The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แซนโฎนตา เมืองขุขันธ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by กัญญาพัชร พุทธพรหม, 2023-09-15 00:29:15

แซนโฎนตา เมืองขุขันธ์

แซนโฎนตา เมืองขุขันธ์

ประเพณีแซนโฎนตา เป็นประเพณีหนึ่ง ที่มีความสำ คัญ และปฏิบัติสืบทอดติดต่อกัน มายาวนาน นับเป็นพัน ๆ ปีของชาวเขมร ที่ แสดงออกถึงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ สะท้อน ให้เห็นความรัก ความผูกพัน ความกตัญญูรู้คุณ ของสมาชิกในครอบครัวเครือญาติ และชุมชน โดย จะประกอบพิธีกรรมตรงกับวันแรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๐ ของทุกปี ซึ่งเมื่อถึงวันนั้นลูก หลาน ญาติ พี่ น้องที่ไปประกอบอาชีพหรือตั้งถิ่นฐานอยู่ที่อื่น ไม่ ว่าจะใกล้ หรือไกลจะต้องเดินทางกลับมารวมญาติ “แซนโฎนตา” เป็นภาษาเขมร คำว่า “แซน” ภาษาไทยตรงกับคำว่า “เซ่น” หมายถึงการเซ่น ไหว้ ส่วนคำว่า “โฎนตา” แปลว่า ยายตา ใกล้ เคียงกับคำว่าบรรพบุรุษ ญาติโกโหติกา ความ หมายของแซนโฎนตา คือการทำ บุญเพื่ออุทิศ ส่วนกุศล ในช่วงเทศกาลแซนโฎนตาจะมีประเพณีเรียก “จูนโฎนตา” คือ บรรดาลูกหลานญาติพี่น้อง จะกลับมาบ้านมาไหว้พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และญาติผู้ใหญ๋ที่เคารพนับถือและจะนำ มาเอามะพร้าว ข้าวสารเหนียว ขนมต่างๆมามอบให้หรืออาจมอบเงินด้วยเพื่อให้ได้ใช้ทำ บุญในประเพณีแซนโฎน ตาหากพ่อแม่ปู่ย่าตายายเสียชีวิตไปแล้ว ก็จะไปกราบไหว้ญาติผู้ใหญ่ ตลอดระยะเวลาตั้งแต่วันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10จนถึงวันขึ้น 1คำ เดือน 11 ของทุกปีกิจกรรมทางวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ พุทธศาสนาและผีหรือดวงวิญญาณ อันเป็นหัวใจของงานบุญหรือประเพณีแซนโฎนตา ยังคงได้ รับการสืบทอดมาอย่างโบราณ นับตั้งแต่การเตรียมงาน พิธี“โซดดารเบ็ณฑ์ตูจ” พิธี“กันซ็อง” พิธี “ฉลองซ็อง”พิธี“แซนโฎนตา” พิธี“จูนโฎนตา” พิธี“จะกันเจอโฎนตา” พิธี“โซดดารเบ็ณฑ์ทม” และพิธี“จูนโฎนตาหลบสรุก”ทุกกิจกรรมเชื่อมโยงสัมพันธ์กันโดยมีความเชื่อเกี่ยวกับดวงวิญญาณ บรรพบุรุษเป็นจุดเชื่อม


การประกอบพิธีกรรมบายเบ็ญ (เครื่องเซ่นไหว้) การประกอบพิธีกรรมที่วัด ประกอบด้วย อาหารคาว – หวาน ผลไม้เครื่องดื่ม ได้แก่ปลานึ่ง ปลาย่าง หมูย่าง ไก่ย่าง แกงวุ้นเส้น แกงกล้วย ต้มยำ ไก่ลาบหมูไก่นึ่ง ซึ่งต้องเป็นไก่ทั้งตัวเอาเครื่องในออก อาหาร หวาน ได้แก่ข้าวต้มมัดใบมะพร้าว ขนมเทียน ขนมนางเล็ดขนมโชค(ขนมดอกบัว) วันแซนโฎนตาเพื่อเป็นการอุทิศบุญให้กับญาติโกโหติกาที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับการทำ บุญบูชาบรรพบุรุษมีขึ้นในวันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ของทุกปีชาวสุรินทร์หรือกลุ่มชาติพันธุ์เขมรมีความเชื่อว่า เมื่อวันดังกล่าวนี้เวียนมาถึง วิญญาณบรรพบุรุษผู้ถึงกาละไปก่อนแล้วจะพากันเดินทางมาเยือนเยียนลูกหลานหรือญาติพี่น้อง ที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อรวมโฮปปะชา (รับประทาน) ข้าวปลา อาหาร ของหวาน ของคาว เครื่องดื่มต่าง ๆ การเซ่นล้วนแล้วแต่มีอาหารที่บรรพบุรุษเคยชอบเมื่อยังมีชีวิตอยู่เมื่อเครื่องเช่นทุกอย่างพร้อม แล้วผู้อาวุโสในพิธีก็จะถามถึงลูกหลานคนนั้นคนนี้การให้ความสำ คัญกับผีบรรพบุรุษ นอกจาก ปรากฏในพิธีเซ่นไหว้ช่วงเปลี่ยนผ่านสำ คัญของชีวิตในช่วงเวลาสารทเดือนสิบ (แคเบ็ณฑ์) ทุก ปียังมีงานบุญหรือประเพณีสำ คัญประจำ ปีที่ได้รับการปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันเพื่อรำลึกถึง บรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ชาวไทยเชื้อสายเขมรเรียกว่า“แซนโฎนตา”และกำ หนดให้มีการประกอบ พิธีเซ่นไหว้ภายในครอบครัว


แซนโฎนตาจัดเป็นประเพณีวัฒนธรรมประจำ ปีของคนไทย เชื้อสายเขมร ประเพณีและงานประจำ ปีของกลุ่มชาติพันธ์ุเขมรถือได้ว่าเป็นกลุ่มชาติพันธ์เดียวกัน ความเชื่อ ขนบธรรมเนียมประเพณีนั้นคนในท้องถิ่นจึงมีความเชื่อและปฏิบัติในแนวทางเดียวกัน การ ประกอบพิธีกรรมประเพณีในชุมชนนั้นจึงมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น ประเพณีส่วนใหญ่ของคนใน ชุมชนจึงมีความเชื่อ มุขปาฐะ สอดแทรกในการ ประกอบพิธีกรรมนั้น ๆ ประเพณีพิธีกรรมโดยส่วนใหญ่ไม่พ้นความเชื่อในเรื่องของการบูชานับถือผีทั้งนี้ ในประเพณีพิธีกรรมของคนในชุมชนจึงมีที่เกี่ยวกับพุทธศาสนา และการนับถือผีซึ่งเป็นวัฒนธรรมความ เชื่อแบบเขมรที่คนในชุมชนยังยึดถือและปฏิบัติตามจนถึงปัจจุบัน การให้ความสำ คัญกับผีบรรพบุรุษ นอกจากปรากฏในพิธีเซ่นไหว้ช่วงเปลี่ยนผ่านสำ คัญ ของชีวิตในช่วงเวลาสารทเดือนสิบ(แคเบ็ณฑ์) ทุกปียังมีงานบุญหรือประเพณีสำ คัญประจำ ปี ที่ได้รับการปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันเพื่อรำลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ชาวไทยเชื้อสายเขมร เรียกว่า ไทยเชื้อสายเขมรเรียกว่า“แซนโฎนตา”และกำ หนดให้มีการประกอบพิธีเซ่นไหว้ภายใน ครอบครัวหรือสายตระกูลในวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10


ส่วนลำ ดับขั้นตอนการประกอบพิธีมีดังนี้ 1.เมื่อลูกหลานมาพร้อมกัน เจ้าบ้านหรือผู้อาวุโสที่รับเชิญมาร่วมในพิธีจุดธูปเทียนปักลงไปที่สำรับ ลูกหลานที่อ่อนอาวุโสยกพานขอขมาพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย และดวงวิญญาณ จากนั้นส่งต่อไปยังเจ้า บ้านหรือผู้อาวุโสที่สุดในครอบครัว/สายตระกูล 2.เจ้าบ้านกล่าวเชิญจบ ผู้อาวุโสทั้งหลายที่นั่งอยู่ในบริเวณพิธีจะช่วยกันเรียกชื่อดวงวิญญาณ ปู่ย่าตายาย พ่อแม่ และญาติพี่น้องในสายตระกูลนั้นๆ (เรียกรวมๆ ว่า“โฎนตา”) เพื่อให้มา เครื่องเซ่น กะว่าทุกดวงวิญญาณมาอยู่พร้อมตรงหน้าแล้ว ก็จะเรียกเชิญล้างมือเพื่อเตรียมตัว รับประทานอาหาร เนื้อความมีประมาณว่า “อัญเจิญตาย 3.เริ่มเชิญให้รับนำ -รับอาหาร(พร้อมเอ่ยชื่อดวงวิญญาณ) ขั้นตอนนี้ค่อนข้างใช้เวลานาน ขณะที่ รินน้ำลงแก้วผู้รับผิดชอบรินน้ำ เปล่าจะกล่าวเชิญไปด้วย ที่พิเศษคือใครจำ ได้ว่าบรรพบุรุษคนใดชอบสุราก็จะระบุชื่อให้มารับสุรา คนใดชอบน้ำ หวานก็จะเรียกเชิญมารับน้ำ หวาน บางครอบครัวไม่เจาะจงแต่ใช้คำ กลางๆ ว่า “ท่านใดชอบดื่มแบบใดก็เลือกเอง เมื่อพร้อม หน้าเป็นที่พอใจแล้วก็จะเริ่มทำ การเซ่นโดยจุดธูปเทียนยกขันห้าไหว้และเรียกดวงวิญญาณบรรพ ชนให้มารับเครื่องเซ่นไหว้แล้วรินน้ำ ให้ล้างมือในเครื่องดื่มทั้งหนัก และเบาชี้บอกให้วิญญาณรู้ ว่ามีเครื่องเซ่นอะไรบ้างเสียงเรียกวิญญาณของบรรพชนเรียกวิญญาณเอ่ยชื่อให้ได้มากที่สุดขณะ เดียวกันก็รินเครื่องดื่มไปด้วย


ชาวไทยเชื้อสายเขมร เป็นกลุ่มชาติพันธุ์ที่มีการนับถือ“ผีบรรพบุรุษ” หรือ“โฏนตา”หมายถึง ผีปู่ย่า ตายาย และบุพการีที่เสียชีวิตไปแล้วอย่างเหนียวแน่น และถือปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ปัจจุบันยังคง มีการเซ่นไหว้เพื่อบอกกล่าวผีบรรพบุรุษเมื่อมีเด็กเกิดใหม่งานบวชงานแต่งงาน หรือ เวลาประสบ โชคดีในชีวิต เพื่อให้ดวงวิญญาณได้ร่วมรับรู้และแสดงความยินดีแต่ถ้าหากมีสมาชิกครอบครัว ประสบเคราะห์กรรม ป่วยไข้ไร้สาเหตุก็ต้องมีพิธีเซ่นไหว้ขอขมา หรือขอพรให้ดวงวิญญาณช่วย ปกป้องคุ้มครองเชื่อว่าเรื่องร้ายจะกลายเป็นดีได้ การให้ความสำ คัญกับผีบรรพบุรุษนอกจาก ปรากฏในพิธีเซ่นไหว้ช่วงเปลี่ยนผ่านสำ คัญ ของชีวิตในช่วงเวลาสารทเดือนสิบ(แคเบ็ณฑ์ ) ทุกปียังมีงานบุญหรือประเพณีสำ คัญประจำ ปีที่ได้รับการปฏิบัติสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันเพื่อ รำลึกถึงบรรพบุรุษผู้ล่วงลับ ชาวไทยเชื้อสาย เขมรเรียกว่า“แซนโฎนตา”และกำ หนดให้มี การประกอบพิธีเซ่นไหว้ภายในครอบครัวหรือ สายตระกูลในวันแรม14ค่ำเดือน10 “แซนโฎนตา” เป็นทั้งชื่อเรียกงานบุญ(ประเพณี) และคำ เรียกเฉพาะพิธีช่วงเซ่นไหว้ดวงวิญญาณ และ คงเป็นไปเช่นเดียวกับงานบุญหรือประเพณีเพื่อระลึก ถึงบรรพบุรุษของกลุ่มชาวไทยในภาคอื่นๆ ภาคกลาง เรียกวันสารท ภาคอีสานเรียกบุญข้าวสากภาเหนือเรียก บุญสลากภัต และภาคใต้เรียกบุญเดือนสิบ หรือ บุญชิงเปรตช่ือประเพณีแซ่ หลังจากเสร็จสิ้นพิธีเซ่นไหว้เป็นช่วงเวลาแห่งความสุขสนุกสนาน แต่ละครอบครัวจะรับ ประทานอาหารร่วมกัน ทั้งนี้เครื่องเซ่น ขนมนมเนย และผลไม้ที่ใช้ในพิธีสามารถนำมารับประทาน ได้กรณีที่มีการรวมญาติจัดพิธีที่บ้านหลังใดหลังหนึ่ง หรือมีญาติผู้ใหญ่ที่นับถือใหมู่บ้านมาร่วม ขนม นมเนยต่างๆ จะถูกจัดแบ่งเป็นของฝากติดไม้ติดมือให้นำ กลับ บางคนต้องไปเป็นแขกรับเชิญในพิธี เซ่นบ้านอื่นต่อ ช่วงนี้จึงเห็นบรรยากาศผู้อาวุโสในหมู่บ้านไปร่วมงานกับเพื่อนบ้านหลังอื่นๆ อีกด้วย กิจกรรมเพื่อความบันเทิงและรับประทานอาหาร


15 ค่ำ เดือน 10 (เชื่อว่าเป็นวันที่ดวงวิญญาณได้รับการปลดปล่อยมา) และ ช่วง “เบ็ณฑ์ทม” หรือ วันแรม 15 ค่ำ เดือน 10 ” (ก่อนดวงวิญญาณเดินทางกลับ) มีการสวดบทสวดสำ คัญเรียกว่า “ ติโรกุฑฑสูตร” ที่ว่าด้วยการให้ส่วนบุญแก่ผู้ที่ล่วงลับ โดยสัมพันธ์กับความเชื่อเรื่องพระเจ้าพิมพิสาร ทำ บุญอุทิศให้แก่ประยูรญาติเพื่อให้ล่วงพ้นจากสภาพแห่งความเป็นเปรต เพื่อให้มีสีเขียวสวยงาม และมีกลิ่นหอม เป็นกรวยหุ้มอีกชั้นเรียกว่า “กระทงดาร” ยอดบายเบ็ณฑ์ปักธูป 1 ดอก ประดับด้วย “ผกาบายเบ็ณฑ์” ซึ่งเป็นดอกหญ้าชนิดหนึ่ง มีกลิ่นหอมสีขาวคล้ายดอกมะลิ หากพิจารณาแนวคิดหรือสาระสำ คัญที่ซ่อนอยู่ในรายละเอียดของแต่ละกิจกรรมตลอดช่วง17วัน ของงานประเพณีพบว่าไม่ได้มีเป้าหมายให้“คนเป็น” ได้แทนคุณ“คนตาย”เท่านั้น แต่บรรพชนได้ใช้งานบุญเป็นกุศโลบายเตือนสติไม่ให้ลูกหลานมองข้ามความสำ คัญของญาติ ผู้ใหญ่ที่ยังมีชีวิต รวมทั้งใช้ประเพณี/พิธีกรรมเป็นเครื่องมือปลูกฝังความเป็นพุทธศาสนิกชน ช่วงประกอบพิธีแซน ชุมชนเขมรแห่งนี้ค่อนข้างรักษาระเบียบขั้นตอนพิธีไว้ตามที่มีการบันทึก และตามคำ บอกเล่าของคนเฒ่าคนแก่สิ่งที่มีการปรับเพิ่ม-ลด คืออาหารและเครื่องดื่มในพิธีกรรม บาง อย่างพบน้อยลง เช่น หัวหมูซึ่งน่าจะเกิดจากปัจจัยทางเศรษฐกิจส่วนขนมที่มีความหลากหลายเพราะ สามารถซื้อหาได้สะดวก รวมทั้งการที่ปัจจุบันมีการแยกครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น จึงพบการประกอบพิธี เฉพาะครอบครัวสายตระกูลแบบในอดีต


ช่วงที่พระสงฆ์สวดมาติกา (บังสุกุล) ชาวบ้านจะนำ กันเจอโฎนตาของตนมาตั้งฟังพระสวด ก่อน จากนั้นจึงแห่เดินวนรอบโบสถ์3รอบ จนได้เวลาที่เหมาะสมตามความเชื่อเรียกว่า “ประเฮีย ม เยียะ ชะโงก” หมายถึง ช่วงที่วิญญาณบรรพบุรุษ หรือบรรดาผีเปรตทั้งหลายต่างชะเง้อรอกิน อาหารเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะจากไป ก็จะเทกระเชอจนหมดเรียกว่า“จะโฎนตา” (อารีย์ทองแก้ว , 2549) ในอดีตเด็กๆ และหนุ่มสาวจะพากันแย่งชิงอาหารเป็นที่สนุกสนาน ช่วงเวลานี้ถือเป็นการ เปิดโอกาสให้หนุ่มสาวได้พบปะพูดคุยเกี้ยวพาราสีกัน ซึ่งการถูกเนื้อต้องตัวขณะยื้อแย่งเบียดเสียด เอาขนม-ข้าวต้มของกันและกันช่วงงานบุญไม่ถือว่า“ผิดผี”แต่อย่างใด หลังจากนั้นจะมีพิธี“โซด ดารเบ็ณฑ์ทม” เพื่อแผ่บุญกุศล การสืบทอดวัฒนธรรมหมายถึง“การดำรงรักษาและสืบต่อความเชื่อและวิถีปฏิบัติต่างๆ ที่ กระทำ กันมาตั้งแต่ดั้งเดิมในวัฒนธรรมของตน”(วัชราภรณ์ดิษฐ์ป้าน, 2556) งานบุญหรือประ เพณีแซนโฎนตาที่ดำรงอยู่คู่ชุมชนชาวไทยเชื้อสายเขมรมายาวนาน เป็นตัวอย่างวัฒนธรรมหนึ่งที่ได้ รับการเลือกสรรเพื่อสืบทอดผ่านกระบวนการผลิตซ้ำ คำ ถามที่น่าสนใจคือ ชุมชนมีวิธีการอย่างไร ในการสืบทอดมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของบรรพชนให้ดำรงอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบัน นอกจากชาวชุมชนปรือเกียนจะรักษาประเพณีในรอบทั้ง 12 เดือนของกลุ่มชาติพันธุ์เขมรไว้อย่าง เข้มแข็ง พบว่า ยังคงรักษาและสืบต่อความเชื่อปฏิบัติต่างๆในงานบุญ หรือประเพณีแซนโฎนตา ผ่านทั้ง 9กิจกรรม


พิธี“แซนโฎนตา” บูชาผีบรรพบุรุษประจำ ครอบครัวและสายตระกูลเสร็จจากพิธี“ฉลองซ็ อง” ที่วัดช่วงเช้า ชาวชุมชนต้องรีบกลับไปเตรียมพิธีต้อนรับดวงวิญญาณบรรพบุรุษ วันนี้ถือเป็น วันแห่งความสุข และวันรวมญาติในสายตระกูลประจำ ปีจากการสังเกตและสัมภาษณ์พบการจัด เตรียมอุปกรณ์และสิ่งของเพื่อประกอบพิธีดังนี้ 1. ฟูก (พับ) หมอน 1ใบ (บางครอบครัวใช้วิธีการพับฟูกขึ้นมา1 พับให้เป็นส่วนหัวนอน ถ้าทำ เช่นนี้ก็จะไม่ใช้หมอน) และผ้าขาว มีการวางฟูกหันหัวไปทางทิศตะวันออกและใช้ผ้าขาวปูทับอยู่ ด้านบน 2. กรวยดอกไม้ 5 กรวย หรือ ขันธ์5 หมากพลูบุหรี่มวน ใส่พาน พร้อมเงิน10บาท 20 บาท 100 บาทตามแต่สะดวก เท่าที่สอบถาม ได้คำ ตอบว่า มีน้อยใส่น้อยมีมากใส่มาก เงินนี้จะนำ ไปทำ บุญ ที่วัดตอนเช้า ซึ่งเป็นวันพระแรม 15 ค่ำ เดือน 10(เยียด บุญสม,สัมภาษณ์) นอกจากนี้ยังมีเทียน 2 เล่ม ธูป 2ดอก หรือ มากกว่า ส่วนสายสิญจน์(มีบางครอบครัวเท่านั้นที่เตรียมมา) 3. ชุดเครื่องเซ่น ในอดีตมีเป็ดต้ม 1 ตัว ไก่ต้ม 1 ตัว ถ้าบ้านไหนฐานะดีจะมีหัวหมู1 หัว แต่ปัจจุบัน พบว่า ส่วนใหญ่ใช้ไก่ ปลา หรือ เลือกอาหารที่บรรพบุรุษของตนชอบ 4. ขนม ข้าวต้ม ในวัฒนธรรมเขมร เช่น ข้าวต้มห่อด้วยใบมะพร้าวอ่อนข้าวต้มหมูข้าวต้มด่าง ขนม เทียน ส่วนขนมอื่นๆ มีเพิ่มเติมตามยุคสมัย เช่น ขนมใส่ไส้ขนมไข่หงส์ขนมชั้น ทองหยิบ ทอง หยอด ฝอยทอง 5. ผลไม้ต่างๆ ในอดีตที่ขาดไม่ได้คือ มะพร้าวอ่อน ฃง่ายในชุมชน (แง่สัญลักษณ์ผลไม้ทั้ง 2 ชนิด หมายถึงความอุดมสมบูรณ์ส่วนมะพร้าวยังเชื่อว่าเป็นน้ำ ที่บริสุทธิ์ด้วย) ปัจจุบันมีการใช้กล้วยเช่น เดิมแต่มะพร้าวพบน้อยลง 6. น้ำ เปล่าเหล้าขาว น้ำ หวาน (น้ำ อัดลม) ในอดีตจะใช้แค่น้ำ เปล่าและเหล้าขาวเท่านั้น ส่วนเบียร์ และน้ำ อัดลมเพิ่มมาภายหลัง (คูณ ถาพรผาด, สัมภาษณ์) แก้วน้ำ อย่างน้อย 3 ใบ และถ้วยหรือ จานสำ หรับรองรับน้ำ ที่ให้ดวงวิญญาณล้างมือ 7. เสื้อผ้าใหม่ ได้แก่ ผ้าโสร่ง ผ้าซิ่น ผ้าขาวม้า เน้นผ้าพื้นเมือง 1 สำรับพร้อม แป้งหอม น้ำ อบ หวีกระจก (หลายครอบครัว เพิ่มโลชั่น โคโลญจน์หรือ เครื่องประทิน ผิวสมัย ใหม่ลงไปด้วย )


ประเพณีแซนโฎนตา หรือ “บ็อนแซนโฎนตา” ถือเป็นมรดภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอย่าง หนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ได้รับการสืบทอดผ่านการผลิตซ้ำข้ามช่วงเวลามาหลายช่วงอายุคน แน่นอนว่า ย่อมต้องมีพลวัตเป็นธรรมดาแต่ก็เป็นการพลวัตเพื่อให้สามารถดำรงอยู่และ ทำ หน้าที่รับใช้คนและพื้นที่นั้นๆ สืบต่อไปได้ดังที่วัชราภรณ์ดิษฐ์ป้าน (2556) กล่าวว่า “การสืบทอด และผลิตซ้ำวัฒนธรรม เป็นส่วนหนึ่งของพลวัตทางวัฒนธรรม เมื่อวัฒนธรรมบางอย่างมีการสืบทอด ส่งต่อภายในกลุ่มสังคมหนึ่งๆ จากรุ่นสู่รุ่นทำ ให้วัฒนธรรมนั้นยังมีชีวิตอยู่หรือมีบทบาทในกลุ่มสังคม แต่เท่าที่สอบถามคนเฒ่าคนแก่ในชุมชนที่มีอายุกว่า 90 ปีได้รับคำ บอกเล่าว่า ในอดีตคนชุมชนปรือ เกียนแทบทุกครัวเรือนมีการแบ่งพื้นที่นาส่วนเล็กๆ ไว้สำ หรับปลูกข้าวเหนียวเพื่อใช้สำ หรับทำขนม ข้าวต้ม ในงานประเพณีและพิธีกรรมอยู่เดิมแล้ว บางครอบครัวที่ไม่ได้ปลูกเองแต่ยังคงมีข้าวเหนียว ใช้เพราะภายในชุมชนยังมีวัฒนธรรมการแลกข้าว (สาร)หรือ การแบ่งปันอยู่ส่วนปัจจุบันข้าว (สาร ) เหนียว เป็นสิ่งที่สามารถหาซื้อได้ง่าย การใช้ข้าว เหนียวมาทำขนมในงานประเพณีหรือพิธีกรรมจึง เป็นเรื่องปกติแต่ที่น่าสังเกตคือ เมื่อข้าวหอมมะลิ ที่เป็นข้าวใหม่มียางเหนียว หอม นุ่ม ชาวชุมชน สามารถนำ มาปั้นเป็นก้อนเพื่อทำ “บายเบ็ณฑ์-บาย เบิดตะโบร” ได้เช่นกัน ประเพณีแซนโฎนตาเริ่มต้นดังนี้ 1. วันเบ็ณฑ์ตู๊จ วันขึ้น 14 ค่ำเดือน 10 จะมีทำพิธีเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่บ้าน และนำภัตตาหารไปถวาย พระสงฆ์ที่วัด 2. วันกันซ็อง เป็นวันหลังจากวันเบ็ญฑ์ตู๊จ คือเป็นวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 10 ตอนเช้าและเพล ชาวบ้านจะ ไปถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ที่วัด 3. วันแซนโฎนตา หรือวันเบ็ณฑ์ธม (วันสารทใหญ่) คือวันแรม 14 ค่ำ เดือน 10 เป็นวันที่ญาติพี่ น้องทุกคนต้องร่วมกันทำ บุญที่วัด เป็นหน้าที่ที่ขาดไม่ได้ มีการเซ่นไหว้บรรพบุรุษอีกครั้งที่ บ้าน


Click to View FlipBook Version