The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือเรียนสุขศึกษา ป.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by 1086, 2022-04-30 03:09:17

หนังสือเรียนสุขศึกษา ป.6

หนังสือเรียนสุขศึกษา ป.6

หนังสอื เรียน รายวชิ าพื้นฐาน

ป. 6

ช้นั ประถมศึกษาปที่ 6
กลมุ สาระการเรยี นรสู ขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พื้นฐาน พุทธศักราช 2551

ผู้เรียบเรยี ง
ผศ.เชาวลิต ภูมภิ าค กศ.บ., กศ.ม.
สมาพร ย่ิงคณุ ธนา ศษ.บ., ศษ.ม.

วิชดุ า คงสทุ ธิ์ ค.บ., ค.ม.

ผตู รวจ
รศ. ดร.สมหมาย แตงสกุล B.S., M.S., Ph.D.

พิชิต สินธศุ ิริ กศ.บ., ศษ.ม.
กัญญาวณี ์ บญุ มี ค.บ.

บรรณาธิการ
นิตยาพร สายเสนา วท.บ., ศศ.ม.
ทวิ าวลี บุญญดษิ ฐ์ วท.บ., วท.ม.

กลั ยภัฏร์ ศรีไพโรจน์ วท.บ.

หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพืน้ ฐาน

ป. 6

ชั้นประถมศึกษาปที่ 6
กลมุ สาระการเรียนรสู ุขศึกษาและพลศกึ ษา
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

B สงวนลขิ สิทธ์ิตามกฎหมาย
หามละเมิด ทำ�ซ้ำ� ดัดแปลง เผยแพร
สว นหนึง่ สว นใด เวน แตจะไดรับอนญุ าต

ผู้เรียบเรยี ง ผศ.เชาวลิต ภมู ภิ าค 
สมาพร ยง่ิ คณุ ธนา 
วชิ ุดา คงสทุ ธ์ิ
ผตู รวจ รศ. ดร.สมหมาย แตงสกุล 
พชิ ติ สินธศุ ิร ิ
กัญญาวีณ์ บุญมี
บรรณาธกิ าร นติ ยาพร สายเสนา
ทวิ าวลี บญุ ญดษิ ฐ์
กลั ยภฏั ร์ ศรไี พโรจน์

ISBN 978-974-18-5857-6
พิมพท์ ี่ บริษทั โรงพิมพว์ ัฒนาพานชิ จำ�กัด นายเรงิ ชยั จงพพิ ัฒนสขุ กรรมการผู้จดั การ

คำ�นำ�

หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา ช้ันประถมศึกษาปที่ 6 เล่มนี้
จดั ทำ�ขน้ึ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 โดยมเี ปาหมายใหนักเรียน
และครใู ชเ ปน สอ่ื ในการจดั การเรยี นรู เพอ่ื พฒั นานกั เรยี นใหม คี ณุ ภาพตามสาระ มาตรฐานการเรยี นรู
ตัวชี้วัด และสาระการเรียนรูแกนกลางที่หลักสูตรกำ�หนด รวมทั้งพัฒนานักเรียนใหมีสมรรถนะ
สำ�คญั ตามทต่ี อ งการทง้ั ดา นการสอ่ื สาร การคดิ การแกป ญ หา การใชท กั ษะชวี ติ และการใชเ ทคโนโลยี
ตลอดจนพฒั นานกั เรยี นใหม คี ณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค ทำ�ประโยชนใ หส งั คม เพอ่ื ใหส ามารถดำ�รง
ชีวติ อยูรว มกับผอู ่นื ในสังคมไทยและสงั คมโลกไดอยา งมีความสขุ
หนังสือเรียน รายวิชาพ้ืนฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา เล่มนี้ยึดแนวคิดการจัดการเรียนรู
ที่เนนผูเรียนเปนสำ�คัญ ใชหลักการสงเสริมใหนักเรียนมีความรูความเขาใจธรรมชาติของ
ทกั ษะกระบวนการทางสขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา และสามารถนำ�ความรไู ปประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ ประจำ�วนั
ไดอยางมีประสิทธิภาพและยั่งยืน โดยพัฒนานักเรียนแบบองครวมอยูบนพื้นฐานของ
การบรู ณาการความคดิ รวบยอด ทเี่ นน ใหน กั เรยี นเรยี นรดู ว ยกระบวนการสบื คน ความรแู ละเรยี นรู
โดยใชสมองเปนฐาน (Brain-Based Learning) ซึ่งเนนการเรียนรูใหตรงกับรูปแบบการเรียนรู
(Learning Styles) เนน ทกั ษะทส่ี รา งเสรมิ ความเขา ใจทค่ี งทนของนกั เรยี นซง่ึ เปน ผลลพั ธป ลายทาง
ท่ีตอ งการใหเ กิดตามหลกั สตู ร
การจัดทำ�หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา เล่มน้ี คณะผูจัดทำ�ซึ่ง
เปนผูเช่ียวชาญในสาขาวิชาและการพัฒนาสื่อการเรียนรูไดกำ�หนดหนวยการเรียนรูใหครอบคลุม
กลุมสาระการเรียนรูสุขศึกษาและพลศึกษา ตามตัวชี้วัดช้ันปของหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขน้ั พืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 ท่ไี ดก ำ�หนดไว อีกทง้ั ยังไดออกแบบกจิ กรรมการเรยี นรู กจิ กรรม
เสนอแนะ โครงงาน การประยกุ ตใชใ นชวี ติ ประจำ�วนั คำ�ถามประจำ�หนวย และคำ�สำ�คญั ทีแ่ ทรก
อยใู นเน้ือหาของแตล ะหนว ยมาอธบิ ายใหความหมาย โดยจัดอยใู นสว นของอภธิ านศัพททายเลม
หวงั เปน อยา งยง่ิ วา หนงั สอื เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา เลม่ นจ้ี ะชว ยสนบั สนนุ
ใหนักเรียนไดรับการพัฒนาใหรูทักษะกระบวนการทางสุขศึกษาและพลศึกษา และตอบสนองการ
ปฏริ ปู การเรยี นรตู ามเจตนารมณของพระราชบัญญตั กิ ารศกึ ษาแหง ชาติ พุทธศกั ราช 2542

คณะผจู ดั ทำ�

คำ�ชี้แจง

หนงั สอื เรียน รายวิชาพืน้ ฐาน สุขศึกษาและพลศึกษา ชน้ั ประถมศกึ ษาปท่ี 6 ไดออกแบบ
หนว ยการเรียนรใู หแ ตล ะหนวยการเรยี นรูป ระกอบดวย
1. ตัวชี้วัดช้นั ป เปน เปา หมายในการพฒั นานักเรียนแตละชัน้ ป ซึง่ สอดคลอ งกบั มาตรฐาน
การเรยี นรู มรี หัสของมาตรฐานการเรยี นรแู ละตัวช้วี ัดชั้นปก ำ�กับไวหลังตวั ชวี้ ดั ช้ันป เชน พ 1.1
ป. 6/1 (รหสั แตล ะตัวมีความหมาย ดังนี้ พ คือ กลุม สาระการเรยี นรูสขุ ศกึ ษาและพลศึกษา 1.1
คือ สาระท่ี 1 มาตรฐานการเรยี นรขู อ ท่ี 1 ป. 6/1 คอื ตัวชี้วัดชัน้ ประถมศึกษาปท ่ี 6 ขอ ที่ 1)
2. ผังมโนทศั นสาระการเรยี นรู เปน การจดั ระเบียบและรวบรวมเนื้อหาแตล ะหนว ย พรอ ม
แสดงความเชอื่ มโยงของเนอื้ หาในสาระนนั้ ๆ ไวด ว ย เพอ่ื สอื่ ใหเ กดิ ความเขา ใจชดั เจนขน้ึ นกั เรยี น
เกดิ การเรยี นรอู ยา งมคี วามหมาย เปน ผงั มโนทศั นท แ่ี สดงขอบขา ยเนอ้ื หาในแตล ะหนว ยการเรยี นรู
โดยมชี อ่ื หนวยการเรียนรู หัวขอหลกั และหวั ขอ รองของเน้อื หาในหนว ยการเรียนรูนน้ั ๆ
3. ประโยชนจากการเรียน นำ�เสนอไวเ พื่อกระตุนใหนกั เรียนนำ�ความรู ทกั ษะจากการเรียน
ไปประยกุ ตใชในชวี ิตประจำ�วนั
4. ลองคิด ลองตอบ (คำ�ถามนำ�สูการเรียนรู) เปนคำ�ถามหรือสถานการณเพ่ือกระตุนให
นักเรียนเกิดความสงสัยและสนใจที่จะคน หาคำ�ตอบ
5. เนอ้ื หา เปน เนอ้ื หาทต่ี รงตามสาระ มาตรฐานการเรยี นรู ตวั ชว้ี ดั ชน้ั ป และสาระการเรยี นรู
แกนกลาง โดยแบงเน้ือหาเปนชวง ๆ แลว แทรกกิจกรรมพัฒนาการเรยี นรูทีพ่ อเหมาะกับการเรียน
รวมทัง้ มกี ารนำ�เสนอดว ยภาพ ตาราง แผนภมู ิ และแผนทคี่ วามคิด เพอ่ื เปนส่ือใหน ักเรยี นสราง
ความคดิ รวบยอดและเกดิ ความเขาใจท่คี งทน
6. คำ�สำ�คญั ระบคุ ำ�สำ�คญั ทแ่ี ทรกอยใู นเนอ้ื หาโดยการเนน สขี องคำ�ไวต า งจากตวั พน้ื คำ�สำ�คญั น้ี
จะใชต ัวเนน เฉพาะคำ�ท่ปี รากฏคำ�แรกในเนื้อหา ไมเ นน คำ�ทเี่ ปน หัวขอ
7. เร่ืองนารู (ความรูเสริมหรือเกร็ดความรู) เปนความรูเพ่ือเพิ่มพูนใหนักเรียนมีความรู
กวางขวางขึน้ โดยคัดสรรเฉพาะเรอ่ื งที่นักเรยี นควรรู
8. แหลง สืบคนความรู เปน แหลงเรยี นรูต าง ๆ ตามความเหมาะสม เชน เวบ็ ไซต หนงั สอื
สถานท่ี หรอื บุคคล เพอื่ ใหน ักเรยี นศกึ ษาคนควาเพิ่มเตมิ ใหสอดคลองกับเร่อื งท่ีเรียน
9. กิจกรรมพัฒนาการเรียนรู เปนกิจกรรมท่ีกำ�หนดไวเม่ือจบเน้ือหาแตละตอนหรือหัวขอ
เปนกิจกรรมทห่ี ลากหลาย ใชแนวคดิ ทฤษฎีตา ง ๆ ทส่ี อดคลอ งกบั เน้อื หา เหมาะสมกับวยั และ

พฒั นาการดา นตา ง ๆ ของนกั เรยี น สะดวกในการปฏบิ ตั ิ กระตนุ ใหน กั เรยี นไดค ดิ และสง เสรมิ ให
ศกึ ษาคน ควา เพมิ่ เติม มคี ำ�ถามเปน การตรวจสอบผลการเรยี นรูข องนักเรยี น ไดอ อกแบบกิจกรรม
ไวอยางหลากหลาย และมีมากเพียงพอท่ีจะพัฒนาใหนักเรียนเกิดการเรียนรูตามเปาหมายของ
หลกั สตู ร แตล ะกจิ กรรมไดร ะบสุ ญั ลกั ษณเ พอ่ื แสดงจดุ เนน ของกจิ กรรมนน้ั ๆ ไว เพอ่ื นกั เรยี นทราบ
วากจิ กรรมนนั้ มุงพัฒนาทักษะใด อนั จะชว ยใหก ารจดั กิจกรรมการเรยี นรคู รบถวนตามเปาหมาย
10. บทสรุป ไดจดั ทำ�บทสรปุ เปนผงั มโนทัศน (Concept Map)
11. กิจกรรมเสนอแนะ เปนกิจกรรมบูรณาการทักษะที่รวมหลักการและความคิดรวบยอด
ในเรื่องตา ง ๆ ท่นี ักเรยี นไดเ รยี นรูไปแลวมาประยุกตในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
12. โครงงาน เปน ขอ เสนอแนะในการกำ�หนดใหน กั เรยี นปฏบิ ตั โิ ครงงาน โดยเสนอแนะหวั ขอ
โครงงานและแนวทางการปฏิบัติโครงงานท่ีสอดคลองกับมาตรฐานการเรียนรูและตัวช้ีวัดชั้นป
ของหนวยการเรียนรูน ัน้ เพ่อื พัฒนาทกั ษะการคดิ การวางแผน และการแกป ญ หาของนกั เรยี น
13. การประยกุ ตใ ชใ นชวี ติ ประจำ�วนั เปน กจิ กรรมทเ่ี สนอแนะใหน กั เรยี นไดน ำ�ความรู ทกั ษะ
ในการประยกุ ตค วามรใู นหนว ยการเรยี นรนู ้นั ไปใชในชีวติ ประจำ�วนั
14. คำ�ถามประจำ�หนว ย เปน คำ�ถามแบบอตั นยั ทม่ี งุ ถามเพอ่ื ทบทวนผลการเรยี นรแู ละสะทอ้ น
ความคิดของนักเรยี น
15. บรรณานุกรม เปนรายช่ือหนังสือ เอกสาร หรือเว็บไซตท่ีใชคนควาอางอิงประกอบ
การเขียน
16. อภิธานศัพท เปนการนำ�คำ�สำ�คัญท่ีแทรกอยูในเน้ือหามาอธิบาย ใหความหมาย และ
จัดเรียงตามลำ�ดบั ตวั อกั ษรเพือ่ สะดวกในการคนควา

ตารางวิเคราะหสาระ มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วดั ชัน้ ปกบั หนว ยการเรียนรู
กลมุ สาระการเรียนรูส ขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ป. 6

ความสอดคลองกบั สาระ มาตรฐานการเรียนรู และตัวชี้วัดชั้นปี ชว งช้นั ท่ี 2

สาระการเรยี นรชู ้ันป มาตรฐาน มาตรฐาน มาตรฐานกลุมฯ มาตรฐานกลมุ ฯ มาตรฐานกลมุ ฯ มาตรฐานกลุมฯ
กลมุ ฯ พ 1.1 กลมุ ฯ พ 2.1 พ 3.1 พ 3.2 พ 4.1 พ 5.1

หนวยการเรยี นรทู ี่ 1: เรียนรตู ัวเรา ข้อ1ที่ ขอ้2ท่ี ขอ้1ท่ี ข้อ2ท่ี ขอ้1ท่ี ข้อ2ท่ี ขอ้3ที่ ข้อ4ท่ี ขอ้5ท่ี ขอ้1ที่ ขอ้2ท่ี ขอ้3ที่ ข้อ4ท่ี ข้อ5ที่ ข้อ6ท่ี ข้อ1ที่ ข้อ2ที่ ขอ้3ที่ ขอ้4ที่ ขอ้1ที่ ขอ้2ท่ี ขอ้3ที่

– ระบบตาง ๆ ของรางกาย

หนว ยการเรยี นรูท่ี 2: ชวี ติ และครอบครัว

1. การสรา งสัมพนั ธภาพกบั ผอู น่ื

2. พฤตกิ รรมเสี่ยงทางเพศ

หนว ยการเรยี นรทู ่ี 3: เพ่ิมพูนทกั ษะการเคลือ่ นไหว

1. กิจกรรมเขา จังหวะ

2. กฬี า

3. การสรางเสรมิ และปรับปรุงสมรรถภาพทางกลไก

4. กิจกรรมนันทนาการ

หนวยการเรียนรทู ี่ 4: ใสใ จสุขภาพ

1. สุขภาพกับสง่ิ แวดลอม

2. โรคติดตอ

3. ความรบั ผิดชอบตอสุขภาพของตนเองและสว นรวม

หนว ยการเรยี นรูที่ 5: ชีวติ ปลอดภัย

1. ภยั ธรรมชาติ

2. การปอ งกันสารเสพตดิ

สารบัญ

หนวยการเรียนรทู ี่ 1 เรยี นรตู ัวเรา......................................................................................................... 1–20
B ตัวช้วี ัดช้นั ป.ี ...................................................................................................................................1
B ผงั มโนทัศนสาระการเรยี นร.ู ...............................................................................................................1
B ประโยชนจ ากการเรยี น......................................................................................................................1
B ลองคิด ลองตอบ..............................................................................................................................1
• ระบบตา ง ๆ ของรางกาย...............................................................................................................4
– ระบบสบื พันธ.ุ ...........................................................................................................................................4
– ระบบไหลเวยี นโลหติ ..................................................................................................................................8
– ระบบหายใจ............................................................................................................................................12
B บทสรปุ หนว ยการเรียนรทู ี่ 1.............................................................................................................. 16
B กิจกรรมเสนอแนะ.......................................................................................................................... 17
B โครงงาน...................................................................................................................................... 17
B การประยกุ ตใชในชวี ติ ประจำ�วนั 1�������������������������������������������������������������������������������������������������������� 18
B คำ�ถามประจำ�หนว ย8������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������ 18
B กจิ กรรมการเรียนรู้ตามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education).............................................................. 19
หนว ยการเรยี นรทู ี่ 2 ชีวติ และครอบครวั ................................................................................................21–37
B ตวั ชวี้ ัดชน้ั ป.ี ................................................................................................................................. 21
B ผังมโนทัศนสาระการเรียนร.ู ............................................................................................................. 21
B ประโยชนจากการเรยี น.................................................................................................................... 21
B ลองคิด ลองตอบ............................................................................................................................ 21
1. การสรา งสัมพนั ธภาพกับผูอืน่ ........................................................................................................ 24
1.1 ความหมายและความสำ�คัญของสัมพันธภาพ2������������������������������������������������������������������������������������������24
1.2 แนวทางการสรางเสรมิ สมั พนั ธภาพ.........................................................................................................25
1.3 ปจ จัยทชี่ วยใหก ารทำ�งานกลมุ ประสบความสำ�เร็จ5������������������������������������������������������������������������������������25
2. พฤตกิ รรมเส่ยี งทางเพศ............................................................................................................... 27
2.1 พฤติกรรมเสีย่ งทีน่ ำ�ไปสูการมเี พศสัมพนั ธ2 ����������������������������������������������������������������������������������������������28
2.2 การปองกันพฤตกิ รรมเสีย่ งตอการมเี พศสมั พันธ.......................................................................................29
2.3 การต้ังครรภใ นวยั เรยี น.........................................................................................................................30
2.4 การติดเชอ้ื เอดส. ..................................................................................................................................31
B บทสรุปหนว ยการเรียนรูท่ี 2.............................................................................................................. 33
B กิจกรรมเสนอแนะ.......................................................................................................................... 34
B โครงงาน...................................................................................................................................... 34
B การประยุกตใชในชวี ิตประจำ�วัน3�������������������������������������������������������������������������������������������������������� 35
B คำ�ถามประจำ�หนว ย5������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������ 35
B กจิ กรรมการเรยี นร้ตู ามแนวทางสะเตม็ ศกึ ษา (STEM Education).............................................................. 36
หนว ยการเรียนรูท่ี 3 เพิม่ พูนทักษะการเคลอ่ื นไหว...................................................................................38–96
B ตวั ชว้ี ดั ชั้นป. ................................................................................................................................. 38
B ผังมโนทัศนส าระการเรียนร.ู้ ............................................................................................................. 39
B ประโยชนจากการเรียน.................................................................................................................... 39
B ลองคิด ลองตอบ............................................................................................................................ 39
1. กิจกรรมเขา จังหวะ..................................................................................................................... 42
1.1 กายบริหารประกอบเพลง......................................................................................................................42
1.2 การแปรขบวนประกอบเพลง..................................................................................................................53
2. กีฬา....................................................................................................................................... 58
2.1 กรีฑาประเภทกระโดดสูง.......................................................................................................................58
2.2 เซปกตะกรอ........................................................................................................................................60

2.3 วอลเลยบอล........................................................................................................................................63
2.4 กระบ.่ี .................................................................................................................................................68
3. การสรา งเสริมและปรับปรงุ สมรรถภาพทางกลไก................................................................................. 77
4. กิจกรรมนันทนาการ................................................................................................................... 87
4.1 หลกั การเลอื กปฏบิ ัตกิ ิจกรรมนนั ทนาการ................................................................................................87
4.2 ตัวอยา่ งกิจกรรมนนั ทนาการ..................................................................................................................90
B กบิจทกสรรรุปมหเนสนว ยอกแานระเร..ีย..น..ร.ูท..ี่..3............................................................................................................................................................................................................................. 9923
B โครงงาน...................................................................................................................................... 93
B การประยุกตใ ชในชวี ิตประจำ�วนั ..............................................9����������������������������������������������������������� 94
B
B คำ�ถามประจำ�หนวย4������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������ 94
B กิจกรรมการเรียนรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศึกษา (STEM Education).............................................................. 95

หนว ยการเรยี นรูที่ 4 ใสใจสขุ ภาพ......................................................................................................97–144
B ตัวชี้วัดชัน้ ป.ี ................................................................................................................................. 97
B ผังมโนทัศนสาระการเรยี นร.ู ............................................................................................................. 97
B ประโยชนจ ากการเรียน.................................................................................................................... 97
B ล1อ. งสคขุ ดิ ภาลพองกตับอสบิ่งแ...ว.ด..ล..อ..ม................................................................................................................................................................................................................................1. 9070

1.1 ความสำ�คญั ของสิง่ แวดลอมที่มผี ลตอสุขภาพ1����������������������������������������������������������������������������������������100
1.2 ปญ หาส่งิ แวดลอมที่มีผลตอสุขภาพ และแนวทางปองกนั และแกไข..........................................................101
2. โรคติดตอ .............................................................................................................................. 107
2.1 โรคตดิ ตอสำ�คัญทพี่ บในประเทศไทย1���������������������������������������������������������������������������������������������������108
2.2 ผลกระทบที่เกดิ จากการระบาดของโรคตดิ ตอ .........................................................................................114
2.3 การปอ งกนั การระบาดของโรคตดิ ตอ ....................................................................................................116
3. ความรบั ผดิ ชอบตอสุขภาพของตนเองและสว นรวม........................................................................... 118
3.1 พฤติกรรมสุขภาพท่ดี สี ว นบุคคล..........................................................................................................118
3.2 การรบั ผิดชอบตอ สขุ ภาพของสวนรวม..................................................................................................120
3.3 การสรา งเสรมิ และปรับปรงุ สมรรถภาพทางกายเพ่อื สุขภาพ......................................................................122
B กบิจทกสรรรปุ มหเนสนว ยอกแานระเร..ีย..น..ร.ูท..่ี..4......................................................................................................................................................................................................................... 114401
B
B โครงงาน.................................................................................................................................... 141
B กคาำ�รถปามระปยรกุ ะตจำ ใ�หชน ในวยช4ีว�ิต��ป���ร�ะ��จ�ำ���ว�นั ��1������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������������� 114422
B
B กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศึกษา (STEM Education)............................................................ 143

หนว ยการเรียนรูท ี่ 5 ชวี ติ ปลอดภยั ...................................................................................................145–164
B ตัวชวี้ ัดชัน้ ป. ............................................................................................................................... 145
B ผังมโนทัศนส าระการเรียนร.ู ........................................................................................................... 145
B ประโยชนจากการเรียน.................................................................................................................. 145
B ลองคิด ลองตอบ.......................................................................................................................... 145
1. ภยั ธรรมชาต.ิ .......................................................................................................................... 148
1.1 ลักษณะของภยั ธรรมชาต.ิ ...................................................................................................................148
1.2 ผลกระทบจากความรนุ แรงของภัยธรรมชาตทิ ม่ี ตี อ รางกาย จติ ใจ และสงั คม............................................151
1.3 แนวทางการปฏบิ ัตติ นเพอื่ ความปลอดภยั จากภัยธรรมชาต.ิ .....................................................................152
2. การปอ งกนั สารเสพตดิ .............................................................................................................. 154
2.1 สาเหตุของการตดิ สารเสพตดิ ...............................................................................................................154
2.2 ทกั ษะการสอื่ สารเพอื่ ใหต นเองและผอู ่ืนหลกี เลย่ี งสารเสพติด...................................................................155
B บทสรุปหนวยการเรยี นรทู ี่ 5............................................................................................................ 159
B กิจกรรมเสนอแนะ........................................................................................................................ 160
B โครงงาน.................................................................................................................................... 160
B การประยุกตใชในชวี ติ ประจำ�วัน1������������������������������������������������������������������������������������������������������ 161
B คำ�ถามประจำ�หนว ย6���������������������������������������������������������������������������������������������������������������������� 161
Bบรร ณกาจิ นกุกรรรมม.ก..า.ร..เ.ร.ีย..น..ร..ตู้ ..า.ม..แ..น..ว..ท..า.ง..ส..ะ.เ.ต..ม็..ศ..ึก..ษ..า...(.S..T..E..M....E..d..u..c.a..t.i.o..n..)........................................................................................................................ 162
165
อภิธานศพั ท. ...............................................................................................................................166–168

หนว ยการเรียนรทู ี

1 เรยี นรูต ัวเรา

ตัวชว้ี ดั ช้ันป

1. อธิบายความสำ�คัญของระบบสืบพันธุ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจท่มี ผี ลตอ สขุ ภาพ
การเจริญเตบิ โตและพฒั นาการ (พ 1.1 ป. 6/1)
2. อธบิ ายวธิ กี ารดแู ลรกั ษาระบบสบื พนั ธุ ระบบไหลเวยี นโลหติ และระบบหายใจใหท ำ�งานตามปกติ
(พ 1.1 ป. 6/2)

ผงั มโนทัศนสาระการเรียนรู เรยี นรู้ตัวเรา

ระบบสบื พนั ธุ์ ระบบไหลเวียนโลหิต

ระบบตาง ๆ ของรา งกาย

ระบบหายใจ

ประโยชนจ ากการเรยี น ลองคดิ ลองตอบ

เขาใจและเห็นความสำ�คัญของ นักเรียนคิดวาระบบใดในรางกาย
ระบบสบื พนั ธุ ระบบไหลเวยี นโลหติ และ มคี วามสำ�คัญทีส่ ุด เพราะเหตุใด?
ระบบหายใจ ตลอดจนวิธกี ารดูแลรักษา
อยา งถกู ตอ ง

2 หนงั สอื เ​ รียน รายวชิ าพื้นฐาน สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6

ระบบไหลเวยี นโลหิต
ระบบหายใจ

ระบบสบื พนั ธุ

หนังสือ​เรียน รายวิชาพนื้ ฐาน สุขศึกษาและพลศกึ ษา ป.6   3

ระบบไหลเวยี นโลหิต
ระบบหายใจ
ระบบสบื พนั ธุ
อวัยวะทุกสวนในรางกายของคนเราน้ันทำ�งานรวมกันเปนระบบ
ถาระบบใดในรางกายทำ�งานผิดปกติก็จะสงผลกระทบตอระบบอื่น ๆ
การเรียนรู ทำ�ความเขาใจ และใหค วามสำ�คญั ในการดูแลรักษาระบบตาง ๆ ในรา งกาย
อยา งถูกตอ งจะสง ผลดีตอสขุ ภาพของคนเรา

4 หนงั สือ​เรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6

ระบบตา่ ง ๆ ของรา่ งกาย
คำ�ถามนำ�สู่บทเรยี น

ระบบสบื พันธม์ุ ีความส�ำคัญกับการก�ำเนิดชีวิตมนษุ ยอ์ ย่างไร
ระบบสืบพันธุ ระบบไหลเวียนโลหิต และระบบหายใจ ตางก็มีความสำ�คัญตอ
รา งกาย โดยระบบสบื พนั ธชุ ว ยในการสบื ทอดเผา พนั ธุ ระบบไหลเวยี นโลหติ ชว ยในการนำ�
แกส ออกซเิ จนและสารอาหารไปเลย้ี งอวยั วะสว นตา ง ๆ ภายในรา งกาย และระบบหายใจ
ชว ยในการแลกเปลยี่ นแกสออกซิเจนและแกส คารบ อนไดออกไซดใ หกับรา งกาย

ระบบสบื พันธุ

การสืบพันธุของมนุษยเพื่อดำ�รงไวซึ่งเผาพันธุตามธรรมชาติ จำ�เปนตองอาศัย
เพศชายและเพศหญิง ซึ่งทัง้ สองเพศสามารถสบื พันธุไดเ มอ่ื อวัยวะสบื พันธุเ จริญเติบโต
เต็มที่ เชน เพศชายมีการขับน้ำ�อสุจิออกมา สวนเพศหญิงจะมปี ระจำ�เดือน

นักเรียนเปนวยั ท่กี �ำ ลังจะยา งกาวเขาสวู ัยรนุ
ท่ีมีการเปล่ียนแปลงทางดานรางกายและอวัยวะสืบพันธุ

จงึ ควรเรยี นรูแ ละท�ำ ความเขา ใจเกีย่ วกับสว นตา ง ๆ
ของอวยั วะสบื พนั ธุ ดงั น้ี

หนงั สอื ​เรียน รายวชิ าพนื้ ฐาน สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ป.6   5

1. อวัยวะสบื พันธขุ องเพศชาย
อวัยวะสืบพันธุของเพศชายประกอบดวยสวนตาง ๆ หลายสวน ในที่นี้
จะกลา วเฉพาะบางสวนที่สำ�คัญ ๆ ดังนี้
1) ลงึ คห รอื องคชาต เปน สว นทแ่ี สดง เรื่องนารู
ใหเห็นวาเปนเพศชายอยางชัดเจน ตัวลึงค
จะหอยอยูดานหนาลูกอัณฑะ บริเวณปลาย ตวั อสจุ ิ เปน เซลลท มี่ ขี นาดเลก็
ลึงคจะมีเสนประสาทและหลอดเลือดอยูเปน มองไมเห็นดวยตาเปลา มีลักษณะ
จำ�นวนมาก คลา ยลูกออ ดของกบ
2) ลูกอัณฑะ มีลักษณะและรูปราง นำ้ �อสจุ ิ เปนของเหลวสีขาวขน
คลายไขไกฟองเล็ก ๆ มี 2 ลูก มีหนาที่ มตี ัวอสุจิปะปนอยู

ในการสรางตวั อสจุ ิ
3) ตอมลูกหมาก มีลักษณะคลายลูกหมากเล็ก ๆ มีหนาที่สรางน้ำ�เมือก
(น้ำ�อสจุ )ิ สำ�หรับหลอเลีย้ งตวั อสุจิ

องคชาต ต่อมลูกหมาก

ตอ่ มลกู หมาก ลกู อัณฑะ ลูกอัณฑะ

ลูกอณั ฑะ องคชาต

ภาพอวยั วะสืบพนั ธข์ุ องเพศชายด้านขา้ ง ภาพอวยั วะสบื พนั ธ์ขุ องเพศชายด้านหนา้

นอกจากสวนตาง ๆ ของอวัยวะเพศชายท่ีกลาวมาแลว ยังมีสวนประกอบ
อ่ืน ๆ อีก เชน ทอพกั ตวั อสุจิ ถงุ อณั ฑะ ทอ นำ�ตวั อสุจิ และสว นประกอบอื่น ๆ ซ่ึง
นกั เรยี นจะไดเรียนรใู นระดับช้ันตอ ไป

6 หนังสือเ​ รียน รายวิชาพืน้ ฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6
ฝันเปียก คือ การทเี่ พศชาย

ขบั น้ำ�อสุจอิ อกมาทางท่อปัสสาวะ
ระหว่างนอนหลบั โดยที่ไมร่ ตู้ ัว

2. อวัยวะสบื พนั ธุของเพศหญิง
อวัยวะสืบพันธุของเพศหญิงมีลักษณะและสวนประกอบที่สลับซับซอนกวา
เพศชาย ประกอบดว ยสว นตาง ๆ เชน รังไข ทอนำ�ไข มดลูก ชองคลอด และอวยั วะ
สืบพนั ธภุ ายนอก ในท่นี ี้จะกลา วเฉพาะบางสวนที่สำ�คญั ดงั น้ี

ทอ่ นำ�ไข่ ทอ่ นำ�ไข่

รังไข่ มดลูก

รังไข่
รังไข่

ชอ่ งคลอด กระเพาะปสั สาวะ มดลกู
ช่องคลอด

ภาพอวยั วะสืบพันธข์ุ องเพศหญงิ ด้านข้าง ภาพอวยั วะสืบพนั ธข์ุ องเพศหญงิ ด้านหน้า

1) รงั ไข เปน ตอมไรทอ มอี ยู 2 ขาง คือ ขางขวาและขางซา ย ขางละตอ ม
มลี กั ษณะเปน รปู ไขค ลา ยเมด็ ขนุน รงั ไขมหี นา ทผี่ ลิตไขและฮอรโ มนเพศหญงิ
2) ทอนำ�ไข เปนทอกลวง มีอยู 2 ขาง ปลายดานหนึ่งตอกับโพรงมดลูก
ทางดานซายและขวา และปลายอีกดานหนง่ึ เกาะตดิ อยูกบั รังไขท ง้ั 2 ขา ง ทอนำ�ไขจะ
เปนบริเวณท่ีอสุจิของเพศชายเขาผสมกับไขท่ีสุกแลวของเพศหญิง เรียกกระบวนการ
ดังกลา ววา การปฏิสนธิ

หนงั สือ​เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สุขศึกษาและพลศกึ ษา ป.6   7

3) มดลูก เปนอวัยวะที่เปนโพรงรูปรางคลายผลชมพู ภายในมดลูกจะมี
หลอดเลือดไปเลีย้ งอยเู ปน จำ�นวนมาก เมื่อมีการปฏิสนธิเกดิ ขึ้นท่ีทอ นำ�ไข ผนังมดลกู ก็
เจะเปนทฝี่ งตัวของไขทีผ่ สมกับอสุจแิ ลว สวนโพรงมดลูกจะเปน ท่ีเจริญเตบิ โตของทารก
ซึ่งทำ�ใหมดลูกมีการเปลี่ยนแปลง รื่องนารู
ขนาดใหญข นึ้ และจะกลบั คนื สภาพเดมิ
เมอ่ื คลอดทารกแลว แตถ า ไมม กี ารปฏสิ นธิ ปกตอิ สจุ ขิ องเพศชาย
เกิดขึ้นเย่ือบุมดลูกก็จะสลายตัวกลาย ทแ่ี ขง็ แรงทส่ี ดุ เพยี งตวั เดยี ว
เปนเลอื ดประจำ�เดอื นนนั่ เอง จะผสมกับไขใบหน่ึงของ
4) ชอ งคลอด มรี ปู รา งคลา ยทอ เพศหญงิ ทท่ี อ นำ�ไข จากนนั้
เปนอวัยวะสำ�หรับการรวมเพศเพื่อ ไขท่ีไดรับการผสมแลวจะเดินทางเขาสู
การสืบพันธุ เปนทางผานของเลือด โพรงมดลกู ไปฝง ตวั ในโพรงมดลกู และเจรญิ
เติบโตเปนเด็กทารกท่ีอยูในครรภมารดา
ประจำ�เดือนท่ีออกจากโพรงมดลูก เปน ระยะเวลา 9 เดอื น จึงจะคลอดออกมา
สูภายนอก และเปนชองทางใหทารก ทางชอ่ งคลอดของเพศหญงิ
คลอดออกมา
3. การดแู ลรักษาระบบสบื พันธุ
วิธีดูแลรักษาระบบสืบพันธุที่นักเรียนควรเอาใจใสและปฏิบัติอยางสมำ่ �เสมอ
มีดงั นี้
1) รักษาความสะอาดอวัยวะเพศสมำ่ �เสมอ อาบน้ำ�
ฟอกสบใู หส ะอาด และเชด็ อวยั วะเพศใหแ หง โดยในเพศชายให้
เนน้ การทำ�ความสะอาดบรเิ วณหนงั หมุ้ ปลายอวยั วะเพศ สว่ นเพศ
หญิงให้ทำ�ความสะอาดอวัยวะเพศแต่ภายนอกจากด้านหน้าไป
ด้านหลัง และขณะมปี ระจำ�เดือนใหเ้ ปล่ยี น
ผา้ อนามัยวันละ 2–3 คร้งั เป็นอยา่ งน้อย
2) สวมกางเกงชน้ั ในทส่ี ะอาดและไมร ดั แนน จนเกนิ ไป เนอ่ื งจาก
กางเกงช้ันในท่ีไม่สะอาดและรัดแน่นจนเกินไปเป็นแหล่งสะสมของ
เชอ้ื โรคทเ่ี ปน็ สาเหตขุ องโรคผวิ หนงั ทบ่ี รเิ วณอวยั วะเพศหรอื ขาหนบี ได้
3) ระวังอยา ใหอ วัยวะเพศถูกกระแทกแรง ๆ และเม่อื มสี งิ่ ผดิ
ปกติเกิดขึ้นกับอวัยวะเพศควรไปพบแพทยเพื่อรับการตรวจรักษา
ตอ ไป

8 หนงั สือ​เรยี น รายวชิ าพน้ื ฐาน สขุ ศึกษาและพลศกึ ษา ป.6

ระบบสืบพนั ธมุ์ ีความสำ�คัญ ถา้ เราไม่ดูแลรกั ษาระบบสบื พันธุใ์ หด้ ี ย่อมทำ�ให้
เกดิ โรคและความเจบ็ ปว่ ยจนสง่ ผลกระทบตอ่ สขุ ภาพและการเจรญิ เตบิ โตและพฒั นาการ
ของรา่ งกายได้ โดยอาจทำ�ใหเ้ ราเจริญเติบโตเข้าสวู่ ยั หนุ่ม วัยสาวไดช้ า้ กว่าเพอื่ น ๆ หรือ
มีปญั หาในการใชช้ ีวิตสมรสได้ในอนาคต

คำ�ถามพฒั นาความคิด

1. ถ้านักเรียนหญิงมีประจ�ำเดอื นเกิดขึ้นเป็นคร้งั แรก ควรปฏิบตั ิตนอยา่ งไร
2. ถา้ นักเรยี นชายเกดิ การฝันเปียก ควรปฏิบัตติ นอย่างไร

ิกจกรรมพฒั นาการเรยี นรู

1. แบง กลมุ กลมุ ละ 4–5 คน ศกึ ษาระบบสบื พนั ธขุ องเพศหญงิ และเพศชาย
และรวมกนั อภิปรายวา อวัยวะแตละชนิดทำ�หนา ทอี่ ยางไร
2. เขียนวิธีการดแู ลระบบสบื พันธุลงในแบบบันทกึ แลวนำ�ผลงานทเี่ ขียน
ออกมาเลาใหเพื่อน ๆ ในช้ันเรยี นฟง และอภปิ รายรวมกนั ในเรือ่ งดังกลาว

ระบบไหลเวียนโลหิต
คำ�ถามนำ�สบู่ ทเรยี น

ระบบไหลเวียนโลหิตมีหน้าท่ีอย่างไร และประกอบไปดว้ ยโครงสร้าง
อะไรบา้ ง

อวัยวะทุก ๆ สว นของรางกายตองอาศยั เลือดไปหลอ เล้ยี ง โดยเลอื ดจะนำ�แกส
ออกซเิ จนและสารอาหารไปยงั อวยั วะเหลา นน้ั ผา นระบบไหลเวยี นโลหติ นกั เรยี นจงึ ควร
ศกึ ษาหนา ที่ โครงสรา ง การไหลเวียน และการดูแลระบบไหลเวยี นโลหิตใหม สี ภาวะทด่ี ี
อยูเ สมอ

หนงั สอื เ​ รยี น รายวชิ าพนื้ ฐาน สขุ ศึกษาและพลศึกษา ป.6   9

ถ้าเราเสียเลอื ดเปน็ จำ�นวนมาก
ก็จะท�ำ ให้เราเสียชวี ิตได้ในท่ีสดุ

1. หนา ทข่ี องระบบไหลเวยี นโลหติ
ระบบไหลเวียนโลหิตมีหนาท่ีในการนำ�แกสออกซิเจนและสารอาหารไปเล้ียง
อวัยวะสว นตา ง ๆ ภายในรางกาย โดยผา นกระแสเลอื ด
2. โครงสรา งของระบบไหลเวียนโลหิต
โครงสรา งของระบบไหลเวยี นโลหติ ทสี่ ำ�คญั ประกอบไปดว ย หวั ใจ หลอดเลอื ด
และเลือด
หัวใจ หัวใจของมนุษยโดยทั่วไปจะมีขนาดประมาณเทากับกำ�ปนของตัวเอง
ต้ังอยูบรเิ วณทรวงอกขางซาย แบง ออกเปน 4 หอ ง ไดแก หัวใจหอ งบนซา ยและหัวใจ
หอ งบนขวา หวั ใจหอ งลา งซา ยและหวั ใจหอ งลา งขวา
หัวใจมีหนาที่ในการสูบฉีดเลือดไปยังสวนตาง ๆ
ของรา งกาย ถา หัวใจหยดุ เตน เราก็จะเสียชีวติ

หลอดเลือด หลอดเลอื ดมีลักษณะเปนทอ ลกั ษณะภายนอก ลักษณะภายใน
ซึ่งเปนเสนทางใหเลือดหมุนเวียนไปตามรางกาย ของหัวใจ ของหัวใจ
การไหลเวียนของเลือดอาศัยแรงดันที่เกิดข้ึนจาก
ก า ร สู บ ฉี ด ข อ ง หั ว ใ จ ห รื อ ก า ร บี บ ตั ว ข อ ง ผ นั ง ภาพแสดงลกั ษณะของหวั ใจ
หลอดเลอื ดแดง หลอดเลือดแบง ออกเปน 3 ชนิด ท้ังภายนอกและภายใน
คอื หลอดเลอื ดแดง หลอดเลอื ดดำ� และหลอดเลอื ดฝอย

เลอื ด เลอื ดมลี กั ษณะเปน ของเหลวอยูในหลอดเลอื ด ในเลือดประกอบไปดว ย
นำ้ �เลือดและเซลลเ ม็ดเลอื ด

10 หนังสือเ​ รยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน สขุ ศึกษาและพลศึกษา ป.6

1. นำ้ �เลอื ด มีหนา ที่ลำ�เลียงสารอาหารตา ง ๆ ไปยังอวัยวะสว นตา ง ๆ ของ
รา งกายและรกั ษาสมดลุ ตา ง ๆ ของรางกาย เชน ควบคุมอุณหภมู ิของรา งกาย
2. เซลลเ มด็ เลอื ด แบง ออกเปน 3 ชนดิ มีหนา ท่ีแตกตางกนั ดังนี้
1) เซลลเม็ดเลือดแดง มีหนาที่ลำ�เลียงแกสออกซิเจนและแกสคารบอน-
ไดออกไซด
2) เซลลเม็ดเลือดขาว มีหนาท่ีกำ�จัดเชื้อโรคและสิ่งแปลกปลอมที่เขาสู
รา งกาย
3) เกล็ดเลือด ชวยในการแข็งตัวของเลือด เชน ในขณะท่ีถูกมีดบาด
เกลด็ เลือดกจ็ ะไปเกาะที่ขอบของบาดแผล ทำ�ใหเลือดหยดุ ไหล
3. การไหลเวยี นของเลอื ด
เริ่มจากหวั ใจหองบนขวาจะรบั เลอื ดดำ�จากสวนตา ง ๆ ของรางกาย สว นหวั ใจ
หองบนซายจะรับเลือดแดงจากปอด เมื่อเลือดเขามาเต็มท่ีแลวหัวใจหองบนทั้งซาย
และขวาจะบีบตัวพรอมกนั เลือดดำ�จากหวั ใจหอ งบนขวาจะไหลผา นลิ้นหัวใจลงสูหัวใจ
หอ งลา งขวา สว นเลอื ดแดงจากหวั ใจหอ งบนซา ยจะไหลผา นลน้ิ หวั ใจลงสหู วั ใจหอ งลา งซา ย
จากนั้นหัวใจหองลางซาย
หลอดเลือดดำ�ท่ีมาจาก } หลอดเลือดท่ีไปยัง และหองลางขวาจะบีบตัว
ส่วนตา่ ง ๆ ของร่างกาย สว นตา ง ๆ ของรา งกาย พรอ มกนั โดยเลอื ดดำ�จาก
หวั ใจหอ งลา งขวาจะไหลไป
หลอดเลอื ดดำ�
ทีไ่ ปยังปอด

หลอดเลอื ดแดง สูปอดเพื่อฟอกเลือดดำ�
ที่มาจากปอด ใหเ ปน เลอื ดแดง สว นหวั ใจ
หลอดเลอื ดแดง หองลางซายก็จะสงเลือด
ท่ีมาจากปอด

แดงผานหลอดเลือดไปยัง
สวนตาง ๆ ของรางกาย
หมนุ เวียนเชน นเี้ รอ่ื ยไป

ภาพแสดงตำ�แหน่งการไหลเวียนของเลอื ด

หนงั สือ​เรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6    11

4. การดแู ลรักษาระบบไหลเวียนโลหิต
วธิ ดี ูแลรกั ษาระบบไหลเวียนโลหติ มดี งั นี้
1) ออกกำ�ลงั กายสมำ่ �เสมอ อยางนอ ยสัปดาหละ 3 คร้งั เพราะถา้ เราขาดการ
ออกกำ�ลังกาย กล้ามเนือ้ หวั ใจจะไม่แข็งแรง สง่ ผลให้เมือ่ ทำ�กิจกรรมหนัก ๆ ร่างกาย
จะเหนด็ เหนือ่ ยได้งา่ ย

2) รับประทานอาหารท่ีมีธาตุเหล็กมากเปนพิเศษ เชน ตับ เคร่ืองในสัตว
ผักคะนา เพอ่ื ชว ยเพิม่ ธาตุเหลก็ ใหกับเลอื ด
3) ไมส บู บหุ ร่ี และหลกี เลย่ี งบรเิ วณทม่ี คี วนั บหุ ร่ี เนอ่ื งจากในควนั บหุ รม่ี สี ารพษิ
ท่ีเป็นอันตรายต่อระบบหายใจและระบบไหลเวียนโลหิต ส่งผลทำ�ให้เกิดโรคปอดและ
โรคหวั ใจได้
4) พกั ผอ นใหเ พยี งพอ และดื่มนำ้ �มาก ๆ ชว่ ยในการไหลเวียนของเลอื ด
5) หลกี เลี่ยงอาหารที่มีไขมนั มาก เชน เน้อื สตั วต ดิ มนั น้ำ�มันหมู เพราะอาจ
ทำ�ใหอ้ ว้ นและเป็นโรคหลอดเลอื ดหัวใจได้
6) พยายามไมเครียดหรือเมื่อเครียดพยายามหาทางผอ นคลายความเครยี ด
ถา้ ระบบไหลเวียนโลหิตเกิดความบกพรอ่ ง โดยท่เี ราไม่ดแู ลรักษาตามวิธกี ารท่ี
กลา่ วมายอ่ มจะทำ�ใหส้ ขุ ภาพไมแ่ ขง็ แรง เลอื ดไหลเวยี นไดไ้ มด่ ที ำ�ใหส้ มองไมป่ ลอดโปรง่
มีผลตอ่ ความคดิ และความจำ�ในการเรยี นรู้ อกี ท้ังส่งผลตอ่ การทำ�งานของอวยั วะอน่ื ๆ
ในร่างกายอกี ดว้ ย

คำ�ถามพัฒนาความคิด

ระหว่างคนที่มีรูปร่างอ้วนและคนที่มีรูปร่างสมส่วน ใครมีโอกาสป่วยจากโรค
หวั ใจหรือโรคระบบไหลเวียนโลหิตมากกว่ากนั เพราะอะไร

12 หนงั สือเ​ รยี น รายวชิ าพ้ืนฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6
รมพฒั นาการ
ิกจกร เรยี นรู

1. วาดภาพและระบายสหี วั ใจ พรอ มทง้ั เขยี นลกู ศรแสดงทศิ ทางการไหลเวยี น
ของเลือด
2. แบง กลุม กลุมละ 2–3 คน รว มกนั ศึกษาโครงสรางของระบบไหลเวียน
โลหติ แลวสงตัวแทนกลมุ ออกมานำ�เสนอหนา ชั้นเรยี น

ระบบหายใจ
คำ�ถามนำ�สู่บทเรียน

เมื่อกล่าวถึงระบบหายใจ นักเรียนจะนึกถึงอวัยวะใดเป็นอันดับแรก
เพราะอะไร

มนุษยสามารถที่จะมีชีวิตอยูไดเปนสัปดาหถาขาดอาหาร และมีชีวิตอยูไดเปนวัน
ถา ขาดน้ำ� แตไ มส ามารถมชี วี ติ อยไู ดถ า ขาดอากาศหายใจเพยี งไมก น่ี าที ดงั นนั้ การศกึ ษา
เกยี่ วกบั ระบบหายใจจงึ มคี วามสำ�คญั ทน่ี กั เรยี นควรไดเ รยี นรแู ละทำ�ความเขา ใจในเรอ่ื ง
ทเี่ ก่ยี วของ ดงั นี้
1. หนา ท่ีของระบบหายใจ
ระบบหายใจมีหนาที่ในการแลกเปล่ียนแกสออกซิเจนและแกสคารบอน-
ไดออกไซดใ หก ับรา งกาย
เราทุกคนหายใจเอาอากาศภายนอกรางกายเขาไปเพ่ือตองการแกสออกซิเจน
ไปใชในขบวนการเผาผลาญสารอาหารใหเกิดพลังงานที่รางกายตองการ พรอมทั้งขับ
แกสคารบอนไดออกไซดออกจากรางกายในขณะหายใจออกอีกดว ย
เมอ่ื เราหายใจเขา อากาศจะผา นโพรงจมกู ไปยงั คอหอย ผา นกลอ งเสยี ง หลอดลม
ขัว้ ปอด และไปยงั ปอด

หลอดลม โพรงจมูก
ช่องปาก

ปอด

ภาพแสดงโครงสรา งของระบบหายใจ

หนังสือ​เรียน รายวิชาพ้ืนฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6    13

2. โครงสรางของระบบหายใจ
โครงสรางของระบบหายใจทส่ี ำ�คญั มีดงั นี้
1) จมูก จมกู มี 2 รู ภายในรมู ลี ักษณะเปน โพรง ประกอบดวยขนจมกู และมี
เยอ่ื บเุ มอื กทค่ี อยดกั จบั ฝนุ ละอองและเชอ้ื โรคตา ง ๆ เมอ่ื ฝนุ ละอองทเ่ี กาะอยใู นโพรงจมกู
แหงก็จะหลุดลอกออกมาในรปู ของข้ีมูก
2) คอหอยและกลองเสยี ง คอหอยมลี ักษณะเปน ทอ กลวงอยูติดกับโพรงจมูก
เปนทางผานของอากาศท่ีเราหายใจ (ลมหายใจ) ถัดมาจากคอหอยจะเปนกลองเสียง
ซง่ึ เปน ทางผา นของอากาศเชน กนั และยงั เปน สว นทท่ี ำ�ใหเ กดิ เสยี ง โดยมฝี าปด กลอ งเสยี ง
เพื่อปองกันไมใหอาหารทร่ี ับประทานเขา ไปพลดั ตกลงไปในหลอดลมอกี ดวย
3) หลอดลม หลอดลมมลี ักษณะเปนทอตรง กลวง โดยตอมาจากกลองเสียง
มีหนาท่ีเปนทางผานของอากาศที่เราหายใจ ผูปวยที่เปนโรคถุงลมโปงพอง หายใจ
ไมสะดวก มกั จะถูกเจาะหลอดลมบริเวณคอเพ่อื ใหผ ูปวยหายใจไดส ะดวกขึ้น

หลอดลม

ภาพแสดงตำ�แหน่งของหลอดลม

4) ขว้ั ปอด ขวั้ ปอดเปน สว นทต่ี อ จากหลอดลม แยกออกเปน 2 แขนงไปทปี่ อด
ขา งซายและขวา
5) ปอด ปอดมลี กั ษณะคลายฟองนำ้ �มี 2 ขา ง คือ ขางซา ยและขา งขวา อยู
ระหวางชองอก ภายในปอดประกอบดวย แขนงขั้วปอดและท่ีปลายของแขนงขั้วปอด
จะมถี ุงลมเล็ก ๆ ซึง่ เปน ทแ่ี ลกเปลีย่ นแกสออกซเิ จนและแกสคารบ อนไดออกไซด โดย
ท่ีรางกายจะนำ�แกสออกซิเจนไปใช สวนแกสคารบอนไดออกไซดจะถูกกำ�จัดออก
มาพรอมกับไอนำ้ �ทางลมหายใจนนั่ เอง

14 หนังสือ​เรียน รายวชิ าพ้ืนฐาน สุขศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6

แขนงข้วั ปอด แขนงขว้ั ปอด

ถุงลม ถุงลม
ภาพแสดงตำ�แหนง่ ของปอดและภาพขยายของถงุ ลม

3. การดแู ลรักษาระบบหายใจ
วิธีดูแลรกั ษาระบบหายใจ มีดังน้ี
1) ออกกำ�ลังกายอยา งสมำ่ �เสมอ เพราะการออกกำ�ลงั กายช่วยให้ปอดแข็งแรง
มรี ะบบหายใจทด่ี ี และเพม่ิ การรับแก๊สออกซเิ จนของรา่ งกาย
2) ไมสบู บุหร่ี และไมอ ยูใ นบรเิ วณท่ีมีควันบุหร่หี รอื ควันพษิ เพราะถ้ารา่ งกาย
ได้รับควันบุหรี่หรือควันพิษบ่อย ๆ จะทำ�ให้เกิดโรคระบบทางเดินหายใจได้ เช่น
โรคภูมแิ พ้ โรคถงุ ลมโปง่ พอง โรคมะเร็งปอด เปน็ ต้น
3) ไมถอนขนจมูก เนอ่ื งจากขนจมกู มคี วามสำ�คัญในการชว่ ยกรองฝุ่นละออง
และเชอ้ื โรคไมใ่ หเ้ ขา้ สรู่ ะบบหายใจไดโ้ ดยงา่ ย นอกจากนค้ี วรดแู ลรกั ษาความสะอาดจมกู
อยูเสมอ
4) ไมสวมเสื้อท่ีรัดตึงจนเกินไป เน่ืองจากการสวมเส้ือผ้าท่ีรัดตึงจนเกินไปจะ
ทำ�ให้อึดอัด หายใจได้ไมส่ ะดวก
5) ถา ไมจำ�เปน อยา หายใจทางปาก เพราะเป็นการหายใจทไ่ี มถ่ กู วธิ ี อาจทำ�ให้
ได้รับเช้ือโรคเขา้ สรู่ ่างกายได้ง่าย
6) รกั ษารา งกายใหอ บอนุ อยเู สมอ โดยเฉพาะเวลานอน เนอ่ื งจากจะชว่ ยปอ้ งกนั
โรคไข้หวดั โรคปอดบวมได้

หนังสอื ​เรียน รายวชิ าพืน้ ฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ป.6    15

การดูแลรักษาระบบหายใจอย่างถูกต้องมีความสำ�คัญต่อสุขภาพ การเจริญ
เติบโตและพัฒนาการของร่างกาย ถ้าเราขาดการดูแลรักษาระบบหายใจแล้วย่อมเกิด
ความบกพรอ่ งของกระบวนการหายใจในการนำ�แกส๊ ออกซเิ จน เพอ่ื ไปหลอ่ เลย้ี งเซลลข์ อง
รา่ งกายใหเ้ จริญเตบิ โตสมวยั ได้ต่อไป

คำ�ถามพัฒนาความคิด

นักเรียนรู้จักโรคใดบ้างท่ีเกิดข้ึนกับระบบหายใจ และโรคดังกล่าวน้ันเกิดจาก
สาเหตใุ ด และมีอาการเช่นไร

ิกจกรรมพฒั นาการเรยี นรู

• วาดภาพอวัยวะในระบบหายใจพรอมท้ังระบุหนาที่ของอวัยวะเหลานั้น
ลงในสมดุ รายงาน

แหลงสืบคน ความรู

• นักเรียนสามารถค้นคว้าความรู้เร่ือง ระบบต่าง ๆ ของร่างกาย เพ่ิมเติมได้จาก
เวบ็ ไซต์ www.panyathai.or.th/wiki/index.php/ระบบสืบพันธุ์ หรอื www.thaigoodview.
com/node/8810 โดยขอคำ�ปรกึ ษาจากครูและเจ้าหนา้ ทสี่ าธารณสขุ

บทสรปุ หนว ยการเรียนรูท ่ี 1 16 หนังสอื เ​ รยี น รายวชิ าพื้นฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ป.6

ระบบสืบพันธุ: ระบบสืบพันธุของมนุษยมีไวเพ่ือดำ�รงเผาพันธุตามธรรมชาติโดยอาศัยเพศชายและเพศหญิง อวัยวะ
สืบพนั ธขุ องเพศชาย ประกอบไปดวยสว นตา ง ๆ หลายสวนทสี่ ำ�คญั เชน ลึงคห รือองคชาต ลูกอัณฑะ ตอ มลูกหมาก อวยั วะ
สืบพันธุของเพศหญิง ประกอบไปดวยสวนตาง ๆ หลายส่วนท่ีสำ�คัญ เชน รังไข ทอนำ�ไข มดลูก ชองคลอด แนวทางใน
การดแู ลรักษาระบบสบื พันธุ คือ ควรรักษาความสะอาดอวยั วะเพศสมำ่ �เสมอ สวมกางเกงช้นั ในท่สี ะอาดและไมร ัดแนนเกนิ ไป
ระวังไมใ หอ วยั วะเพศถูกกระแทกแรง ๆ และเม่ือมสี ิง่ ผิดปกตเิ กิดขนึ้ กับอวัยวะเพศควรรีบไปพบแพทย

เรยี นรูตัวเรา ระบบต่าง ๆ ของ ระบบไหลเวียนโลหิต: ระบบไหลเวียนโลหิตมีหนาที่ในการนำ�แกสออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงอวัยวะสวนตาง ๆ
ร่างกาย ภายในรา งกายโดยผา นทางกระแสเลอื ด โครงสรา งของระบบไหลเวยี นโลหติ มสี ว นประกอบทส่ี ำ�คญั เชน หวั ใจ หลอดเลอื ด เลอื ด
แนวทางในการดแู ลรกั ษาระบบไหลเวยี นโลหิต คือ ควรรบั ประทานอาหารทม่ี ธี าตเุ หล็กมากเปนพเิ ศษ ไมสูบบหุ ร่ีและหลีกเล่ียง
บรเิ วณทีม่ ีควันบุหรี่ พักผอนใหเพยี งพอ หลีกเลี่ยงอาหารทีม่ ไี ขมันสูง และพยายามอยาเครียดหรอื เมอ่ื เครียดพยายามหาทาง
ผอนคลายความเครยี ด

ระบบหายใจ:  ระบบหายใจมหี นา ทใ่ี นการแลกเปลย่ี นแกส ออกซเิ จนและแกส คารบ อนไดออกไซดใ หก บั รา งกาย โครงสรา ง
ของระบบหายใจท่ีสำ�คัญ เชน จมกู คอหอยและกลองเสยี ง หลอดลม ขั้วปอด ปอด แนวทางในการดูแลรักษาระบบหายใจ คือ
ควรออกกำ�ลงั กายอยางสมำ่ �เสมอ ไมส ูบบหุ ร่ี และไม่อยใู นบรเิ วณทีม่ ีควนั บุหรี่หรอื ควันพษิ ไมถ อนขนจมกู ไมสวมเส้ือทีร่ ดั ตึง
ไมหายใจทางปาก และรักษารางกายใหอ บอนุ อยูเสมอ

หนังสอื ​เรยี น รายวชิ าพ้นื ฐาน สุขศกึ ษาและพลศึกษา ป.6    17

กจิ กรรมเสนอแนะ

1. อภปิ รายแสดงความคิดเหน็ เรื่อง ทารกเกิดมาไดอ ยางไร
2. รวบรวมภาพและขอ มูลขาวสารในเร่อื ง โรคทเี่ กีย่ วขอ งกับระบบไหลเวียนโลหติ แลวจัด
ปา ยนเิ ทศหนาหอ งเรยี น
3. แบง กลุม กลุมละ 4–5 คน แตละกลมุ รวมกนั ระดมสมองแสดงบทบาทสมมุติเกี่ยวกบั
แนวทางในการดูแลรกั ษาระบบหายใจ และนำ�เสนอหนาชนั้ เรยี น

โครงงาน

นักเรียนสามารถเลือกทำ�โครงงานตอไปน้ี (เลือก 1 ขอ) หรืออาจเลือกทำ�
โครงงานอื่นตามความสนใจตามรูปแบบโครงงานที่ผู้สอนกำ�หนด (ซ่ึงอยางนอยตองมี
หัวขอ ตอไปน้ี เหตุผลที่เลือกโครงงานนี้ จดุ ประสงค แผนการปฏบิ ัติการ)
1. โครงงานการคนควาขอมูลเร่ือง พฤติกรรมของบุคคลท่ีสงผลเสียตอระบบ�
ไหลเวยี นโลหติ
2. โครงงานการสำ�รวจขอมลู เร่ือง สถติ ิของผูปว ยเกย่ี วกบั ระบบสืบพนั ธุ
3. โครงงานการคน ควา ขอ มลู เรอ่ื ง พฤตกิ รรมเสยี่ งทกี่ อ ใหเ กดิ โรคตอ ระบบหายใจ
ของคนในครอบครวั
หมายเหตุ: โครงงานท่ีเลือกตามความสนใจควรไดรับคำ�แนะนำ�แกไขจากผู้สอน
เม่อื ไดรบั ความเหน็ ชอบแลวจงึ ดำ�เนนิ โครงงานน้นั ๆ โดยผูส้ อน/ผปู กครอง/กลุมเพ่ือน
ประเมินลักษณะกระบวนการทำ�งาน และนักเรียนควรมีการสรุปแลกเปลี่ยนความรู
ซง่ึ กันและกนั กอ นพจิ ารณาเก็บในแฟม สะสมผลงาน

18 หนงั สอื เ​ รียน รายวิชาพ้นื ฐาน สุขศึกษาและพลศกึ ษา ป.6

การประยุกต ใช ในชีวิตประจำ�วัน

นักเรียนนำ�ความรูที่ไดจากการศึกษาในหนวยการเรียนรูนี้ไปแนะนำ�แกสมาชิกใน
ครอบครัวและนำ�ไปปฏิบัติดวยตนเอง โดยการดูแลรักษาความสะอาดรางกายและเส้ือผา
เครอ่ื งนงุ หมของตนเองอยา งสมำ่ �เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน หลีกเลยี่ งอาหารทม่ี ี
ไขมนั มาก ไมส บู บหุ รแ่ี ละหลกี เลย่ี งการอยใู นบรเิ วณทมี่ คี วนั บหุ รห่ี รอื ควนั พษิ ออกกำ�ลงั กาย
อยางสม่ำ�เสมอ พักผอนใหเพียงพอ ทำ�จิตใจใหสดใสราเริง พยายามไมเครียด และหม่ัน
ปฏบิ ตั กิ ิจกรรมท่ีชว ยผอ นคลายความเครียด แลว สงั เกตภาวะทางสขุ ภาพ การเจรญิ เติบโต
และพฒั นาการของตนเองและสมาชกิ ในครอบครวั วาดีขน้ึ หรอื ไม อยา งไร

ค�ำถามประจำ� หนวย

1. เพราะเหตุใดจึงตอ งมกี ารสบื พันธุ
2. ระบบสืบพนั ธขุ์ องเพศหญิงและเพศชายมีความแตกต่างกันอยา่ งไร
3. เมื่อมสี ิ่งผดิ ปกตเิ กิดขึน้ กบั อวัยวะเพศควรปฏิบตั ิเชนไร
4. “การออกกำ�ลงั กายอยา่ งสมำ่ �เสมอ ชว่ ยใหห้ วั ใจแขง็ แรง” นกั เรยี นมคี วามคดิ เหน็
อยา่ งไรกบั คำ�กล่าวน้ี
5. ถา้ นกั เรยี นมคี วามเครยี ดบอ่ ย ๆ จะสง่ ผลกระทบตอ่ ระบบการทำ�งานของหวั ใจ
และการเจริญเตบิ โตของรา่ งกายอย่างไร
6. การหลีกเลี่ยงอาหารทม่ี ีไขมันมากจะสง ผลดีตอระบบไหลเวยี นโลหติ อยางไร
7. หากปอดของคนเราถกู ทำ�ลาย นกั เรยี นคิดว่าจะเกิดผลตอ่ คนเราอย่างไร
8. เราควรปฏบิ ตั ติ นอยางไรเพื่อชว ยใหระบบหายใจทำ�งานไดเ ปนปกติ
9. มปี จั จยั ใดบา้ งทที่ ำ�ใหน้ กั เรยี นอาจปว่ ยเปน็ โรคในระบบหายใจ และการปว่ ยนน้ั
สง่ ผลกระทบตอ่ การเจริญเตบิ โตของร่างกายหรือไม่ อย่างไร
10. แนวทางการปฏบิ ตั ทิ ดี่ ที ส่ี ดุ เพอื่ การดแู ลรกั ษาระบบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายใหม้ สี ขุ ภาพ
ที่ดี แนวทางปฏิบตั นิ นั้ คอื อะไรให้บอกมา 1 แนวทาง

หนังสอื ​เรยี น รายวิชาพืน้ ฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศกึ ษา ป.6    19

กจิ กรรมการเรียนรตู้ ามแนวทางสะเตม็ ศึกษา
(STEM Education)

การสรา้ งชน้ิ งาน: แผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหนง่ การไหลเวยี นเลอื ด

เดก็ ชายเอกชยั และเพื่อน ๆ ในช้นั เรยี นตอ้ งการเรียนรู้เก่ยี วกับการทำ�งานของหัวใจ
และตำ�แหนง่ การไหลเวยี นเลอื ดใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจมากยง่ิ ขนึ้ กวา่ การเรยี นรผู้ า่ นภาพจาก
หนงั สอื เรยี นทแ่ี สดงเปน็ ภาพเพยี งมติ เิ ดยี ว จงึ คดิ สรา้ งแผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหนง่
การไหลเวยี นเลอื ดใหเ้ ปน็ ภาพทม่ี มี ติ มิ ากยง่ิ ขน้ึ ถา้ นกั เรยี นตอ้ งการชว่ ยเอกชยั และเพอ่ื น ๆ
สร้างแผนภาพ แต่มีอุปกรณ์เบื้องต้นเพียงกรรไกร คัตเตอร์ และกาว ส่วนอุปกรณ์
ทเี่ หลอื ใหเ้ ลอื กจากอปุ กรณท์ กี่ ำ�หนดใหเ้ พยี ง 4 ชนดิ เทา่ นนั้ (แตล่ ะชนดิ ไมจ่ ำ�กดั จำ�นวน)
นกั เรยี นจะสรา้ งแผนภาพอยา่ งไรโดยภาพทส่ี รา้ งขน้ึ นนั้ มมี ติ แิ ละมคี วามเสมอื นจรงิ มาก
ที่สดุ
อปุ กรณ์

กระดาษสีต่าง ๆ ปากกาสะทอ้ นแสงสแี ดง สนี ้ำ�เงนิ เมล็ดถ่วั แดง หลอดดดู นำ้ �สตี า่ ง ๆ

แผน่ โฟม แผ่นฟวิ เจอรบ์ อรด์ ดินสอสตี ่าง ๆ ลูกเดือย

ปัญหา ลกั ษณะแผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหน่งการไหลเวยี นเลอื ดแบบใดท่ีมีมิตแิ ละ
มคี วามเสมอื นจรงิ มากทส่ี ดุ
เป้าหมาย/ความต้องการ แผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหน่งการไหลเวียนเลือดท่ีมีมิติ
เสมือนจริงเหมาะสมกบั การเรียนรูใ้ หเ้ ข้าใจได้ง่ายขนึ้

20 หนังสอื เ​ รียน รายวชิ าพ้ืนฐาน สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ป.6

แนวทางการแก้ปญั หา
1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ 5–6 คน เพอื่ สรา้ งแผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหนง่
การไหลเวียนเลือดที่มีมิติเสมือนจริงเหมาะสมกับการเรียนร้ใู ห้เข้าใจได้ง่ายขึ้น และส่ง
ตัวแทนไปเลอื กอปุ กรณ์หนา้ ชั้นเรียน โดยเลือกได้เพียง 4 ชนดิ (แตล่ ะชนิดไมจ่ ำ�กดั
จำ�นวน)
2. รว่ มกันสืบคน้ ข้อมูลเก่ียวกบั สมบตั ิของอปุ กรณแ์ ตล่ ะชนดิ ทเี่ ลอื กมา นำ�ขอ้ มลู ที่
รวบรวมได้มาหาข้อสรุปร่วมกนั เพอ่ื เลือกวิธกี ารสร้างแผนภาพใหม้ ีมิติเสมือนจรงิ
3. ร่วมกันออกแบบแผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหน่งการไหลเวียนเลือดให้มีมิติ
เสมือนจริงจากอุปกรณ์ท่ีเลือกมา ซึ่งแผนภาพจะต้องแสดงความรู้ได้อย่างถูกต้องตาม
หลกั วชิ าการแลว้ วาดภาพรา่ งผลการออกแบบผลงานและลงมอื สรา้ งชน้ิ งาน
4. ร่วมกันวเิ คราะหค์ วามรทู้ เ่ี ก่ียวขอ้ งตามแนวคิดสะเต็ม บันทกึ ลงในตาราง
ออกแบบผลงาน วเิ คราะหต์ ามแนวคดิ สะเตม็ (STEM)

ควรบนั ทกึ การออกแบบ S: วิทยาศาสตร์ T: เทคโนโลยี
ลงในสมุด
ควรบนั ทกึ การออกแบบลงในสมุด

E: วศิ วกรรมศาสตร์ M: คณิตศาสตร์

5. ส่งตัวแทนนำ�เสนอผลงานการออกแบบแผนภาพแสดงหัวใจและตำ�แหน่งการ
ไหลเวียนเลอื ดหนา้ ชัน้ เรียน
6. นักเรียนแต่ละกลุ่มร่วมกันอภิปรายและแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับแผนภาพ
แสดงหัวใจและตำ�แหน่งการไหลเวียนเลือดที่นำ�เสนอว่า สามารถแสดงให้เห็นว่าเป็น
แผนภาพท่ีมีมิติเสมือนจริงเพื่อการเรียนร้ทู ี่เข้าใจได้ง่ายขึ้นหรือไม่ และมีความถูกต้อง
ตามหลักวิชาการหรือไม่ หลังจากการอภิปรายแล้วให้นำ�ข้อเสนอแนะที่ได้มาปรับปรุง
แก้ไขผลงานภายในเวลา 15 นาที จากนนั้ ใหแ้ ต่ละกลุม่ นำ�เสนอผลงานคร้งั ที่ 2 ทไ่ี ด้
แก้ไขปรับปรุงแล้วจนครบทุกกลุ่ม แล้วร่วมกันคัดเลือกผลงานท่ีเป็นไปตามเกณฑ์ท่ี
กำ�หนดมากทีส่ ุดเป็นกลมุ่ ผู้ชนะ เพอื่ น ๆ ปรบมอื ให้
7. รว่ มกนั วเิ คราะหว์ า่ แผนภาพแสดงหวั ใจและตำ�แหนง่ การไหลเวยี นเลอื ดทส่ี รา้ งขน้ึ
มีมิติมากข้ึนและสามารถตอบสนองการเรียนรู้ที่ช่วยให้เข้าใจได้ง่ายข้ึนหรือไม่ และ
สามารถนำ�ไปพัฒนาตอ่ ได้หรือไม่ อยา่ งไร


Click to View FlipBook Version