ละครพันทาง เปน็ ละครราชนิดหนงึ่ ท่ีเกดิ ข้ึนในสมยั รชั กาลท่ี 5 ซ่งึ เป็นสมัยที่วัฒนธรรมตะวันตกเข้ามามีอิทธพิ ลต่อชวี ติ ความเปน็ อยู่ของคนไทย
ส่งผลให้ศิลปะการแสดงมลี ักษณะผสมผสานกนั ระหวา่ งตะวนั ตกและตะวนั ออก ทงั้ ในดา้ นลักษณะการแสดง และองคป์ ระกอบของการแสดง ละครพนั ทางมีลักษณะ
เปน็ ละครแบบผสม หากพิจารณาตามรปู ศัพทส์ ามารถแยกได้ 2 คา คือ คาวา่ “ละคร” และคาวา่ “พนั ทาง” ซึง่ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2542 ให้
ความหมายไวด้ ังนี้
• ละคร [- คอน] น. การแสดงประเภทหนึง่ ผูแ้ สดง เรยี กวา่ ตวั ละคร มเี วทีหรอื สถานทใ่ี ช้ในการแสดง มีบทใหต้ ัวละครแสดงตามเน้อื เรือ่ ง
โดยมากมีดนตรีประกอบ มลี ักษณะแตกต่างกันออกไปหลายชนิด (2542 : 996)
• พันทาง น. เรียกไก่ท่พี ่อเป็นอู แมเ่ ปน็ แจ้ วา่ ไก่พันทาง,ภายหลงั เรยี กเลยไปถงึ สตั ว์ท่ีพอ่ แมต่ า่ งพันธุก์ ัน จนถงึ สง่ิ ตา่ งชนดิ บางอยา่ งทีแ่ กมกัน
หรือไมเ่ ข้าชดุ กนั (2542 : 781)
• สาหรบั ความหมายของคาว่า “พนั ทาง” ตามความคิดเห็นของผู้ทรงคณุ วฒุ ทิ างดา้ นนาฏศิลปไ์ ทยไดใ้ ห้ความเหน็ ไวว้ า่ พนั ทาง หมายถึง มา
จากหลายๆ ทาง (สัมภาษณ์ นพรตั น์ หวงั ในธรรม) ซึง่ ตรงกบั ลกั ษณะของละครพันทาง ท่จี ะกล่าวถงึ กลมุ่ คนในหลายเชื้อชาติ เชน่
พม่า มอญ จีน ฯลฯ และการแสดงออกของตัวละครจะเปน็ ไปตามเชอื้ ชาตนิ น้ั ๆ รวมถึงการแต่งกาย เพลงและดนตรดี ้วย
เมอ่ื พจิ ารณาจากความหมายของท้ัง 2 คา และจากความเห็นของผูท้ รงคณุ วฒุ ิสรปุ ไดว้ า่ ละครพนั ทาง เป็น การแสดงประเภทหนงึ่ ทมี่ ีลกั ษณะบางอย่างที่
แกม (ปน) กันหรอื ไมเ่ ข้าชุดกัน ซง่ึ แสดงวา่ มาจากหลายๆ ทางน่ันเอง
ประวัตคิ วามเปน็
ประวตั ิความเป็นมาของละครพันทาง แบง่ ได้เปน็ 3 ระยะ คอื
• ระยะแรก เรยี กวา่ ละครผสมสามัคคี ผรู้ ิเริม่ คือ เจ้าพระยามหินทรศักด์ธิ ารง ไดน้ าพงศาวดารของชาตติ า่ งๆ มาแสดง โดย
ปรบั ปรงุ ทา่ รา ดนตรี การแตง่ กายใหเ้ ลียนแบบชาติตา่ งๆ ของตวั ละคร เมื่อทา่ นถงึ แก่อนจิ กรรม เจ้าหมื่นไวยวรนาถ(บศุ ย์) รบั สบื ทอดและไดน้ าละคร
ไทยไปแสดงที่ประเทศรสั เซยี นบั เป็นการนาละครไทยไปแสดงยังประเทศทางยุโรปเปน็ ครั้งแรก ซ่งึ ละครประสบการขาดทุน หมอ่ มเจา้ เล่อื นฤทธิร์ บั
อุปการะโดยเป็นผอู้ านวยการแสดงและใชช้ ื่อละครว่า ละครผสมสามัคคี แตย่ งั คงขาดทุนและเลิกแสดงไปในที่สุด
ตอ่ มาเจ้าคุณพระประยูรวงศ์ ไดส้ ืบทอดการแสดงละครผสมสามคั คีจนประสบความสาเรจ็ โดยไดจ้ ดั แสดงและรบั แสดงละครจนมี
ชื่อเสียงสืบมา แต่เมอ่ื คณะละครของเจา้ คณุ พระประยรู วงศ์เลิกไปก็ไม่มผี ้ใู ดสานต่อ
• ระยะท่ี 2 พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอกรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศไ์ ดท้ รงนาแบบแผนละครตะวนั ตกมาใช้กับละครไทย คอื แบง่ ฉาก
แสดง มกี ารเปลยี่ นฉากตามท้องเร่อื ง ละครเรื่องแรกทใี่ ช้วธิ ีการน้คี ือ ละครเร่ือง พระลอ จดั แสดงถวายพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ ัว
เมื่อแสดงจบเปน็ ทีพ่ อพระราชหฤทยั มาก ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯ ใหเ้ ตมิ คาวา่ หลวงนาหนา้ ชือ่ คณะ เป็น ละครหลวงนฤมิต ต่อมา เจา้ จอมมารดา
เขยี น และหม่อมหลวง ต่วน วรวรรณ นาแนวความคดิ เรอื่ งการนาเอาเรือ่ งพงศาวดารมาแสดง โดยปรบั ปรุงเคร่อื งแตง่ กายใหม่ ละครทปี่ รับปรงุ ใหม่น้ี
เรยี กว่า ละครพันทาง
• ระยะที่ 3 กรมศิลปากรไดฟ้ ืน้ ฟูละครพันทางขน้ึ ใหม่ ในสมยั ท่ี นายธนิต อย่โู พธิ์ ดารงตาแหนง่
อธิบดี โดยปรับปรุงบทละคร เรอ่ื ง พระลอของเดมิ และแต่งขึ้นใหมห่ ลายเร่ือง เชน่ พอ่ ขุนกรงุ สุโขทัย
ศึกเก้าทัพ โดยเฉพาะเรื่องราชาธริ าชและผชู้ นะสบิ ทิศ ได้รบั ความนยิ มมาก
วิธกี ารแสดง
เริ่มดว้ ยการไหวค้ รู โหมโรง จากนน้ั มา่ นคอ่ ยๆ เปิด โดยปี่พาทยบ์ รรเลงเพลงวา หรือเพลงออกภาษาของตวั ละครตวั แรกท่อี อกแสดง
เม่อื จบเพลงมา่ นจะเปิดกว้างพอดี
การดาเนนิ เร่อื ง ดาเนินเร่ืองรวดเร็วเชน่ เดียวกับละครนอก โดยละครพนั ทางของพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอกรมพระนราธปิ ประพันธพ์ งศ์มี
การแบง่ บท แบง่ ตอน และมบี ทเจรจาสอดแทรกโดยเขียนไวใ้ นบท บางครงั้ ตวั ละครอาจแทรกบทเจรจาซึง่ ตลกขบขันเพอื่ เพ่ิมความ
สนกุ สนาน(มิไดเ้ ขียนไวใ้ นบท) มกี ารบอกบทเพ่ือกนั การผดิ พลาด
ต่อมากรมศิลปากรเปลีย่ นวธิ กี ารแสดงเป็นใช้ทา่ ทางธรรมดา ไม่ราในบทเจรจา และตดั คนบอกบทออก เมื่อจบฉากจะปดิ มา่ น
เพอื่ เปลีย่ นฉาก โดยมีตวั ละครแสดงหน้าม่านเพ่ือไมใ่ หผ้ ูด้ ูเบือ่ การรา่ ยรา จะแสดงลกั ษณะทเ่ี ป็นเอกลักษณ์ของ
ชาติต่าง ๆ ซ่งึ ผชู้ มสังเกตได้ง่ายวา่ เปน็ ชนชาตใิ ด เช่น มอญ พม่า จะใช้การตไี หล่และการเตะเท้า
ลาวใชก้ ารโย้ตัว จนี ใชน้ ิ้วช้กี บั นิว้ กลางเหยยี ดตึงน้วิ ทีเ่ หลือเกบ็ ไวใ้ นอุ้งมอื ชอบลบู หนวดเครา
ถอื พัด เดินกม้ หนา้ หมุนรอบตัวเอง เป็นตน้
จบการแสดง ปี่พาทย์จะบรรเลงเพลงสุดท้ายท่มี คี วามสนุกสนาน หรือเพลงทเ่ี ป็นสริ ิ
มงคล นิยมใช้เพลงกราวราชัน้ เดียว ตอ่ ด้วยเพลงวาลาโรงแลว้ ปดิ มา่ น ต่อดว้ ยเพลง
สรรเสรญิ พระบารมี
ดนตรี
วงดนตรีทีใ่ ช้ คือ วงป่ีพาทยไ์ มน้ วมเครื่องคู่ ผสมเครอ่ื งบอกภาษา คือ เคร่ืองดนตรีท่ผี สมเขา้ ไปเพื่อให้สาเนียงเพลงใกลเ้ คียงกบั ชาติ
ต่างๆ ของตวั ละครตามลกั ษณะเฉพาะของละครพันทาง ดงั น้ี
• มอญ ใช้ ตะโพนมอญ ฆ้องมอญ ป่ีมอญ เปงิ มางคอก บางครงั้ ใช้
วงป่ีพาทยม์ อญทง้ั วงในการบรรเลง
• พม่า ใช้ กลองยาว เกราะ ฉาบเล็ก
• จนี ใช้ ซออู้ กลองจีน กลองต๊อก ฉาบใหญ่ ล่อโก๊ะ ม้าล่อ
• เขมร ใช้โทน
• ฝร่งั ใชก้ ลองมะริกนั
• ลาว ใชส้ ะล้อ ซอ ซงึ
เพลง
เพลงทีใ่ ช้ประกอบการแสดง แบง่ เป็น เพลงบรรเลงและเพลงขบั ร้อง
• เพลงบรรเลง แบ่งเป็น 5 ประเภท ตามลักษณะของการบรรเลง คือ เพลงโหมโรง ใชบ้ รรเลงกอ่ นการแสดง
• เพลงลงโรง ใช้บรรเลงต่อจากเพลงโหมโรงหรือใช้บรรเลงตอนเปดิ มา่ นหน้าเวที เมอ่ื เพลงจบ ม่านจะเปิดกวา้ งเตม็ ที่ ตัวละครใน ฉาก 1 พรอ้ ม
แสดง
• เพลงหนา้ พาทย์ ใช้บรรเลงประกอบกรยิ าอาการหรืออารมณ์ของตัวละคร เชน่ เดียวกับละครราชนดิ อื่นๆ
• เพลงท่บี รรเลงประกอบอากัปกริ ยิ า หรืออารมณ์ของตัวละครท่นี อกเหนอื ไปจากเพลงหนา้ พาทย์
• เพลงลาโรง เป็นการบรรเลงตอนสดุ ท้ายเมื่อจบการแสดง ละครพันทางนยิ มใช้เพลงบอกภาษา และเม่ือมา่ นปิดแลว้ จะบรรเลงเพลงสรรเสริญ
พระบารมีอีก 1 เพลง
• เพลงขบั รอ้ ง เป็นเพลงทม่ี ีเนื้อรอ้ งตามบท ใชใ้ นการดาเนินเรอ่ื ง อาจเปน็ การบรรยายหรือใชแ้ ทนการเจรจาโตต้ อบของตัวละคร โดยมากเปน็ เพลง
สองช้ันและเพลงช้นั เดียว ลักษณะการรอ้ งเพลงประกอบการแสดง คล้ายกบั ละครนอกและละครใน คอื
ต้นเสยี งร้องนาก่อนในวรรคแรก แล้วลกู คู่จึงรอ้ งพรอ้ มกันในวรรคตอ่ ไป เพลงร้องท่ีเปน็ ลักษณะเด่นของละครพันทาง
คอื เพลงภาษา ซึ่งมีสาเนยี งเพลงท่ีแสดงถึงเอกลกั ษณข์ องชาตติ า่ งๆ ตามท่กี ล่าวถึงในบทละคร บางครัง้
บทรอ้ งอาจมภี าษาของชาตติ ่างๆ ปรากฏอยู่ ซึ่งอาจมีความหมายหรือไมม่ คี วามหมายกไ็ ด้
เพราะจดุ เน้นอยู่ทสี่ าเนยี งของเพลง เชน่ เพลงจนี ขิมเล็ก มอญดดู าว พมา่ เห่ เขมรพระปทุม ฝรั่งหน้าแดง แขกเชญิ เจา้
ลาวกระตกุ ก่ี เปน็ ตน้ สาหรับเพลงที่ใช้ในการดาเนนิ เร่อื งนยิ มใช้เพลงรา่ ยนอกเชน่ เดียวกบั ละครนอก
ผแู้ สดง
ไมไ่ ดก้ าหนดเป็นมาตรฐานวา่ ตอ้ งใช้ผชู้ ายหรือผู้หญงิ แสดง บางคร้ังใช้ชายจรงิ หญงิ แท้ บางครัง้ ใช้ผหู้ ญิงแสดงล้วน สิง่ สาคัญ คอื ผแู้ สดง ต้องมี
ความสามารถในการรา่ ยรา เจรจาได้คล่องแคล่ว โดยไม่มีบทเขยี นไวใ้ ห้ และตอ้ งแสดงบทบาทตามเชื้อชาติของตวั ละครท่ีกลา่ วถึง การเลือกผู้แสดงตอ้ งให้มี
หน้าตา ผิวพรรณเหมาะสมกบั เชื้อชาตขิ องตวั ละครทกี่ ลา่ วถึงในบท ซงึ่ ปทั มาพร ชเลิศเพ็ชร (2535 : หนา้ 44 - 47) กลา่ วถึงรายละเอยี ดของผแู้ สดงละคร
พนั ทาง ทง้ั สามระยะไว้ สรุปไดว้ า่
ระยะแรก เจ้าพระยามหินทรศักด์ิธารงปรบั ปรุงละครนอกมาแสดงเร่ืองพงศาวดาร ทา่ นใชผ้ หู้ ญิงเป็นตัวละครสาคัญ คงใชผ้ ู้ชายแสดงเฉพาะตัว
ประกอบ เชน่ แสดงเปน็ ทหาร เป็นต้น
ระยะท่ี 2 ละครพันทางของพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ ใช้ผู้หญิงแสดงล้วน เพราะทรงให้ความสาคัญกับการร่ายรามาก
ผแู้ สดงตอ้ งรางาม จนในปี พ.ศ. 2476 พระนางเธอลักษมีลาวณั พระธิดาของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระนราธิปประพนั ธพ์ งศ์ โปรดให้เปล่ยี นผู้แสดงเปน็ ชาย
จรงิ หญิงแท้เป็นครัง้ แรก
ระยะที่ 3 ละครพันทางของกรมศลิ ปากร ในชว่ งแรก กลับไปใช้ผหู้ ญงิ แสดงเปน็ ตวั ละครสาคัญ
และใชผ้ ้ชู ายแสดงเปน็ ทหาร เช่นเดยี วกบั ละครพันทางระยะแรกของเจ้าพระยามหินทรศักดิ์ธารง
ต่อมามีการเปลย่ี นแปลงผู้แสดงเปน็ ชายจริงหญงิ แท้ และนิยมใช้ผู้แสดงเปน็ ชายจรงิ หญงิ แท้จนถงึ ปจั จบุ นั
การแตง่ กาย
แต่งกายตามเชื้อชาตขิ องตวั ละครท่กี ลา่ วถงึ ในเร่ือง โดยศกึ ษาจาก
วัฒนธรรมและประเพณกี ารแตง่ กายแตล่ ะชาตเิ ป็นหลัก และประดษิ ฐ์
ให้สวยงาม และตอ้ งคานึงถึงการแตง่ หน้าให้สอดคลอ้ งกนั ด้วย
เช่น การแต่งกายของพระเจ้าฝรงั่ มังฆอ้ ง ในเร่อื ง
ราชาธริ าช นุง่ ผา้ โสร่งสัน้ ปดิ เข่าปลอ่ ยชายไว้ขา้ งหน้า
สวมเสอ้ื คอกลมแขนยาวปา้ ยแขนแบบเส้ือจนี
ชายเส้อื สน้ั สวมเสวียนทศี่ รี ษะ เปน็ ต้น
เรือ่ งท่แี สดง
ปทั มาพร ชเลิศเพช็ ร (2535 : หน้า 66 - 67) กลา่ วถึงเรือ่ งที่นามาแสดงละครพนั ทาง อาจจดั ไดเ้ ป็น 2 ลักษณะ คือ บทละครที่มาจาก
วรรณคดี คดั แตต่ อนที่กลา่ วถึงชนต่างชาติ เชน่ พระลอ - ชาตลิ าว สามก๊ก - ชาตจิ นี ราชาธิราช - ชาติพมา่ มอญ และบทละครท่นี าเค้าเร่อื งมาจากพงศาวดาร
เชน่ เร่ืองพระร่วง - ชาติเขมร เรอื่ งศึกเกา้ ทัพ - ชาตพิ ม่า เรือ่ งพญาผานอง - ชาติลาว เรือ่ งซุยถงั - ชาติจนี เปน็ ต้น
ลักษณะเฉพาะของบทละครพันทาง คอื เปน็ เรอื่ งราวที่มตี วั ละครต่างชาติ หรอื เปน็ เร่อื งของชนตา่ งชาติ ส่วนใหญม่ ีแนวคิดทานองเดยี วกนั คือ ปลุกใจใหเ้ กดิ
ความรักชาติ เนอื้ เรือ่ งดาเนินไปดว้ ยเรื่องการต่อสู้เพอ่ื แยง่ ชิงความเปน็ ใหญ่ เปน็ ความขดั แยง้ ของกลุม่ บคุ คลเพอื่ ปกป้องประเทศชาติ จบเรอ่ื งด้วยชัยชนะในการทา
ศกึ มเี พยี งบทละครพันทางของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ เรอ่ื ง พระลอ และพระยาร่วง ท่ีแนวคิดเปน็ เร่ืองอุปสรรคของความรักและความล่มุ
หลง ดาเนินเร่ืองดว้ ยความขดั แยง้ ภายในใจตนเอง ตวั ละครหลงใหลในโลกียวิสัยและอบายมุข
จนเป็นเหตุให้ตอ้ งเสียชวี ิต ลกั ษณะบทละครของเจา้ พระยามหินทรศกั ดธิ์ ารง และบทละครของ
พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระนราธปิ ประพันธ์พงศ์ ยงั มลี กั ษณะขนบนิยมของละครรา
ได้แก่ การลงสรง ทรงเครื่อง การพรรณนาชมธรรมชาติ การยกทัพ อยบู่ ้างบางตอน
ส่วนบทละครของกรมศิลปากร จะตัดขนบนิยมของละครราเหลา่ น้ีออกเกือบหมด
คงมีเพียง บทยกทัพ ตรวจพลส้นั ๆ
เร่ืองทแ่ี สดง (ตอ่ )
เรือ่ งราชาธิราช ตอน สมิงพระรามอาสา
- ปพ่ี าทยท์ าเพลงจนี หอ้ แห่ - จีนลั่นถนั -
- พระเจ้ากรงุ จีนยกออกเวทลี า่ ง -
- รอ้ งเพลงจนี ล่นั ถนั -
เสดจ็ ทรงพาชีมีอานาจ ใหเ้ คลื่อนพยุหบาตรปกี ซ้ายขวา
กามนีนอ้ มคานบั ขบั อาชา นาโยธาเป็นกระบวนด่วนเดนิ
- เพลงจีน -
(บทละครของกรมศิลปากร : หน้า 108)
เรอื่ งทแี่ สดง (ต่อ)
• ลักษณะพเิ ศษอยา่ งหนง่ึ ของละครพนั ทาง คือ การนาภาษาตา่ งชาติมาใชใ้ นบทละครดว้ ย ลักษณะการนามาใช้ มี 2 แบบ คือ นามาใชป้ นไปกับภาษาไทย และ ใชร้ ้อง
เพลง โดยอาจมีความหมาย หรอื ไม่มคี วามหมายกไ็ ด้ เช่น
- ป่พี าทยท์ าเพลงพม่า -
- พระเจา้ กรุงองั วะยกออกเวทีล่าง -
- ร้องเพลงพม่าประเทศ -
ขนึ้ ทรงคอพระยาคชาชาติ ให้เคล่อื นคลาดนกิ รซอ้ นสา
สมงิ พระรามขี่พาชดี า ชกั ม้านากระบวนออกนอกบรุ ี
- เพลงพมา่ ราขวาน -
- รอ้ งสรอ้ ยเพลงพม่าเขว -
เขว เขว เขว เขว อมิ มะ เล เล เล
เขว อมิ มะ เล เล เล
ไซ ยา มอง เล เลเล เล เล.้ ..
ไซ ยา มอง เล เลเล เล เล.้ ..
เขว เขว ซวย ยา หม่อง
(บทละครของกรมศลิ ปากร : หน้า 109)
นอกจากน้ีละครพันทางยงั มกี ารสรา้ งตวั ละคร
ท่แี สดงให้เหน็ วา่ เป็นชาวต่างชาตดิ ้วยวธิ กี ารตา่ งๆ
คือ การกาหนดชื่อตวั ละคร กาหนดการแตง่ กาย
กาหนดอปุ กรณป์ ระกอบการแสดง และเลือก
ใช้เพลงใหเ้ หมาะสมกับชนชาตนิ ั้นๆ
สถานทแี่ สดง
ละครผสมสามัคคขี องเจา้ พระยามหินทรศักด์ธิ ารง แสดงในโรงละครปรินซ์เธียเตอร์
ละครพันทางของพระเจา้ บรมวงศ์เธอกรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศ์ แสดงทโ่ี รงละคร
ปรดี าลยั และละครพันทางของกรมศิลปากรแสดงท่ีโรงละครแห่งชาติ
ลักษณะของโรงละครคลา้ ยกัน คอื แยกสว่ นเวทสี าหรบั แสดงกับส่วนของผูช้ ม
โดยสว่ นของเวทีแสดงจะยกพื้น สว่ นของผู้ชมจัดเป็นท่นี ง่ั เฉพาะคน แตล่ ะโรงละคร
แตกตา่ งกันในรายละเอียดดังน้ี
โรงละครปรินซ์เธยี เตอร์ ปทั มาพร ชเลศิ เพช็ ร์ (2535 : หนา้ 39) อธบิ ายลกั ษณะ
ของโรงละครสรุปไดว้ า่ สว่ นสาหรบั แสดง ยกพน้ื เวทีสงู กว่าท่ีน่ังของผู้ชม มฉี ากยกพ้ืน
ฉากเดียวเชน่ เดียวกบั ละครนอก แตน่ าเทคนิค เร่ือง แสงสี เสียงมาใช้ดว้ ย สว่ นท่นี ่งั ผู้ชม
จดั เปน็ บ๊อกซ์ อยูด่ า้ นหนา้ เวทแี สดง ผู้ชมสามารถชมละครไดเ้ พยี งดา้ นเดียว
สถานทแ่ี สดง (ตอ่ )
โรงละครปรีดาลยั จนั ทิมา พรหมโชตกิ ลุ (2518 : หน้า 73 - 74 ) อธบิ ายลักษณะของโรงละครสรปุ
ไดว้ า่ โรงละครเปน็ รปู สี่เหลย่ี มผืนผา้ มีประตหู ลายประตู เปดิ เป็นทางเข้า 2 - 3 ประตู ใช้เป็นทางออกทุก
ประตู สว่ นเวทียกพน้ื ทาด้วยไม้ ด้านหนา้ กว้าง ด้านหลังสอบแคบลง มมี า่ นและหลืบกัน้ ตามฝาผนงั โรงบรเิ วณตรง
กบั ทน่ี ั่งของผ้ชู มตดิ กระจกเงาสะท้อนให้เหน็ เวที ผู้ชมสามารถเหน็ ผู้กากับการแสดงขณะกากับตัวละครได้
ด้วย ดา้ นหนา้ เวทีมีมา่ นสาหรับปดิ เปดิ เมอื่ จบฉากหนง่ึ ๆ ใชเ้ ทคนคิ แสง สี เสยี ง ชว่ ยสรา้ งบรรยากาศให้
สมจรงิ สว่ นของผู้ชมแบง่ เป็นช้ันตามฐานะของผู้เขา้ ชม ตรงกลางดา้ นหน้าเปน็ บ๊อกซ์ สามารถน่ังได้ 33 ที่
สว่ นบ๊อกซ์ดา้ นข้างมที ่นี ั่งข้างละ 25 ที่ ทเ่ี หลอื เป็นเก้าอลี้ อย คอื ไม่ได้จัดเป็นบ๊อกซ์
โรงละครแห่งชาติ ปัทมาพร ชเลิศเพ็ชร์ (2535 : หน้า 42) อธบิ ายลกั ษณะของโรงละครสรปุ ได้
ว่า ลักษณะเปน็ โรงละครมาตรฐาน รปู สเ่ี หลี่ยมผนื ผ้า เวทแี สดงยกพื้นสงู มี 2 ระดบั เวทีบนมีมา่ น 2 ชน้ั ชน้ั แรก
เป็นรปู เทพพนมใช้ปดิ - เปิดม่านเมอ่ื เริ่มและเลิกแสดง ช้ันในใชส้ าหรบั การเปลย่ี นฉาก ในขณะท่ีเปล่ยี นฉากมักจะมี
การแสดงทเี่ วทลี า่ ง ซง่ึ อาจเป็นสว่ นหน่งึ ของเน้ือเรอ่ื ง หรอื การแสดงสลบั ฉากก็ได้ บนเวทีใช้เทคนิคแสง สี เสียง ชว่ ย
สรา้ งบรรยากาศให้สมจรงิ จัดฉากสมจรงิ สวยงาม พถิ ีพิถนั ที่นงั่ ของผู้ชมมี 2 ชน้ั ชน้ั บน ตอนหน้า เป็นท่ีน่ังของ
พระมหากษตั รยิ ์ พระบรมวงศานวุ งศ์ พระราชอาคนั ตุกะชาวต่างประเทศ ส่วนหลังของช้นั บนเป็นทน่ี ั่งของประชาชน
ที่ซ้ือบตั รเขา้ ชมทั่วไป ช้ันลา่ ง แบง่ เปน็ 3 ชุด คอื ชุดตรงกลางและชุดด้านข้าง ไมม่ กี ารแบ่งเป็นบอ๊ กซ์