หนังสอื เรียน รายวชิ าพื้นฐาน
ป. 6
ช้นั ประถมศึกษาปที่ 6
กลมุ สาระการเรยี นรสู ขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551
ผู้เรียบเรยี ง
ผศ.เชาวลิต ภูมภิ าค กศ.บ., กศ.ม.
สมาพร ย่ิงคณุ ธนา ศษ.บ., ศษ.ม.
วิชดุ า คงสทุ ธิ์ ค.บ., ค.ม.
ผตู รวจ
รศ. ดร.สมหมาย แตงสกุล B.S., M.S., Ph.D.
พิชิต สินธศุ ิริ กศ.บ., ศษ.ม.
กัญญาวณี ์ บญุ มี ค.บ.
บรรณาธิการ
นิตยาพร สายเสนา วท.บ., ศศ.ม.
ทวิ าวลี บุญญดษิ ฐ์ วท.บ., วท.ม.
กลั ยภัฏร์ ศรีไพโรจน์ วท.บ.
หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพืน้ ฐาน
ป. 6
ชั้นประถมศึกษาปที่ 6
กลมุ สาระการเรียนรสู ุขศึกษาและพลศกึ ษา
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
B สงวนลขิ สิทธ์ิตามกฎหมาย
หามละเมิด ทำ�ซ้ำ� ดัดแปลง เผยแพร
สว นหนึง่ สว นใด เวน แตจะไดรับอนญุ าต
ผู้เรียบเรยี ง ผศ.เชาวลิต ภมู ภิ าค
สมาพร ยง่ิ คณุ ธนา
วชิ ุดา คงสทุ ธ์ิ
ผตู รวจ รศ. ดร.สมหมาย แตงสกุล
พชิ ติ สินธศุ ิร ิ
กัญญาวีณ์ บุญมี
บรรณาธกิ าร นติ ยาพร สายเสนา
ทวิ าวลี บญุ ญดษิ ฐ์
กลั ยภฏั ร์ ศรไี พโรจน์
ISBN 978-974-18-5857-6
พิมพท์ ี่ บริษทั โรงพิมพว์ ัฒนาพานชิ จำ�กัด นายเรงิ ชยั จงพพิ ัฒนสขุ กรรมการผู้จดั การ
คำ�นำ�
หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษาปที่ 6 เล่มนี้
จดั ทำ�ขน้ึ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 โดยมเี ปาหมายใหนักเรียน
และครใู ชเ ปน สอ่ื ในการจดั การเรยี นรู เพอ่ื พฒั นานกั เรยี นใหม คี ณุ ภาพตามสาระ มาตรฐานการเรยี นรู
ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางที่หลักสูตรกำ�หนด รวมทั้งพัฒนานักเรียนใหมีสมรรถนะ
สำ�คญั ตามทต่ี อ งการทง้ั ดา นการสอ่ื สาร การคดิ การแกป ญ หา การใชท กั ษะชวี ติ และการใชเ ทคโนโลยี
ตลอดจนพฒั นานกั เรยี นใหม คี ณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค ทำ�ประโยชนใ หส งั คม เพอ่ื ใหส ามารถดำ�รง
ชีวติ อยูรว มกับผอู ่นื ในสังคมไทยและสงั คมโลกไดอยา งมีความสขุ
หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา เล่มนี้ยึดแนวคิดการจัดการเรียนรู
ที่เนนผูเรียนเปนสำ�คัญ ใชหลักการสงเสริมใหนักเรียนมีความรูความเขาใจธรรมชาติของ
ทกั ษะกระบวนการทางสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา และสามารถนำ�ความรไู ปประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ ประจำ�วนั
ไดอยางมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยพัฒนานักเรียนแบบองครวมอยูบนพื้นฐานของ
การบรู ณาการความคดิ รวบยอด ทเี่ นน ใหน กั เรยี นเรยี นรดู ว ยกระบวนการสบื คน ความรแู ละเรยี นรู
โดยใชสมองเปนฐาน (Brain-Based Learning) ซึ่งเนนการเรียนรูใหตรงกับรูปแบบการเรียนรู
(Learning Styles) เนน ทกั ษะทส่ี รา งเสรมิ ความเขา ใจทค่ี งทนของนกั เรยี นซง่ึ เปน ผลลพั ธป ลายทาง
ท่ีตอ งการใหเ กิดตามหลกั สตู ร
การจัดทำ�หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา เล่มน้ี คณะผูจัดทำ�ซึ่ง
เปนผูเช่ียวชาญในสาขาวิชาและการพัฒนาสื่อการเรียนรูไดกำ�หนดหนวยการเรียนรูใหครอบคลุม
กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา ตามตัวชี้วัดช้ันปของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ไี ดก ำ�หนดไว อีกทง้ั ยังไดออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู กจิ กรรม
เสนอแนะ โครงงาน การประยกุ ตใชใ นชวี ติ ประจำ�วนั คำ�ถามประจำ�หนวย และคำ�สำ�คญั ทีแ่ ทรก
อยใู นเน้ือหาของแตล ะหนว ยมาอธบิ ายใหความหมาย โดยจัดอยใู นสว นของอภธิ านศัพททายเลม
หวงั เปน อยา งยง่ิ วา หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา เลม่ นจ้ี ะชว ยสนบั สนนุ
ใหนักเรียนไดรับการพัฒนาใหรูทักษะกระบวนการทางสุขศึกษาและพลศึกษา และตอบสนองการ
ปฏริ ปู การเรยี นรตู ามเจตนารมณของพระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแหง ชาติ พุทธศกั ราช 2542
คณะผจู ดั ทำ�
คำ�ชี้แจง
หนงั สอื เรียน รายวิชาพืน้ ฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา ชน้ั ประถมศกึ ษาปท่ี 6 ไดออกแบบ
หนว ยการเรียนรใู หแ ตล ะหนวยการเรยี นรูป ระกอบดวย
1. ตัวชี้วัดช้นั ป เปน เปา หมายในการพฒั นานักเรียนแตละชัน้ ป ซึง่ สอดคลอ งกบั มาตรฐาน
การเรยี นรู มรี หัสของมาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวช้วี ัดชั้นปก ำ�กับไวหลังตวั ชวี้ ดั ช้ันป เชน พ 1.1
ป. 6/1 (รหสั แตล ะตัวมีความหมาย ดังนี้ พ คือ กลุม สาระการเรยี นรูสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 1.1
คือ สาระท่ี 1 มาตรฐานการเรยี นรขู อ ท่ี 1 ป. 6/1 คอื ตัวชี้วัดชัน้ ประถมศึกษาปท ่ี 6 ขอ ที่ 1)
2. ผังมโนทศั นสาระการเรยี นรู เปน การจดั ระเบียบและรวบรวมเนื้อหาแตล ะหนว ย พรอ ม
แสดงความเชอื่ มโยงของเนอื้ หาในสาระนนั้ ๆ ไวด ว ย เพอ่ื สอื่ ใหเ กดิ ความเขา ใจชดั เจนขน้ึ นกั เรยี น
เกดิ การเรยี นรอู ยา งมคี วามหมาย เปน ผงั มโนทศั นท แ่ี สดงขอบขา ยเนอ้ื หาในแตล ะหนว ยการเรยี นรู
โดยมชี อ่ื หนวยการเรียนรู หัวขอหลกั และหวั ขอ รองของเน้อื หาในหนว ยการเรียนรูนน้ั ๆ
3. ประโยชนจากการเรียน นำ�เสนอไวเ พื่อกระตุนใหนกั เรียนนำ�ความรู ทกั ษะจากการเรียน
ไปประยกุ ตใชในชวี ิตประจำ�วนั
4. ลองคิด ลองตอบ (คำ�ถามนำ�สูการเรียนรู) เปนคำ�ถามหรือสถานการณเพ่ือกระตุนให
นักเรียนเกิดความสงสัยและสนใจที่จะคน หาคำ�ตอบ
5. เนอ้ื หา เปน เนอ้ื หาทต่ี รงตามสาระ มาตรฐานการเรยี นรู ตวั ชว้ี ดั ชน้ั ป และสาระการเรยี นรู
แกนกลาง โดยแบงเน้ือหาเปนชวง ๆ แลว แทรกกิจกรรมพัฒนาการเรยี นรูทีพ่ อเหมาะกับการเรียน
รวมทัง้ มกี ารนำ�เสนอดว ยภาพ ตาราง แผนภมู ิ และแผนทคี่ วามคิด เพอ่ื เปนส่ือใหน ักเรยี นสราง
ความคดิ รวบยอดและเกดิ ความเขาใจท่คี งทน
6. คำ�สำ�คญั ระบคุ ำ�สำ�คญั ทแ่ี ทรกอยใู นเนอ้ื หาโดยการเนน สขี องคำ�ไวต า งจากตวั พน้ื คำ�สำ�คญั น้ี
จะใชต ัวเนน เฉพาะคำ�ท่ปี รากฏคำ�แรกในเนื้อหา ไมเ นน คำ�ทเี่ ปน หัวขอ
7. เร่ืองนารู (ความรูเสริมหรือเกร็ดความรู) เปนความรูเพ่ือเพิ่มพูนใหนักเรียนมีความรู
กวางขวางขึน้ โดยคัดสรรเฉพาะเรอ่ื งที่นักเรยี นควรรู
8. แหลง สืบคนความรู เปน แหลงเรยี นรูต าง ๆ ตามความเหมาะสม เชน เวบ็ ไซต หนงั สอื
สถานท่ี หรอื บุคคล เพอื่ ใหน ักเรยี นศกึ ษาคนควาเพิ่มเตมิ ใหสอดคลองกับเร่อื งท่ีเรียน
9. กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู เปนกิจกรรมท่ีกำ�หนดไวเม่ือจบเน้ือหาแตละตอนหรือหัวขอ
เปนกิจกรรมทห่ี ลากหลาย ใชแนวคดิ ทฤษฎีตา ง ๆ ทส่ี อดคลอ งกบั เน้อื หา เหมาะสมกับวยั และ
พฒั นาการดา นตา ง ๆ ของนกั เรยี น สะดวกในการปฏบิ ตั ิ กระตนุ ใหน กั เรยี นไดค ดิ และสง เสรมิ ให
ศกึ ษาคน ควา เพมิ่ เติม มคี ำ�ถามเปน การตรวจสอบผลการเรยี นรูข องนักเรยี น ไดอ อกแบบกิจกรรม
ไวอยางหลากหลาย และมีมากเพียงพอท่ีจะพัฒนาใหนักเรียนเกิดการเรียนรูตามเปาหมายของ
หลกั สตู ร แตล ะกจิ กรรมไดร ะบสุ ญั ลกั ษณเ พอ่ื แสดงจดุ เนน ของกจิ กรรมนน้ั ๆ ไว เพอ่ื นกั เรยี นทราบ
วากจิ กรรมนนั้ มุงพัฒนาทักษะใด อนั จะชว ยใหก ารจดั กิจกรรมการเรยี นรคู รบถวนตามเปาหมาย
10. บทสรุป ไดจดั ทำ�บทสรปุ เปนผงั มโนทัศน (Concept Map)
11. กิจกรรมเสนอแนะ เปนกิจกรรมบูรณาการทักษะที่รวมหลักการและความคิดรวบยอด
ในเรื่องตา ง ๆ ท่นี ักเรยี นไดเ รยี นรูไปแลวมาประยุกตในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
12. โครงงาน เปน ขอ เสนอแนะในการกำ�หนดใหน กั เรยี นปฏบิ ตั โิ ครงงาน โดยเสนอแนะหวั ขอ
โครงงานและแนวทางการปฏิบัติโครงงานท่ีสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัดชั้นป
ของหนวยการเรียนรูน ัน้ เพ่อื พัฒนาทกั ษะการคดิ การวางแผน และการแกป ญ หาของนกั เรยี น
13. การประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ ประจำ�วนั เปน กจิ กรรมทเ่ี สนอแนะใหน กั เรยี นไดน ำ�ความรู ทกั ษะ
ในการประยกุ ตค วามรใู นหนว ยการเรยี นรนู ้นั ไปใชในชีวติ ประจำ�วนั
14. คำ�ถามประจำ�หนว ย เปน คำ�ถามแบบอตั นยั ทม่ี งุ ถามเพอ่ื ทบทวนผลการเรยี นรแู ละสะทอ้ น
ความคิดของนักเรยี น
15. บรรณานุกรม เปนรายช่ือหนังสือ เอกสาร หรือเว็บไซตท่ีใชคนควาอางอิงประกอบ
การเขียน
16. อภิธานศัพท เปนการนำ�คำ�สำ�คัญท่ีแทรกอยูในเน้ือหามาอธิบาย ใหความหมาย และ
จัดเรียงตามลำ�ดบั ตวั อกั ษรเพือ่ สะดวกในการคนควา
ตารางวิเคราะหสาระ มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วดั ชัน้ ปกบั หนว ยการเรียนรู
กลมุ สาระการเรียนรูส ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ป. 6
ความสอดคลองกบั สาระ มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดชั้นปี ชว งช้นั ท่ี 2
สาระการเรยี นรชู ้ันป มาตรฐาน มาตรฐาน มาตรฐานกลุมฯ มาตรฐานกลมุ ฯ มาตรฐานกลมุ ฯ มาตรฐานกลุมฯ
กลมุ ฯ พ 1.1 กลมุ ฯ พ 2.1 พ 3.1 พ 3.2 พ 4.1 พ 5.1
หนวยการเรยี นรทู ี่ 1: เรียนรตู ัวเรา ข้อ1ที่ ขอ้2ท่ี ขอ้1ท่ี ข้อ2ท่ี ขอ้1ท่ี ข้อ2ท่ี ขอ้3ที่ ข้อ4ท่ี ขอ้5ท่ี ขอ้1ที่ ขอ้2ท่ี ขอ้3ที่ ข้อ4ท่ี ข้อ5ที่ ข้อ6ท่ี ข้อ1ที่ ข้อ2ที่ ขอ้3ที่ ขอ้4ที่ ขอ้1ที่ ขอ้2ท่ี ขอ้3ที่
– ระบบตาง ๆ ของรางกาย
หนว ยการเรยี นรูท่ี 2: ชวี ติ และครอบครัว
1. การสรา งสัมพนั ธภาพกบั ผอู น่ื
2. พฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศ
หนว ยการเรยี นรทู ่ี 3: เพ่ิมพูนทกั ษะการเคลือ่ นไหว
1. กิจกรรมเขา จังหวะ
2. กฬี า
3. การสรางเสรมิ และปรับปรุงสมรรถภาพทางกลไก
4. กิจกรรมนันทนาการ
หนวยการเรียนรทู ี่ 4: ใสใ จสุขภาพ
1. สุขภาพกับสง่ิ แวดลอม
2. โรคติดตอ
3. ความรบั ผิดชอบตอสุขภาพของตนเองและสว นรวม
หนว ยการเรยี นรูที่ 5: ชีวติ ปลอดภัย
1. ภยั ธรรมชาติ
2. การปอ งกันสารเสพตดิ
สารบัญ
หนวยการเรียนรทู ี่ 1 เรยี นรตู ัวเรา......................................................................................................... 1–20
B ตัวช้วี ัดช้นั ป.ี ...................................................................................................................................1
B ผงั มโนทัศนสาระการเรยี นร.ู ...............................................................................................................1
B ประโยชนจ ากการเรยี น......................................................................................................................1
B ลองคิด ลองตอบ..............................................................................................................................1
• ระบบตา ง ๆ ของรางกาย...............................................................................................................4
– ระบบสบื พันธ.ุ ...........................................................................................................................................4
– ระบบไหลเวยี นโลหติ ..................................................................................................................................8
– ระบบหายใจ............................................................................................................................................12
B บทสรปุ หนว ยการเรียนรทู ี่ 1.............................................................................................................. 16
B กิจกรรมเสนอแนะ.......................................................................................................................... 17
B โครงงาน...................................................................................................................................... 17
B การประยกุ ตใชในชวี ติ ประจำ�วนั 1�������������������������������������������������������������������������������������������������������� 18
B คำ�ถามประจำ�หนว ย8������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������ 18
B กจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education).............................................................. 19
หนว ยการเรยี นรทู ี่ 2 ชีวติ และครอบครวั ................................................................................................21–37
B ตวั ชวี้ ัดชน้ั ป.ี ................................................................................................................................. 21
B ผังมโนทัศนสาระการเรียนร.ู ............................................................................................................. 21
B ประโยชนจากการเรยี น.................................................................................................................... 21
B ลองคิด ลองตอบ............................................................................................................................ 21
1. การสรา งสัมพนั ธภาพกับผูอืน่ ........................................................................................................ 24
1.1 ความหมายและความสำ�คัญของสัมพันธภาพ2������������������������������������������������������������������������������������������24
1.2 แนวทางการสรางเสรมิ สมั พนั ธภาพ.........................................................................................................25
1.3 ปจ จัยทชี่ วยใหก ารทำ�งานกลมุ ประสบความสำ�เร็จ5������������������������������������������������������������������������������������25
2. พฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ............................................................................................................... 27
2.1 พฤติกรรมเสีย่ งทีน่ ำ�ไปสูการมเี พศสัมพนั ธ2 ����������������������������������������������������������������������������������������������28
2.2 การปองกันพฤตกิ รรมเสีย่ งตอการมเี พศสมั พันธ.......................................................................................29
2.3 การต้ังครรภใ นวยั เรยี น.........................................................................................................................30
2.4 การติดเชอ้ื เอดส. ..................................................................................................................................31
B บทสรุปหนว ยการเรียนรูท่ี 2.............................................................................................................. 33
B กิจกรรมเสนอแนะ.......................................................................................................................... 34
B โครงงาน...................................................................................................................................... 34
B การประยุกตใชในชวี ิตประจำ�วัน3�������������������������������������������������������������������������������������������������������� 35
B คำ�ถามประจำ�หนว ย5������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������ 35
B กจิ กรรมการเรยี นร้ตู ามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education).............................................................. 36
หนว ยการเรียนรูท่ี 3 เพิม่ พูนทักษะการเคลอ่ื นไหว...................................................................................38–96
B ตวั ชว้ี ดั ชั้นป. ................................................................................................................................. 38
B ผังมโนทัศนส าระการเรียนร.ู้ ............................................................................................................. 39
B ประโยชนจากการเรียน.................................................................................................................... 39
B ลองคิด ลองตอบ............................................................................................................................ 39
1. กิจกรรมเขา จังหวะ..................................................................................................................... 42
1.1 กายบริหารประกอบเพลง......................................................................................................................42
1.2 การแปรขบวนประกอบเพลง..................................................................................................................53
2. กีฬา....................................................................................................................................... 58
2.1 กรีฑาประเภทกระโดดสูง.......................................................................................................................58
2.2 เซปกตะกรอ........................................................................................................................................60
2.3 วอลเลยบอล........................................................................................................................................63
2.4 กระบ.่ี .................................................................................................................................................68
3. การสรา งเสริมและปรับปรงุ สมรรถภาพทางกลไก................................................................................. 77
4. กิจกรรมนันทนาการ................................................................................................................... 87
4.1 หลกั การเลอื กปฏบิ ัตกิ ิจกรรมนนั ทนาการ................................................................................................87
4.2 ตัวอยา่ งกิจกรรมนนั ทนาการ..................................................................................................................90
B กบิจทกสรรรุปมหเนสนว ยอกแานระเร..ีย..น..ร.ูท..ี่..3............................................................................................................................................................................................................................. 9923
B โครงงาน...................................................................................................................................... 93
B การประยุกตใ ชในชวี ิตประจำ�วนั ..............................................9����������������������������������������������������������� 94
B
B คำ�ถามประจำ�หนวย4������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������ 94
B กิจกรรมการเรียนรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศึกษา (STEM Education).............................................................. 95
หนว ยการเรยี นรูที่ 4 ใสใจสขุ ภาพ......................................................................................................97–144
B ตัวชี้วัดชัน้ ป.ี ................................................................................................................................. 97
B ผังมโนทัศนสาระการเรยี นร.ู ............................................................................................................. 97
B ประโยชนจ ากการเรียน.................................................................................................................... 97
B ล1อ. งสคขุ ดิ ภาลพองกตับอสบิ่งแ...ว.ด..ล..อ..ม................................................................................................................................................................................................................................1. 9070
1.1 ความสำ�คญั ของสิง่ แวดลอมที่มผี ลตอสุขภาพ1����������������������������������������������������������������������������������������100
1.2 ปญ หาส่งิ แวดลอมที่มีผลตอสุขภาพ และแนวทางปองกนั และแกไข..........................................................101
2. โรคติดตอ .............................................................................................................................. 107
2.1 โรคตดิ ตอสำ�คัญทพี่ บในประเทศไทย1���������������������������������������������������������������������������������������������������108
2.2 ผลกระทบที่เกดิ จากการระบาดของโรคตดิ ตอ .........................................................................................114
2.3 การปอ งกนั การระบาดของโรคตดิ ตอ ....................................................................................................116
3. ความรบั ผดิ ชอบตอสุขภาพของตนเองและสว นรวม........................................................................... 118
3.1 พฤติกรรมสุขภาพท่ดี สี ว นบุคคล..........................................................................................................118
3.2 การรบั ผิดชอบตอ สขุ ภาพของสวนรวม..................................................................................................120
3.3 การสรา งเสรมิ และปรับปรงุ สมรรถภาพทางกายเพ่อื สุขภาพ......................................................................122
B กบิจทกสรรรปุ มหเนสนว ยอกแานระเร..ีย..น..ร.ูท..่ี..4......................................................................................................................................................................................................................... 114401
B
B โครงงาน.................................................................................................................................... 141
B กคาำ�รถปามระปยรกุ ะตจำ ใ�หชน ในวยช4ีว�ิต��ป���ร�ะ��จ�ำ���ว�นั ��1������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������� 114422
B
B กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศึกษา (STEM Education)............................................................ 143
หนว ยการเรียนรูท ี่ 5 ชวี ติ ปลอดภยั ...................................................................................................145–164
B ตัวชวี้ ัดชัน้ ป. ............................................................................................................................... 145
B ผังมโนทัศนส าระการเรียนร.ู ........................................................................................................... 145
B ประโยชนจากการเรียน.................................................................................................................. 145
B ลองคิด ลองตอบ.......................................................................................................................... 145
1. ภยั ธรรมชาต.ิ .......................................................................................................................... 148
1.1 ลักษณะของภยั ธรรมชาต.ิ ...................................................................................................................148
1.2 ผลกระทบจากความรนุ แรงของภัยธรรมชาตทิ ม่ี ตี อ รางกาย จติ ใจ และสงั คม............................................151
1.3 แนวทางการปฏบิ ัตติ นเพอื่ ความปลอดภยั จากภัยธรรมชาต.ิ .....................................................................152
2. การปอ งกนั สารเสพตดิ .............................................................................................................. 154
2.1 สาเหตุของการตดิ สารเสพตดิ ...............................................................................................................154
2.2 ทกั ษะการสอื่ สารเพอื่ ใหต นเองและผอู ่ืนหลกี เลย่ี งสารเสพติด...................................................................155
B บทสรุปหนวยการเรยี นรทู ี่ 5............................................................................................................ 159
B กิจกรรมเสนอแนะ........................................................................................................................ 160
B โครงงาน.................................................................................................................................... 160
B การประยุกตใชในชวี ติ ประจำ�วัน1������������������������������������������������������������������������������������������������������ 161
B คำ�ถามประจำ�หนว ย6���������������������������������������������������������������������������������������������������������������������� 161
Bบรร ณกาจิ นกุกรรรมม.ก..า.ร..เ.ร.ีย..น..ร..ตู้ ..า.ม..แ..น..ว..ท..า.ง..ส..ะ.เ.ต..ม็..ศ..ึก..ษ..า...(.S..T..E..M....E..d..u..c.a..t.i.o..n..)........................................................................................................................ 162
165
อภิธานศพั ท. ...............................................................................................................................166–168
หนว ยการเรียนรทู ี
1 เรยี นรูต ัวเรา
ตัวชว้ี ดั ช้ันป
1. อธิบายความสำ�คัญของระบบสืบพันธุ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจท่มี ผี ลตอ สขุ ภาพ
การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการ (พ 1.1 ป. 6/1)
2. อธบิ ายวธิ กี ารดแู ลรกั ษาระบบสบื พนั ธุ ระบบไหลเวยี นโลหติ และระบบหายใจใหท ำ�งานตามปกติ
(พ 1.1 ป. 6/2)
ผงั มโนทัศนสาระการเรียนรู เรยี นรู้ตัวเรา
ระบบสบื พนั ธุ์ ระบบไหลเวียนโลหิต
ระบบตาง ๆ ของรา งกาย
ระบบหายใจ
ประโยชนจ ากการเรยี น ลองคดิ ลองตอบ
เขาใจและเห็นความสำ�คัญของ นักเรียนคิดวาระบบใดในรางกาย
ระบบสบื พนั ธุ ระบบไหลเวยี นโลหติ และ มคี วามสำ�คัญทีส่ ุด เพราะเหตุใด?
ระบบหายใจ ตลอดจนวิธกี ารดูแลรักษา
อยา งถกู ตอ ง
2 หนงั สอื เ รียน รายวชิ าพื้นฐาน สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6
ระบบไหลเวยี นโลหิต
ระบบหายใจ
ระบบสบื พนั ธุ
หนังสือเรียน รายวิชาพนื้ ฐาน สุขศึกษาและพลศกึ ษา ป.6 3
ระบบไหลเวยี นโลหิต
ระบบหายใจ
ระบบสบื พนั ธุ
อวัยวะทุกสวนในรางกายของคนเราน้ันทำ�งานรวมกันเปนระบบ
ถาระบบใดในรางกายทำ�งานผิดปกติก็จะสงผลกระทบตอระบบอื่น ๆ
การเรียนรู ทำ�ความเขาใจ และใหค วามสำ�คญั ในการดูแลรักษาระบบตาง ๆ ในรา งกาย
อยา งถูกตอ งจะสง ผลดีตอสขุ ภาพของคนเรา
4 หนงั สือเรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6
ระบบตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย
คำ�ถามนำ�สู่บทเรยี น
ระบบสบื พันธม์ุ ีความส�ำคัญกับการก�ำเนิดชีวิตมนษุ ยอ์ ย่างไร
ระบบสืบพันธุ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจ ตางก็มีความสำ�คัญตอ
รา งกาย โดยระบบสบื พนั ธชุ ว ยในการสบื ทอดเผา พนั ธุ ระบบไหลเวยี นโลหติ ชว ยในการนำ�
แกส ออกซเิ จนและสารอาหารไปเลย้ี งอวยั วะสว นตา ง ๆ ภายในรา งกาย และระบบหายใจ
ชว ยในการแลกเปลยี่ นแกสออกซิเจนและแกส คารบ อนไดออกไซดใ หกับรา งกาย
ระบบสบื พันธุ
การสืบพันธุของมนุษยเพื่อดำ�รงไวซึ่งเผาพันธุตามธรรมชาติ จำ�เปนตองอาศัย
เพศชายและเพศหญิง ซึ่งทัง้ สองเพศสามารถสบื พันธุไดเ มอ่ื อวัยวะสบื พันธุเ จริญเติบโต
เต็มที่ เชน เพศชายมีการขับน้ำ�อสุจิออกมา สวนเพศหญิงจะมปี ระจำ�เดือน
นักเรียนเปนวยั ท่กี �ำ ลังจะยา งกาวเขาสวู ัยรนุ
ท่ีมีการเปล่ียนแปลงทางดานรางกายและอวัยวะสืบพันธุ
จงึ ควรเรยี นรูแ ละท�ำ ความเขา ใจเกีย่ วกับสว นตา ง ๆ
ของอวยั วะสบื พนั ธุ ดงั น้ี
หนงั สอื เรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ป.6 5
1. อวัยวะสบื พันธขุ องเพศชาย
อวัยวะสืบพันธุของเพศชายประกอบดวยสวนตาง ๆ หลายสวน ในที่นี้
จะกลา วเฉพาะบางสวนที่สำ�คัญ ๆ ดังนี้
1) ลงึ คห รอื องคชาต เปน สว นทแ่ี สดง เรื่องนารู
ใหเห็นวาเปนเพศชายอยางชัดเจน ตัวลึงค
จะหอยอยูดานหนาลูกอัณฑะ บริเวณปลาย ตวั อสจุ ิ เปน เซลลท มี่ ขี นาดเลก็
ลึงคจะมีเสนประสาทและหลอดเลือดอยูเปน มองไมเห็นดวยตาเปลา มีลักษณะ
จำ�นวนมาก คลา ยลูกออ ดของกบ
2) ลูกอัณฑะ มีลักษณะและรูปราง นำ้ �อสจุ ิ เปนของเหลวสีขาวขน
คลายไขไกฟองเล็ก ๆ มี 2 ลูก มีหนาที่ มตี ัวอสุจิปะปนอยู
ในการสรางตวั อสจุ ิ
3) ตอมลูกหมาก มีลักษณะคลายลูกหมากเล็ก ๆ มีหนาที่สรางน้ำ�เมือก
(น้ำ�อสจุ )ิ สำ�หรับหลอเลีย้ งตวั อสุจิ
องคชาต ต่อมลูกหมาก
ตอ่ มลกู หมาก ลกู อัณฑะ ลูกอัณฑะ
ลูกอณั ฑะ องคชาต
ภาพอวยั วะสืบพนั ธข์ุ องเพศชายด้านขา้ ง ภาพอวยั วะสบื พนั ธ์ขุ องเพศชายด้านหนา้
นอกจากสวนตาง ๆ ของอวัยวะเพศชายท่ีกลาวมาแลว ยังมีสวนประกอบ
อ่ืน ๆ อีก เชน ทอพกั ตวั อสุจิ ถงุ อณั ฑะ ทอ นำ�ตวั อสุจิ และสว นประกอบอื่น ๆ ซ่ึง
นกั เรยี นจะไดเรียนรใู นระดับช้ันตอ ไป
6 หนังสือเ รียน รายวิชาพืน้ ฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6
ฝันเปียก คือ การทเี่ พศชาย
ขบั น้ำ�อสุจอิ อกมาทางท่อปัสสาวะ
ระหว่างนอนหลบั โดยที่ไมร่ ตู้ ัว
2. อวัยวะสบื พนั ธุของเพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุของเพศหญิงมีลักษณะและสวนประกอบที่สลับซับซอนกวา
เพศชาย ประกอบดว ยสว นตาง ๆ เชน รังไข ทอนำ�ไข มดลูก ชองคลอด และอวยั วะ
สืบพนั ธภุ ายนอก ในท่นี ี้จะกลา วเฉพาะบางสวนที่สำ�คญั ดงั น้ี
ทอ่ นำ�ไข่ ทอ่ นำ�ไข่
รังไข่ มดลูก
รังไข่
รังไข่
ชอ่ งคลอด กระเพาะปสั สาวะ มดลกู
ช่องคลอด
ภาพอวยั วะสืบพันธข์ุ องเพศหญงิ ด้านข้าง ภาพอวยั วะสืบพนั ธข์ุ องเพศหญงิ ด้านหน้า
1) รงั ไข เปน ตอมไรทอ มอี ยู 2 ขาง คือ ขางขวาและขางซา ย ขางละตอ ม
มลี กั ษณะเปน รปู ไขค ลา ยเมด็ ขนุน รงั ไขมหี นา ทผี่ ลิตไขและฮอรโ มนเพศหญงิ
2) ทอนำ�ไข เปนทอกลวง มีอยู 2 ขาง ปลายดานหนึ่งตอกับโพรงมดลูก
ทางดานซายและขวา และปลายอีกดานหนง่ึ เกาะตดิ อยูกบั รังไขท ง้ั 2 ขา ง ทอนำ�ไขจะ
เปนบริเวณท่ีอสุจิของเพศชายเขาผสมกับไขท่ีสุกแลวของเพศหญิง เรียกกระบวนการ
ดังกลา ววา การปฏิสนธิ
หนงั สือเรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สุขศึกษาและพลศกึ ษา ป.6 7
3) มดลูก เปนอวัยวะที่เปนโพรงรูปรางคลายผลชมพู ภายในมดลูกจะมี
หลอดเลือดไปเลีย้ งอยเู ปน จำ�นวนมาก เมื่อมีการปฏิสนธิเกดิ ขึ้นท่ีทอ นำ�ไข ผนังมดลกู ก็
เจะเปนทฝี่ งตัวของไขทีผ่ สมกับอสุจแิ ลว สวนโพรงมดลูกจะเปน ท่ีเจริญเตบิ โตของทารก
ซึ่งทำ�ใหมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง รื่องนารู
ขนาดใหญข นึ้ และจะกลบั คนื สภาพเดมิ
เมอ่ื คลอดทารกแลว แตถ า ไมม กี ารปฏสิ นธิ ปกตอิ สจุ ขิ องเพศชาย
เกิดขึ้นเย่ือบุมดลูกก็จะสลายตัวกลาย ทแ่ี ขง็ แรงทส่ี ดุ เพยี งตวั เดยี ว
เปนเลอื ดประจำ�เดอื นนนั่ เอง จะผสมกับไขใบหน่ึงของ
4) ชอ งคลอด มรี ปู รา งคลา ยทอ เพศหญงิ ทท่ี อ นำ�ไข จากนนั้
เปนอวัยวะสำ�หรับการรวมเพศเพื่อ ไขท่ีไดรับการผสมแลวจะเดินทางเขาสู
การสืบพันธุ เปนทางผานของเลือด โพรงมดลกู ไปฝง ตวั ในโพรงมดลกู และเจรญิ
เติบโตเปนเด็กทารกท่ีอยูในครรภมารดา
ประจำ�เดือนท่ีออกจากโพรงมดลูก เปน ระยะเวลา 9 เดอื น จึงจะคลอดออกมา
สูภายนอก และเปนชองทางใหทารก ทางชอ่ งคลอดของเพศหญงิ
คลอดออกมา
3. การดแู ลรักษาระบบสบื พันธุ
วิธีดูแลรักษาระบบสืบพันธุที่นักเรียนควรเอาใจใสและปฏิบัติอยางสมำ่ �เสมอ
มีดงั นี้
1) รักษาความสะอาดอวัยวะเพศสมำ่ �เสมอ อาบน้ำ�
ฟอกสบใู หส ะอาด และเชด็ อวยั วะเพศใหแ หง โดยในเพศชายให้
เนน้ การทำ�ความสะอาดบรเิ วณหนงั หมุ้ ปลายอวยั วะเพศ สว่ นเพศ
หญิงให้ทำ�ความสะอาดอวัยวะเพศแต่ภายนอกจากด้านหน้าไป
ด้านหลัง และขณะมปี ระจำ�เดือนใหเ้ ปล่ยี น
ผา้ อนามัยวันละ 2–3 คร้งั เป็นอยา่ งน้อย
2) สวมกางเกงชน้ั ในทส่ี ะอาดและไมร ดั แนน จนเกนิ ไป เนอ่ื งจาก
กางเกงช้ันในท่ีไม่สะอาดและรัดแน่นจนเกินไปเป็นแหล่งสะสมของ
เชอ้ื โรคทเ่ี ปน็ สาเหตขุ องโรคผวิ หนงั ทบ่ี รเิ วณอวยั วะเพศหรอื ขาหนบี ได้
3) ระวังอยา ใหอ วัยวะเพศถูกกระแทกแรง ๆ และเม่อื มสี งิ่ ผดิ
ปกติเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศควรไปพบแพทยเพื่อรับการตรวจรักษา
ตอ ไป
8 หนงั สือเรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ป.6
ระบบสืบพนั ธมุ์ ีความสำ�คัญ ถา้ เราไม่ดูแลรกั ษาระบบสบื พันธุใ์ หด้ ี ย่อมทำ�ให้
เกดิ โรคและความเจบ็ ปว่ ยจนสง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพและการเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการ
ของรา่ งกายได้ โดยอาจทำ�ใหเ้ ราเจริญเติบโตเข้าสวู่ ยั หนุ่ม วัยสาวไดช้ า้ กว่าเพอื่ น ๆ หรือ
มีปญั หาในการใชช้ ีวิตสมรสได้ในอนาคต
คำ�ถามพฒั นาความคิด
1. ถ้านักเรียนหญิงมีประจ�ำเดอื นเกิดขึ้นเป็นคร้งั แรก ควรปฏิบตั ิตนอยา่ งไร
2. ถา้ นักเรยี นชายเกดิ การฝันเปียก ควรปฏิบัตติ นอย่างไร
ิกจกรรมพฒั นาการเรยี นรู
1. แบง กลมุ กลมุ ละ 4–5 คน ศกึ ษาระบบสบื พนั ธขุ องเพศหญงิ และเพศชาย
และรวมกนั อภิปรายวา อวัยวะแตละชนิดทำ�หนา ทอี่ ยางไร
2. เขียนวิธีการดแู ลระบบสบื พันธุลงในแบบบันทกึ แลวนำ�ผลงานทเี่ ขียน
ออกมาเลาใหเพื่อน ๆ ในช้ันเรยี นฟง และอภปิ รายรวมกนั ในเรือ่ งดังกลาว
ระบบไหลเวียนโลหิต
คำ�ถามนำ�สบู่ ทเรยี น
ระบบไหลเวียนโลหิตมีหน้าท่ีอย่างไร และประกอบไปดว้ ยโครงสร้าง
อะไรบา้ ง
อวัยวะทุก ๆ สว นของรางกายตองอาศยั เลือดไปหลอ เล้ยี ง โดยเลอื ดจะนำ�แกส
ออกซเิ จนและสารอาหารไปยงั อวยั วะเหลา นน้ั ผา นระบบไหลเวยี นโลหติ นกั เรยี นจงึ ควร
ศกึ ษาหนา ที่ โครงสรา ง การไหลเวียน และการดูแลระบบไหลเวยี นโลหิตใหม สี ภาวะทด่ี ี
อยูเ สมอ
หนงั สอื เ รยี น รายวชิ าพนื้ ฐาน สขุ ศึกษาและพลศึกษา ป.6 9
ถ้าเราเสียเลอื ดเปน็ จำ�นวนมาก
ก็จะท�ำ ให้เราเสียชวี ิตได้ในท่ีสดุ
1. หนา ทข่ี องระบบไหลเวยี นโลหติ
ระบบไหลเวียนโลหิตมีหนาท่ีในการนำ�แกสออกซิเจนและสารอาหารไปเล้ียง
อวัยวะสว นตา ง ๆ ภายในรางกาย โดยผา นกระแสเลอื ด
2. โครงสรา งของระบบไหลเวียนโลหิต
โครงสรา งของระบบไหลเวยี นโลหติ ทสี่ ำ�คญั ประกอบไปดว ย หวั ใจ หลอดเลอื ด
และเลือด
หัวใจ หัวใจของมนุษยโดยทั่วไปจะมีขนาดประมาณเทากับกำ�ปนของตัวเอง
ต้ังอยูบรเิ วณทรวงอกขางซาย แบง ออกเปน 4 หอ ง ไดแก หัวใจหอ งบนซา ยและหัวใจ
หอ งบนขวา หวั ใจหอ งลา งซา ยและหวั ใจหอ งลา งขวา
หัวใจมีหนาที่ในการสูบฉีดเลือดไปยังสวนตาง ๆ
ของรา งกาย ถา หัวใจหยดุ เตน เราก็จะเสียชีวติ
หลอดเลือด หลอดเลอื ดมีลักษณะเปนทอ ลกั ษณะภายนอก ลักษณะภายใน
ซึ่งเปนเสนทางใหเลือดหมุนเวียนไปตามรางกาย ของหัวใจ ของหัวใจ
การไหลเวียนของเลือดอาศัยแรงดันที่เกิดข้ึนจาก
ก า ร สู บ ฉี ด ข อ ง หั ว ใ จ ห รื อ ก า ร บี บ ตั ว ข อ ง ผ นั ง ภาพแสดงลกั ษณะของหวั ใจ
หลอดเลอื ดแดง หลอดเลือดแบง ออกเปน 3 ชนิด ท้ังภายนอกและภายใน
คอื หลอดเลอื ดแดง หลอดเลอื ดดำ� และหลอดเลอื ดฝอย
เลอื ด เลอื ดมลี กั ษณะเปน ของเหลวอยูในหลอดเลอื ด ในเลือดประกอบไปดว ย
นำ้ �เลือดและเซลลเ ม็ดเลอื ด
10 หนังสือเ รยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน สขุ ศึกษาและพลศึกษา ป.6
1. นำ้ �เลอื ด มีหนา ที่ลำ�เลียงสารอาหารตา ง ๆ ไปยังอวัยวะสว นตา ง ๆ ของ
รา งกายและรกั ษาสมดลุ ตา ง ๆ ของรางกาย เชน ควบคุมอุณหภมู ิของรา งกาย
2. เซลลเ มด็ เลอื ด แบง ออกเปน 3 ชนดิ มีหนา ท่ีแตกตางกนั ดังนี้
1) เซลลเม็ดเลือดแดง มีหนาที่ลำ�เลียงแกสออกซิเจนและแกสคารบอน-
ไดออกไซด
2) เซลลเม็ดเลือดขาว มีหนาท่ีกำ�จัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เขาสู
รา งกาย
3) เกล็ดเลือด ชวยในการแข็งตัวของเลือด เชน ในขณะท่ีถูกมีดบาด
เกลด็ เลือดกจ็ ะไปเกาะที่ขอบของบาดแผล ทำ�ใหเลือดหยดุ ไหล
3. การไหลเวยี นของเลอื ด
เริ่มจากหวั ใจหองบนขวาจะรบั เลอื ดดำ�จากสวนตา ง ๆ ของรางกาย สว นหวั ใจ
หองบนซายจะรับเลือดแดงจากปอด เมื่อเลือดเขามาเต็มท่ีแลวหัวใจหองบนทั้งซาย
และขวาจะบีบตัวพรอมกนั เลือดดำ�จากหวั ใจหอ งบนขวาจะไหลผา นลิ้นหัวใจลงสูหัวใจ
หอ งลา งขวา สว นเลอื ดแดงจากหวั ใจหอ งบนซา ยจะไหลผา นลน้ิ หวั ใจลงสหู วั ใจหอ งลา งซา ย
จากนั้นหัวใจหองลางซาย
หลอดเลือดดำ�ท่ีมาจาก } หลอดเลือดท่ีไปยัง และหองลางขวาจะบีบตัว
ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย สว นตา ง ๆ ของรา งกาย พรอ มกนั โดยเลอื ดดำ�จาก
หวั ใจหอ งลา งขวาจะไหลไป
หลอดเลอื ดดำ�
ทีไ่ ปยังปอด
หลอดเลอื ดแดง สูปอดเพื่อฟอกเลือดดำ�
ที่มาจากปอด ใหเ ปน เลอื ดแดง สว นหวั ใจ
หลอดเลอื ดแดง หองลางซายก็จะสงเลือด
ท่ีมาจากปอด
แดงผานหลอดเลือดไปยัง
สวนตาง ๆ ของรางกาย
หมนุ เวียนเชน นเี้ รอ่ื ยไป
ภาพแสดงตำ�แหน่งการไหลเวียนของเลอื ด
หนงั สือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6 11
4. การดแู ลรักษาระบบไหลเวียนโลหิต
วธิ ดี ูแลรกั ษาระบบไหลเวียนโลหติ มดี งั นี้
1) ออกกำ�ลงั กายสมำ่ �เสมอ อยางนอ ยสัปดาหละ 3 คร้งั เพราะถา้ เราขาดการ
ออกกำ�ลังกาย กล้ามเนือ้ หวั ใจจะไม่แข็งแรง สง่ ผลให้เมือ่ ทำ�กิจกรรมหนัก ๆ ร่างกาย
จะเหนด็ เหนือ่ ยได้งา่ ย
2) รับประทานอาหารท่ีมีธาตุเหล็กมากเปนพิเศษ เชน ตับ เคร่ืองในสัตว
ผักคะนา เพอ่ื ชว ยเพิม่ ธาตุเหลก็ ใหกับเลอื ด
3) ไมส บู บหุ ร่ี และหลกี เลย่ี งบรเิ วณทม่ี คี วนั บหุ ร่ี เนอ่ื งจากในควนั บหุ รม่ี สี ารพษิ
ท่ีเป็นอันตรายต่อระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต ส่งผลทำ�ให้เกิดโรคปอดและ
โรคหวั ใจได้
4) พกั ผอ นใหเ พยี งพอ และดื่มนำ้ �มาก ๆ ชว่ ยในการไหลเวียนของเลอื ด
5) หลกี เลี่ยงอาหารที่มีไขมนั มาก เชน เน้อื สตั วต ดิ มนั น้ำ�มันหมู เพราะอาจ
ทำ�ใหอ้ ว้ นและเป็นโรคหลอดเลอื ดหัวใจได้
6) พยายามไมเครียดหรือเมื่อเครียดพยายามหาทางผอ นคลายความเครยี ด
ถา้ ระบบไหลเวียนโลหิตเกิดความบกพรอ่ ง โดยท่เี ราไม่ดแู ลรักษาตามวิธกี ารท่ี
กลา่ วมายอ่ มจะทำ�ใหส้ ขุ ภาพไมแ่ ขง็ แรง เลอื ดไหลเวยี นไดไ้ มด่ ที ำ�ใหส้ มองไมป่ ลอดโปรง่
มีผลตอ่ ความคดิ และความจำ�ในการเรยี นรู้ อกี ท้ังส่งผลตอ่ การทำ�งานของอวยั วะอน่ื ๆ
ในร่างกายอกี ดว้ ย
คำ�ถามพัฒนาความคิด
ระหว่างคนที่มีรูปร่างอ้วนและคนที่มีรูปร่างสมส่วน ใครมีโอกาสป่วยจากโรค
หวั ใจหรือโรคระบบไหลเวียนโลหิตมากกว่ากนั เพราะอะไร
12 หนงั สือเ รยี น รายวชิ าพ้ืนฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6
รมพฒั นาการ
ิกจกร เรยี นรู
1. วาดภาพและระบายสหี วั ใจ พรอ มทง้ั เขยี นลกู ศรแสดงทศิ ทางการไหลเวยี น
ของเลือด
2. แบง กลุม กลุมละ 2–3 คน รว มกนั ศึกษาโครงสรางของระบบไหลเวียน
โลหติ แลวสงตัวแทนกลมุ ออกมานำ�เสนอหนา ชั้นเรยี น
ระบบหายใจ
คำ�ถามนำ�สู่บทเรียน
เมื่อกล่าวถึงระบบหายใจ นักเรียนจะนึกถึงอวัยวะใดเป็นอันดับแรก
เพราะอะไร
มนุษยสามารถที่จะมีชีวิตอยูไดเปนสัปดาหถาขาดอาหาร และมีชีวิตอยูไดเปนวัน
ถา ขาดน้ำ� แตไ มส ามารถมชี วี ติ อยไู ดถ า ขาดอากาศหายใจเพยี งไมก น่ี าที ดงั นนั้ การศกึ ษา
เกยี่ วกบั ระบบหายใจจงึ มคี วามสำ�คญั ทน่ี กั เรยี นควรไดเ รยี นรแู ละทำ�ความเขา ใจในเรอ่ื ง
ทเี่ ก่ยี วของ ดงั นี้
1. หนา ท่ีของระบบหายใจ
ระบบหายใจมีหนาที่ในการแลกเปล่ียนแกสออกซิเจนและแกสคารบอน-
ไดออกไซดใ หก ับรา งกาย
เราทุกคนหายใจเอาอากาศภายนอกรางกายเขาไปเพ่ือตองการแกสออกซิเจน
ไปใชในขบวนการเผาผลาญสารอาหารใหเกิดพลังงานที่รางกายตองการ พรอมทั้งขับ
แกสคารบอนไดออกไซดออกจากรางกายในขณะหายใจออกอีกดว ย
เมอ่ื เราหายใจเขา อากาศจะผา นโพรงจมกู ไปยงั คอหอย ผา นกลอ งเสยี ง หลอดลม
ขัว้ ปอด และไปยงั ปอด
หลอดลม โพรงจมูก
ช่องปาก
ปอด
ภาพแสดงโครงสรา งของระบบหายใจ
หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6 13
2. โครงสรางของระบบหายใจ
โครงสรางของระบบหายใจทส่ี ำ�คญั มีดงั นี้
1) จมูก จมกู มี 2 รู ภายในรมู ลี ักษณะเปน โพรง ประกอบดวยขนจมกู และมี
เยอ่ื บเุ มอื กทค่ี อยดกั จบั ฝนุ ละอองและเชอ้ื โรคตา ง ๆ เมอ่ื ฝนุ ละอองทเ่ี กาะอยใู นโพรงจมกู
แหงก็จะหลุดลอกออกมาในรปู ของข้ีมูก
2) คอหอยและกลองเสยี ง คอหอยมลี ักษณะเปน ทอ กลวงอยูติดกับโพรงจมูก
เปนทางผานของอากาศท่ีเราหายใจ (ลมหายใจ) ถัดมาจากคอหอยจะเปนกลองเสียง
ซง่ึ เปน ทางผา นของอากาศเชน กนั และยงั เปน สว นทท่ี ำ�ใหเ กดิ เสยี ง โดยมฝี าปด กลอ งเสยี ง
เพื่อปองกันไมใหอาหารทร่ี ับประทานเขา ไปพลดั ตกลงไปในหลอดลมอกี ดวย
3) หลอดลม หลอดลมมลี ักษณะเปนทอตรง กลวง โดยตอมาจากกลองเสียง
มีหนาท่ีเปนทางผานของอากาศที่เราหายใจ ผูปวยที่เปนโรคถุงลมโปงพอง หายใจ
ไมสะดวก มกั จะถูกเจาะหลอดลมบริเวณคอเพ่อื ใหผ ูปวยหายใจไดส ะดวกขึ้น
หลอดลม
ภาพแสดงตำ�แหน่งของหลอดลม
4) ขว้ั ปอด ขวั้ ปอดเปน สว นทต่ี อ จากหลอดลม แยกออกเปน 2 แขนงไปทปี่ อด
ขา งซายและขวา
5) ปอด ปอดมลี กั ษณะคลายฟองนำ้ �มี 2 ขา ง คือ ขางซา ยและขา งขวา อยู
ระหวางชองอก ภายในปอดประกอบดวย แขนงขั้วปอดและท่ีปลายของแขนงขั้วปอด
จะมถี ุงลมเล็ก ๆ ซึง่ เปน ทแ่ี ลกเปลีย่ นแกสออกซเิ จนและแกสคารบ อนไดออกไซด โดย
ท่ีรางกายจะนำ�แกสออกซิเจนไปใช สวนแกสคารบอนไดออกไซดจะถูกกำ�จัดออก
มาพรอมกับไอนำ้ �ทางลมหายใจนนั่ เอง
14 หนังสือเรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6
แขนงข้วั ปอด แขนงขว้ั ปอด
ถุงลม ถุงลม
ภาพแสดงตำ�แหนง่ ของปอดและภาพขยายของถงุ ลม
3. การดแู ลรักษาระบบหายใจ
วิธีดูแลรกั ษาระบบหายใจ มีดังน้ี
1) ออกกำ�ลังกายอยา งสมำ่ �เสมอ เพราะการออกกำ�ลงั กายช่วยให้ปอดแข็งแรง
มรี ะบบหายใจทด่ี ี และเพม่ิ การรับแก๊สออกซเิ จนของรา่ งกาย
2) ไมสบู บุหร่ี และไมอ ยูใ นบรเิ วณท่ีมีควันบุหร่หี รอื ควันพษิ เพราะถ้ารา่ งกาย
ได้รับควันบุหรี่หรือควันพิษบ่อย ๆ จะทำ�ให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจได้ เช่น
โรคภูมแิ พ้ โรคถงุ ลมโปง่ พอง โรคมะเร็งปอด เปน็ ต้น
3) ไมถอนขนจมูก เนอ่ื งจากขนจมกู มคี วามสำ�คัญในการชว่ ยกรองฝุ่นละออง
และเชอ้ื โรคไมใ่ หเ้ ขา้ สรู่ ะบบหายใจไดโ้ ดยงา่ ย นอกจากนค้ี วรดแู ลรกั ษาความสะอาดจมกู
อยูเสมอ
4) ไมสวมเสื้อท่ีรัดตึงจนเกินไป เน่ืองจากการสวมเส้ือผ้าท่ีรัดตึงจนเกินไปจะ
ทำ�ให้อึดอัด หายใจได้ไมส่ ะดวก
5) ถา ไมจำ�เปน อยา หายใจทางปาก เพราะเป็นการหายใจทไ่ี มถ่ กู วธิ ี อาจทำ�ให้
ได้รับเช้ือโรคเขา้ สรู่ ่างกายได้ง่าย
6) รกั ษารา งกายใหอ บอนุ อยเู สมอ โดยเฉพาะเวลานอน เนอ่ื งจากจะชว่ ยปอ้ งกนั
โรคไข้หวดั โรคปอดบวมได้
หนังสอื เรียน รายวชิ าพืน้ ฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ป.6 15
การดูแลรักษาระบบหายใจอย่างถูกต้องมีความสำ�คัญต่อสุขภาพ การเจริญ
เติบโตและพัฒนาการของร่างกาย ถ้าเราขาดการดูแลรักษาระบบหายใจแล้วย่อมเกิด
ความบกพรอ่ งของกระบวนการหายใจในการนำ�แกส๊ ออกซเิ จน เพอ่ื ไปหลอ่ เลย้ี งเซลลข์ อง
รา่ งกายใหเ้ จริญเตบิ โตสมวยั ได้ต่อไป
คำ�ถามพัฒนาความคิด
นักเรียนรู้จักโรคใดบ้างท่ีเกิดข้ึนกับระบบหายใจ และโรคดังกล่าวน้ันเกิดจาก
สาเหตใุ ด และมีอาการเช่นไร
ิกจกรรมพฒั นาการเรยี นรู
• วาดภาพอวัยวะในระบบหายใจพรอมท้ังระบุหนาที่ของอวัยวะเหลานั้น
ลงในสมดุ รายงาน
แหลงสืบคน ความรู
• นักเรียนสามารถค้นคว้าความรู้เร่ือง ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เพ่ิมเติมได้จาก
เวบ็ ไซต์ www.panyathai.or.th/wiki/index.php/ระบบสืบพันธุ์ หรอื www.thaigoodview.
com/node/8810 โดยขอคำ�ปรกึ ษาจากครูและเจ้าหนา้ ทสี่ าธารณสขุ
บทสรปุ หนว ยการเรียนรูท ่ี 1 16 หนังสอื เ รยี น รายวชิ าพื้นฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ป.6
ระบบสืบพันธุ: ระบบสืบพันธุของมนุษยมีไวเพ่ือดำ�รงเผาพันธุตามธรรมชาติโดยอาศัยเพศชายและเพศหญิง อวัยวะ
สืบพนั ธขุ องเพศชาย ประกอบไปดวยสว นตา ง ๆ หลายสวนทสี่ ำ�คญั เชน ลึงคห รือองคชาต ลูกอัณฑะ ตอ มลูกหมาก อวยั วะ
สืบพันธุของเพศหญิง ประกอบไปดวยสวนตาง ๆ หลายส่วนท่ีสำ�คัญ เชน รังไข ทอนำ�ไข มดลูก ชองคลอด แนวทางใน
การดแู ลรักษาระบบสบื พันธุ คือ ควรรักษาความสะอาดอวยั วะเพศสมำ่ �เสมอ สวมกางเกงช้นั ในท่สี ะอาดและไมร ัดแนนเกนิ ไป
ระวังไมใ หอ วยั วะเพศถูกกระแทกแรง ๆ และเม่ือมสี ิง่ ผิดปกตเิ กิดขนึ้ กับอวัยวะเพศควรรีบไปพบแพทย
เรยี นรูตัวเรา ระบบต่าง ๆ ของ ระบบไหลเวียนโลหิต: ระบบไหลเวียนโลหิตมีหนาที่ในการนำ�แกสออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะสวนตาง ๆ
ร่างกาย ภายในรา งกายโดยผา นทางกระแสเลอื ด โครงสรา งของระบบไหลเวยี นโลหติ มสี ว นประกอบทส่ี ำ�คญั เชน หวั ใจ หลอดเลอื ด เลอื ด
แนวทางในการดแู ลรกั ษาระบบไหลเวยี นโลหิต คือ ควรรบั ประทานอาหารทม่ี ธี าตเุ หล็กมากเปนพเิ ศษ ไมสูบบหุ ร่ีและหลีกเล่ียง
บรเิ วณทีม่ ีควันบุหรี่ พักผอนใหเพยี งพอ หลีกเลี่ยงอาหารทีม่ ไี ขมันสูง และพยายามอยาเครียดหรอื เมอ่ื เครียดพยายามหาทาง
ผอนคลายความเครยี ด
ระบบหายใจ: ระบบหายใจมหี นา ทใ่ี นการแลกเปลย่ี นแกส ออกซเิ จนและแกส คารบ อนไดออกไซดใ หก บั รา งกาย โครงสรา ง
ของระบบหายใจท่ีสำ�คัญ เชน จมกู คอหอยและกลองเสยี ง หลอดลม ขั้วปอด ปอด แนวทางในการดูแลรักษาระบบหายใจ คือ
ควรออกกำ�ลงั กายอยางสมำ่ �เสมอ ไมส ูบบหุ ร่ี และไม่อยใู นบรเิ วณทีม่ ีควนั บุหรี่หรอื ควันพษิ ไมถ อนขนจมกู ไมสวมเส้ือทีร่ ดั ตึง
ไมหายใจทางปาก และรักษารางกายใหอ บอนุ อยูเสมอ
หนังสอื เรยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6 17
กจิ กรรมเสนอแนะ
1. อภปิ รายแสดงความคิดเหน็ เรื่อง ทารกเกิดมาไดอ ยางไร
2. รวบรวมภาพและขอ มูลขาวสารในเร่อื ง โรคทเี่ กีย่ วขอ งกับระบบไหลเวียนโลหติ แลวจัด
ปา ยนเิ ทศหนาหอ งเรยี น
3. แบง กลุม กลุมละ 4–5 คน แตละกลมุ รวมกนั ระดมสมองแสดงบทบาทสมมุติเกี่ยวกบั
แนวทางในการดูแลรกั ษาระบบหายใจ และนำ�เสนอหนาชนั้ เรยี น
โครงงาน
นักเรียนสามารถเลือกทำ�โครงงานตอไปน้ี (เลือก 1 ขอ) หรืออาจเลือกทำ�
โครงงานอื่นตามความสนใจตามรูปแบบโครงงานที่ผู้สอนกำ�หนด (ซ่ึงอยางนอยตองมี
หัวขอ ตอไปน้ี เหตุผลที่เลือกโครงงานนี้ จดุ ประสงค แผนการปฏบิ ัติการ)
1. โครงงานการคนควาขอมูลเร่ือง พฤติกรรมของบุคคลท่ีสงผลเสียตอระบบ�
ไหลเวยี นโลหติ
2. โครงงานการสำ�รวจขอมลู เร่ือง สถติ ิของผูปว ยเกย่ี วกบั ระบบสืบพนั ธุ
3. โครงงานการคน ควา ขอ มลู เรอ่ื ง พฤตกิ รรมเสยี่ งทกี่ อ ใหเ กดิ โรคตอ ระบบหายใจ
ของคนในครอบครวั
หมายเหตุ: โครงงานท่ีเลือกตามความสนใจควรไดรับคำ�แนะนำ�แกไขจากผู้สอน
เม่อื ไดรบั ความเหน็ ชอบแลวจงึ ดำ�เนนิ โครงงานน้นั ๆ โดยผูส้ อน/ผปู กครอง/กลุมเพ่ือน
ประเมินลักษณะกระบวนการทำ�งาน และนักเรียนควรมีการสรุปแลกเปลี่ยนความรู
ซง่ึ กันและกนั กอ นพจิ ารณาเก็บในแฟม สะสมผลงาน
18 หนงั สอื เ รียน รายวิชาพ้นื ฐาน สุขศึกษาและพลศกึ ษา ป.6
การประยุกต ใช ในชีวิตประจำ�วัน
นักเรียนนำ�ความรูที่ไดจากการศึกษาในหนวยการเรียนรูนี้ไปแนะนำ�แกสมาชิกใน
ครอบครัวและนำ�ไปปฏิบัติดวยตนเอง โดยการดูแลรักษาความสะอาดรางกายและเส้ือผา
เครอ่ื งนงุ หมของตนเองอยา งสมำ่ �เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน หลีกเลยี่ งอาหารทม่ี ี
ไขมนั มาก ไมส บู บหุ รแ่ี ละหลกี เลย่ี งการอยใู นบรเิ วณทมี่ คี วนั บหุ รห่ี รอื ควนั พษิ ออกกำ�ลงั กาย
อยางสม่ำ�เสมอ พักผอนใหเพียงพอ ทำ�จิตใจใหสดใสราเริง พยายามไมเครียด และหม่ัน
ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมท่ีชว ยผอ นคลายความเครียด แลว สงั เกตภาวะทางสขุ ภาพ การเจรญิ เติบโต
และพฒั นาการของตนเองและสมาชกิ ในครอบครวั วาดีขน้ึ หรอื ไม อยา งไร
ค�ำถามประจำ� หนวย
1. เพราะเหตุใดจึงตอ งมกี ารสบื พันธุ
2. ระบบสืบพนั ธขุ์ องเพศหญิงและเพศชายมีความแตกต่างกันอยา่ งไร
3. เมื่อมสี ิ่งผดิ ปกตเิ กิดขึน้ กบั อวัยวะเพศควรปฏิบตั ิเชนไร
4. “การออกกำ�ลงั กายอยา่ งสมำ่ �เสมอ ชว่ ยใหห้ วั ใจแขง็ แรง” นกั เรยี นมคี วามคดิ เหน็
อยา่ งไรกบั คำ�กล่าวน้ี
5. ถา้ นกั เรยี นมคี วามเครยี ดบอ่ ย ๆ จะสง่ ผลกระทบตอ่ ระบบการทำ�งานของหวั ใจ
และการเจริญเตบิ โตของรา่ งกายอย่างไร
6. การหลีกเลี่ยงอาหารทม่ี ีไขมันมากจะสง ผลดีตอระบบไหลเวยี นโลหติ อยางไร
7. หากปอดของคนเราถกู ทำ�ลาย นกั เรยี นคิดว่าจะเกิดผลตอ่ คนเราอย่างไร
8. เราควรปฏบิ ตั ติ นอยางไรเพื่อชว ยใหระบบหายใจทำ�งานไดเ ปนปกติ
9. มปี จั จยั ใดบา้ งทที่ ำ�ใหน้ กั เรยี นอาจปว่ ยเปน็ โรคในระบบหายใจ และการปว่ ยนน้ั
สง่ ผลกระทบตอ่ การเจริญเตบิ โตของร่างกายหรือไม่ อย่างไร
10. แนวทางการปฏบิ ตั ทิ ดี่ ที ส่ี ดุ เพอื่ การดแู ลรกั ษาระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายใหม้ สี ขุ ภาพ
ที่ดี แนวทางปฏิบตั นิ นั้ คอื อะไรให้บอกมา 1 แนวทาง
หนังสอื เรยี น รายวิชาพืน้ ฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6 19
กจิ กรรมการเรียนรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศึกษา
(STEM Education)
การสรา้ งชน้ิ งาน: แผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหนง่ การไหลเวยี นเลอื ด
เดก็ ชายเอกชยั และเพื่อน ๆ ในช้นั เรยี นตอ้ งการเรียนรู้เก่ยี วกับการทำ�งานของหัวใจ
และตำ�แหนง่ การไหลเวยี นเลอื ดใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจมากยง่ิ ขนึ้ กวา่ การเรยี นรผู้ า่ นภาพจาก
หนงั สอื เรยี นทแ่ี สดงเปน็ ภาพเพยี งมติ เิ ดยี ว จงึ คดิ สรา้ งแผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหนง่
การไหลเวยี นเลอื ดใหเ้ ปน็ ภาพทม่ี มี ติ มิ ากยง่ิ ขน้ึ ถา้ นกั เรยี นตอ้ งการชว่ ยเอกชยั และเพอ่ื น ๆ
สร้างแผนภาพ แต่มีอุปกรณ์เบื้องต้นเพียงกรรไกร คัตเตอร์ และกาว ส่วนอุปกรณ์
ทเี่ หลอื ใหเ้ ลอื กจากอปุ กรณท์ กี่ ำ�หนดใหเ้ พยี ง 4 ชนดิ เทา่ นนั้ (แตล่ ะชนดิ ไมจ่ ำ�กดั จำ�นวน)
นกั เรยี นจะสรา้ งแผนภาพอยา่ งไรโดยภาพทส่ี รา้ งขน้ึ นนั้ มมี ติ แิ ละมคี วามเสมอื นจรงิ มาก
ที่สดุ
อปุ กรณ์
กระดาษสีต่าง ๆ ปากกาสะทอ้ นแสงสแี ดง สนี ้ำ�เงนิ เมล็ดถ่วั แดง หลอดดดู นำ้ �สตี า่ ง ๆ
แผน่ โฟม แผ่นฟวิ เจอรบ์ อรด์ ดินสอสตี ่าง ๆ ลูกเดือย
ปัญหา ลกั ษณะแผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหน่งการไหลเวยี นเลอื ดแบบใดท่ีมีมิตแิ ละ
มคี วามเสมอื นจรงิ มากทส่ี ดุ
เป้าหมาย/ความต้องการ แผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหน่งการไหลเวียนเลือดท่ีมีมิติ
เสมือนจริงเหมาะสมกบั การเรียนรูใ้ หเ้ ข้าใจได้ง่ายขนึ้
20 หนังสอื เ รียน รายวชิ าพ้ืนฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ป.6
แนวทางการแก้ปญั หา
1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ 5–6 คน เพอื่ สรา้ งแผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหนง่
การไหลเวียนเลือดที่มีมิติเสมือนจริงเหมาะสมกับการเรียนร้ใู ห้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และส่ง
ตัวแทนไปเลอื กอปุ กรณ์หนา้ ชั้นเรียน โดยเลือกได้เพียง 4 ชนดิ (แตล่ ะชนิดไมจ่ ำ�กดั
จำ�นวน)
2. รว่ มกันสืบคน้ ข้อมูลเก่ียวกบั สมบตั ิของอปุ กรณแ์ ตล่ ะชนดิ ทเี่ ลอื กมา นำ�ขอ้ มลู ที่
รวบรวมได้มาหาข้อสรุปร่วมกนั เพอ่ื เลือกวิธกี ารสร้างแผนภาพใหม้ ีมิติเสมือนจรงิ
3. ร่วมกันออกแบบแผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหน่งการไหลเวียนเลือดให้มีมิติ
เสมือนจริงจากอุปกรณ์ท่ีเลือกมา ซึ่งแผนภาพจะต้องแสดงความรู้ได้อย่างถูกต้องตาม
หลกั วชิ าการแลว้ วาดภาพรา่ งผลการออกแบบผลงานและลงมอื สรา้ งชน้ิ งาน
4. ร่วมกันวเิ คราะหค์ วามรทู้ เ่ี ก่ียวขอ้ งตามแนวคิดสะเต็ม บันทกึ ลงในตาราง
ออกแบบผลงาน วเิ คราะหต์ ามแนวคดิ สะเตม็ (STEM)
ควรบนั ทกึ การออกแบบ S: วิทยาศาสตร์ T: เทคโนโลยี
ลงในสมุด
ควรบนั ทกึ การออกแบบลงในสมุด
E: วศิ วกรรมศาสตร์ M: คณิตศาสตร์
5. ส่งตัวแทนนำ�เสนอผลงานการออกแบบแผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหน่งการ
ไหลเวียนเลอื ดหนา้ ชัน้ เรียน
6. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับแผนภาพ
แสดงหัวใจและตำ�แหน่งการไหลเวียนเลือดที่นำ�เสนอว่า สามารถแสดงให้เห็นว่าเป็น
แผนภาพท่ีมีมิติเสมือนจริงเพื่อการเรียนร้ทู ี่เข้าใจได้ง่ายขึ้นหรือไม่ และมีความถูกต้อง
ตามหลักวิชาการหรือไม่ หลังจากการอภิปรายแล้วให้นำ�ข้อเสนอแนะที่ได้มาปรับปรุง
แก้ไขผลงานภายในเวลา 15 นาที จากนนั้ ใหแ้ ต่ละกลุม่ นำ�เสนอผลงานคร้งั ที่ 2 ทไ่ี ด้
แก้ไขปรับปรุงแล้วจนครบทุกกลุ่ม แล้วร่วมกันคัดเลือกผลงานท่ีเป็นไปตามเกณฑ์ท่ี
กำ�หนดมากทีส่ ุดเป็นกลมุ่ ผู้ชนะ เพอื่ น ๆ ปรบมอื ให้
7. รว่ มกนั วเิ คราะหว์ า่ แผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหนง่ การไหลเวยี นเลอื ดทส่ี รา้ งขน้ึ
มีมิติมากข้ึนและสามารถตอบสนองการเรียนรู้ที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายข้ึนหรือไม่ และ
สามารถนำ�ไปพัฒนาตอ่ ได้หรือไม่ อยา่ งไร