ประวตั ิ
ละครชาตรี นบั เปน็ ละครทม่ี ีมาแต่สมยั โบราณ และมีอายเุ ก่าแกก่ ว่าละครชนิดอื่นๆ มีลกั ษณะเป็นละครเรค่ ล้ายของอินเดียที่เรยี กว่า "ยาตร"ี หรอื "ยาตรา
ซึง่ แปลว่าการเดนิ ทางหรือการเคล่ือนยา้ ย ละครยาตราน้ีคือละครพนื้ เมืองของชาวเบงคลีในประเทศอนิ เดีย ซง่ึ เปน็ ละครเร่ นยิ มเลน่ เรือ่ ง "คตี โควินท์" เปน็ เรอ่ื งอวตารของ
พระวิษณุ ตวั ละครมีเพยี ง ๓ ตวั คอื พระกฤษณะ นางราธะ และนางโคปี ละครยาตราเกดิ ขน้ึ ในอนิ เดียนานแล้ว สว่ นละครราของไทยเพิง่ จะเรมิ่ เลน่ ในสมยั ตอนตน้ กรุงศรีอยุธยา
จงึ อาจเปน็ ได้ทีล่ ะครไทยอาจไดแ้ บบอย่างจากละครอนิ เดีย เนื่องจากศลิ ปวฒั นธรรมของอนิ เดยี แพร่หลายมายงั ประเทศต่างๆในแหลมอนิ โดจีน เช่น พม่า มาเลเซยี เขมร และ
ไทย จงึ ทาให้ประเทศเหล่านมี้ บี างสิง่ บางอย่างคลา้ ยกนั อยู่มาก
ในสมัยโบราณละครชาตรีเป็นทนี่ ิยมแพร่หลายทางภาคใต้ของไทย เรอื่ งท่ีแสดงคงจะนิยมเรอื่ งพระสุธนนางมโนหร์ า จงึ เรยี กการแสดงประเภทน้วี า่ "โนหร์ าชาตร"ี
เพราะชาวใต้ชอบพดู ตดั พยางคห์ นา้ สันนิษฐานวา่ ละครชาตรไี ด้แพรห่ ลายเขา้ มายงั กรุงรัตนโกสนิ ทร์ ๓ ครัง้ คือ
- ใน พ.ศ. ๒๓๑๒ เมือ่ พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ กรุงธนบุรีเสดจ็ ยกทพั ไปปราบเจา้ นครศรธี รรมราช และพาขึน้ มากรุงธนบรุ ีพร้อมด้วยพวกละคร
- ใน พ.ศ. ๒๓๒๓ ในวานฉลองพระแก้วมรกต ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ใหล้ ะครของนครศรีธรรมราชข้ึนมาแสดงประชันกบั ละครหลวงผู้หญงิ ของหลวง
- ใน พ.ศ. ๒๓๗๕ สมัยรชั กาลท่ี ๓ แหง่ กรุงรตั นโกสินทร์ สมเด็จเจา้ พระยาบรมมหาประยรู วงศ์ (ดศิ บนุ นาค) สมยั ที่ยงั เป็นเจ้าพระยาพระคลัง ไดล้ งไปปราบ
และระงับเหตกุ ารณ์ร้ายทางหวั เมืองภาคใต้ พวกชาวใต้จึง อพยพตดิ ตามขน้ึ มาดว้ ย รวมทัง้ พวกท่ีมคี วามสามารถในการแสดงละครชาตรี
ในสมยั รชั กาลที่ ๖ ได้มผี ู้คดิ นาเอาละครชาตรีกับละครนอกมาผสมกนั เรยี กวา่ "ละครชาตรเี ขา้ เครอื่ ง"
หรือ "ละครชาตรีเคร่อื งใหญ่" การแสดงแบบนี้บางครงั้ กม็ ฉี ากแบบละครนอกแตบ่ างครัง้ กไ็ มม่ ีฉากอยา่ ง
ละครชาตรี ดนตรปี ระกอบก็ใช้แบบผสม คอื ใชเ้ ครือ่ งดนตรีของละครชาตรีผสมกับวงปพ่ี าทย์ของ
ละครนอก การแสดงเรม่ิ ดว้ ยราซัดชาตรแี ลว้ ลาโรง จบเร่อื งดว้ ยเพลง “วา” แบบละคร ส่วนเพลง
และวิธกี ารแสดงกใ็ ช้ทงั้ ละครชาตรีและละครนอกปนกัน การแสดงแบบนี้ยังเปน็ ท่นี ิยมมาจนถงึ
ปจั จบุ ัน
วิธีการแสดง
เรม่ิ ตน้ จะตอ้ งทาพิธีบชู าครเู บิกโรง หลังจากนั้นป่ีพาทย์ก็โหมโรงชาตรี ตัวยืนเครื่องออกมาราซดั หนา้ บท
ตามเพลง การราซดั นส้ี มยั โบราณขณะร่ายราผแู้ สดงจะตอ้ งวา่ อาคมไปด้วย เพื่อป้องกันเสนียดจัญไร และ
การกระทายา่ ยตี ่างๆ วิธเี ดนิ วนราซัดกอ่ นแสดงนีจ้ ะราเวียนซ้าย เรยี กว่า "ชักใยแมงมุม" หรือ "ชักยนั ต์"
ตอ่ จากราซัดหน้าบทเวยี นซา้ ยแล้วกเ็ ริ่มจับเรอ่ื ง ตัวแสดงขนึ้ นั่งเตียงแสดงต่อไป การแสดงละครชาตรตี ัวละครร้องเอง
ไมต่ อ้ งมีต้นเสยี ง ตัวละครท่นี ่งั อยูท่ ี่นัน้ ก็เป็นลูกคู่ไปในตัว และเม่ือเลิกการแสดงจะราซดั อกี คร้งั หนึง่ วา่ อาคมถอยหลัง
ราเวียนขวาเรยี กว่า "คลายยนั ต"์ เปน็ การถอนอาถรรพ์ทั้งปวง
เพลง
มีท้ังเพลงหน้าพาทย์แบะเพลงร้อง เพลงหน้าพาทย์ใช้สาหรับประกอบอากัปกิริยาและอารมณ์ของตัวละคร
เพลงร้อง เพลงกรับไหว้ครู เพลงร่ายชาตรีร้องดาเนินเร่ือง ต่อมาพัฒนาโดยใช้เพลงละครนอกผสมร่ายชาตรี
ในขณะทล่ี ะครชาตรีของชาวบ้านเปลี่ยนไป กรมศลิ ปากรกไ็ ดป้ รบั ปรุงละครชาตรี 2 เรือ่ ง คอื มโนราห์ เม่ือ พ.ศ.
2498 เร่ืองรถเสน เม่ือ พ.ศ.2500 โดยเดินเร่ืองตามกลอนแบบเก่า แต่เขียนบทใหม่และปรับปรุงท่าราเป็นแบบ
ชาตรที รงเครอ่ื ง (ละครนอกปนชาตรี มฉี ากประกอบแบบละครดึกดาบรรพ์)
ผู้แสดง
ในสมยั โบราณจะใช้ผ้ชู ายแสดงลว้ น มตี ัวละครเพยี ง ๓ ตัว คือ
-ตวั นายโรง
-ตัวนาง
-ตัวตลก
ต่อมาไดพ้ ฒั นาการแสดงจึงเพ่มิ ตัวละครมากข้นึ
ดนตรี
ปน่ี อก 1 เลา ทับหรือโทน 1 คู่
ฆอ้ ง 1คู่
กลองเล็ก (กลองตกุ๊ หรือกลองชาตรี) 1 คู่ กรับ
ฉิ่ง
• ตอ่ มาไดพ้ ัฒนาเปน็ ปี่พาทย์เคร่อื งหา้
การแต่งกาย
ละครชาตรีแต่โบราณไม่สวมเส้ือ เพราะทุกตัวใชผ้ ู้ชาย
แสดง ตัวยืนเคร่อื งซงึ่ เป็นตวั ท่แี ต่งกายดกี ว่าตวั อื่นก็น่งุ สนบั เพลา
นงุ่ ผ้าคาดเจียระบาดมหี อ้ ยหน้า ห้อยข้าง สวมสงั วาล ทบั ทรวง
กรองคอกับตัวเปลา่ บนศีรษะสวมเทรดิ เทา่ นัน้ การผัดหนา้ ในสมัย
โบราณใช้ขมิน้ ลงพืน้ สหี นา้ จนนวลปนเหลือง ไมใ่ ช่ปนแดงอยา่ ง
เดย๋ี วนี้
สว่ นการแตง่ กายในสมัยปัจจบุ นั มักนยิ มแตง่ เคร่อื งละคร
สวยงาม เรียกตามภาษาชาวบ้านว่า "เขา้ เครือ่ งหรือยืนเคร่ือง"
เร่ืองที่แสดง
นยิ มแสดงโดยเฉพาะ
• เร่ืองพระสธุ นกับนางมโนห์รา ตอนพรานบุญ (ตวั ตลก)
จบั นางไปถวายพระสุธน
• เรื่องพระรถ – เมรี ตอนพระรถเสนมอมเหลา้ นางเมรแี ลว้
ข่ีมา้ (ตวั ตลกเป็นมา้ ) หนีไป
• เร่อื งอ่นื ๆ ท่เี ป็นนิยายพืน้ บา้ น
สถานท่แี สดง
เนือ่ งจากเปน็ ละครที่รอ่ นเร่ไปแสดงตามทตี่ ่างๆจงึ ไมม่ เี วที แสดงกลางแจง้ ไมม่ ฉี าก ไมม่ ีม่านก้ัน ใชเ้ สา 4 เสา ปัก
ไว้ 4 มุม เพอื่ ใช้ยดึ หลังคากันแดด และมีเสากลางอกี 1 เสา ปักไว้กลางโรง เรียกเสานีเ้ สามหาชยั เสานี้นยิ มใชไ้ มช้ อื่ เป็นมงคล
เช่น ไม้ชัยพฤกษ์ ประวัติเดิมของเสากลางก็คือ ใชผ้ ้าแดงผกู และอันเชิญพระวิษณุกรรมมาประทบั เพือ่ สริ มิ งคล ต่อมาใช้เป็นท่ี
ผูกของคลี (ซองหนังสาหรับเสยี บอาวุธทใี่ ช้ประกอบการแสดงละคร) มีเตยี งตง้ั ตรงกลางใชเ้ สือ่ ปูเป็นท่นี ั่งที่แสดงและทพี่ ัก ผชู้ ม
จะดูไดท้ ้ัง 4 ทิศ ผู้เล่นจะน่งั แต่งตัวแตง่ หน้าอยดู่ า้ นข้าง เมอื่ ถึงบทท่ีตอ้ งแสดงกจ็ ะสวมเครอ่ื งสวมศีรษะ เดนิ ออกไปนัง่ เตียงทาง
ด้านขวา ทาให้ผู้ชมมองเหน็ การแสดงเพยี ง 3 ดา้ น