The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

อ้วน โง่ ขี้เกียจ อ่อนแอ อัปลักษณ์ ตัวประหลาด เหม็น ป่าเถื่อน ถูกเปรียบเหมือนสัตว์ นุ่มนิ่ม ปวกเปียก ไร้สมรรถภาพทางเพศ สารพัดภาพความคิดที่มากับคำว่า ‘อ้วน’ และความรู้สึกอีกมากมายที่ผูกไว้กับ ‘ไขมัน’ น่ารังเกียจ ขยะแขยง สกปรก เหนียวเหนอะ มันลื่น

‘หมูตัวเมียที่เต็มไปด้วยไขมันที่กำลังเดินไปเดินมา ... ท่อใส่ของในครัวที่มีชีวิต’
Bartholomew Fair, เบ็น จอห์นสัน (1614)

หาก ‘อ้วน’ เป็นคำดูถูกที่รุนแรง หยาบคาย และเป็นที่ไม่ต้องการของใครหลายๆ คนในปัจจุบันแล้ว ก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดกับคำนี้ในอดีตที่ทั้งดูถูก ประณาม และสามารถทำลายภาพลักษณ์ต่อคนทุกชนชั้น ในขณะเดียวกัน ‘ไขมัน’ ก็ยังจำเป็นต่อร่างกาย เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความมีชีวิตชีวา เป็นภาพแทนของพละกำลังและอำนาจ เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต แล้วเราจะทั้งรักทั้งเกลียดคำว่า อ้วน!

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kanyarat T., 2022-07-25 05:52:30

ประวัติศาสตร์ความอ้วน อิทธิพลของไขมันที่ส่งผลต่อชะตากรรมมนุษยชาติ

อ้วน โง่ ขี้เกียจ อ่อนแอ อัปลักษณ์ ตัวประหลาด เหม็น ป่าเถื่อน ถูกเปรียบเหมือนสัตว์ นุ่มนิ่ม ปวกเปียก ไร้สมรรถภาพทางเพศ สารพัดภาพความคิดที่มากับคำว่า ‘อ้วน’ และความรู้สึกอีกมากมายที่ผูกไว้กับ ‘ไขมัน’ น่ารังเกียจ ขยะแขยง สกปรก เหนียวเหนอะ มันลื่น

‘หมูตัวเมียที่เต็มไปด้วยไขมันที่กำลังเดินไปเดินมา ... ท่อใส่ของในครัวที่มีชีวิต’
Bartholomew Fair, เบ็น จอห์นสัน (1614)

หาก ‘อ้วน’ เป็นคำดูถูกที่รุนแรง หยาบคาย และเป็นที่ไม่ต้องการของใครหลายๆ คนในปัจจุบันแล้ว ก็เทียบไม่ได้เลยกับสิ่งที่เกิดกับคำนี้ในอดีตที่ทั้งดูถูก ประณาม และสามารถทำลายภาพลักษณ์ต่อคนทุกชนชั้น ในขณะเดียวกัน ‘ไขมัน’ ก็ยังจำเป็นต่อร่างกาย เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ เป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความมีชีวิตชีวา เป็นภาพแทนของพละกำลังและอำนาจ เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของชีวิต แล้วเราจะทั้งรักทั้งเกลียดคำว่า อ้วน!

Keywords: โรคอ้วน

ประวัติศาสตร์ความอ้วน อิทธิพลของไขมันท่ีส่งผลต่อชะตากรรมมนุษยชาติ
FAT : A CULTURAL HISTORY OF THE STUFF OF LIFE

ครสิ โตเฟอร์ อ.ี ฟอรธ์ : เขยี น
กติ ติศกั ดิ์ โถวสมบัต:ิ แปล
ราคา 498 บาท

Fat A Cultural History of the Stuff of Life by Christopher E.Forth was first published by Reaktion Books, London, UK, 2019.
Copyright © Christopher E.Forth, 2019
Rights arranged through Big Apple Agency, Inc.
Thai translation right © 2022 by Gypsy Publishing Co., Ltd.

© ขอ้ ความและรปู ภาพในหนังสอื เล่มนี้ สงวนลิขสิทธติ์ ามพระราชบญั ญัตลิ ขิ สทิ ธิ์ (ฉบบั เพมิ่ เตมิ ) พ.ศ. 2558
การคัดลอกสว่ นใดๆ ในหนังสอื เล่มนี้ไปเผยแพร่ไม่วา่ ในรปู แบบใดต้องไดร้ บั อนุญาตจากเจา้ ของลขิ สทิ ธิก์ ่อน
ยกเว้นเพอ่ื การอา้ งอิง การวจิ ารณ์ และประชาสัมพนั ธ์

ขอ้ มูลทางบรรณานกุ รมของสำ�นักหอสมุดแหง่ ชาติ

National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
ฟอร์ธ, คริสโตเฟอร์ อี.

ประวตั ิศาสตร์ความอว้ น อิทธิพลของไขมนั ทีส่ ่งผลต่อชะตากรรมมนษุ ยชาติ = FAT: A cultural history of the stuff of life.
-- กรุงเทพฯ : ยิปซี กรุ๊ป, 2565.
488 หน้า.
1. โรคอ้วน. I. กิตติศักดิ์ โถวสมบัติ, ผู้แปล. II. ชื่อเรื่อง.
616.398
ISBN 978-616-301-759-8

บรรณาธกิ ารอำ�นวยการ : คธาวุฒิ เกนยุ้

บรรณาธกิ ารบรหิ าร : สุรชัย พงิ ชยั ภมู ิ

ท่ีปรึกษาฝ่ายตา่ งประเทศ : ศิริธาดา กองภา

บรรณาธิการเลม่ : จารุวรรณ นพรมั ภา

กองบรรณาธิการ : คณติ า สุตราม พรรณิกา ครโสภา วันวสิ า เขตรดง ณฎั ฐิภ์ ทั ร์ ศริ พึง่ เงนิ

เลขากองบรรณาธกิ าร : กนั ยารัตน์ ทานะเวช

พสิ ูจน์อักษร : ปทมุ ปทุมนภา

รูปเลม่ : Evolution Art

ออกแบบปก : Rabbithood Studio

ผู้อำ�นวยการฝ่ายการตลาด : นุชนนั ท์ ทกั ษณิ าบัณฑิต

ผ้จู ดั การฝ่ายการตลาด : ชติ พล จนั สด

ผู้จดั การทว่ั ไป : เวชพงษ์ รตั นมาลี

พิมพท์ ี ่ : บรษิ ัท วิชัน่ พรเี พรส จำ�กัด โทร. 0 2147 3175-6

จดั พมิ พแ์ ละจัดจ�ำ หน่ายโดย : บริษทั ยปิ ซี กรุป๊ จ�ำ กดั เลขที่ 37/145 รามค�ำ แหง 98

แขวง/เขตสะพานสงู กรงุ เทพฯ 10240

โทร. 0 2728 0939 โทรสาร 0 2728 0939 ตอ่ 108

www.gypsygroup.net

www.facebook.com/gypsygroup.co.ltd

LINE ID : @gypzy

สนใจสง่ั ซ้อื หนงั สือจ�ำ นวนมากเพือ่ สนับสนุนทางการศกึ ษา สำ�นักพิมพล์ ดราคาพเิ ศษ ติดตอ่ โทร. 0 2728 0939

ประวัติศาสตร์ความอ้วน

อิทธิพลของไขมนั ทีส่ ง่ ผลตอ่ ชะตากรรมมนุษยชาติ

FAT

A CULTURAL HISTORY OF THE STUFF OF LIFE

คริสโตเฟอร์ อี. ฟอรธ์
กติ ตศิ กั ด์ิ โถวสมบตั ิ แปล

ค�ำนำ� สำ� นักพมิ พ์

รู้สึกอย่างไรกับค�ำว่า อ้วน มีความคิดหรือทัศนคติแบบไหน จะเกิด
อะไรข้ึน เมื่อเราเดินทางหมุนรอบค�ำค�ำน้ีดูเหมือนจะเป็นทั้งค�ำดูถูก ด่าทอ
ที่เราได้ยินกันมาโดยตลอด หรือแม้แต่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงคนร�่ำรวย กิน
ดีอยู่ดี เพราะอะไรและท�ำไม

โสกราตีสนักคิดผู้ยิ่งใหญ่ท่ีมีร่างกายอ้วนท้วมก็ไม่พ้นไปจากการถูก
วิพากษ์วิจารณ์เร่ืองรูปลักษณ์, กษัตริย์ที่อ้วนจนกระทั่งหายใจล�ำบากและเดิน
ไม่ได้ ต้องเคลื่อนท่ีโดยมีคนแบกหามหรือแม้แต่ต้องสร้างส่ิงปกปิดร่างกาย
เพราะความอับอาย, มนุษย์ที่ในยุคหนึ่งถูกฆ่าเพื่อสกัดไขมันออกมาขายหรือ
ใช้เป็นยารักษาโรค, บางธรรมเนียมขุนให้เด็กผู้หญิงอ้วนเพ่ือแต่งงาน, สัตว์
เล้ียงถูกตอนเพ่ือให้อ้วนข้ึนก่อนถูกน�ำไปฆ่าเพื่อเป็นอาหารของมนุษย์, การ
จับคู่กันของคนอ้วนและคนผอมเพ่ือสร้างเผ่าพันธุ์ท่ีสมดุล, คนอ้วนมักมีลูก
ยาก ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบันดูเหมือนค�ำว่า อ้วน จะน�ำพาให้ผู้ได้ยินรู้สึกไป
ในทางลบเสมอ นอกจากตัวอย่างที่ยกมาข้างต้นแล้ว ยังมีเร่ืองราวเก่ียวกับ
ไขมัน สสารลื่น มัน เหนียว เหนอะ ท่ีเกี่ยวข้องในหลากหลายมิติ เกษตรกรรม
อาหารโภชนาการ วิทยาศาสตร์ การเมือง สังคม ศาสนา และทางการแพทย์
ทัศนคติและความเชื่อรวมถึงหลักปฏิบัติต่อร่างกายท่ีมีพัฒนาการตามยุคสมัย
ท่ีเปล่ียนไปและเรื่องราวอีกมากมายที่เกี่ยวกับค�ำว่า อ้วน

คริสโตเฟอร์ อี. ฟอร์ธ (Christopher E. Forth) เขียนหนังสือเล่ม
น้ีไว้อย่างครอบคลุม ไม่เพียงดึงเร่ืองราวที่น่าสนใจตามล�ำดับของช่วงเวลา
ในอดีตจนถึงปัจจุบันเท่าน้ัน แต่ยังผสมรวมไปด้วยเรื่องเล่า ความเชื่อ การ
อ้างอิงข้อมูลท่ีส�ำคัญตลอดจนรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ความคิดเห็นมากมาย
ท่ีล้วนแล้วแต่เติมเต็มให้หนังสือเล่มนี้สมบูรณ์

ส�ำนักพิมพ์ยิปซี

ค�ำนำ� ผแู้ ปล

ทุกเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนบนโลกใบน้ีล้วนเป็นประวัติศาสตร์ได้ทั้งส้ิน ไม่
ว่าจะเป็นเหตุการณ์ส่วนตัวหรือเหตุการณ์ในระดับโลก สงคราม ความยากจน
โรคภัยไข้เจ็บ และการเปลี่ยนผ่านทางสังคมท่ีส่ิงมีชีวิตท่ีเรียกว่า ‘คน’ ได้
ประสบพบเจอในแต่ละยุคสมัยต่างก็เป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ที่
สามารถถูกหยิบยกมากล่าวถึงเพ่ือแสดงความเป็นไปของโลกในอดีตอันส่ง
ผลมาถึงปัจจุบัน เราอาจกล่าวได้ว่า ทุกส่ิงทุกอย่างมีประวัติศาสตร์ของมัน
ทุกอย่างมีความเป็นมาและเป็นไป แม้แต่ ‘ความอ้วน’

หนังสือ ประวัติศาสตร์ความอ้วน อิทธิพลของไขมันท่ีส่งผลต่อ
ชะตากรรมมนุษยชาติ เล่มนี้ จะน�ำพาท่านผู้อ่านไปส�ำรวจความอ้วนในยุค
สมัยต่างๆ ผ่านมิติทางวัฒนธรรมและสังคม ท่านผู้อ่านจะได้เห็นว่า ไขมัน
ในอาหารที่สามารถท�ำให้ร่างกายอ้วนอวบขึ้นมาได้น้ันมีบทบาทอย่างไรใน
สังคมและวัฒนธรรมโบราณ ความอ้วนเท่ากับความอุดมสมบูรณ์เสมอไป
หรือไม่? ความอ้วนสัมพันธ์กับอ�ำนาจของชนชั้นปกครองหรือไม่ อย่างไร? ใช่
หรือไม่ที่อาการรังเกียจท่ีหลายคนมีต่อความอ้วนหรือความรู้สึกเชิงลบที่เกิด
ขึ้นกับคนอ้วนเป็นสิ่งประกอบสร้างทางวัฒนธรรม? และเหตุใดคนอ้วนจึงมัก
โดนมองว่าเป็นคนโง่และโดนกล่ันแกล้งอยู่เรื่อยไป? หนังสือเล่มนี้มีค�ำตอบ

ในโอกาสนี้ ผมขอขอบพระคุณส�ำนักพิมพ์ยิปซีที่เลือกผมเป็นผู้แปล
หนังสือเล่มนี้ ขอบพระคุณ คุณทราย บรรณาธิการที่ช่วยตรวจทานและแก้ไข
งานแปลเล่มน้ีอย่างละเอียด รวมท้ังปรับส�ำนวนให้เป็นมิตรต่อผู้อ่าน ผมหวัง
ว่าทุกท่านจะเพลิดเพลินกับหนังสือ ประวัติศาสตร์ความอ้วน อิทธิพลของ
ไขมันที่ส่งผลต่อชะตากรรมมนุษยชาติ ท่ีด�ำเนินเน้ือเรื่องไปอย่างสนุกสนาน
และมันเยิ้มเล่มน้ี

แล้วท่านจะมอง ‘ความอ้วน’ ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

กิตติศักดิ์ โถวสมบัติ
พฤศจิกายน, 2021

สารบัญ

บทน�ำ 9
25
ชีวิตท่ีอยู่ผิดท่ี



บทที่ 1 องค์ประกอบพ้ืนฐานของชีวิต

การคิดและการกระท�ำกับไขมัน

บทที่ 2 ความก�ำกวมอันอุดมสมบูรณ์ 53
จินตนาการทางเกษตรกรรม

บทท่ี 3 ความอยากอาหารยุคโบราณ
ความหรูหราฟุ่มเฟือยและภูมิศาสตร์แห่งความนุ่มนิ่ม 81

บทที่ 4 ความอ้วนแบบคริสต์ 117

พุงและสิ่งที่อยู่ข้างใต้

บทท่ี 5 ชนชั้นสูงอ้วน? 153
ความอ้วนในยุคกลาง

บทที่ 6 ไขมันแห่งแผ่นดิน 191
หรือ เหตุใดไก่ตัวผู้ที่ดีจึงไม่เคยอ้วน?

บทท่ี 7 ภาพลวงตาสปาร์ตัน
ร่างกายแบบยูโทเปียและความท้าทายแห่งยุคสมัยใหม่ 223

บทท่ี 8 ไขมันและความสง่างาม 261
ทลายมนต์เสน่ห์ของไขมัน?

บทที่ 9 ความปรารถนาอันป่าเถื่อน
ไขมัน ‘ดึกด�ำบรรพ์’ และ ความผอม ‘อันมีอารยะ’ 295

บทท่ี 10 ภาวะยูโทเปียทางร่างกาย 337
ความใฝ่ฝันสมัยใหม่แห่งการหลุดพ้น

บทสรุป 393

ความบริสุทธ์ิ ความเบา และน�้ำหนักของประวัติศาสตร์

อ้างอิง 411

กิตติกรรมประกาศ 481



บทน�ำ

ชวี ติ ทอ่ี ยูผ่ ิดท่ี

อ้ วน ค�ำน้ีก่อให้เกิดภาพต่างๆ และกระตุ้นความรู้สึกจ�ำนวนมาก บาง

ภาพและบางความรู้สึกก็เป็นไปในแง่บวก ร่างกายที่อวบอ้วนอาจดู
สวยงามและเป็นท่ีปรารถนา อาจกินพ้ืนท่ีในลักษณะท่ีท�ำให้ดูมีพลังอ�ำนาจ
และน่าเกรงกลัว อาจหมายถึงความสามารถในการอภิรมย์ไปกับความอุดม
สมบูรณ์ที่คนอ่ืนๆ ไม่สามารถมีได้ ความอ้วนที่นุ่มน่ิมอาจให้ความรู้สึกที่
ผ่อนคลายและกระตุ้นความรู้สึกทางเพศในรูปแบบที่แม้แต่ความผอมบาง
มีแต่กระดูกท�ำไม่ค่อยได้ อย่างดีที่สุด ความอ้วนอาจบ่งชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์
ของชีวิตเอง อย่างไรก็ตาม ในโลกปัจจุบันของเราความประทับใจเชิงบวก
เหล่าน้ีมักถูกบดบังด้วยความประทับใจในเชิงลบอยู่บ่อยคร้ัง ในทางการ
แพทย์และสื่อรวมท้ังงานเขียนของนักวิชาการและนักเคล่ือนไหวจ�ำนวนมาก
เกี่ยวกับเรื่องนี้ ค�ำว่า ‘อ้วน’ โดยปรกติแล้วถูกพิจารณาในแง่ของการสะสม
ของไขมันในร่างกายในรูปแบบของ ‘โรคอ้วน’ ซึ่งอาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ด้าน
สุนทรียศาสตร์ และ/หรือเหตุผลทางการแพทย์ และบ่อยคร้ังเป็นเป้าหมาย
ของการเลือกปฏิบัติ ท่ามกลางผู้ท่ีต้องการเข้าใจว่าร่างกายที่อวบอ้วนถูก
ตราหน้าไว้อย่างไรในช่วงไม่ก่ีปีมานี้ จากสามัญส�ำนึกท่ีว่าไขมันมีค่าเท่ากับ
ความอ้วนหรือความสมบูรณ1์ ได้เชื้อเชิญให้มีการวิเคราะห์ซ่ึงแสดงให้เห็นว่า

9

อว้ น

อุดมคติเกี่ยวกับสุขภาพ อาหาร และความงามเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
และข้ามขอบเขตทางวัฒนธรรมไปพร้อมกับส่งผลกระทบต่อกลุ่มคนต่างๆ ใน
แนวทางท่ีแตกต่างกัน ผลของการศึกษาเหล่านี้ท�ำให้เกิดความรู้ความเข้าใจ
อย่างถ่องแท้ท่ีส�ำคัญหลายประการ ผู้ชายอ้วนมักถูกตราหน้าว่าอ่อนแอและ
มีลักษณะเหมือนผู้หญิง แต่ผู้หญิงอ้วนเจ็บปวดกับการถูกเลือกปฏิบัติและการ
ประณามที่รุนแรงกว่าในเร่ืองของโอกาสในการท�ำงาน เงินเดือน การดูแล
รักษาทางการแพทย์ ความสัมพันธ์เชิงชู้สาว และพ้ืนที่ส่ือที่ได้รับความนิยม
นอกจากความอับอายท่ีติดมากับความอ้วนแล้ว ความอ้วนยังกระจายตัวอยู่
ในเส้นแบ่งทางสังคมและเศรษฐกิจซึ่งท�ำให้กลุ่มคนชายขอบเกิดความเสีย
เปรียบในแง่มุมทางเชื้อชาติ ชาติพันธุ์ และชนช้ัน อุดมคติทางร่างกายและ
ระดับของความไม่พึงพอใจที่แตกต่างกันในวัฒนธรรมตะวันตกและที่ไม่ใช่
ตะวันตกรวมถึงบริบทระหว่างเมืองและชนบท ที่จริงแล้วระดับของความไม่
พึงพอใจในร่างกายของผู้หญิงในพื้นท่ีท่ีไม่ใช่ตะวันตกนั้นเพิ่มขึ้นตามอัตรา
ของการเสพส่ือตะวันตก2 โดยไม่ต้องสนใจว่าจะมีจุดยืนต่อเรื่องน้ีอย่างไร ข้อ
เท็จจริงเหล่าน้ีดูเหมือนจะตรงไปตรงมาไม่มากก็น้อย

ยังไม่มีค�ำอธิบายว่าท�ำไมการพัฒนาเหล่านี้จึงเกิดข้ึนอย่างท่ีพวกเขา
ท�ำ แต่การศึกษาทางวิชาการในหัวข้อน้ีก็สะท้อนให้เห็นถึงสมมติฐานที่มี
ร่วมกันอย่างกว้างขวาง เม่ือพูดถึงความชื่นชอบในความอ้วน การแบ่งแยก
ทางภูมิศาสตร์ระหว่างตะวันตกและ ‘ส่วนท่ีเหลือ’ ไม่เพียงถูกมองข้าม แต่
ยังถูกแบ่งย่อยลงไปอีกด้วยเรื่องของเวลาภายในวัฒนธรรมตะวันตก นัก
วิชาการหลายคนแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างการยอมรับในความ
อ้วนก่อนสมัยใหม่ว่า เป็นสัญลักษณ์ของสุขภาพ ความสมบูรณ์ และความ
งาม และการปฏิเสธความอ้วนในยุคสมัยใหม่ว่าเป็น ‘โรคอ้วน’ ซ่ึงเป็นสิ่งท่ี
ไม่ดีต่อสุขภาพ น่าเกลียด และมีความเช่ือมโยงกับความยากจน3 ดังนั้นค่า
นิยมในการต่อต้านความอ้วนแบบสมัยใหม่ดูเหมือนจะชัดเจนในตัวมันเอง
นักวิชาการคนหน่ึงถึงกับต้ังช่ือโลกก่อนสมัยใหม่ท้ังหมดว่าเป็น ‘ช่วงเวลา

10

บทน�ำ

ก่อนความอ้วน’4 นักวิชาการจ�ำนวนมากสนับสนุนแนวคิดน้ีโดยปริยาย ด้วย
การยนื ยนั ว่าทศั นคติแบบเหมารวมเกย่ี วกับการตอ่ ตา้ นความอ้วนของพวกเรา
ในปัจจุบันนั้น เป็นปรากฏการณ์ใหม่ที่ทันสมัยอย่างเห็นได้ชัด ถูกพัฒนามา
อย่างลงตัวและเริ่มต้ังแต่ศตวรรษท่ีสิบหกและกลายเป็นส่ิงที่ชัดเจนมากขึ้น
ต้ังแต่ทศวรรษ 1920 แม้ว่าพวกเขาจะกล่าวเกินจริงถึงขอบเขตท่ีร่างกาย
อ้วนได้รับการช่ืนชมในช่วงเวลาก่อนหน้า แต่ส่วนใหญ่ก็แสดงให้เห็นอย่าง
โน้มน้าวใจว่า ความเกลียดชังความอ้วนกลายเป็นส่ิงท่ีรุนแรงโดยเฉพาะใน
ช่วงปลายศตวรรษท่ีย่ีสิบ เมื่อจับต้นชนปลายข้อค้นพบท้ังหลายเข้าด้วยกัน
ท�ำให้เข้าใจได้ว่า แนวคิดเก่ียวกับสุขภาพและความงามเป็นส่ิงประกอบสร้าง
ทางวฒั นธรรมซง่ึ เปน็ เหตผุ ลวา่ ทำ� ไม คำ� เตอื นในสอ่ื และทางการแพทยเ์ กย่ี วกบั
ความเสี่ยงด้านสุขภาพและความงามของ ‘โรคอ้วน’ จึงมักถูกโต้แย้งด้วย
ข้อเตือนใจที่ว่า ส่ิงท่ีเป็นเหมือนแหล่งก�ำเนิดของความน่ารังเกียจในสายตา
ชาวตะวันตกสมัยใหม่ ที่จริงแล้วอาจเป็นหลักฐานของสุขภาพท่ีดี อ�ำนาจ
และความงามในที่อ่ืนๆ หรือในช่วงเวลาอื่นๆ ก็เป็นได้ จากสมมติฐานเหล่านี้
นักวิชาการจ�ำนวนมากเห็นด้วยอย่างมีนัยกับบางรูปแบบของแนวคิดที่ว่า
ประวัติศาสตร์ของส่ิงที่เรียกขานกันว่า โรคอ้วนเป็นเรื่องราวของ ‘ส่ิงท่ีดีกลาย
มาเป็นส่ิงที่น่าเกลียดและเลวร้ายได้อย่างไร’5

จากแง่มุมนี้ ความอ้วนจึงเป็นตัวอย่างหนึ่งของสิ่งที่นักมานุษยวิทยา
แมรี ดักลาส (Mary Douglas) อธิบายว่า เป็น ‘สิ่งที่อยู่ผิดที่’ ในระบบทาง
วัฒนธรรมท่ีได้รับการจัดระเบียบทางแนวคิดและค่านิยมเก่ียวกับสุขภาพ
และความงาม6 ในแง่มุมของ ‘ร่างกายที่เกินขอบเขต’ ท่ีอ้างถึงบทความการ
ศึกษาในหัวข้อความอ้วนในยุคแรกๆ7 ว่า การรับรู้เก่ียวกับความอ้วนถือเป็น
ผลกระทบ ของวฒั นธรรม ในขณะทมี่ คี วามจรงิ อยมู่ ากในคำ� กลา่ วอา้ งเหลา่ นนั้
รูปแบบหนึ่งของ ‘ทฤษฎีประกอบสร้างแบบตอบสนองอัตโนมัติ (knee-jerk
constructivism)’ ก�ำลังมีผลท่ามกลางคนจ�ำนวนมาก ท่ีดูเหมือนว่าพวกเขา
มีส่วนร่วมอย่างมีวิจารณญาณกับความคิดครอบง�ำเกี่ยวกับขนาดของร่างกาย

11

อว้ น

ซึ่งบ่อยครั้งลดความส�ำคัญหรือมองข้ามเก่ียวกับความต่อเน่ืองมีผลกระทบต่อ
การเปลี่ยนแปลงอย่างไรเม่ือเวลาผ่านไป นอกจากน้ี ในความกังวลอย่างมี
เหตุผลของพวกเขาที่ว่าวัฒนธรรมส่งผลอย่างไรต่อการรับรู้เก่ียวกับร่างกาย
บ่อยครั้งท่ีพวกเขาไม่ได้พิจารณาถึงลักษณะทางกายภาพของความอ้วนว่า
จะส่งผลอย่างไรต่อความคิดทางวัฒนธรรม8 อย่างที่เรารู้อยู่แล้วว่าความอ้วน
ได้หักเหออกไปผ่าน ‘กรอบ’ ทางความคิดท่ีเราใช้ในการท�ำความเข้าใจมัน9
ความแน่นอนจ�ำนวนมากที่ปรากฏออกมามีความชัดเจนน้อยลงในตัวมันเอง
เมื่อเราใช้ช่วงเวลาที่กว้างขึ้นและตั้งค�ำถามท่ีต่างไป เราจะหมายถึงอะไรเม่ือ
เราพดู ถงึ ความอว้ น ตวั อยา่ งเชน่ ความโดดเดน่ ของทรรศนะทเี่ ปน็ ทถี่ กเถยี งกนั
อย่างมากในยุคสมัยใหม่ มีบทบาทส�ำคัญอย่างไม่ต้องสงสัยเลยในบรรทัดฐาน
ใหม่ๆ ด้านสุนทรียศาสตร์ ที่แพร่กระจายออกไปอย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง
ยาวนานตั้งแต่ศตวรรษท่ีสิบหกเป็นต้นมา แต่การน�ำเสนอความแตกต่าง
อยา่ งชัดเจนหรอื ง่ายดายเกินไปเกีย่ วกบั วธิ ที ี่ผูค้ นมองร่างกายจากยคุ สมยั และ
วัฒนธรรมท่ีต่างกัน เท่ากับการมองข้ามแนวทางจ�ำนวนมากและบางคร้ังก็
ขดั แยง้ กนั ซงึ่ รา่ งกายอาจถกู รบั รแู้ ละมปี ระสบการณใ์ นชว่ งเวลานน้ั ๆ10 นอกจาก
น้ี การทึกทักว่าการรับรู้ของร่างกายในยุคสมัยใหม่กลายเป็นสิ่งที่ชัดเจนด้วย
การมองเห็นทางสายตา ไม่ได้อธิบายว่ามีความเกี่ยวพันกันอย่างไรในการรับรู้
ของโลก และไม่ได้พิจารณาถึงบทบาทที่ยังคงมีอยู่ของประสาทสัมผัสท่ีไม่ใช่
การมองเห็นในการประเมินร่างกาย11 การเน้นย�้ำ ภาพ โดยปราศจากการ
พิจารณา อวัยวะภายใน นับเป็นการลดทอนความรุ่มรวยของ ‘ความอ้วน’
ให้เหลือเพียงไม่กี่มิติ มันเป็นการเพิกเฉยต่อความเป็นไปได้ที่ว่า ปัจจัยอื่นๆ
อาจจะมีบทบาทต่อความหมกมุ่นกับความแข็งแรงของร่างกายอันผอมบาง
ของพวกเราในปัจจุบัน12

เรื่องน้ีเข้าใจได้ยากกว่าที่หลายคนตั้งสมมติฐานเอาไว้ ความอ้วน
อยู่เหนือกรอบความคิดท่ีเราคุ้นเคย เราไม่จ�ำเป็นต้องมองไปไกลถึงการ
ตอบสนองของอวัยวะภายในที่ซับซ้อน ท่ีความอ้วนสามารถแสดงออกมา

12

บทน�ำ

ในศตวรรษที่ย่ีสิบเอ็ด ลองพิจารณาตัวอย่างหน่ึงในนิยายของจอยซ์ แคโรล
โอตส์ (Joyce Carol Oates) เรื่อง Middle Age: A Romance (2001) มี
การบรรยายถึงความอ้วนอยู่มากมายท่ีอัดแน่นอยู่ในฉากท่ีโดดเด่นฉากเดียว
ในเรื่องน้ีตัวเอกโรเจอร์ (Roger) ได้พบกับทนายความที่ซอมซ่อคนหนึ่ง ช่ือ
เรจินัลด์ ‘บูมเมอร์’ สไปรส์ (Reginald ‘Boomer’ Spires) เป็นชายหนัก 135
กิโลกรัมหรือ 300 ปอนด์ ซึ่งเป็นเจ้าของก้อนเน้ืออัน ‘อ้วนท้วน ขาวซีด และ
มันล่ืน’ ติดอยู่ในห้องท�ำงานท่ีทรุดโทรม ร่างกายของเขาและสภาพแวดล้อม
โดยรอบเป็นหลักฐานถึงหน้าที่การงานและสถานะการมีตัวตนของเขา ในแวบ
แรกส่ิงนี้ดูเหมือนเป็นกรณีคลาสสิกของความอ้วนที่เป็นสัญลักษณ์ของความ
สามารถในการเคล่ือนไหวที่ตกต่�ำ13 แต่ความเฉพาะเจาะจงของการตกหล่น
จากความสงา่ งามนี้ เผยใหเ้ หน็ ถงึ ประเดน็ ตา่ งๆ ทไี่ มอ่ าจลดทอนไดง้ า่ ยดายนกั
จากสถานะทางสังคมและเศรษฐกิจ โรเจอร์ตอบสนองด้วยความรังเกียจใน
ทนั ที เขาไมเ่ คยพบเจอ ‘ตวั อยา่ งของความเปน็ มนษุ ยท์ น่ี า่ สะอดิ สะเอยี นเชน่ น้ี
มาก่อน ร่างกายของบูมเมอร์ดูเหมือนจะประกอบด้วยช้ันไขมัน และไขมันท่ี
ไหลเยิ้มออกมา ... บวมพองราวกับซากศพท่ีจมน้�ำ’ การรับรู้ได้ถึงความเสี่ยง
ของการปนเปื้อนท�ำให้การพบเจอครั้งน้ีมืดมนยิ่งกว่าเดิม เมื่อโรเจอร์พยายาม
ต่อสู้กับแรงกระตุ้นท่ีจะปฏิเสธการจับมือท่ี ‘ชื้นแฉะและเหนียวเหนอะ’ ของ
ชายอ้วนคนน้ี และสงสัยว่า ‘การจับมือท�ำให้ติดเช้ือได้หรือไม่?’ เนื้อหนังของ
บูมเมอร์ท�ำให้นึกถึงสุภาษิตที่ว่า ‘คุณกินอะไรคุณก็เป็นอย่างน้ัน’ เน้ือหนังที่
‘เหนียว-มัน’ ดูเหมือนจะมีคุณสมบัติของไขมันท่ีกินได้และคาร์โบไฮเดรตซ่ึง
มักเชื่อกันว่าเป็นส่ิงท่ีท�ำให้อ้วน (และเป็นส่ิงท่ีเราทึกทักกันว่าเขาบริโภคอยู่
เป็นประจ�ำ) การมองเห็นเน้ือหนังของเขาเชิญชวนให้มีการคาดการณ์ไปถึง
การสัมผัสโดยไม้ต้องใช้การสัมผัสจริงๆ เช่นเดียวกับช่ือเล่นในการ์ตูนที่มุ่ง
หวังให้เกิดเสียง ‘บูม’ ซ่ึงเป็นเสียงเกินจริงท่ีมักจินตนาการถึงเวลาที่ร่างกายท่ี
ใหญ่โตมากๆ ส่งเสียงออกมาเวลาก้าวเดิน ไม่ใช่เพียงแค่เป็นรูปลักษณ์ที่ไม่พึง
ประสงค์เท่าน้ัน ความอ้วนของบูมเมอร์ยังท�ำให้โรเจอร์นึกถึงความบวมพอง

13

อว้ น

ของความตายและการเสื่อมสลาย (‘ซากศพท่ีจมน�้ำ’) และบางอย่างท่ีแทบ
จะไม่ใช่มนุษย์ (ตัวอย่างท่ี ‘น่าสะอิดสะเอียน’) แม้ว่าจะมีปฏิกิริยาท่ีรุนแรง
เช่นน้ัน แต่โรเจอร์ก็ไม่สามารถยอมรับความแตกต่างโดยสมบูรณ์ของทนาย
ผโู้ ชครา้ ยคนนไ้ี ด้ ความอว้ น ความลม้ เหลว ความใกลช้ ดิ กบั ความตายไมม่ ใี ครมี
ภูมิต้านทานต่อสิ่งเหล่าน้ี เขาบอกตัวเองว่า ‘มันอาจเกิดขึ้นกับนายก็ได้ เพ่ือน
มันไม่เคยสายเกินไป’14 การตอบสนองต่อร่างกายของบูมเมอร์ท�ำให้โรเจอร์มี
ประสบการณ์กับสิ่งท่ีสเตฟานี ลอว์เลอร์ (Stephanie Lawler) เรียกว่า ความ
กังวลใจใน ‘การรับรู้ของ (และความหวาดกลัวใน) ความเป็นสิ่งเดียวกัน’ ซึ่ง
การดึงความน่ารังเกียจออกมาอาจจะกระตุ้นให้เกิดขึ้น15

การพบเจอในนิยายนี้แสดงลักษณะส�ำคัญของความรู้สึกขยะแขยงบาง
ประการท่ีถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางต่อการรับรู้ท่ีคนเรามีต่อความอ้วนในทุก
วันน้ี พอล แคมโปส (Paul Campos) เขียนไว้ในหนังสือ The Obesity Myth
ว่า ‘หากคนเราถูกบังคับให้อธิบายด้วยคำ� จำ� นวนหกค�ำส�ำหรับความโหดเห้ียม
ที่ไม่สามารถอธิบายได้ของสงครามอเมริกันที่มีต่อความอ้วน ค�ำอธิบายน้ันก็
คือ ชาวอเมริกันคิดว่าความอ้วนเป็นส่ิงที่น่ารังเกียจ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ
ถือเป็นส่ิงท่ีส�ำคัญมากในระดับวัฒนธรรมและการเมือง และตรงไปตรงมา
อย่างนั้นเลย’ มีหลักฐานมากมายที่ยืนยันข้อสังเกตน้ี ความรังเกียจความอ้วน
ไม่เพียงถูกบันทึกอยู่อย่างกว้างขวางในส่ือและวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยม
เท่าน้ัน แต่การศึกษาจ�ำนวนมากในหลายประเทศแสดงให้เห็นถึงอคติการ
ต่อต้านความอ้วนอย่างเห็นได้ชัด ในหมู่บุคลากรทางการแพทย์ได้กล่าวถึง
ความนา่ เกลียดของคนไข้ ว่าเป็นเหมือนกับความบกพร่องในการควบคุมจติ ใจ
ตนเอง และการไม่ปฏิบัติตามค�ำแนะน�ำทางการแพทย์ ซ่ึงเป็นเหตุผลหลัก
ส�ำหรับความไม่พอใจและการดูถูกท่ีบ่อยคร้ังพวกเขาไม่สามารถปกปิดไว้ได1้ 6
แม้ว่าศัพท์เฉพาะทางวิทยาศาสตร์ท่ีใช้วัดมวลร่างกายและส่วนสูงเสนอความ
จ�ำเป็นในการท�ำให้ร่างกายผอมลงว่า เป็นเรื่องธรรมดาแต่เร่งด่วนเกี่ยวกับ
สุขภาพและการควบคุมตนเอง แต่อคติของเราที่มีต่อความอ้วนก็สะท้อนให้

14

บทนำ�

เห็นถึงอารมณ์อันทรงพลัง แต่นั่นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากความแปลกแยกหรือ
ความเพิกเฉยต่อความอ้วน และแม้ว่าแคมโปสจะให้ความสนใจกับประเทศ
สหรัฐอเมริกา แต่ทัศนคติของคนอเมริกันที่มีต่อความอ้วนกลับเป็นเรื่องของ
คนเฉพาะถิ่น บ่อยครั้งมักถูกพูดเกินจริง และเป็นปรากฏการณ์ที่ขยายออกไป
ในวงกว้าง เม่ือพิจารณาว่าความคิดแบบเหมารวมเกี่ยวกับการต่อต้านความ
อ้วนแพร่กระจายอย่างไรในบริบทสาธารณะที่โดยท่ัวไปแล้วไม่ยอมรับการ
แสดงออกถึงการเหยียดเชื้อชาติ ความเกลียดชังเพศหญิง และความรังเกียจ
รักร่วมเพศ แคมโปสยังให้เหตุผลต่อไปอีกว่า ความรังเกียจความอ้วนเกิด
‘จากการมองเห็นผู้คนท่ีมีน�้ำหนักเท่าไหร่ก็ตามตั้งแต่มากไปน้อย มากกว่า
ข้อจ�ำกัดในแนวคิดทางวัฒนธรรมท่ีไร้เหตุผลของเราในปัจจุบัน’

แคมโปสพูดถูกเกี่ยวกับความคล้ายคลึงกันระหว่างค่านิยมต่อต้าน
ความอ้วนและอคติในรูปแบบอื่นๆ18 แต่ผู้ท่ีศึกษาความรังเกียจเห็นพ้องต้อง
กันว่าการมองเห็นไม่ใช่ส่ิงท่ีส�ำคัญท่ีสุดในอารมณ์อันซับซ้อนน้ี เมื่อสรุปรวม
ผลการค้นพบของนักมานุษยวิทยาและนักจิตวิทยาเข้าด้วยกัน นักปรัชญา
มาร์ธา นุสส์บาม (Martha Nussbaum) ได้ช้ีให้เห็นถึงบทบาทส�ำคัญของ
การสัมผัสในการท�ำให้เกิดความรังเกียจ นี่เป็นเพราะว่า ‘ประเด็นหลักคือ
การข้ามพรมแดนจากโลกเข้าสู่ตัวตน’ ดังท่ีเขียนไว้ว่า

ความรังเกียจเกี่ยวข้องอย่างแนบแน่นกับประสาทสัมผัสทั้งสามซ่ึง
แนวคิดทางปรัชญาแบบด้ังเดิมเรียกว่า ‘กายสัมผัส’ มากกว่าท่ีจะ
เป็นประสาทสัมผัสที่ต้องใช้ส่ือกลางหรือระยะทาง กล่าวคือ การจับ
การดม และการรับรส มากกว่าจะเป็นการมองเห็นหรือการได้ยิน19

จากแง่มุมนี้ ความรังเกียจเป็นการตอบสนองต่อการสัมผัสท่ีเกิดขึ้นจริงหรือ
ที่คาดหวังไว้กับบางอย่างท่ีเป็นรูปธรรม นักจิตวิทยาและนักปรัชญาที่ศึกษา
ความน่ารังเกียจยังมีแนวโน้มท่ีจะเห็นด้วยว่า เม่ือมองลึกลงไปในจิตใจแล้ว

15

อ้วน

ความรู้สึกรังเกียจน้ีเกิดจากการรวมกันของความไม่พึงประสงค์ หรือท่ีไม่อาจ
ทนได้ ซึ่งท�ำให้นึกถึงความเป็นสัตว์ (หรือสิ่งมีชีวิต) และความตาย โครงสร้าง
ในการรับรู้ของความรังเกียจมีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกิจกรรมต่างๆ เช่น
การกิน เพศสัมพันธ์ และการขับถ่ายรวมทั้ง ‘ส่ิงห่อหุ้มร่างกายอันเปราะ
บางที่เมื่อแตกออกก็เผยให้เห็นถึงเลือดและเครื่องในอันอ่อนนุ่ม’ ของเรา20
โครงสร้างในการรับรู้ของความรังเกียจวางอยู่บนรูปแบบหนึ่งของ ‘ความ
คิดแบบไสยศาสตร์’ ซึ่งไม่ยอมรับความเป็นจริงของอนิจจังและความเส่ือม
สลายว่าเป็นสิ่งจ�ำเป็นในชีวิต

ความรังเกียจ ... ขจัดทั้งความเป็นสัตว์โดยทั่วไปและความตายที่เด่น
ชัดอย่างมากในความเกลียดชังที่เรามีต่อความเป็นสัตว์ ... ผลผลิตที่น่า
รังเกียจเป็นสิ่งท่ีเช่ือมโยงเข้ากับความเปราะบางของเราต่อการเส่ือม
สลายและต่อการกลายเป็นของเสียเสียเอง21

โครงสร้างของความรู้สึกรังเกียจโดยธรรมชาติแล้วเป็นอุดมคติ เกือบจะเป็น
ส่ิงที่อยู่ในดินแดนอันสมบูรณ์แบบ คอลลิน เเม็คกินน์ (Colin McGinn) ถึง
กับเรียกมันว่า ‘อารมณ์ทางปรัชญา’ ซ่ึง ‘เราใช้วัดความแตกต่างระหว่างโลก
เป็นอย่างไรจริงๆ กับเราอยากให้โลกเป็นอย่างไร’22

แมว้ า่ จะมกี ารพดู ถงึ ความตายและความเสอื่ มสลาย ธรรมชาตทิ แี่ ทจ้ รงิ
ของความรังเกียจไม่ใช่ปฏิกิริยาท่ีเกิดขึ้นต่อความตายท่ีคนเราเผชิญกับ
การสูญสลายของการด�ำรงอยู่ในท้ายท่ีสุด นี่เป็นเพราะว่า ‘ชีวิต’ น้ัน คือ
ชีวิตอินทรีย์ ท�ำให้เกิดกระบวนการการให้ก�ำเนิดที่ส�ำคัญซ่ึงมีอยู่ก่อนและ
ไม่หยุดลงไปพร้อมกับความตาย โครงกระดูกท่ีแข็งและแห้งอาจเตือนเรา
ให้นึกถึงความตายและก่อให้เกิดความกลัว แต่ความน่ิมอันเหนียวนุ่มของ
ซากศพท่ีก�ำลังเน่าเปื่อยต่างหากที่น่าจะก่อให้เกิดความรู้สึกขยะแขยงได้
มากกว่า การตอบสนองท่ีเต็มไปด้วยความกังวลต่อชีวิตเป็นที่พูดถึงของคน

16

บทน�ำ

จ�ำนวนมากที่ศึกษาความน่ารังเกียจ ตามความคิดเห็นของฌอร์ฌส์ บาตัยย์
(Georges Bataille) สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวท่ีสุดเก่ียวกับความตายไม่ใช่ ‘การ
สูญสลายอันขมขื่นของการด�ำรงอยู่’ ที่เกิดจากความตาย แต่เป็นความน่า
สะอิดสะเอียน เป็น ‘การแตกสลายของผู้ท่ีมีความรู้สึกคลื่นเหียน’ ท่ีมาพร้อม
กับความตระหนักรู้ว่า ‘ฉันจะกลับสู่ธรรมชาติอันน่าสมเพชเวทนาและฝีหนอง
นิรนามท่ีไม่มีส้ินสุดซึ่งคือความตายท่ีขยายยืดออกไปราวค่�ำคืน’23 ด้วยเหตุนี้
ชีวิตและความตายจึงด�ำรงอยู่บนความต่อเนื่องซ่ึงบ่อยครั้งขัดแย้งกับเจตนา
ต่างๆ ของมนุษย์ อาจเป็นไปได้ว่า จากมุมมองมนุษยนิยมส่ิงท่ีท�ำให้เกิดความ
รังเกียจคือรูปแบบที่ ‘ผิด’ ของชีวิต รูปแบบท่ีไม่สนใจแผนการต่างๆ ของเรา
และกล้าท่ีจะทอดทิ้ง ‘เรา’ ไว้ข้างหลัง24 นักประวัติศาสตร์วิลเลียม มิลเลอร์
(William Miller) เห็นด้วยว่า

สิ่งท่ีน่าประหลาดใจคือ ความน่ารังเกียจเป็นความสามารถในการดำ� รง
อยู่ของชีวิต ไม่ใช่เพียงเพราะการมีชีวิตบอกเป็นนัยถึงความตายและ
ความเสื่อมสลายท่ีสัมพันธ์กัน แต่เพราะความเส่ือมสลายนั่นเองที่ดู
เหมือนจะท�ำให้เกิดชีวิต ภาพของความเส่ือมสลายเปล่ียนแปลงเป็น
ภาพของความสมบรู ณแ์ ละเปลยี่ นกลบั สคู่ วามเสอ่ื มสลายอกี ครง้ั ดงั นน้ั
ความตายจึงน่าสะพรึงกลัวและน่ารังเกียจไม่ใช่เพียงเพราะมันส่ง
กลน่ิ เหมน็ ชวนขยะแขยง แตเ่ ปน็ เพราะมนั ไมใ่ ชจ่ ดุ จบของกระบวนการ
แห่งชีวิตแต่เป็นส่วนหน่ึงของวัฏจักรของการเกิดซ้�ำชั่วนิรันดร์25

หากความรังเกียจเป็นการตอบสนองต่อข้อเท็จจริงท่ีมักไม่เป็นที่พอใจ
ของชวี ติ อนิ ทรยี แ์ ละรปู ลกั ษณข์ องมนษุ ยแ์ ลว้ บางทคี วามรงั เกยี จในไขมนั กถ็ กู
ท�ำให้เกิดข้ึนจากความวิตกกังวลที่คล้ายๆ กัน เหตุผลส�ำหรับการเสนอเช่นน้ี
หนักแน่นมากข้ึนเม่ือเราพิจารณาว่าในทางประวัติศาสตร์บ่อยเพียงใดท่ีไขมัน
เองมีความสัมพันธ์กับความมีชีวิตชีวา ความอุดมสมบูรณ์ และธรรมชาติของ

17

อว้ น

ส่ิงมีชีวิต กระท่ังถึงจุดที่ได้รับการอธิบายว่าเป็น ‘องค์ประกอบของชีวิต’26 ใน
แง่น้ี ความรังเกียจที่มีต่อไขมันท�ำให้เกิดความคลุมเครือเก่ียวกับข้อเท็จจริงที่
ว่า มนุษย์เป็นรูปแบบทางกายภาพเช่นเดียวกับความสงสัยเก่ียวกับโลกวัตถุ
ท่ีกว้างขึ้นซ่ึงอยู่ในร่างกายเหล่าน้ัน มิลเลอร์กล่าวไว้ว่า

ท้ายท่ีสุดแล้ว รากฐานของความรังเกียจท้ังหมดคือตัวเรา เรามีชีวิต
แล้วก็ตายไป และกระบวนการนี้เป็นความยุ่งเหยิงท่ีปลดปล่อยสสาร
และส่งกลิ่นซึ่งท�ำให้เราสงสัยในตัวเราเองและหวาดกลัวสิ่งท่ีอยู่รอบๆ
ตัวเรา27

ความรังเกียจต่อความอ้วนบ่อยครั้งถูกมองว่าเป็นการตอบสนองต่อ ‘สิ่งท่ี
อยู่ผิดที่’ และอาจเป็นปฏิกิริยาต่อ ‘ชีวิตที่อยู่ผิดที่’ ได้อีกด้วย วลีนี้เป็นค�ำ
อธิบายท่ี ออเรล โคลนาย (Aurel Kolnai) ใช้เพ่ืออธิบายร่างกายที่ ‘มีชีวิต
ชีวามากเกินไป’ เกินกว่าท่ีวัฒนธรรมน้ันๆ เห็นว่าเหมาะสม28



การถามคำ� ถามที่ ‘ใหญ’่ เชน่ นอี้ าจดเู หมอื นเปน็ วธิ ที ป่ี ระหลาดสำ� หรบั การเรม่ิ ตน้
งานทางประวตั ศิ าสตร์ แต่สิ่งสำ� คญั สำ� หรับการอธบิ ายแนวทางทีม่ หี ลายแง่มุม
และมลี กั ษณะเปน็ สหวทิ ยาการทหี่ นงั สอื เลม่ นนี้ ำ� มาใช้ จากการศกึ ษาพฒั นาการ
ของทศั นคตแิ บบเหมารวม หนงั สอื ประวตั ศิ าสตรค์ วามอว้ น อทิ ธพิ ลของไขมนั
ทส่ี ง่ ผลตอ่ ชะตากรรมมนษุ ยชาติ เลม่ นเี้ หน็ วา่ การไตรต่ รองถงึ ความรงั เกยี จเปน็
ประโยชนใ์ นการพจิ ารณาแนวทางตา่ งๆ ในการรบั รแู้ ละทำ� ความเขา้ ใจรา่ งกาย
อว้ นในชว่ งเวลาตา่ งๆ นเี่ ปน็ ความจรงิ ประการแรก เพราะการศกึ ษาความรงั เกยี จ
แสดงให้เห็นว่า ไม่มีสิ่งใดที่มีความจ�ำเป็นหรือไม่อาจหลีกเล่ียงได้เกี่ยวกับ
อารมณ์รุนแรงที่ความอ้วนท�ำให้เกิดข้ึนในปัจจุบัน การคงไว้ซ่ึง ‘ความรังเกียจ
เป็นหลัก’ เป็นการปรับตัวเชิงวิวัฒนาการเพ่ือปกป้องมนุษย์จากการน�ำส่ิงที่

18

บทนำ�

อาจเปน็ อนั ตรายเขา้ สรู่ า่ งกาย นกั จติ วทิ ยาสงั คมบางคนแนะนำ� วา่ ความรงั เกยี จ
เกี่ยวกับไขมันเกิดข้ึนในล�ำดับที่สอง และด้วยเหตุนี้ ขอบเขตทางวัฒนธรรม
โดยเฉพาะในทางประวัติศาสตร์ซึ่ง ‘จุดสนใจของภัยคุกคามได้แพร่กระจาย
จากปากไปสู่ร่างกายโดยท่ัวไป’29 ดังน้ัน แทนท่ีจะเป็นเพียงการตอบสนอง
‘โดยปรกติ’ หรือ ‘โดยธรรมชาติ’ ต่อความผันแปรทางร่างกาย ความรังเกียจ
เกี่ยวกับร่างกายอ้วนมีประวัติศาสตร์ให้สามารถส�ำรวจและตีความได้

หนทางที่เป็นประโยชน์ประการท่ีสองในการศึกษาความรังเกียจก็
คือ อารมณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์จากการมองเห็นเป็นส�ำคัญ และ
ด้วยเหตุน้ี จึงกระตุ้นให้เราคิดถึงไขมันในแง่ของการสัมผัส รสชาติ และกล่ิน
รวมท้ังการมองเห็น30 สิ่งนี้ขยายแนวทางท่ีเราสามารถจัดการกับทัศนคติแบบ
เหมารวมที่คนอ้วนได้รับ ประการท่ีสาม ด้วยการให้ความสนใจกับประสาท
สัมผัส ความรังเกียจเชิญชวนให้เราส�ำรวจลักษณะทางกายภาพของไขมัน
เพ่ือประเมินว่าอะไรกันแน่ในส่ิงท่ีเป็นไขมันและการท�ำให้อ้วนที่อาจจะ (แต่
ไม่จ�ำเป็นต้อง) กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกภายใต้เงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ท่ีมี
ความจ�ำเพาะ ส่ิงนี้อนุญาตให้เราส�ำรวจความอ้วนทั้งท่ีเป็นค�ำนาม (ไขมัน -
ผู้แปล) และค�ำคุณศัพท์ (อ้วน - ผู้แปล) เพื่อท�ำความเข้าใจในฐานะเป็นบางส่ิง
ทางกายภาพและทางการมองเห็น

ความรังเกียจมีประโยชน์ส�ำหรับการคิดเกี่ยวกับความอ้วนในแง่อื่น
ด้วยเช่นกัน ตามที่การพบเจอกันระหว่างโรเจอร์และบูมเมอร์แสดงให้เห็นว่า
ความรังเกียจเก่ียวข้องกับการขยาดถอยจากร่างกายรวมทั้งกระบวนการทาง
ร่างกายและสสาร ซึ่งอาจท�ำให้เรานึกถึงแง่มุมเหล่านั้นในรูปร่างของเราเองที่
เราอาจจะอยากลืม นอกจากเป็น ‘การรับรู้ (และความหวาดกลัวใน) ความ
เป็นส่ิงเดียวกัน’ แล้ว ความรังเกียจยังเตือนเราให้ระลึกได้ว่า ร่างกายของ
ผู้อื่นเป็นศูนย์กลางต่ออุดมคติท่ีฝังลึกในวัฒนธรรมของเราในเร่ืองของความ
เป็นอิสระ ความสามารถ และการควบคุมตนเอง โดยการยอมรับ ‘ความ
สัมพันธ์ระหว่างร่างกาย’31 นี่เป็นสิ่งส�ำคัญส�ำหรับการท�ำความเข้าใจแนวทาง

19


Click to View FlipBook Version