1 รายงานนวัตกรรม โรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน โรงเรียนวัดอมรินทราราม ๑.ชื่อนวัตกรรม ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม ๒.ที่มาและความเป็นมาของปัญหา สังคมไทยให้ความสำคัญกับกิริยามารยาทตั้งแต่อดีต มีการกำหนดระเบียบแบบแผนจนกลายเป็น ธรรมเนียมให้ยึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมา การเรียนรู้เรื่องกิริยามารยาทไทยที่ถูกต้องตามระเบียบแบบแผน จึงถือ เป็นสิ่งสำคัญเพราะผู้ที่มีกิริยามารยาทงดงาม ย่อมเป็นที่รักใคร่เอ็นดูของผู้พบเห็น ช่วยเสริมสร้างความ ประทับใจให้กับผู้อื่นได้เป็นอย่างดีการแสดงความเคารพเป็นเอกลักษณ์สำคัญของคนไทย สามารถแบ่ง ออกเป็นหลายลักษณะ เช่น การไหว้ การกราบ การคำนับ การถวายความเคารพ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การ แสดงความเคารพมีความแตกต่างไปตามความเหมาะสมของผู้รับความเคารพว่าอยู่ในฐานะใดหรือในโอกาสใด (สุพัตรา ธรรมประดิษฐ์และลมูลเพชร มะณี, ๒๕๖๐) "การไหว้”เป็นภาษาท่าทางที่ใช้แสดงความเคารพ ทักทาย โดยการยกมือสองข้างประนม พร้อมกับ ยกขึ้นไหว้ในระดับต่างๆ ทั้ง ๓ ระดับ คือ การไหว้บุคคลพระสงฆ์ การไหว้ผู้อาวุโสและการไหว้บุคคลทั่วไป นอกจากนี้ยังแสดงออกถึงความหมายของ การขอบคุณ การขอโทษ การยกย่อง การระลึกถึง และอีกหลาย ความหมายสุดแท้แต่โอกาส การไหว้เป็นการแสดงมิตรภาพ มิตรไมตรี ที่เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี เป็น วัฒนธรรมที่งดงาม รวมทั้งเป็นสิ่งที่แสดงถึงเอกลักษณ์ และเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของคนไทยที่มีจิตใจงดงาม ที่ปัจจุบันกำลังเลือนหายและถูกละเลยอย่างน่าเสียดาย ประเทศไทยซึ่งเคยได้ชื่อว่ามีวัฒนธรรมที่งดงามเป็น ดินแดนแห่งรอยยิ้ม (Land of Smile) ที่ผู้คนรู้จักไปทั่วโลก กำลังสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป ทั้งที่การไหว้เป็นมารยาท แบบไทยๆ ที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็ก (สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, ๒๕๕๓) ในการดำเนินการโรงเรียนวิถีพุทธที่นำหลักธรรมหรือองค์ความรู้ที่เป็นคำสอนในพระพุทธศาสนามา ประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษาของสถานศึกษานั้น โดยมีจุดเน้นที่สำคัญ คือ การนำหลักธรรมมาใช้ในระบบ การพัฒนาผู้เรียนโดยรวมของสถานศึกษา ซึ่งอาจเป็นการเรียนการสอนในภาพรวมของหลักสูตรสถานศึกษา หรือการจัดเป็นระบบวิถีชีวิตในสถานศึกษาของผู้เรียนส่วนใหญ่ โดยนำไปสู่จุดเน้นของการพัฒนาให้ผู้เรียน สามารถกิน อยู่ ดู ฟัง คือใช้ปัญญาและประโยชน์แท้จริงต่อชีวิตและการจัดดำเนินการของสถานศึกษาจะแสดง ถึงการจัดสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เป็นกัลยาณมิตรเอื้อในการพัฒนาผู้เรียนอย่างรอบด้านด้วยวิถี วัฒนธรรมแสวงปัญญา ที่ผู้เรียนได้ศึกษาปฏิบัติอบรม ทั้งศีลหรือพฤติกรรม วินัยในการดำเนินชีวิตที่ดีงาม สำหรับตนและสังคม สมาธิหรือด้านการพัฒนาจิตใจที่มีคุณภาพ มีสมรรถภาพ มีจิตใจที่ตั้งมั่นเข้มแข็งและสงบ สุข และปัญญาที่มีความรู้ที่ถูกต้อง มีศักยภาพในการคิด การแก้ปัญหาที่เหมาะสม โดยมีคุณครูและผู้บริหาร สถานศึกษาเป็นกัลยาณมิตรสำคัญที่รักและปรารถนาดี ที่จะพัฒนาผู้เรียนอย่างดีที่สุดด้วยความเพียรพยายาม ระบบพัฒนาผู้เรียนด้วยไตรสิกขา (มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๖๒) โรงเรียนวัดอมรินทราราม เป็นโรงเรียนสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา กรุงเทพมหานคร เปิดการเรียนการสอนตั้งแต่ชั้นระดับอนุบาล ๑ ถึงระดับประถมศึกษาปีที่ ๖ ปัจจุบันมี นักเรียน จำนวน ๑,๓๕๗ คน ซึ่งในพันธกิจของโรงเรียน ข้อที่ ๒ ได้กล่าวไว้ว่าส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรมตามแนวทางวิถีพุทธและความเป็นไทย นำความรู้และค่านิยมหลัก ๑๒ ประการ น้อมนำหลักปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินชีวิต โรงเรียนได้ดำเนินโครงการโรงเรียนวิถีพุทธมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีการศึกษา
2 ๒๕๔๘ จนถึงปัจจุบันและโรงเรียนได้รับการประเมินรับรองเป็นโรงเรียนวิถีพุทธชั้นนำ รุ่นที่ ๘ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ (โรงเรียนวัดอมรินทราราม, ๒๕๖๕) จากการสังเกตพฤติกรรมนักเรียนโรงเรียนวัดอมรินทรารามส่วนใหญ่พบว่า นักเรียนยังขาดมารยาท ด้านการไหว้การกราบไม่ค่อยถูกต้อง จึงได้ออกแบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาก่อนการสร้าง นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" โดยใช้กลุ่มประชากรทั้งหมดของโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยคณะ ผู้บริหาร จำนวน ๔ คน ราชการครู จำนวน ๖๐ คน ครูอัตราจ้าง จำนวน ๑๕ คน นักเรียนระดับประถมศึกษา ปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๑,๐๔๕ คน (ไม่รวมนักเรียนระดับชั้นอนุบาล จำนวน ๓๑๒ คน) บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระสอนศีลธรรม จำนวน ๖ รูป ลูกจ้างประจำ จำนวน ๓ คน ลูกจ้างชั่วคราวและพี่ เลี้ยงเด็กปฐมวัย จำนวน ๒๒ คน รวมทั้งหมด ๓๑ คน ผู้ปกครอง จำนวน ๑,๓๕๗ คน รวมประชากรทั้งหมด ๒,๕๑๒ คน และได้กำหนดขนาดตัวอย่าง (Sample Size) ใช้สูตรคำนวณของทาโร่ยามาเน่ (Yamane, ๑๙๗๓) โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ได้แก่ คณะผู้บริหาร จำนวน ๔ คน ราชการครูและครู อัตราจ้าง จำนวน ๑๐ คน นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๑๓๗ คน บุคลากร ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย พระสอนศีลธรรม, ลูกจ้างประจำ, ลูกจ้างชั่วคราว รวม จำนวน ๔ คน ผู้ปกครองชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๑๓๗ คน ชั้นปฐมวัย จำนวน ๓๘ คน จำนวน ๑๗๕ คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด จำนวน ๓๓๐ คนจากประชากรทั้งหมด จำนวน ๒,๕๑๒ คน การตอบแบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาก่อนการสร้างนวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจ งดงาม"ของสายชั้นอนุบาล - ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นผู้ปกครองนักเรียนชั้น ประถมศึกษาและนักเรียน จำนวน ๒๗๔ คน ร้อยละ ๘๓.๐ รองลงมา คือ ผู้ปกครองของสายชั้นอนุบาล จำนวน ๓๘ คน ร้อยละ ๑๑.๕ ครูผู้สอน จำนวน ๑๐ คน ร้อยละ ๓.๐ ผู้บริหารและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๘ คน ร้อยละ ๒.๔ รวมจำนวนทั้งหมด ๓๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ข้อมูลจำแนกตามสายชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จากผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๕๙ คน ร้อยละ ๑๗.๙ รองลงมา คือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๕๗ ร้อยละ ๑๗.๓ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๕๓ ร้อยละ ๑๖.๑ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๔๓ คน ร้อยละ ๑๓.๐ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๔๐ คน ร้อยละ ๑๒.๑ สายชั้นอนุบาล จำนวน ๔๐ คน ร้อยละ ๑๒.๑ และชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๓๘ คน ร้อยละ ๑๑.๕ รวมจำนวนทั้งหมด ๓๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ จากตารางคำถามจากแบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาก่อนการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบ ไทย จิตใจงดงาม"ของสายชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ ดังนี้ ลำดับ คำถามจากแบบสำรวจพฤติกรรมของนักเรียนที่เป็นปัญหา ก่อนการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" X̅ S.D. ความหมาย ๑. นักเรียนมีความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป ๓.๕๔ ๑.๐๑ มาก ๒ นักเรียนมีความรู้เห็นความสำคัญในการกราบพระ กราบผู้อาวุโส ๓.๙๑ ๐.๙๔ มาก ๓ นักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และฝึกการไหว้และการกราบที่ ถูกต้อง ๓.๘๕ ๐.๙๖ มาก
3 ลำดับ คำถามจากแบบสำรวจพฤติกรรมของนักเรียนที่เป็นปัญหา ก่อนการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" X̅ S.D. ความหมาย ๔ นักเรียนไหว้พ่อแม่ ครู ผู้อาวุโสและพระสงฆ์ได้อย่างถูกต้อง เป็น ประจำ ๓.๗๒ ๐.๙๗ มาก ๕ นักเรียนได้รับการสอน สาธิตการไหว้ การกราบพระ กราบผู้อาวุโสที่ ถูกต้อง ๓.๘๗ ๐.๘๙ มาก ๖ เมื่อนักเรียนออกจากบ้าน ได้ไหว้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทุกครั้ง ๔.๐๓ ๐.๙๖ มาก ๗ เมื่อนักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่โรงเรียน นักเรียนไหว้ทุกครั้ง โดยไม่ต้องตักเตือน ๓.๖๖ ๐.๙๗ มาก ๘ นักเรียนสามารถไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป ได้ อย่างถูกต้อง ๓.๖๘ ๐.๙๑ มาก ๙ นักเรียนสามารถกราบพระ กราบผู้อาวุโสได้อย่างถูกต้อง ๔.๐๙ ๐.๙๓ มาก ๑๐ นักเรียนสามารถถ่ายทอดการไหว้ ๓ ระดับ ได้แก่ พระสงฆ์ผู้อาวุโส บุคคลทั่วไปและการกราบพระ กราบผู้อาวุโสได้อย่างถูกต้อง ให้ผู้อื่น ทำตามและเป็นแบบอย่างได้ ๓.๘๖ ๐.๙๒ มาก ภาพรวม ๓.๘๒ ๐.๗๔ มาก สรุปจากตารางคำถาม พบว่าปัญหาก่อนการใช้นวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" ใน ภาพรวมอยู่ในระดับมาก มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๘๒) คำถามจากแบบสำรวจปัญหาของผู้ตอบแบบสอบถาม พบว่า คำถามข้อที่ ๑ นักเรียนมีความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคล ทั่วไป มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๕๔) คำถามข้อที่ ๗ เมื่อนักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่โรงเรียน นักเรียนไหว้ ทุกครั้งโดยไม่ต้องตักเตือน มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๖๖) และข้อที่ ๘ นักเรียนสามารถไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป ได้อย่างถูกต้อง ค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๖๘) จากการวิเคราะห์แบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาก่อนการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" ของนักเรียนในชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวัดอมรินทราราม พบว่าข้อที่เป็น ปัญหาโดยรวม อยู่ในระดับมาก สายชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พบว่า คำถามข้อที่ ๑ นักเรียนมี ความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๕๔) คำถามข้อที่ ๗ เมื่อนักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่โรงเรียน นักเรียนไหว้ทุกครั้งโดยไม่ต้อง ตักเตือน มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๖๖) และข้อที่ ๘ นักเรียนสามารถไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคล ทั่วไป ได้อย่างถูกต้อง ค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๖๘) จึงได้นำปัญหาทั้ง ๓ ข้อนี้มาจัดทำนวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" ด้วยเหตุผลดังกล่าว ฝ่ายบริหาร คุณครูและบุคลากรทางการศึกษา เล็งเห็นถึงความสำคัญของปัญหา ของนักเรียน จึงหาแนวทางในการแก้ไขโดยการจัดทำนวัตกรรม“ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” มีการ ส่งเสริมให้ทุกคนมีส่วนร่วมตามหลัก “บวร” เป็นกลไกในการขับเคลื่อนโรงเรียนวิถีพุทธ
4 ๓.สอดคล้องกับตัวบ่งชี้ด้านกระบวนการและหลักธรรมที่ใช้ในการดำเนินงาน สอดคล้องกับตัวบ่งชี้ด้านกระบวนการ (Process) ได้แก่ องค์ประกอบหลักที่ ๒.๓ กิจกรรมพื้นฐานวิถี ชีวิต องค์ประกอบย่อยที่ ๒.๓.๑ กิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิตประจำวัน องค์ประกอบย่อยที่ ๒.๓.๒ กิจกรรมทาง พระพุทธศาสนา หลักธรรมที่ใช้ในการดำเนินงาน ได้แก่ ไตรสิกขา, อริยสัจ ๔, อิทธิบาท ๔ ๔.วัตถุประสงค์ โรงเรียนวัดอมรินทรารามได้จัดทำนวัตกรรมขึ้นเพื่อให้สอดคล้องกับการเป็นโรงเรียนวิถีพุทธ พระราชทานโดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑.เพื่อให้นักเรียนมีความรู้เรื่องของมารยาทด้านการไหว้และการกราบในระดับต่างๆ ให้เกิดความ เข้าใจอย่างถ่องแท้และชำนาญ ๒.เพื่อให้นักเรียนตระหนักและเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตนเรื่องมารยาทด้านการไหว้การกราบ ๓.เพื่อให้นักเรียนสามารถไหว้และกราบได้อย่างถูกต้อง นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและถ่ายทอดให้ผู้อื่น ทำตามได้
5 ๕.รูปโมเดล ไหว้แบบไทย จิตใจงดงาม ของนวัตกรรม การออกแบบโมเดลนวัตกรรมของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธพระราชทาน ได้แนวคิดสอดคล้องกับหลัก ไตรสิกขา อริยสัจ ๔ และอิทธิบาท ๔ มาเป็นกรอบในการพัฒนาผู้เรียน ดังนี้
6 โมเดลนวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” อธิบายได้ดังนี้ นวัตกรรมเรื่องไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงามของนักเรียนโรงเรียนวัดอมรินทราราม ประกอบด้วย วงกลม ๒ วงซ้อนกัน ซึ่งมีความสัมพันธ์กัน วงกลมวงใน เป็นผลลัพธ์ของนวัตกรรมไหว้กราบแบบไทย จิตใจ งดงามของนักเรียนโรงเรียนวัดอมรินทราราม โดยใช้หลักไตรสิกขา ศีล สมาธิและปัญญาตามแนวทางของ โรงเรียนวิถีพุทธ วงกลมวงนอก เป็นขั้นตอนการดำเนินงานนวัตกรรมตามหลักทฤษฎีของวงจรคุณภาพ Deming Cycle : PDCA เพื่อให้สอดคล้องกับหลักอิทธิบาท ๔ คือ ๑.ฉันทะ (พอใจรักใคร่ในสิ่งนั้น) = Plan การวางแผน ๒.วิริยะ (เพียรประกอบสิ่งนั้น) = Do การปฏิบัติ๓.จิตตะ (เอาใจฝักใฝ่ในสิ่งนั้น) = Check การตรวจสอบและ ๔.วิมังสา (มั่นตริตรองพิจารณาเหตุผลสิ่งนั้น) = Action การปรับปรุง กระบวนการดำเนินงานโดยใช้หลักอริยสัจ ๔ คือ ๑).ทุกข์ ศึกษาสภาพปัญหา ๒).สมุทัย สาเหตุของ ปัญหา ๓).นิโรธ ผลที่เกิดขึ้นและ ๔).มรรค กระบวนการในการแก้ไขปัญหาโดยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา Research & Development ซึ่งจะเห็นได้จากรูปภาพที่อยู่นอกวงว่า รูปแบบการวิจัยและพัฒนามีด้วยกันอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ ขั้นที่ ๑ ศึกษา ปัญหา/ความต้องการ Research ๑ ขั้นที่ ๒ การออกแบบและพัฒนานวัตกรรม Development ๑ & Research ๒ ขั้นที่ ๓ การทดลองใช้นวัตกรรม Development ๒ & Research ๓ จากทั้งหมดของการขับเคลื่อนนวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” ทำให้นักเรียนโรงเรียนวัด อมรินทรารามมีความรู้ ตระหนักและเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตนเรื่องมารยาทการไหว้การกราบสามารถ ไหว้และกราบได้อย่างถูกต้อง นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและถ่ายทอดให้ผู้อื่นทำตามได้ ๖.อธิบายขั้นตอน กระบวนการดำเนินงานและเครื่องมือวัด ประเมินผล ๖.๑.ขั้นตอนการดำเนินงานนวัตกรรม นวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” โรงเรียนวัดอมรินทราราม ได้ดำเนินการโดยใช้ หลักธรรมอิทธิบาท ๔ ซึ่งสอดคล้องกับระบบคุณภาพวงจร Deming Cycle : PDCA ในการควบคุมคุณภาพ ซึ่งจากงานวิจัยของพระครูกิตติญาณวิสิฐ (ธนา กิตฺติญาโณ) เรื่อง”การบริหารการศึกษาแบบคุณภาพตามหลัก อิทธิบาทธรรม” อธิบายวงจรเดมมิ่งตามหลักอิทธิบาท ๔ สรุปได้ว่าวงจรเดมมิ่ง ซึ่งมีหลักอยู่ ๔ ประการ (PDCA) คือ ๑.Plan การวางแผนในการบริหารสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จตามนโยบายที่ตั้งไว้ ๒.Do ลง มือทำตามแผนที่ตั้งไว้ ๓.Check หมั่นตรวจสอบข้อบกพร่อง มิให้เกิดความผิดพลาดในงานที่บริหาร ๔.Action เมื่อพบข้อบกพร่องผิดพลาด ก็แก้ไขปรับปรุงให้ดีขึ้นเปรียบได้กับการบริหารของหลักอิทธิบาท ๔ ในทาง พระพุทธศาสนาสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในการบริหารสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งมีอยู่ ๔ ประการ คือ ๑.ฉันทะ มีความพอใจในการบริหารงานให้สำเร็จตามวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาที่ตั้ง ๒.วิริยะ มีความ อุตสาหะขยันหมั่นเพียรในการบริหารงานสถานศึกษาอย่างต่อเนื่องตามมาตรฐานของสถานศึกษา ๓.จิตตะ ความเอาใจใส่ในการบริหารสถานศึกษาให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ทุกขั้นตอนไม่ให้เกิดความผิดพลาดในงานที่ ตนบริหาร ๔.วิมังสา มีใจจดจ่ออยู่กับงานบริหารสถานศึกษาให้ประสบความสำเร็จโดยการตรวจสอบ ข้อบกพร่องและมีการแก้ไขพัฒนาปรับปรุงให้ดียิ่งขึ้น มีลำดับขั้นตอนในการดำเนินงาน โรงเรียนวัดอมรินทรา รามได้นำหลักการดังกล่าวมาใช้ในการดำเนินงานตามขั้นตอน ดังนี้ ๑.ฉันทะ (Plan) ความพอใจในการงานโดยมีผู้ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประกอบไปด้วยฝ่ายบริหาร ครูหัวหน้า สายชั้น ครูผู้สอน ร่วมกันประชุมวางแผนในการดำเนินงาน ออกแบบนวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจ งดงาม” เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินงาน
7 ๒.วิริยะ (Do) ความอุตสาหะขยันหมั่นเพียรในดำเนินงานตามกิจกรรมที่ได้กำหนดไว้อย่างเป็นระบบ มีขั้นตอน ดังนี้ ๒.๑.แต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินงาน ๒.๒.จัดทำเครื่องมือในการประเมินนักเรียน (Google form) ๒.๓.จัดทำหนังสือชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง ๒.๔.ครูประจำชั้นชี้แจงนักเรียนผ่านกลุ่มไลน์ กำหนดข้อตกลงและการปฏิบัติหน้าที่ความ รับผิดชอบที่นักเรียนต้องปฏิบัติ ๓.จิตตะ (Check) ความเอาใจใส่ในการดำเนินงานจัดกิจกรรม กำกับ ติดตาม ตรวจสอบและ ประเมินผลการดำเนินงานกิจกรรม มีขั้นตอนดังนี้ ๓.๑.ประเมินระหว่างการดำเนินกิจกรรมแต่ละช่วงผ่านกลุ่มไลน์ห้องเรียน เพื่อติดผลการ ปฏิบัติของนักเรียนแต่ละคนว่ามีปัญหาหรืออุปสรรคอย่างไร นำผลมาพัฒนาปรับปรุงแก้ไขต่อไป ๓.๒.ประเมินผลภายหลังเสร็จสิ้นกิจกรรมการใช้นวัตรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” ๔.วิมังสา (Action) มีใจจดจ่อในการปรับปรุง แก้ไขการดำเนินงาน มีขั้นตอนดังนี้ ๔.๑.จัดทำรายงานสรุปผลการดำเนินงานภายใต้นวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจ งดงาม” ๔.๒.วิเคราะห์ปัญหาและอุปสรรค แนวทางแก้ไขและข้อเสนอแนะในการดำเนินกิจกรรมเพื่อ พัฒนา ปรับปรุงยกระดับคุณภาพต่อไป ๖.๒.กระบวนการดำเนินงาน โรงเรียนวัดอมรินทราราม มีกระบวนการในการปฏิบัติตามมาตรฐานของโครงการโรงเรียนวิถีพุทธ พระราชทาน ซึ่งสอดคล้องกับตัวบ่งชี้ด้านกระบวนการ (Process) ได้แก่ องค์ประกอบหลักที่ ๒.๓ กิจกรรม พื้นฐานวิถีชีวิต องค์ประกอบย่อยที่ ๒.๓.๑ กิจกรรมพื้นฐานวิถีชีวิตประจำวัน องค์ประกอบย่อยที่ ๒.๓.๒ กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา การดำเนินงานใช้หลักอริยสัจ ๔ และใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ที่ใช้ ดังนี้ ๑.ทุกข์คือปัญหาที่พบจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่มีค่าเฉลี่ยน้อยถึงน้อยที่สุดเรียงจาก ๓ ลำดับ โดย สำรวจจากแบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาก่อนการสร้างนวัตกรรม พบว่า คำถามข้อที่ ๑ นักเรียน มีความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๕๔) คำถามข้อที่ ๗ เมื่อนักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่โรงเรียน นักเรียนไหว้ทุกครั้งโดยไม่ต้อง ตักเตือน มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๖๖) และคำถามข้อที่ ๘ นักเรียนสามารถไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและ บุคคลทั่วไป ได้อย่างถูกต้อง ค่าเฉลี่ย (X̅= ๓.๖๘) และพัฒนาสร้างนวัตกรรมเพื่อใช้กับกลุ่มตัวอย่างตามตัว บ่งชี้ด้านกระบวนการ ประกอบด้วยกิจกรรมพื้นฐาน กิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ๒.สมุทัย นักเรียนไม่มีความรู้เรื่องของมารยาทด้านการไหว้และการกราบในระดับต่างๆ ให้เกิดความ เข้าใจอย่างถ่องแท้และชำนาญ ยังไม่ตระหนักและเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตนเรื่องมารยาทด้านการไหว้ การกราบที่จะส่งผลให้นักเรียนมีจิตใจที่งดงาม ๓.นิโรธ อบรมให้ความรู้ สร้างความตระหนัก ครูจัดกิจกรรมการไหว้การกราบอย่างถูกวิธี
8 ๔.มรรค แนวทางในการปฏิบัติ การสร้างเครื่องมือและวิธีการของนวัตกรรมเรื่องการไหว้การกราบ โดยใช้รูปแบบการวิจัยและพัฒนา (Research & Development) ดังนี้ ขั้นที่ ๑ ศึกษา ปัญหา/ความต้องการ การวิเคราะห์สภาพปัญหาให้ชัดเจน เป็นการสำรวจ ข้อมูลเชิงปริมาณ รวมถึงการศึกษา ทฤษฎี แนวคิด ที่เกี่ยวกับสิ่งที่ศึกษาและสิ่งที่ต้องการพัฒนาขึ้นมาเพื่อ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการทำงานหรือพัฒนางานให้ดีขึ้น (R๑: Research ครั้งที่ ๑) หลังจากวิเคราะห์สภาพ ปัญหาได้แล้วทำการทดสอบความรู้ก่อนเริ่มสร้างนวัตกรรมกับเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ ผลการทดสอบความรู้พบว่านักเรียนชั้นปะถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๑๕๐ คน ผ่านการทดสอบความรู้ร้อยละ ๔๕.๐ โดยแยกเป็นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๔๐.๐ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๔๐.๐ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๔๕.๐ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๕๐.๐ ระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๖๒.๐ และระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๖๕.๐ ขั้นที่ ๒ การออกแบบพัฒนานวัตกรรม พัฒนาต้นแบบ ถ้าเป็นการเรียนการสอนก็จะเป็น การพัฒนารูปแบบ กระบวนการ กิจกรรมการเรียนการสอน สื่อ อุปกรณ์หรือระบบการบริหารจัดการ (D๑: Development ครั้งที่ ๑) ทดลองใช้ต้นแบบที่พัฒนาขึ้น โดยทดลองในกลุ่มเล็กๆ เพื่อให้ต้นแบบที่พัฒนาขึ้นมี ความสมบูรณ์ เหมาะสมที่จะนำไปใช้ (R๒: Research ครั้งที่ ๒) โดยมีการพัฒนานวัตกรรมในกิจกรรมวิถี ชีวิตประจำวัน ซึ่งมีการดำเนินงาน ดังนี้ ๑).การให้ความรู้ด้านการไหว้การกราบสายชั้นอนุบาล ครูประจำชั้นเป็นผู้ให้ความรู้และให้ นักเรียนปฏิบัติตามโดยการให้นักเรียนดูสื่อบน Youtube การไหว้การกราบ ครูสาธิตให้นักเรียนดูเป็นตัวอย่าง และให้นักเรียนปฏิบัติตาม พี่เลี้ยงจะทำหน้าที่ช่วยครูประจำชั้น พระสอนศีลธรรมจะมาให้ความรู้และสอนการ ไหว้การกราบในชั่วโมงอบรมตามตารางในวันพุธ นักเรียนชั้นอนุบาล ๑-๒ และวันศุกร์นักเรียนชั้นอนุบาล ๓ ในสัปดาห์ที่กำหนด นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ครูประจำวิชาและพระสอน ศีลธรรมที่สอนในรายวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม จะเป็นผู้สอนเนื้อหาในชั่วโมงการเรียนให้ความรู้ ส่วนชั่วโมงอบรม “กิจกรรมอบรมบ่มเพาะปัญญา พัฒนาจิตนักเรียน” ของพระสอนศีลธรรมและครูประจำชั้น ตามตารางเวลาเรียน จะสอนและสาธิตการไหว้การกราบให้ถูกต้องตามสื่อการสอนวีดีโอบน Youtube การไหว้ ๓ ระดับและการกราบ ๒ ระดับ ๒).การฝึกปฏิบัติกิจกรรมวิถีชีวิตประจำวัน หลังเคารพธงชาติ การเข้าแถวเคารพธงชาติของ นักเรียนโรงเรียนวัดอมรินทราราม เข้าแถวตามระเบียงหน้าห้องเรียนและบริเวณสนามด้านหลัง สายชั้นอนุบาล ๑-๓ เข้าแถวหน้าห้องเรียน นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ จะแบ่งเป็น ๒ ส่วน ส่วน แรกจะเข้าแถวหน้าห้องเรียนและอีกส่วนจะเข้าแถวที่ด้านล่าง โดยจะจัดนักเรียนลงมาเข้าแถวด้านล่าง ตามลำดับห้องของนักเรียน ในวันจันทร์เริ่มเรียงจากห้อง ป.๑/๑, ป.๒/๑, ป.๓/๑, ป.๔/๑, ป.๕/๑, ป.๖/๑ ใน วันอังคารเริ่มจากห้อง ป.๑/๒, ป.๒/๒, ป.๓/๒, ป.๔/๒, ป.๕/๒, ป.๖/๒ ในวันพุธเริ่มจากห้อง ป.๑/๓, ป.๒/๓, ป.๓/๓, ป.๔/๓, ป.๕/๓, ป.๖/๓ ในวันพฤหัสบดีเริ่มจากห้อง ป.๑/๔, ป.๒/๔, ป.๓/๔, ป.๔/๔, ป.๕/๔, ป.๖/๔ และในวันศุกร์เริ่มจากห้อง ป.๑/๕, ป.๒/๕, ป.๓/๕, ป.๔/๕, ป.๕/๕, ป.๖/๕ เมื่อนักเรียนปฏิบัติเคารพธงชาติ เรียบร้อยแล้วจะมีการสวดมนต์ไหว้พระ การสวดมนต์จะแบ่งการสวดตามวัน คือ วันจันทร์ จะสวดบทสวดมนต์
9 บูชาพระรัตนตรัย บาลีและแปลไทยตามปกติส่วนวันอังคารถึงวันศุกร์ จะสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัย บท บาลีทำนองสังโยค บทสวดภาษาไทยทำนองสรภัญญะ โดยแบ่งการสวดดังนี้ วันอังคาร สวดบทพุทธคุณ วันพุธ สวดบทธรรมคุณ วันพฤหัสบดี สวดบทสงฆคุณและวันศุกร์ สวดบทชัยสิทธิคาถาหรือบทพาหุง หลังจากนั้นจะ เป็นกิจกรรมการนั่งสมาธิเพื่อให้จิตใจสงบดีงามโดยใช้เพลงดั่งดอกไม้บาน เปิดคลอเบาๆเพื่อเป็นกุสโลบาย เพื่อให้นักเรียนมีสมาธิอยู่กับเพลง หลังการเตรียมนักเรียนทำสมาธิจะมีผู้นำดำเนินตามขั้นตอน ดังนี้ (๑) ทั้งหมดนั่งลง (๒) ถอดหมวกวางบนตัก (๓) สั่งให้นั่งเข้าระเบียบเพื่อให้นักเรียนเตรียมพร้อม โดยนักเรียน ทั้งหมดจะตบมือ ๒ ครั้งและวางลงบนที่หน้าตัก (๔) สั่งให้นั่งท่าสะอาด นักเรียนจะตบเข่า ๑ ครั้ง (๕) สั่งให้นั่ง ท่าสว่าง นักเรียนจะยกมือขึ้นไว้ระหว่างอก (๖) สั่งให้นักเรียนนั่งท่าสงบ นักเรียนจะยกมือซ้ายทับบนมือขวา แล้ววางลงที่หน้าตักและหลับตาลงเบาๆ (๗) เปิดเพลงทำสมาธิดั่งดอกไม้บาน นักเรียนและครูทั้งหมดจะ ร่วมกันทำสมาธิจนเพลงดั่งดอกไม้บานจบ (๘) หลังจากนั้นจะสั่งให้ค่อยๆ ลืมตา ยกมือขึ้นประนมเพื่อแผ่อุทิศ ส่วนบุญส่วนกุศล สั่งนักเรียนทั้งหมดยืนขึ้น ให้นักเรียนหญิงหันหน้าไปหานักเรียนชาย เพื่อประนมมือไหว้ ทักทาย ด้วยคำว่าสวัสดีครับ สวัสดีคะ ขอบคุณครับ ขอบคุณคะ แล้วเดินแถวเข้าห้องเรียนทีละคน โดยครู ประจำชั้นจะยืนไหว้รับนักเรียนที่หน้าห้องเรียนพร้อมกล่าวคำว่าสวัสดีครับ สวัสดีคะ นักเรียนนั่งที่เตรียมพร้อม ที่จะเรียนในชั่วโมงต่อไป ขั้นที่ ๓ การทดลองใช้นวัตกรรม ปรับปรุงสื่อนวัตกรรมต้นแบบให้เหมาะสม (D๒: Development ครั้งที่ ๒) นำสื่อนวัตกรรมต้นแบบที่สมบูรณ์ไปใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่มีขนาดใหญ่ขึ้น (R๓: Research ครั้งที่ ๓) ซึ่งการพัฒนาต้นแบบมีการทำอย่างต่อเนื่อง จะพัฒนาและไปทดลองใช้กี่ครั้งขึ้นอยู่กับแต่ ละกิจกรรม จนกว่าจะมั่นใจได้ว่าสามารถนำต้นแบบที่สมบูรณ์นั้นไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายและสามารถแก้ปัญหา ได้อย่างครบถ้วน มีการจัดทำสื่อนวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” มีขั้นตอนการดำเนินงาน ดังนี้ ๑) มีการประชุมวางแผน หารือการจัดทำสื่อนวัตกรรม จัดทำคำสั่งให้มีผู้รับผิดชอบ ๒) จัดทำสื่อภาพประกอบและวีดีโอ โดยคณะปฏิบัติงาน คัดเลือกนักเรียนผู้หญิงและผู้ชายที่ จะเป็นต้นแบบ ๓ ระดับ สายชั้นอนุบาล จำนวน ๑ คู่ สายชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑-๓ จำนวน ๑ คู่และสายชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔-๖ จำนวน ๑ คู่ คณะปฏิบัติงานประชุมทำความเข้าใจที่จะดำเนินการอัดคลิปวีดีโอ โดยมี การเขียนบทสคริปท์ไว้ล่วงหน้า ๓) ตรวจสอบความเรียบร้อยของคลิปวีดีโอ ก่อนนำไปเผยแผ่ นำไปใช้ในชั่วโมงอบรมและ ชั่วโมงการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ผลจากการทดลองใช้นวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” ได้สำรวจจากแบบสำรวจ พฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาหลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" ของประชากรทั้งหมด ในโรงเรียน ซึ่งประกอบด้วยคณะผู้บริหาร จำนวน ๔ คน ราชการครู จำนวน ๖๐ คน ครูอัตราจ้าง จำนวน ๑๕ คน นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๑,๐๔๕ คน (ไม่รวมนักเรียนระดับชั้น อนุบาล จำนวน ๓๑๒ คน) บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระสอนศีลธรรม จำนวน ๖ รูป ลูกจ้างประจำ จำนวน ๓ คน ลูกจ้างชั่วคราวและพี่เลี้ยงเด็กปฐมวัย จำนวน ๒๒ คน รวมทั้งหมด ๓๑ คน ผู้ปกครอง จำนวน ๑,๓๕๗ คน รวมประชากรทั้งหมด ๒,๕๑๒ คน และได้กำหนดขนาดตัวอย่าง (Sample Size) ใช้สูตรคำนวณของทาโร่ ยามาเน่ (Yamane, ๑๙๗๓) โดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ได้แก่ คณะผู้บริหาร จำนวน ๔ คน ราชการครูและครูอัตราจ้าง จำนวน ๑๐ คน นักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงประถมศึกษา
10 ปีที่ ๖ จำนวน ๑๓๗ คน บุคลากรที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ พระสอนศีลธรรม, ลูกจ้างประจำ, ลูกจ้างชั่วคราว รวม จำนวน ๔ คน ผู้ปกครองชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ -๖ จำนวน ๑๓๗ คน ชั้นปฐมวัย จำนวน ๓๘ คน จำนวน ๑๗๕ คน รวมกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด จำนวน ๓๓๐ คนจากประชากรทั้งหมด จำนวน ๒,๕๑๒ คน พบว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของสายชั้นอนุบาล - ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จากการตอบแบบสำรวจพฤติกรรม นักเรียนที่เป็นปัญหาก่อนการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" ของสายชั้นอนุบาล - ชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ ผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษา จำนวน ๑๓๗ คน ร้อยละ ๔๑.๕ และนักเรียน จำนวน ๑๓๗ คน ร้อยละ ๔๑.๕ รองลงมา คือ ผู้ปกครองของสายชั้นอนุบาล จำนวน ๓๘ คน ร้อยละ ๑๑.๕ ครูผู้สอน จำนวน ๑๐ คน ร้อยละ ๓.๐ ผู้บริหาร จำนวน ๔ คน ร้อยละ ๑.๒ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ คน ร้อยละ ๑.๒ รวมจำนวนทั้งหมด ๓๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ข้อมูลจำแนกตามสายชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จากผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๕๙ คน ร้อยละ ๑๗.๙ รองลงมา คือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๕๗ ร้อยละ ๑๗.๓ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๕๓ ร้อยละ ๑๖.๑ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๔๓ คน ร้อยละ ๑๓.๐ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๔๐ คน ร้อยละ ๑๒.๑ สายชั้นอนุบาล จำนวน ๔๐ คน ร้อยละ ๑๒.๑ และชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๓๘ คน ร้อยละ ๑๑.๕ รวมจำนวนทั้งหมด ๓๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ตารางคำถามจากแบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาหลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม"ของสายชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ ดังนี้ ลำดับ คำถามจากแบบสำรวจพฤติกรรมของนักเรียนที่เป็นปัญหา หลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" X̅ S.D. ความหมาย ๑. นักเรียนมีความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป ๔.๙๐ ๐.๒๙ มากที่สุด ๒ นักเรียนมีความรู้เห็นความสำคัญในการกราบพระ กราบผู้อาวุโส ๔.๙๐ ๐.๒๙ มากที่สุด ๓ นักเรียนมีความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และฝึกการไหว้และการกราบที่ ถูกต้อง ๔.๘๙ ๐.๓๐ มากที่สุด ๔ นักเรียนไหว้พ่อแม่ ครู ผู้อาวุโสและพระสงฆ์ได้อย่างถูกต้อง เป็น ประจำ ๔.๘๘ ๐.๓๒ มากที่สุด ๕ นักเรียนได้รับการสอน สาธิตการไหว้ การกราบพระ กราบผู้อาวุโสที่ ถูกต้อง ๔.๘๖ ๐.๓๔ มากที่สุด ๖ เมื่อนักเรียนออกจากบ้าน ได้ไหว้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทุกครั้ง ๔.๘๔ ๐.๓๖ มากที่สุด ๗ เมื่อนักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่โรงเรียน นักเรียนไหว้ทุกครั้ง โดยไม่ต้องตักเตือน ๔.๘๗ ๐.๓๓ มากที่สุด ๘ นักเรียนสามารถไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป ได้ อย่างถูกต้อง ๔.๘๗ ๐.๓๓ มากที่สุด ๙ นักเรียนสามารถกราบพระ กราบผู้อาวุโสได้อย่างถูกต้อง ๔.๘๖ ๐.๓๔ มากที่สุด ๑๐ นักเรียนสามารถถ่ายทอดการไหว้ ๓ ระดับ ได้แก่ พระสงฆ์ผู้อาวุโส บุคคลทั่วไป และการกราบพระ กราบผู้อาวุโสได้อย่างถูกต้อง ให้ผู้อื่น ทำตามและเป็นแบบอย่างได้ ๔.๘๕ ๐.๓๕ มากที่สุด
11 ลำดับ คำถามจากแบบสำรวจพฤติกรรมของนักเรียนที่เป็นปัญหา หลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" X̅ S.D. ความหมาย ภาพรวม ๔.๗๐ ๐.๔๘ มากที่สุด สรุปตารางคำถามจากแบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาหลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม"ของสายชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ หลังการใช้นวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" พบว่าปัญหาทั้ง ๓ ข้อ มีค่าเฉลี่ยที่สูงขึ้น ข้อที่ ๑ นักเรียนมีความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป (X̅= ๔.๙๐) ข้อที่ ๗ เมื่อนักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่ โรงเรียน นักเรียนไหว้ทุกครั้งโดยไม่ต้องตักเตือน (X̅= ๔.๘๗) ข้อที่ ๘ นักเรียนสามารถไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป ได้อย่างถูกต้อง (X̅= ๔.๘๗) และในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย (X̅= ๔.๗๐) จากการวิเคราะห์แบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาหลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" ของนักเรียนในชั้นอนุบาล ๑ ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ โรงเรียนวัดอมรินทราราม พบว่าการ ปฏิบัติโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ซึ่งปัญหาที่พบก่อนการสร้างนวัตกรรมในการสำรวจพฤติกรรมนักเรียน คือ นักเรียนมีความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป เมื่อ นักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่โรงเรียน นักเรียนไหว้ทุกครั้งโดยไม่ต้องตักเตือน นักเรียนสามารถไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป ได้อย่างถูกต้องมีการพัฒนาและแก้ไขให้ดีขึ้นหลังจากการใช้ นวัตกรรมและในภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด การวัดความรู้หลังจากการใช้นวัตกรรม “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” ของเด็กนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ผลการทดสอบความรู้พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ ในระดับชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๑ ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๑๕๐ คน ผ่านการทดสอบความรู้ ร้อยละ ๔๕ โดยแยก เป็นระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๖๐ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๖๐ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๖๕ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๖๘ ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๗๕ และระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๒๕ คน ร้อยละ ๘๐ ผลจากการจัดนำนวัตกรรม“ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” ที่นำมาใช้กับนักเรียนในระดับชั้น อนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ พบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นผู้ปกครองนักเรียนชั้นประถมศึกษา จำนวน ๑๓๗ คนร้อยละ ๔๑.๕ และนักเรียน จำนวน ๑๓๗ คน ร้อยละ ๔๑.๕ รองลงมา คือ ผู้ปกครองของ สายชั้นอนุบาล จำนวน ๓๘ คน ร้อยละ ๑๑.๕ ครูผู้สอน จำนวน ๑๐ คน ร้อยละ ๓.๐ ผู้บริหาร จำนวน ๔ คน ร้อยละ ๑.๒ และบุคลากรที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๔ คน ร้อยละ ๑.๒ รวมจำนวนทั้งหมด ๓๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐ ข้อมูลจำแนกตามสายชั้นอนุบาลถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จากผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เป็นชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๕๙ คน ร้อยละ ๑๗.๙ รองลงมา คือ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ จำนวน ๕๗ ร้อยละ ๑๗.๓ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ จำนวน ๕๓ ร้อยละ ๑๖.๑ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๕ จำนวน ๔๓ คน ร้อยละ ๑๓.๐ ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ จำนวน ๔๐ คน ร้อยละ ๑๒.๑ สายชั้นอนุบาล จำนวน ๔๐ คน ร้อยละ ๑๒.๑ และชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๓๘ คน ร้อยละ ๑๑.๕ รวมจำนวนทั้งหมด ๓๓๐ คน คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐
12 ตารางคำถามจากแบบสำรวจความพึงพอใจหลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" ของสายชั้นอนุบาลถึงประถมศึกษาปีที่ ๖ ดังนี้ ลำดับ คำถามจากแบบสำรวจความพึงพอใจหลังการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม" X̅ S.D. ความหมาย ๑. หลักจากนักเรียนได้เรียนรู้จากครูผู้สอนและสื่อออนไลน์ผ่าน Youtube นักเรียนมีความรู้และเห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไป เพิ่มมากขึ้น ๔.๙๒ ๐.๒๗ มากที่สุด ๒ หลังจากนักเรียนได้เรียนรู้จากครูผู้สอนและสื่อออนไลน์ผ่าน Youtube นักเรียนมีความรู้เห็นความสำคัญในการกราบพระ กราบผู้อาวุโส เพิ่ม มากยิ่งขึ้น ๔.๙๒ ๐.๒๗ มากที่สุด ๓ นักเรียนเห็นความสำคัญและเปลี่ยนพฤติกรรมรู้จักการไหว้การกราบจน เป็นนิสัย ๔.๙๑ ๐.๒๘ มากที่สุด ๔ นักเรียนสามารถไหว้พ่อแม่ ครู ผู้อาวุโสและพระสงฆ์เป็นประจำได้อย่าง ถูกต้อง ๔.๙๒ ๐.๒๗ มากที่สุด ๕ เมื่อนักเรียนได้รับความรู้จากการสาธิตการกราบและสามารถฝึกปฏิบัติ ได้ถูกต้อง ๔.๙๐ ๐.๒๙ มากที่สุด ๖ เมื่อนักเรียนออกจากบ้าน ได้ไหว้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทุกครั้ง ๔.๙๓ ๐.๒๖ มากที่สุด ๗ เมื่อนักเรียนได้รับความรู้ นักเรียนพบพระอาจารย์หรือคุณครูที่โรงเรียน นักเรียนไหว้ทุกครั้งโดยไม่ต้องตักเตือน ๔.๙๑ ๐.๒๘ มากที่สุด ๘ นักเรียนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมไหว้ ๓ ระดับ พระสงฆ์ ผู้อาวุโสและ บุคคลทั่วไป ได้อย่างถูกต้อง ๔.๙๑ ๐.๒๘ มากที่สุด ๙ นักเรียนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมกราบพระ กราบผู้อาวุโสได้อย่าง ถูกต้อง ๔.๙๐ ๐.๒๙ มากที่สุด ๑๐ นักเรียนสามารถนำการไหว้การกราบไปใช้ในชีวิตประจำวัน แนะนำให้ ผู้อื่นทำตามและเป็นแบบอย่างได้อย่างถูกต้อง ๔.๘๙ ๐.๓๐ มากที่สุด ภาพรวม ๔.๙๐ ๐.๒๙ มากที่สุด จากการสำรวจความพึงพอใจทั้งหมด ๑๐ ข้อ พบว่า โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด (X̅= ๔.๙๐) ผู้ตอบ แบบสอบถามส่วนใหญ่มีเห็นว่าเมื่อนักเรียนออกจากบ้าน ได้ไหว้พ่อแม่และญาติผู้ใหญ่ทุกครั้ง (X̅= ๔.๙๓) รองลงมา คือ หลักจากนักเรียนได้เรียนรู้จากครูผู้สอนและสื่อออนไลน์ผ่าน Youtube นักเรียนมีความรู้และ เห็นความสำคัญในการไหว้บุคคล ๓ ระดับ พระสงฆ์ผู้อาวุโสและบุคคลทั่วไปเพิ่มมากขึ้น นักเรียนมีความรู้ เห็นความสำคัญในการกราบพระ กราบผู้อาวุโส เพิ่มมากยิ่งขึ้นและนักเรียนสามารถไหว้พ่อแม่ ครู ผู้อาวุโส และพระสงฆ์เป็นประจำได้อย่างถูกต้อง (X̅= ๔.๙๒) จากการสัมภาษณ์ความพึงพอใจและข้อเสนอแนะของผู้ที่เกี่ยวข้องในโรงเรียน ได้แก่ ผู้บริหาร, พระ สอนศีลธรรม, หัวหน้าสายชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖, หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมและ ครูผู้สอน จำนวน ๕ คน การวิเคราะห์แบบสัมภาษณ์พบว่าข้อที่ ๑.ท่านมีความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรม นักเรียนหลังจากใช้นวัตกรรมเรื่อง “ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม” นักเรียนมีความรู้เรื่องของมารยาทด้าน
13 การไหว้ ๓ ระดับและการกราบ ๒ ระดับ มีความคิดเห็นว่านักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการไหว้ได้อย่าง ถูกต้อง นักเรียนได้เรียนรู้การไหว้ ๓ ระดับและการกราบ ๒ ระดับมากยิ่งขึ้น มีความอ่อนน้อมถ่อมตนทั้งต่อ เพื่อนและต่อครู ข้อที่ ๒.ท่านพบการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนว่ามีความตระหนักในด้านการไหว้การกราบ มี ความคิดเห็นว่าหลังจากใช้นวัตกรรมพบการเปลี่ยนแปลงของนักเรียนในทางที่ดีขึ้น มีความอ่อนน้อมไหว้ ทักทายครูอย่างสม่ำเสมอ ข้อที่ ๓.ท่านมีแนวคิดหรือข้อเสนอแนะที่จะให้นักเรียนสามารถนำความรู้ที่ได้รับไป ปรับใช้ในชีวิตประจำวันอย่างยั่งยืนและถ่ายทอดให้ผู้อื่น มีความคิดเห็นว่าบ้าน โรงเรียนและวัด ทุกภาคส่วน ต้องมีส่วนร่วมด้วยช่วยกันส่งเสริมสนับสนุนกระตุ้นเตือนให้นักเรียนได้ปฏิบัติในเรื่องการไหว้การกราบที่ถูกต้อง อย่างเป็นประจำ โดยเริ่มที่บ้าน โรงเรียนสานต่อ เพาะบ่มที่วัดและพระช่วยอบรมเพาะบ่มฝึกให้นักเรียนไหว้ และกราบให้ถูกวิธี เน้นย้ำนักเรียนปฏิบัติบ่อยๆจนเป็นนิสัย แนะนำผู้อื่นและเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นได้ สรุปได้ว่าจากแบบสำรวจความพึงพอใจการใช้นวัตกรรม "ไหว้กราบแบบไทย จิตใจงดงาม"และแบบ สัมภาษณ์ความพึงพอใจการใช้นวัตกรรมและข้อเสนอแนะ พบว่านวัตกรรมที่นำมาใช้สามารถเปลี่ยนแปลง นักเรียนให้มีความรู้เรื่องการไหว้ ๓ ระดับและการกราบ ๒ ระดับ สามารถนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวันได้ อย่างถูกต้อง เห็นความสำคัญและตระหนักรู้ในการปฏิบัติตนที่จะนำไปใช้ในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย สามารถแนะนำและถ่ายทอดให้ผู้อื่นทำตามได้ การดำเนินงานจะยั่งยืนและเป็นวิถีชีวิตได้ บ้าน โรงเรียนและวัด ต้องร่วมมือกันอบรมเพาะบ่มนักเรียนอย่างสม่ำเสมอและไม่ปล่อยปะละเลยเรื่องมารยาทไทยด้านการไหว้การ กราบของนักเรียน ๖.๓.เครื่องมือวัด เครื่องมือที่ใช้ในการวัดประเมิน เป็นแบบสอบถาม Google form ส่งทางกลุ่มไลน์ห้องเรียนและกลุ่ม ไลน์ของโรงเรียน ดังนี้ ด้านกายภาพ เครื่องมือที่ใช้ในการวัดประเมิน ได้แก่ แบบสำรวจพฤติกรรมนักเรียนที่เป็นปัญหาก่อนการสร้าง นวัตกรรม ด้านนักเรียน เครื่องมือที่ใช้ในการวัดประเมิน ได้แก่ แบบทดสอบความรู้ของนักเรียน ด้านผลลัพธ์หลังการใช้นวัตกรรม เครื่องมือที่ใช้ในการวัดประเมิน ได้แก่ แบบสำรวจความพึงพอใจหลังการใช้ นวัตกรรม,แบบประเมินความพึงพอใจหลังการใช้นวัตกรรมของผู้ปกครอง ครูและนักเรียน, แบบสัมภาษณ์ ความพึงพอใจและข้อเสนอแนะของผู้ที่เกี่ยวข้องในโรงเรียน ได้แก่ ผู้บริหาร พระสอนศีลธรรม หัวหน้าสายชั้น ประถมศึกษาปีที่ ๖ หัวหน้ากลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรมและครูผู้สอน จำนวน ๕ คน ๖.๔.ประเมินผล ผลผลิต (Output) - นักเรียน ร้อยละ ๙๐ มีความรู้เรื่องของมารยาทด้านการไหว้และการกราบในระดับต่างๆ ให้เกิด ความเข้าใจอย่างถ่องแท้และชำนาญ - นักเรียน ร้อยละ ๙๐ ตระหนักและเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตนเรื่องมารยาทด้านการไหว้การ กราบ - นักเรียน ร้อยละ ๙๐ สามารถไหว้และกราบได้อย่างถูกต้อง นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและถ่ายทอด ให้ผู้อื่นทำตามได้
14 ผลลัพธ์ (Outcomes) - นักเรียนมีความรู้เรื่องของมารยาทด้านการไหว้และการกราบในระดับต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจอย่าง ถ่องแท้และชำนาญ - นักเรียนตระหนักและเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตนเรื่องมารยาทด้านการไหว้การกราบ มี ปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน - นักเรียนมีการพัฒนาด้านมารยาทไทย การไหว้การกราบได้ดียิ่งขึ้น สามารถไหว้และกราบได้อย่าง ถูกต้อง นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและถ่ายทอดให้ผู้อื่นปฏิบัติตามได้ ๗.ผลการดำเนินงานเป็นรูปธรรม ด้านนักเรียน นักเรียนมีความรู้เรื่องของมารยาทด้านการไหว้และการกราบในระดับต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจอย่าง ถ่องแท้และชำนาญ นักเรียนตระหนักและเห็นความสำคัญในการปฏิบัติตนเรื่องมารยาทด้านการไหว้การกราบ และสามารถไหว้และกราบได้อย่างถูกต้อง นำไปใช้ในชีวิตประจำวันและถ่ายทอดให้ผู้อื่นทำตามได้ ทำให้ นักเรียนมีกิริยามารยาทที่สุภาพเรียบร้อย รู้จักการไหว้พระสงฆ์พ่อแม่ครูและผู้อาวุโส สอดคล้องกับอัตลักษณ์ ของโรงเรียน กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวานและจิตใจอ่อนโยน ด้านครู ครูเห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของนักเรียน ในการรู้จักการไหว้การทักทายพ่อแม่และบุคคลทั่วไป ทำให้ ครูมีกำลังใจที่จะอบรมสั่งสอนนักเรียนให้มีมารยาทที่ดีให้มากยิ่งขึ้นและให้นักเรียนปฏิบัติเป็นวิถีชีวิตประจำวัน นักเรียนจะได้ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของมารยาทไทยด้านการไหว้และการกราบ นักเรียนมีมารยาทที่ดีขึ้น ครูเกิดความภาคภูมิใจที่นักเรียนเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้น สามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใน ห้องเรียน มีบรรยากาศที่ดีขึ้น ด้านผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารสถานศึกษาเล็งเห็นความสำคัญให้การสนับสนุนในการทำกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม ด้านมารยาทไทย โดยเฉพาะเรื่องของการไหว้การกราบ นอกจากนั้นยังส่งเสริมอำนวยความสะดวกแก่ครูในทุก ด้าน เพื่อให้ทุกคนในองค์กรมีส่วนร่วมกันในการดำเนินงานและอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ด้านโรงเรียน โรงเรียนมีชื่อเสียง ภาพลักษณ์ของโรงเรียนดียิ่งขึ้น เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไป ทำให้ผู้ปกครองนำ บุตรหลานมาเข้าเรียนเป็นจำนวนมากและเป็นที่ชื่นชมของชุมชน เป็นโรงเรียนที่ที่นิยมของมหาวิทยาลัยราชภัฏ ต่างๆ ส่งนักศึกษามาฝึกประสบการณ์ที่โรงเรียนเป็นประจำทุกปีและเป็นที่ศึกษาดูงานของโรงเรียนต่างๆใน ระดับเดียวกัน ด้านชุมชน ชุมชนให้ความร่วมมือในกิจกรรมต่างๆของโรงเรียน โดยเฉพาะกิจกรรมส่งเสริมคุณธรรมจริยธรรม วัดอมรินทรารามให้การสนับสนุนส่งพระสอนศีลธรรมมาช่วยสอนศีลธรรม อบรมคุณธรรม การจัดกิจกรรมเข้า ค่ายคุณธรรม กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวาน จิตใจอ่อนโยนและสนับสนุนการสอบธรรมศึกษาเป็นประจำทุกปี ตลอดจนกิจกรรมต่างๆ ที่เป็นความร่วมมือระหว่างชุมชนกับโรงเรียน ๘.ประโยชน์และการเผยแพร่นวัตกรรม
15 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ๑.นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเรื่องของมารยาทด้านการไหว้และการกราบในระดับต่างๆ เกิดความ เข้าใจอย่างถ่องแท้ปฏิบัติได้ในชีวิตประจำวันและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต ทำให้นักเรียนเป็นที่รักและที่ชื่นชม ของพ่อแม่ครูและบุคคลทั่วไปที่พบเห็น ๒.ครูเกิดความภาคภูมิใจที่ได้มีส่วนในการสั่งสอนอบรมนักเรียนให้เป็นคนดีมีมารยาทไหว้กราบได้ ถูกต้อง ดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของโรงเรียน กายอ่อนน้อม วาจาอ่อนหวานและจิตใจอ่อนโยน เป็นการปลูกฝังให้ นักเรียนได้รักษาและสืบสานวัฒนธรรมไทยในเรื่องการไหว้การกราบที่ดีงาม ๓.ผู้บริหารเป็นแบบอย่างที่ดีดำเนินชีวิตตามแนวทางวิถีพุทธให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้ปกครองและ นักเรียนได้เห็นได้รับความชื่นชมจากทุกภาคส่วน มีการบริหารจัดการองค์กรอย่างเป็นระบบยึดหลักไตรสิกขา มีการวางแผน การทำงาน ให้การสนับสนุนอำนวยความสะดวก ส่งเสริมในการทำงานของครู ๔.โรงเรียนมีชื่อเสียงด้านวิชาการ ซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ สามารถเรียนต่อใน โรงเรียนรัฐบาลที่มีชื่อเสียงในระแวงใกล้เคียง ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์และได้รับการตอบรับจากโรงเรียนที่นักเรียนได้ ศึกษาต่อเรื่องมารยาทในเรื่องการไหว้การกราบที่ดีงาม การเผยแพร่นวัตกรรม ๑.ผ่านเว็บไซต์ของโรงเรียนวัดอมรินทราราม www.amarin.ac.th., Facebook และ Youtube ๒.การจัดนิทรรศการภายในโรงเรียนวัดอมรินทราราม ๓.แลกเปลี่ยนเรียนรู้ PLC ระหว่างโรงเรียน ๙.แนวทางการพัฒนาต่อยอดนวัตกรรม ๑.การพัฒนาต่อยอดนวัตกรรมสามารถให้ทุกคนมีส่วนร่วม โดยใช้กระบวนการ PLC คิดค้นกิจกรรมที่ หลากหลายมาต่อยอดนวัตกรรมเดิม เพิ่มกิจกรรมที่หลากหลาย/การสร้างเครือข่าย/การมีส่วนร่วม/การเพิ่ม เป้าหมายในการพัฒนาหรือแก้ไข เป็นต้น ๒.ผู้บริหาร ครูและบุคลากรในโรงเรียนมีส่วนร่วมกัน แบ่งปันแนวคิดเพื่อพัฒนาต่อยอดหรือหาแนว ทางการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใหม่ และสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้การจัดกิจกรรมและกิจกรรมเสริมให้ นักเรียนบรรลุศักยภาพสูงสุดของตนเองได้โดยดำเนินการ ดังนี้ ๑).ประชุมสะท้อนความคิดเห็น ที่แตกต่างหลากหลายในการต่อยอดและพัฒนานวัตกรรมคือ ให้โอกาสทุกคนมีส่วนร่วมในการทำงานสะท้อนความคิดเห็น ๒).พัฒนาการเรียนการสอนบูรณาการสอดแทรกในทุกรายวิชา พัฒนารูปแบบกิจกรรมที่ แปลกใหม่ เสริมด้วยสื่อ หาวิธีการใหม่ๆเพื่อดึงดูดความสนใจของนักเรียนและให้นักเรียนมีส่วนร่วมในรูปแบบ การจัดกิจกรรม เช่น พี่สอนน้อง เพื่อนสอนเพื่อน ๓).สร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในองค์กร โดยการกำหนดบทบาทและหน้าที่ที่ชัดเจน มี ความเข้าใจตรงกันในการทำงานให้บรรลุเป้าหมาย เคารพความคิดเห็นซึ่งกันและกัน เกิดผู้นำภายในโรงเรียน ๔).ติดตามการปฏิบัติงานการจัดการเรียนการสอนและการจัดกิจกรรม ร่วมกันสร้าง นวัตกรรมและเครื่องมือใหม่ๆ สำหรับการจัดกิจกรรม เรียนรู้ซึ่งกันและกันอย่างสม่ำเสมอ ครูสามารถทำ PLC ร่วมกันกับโรงเรียนอื่นจากการเรียนรู้ผ่านโซเซียลมีเดียต่างๆ มุ่งเน้นปลูกฝังให้นักเรียนปฏิบัติตนตามหลัก ไตรสิกขามาดำเนินตามแบบวิถีพุทธในชีวิตประจำวันที่ยั่งยืน
16 ๑๐.รูปภาพประกอบ รูปภาพกิจกรรมต่างๆที่โรงเรียนวัดอมรินทรารามได้มีการดำเนินการตามโครงการโรงเรียนวิถีพุทธมา โดยตลอดระยะเวลา มีดังนี้ ภาพนักเรียนไหว้ครูเวรหน้าโรงเรียน
17 ภาพกิจกรรมหน้าเสาธงที่สนามและหน้าระเบียง
18 ภาพการนั่งสมาธิตอนเข้าแถวและหน้าระเบียง
19 ภาพการไหว้เพื่อน ไหว้ครู
20 ภาพอบรมการกราบพระ กราบครูที่ห้องประชุม
21 เอกสารอ้างอิง สุพัตรา ธรรมประดิษฐ์และลมูลเพชร มะณี. (๒๕๖๐). หน้าที่พลเมือง ๑-๒. กรุงเทพมหานคร: บริษัท ไทยร่ม เกล้า จำกัด. พระครูกิตติญาณวิสิฐ (ธนา กิตฺติญาโณ). (๒๕๕๗). การบริหารการศึกษาแบบคุณภาพตามหลักอิทธิบาทธรรม. (วิทยานิพนธ์พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต). พระนครศรีอยุธยา: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. (๒๕๖๒). คู่มือการพัฒนานวัตกรรมสำหรับโรงเรียนวิถีพุทธ พระราชทาน รุ่น ๒. พระนครศรีอยุธยา: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. โรงเรียนวัดอมรินทราราม. (๒๕๖๕). แผนปฏิบัติการโรงเรียนวัดอมรินทราราม (SAR). กรุงเทพมหานคร: ฝ่าย วิชาการ โรงเรียนวัดอมรินทราราม. สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. (๒๕๕๓). มารยาทไทย. กรุงเทพมหานคร: คุรุสภาลาดพร้าว. Yamane, Taro. (๑๙๗๓). Statistics: An Introdutory Analysis (๓ rd Ed). New York: Harper and Row.