากการนอนนานเนื่องจากการเคลื่อนไหวร่างกายบกพร่อง ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวล เนื่องจากการเจ็บป่วยและผลกระทบที่เกิดขึ้น ผลการศึกษา: แสดงให้เห็นว่า การให้การพยาบาลดูแลต่อเนื่องในโรงพยาบาลชุมชนของผู้ป่วยโรค หลอดเลือดสมอง เป็นหัวใจสำคัญของพยาบาล การให้ความรู้ การดูแลฟื้นฟูสภาพผู้ป่วย และมีการติดตาม เยี่ยม จะช่วยลดอาการแทรกซ้อนที่จะเกิดขึ้นได้ ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: การให้การพยาบาลหลังพ้นภาวะวิกฤติ เช่นการให้ ความรู้ในการดูแลตัวเองต่อที่บ้านเช่น การเลือกอาหารที่รับประทาน การออกกำลังกายเองที่บ้าน การทำ กายภาพบำบัด มีส่วนสำคัญในการฟื้นฟูสภาพร่างกายผู้ป่วยให้กลับมาใกล้เคียงสภาวะปกติมากที่สุด คำสำคัญ: การพยาบาลผู้ป่วยหลอดเลือด โรคหลอดเลือดสมอง การดูแลในโรงพยาบาลระดับชุมชน


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 61 052 การพัฒนาแนวปฏิบัติการพยาบาลในการป้องกันภาวะสับสนเฉียบพลันของผู้ป่วยวิกฤต อรัญญา ศรีหาวงษ์ พว.โรงพยาบาลเพ็ญ จ.อุดรธานี บทคัดย่อ การวิจัยนี้เป็นการวิจัยและพัฒนา(Research & Development) มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาและ ประเมินผลแนวปฏิบัติการพยาบาลในการป้องกันภาวะสับสนฉับพลันของผู้ป่วยวิกฤต ครั้งนี้ใช้โดยดำเนินการ พัฒนาตามกระบวนการวิจัยและพัฒนา 2 ขั้นตอน คือ ขั้นตอนที่ 1 การวิเคราะห์ปัญหาและสถานการณ์ ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบ ได้ประยุกต์ขั้นตอนการนำแนวปฏิบัติทางคลินิกของสภาวิจัยด้านการแพทย์ และสุขภาพแห่งชาติของประเทศออสเตรเลีย (National Health and Medical Research Council, 1999) มากำหนดเป็นขั้นตอนการศึกษา 3 กระบวนการ ดังนี้ (1) กระบวนการพัฒนาแนวปฏิบัติทางคลินิก CPG-PDC (2) กระบวนการนำแนวปฏิบัติ CPG-PDC ไปใช้ และ (3) กระบวนการการประเมินผลลัพธ์ของการใช้แนว ปฏิบัติทางคลินิก CPG-P คัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ 1) กลุ่มประชากรผู้พัฒนา แนวปฏิบัติ (CPG-PDC) 10 คน 2) กลุ่มตัวอย่างผู้ทดลองใช้ CPG-PDC 5 คน และ 3) กลุ่มตัวอย่างผู้ได้รับ CPG-PDC ดำเนินการในเดือน ตุลาคม พ.ศ. 2564 – เมษายน พ.ศ. 2565 จำนวน 52 คน เครื่องมือที่ใช้ คือ CPG-PDC และแบบบันทึกอุบัติการณ์การเกิดภาวะสับสนเฉียบพลัน ข้อมูลทั่วไปใช้สถิติเชิงพรรณนา ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน Independent t-test และ Multivariable risk difference regression ผลการวิจัย พบว่า เมื่อใช้CPG-PDC มีอุบัติการณ์การเกิดภาวะสับสนเฉียบพลันลดลงเหลือเพียง 15 ราย (ร้อยละ 14.20) และระยะเวลาผู้ป่วยเกิดอุบัติการณ์การเกิดภาวะสับสนเฉียบพลัน เฉลี่ยลดลงเหลือ 0.9 เวรต่อราย สรุปการใช้ CPG-PDC ทำให้หน่วยงานมีการเฝ้าระวังและป้องกันอย่างเป็นระบบ สามารถลด อุบัติการณ์ และลดระยะเวลาการเกิดอุบัติการณ์การเกิดภาวะสับสนเฉียบพลันได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คำสำคัญ แนวปฏิบัติการพยาบาล ภาวะสับสนเฉียบพลัน ผู้ป่วยวิกฤต


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 62 053 การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต ด้วยการล้างไตทางช่องท้อง(CAPD)มีภาวะติดเชื้อในช่องท้อง : กรณีศึกษา ปุญญิศา วัจฉละอนันท์ บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: จากข้อมูล สปสช. ปี 2565 บัตรทองดูแลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังฯ 62,478 คน แยกเป็นผู้ป่วยล้างไตผ่านช่องท้อง 18,478 คน ล้างไตผ่านช่องท้องด้วยเครื่องอัตโนมัติ 1,234 คน นอกจากนี้มีผู้ป่วยผ่าตัดปลูกถ่ายไต 146 คน และผู้ป่วยรับยากดภูมิหลังปลูกถ่ายไต 2,534 คน ผู้ป่วยโรคไต วายเรื้อรังที่ต้องได้รับการบำบัดทดแทน ไตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและ ครอบครัว รวมถึงภาครัฐที่ต้องลงทุนสูง เพื่อใช้ในการดูแลรักษาหากภาวะแทรกซ้อนมีภาวะติดเชื้อในช่อง ท้องที่รุนแรงทำให้อาการและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลงจนถึงขั้นเสียชีวิตได้ถ้าไม่มีการจัดการตนเองที่ดีพอ วัตถุประสงค์: เพื่อการพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ได้รับการบำบัดทดแทนไต ด้วยการล้างไตทาง ช่องท้อง(CAPD) มีภาวะติดเชื้อในเยื่อบุช่องท้อง ระยะเวลาการดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 15 มกราคม 2566 ถึง 29 มกราคม 2566 วิธีดำเนินการ: กรณีศึกษาดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลและศึกษา เป็นระยะเวลา 1 เดือน : กรณีศึกษา ชายไทย อายุ 60 ปี สถานภาพคู่ สมรส พบปัญหาผู้ป่วยมีภาวะติดเชื้อภายในเยื่อบุช่องท้องจาก การล้างไตไม่เหมาะสม มีพฤติกรรมสุขภาพไม่ดีทำให้ไม่สามารถควบคุมระดับความดันโลหิตและระดับน้ำตาล ในเลือดไม่ปกติ มีภาวะขาดสมดุลเกลือแร่โซเตียมต่ำ ขาดความตระหนักในขั้นตอนการล้างไตทางช่องท้อง และการดูแลตนเอง มีภาวะวิตกกังวลจากรับไว้นอนโรงพยาบาล 14 วัน ผู้ศึกษาใช้แนวคิดในกรณีศึกษาการ จัดการตนเอง (Self-management) โดยใช้มิติกระบวนการร่วมกับ แนวคิดการจัดการรายกรณี ( Casemanagement) ซึ่งเป็นกระบวนการความร่วมมือของสหสาขาวิชาชีพในการประเมิน วางแผน ดำเนินการปฏิบัติ ประสานงาน ติดตาม ประเมินทางเลือกและบริการ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของ ผู้ป่วย โดยมีพยาบาลเป็นผู้จัดการผู้ป่วยรายกรณี ใช้แบบแผนของกอร์ดอน มีการติดตามเยี่ยมบ้าน 2 ครั้ง ผลการศึกษา: ผลลัพธ์ของการให้การพยาบาล พบว่า ปลอดภัยจากภาวะติดเชื้อทางช่องท้อง มีภาวะน้ำตาลในเลือดปกติ ดูแลปรับพฤติกรรมได้ดี ระดับเกลือแร่ร่างกายคงที่ ควบคุมระดับน้ำตาลได้ ผู้ป่วยและญาติมีความตระหนักมั่นใจในการปฎิบัติตามขั้นตอนการล้างไตทางช่องท้อง สีหน้าคลายความ กังวลมีความหวังอาการเจ็บป่วยจะดีขึ้น


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 63 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ การนำผลการศึกษาไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยมีลักษณะเดียวกับกรณีศึกษา เป็นตัวอย่างในการรักษาพยาบาลในชุมชน มุ่งเน้นการเสริมพลังอำนาจให้ ผู้ป่วยและครอบครัว ผู้ดูแลมั่นใจในการดูแลตนเอง เครือข่ายในชุมชนมีส่วนร่วม ทีมสุขภาพดูแลต่อเนื่อง ช่วยให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป คำสำคัญ : การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง ,การล้างไตทางช่องท้อง(capd) ,ภาวะติดเชื้อในช่องท้อง


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 64 054 กรณีศึกษา : การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีภาวะซึมเศร้า เกษร กิ่งโพธิ์ โรงพยาบาลโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญ พบ อุบัติการณ์การเกิดโรคเพิ่มขึ้น จากข้อมูลสุขภาพกระทรวงสาธารณสุข พบว่า ประเทศไทยมีผู้ป่วยโรคเบาหวาน ในปี 2565 จำนวน 3.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2564 จำนวน 1.5 แสนคน ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาล ในเลือดสูง จะทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ วัตถุประสงค์เพื่อศึกษาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีภาวะ ซึมเศร้า วิธีดำเนินการศึกษา กรณีศึกษา การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง มีภาวะ ซึมเศร้าจำนวน 1 ราย ระหว่างวันที่ 5 เมษายน 2566 ถึง 30 มิถุนายน 2566 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย การรวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้ป่วย การสัมภาษณ์ผู้ป่วย และการสังเกต การวิเคราะห์ ข้อมูล เปรียบเทียบ พยาธิสภาพ ประเมินภาวะสุขภาพโดยใช้แบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน กระบวนการ พยาบาล 5 ขั้นตอน ร่วมกับการทำ Conference case ก่อนการเยี่ยมบ้านพร้อมทั้งสรุปผลการให้การดูแล ผู้ป่วยและเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากกรณีศึกษา ผลการศึกษา กรณีศึกษา ผู้ป่วยหญิง อายุ 60 ปี สถานภาพหย่า เป็นโรคเบาหวาน มีภาวะน้ำตาลใน เลือดสูง มีภาะวะซึมเศร้า ประเมินสุขภาพโดยใช้แบบแผนกอร์ดอน ร่วมกับการ conference case ก่อนการ เยี่ยมบ้าน ผู้ป่วยกรณีศึกษา พบปัญหาทางการพยาบาล คือ มีภาวะซึมเศร้า นอนไม่หลับ อยากตาย เนื่องจาก บ้านที่อยู่อาศัยจะถูกยึด มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูง เนื่องจากมีพฤติกรรมการดูแลตนเองไม่เหมาะสม กินและ ฉีดยาไม่ต่อเนื่อง ได้ให้การดูแลโดยการเยี่ยมบ้าน โดยทีมสหวิชาชีพและเครือข่ายสุขภาพ ผู้ป่วยสามารถ ควบคุมน้ำตาลได้ ถึงขั้นลดยาฉีด และผู้ป่วยมมีความเครียดลดลง ไม่ทำร้ายตนเอง ปัญหาที่แก้ยาก คือ ปัญหา เศรษฐกิจ ซึ่งต้องประสานงานกับเครือข่ายสุขภาพหลายภาคส่วน ปัจจัยแห่งความสำเร็จในการให้การดูแล ผู้ป่วยคือ การเสริมพลัง การสร้างความรอบรู้โรคเบาหวาน และแนวทางการแก้ไขปัญหาจากเครือข่ายทุกภาค ส่วนที่เกี่ยวข้องและทีมสหวิชาชีพ ในโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพชุมชนโนนสูง ร่วมกับ การรักษาผู้ป่วย เบาหวานที่มีภาวะซึมเศร้า มีความสำคัญต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 65 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ 1) การนำผลการศึกษาไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาล ผู้ป่วยที่มีลักษณะเดียวกับกรณีศึกษา 2) เป็นตัวอย่างในการรักษาพยาบาลในชุมชน มุ่งเน้นการเสริมพลัง อำนาจให้ผู้ป่วย คำสำคัญ : โรคเบาหวาน การพยาบาลผู้ป่วยเบาหวาน ภาวะซึมเศร้า


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 66 055 การพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุ วิรัน ดำริห์ โรงพยาบาลโนนสูง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : โรคปอดอักเสบ (Pneumonia) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตที่สำคัญของ เด็กเล็กและผู้สูงวัย แต่ละปีมีสถิติเสียชีวิตมากกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก ประเทศไทยโรคปอดอักเสบเป็น 5 ลำดับ แรกของโรคทางเดินหายใจที่เป็นสาเหตุการเสียชีวิตในทุกปี ผู้สูงอายุมีแนวโน้มอัตราตายจากโรคนี้เพิ่มสูงขึ้น กระทรวงสาธารณสุขจึงมีนโยบายด้านการดูแล และป้องกันโรคปอดอักเสบ วัตถุประสงค์: เพื่อเป็นแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบในผู้สูงอายุ วิธีดำเนินการ: ผู้ศึกษาคัดเลือกผู้ป่วย อธิบายวัตถุประสงค์ การดำเนินโครงการ การพิทักษ์สิทธิ ผู้เข้าร่วมการศึกษา เมื่อได้รับความยินยอม ได้วางแผนการพยาบาล โดยยึดกระบวนการพยาบาล 4 ขั้นตอน สรุปผลการปฏิบัติการพยาบาลและเผยแพร่ความรู้ที่ได้จากการศึกษา ผลการศึกษา: กรณีศึกษา ผู้ป่วยชายไทย อายุ 65 ปี เข้ารับการรักษาที่หอผู้ป่วยในชาย โรงพยาบาล โนนสูงด้วยอาการไอมีเสมหะขาว เหนื่อย หายใจหอบ นอนราบไม่ได้ แพทย์วินิจฉัย Pneumonia ให้การ พยาบาลโดยแบ่งเป็นระยะวิกฤต ระยะกึ่งวิกฤต ระยะฟื้นฟู และระยะวางแผนจำหน่ายตามหลัก D-METHOD และใช้แนวคิดการพยาบาลของโอเร็ม และการพยาบาลผู้สูงอายุเมื่อเจ็บป่วย หลังได้รับการดูแลรักษา ให้การ พยาบาลผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น แพทย์ให้กลับบ้าน พยาบาลมีส่วนสำคัญในการดูแลผู้ป่วยทุกระยะ เพราะอาจเกิด ภาวะแทรกซ้อนทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ จึงต้องมีความรู้และทักษะในการประเมินภาวะ Pneumonia อย่าง ชำนาญ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ทางการพยาบาลที่ดี ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ 1) นำผลการศึกษาไปใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลผู้ป่วย มีลักษณะเดียวกัน 2) เป็นตัวอย่างในการรักษาพยาบาลในชุมชน มุ่งเน้นการเสริมพลังอำนาจให้ผู้ป่วยและ ครอบครัว เครือข่ายในชุมชนมีส่วนร่วม ทีมสุขภาพดูแลต่อเนื่อง ช่วยให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป คำสำคัญ : โรคปอดอักเสบ, การพยาบาลโรคปอดอักเสบ , การพยาบาลผู้สูงอายุ


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 67 056 การพยาบาลผู้ป่วยปอดอักเสบที่ติดเชื้อดื้อยา: กรณีศึกษา อำไพ ต้นโพธิ์ทอง โรงพยาบาลพิมาย อำเภอพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : โรคปอดอักเสบจากการติดเชื้อดื้อยา เป็นโรคที่ทำให้เกิดการ สูญเสียชีวิตและทรัพย์สิน โดยเชื้อ A. baumannii เป็นเชื้อก่อโรคที่พบบ่อย และแนวโน้มการดื้อยาเพิ่มขึ้น เรื่อย ๆ โรงพยาบาลพิมายปอดอักเสบ เป็นสาเหตุการตาย 1ใน 3 ผู้ป่วยปอดอักเสบและติดเชื้อ A. baumannii คิดเป็น 26.5% ของผู้ป่วยที่ติดเชื้อดื้อยาทั้งหมด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่รักษาตัวในตึกICU วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาแนวทางการพยาบาลผู้ป่วยปอดอักเสบที่ติดเชื้อดื้อยา วิธีดำเนินการ : ศึกษาเวชระเบียนผู้ป่วยโรคปอดอักเสบที่ติดเชื้อดื้อยา กรณีศึกษาจำนวน 1 ราย ตั้งแต่ระยะวิกฤติ ระยะกึ่งวิกฤติ ระยะฟื้นฟูสภาพ รวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบประเมินผู้ป่วยวิกฤติFANCAS เพื่อ ประเมินปัญหาผู้ป่วย กำหนดข้อวินิจฉัยทางการพยาบาล วางแผนให้การพยาบาล สรุปและประเมินผลทางการ พยาบาล ผลการศึกษา : ผู้ป่วยชายไทยอายุ 74 ปี เคยเป็นวัณโรคปอด มาด้วยอาการ ไอแห้งๆ หายใจหอบ เหนื่อย 2ชม.ก่อนมา ได้รับการวินิจฉัยปอดอักเสบ รักษาโดยการใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ออกซิเจนด้วยเครื่องช่วย หายใจ ตรวจเสมหะเพาะเชื้อพบติดเชื้อดื้อยา ได้ยาปฏิชีวนะ และแยกผู้ป่วยจากผู้ป่วยอื่น แต่มี ภาวะแทรกซ้อนที่ต้องได้รับการแก้ไข จนอาการดีขึ้น สามารถถอดท่อช่วยหายใจได้ และย้ายไปตึกสามัญ เพื่อให้ยาปฏิชีวนะต่อจนครบ จึงจำหน่ายกลับบ้าน รวมระยะเวลารักษาในโรงพยาบาล 21วัน แต่ผู้ป่วยยังต้องให้อาหารทางสายยางต่อที่ บ้าน ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: 1.โรคปอดอักเสบที่ติดเชื้อดื้อยา เป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยทรุดลง ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลนาน ขึ้น หน่วยงานต้องมีการส่งเสริมสมรรถนะพยาบาลในการประเมิน เฝ้าระวัง และป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ โดยเฉพาะผู้ป่วยสูงอายุที่มีความเสี่ยงสูง 2.ควรมีการติดตามผู้ป่วยปอดอักเสบภายหลังจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง เพื่อประเมินการปรับตัวของ ผู้ป่วย ประเมินสมรรถภาพปอด และติดตามภาวะแทรกซ้อน คำสำคัญ : โรคปอดอักเสบ (Pneumonia), เชื้อดื้อยา, การพยาบาล


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 68 057 การพยาบาลผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลว : กรณีศึกษา พอตา รักษานา โรงพยาบาลโนนแดง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ ภาวะหัวใจล้มเหลวเป็นกลุ่มอาการทางคลินิกที่ซับซ้อน คุกคามถึง ชีวิต พบว่าร้อยละ 59.9 ของผู้ป่วยหลังจากได้รับการวินิจฉัย อัตราอยู่รอดที่ 5ปีอัตราเสียชีวิตประมาณ ร้อยละ 20 ต่อปี ส่งผลกระทบต่อด้านร่างกายผู้ป่วย และคุณภาพชีวิตของครอบครัว เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เน้นการดูแลต่อเนื่อง การให้คำแนะนำ และการวางแผนจำหน่าย การดูแลแบบองค์รวม วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการพยาบาลที่ถูกต้องเหมาะสม วิธีดำเนินการ กรณีศึกษาผู้ป่วยจำนวน 1 รายที่ได้รับการวินิจฉัยเป็นโรคหัวใจล้มเหลว เข้ารับการ รักษาที่แผนกผู้ป่วยใน โรงพยาบาลโนนแดง ระหว่างวันที่ 21 ม.ค.-2 ก.พ.2566 ให้การพยาบาลต่อเนื่องถึง จำหน่ายกลับบ้าน ใช้ความรู้ตามกรอบแนวคิดทฤษฎีการพยาบาลของโอเร็มร่วมกับปฏิบัติการพยาบาลตาม มาตรฐานการพยาบาล ผลการศึกษา ผู้ป่วยเข้ารับการรักษาด้วยอาการหายใจหอบ ขาบวม กดบุ๋ม ปัสสาวะออกน้อยมา 1 วัน แพทย์ วินิจฉัยโรคหัวใจล้มเหลว ให้ on HFNC พ่นยาขยายหลอดลม ให้ยาขับปัสสาวะชนิดฉีด นอนโรงพยาบาล 12 วันจึงจำหน่ายกลับบ้าน พบปัญหาทางการพยาบาล 1. ปริมาตรเลือดที่ส่งออกจากหัวใจต่อนาทีลดลง เนื่องจากการบีบตัวของหัวใจไม่มีประสิทธิภาพ 2. การแลกเปลี่ยนก๊าซบกพร่องเนื่องจากระบบไหลเวียนเลือดในปอดจากการบีบตัวของหัวใจลดลง 3. มีภาวะน้ำเกินเนื่องจากความบกพร่องในการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจจากภาวะหัวใจล้มเหลว 4. ผู้ป่วยและญาติวิตกกังวลเกี่ยวกับการเจ็บป่วย การดำเนินของโรค 5. ส่งเสริมการปฏิบัติตัวในการดูแลตนเองเมื่ออยู่บ้าน ข้อเสนอแนะ พยาบาลควรส่งเสริมให้ผู้ป่วยรับรู้ภาวะสุขภาพที่ถูกต้อง และมีการปฏิบัติตามแผนการรักษาที่ เหมาะสม จัดให้มีระบบบริการให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโรค ทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน ส่งเสริมให้ครอบครัวมี ส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วย ประสานติดตามการดูแลต่อเนื่องที่บ้าน คำสำคัญ การพยาบาล, ภาวะหัวใจล้มเหลว


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 69 058 การพยาบาลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันร่วมกับภาวะสัญญาณไฟฟ้าหัวใจ ถูกขัดขวางแบบสมบูรณ์ที่ได้ยาละลายลิ่มเลือด : กรณีศึกษา สุกาญดา สังสนา โรงพยาบาลโนนแดง จ.นครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน เป็นสาเหตุของการตายมากที่สุดใน โลกและประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น บทบาทพยาบาลโรงพยาบาลชุมชน การคัดกรองเพื่อรายงานแพทย์ วินิจฉัย รักษาได้ถูกต้อง รวดเร็ว มีศักยภาพให้ยาละลายลิ่มเลือด ใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ ส่งต่อได้อย่าง รวดเร็ว ผู้ป่วยมีโอกาสรอดชีวิตมากขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันร่วมกับภาวะ สัญญาณไฟฟ้าหัวใจถูกขัดขวางแบบสมบูรณ์ที่ได้ยาละลายลิ่มเลือด วิธีการศึกษา: ศึกษาเป็นรายกรณีแบบเจาะจง จำนวน 1 ราย เลือกผู้ป่วยที่มาแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาล ชุมชน เดือน ธันวาคม 2565 - ตุลาคม 2566 ทำการสัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ ข้อมูลสารสนเทศ ในโรงพยาบาล ศึกษาเอกสารวิชาการ และดำเนินการศึกษาโดยใช้การประเมินผู้ป่วยวิกฤต ABCD เป็นแบบใน การใช้กระบวนการพยาบาล 5 ขั้นตอนดูแลผู้ป่วยวิกฤตฉุกเฉินก่อนส่งต่อ สรุปและอภิปรายผลจัดทำเป็น รูปเล่ม ผลการศึกษา: จากการศึกษาผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันร่วมกับภาวะสัญญาณไฟฟ้าหัวใจ ถูกขัดขวางแบบสมบูรณ์ที่ได้ยาละลายลิ่มเลือด 1 รายพบว่า ผู้ป่วยหญิง 75 ปี มาด้วยเวียนศีรษะ หน้ามืด ล้ม ไม่มีเจ็บหน้าอก เป็นมา 2 ชั่วโมง รักษาด้วยการใส่ท่อช่วยหายใจ ให้ยาละลายลิ่มเลือด และใช้เครื่องกระตุ้น ไฟฟ้าหัวใจ ดูแลตามแผนการพยาบาลทั้ง 5 แผน ดูแลให้ยาละลายลิ่มเลือดทันเวลาที่กำหนด หลังให้ยาหลอด เลือดไม่เปิดขยาย ไม่มีภาวะแทกซ้อนจากการให้ยา ส่งต่อตามระบบfast track ถึงโรงพยาบาลศูนย์อย่าง ปลอดภัย


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 70 ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้ 1.นำผลการศึกษาไปพัฒนาระบบ fast track เพิ่มการเข้าถึงบริการ เพิ่มศักยภาพบทบาทพยาบาล ใน การคัดกรองที่ รพ.สต และแผนกอุบัติเหตุฉุกเฉิน การให้ยาละลายลิ่มเลือด การใช้เครื่องกระตุ้นไฟฟ้าหัวใจ และส่งต่ออย่างถูกต้องรวดเร็ว 2.ควรมีการศึกษาความสามารถของพยาบาลในการซักประวัติ คัดกรองECG เบื้องต้น คำสำคัญ: โรคกล้ามเนื้อหัวใจตาย ยาละลายลิ่มเลือด การพยาบาล


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 71 059 การพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่บ้านโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบลดงแสนสุข อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี ณัฐนวียา จิตต์จันทร์ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงแสนสุข อำเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี บทคัดย่อ การวิจัยและพัฒนา มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่บ้านโดยการมี ส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดงแสนสุข ดำเนินการตามกรอบแนวคิดการแปลง ความรู้สู่การปฏิบัติ (ACE Star Model) ประกอบด้วยการค้นหาความรู้ การสังเคราะห์งานวิจัย การแปลงสิ่งที่ สังเคราะห์ลงสู่การปฏิบัติ การนำความรู้สู่การปฏิบัติจริง และการติดตามประเมินผล ผู้เข้าร่วมการวิจัยมี 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มผู้เชี่ยวชาญและภาคีเครือข่ายในการดูแลผู้สูงอายุ 10 คน 2) กลุ่มผู้ดูแลผู้สูงอายุ 13 คน (พยาบาล CM 2 คน และ CG 11 คน) และ 3) กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ดูแล 35 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม แนวทางการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงแบบบูรณาการ แบบ ประเมิน ADL และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนาและการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า 1. ระบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงที่บ้านโดยการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย ประกอบด้วย 6 ขั้นตอน ได้แก่1) สร้างและพัฒนาศักยภาพเครือข่ายการดูแลผู้สูงอายุ 2) พัฒนาแนวปฏิบัติในการดูแลผู้สูงอายุ ที่บ้าน 3) คัดกรองสุขภาพผู้สูงอายุ 4) ขึ้นทะเบียนผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง (Long Term Care) 5) ผู้จัดการ ระบบการดูแลผู้สูงอายุ (Care Manager : CM) และ ผู้ช่วยเหลือดูแลผู้สูงอายุ (Caregiver :CG) ให้การดูแล ตามแนวปฏิบัติ 6) ส่งต่อเครือข่ายการดูแลผู้สูงอายุ 2. แนวปฏิบัติในการดูแลผู้สูงอายุที่บ้าน 2.1 แนวปฏิบัติในการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดบ้าน 6 ด้าน คือ 1) การออกกำลังกาย 2) การรับประทานอาหารและยา 3) การชับถ่าย 4) การดูแลผิวหนัง 5) อารมณ์ และจิตใจ และ 6) การควบคุมป้องกันโรค 2.2 แนวปฏิบัติในการดูแลผู้สูงอายุกลุ่มติดเตียง 5 ด้าน ได้แก่ 1) การป้องกันแผลกดทับ 2) การป้องกันข้อยึดติดและกล้ามเนื้อลีบ 3) การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดิน หายใจ (4) การป้องกันการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ และ 5) การป้องกันภาวะซึมเศร้า 3. หลังติดตามผลการดูแล 2 เดือน ผู้สูงอายุมีการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันดีขึ้น ความพึงพอใจของ ผู้สูงอายุและญาติอยู่ในระดับมากที่สุด ( ̅=4.61, S.D.=0.32) พยาบาล (CM) และ CG ผู้ปฏิบัติ เกิดความ สะดวก ง่ายต่อการปฏิบัติ คำสำคัญ : ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง, การพัฒนาระบบ, การมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่าย


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 72 060 การพัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลสร้างแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี The Development of Long-Term Care Systems for the Dependent Elderly in Sangkaew SubDistrict Health Promoting Hospital, Phibun Mangsahan District UbonRatchathani Province กมลนิตย์ หลักดี, กัญญารัตน์ กันยะกาญจน์ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ, รพ.สต.สร้างแก้ว บทคัดย่อ การวิจัยเชิงปฏิบัติการ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) วิเคราะห์บริบทและสถานการณ์การดูแลผู้สูงอายุ ระยะยาวโดยเครือข่ายชุมชน และ 2) พัฒนารูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงระยะยาว โรงพยาบาล ส่งเสริมสุขภาพตำบลสร้างแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี กลุ่มตัวอย่างคือผู้สูงอายุ จำนวน 138 ราย กลุ่มเป้าหมายในการพัฒนารูปแบบคือภาคีเครือข่ายชุมชน 30 คน เลือกแบบเจาะจง ดำเนินการวิจัย เป็น 3 ระยะ 1) วิเคราะห์บริบทและสถานการณ์การดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 2) พัฒนารูปแบบการดูแล ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง 3) ทดลองใช้และประเมินผลรูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน รพ.สต. สร้างแก้ว เครื่องมือที่ใช้เป็น แบบสอบถาม การสนทนากลุ่ม และแบบประเมินความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูล ด้วย ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า ผู้สูงอายุในเขต รพ. สต.สร้างแก้ว 138 คน จำแนกตามความสามารถในการประกอบกิจวัตรประจำวัน (ADL) พบว่า จัดอยู่ในกลุ่ม ติดบ้าน (ADL 5-11 คะแนน) จำนวน 123 คน (ร้อยละ 89.13) กลุ่มติดเตียง (ADL 0-4 คะแนน) จำนวน 15 คน (ร้อยละ 10.87) ผู้สูงอายุทั้งหมดมีผู้ดูแล (ร้อยละ 100) ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกครอบครัว ให้การดูแลกิจวัตร ประจําวัน ส่วนการดูแลโดยเครือข่ายชุมชนและหน่วยงานภาครัฐเป็นการเยี่ยมบ้าน และการดูแลสุขภาพที่บ้าน รูปแบบการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงในชุมชน รพ.สต.สร้างแก้ว มี 6 องค์ประกอบ ประกอบด้วย 1) การ พัฒนาศักยภาพผู้สูงอายุ/ผู้ดูแล 2) การดูแลต่อเนื่องในชุมชน 3) บริการเชิงรุก 4) บริการในสถานพยาบาล 5) การสร้างเครือข่ายและสร้างการมีส่วนร่วม และ 6) การรับข้อมูล/ให้คำปรึกษา ผลลัพธ์ภายหลังดำเนิน กระบวนการพบว่า ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมีภาวะสุขภาพดีขึ้นทั้งร่างกาย จิตใจและสังคม มีความพึงพอใจต่อ รูปแบบการดูแลอยู่ในระดับมากที่สุด และภาคีเครือข่ายชุมชนมีความพึงพอใจระดับมากที่สุด การศึกษา ชี้ให้เห็นรูปแบบที่พัฒนาขึ้นสามารถเพิ่มคุณภาพการดูแลทำให้ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง โดยมีปัจจัยแห่ง ความสำเร็จคือ การมีส่วนร่วมที่เข้มแข็งของเครือข่ายชุมชน และการสนับสนุนจากภาคีที่เกี่ยวข้อง คำสำคัญ : รูปแบบการดูแลระยะยาว ผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 73 061 การพยาบาลผู้คลอดที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอดจากรกค้าง : กรณีศึกษา ธีราภรณ์ บุณยประภาพันธ์ งานการพยาบาลผู้คลอด กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลโนนแดง อำเภอโนนแดง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความสำคัญและความเป็นมา : ภาวะรกค้างเป็นสาเหตุของภาวะตกเลือดหลังคลอดซึ่งเป็นสาเหตุ การตายที่สำคัญของมารดา ทักษะการพยาบาลที่สำคัญ คือ การประเมินปัจจัยเสี่ยง เตรียมการป้องกัน การ ดูแล จัดการขณะผู้คลอดมีภาวะตกเลือดหลังคลอด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการปฏิบัติการพยาบาล การจัดการดูแลผู้คลอดที่มีภาวะตกเลือดหลังคลอด จากภาวะรกค้าง วิธีดำเนินการ : ศึกษารายกรณีในผู้คลอดตกเลือดหลังคลอดเนื่องจากภาวะรกค้าง ในโรงพยาบาล ชุมชน เดือนกรกฎาคม-ตุลาคม 2566 จำนวน 1 ราย รวบรวมข้อมูลจากเวชระเบียนผู้คลอด การสัมภาษณ์ผู้ คลอด ผู้ดูแล สังเกต ประเมินภาวะสุขภาพโดยใช้ 11 แบบแผนด้านสุขภาพของกอร์ดอน ให้การดูแลระยะรอ คลอด คลอด และหลังคลอด ขณะส่งต่อไปรักษาในโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า โดยใช้กระบวนการ พยาบาล และติดตามเยี่ยมบ้านหลังกลับมาพักฟื้นที่บ้าน ผลการศึกษา: เป็นผู้คลอดครรภ์ที่4 ตั้งครรภ์ครบกำหนด ตั้งครรภ์อายุมาก มีประวัติเป็นโรคหัวใจเต้น ผิดจังหวะรักษาไม่ต่อเนื่อง มีภาวะซีด ทารกตัวโต อวัยวะเพศไม่ชัดเจน (เพศชาย) มีรกค้าง ได้ล้วงรก มดลูก หดรัดตัวไม่ดี ล้วงรกไม่สำเร็จ ส่งไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า เสียเลือดรวมระดับรุนแรงมาก มีภาวะ ช็อก ได้รับการตัดมดลูกรักษาในหอผู้ป่วยหนัก การดูแลรักษาหลักที่ได้รับคือ ล้วงรก ให้สารน้ำและเลือด ให้ยา เพิ่มการหดรัดตัวของมดลูก นวดคลึงมดลูก และเฝ้าระวังสัญญาณชีพ ผู้คลอดสามารถผ่านพ้นภาวะวิกฤติ ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: การตกเลือดหลังคลอดจากภาวะรกค้าง ภาวะแทรกซ้อน แตกต่างกัน พยาบาลต้องมีการพัฒนาสมรรถนะในการประเมิน การวินิจฉัยภาวะเสี่ยงต่อการตกเลือดตั้งแต่ แรกรับ การปฏิบัติการพยาบาลผู้คลอดจากภาวะรกค้าง จัดการดูแลรักษาภาวะวิกฤติอย่างทันท่วงที โดยใช้ แนวปฏิบัติการพยาบาลภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์ มีการตัดสินใจที่ดี และประสานงานกับสหสาขาวิชาชีพ เพื่อลดภาวะแทรกซ้อนและอัตราการเสียชีวิตของหญิงคลอด รวมถึงลดข้อร้องเรียนบุคลากรต่อไป คำสำคัญ: ตกเลือดหลังคลอด, รกค้าง, การพยาบาล


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 74 062 ประสิทธิผลการใช้รูปแบบการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิด คลื่นไฟฟ้าหัวใจเอสทียก (ST Elevation Acute Myocardial Infarction) โรงพยาบาลเลย จริญญา เนติศานนท์, พรวีนัส โสกัณทัต, อุไรรัตน์ ภู่สูงเนิน, และจักรพงษ์ ชมภูทอง โรงพยาบาลเลย, จังหวัดเลย บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: ในปี 2563-2565 โรงพยาบาลเลยมีผู้ป่วย STEMI เข้ารับการรักษา 126, 129 และ 138 ราย ตามลำดับ ซึ่งมีความจำเป็นต้องส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า เพื่อทำ การฉีดสี, ใส่บอลลูนหรือขดลวด จากการทบทวนสถานการณ์การส่งต่อ พบว่า ระหว่างส่งต่อผู้ป่วยมีอาการ ทรุดลง และมีการเสียชีวิต ดังนั้น เพื่อให้ผู้ป่วย STEMI ได้รับการส่งต่ออย่างรวดเร็ว ปลอดภัย เพื่อลดอัตราการ เสียชีวิต และลดภาวะแทรกซ้อนระหว่างนำส่ง ผู้วิจัยจึงได้พัฒนารูปแบบการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วย STEMI โรงพยาบาลเลยขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาผลลัพธ์การใช้รูปแบบการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วย STEMI โรงพยาบาล เลย วิธีดำเนินการ: วิจัยกึ่งทดลอง แบ่งกลุ่มตัวอย่างเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ได้รับการพยาบาลตามปกติ และกลุ่มที่ใช้รูปแบบการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วย STEMI ศึกษาตั้งแต่เดือน มิถุนายน-ตุลาคม 2566 ที่ตึก อุบัติเหตุและฉุกเฉิน โรงพยาบาลเลย เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบบันทึกข้อมูลทั่วไป แบบบันทึกระยะเวลาการส่ง ต่อผู้ป่วย STEMI แบบรายงานอุบัติการณ์ระหว่างการส่งต่อ และรูปแบบการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วย STEMI โรงพยาบาลเลย วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ Independent t-test/Chi-square test ผลการศึกษา: กลุ่มทดลองมีค่าเฉลี่ยระยะเวลาการส่งต่อน้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทาง สถิติ(p .05) ส่วนอุบัติการณ์อาการทรุดลงและอุบัติการณ์การเสียชีวิตระหว่างการส่งต่อในกลุ่มควบคุมมี จำนวน 2 และ 1 ราย ตามลำดับ ส่วนกลุ่มทดลองไม่มีอาการทรุดลงและไม่มีการเสียชีวิตระหว่างการส่งต่อ ซึ่งแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: นำรูปแบบการพยาบาลในการส่งต่อผู้ป่วย STEMI ไป ประกาศใช้เป็นแนวทางการส่งต่อผู้ป่วยโรงพยาบาลเลย และควรเพิ่มระยะเวลาในการศึกษาอย่างน้อย 1 ปี เพื่อประเมินผลของรูปแบบการพยาบาล คำสำคัญ: รูปแบบการพยาบาล, การส่งต่อ, โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันชนิดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอสทียก, STEMI


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 75 063 การพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะเลือดเป็นกรดจากน้ำตาลในเลือดสูง: กรณีศึกษา บุปผา ชายกลาง โรงพยาบาลโนนแดง จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ: โรคเบาหวานส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตสูงถึง 6.7 ล้านคน หรือเสียชีวิต 1รายในทุก 5 วินาที โรคเบาหวานชนิดที่1 เป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญพบมากในเด็กและวัยรุ่นซึ่งส่วนใหญ่ ควบคุมเบาหวานได้ไม่ดี เป็นสาเหตุให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลด้วยภาวะแทรกซ้อนฉุกเฉินบ่อยครั้ง ภาวะเลือดเป็นกรดเป็นภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน อันตรายถึงชีวิตได้ การให้ความรู้และสนับสนุนเพื่อการ จัดการตนเองของผู้ป่วยเบาหวานเป็นยุทธวิธีที่มีความสำคัญและจำเป็น เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับ น้ำตาลในเลือดได้ ป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลัน และเรื้อรัง มีคุณภาพชีวิตที่ดี วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะเลือดเป็นกรดจากน้ำตาลในเลือดสูง และการส่งเสริมการจัดการตนเองให้มีสุขภาพดี วิธีดำเนินการ: ศึกษากรณีศึกษาที่มารับการรักษาแผนกผู้ป่วยนอก ระเวลาศึกษา กุมภาพันธ์ - มิถุนายน 2566 ผลการศึกษา: ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 เพศชาย วัยรุ่นอายุ17 ปี มีภาวะเลือดเป็นกรดจากน้ำตาลใน เลือดสูง จนทำให้มีภาวะหายใจล้มเหลว ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจ ส่งตัวไปรับการรักษาต่อโรงพยาบาลแม่ ข่าย นอนโรงพยาบาล 4 วัน จำหน่ายกลับบ้าน ยังพบปัญหาควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ ผู้ศึกษาติดตามเยี่ยมให้ คำแนะนำ การจัดการตนเอง ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ไม่เกิดภาวะเลือดเป็นกรดซ้ำ ข้อเสนอแนะในการนำผลการศึกษาไปใช้: เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ที่สนใจศึกษาการพยาบาล ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะเลือดเป็นกรดจากน้ำตาลในเลือดสูง และเพื่อพัฒนาการพยาบาลผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมถึงจัดเป็นแนวปฏิบัติการให้ความรู้ การจัดการตนเองผู้ป่วยที่มีภาวะเลือดเป็นกรดและมีภาวะหายใจ ล้มเหลวรายต่อไป ป้องกันการเกิดซ้ำ ลดอัตราการ Re-admit รวมถึงลดค่าใช้จ่ายในโรงพยาบาล คำสำคัญ: เบาหวานชนิดที่1, น้ำตาลในเลือดสูง, เลือดเป็นกรด


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 76 064 การประยุกต์ใช้ทฤษฎีการปรับตัวของรอยกับญาติผู้ดูแลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบ ระยะสุดท้ายแบบประคับประคองด้วยบทบาทพยาบาลขั้นสูงร่วมกับทีมสหวิชาชีพ: กรณีศึกษา เสน่ห์ พุฒธิ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลภูเขียวเฉลิมพระเกียรติ จ.ชัยภูมิ บทคัดย่อ บทนำ: โรคปอดอักเสบทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น อัตราตายสูง นอนนาน ค่ารักษาสูง จากกรมควบคุม โรค 2564 พบผู้ป่วย 114,544 ราย เสียชีวิต 114 ราย ร.พ.ภูเขียวเฉลิมพระเกียรติพบผู้ป่วย 250 คนต่อปี โรค มีความรุนแรงยุ่งยากซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น พยาบาลต้องใช้ความชำนาญสมรรถนะขั้นสูงในการพัฒนาระบบ สุขภาพ โดยใช้ความเชี่ยวชาญ ด้านการประสานงาน สอนให้ความรู้ ฝึกทักษะที่จำเป็นสำคัญ ให้คำปรึกษา เน้นภาวะผู้นำด้านเปลี่ยนแปลง มีเหตุผลตัดสินใจเชิงจริยธรรม ใช้หลักฐานเชิงประจักษ์ ด้านผู้ป่วยโรคปอด อักเสบติดเตียงมีภาวะช็อกหายใจล้มเหลวได้เจาะคอ ด้านผู้ดูแลมีปัญหาสุขภาพ วิตกกังวลสูง ไม่มีรายได้ บุตรสาวเป็นโรคซึมเศร้า จึงประยุกต์ใช้ทฤษฎีการปรับตัวของรอยกับญาติผู้ดูแล วัตถุประสงค์: เพื่อวิเคราะห์ประเด็นปัญหา ศึกษาบทบาทพยาบาล สมรรถนะของผู้ปฏิบัติการ พยาบาลขั้นสูงในการดูแลผู้ป่วยโรคปอดอักเสบระยะสุดท้ายแบบประคับประคองและการปรับตัวของญาติ ผู้ดูแล วิธีการดำเนินการ: การศึกษารายกรณี 1 ราย หอผู้ป่วยพิเศษอายุรกรรม วันที่ 16 ก.ค. ถึง 9 ต.ค. 2566 รวม 88 วัน มีขั้นตอนดังนี้ 1. ค้นหาปัญหา 2. ให้การพยาบาลและกิจกรรม 3. สรุปผล ผลการศึกษา: จากการศึกษาผู้ป่วยมีความยุ่งยากซับช้อน พยาบาลจำเป็นต้องใช้ความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการพยาบาล เป็นศูนย์กลางประสานงานร่วมวางแผนดูแลกับ ทีมแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ 4 สาขา ทีมสหวิชาชีพ ทีมหลักประกันสุขภาพ ทีมชุมชนดูแลต่อเนื่อง ดังนั้นพยาบาลผู้ปฏิบัติการ พยาบาลขั้นสูงจึงมีความสำคัญยิ่ง เพื่อให้ผู้ป่วยปลอยภัยและญาติประทับใจ ข้อเสนอแนะ: ควรพัฒนาสมรรถนะพยาบาลให้สามารถปฏิบัติการพยาบาลขั้นสูงตามแนวทางอย่างมี ประสิทธิภาพตรงตามมาตรฐานวิชาชีพ คำสำคัญ: การปรับตัว ผู้ดูแล โรคปอดอักเสบ บทบาทพยาบาลขั้นสูง


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 77 065 กรณีศึกษา : การพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้ายที่มีภาวะลำไส้อุดตัน สมพร พัฒนากุล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา บทคัดย่อ มะเร็งลำไส้ใหญ่เป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 3 ของโลก โดยพบมากถึงร้อยละ 20.7 ของมะเร็งใน ผู้ป่วยเพศชาย อุบัติการณ์รายใหม่ในประเทศไทยปี พ.ศ. 2563 พบจำนวนร้อยละ 16.9 คนต่อแสนประชากร วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้ายที่มีภาวะลำไส้ อุดตัน กรณีศึกษา : ผู้ป่วยชายไทย อายุ 66 ปี ตรวจพบมะเร็งลำไส้ใหญ่ เมื่อปี 2563 รับการรักษาด้วยการ ผ่าตัดและให้เคมีบำบัดร่วมกับการฉายแสงครบ มารับการรักษาด้วยอาการ 1 วัน ก่อนมา ปวดท้อง อาเจียน แพทย์วินิจฉัยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะสุดท้ายร่วมกับมีภาวะลำไส้อุดตัน แพทย์รับไว้นอน โรงพยาบาลเพื่อรักษาแบบประคับประคอง ขณะนอนโรงพยาบาล มีปัญหาเรื่องปวดท้อง อาเจียน รับประทาน อาหารไม่ได้ จึงให้ยามอร์ฟีนฉีดเพื่อบรรเทาอาการปวด ครอบครัวขาดความมั่นใจในการดูแล พยาบาลร่วมกับ ทีมสหวิชาชีพ รวมถึงผู้ป่วยและญาติได้ร่วมกันวางแผนการดูแลตามหลัก D-METHOD แบบองค์รวม เพื่อให้ ตัดสินใจเลือกการรักษาในช่วงท้ายของชีวิตด้วยตนเอง ส่งผลให้ผู้ป่วยจากไปอย่างสงบสมศักดิ์ศรีความเป็น มนุษย์ รวมระยะเวลาการนอนโรงพยาบาล 15 วัน ผลลัพธ์ : ผู้ป่วยทุเลาอาการปวด ยอมรับภาวะเจ็บป่วย มีกำลังใจในการใช้ชีวิต ได้ทำในสิ่งที่ต้องการ และวางแผนการดูแลล่วงหน้า ตัดสินใจเลือกการรักษาในช่วงท้ายของชีวิตด้วยตนเองที่บ้าน ส่งผลให้บรรลุ เป้าหมายของการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบประคับประคอง คือการตายดี (good death) ประเมินความพึง พอใจต่อการดูแลแบบประคับประคองได้ร้อยละ 95.97 ข้อเสนอแนะ : เพื่อเป็นการพัฒนาเครือข่ายระบบการดูแลผู้ป่วยแบบประคับประคองทั้งใน โรงพยาบาลและชุมชน คำสำคัญ : มะเร็งลำไส้ใหญ่,การดูแลแบบประคับประคอง,การตายดี


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 78 066 กรณีศึกษา : การพยาบาลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองร่วมกับมีภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก นวลพร นวลกำแหง พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ กลุ่มงานการพยาบาล โรงพยาบาลพระทองคำเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา บทคัดย่อ ปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเกิดใหม่ราว 15 ล้านรายต่อปี เสียชีวิตประมาณ 5 ล้านราย ที่ เหลือพิการเป็นส่วนใหญ่ โดยจะมีความบกพร่องทางด้านร่างกายและปัญหาที่พบบ่อยคือ กล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ในร่างกายอ่อนแรง และอาจมีภาวะกลืนลำบาก (Dysphagia) เนื่องจากผู้ป่วยไม่สามารถเคี้ยวและกลืนอาหาร ได้ดี ทำให้สำลักอาหาร เศษอาหารเข้าไปในทางเดินหายใจและลงสู่ปอดนำไปสู่ปอดอักเสบ วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยหลอดเลือดสมองร่วมกับมีภาวะปอดอักเสบจากการ สำลัก กรณีศึกษา : ผู้ป่วยชายไทย อายุ 49 ปี มาด้วยอาการ 1 สัปดาห์ก่อนมา มีการอาการลิ้นแข็ง พูดไม่ ชัด แขนขาขวาอ่อนแรง ส่งต่อรพ.มหาราช และวันนี้ส่งกลับมารักษาต่อ แพทย์วินิจฉัย หลอดเลือดสมอง ร่วมกับมีภาวะปอดอักเสบจากการสำลัก ให้การรักษาโดยสารน้ำ อาหารทางสายยาง ยาปฏิชีวนะเพื่อลดการ ติดเชื้อ และการฟื้นฟูร่างกายด้านการกลืนและกล้ามเนื้อแขนและขา ผู้ป่วยตอบสนองต่อการรักษา กลืน อาหารได้เอง การวางแผนจำหน่ายระยะฟื้นฟูร่างกายการฟื้นฟูสภาพระยะกลาง (IMC) แก่ผู้ป่วยและญาติ ผู้ดูแลเรื่องการปฏิบัติตัวที่ถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน รวมระยะเวลานอนรักษา 4 วัน และติดตามอาการผู้ป่วย เริ่มช่วยเหลือตัวเองได้มากขึ้น ผลลัพธ์ : ผู้ป่วยหายจากการติดเชื้อที่ปอด กลืนอาหารได้ แขนขาขวามีกำลังเพิ่มขึ้นเดินได้เอง และ สามารถปฏิบัติตัวได้ถูกต้องเมื่อกลับไปอยู่บ้าน โดยมีคะแนนความพึงพอใจในการดูแลร้อยละ 92 ข้อเสนอแนะ: พัฒนาระบบการฟื้นฟูสภาพระยะกลาง (IMC) ในผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองตีบ คำสำคัญ : โรคหลอดเลือดสมอง โรคปอดอักเสบจากการสำลัก การฟื้นฟูสภาพระยะกลาง (IMC)


บทคัดย่อการนำเสนอผลงานวิขาการในการประชุมวิชาการสัญจรครั้งที่ 3/2566 สมาคมพยาบาลแห่งประเทศไทยฯ สำนักงานสาขาภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ณ โรงพยาบาลเลย วันที่ 24 พฤศจิกายน 2566 79 067 การพยาบาลผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการบำบัดทดแทนไต : กรณีศึกษา สุกัญญา จุลละสุวรรณ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลพิมาย จังหวัดนครราชสีมา บทคัดย่อ ความเป็นมาและความสำคัญ : ประเทศไทย ปี 2565 พบว่า 1 ใน 25 ของผู้ป่วย DM/HT มีภาวะ ไตวาย และต้องล้างไตมากถึง 62,386 ราย ร.พ.พิมาย พบว่าในปี 2563-2565 มีผู้ป่วยไตวายระยะ 3-5 จำนวน 4,194 ราย พบผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้องเพียง 120 ราย คิดเป็นร้อยละ 2.86 การปฏิเสธบำบัด ทดแทนไต มีผลทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น เกิดภาวะแทรกซ้อนซ้ำบ่อย มีผลเสียต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและ ครอบครัวมากขึ้น วัตถุประสงค์: เพื่อศึกษาการพยาบาลผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายที่ปฏิเสธการบำบัดทดแทนไต วิธีดำเนินการ : เลือกผู้ป่วยในคลินิกโรคไต ร.พ.พิมาย 1 ราย ใช้วิธีสัมภาษณ์เชิงลึก รวบรวมข้อมูล ประวัติผู้ป่วยจากเวชระเบียน วางแผนการพยาบาลโดยใช้กระบวนการพยาบาลและประเมินภาวะสุขภาพตาม แนวคิดแบบแผนสุขภาพของกอร์ดอน และลงเยี่ยมบ้าน ผลการศึกษา : ผู้ป่วยหญิงไทยวัย 71 ปี โรคประจำตัว ESRD with HT with DLP with Anemia มาด้วย อ่อนเพลีย หายใจหอบ R 26 /min P 90 /min BP 188/82 mmHg O2 Sat 93 % พบว่าผู้ป่วยมี ภาวะน้ำเกิน ซีด และ BPสูง แพทย์ Admit ได้รับการรักษาตามแผนการรักษาและได้ PRC 1 ยูนิต Admit 5 วัน หลังD/C ได้ไปเยี่ยมบ้าน 2 ครั้ง พบว่าผู้ป่วยยังขาดการดูแลเรื่องอาหาร การจำกัดน้ำ และไม่มีคนดูแล ข้อเสนอแนะ : ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย เป้าหมายการดูแลคือ ชะลอไตเสื่อม การได้รับโภชนาการ และสารน้ำที่เหมาะสม ทำให้ลดภาวะแทรกซ้อนได้ การรักษาเพียงอย่างเดียวมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนซ้ำๆ จึงควรติดตามดูแลเพื่อปรับพฤติกรรมสุขภาพและกระตุ้นให้ญาติมีส่วนร่วมในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง คำสำคัญ : ไตวายระยะสุดท้าย, ปฏิเสธการบำบัดทดแทนไต


Click to View FlipBook Version