ห้องเรียนวรรณกรรม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น ปริทัศน์วรรณกรรม มัทนะพาธา
1 รายงาน เรื่อง มัทนะพาธา เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ ภทฺรกวี จัดทำโดย นายวิชยุตม์ งามปัญญา รหัสนิสิต ๖๕๐๕๕๐๒๐๑๑ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ๒๐๔ ๒๐๒ วรรณกรรมไทยปริทัศน์ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๖ คณะครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ก คำนำ รายงานเล่มนี้่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา ๒๐๔ ๒๐๒ วรรณกรรมไทยปริทัศน์ เพื่อให้ได้ศึกษา หาความรู้ในเรื่่องมัทนะพาธาและได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน ผู้จัดทำหวังว่า รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน นิสิต ที่กำลังหาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมี ข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมาณ ที่นี้ด้วย วิชยุตม์ งามปัญญา ผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า ที่มาของเรื่อง ๑ ประวัติผู้แต่ง ๑ ลักษณะคำประพันธ์ ๒ ตัวละคร ๓ ฉาก ๓ เรื่องย่อ ๔ บทวิเคราะห์ ๕ การเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน ๖ ข้อคิด คติคำสอน และความจรรโลงใจ ๖ สรุป ๗ ถอดคำประพันธ์บทละครพูดคําฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา ๗ บรรณานุกรม ๒๒
1 ที่มาของเรื่อง บทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธา เป็นเป็นบทละครที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเจ้าอยู่หัว (รัชกาล ที่ ๖) ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น ตามจินตนาการของพระองค์โดยทรงให้ความสำคัญเรื่องความถูกต้องและความ สมจริงในรายละเอียดของเรื่อง ทั้ง ชื่อเรื่อง ชื่อตัวเอก และรายละเอียดต่างๆ เช่น ชื่อเรื่องมัทนา มาจากศัพท์ มทน แปลว่า ความลุ่มหลงหรือความรัก และชื่อนางเองของเรื่องมัทนะพาธามีความหมายว่า ความเจ็บปวด และความเดือดร้อนเพราะความรัก ซึ่งตรงกับแก่นของเรื่องที่ชี้ให้เห็นโทษของความรักระยะเวลาในการแต่ง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเจ้าอยู่หัว ทรงนำละครพุดมาสู่วงการวรรณกรรมไทยเป็นครั้งแรก ทั้งนี้ เนื่องจากทรงสนพระทัยในบทละครของ วิลเลียม เชคสเปียร์ จึงทรงพระราชนิพนธ์บทละครพูดไว้เป็นจำนวน มาก แต่เรื่องมัทนะพาธาหรือตำนานดอกกุหลาบนี้เป็นบทพระราชนิพนธ์ที่เป็นบทละครพูดคำฉันท์เพียงเรื่อง เดียว โดยทรงเริ่มพระราชนิพนธ์เมื่อวันที่ ๒ กันยายน พ.ศ. ๒๔๖๖ ขณะทรงพระประชวร และประทับอยู่ ณ พระราชวังพญาไท และทรงพระราชนิพนธ์เสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ นับได้ว่าใช้เวลา เพียง ๑ เดือน ๑๗ วันเท่านั้น ประวัติผู้แต่ง พระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๖ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๓ ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรม ราชินีนาถ ได้รับพระราชทานพระนามว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธขณะทรงพระเยาว์ ได้ ทรงศึกษาในพระบรมมหาราชวัง จนถึง พ.ศ.๒๔๓๖ เมื่อพระชนมายุได้ ๑๒ พรรษาเศษ สมเด็จพระบรมชนก นาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้เสด็จไปศึกษาต่อ ณ ประเทศอังกฤษ นับเป็นพระมหากษัตริย์ไทยพระองค์ แรกที่ทรงได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง ปุระกอบพระราช พิธีอภิเษกสมรสกับ เจ้าจอมสุวัทนา (คุณเครือแก้ว อภัยวงศ์) เมื่อวัน ที่๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๗ ได้ประสูติ พระราชธิดา คือ สมเด็จพระเจ้าภคีนีเธอเจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี เมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๖๘ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ประกอบพระราชกรณียกิจมากมายหลายด้านในการ พัฒนาประเทศ พระราชกรณียกิจด้านด้านวรรณกรรมและหนังสือพิมพ์ที่ทรงริเริ่มอาทิ ได้ทรงพระกรุณาโปรด เกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับแรก ขึ้นเรียกว่าพระราชบัญญัติสมุดเอกสาร และหนังสือพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๖๕ ทรงพระราช นิพนธ์เรืองราวต่างๆ ไว้เป็นอันมาก มีภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ร้อยแก้ว และร้อย กรอง สารคดี และนิยาย มีบทละครรำ ละครร้อง ละครพูด และได้ทรงพระราชนิพนธ์บทความพระราชทาน หนังสือพิมพ์ด้วย รวมกว่า ๑,๐๐๐ เรื่องเป็นมรดกทางวรรณกรรมให้ประชาชนชาวไทยได้อ่านและชื่นชมสืบ ทอดกันมา จึงได้รับพระสมัญญานามว่า สมเด็จพระมหาธิรราชเจ้า และองค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และ วัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ก็ได้ยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์เป็นปราชญ์สยาม
2 ลักษณะคำประพันธ์ บทละครพูดคำฉันเรื่อง มัทนพาธา ประกอบด้วยคำประพันธ์หลายชนิด ดังนี้ กาพย์ ๓ ชนิด คือ กาพย์ยานี ๑๑ กาพย์ฉบัง ๑๖ และกาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ฉันท์ ๒๑ ชนิด คือ วิชชุมมาลา ฉันท์ ๘ อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ อุปชาติฉันท์ ๑๑ ภุชงคประยาตฉันท์ ๑๒ อินทวงศ์ฉันท์ ๑๒ วสันตติลกฉันท์ ๑๔ เป็นต้น
3 ตัวละคร ภาคสวรรค์ - สุเทษณะเทพบุตร - จิตระเสน (หัวหน้าคนธรรพ์ของสุเทษณ์) - จิตระรถ (สาระถีของสุเทษณ์) - มายาวิน (วิทยาธร) - มัทนา (เทพธิดา) - เทพบุตร คนธรรพ์ (บริวารของสุเทษณ์) ภาคพื้นดิน - พระกาละทรรศิน (คณาจารย์อยู่ในป่าหิมะวัน) - โสมะทัต (หัวหน้าศิษย์ของพระกาละทรรศิน) - นาค (ศิษย์ของพระกาละทรรศิน) - ศุน (ศิษย์ของพระกาละทรรศิน) - ท้าวชัยเสน (กษัตริย์จันทรวงศ์ผู้ทรงราชย์ในนครหัสตินาปุร) - ศุภางค์ (นายทหารคนสนิธของท้าวชัยเสน) - นันทิวรรธนะ (อมาตย์ของท้าวชัยเสน,ชาวสวนหลวง) - วิทูร (พราหมณ์หมอเสน่ห์) - พระนางจัณที(มเหสีของท้าวชัยเสน) - ปริยัมวะทา (นางกำนัลของท้าวชัยเสน) - อราลี(นางค่อมข้าหลวงพระนางจัณที) - เกศินี (ข้าหลวงพระนางจัณที) - ศิษย์พระฤษี, นายทหาร , พราน , ราชบริพาร, และข้าหลวง ฉาก องค์ที่ ๑ ลานหน้ามุขเด็จแห่งวิมานของสุเทษณะเทพบุตร์, บนสวรรค์ องค์ที่ ๒ ตอนที่ ๑ ฉาก: ในกลางหิมะวัน ตอนที่ ๒ ทางเดินในดง ตอนที่ ๓ ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน
4 องค์ที่ ๓ ลานหน้าอาศรมของพระกาละทรรศิน องค์ที่ ๔ ตอนที่ ๑ สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ ตอนที่ ๒ ริมรั้งค่ายหลวง, ตำบลกุรเกษตร์ ตอนที่ ๓ สวนหลวงข้างพระราชวัง, ในกรุงหัสตินาปุระ องค์ที่ ๕ ตอนที่๑ พลับพลาในค่ายหลวงที่ตำบลกรุเกษตร์ ตอนที่ ๒ กลางป่าหิมะวัน เรื่องย่อ เนื้อเรื่องแบ่งออกเป็นภาคสวรรค์และภาคพื้นดิน ภาคสวรรค์ กล่าวถึงสุเทษณ์เทพบุตรหลงรักนางฟ้าชื่อ มัทนา แต่นางไม่รักตอบ เพราะอดีตชาติสุเทษณ์เคยยกทัพไป ทำลายบ้านเมืองของนางและจับพระบิดาประหารชีวิต เมื่อนาง มัทนาปฏิเสธความรัก สุเทษณ์จึงสาปให้ลงไป เป็นดอกกุพชกะ (กุหลาบ) ในป่าหิมวัน ซึ่งในขณะ นั้นกุหลาบเป็นดอกไม้สวรรค์ยังไม่มีบนโลกมนุษย์ เมื่อถึงวัน เพ็ญกลางเดือนให้กลับเป็นหญิงได้ ๑ วัน ๑ คืน ต่อเมื่อเกิดความรักชายใดจะได้เป็นหญิงตลอดไป แต่จะได้รับ ความทุกข์จากความรักเมื่อนั้นให้นางวอนขอความช่วยเหลือจากสุเทษณ์ ภาคพื้นดิน ฤๅษีกาละทรรสินนำดอกกุหลาบมัทนาไปปลูกไว้ใกล้อาศรม ทุกวันเพ็ญขึ้น ๕ ค่ำนางมัทนาได้กลายเป็นหญิง และรับใช้ภาษี ต่อมาท้าวชัยเสนกษัตริย์เมืองหัสตินาปุระ เสด็จยกทัพมาล่าสัตว์ได้พบนางมัทนา จึงเกิดความ รักต่อกันและได้ขอนางมัทนาต่อฤๅษีกาละทรรศิน ทั้งสองได้อภิเษกสมรสกัน ท้าวชัยเสนได้พานางกลับเมือง นางจัณฑีมเหสีเอกเกิดความหึงหวงและด้วยความโกรธแค้นนางจึงทูลให้พระบิดายกทัพมาประชิดเมือง ท้าวชัย เสนออกรบ ระหว่างนั้นนางจัณทีทำอุบายให้ท้าวชัยเสนเข้าพระทัยผิดว่านางมัทนาเป็นชู้กับศุภางค์ทหารเอก ท้าวชัยเสนหลงเชื่อรับสั่งให้นำนางไปประหารชีวิต แต่พราหมณ์โสมทัตได้ปล่อยนางไป นางกลับไปที่อาศรม วิงวอนให้สุเทษณ์ช่วย สุเทษณ์ขอความรักนางอีกครั้ง นางปฏิเสธ สุเทษณ์จึงสาปนางเป็นดอกกุหลาบตลอด กาล ต่อมา ท้าวชัยเสนทราบความจริงจึงรีบติดตามไปที่อาศรม แต่ก็สายไปเสียแล้วพบแต่เพียงดอกกุหลาบ ท้าวชัยเสนจึงขออนุญาตฤๅษีนำกุหลาบไปปลูกไว้ในวังและขอพรให้ดอกกุหลาบไม่เหี่ยวเฉาจนกว่าพระองค์จะ สิ้นพระชนม์ ฤๅษีให้พรตามพระราชประสงค์ของท้าวชัยเสนและอวยพรให้ดอกกุหลาบอยู่คูโลกมนุษย์ตลอดไป เมื่อชายหญิงมีความรักใคร่ต่อกันให้มอบดอกกุหลาบเป็นสื่อแทนความรัก
5 บทวิเคราะห์ ๑. คุณค่าด้านเนื้อหา ๑.๑ รูปแบบ การเลือกถ้อยคำและรูปแบบของฉันทลักษณ์เหมาะสมกับเนื้อหา ทำให้ผู้อ่านเกิด ความรู้สึกคล้อยตามสัมผัสถึงอารมณ์ของตัวละคร ๑.๒ องประกอบของเรื่อง - สาระสำคัญ สาระหรือแก่นเรื่องมี ๒ ประการ คือ ต้องการนำเสนอตำนานของดอกกุหลาบเพราะยัง ไม่ปรากฏตำนานในเทพนิยายมาก่อน และต้องการแสดงความเจ็บปวดที่เกิดจากความรัก และความรักมีอนุ ภาพยิ่งใหญ่ - โครงเรื่อง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไม่ได้ใช้เรื่องตัดตอนหรือลอกเลียนจากวรรณคดี เรื่องใด พระองค์ใช้จินตนาการของพระองค์เองทั้งสิ้น ๑.๓ วิเคราะห์ตัวละคร - สุเทษณ์ เป็นคนหมกหมุ่นในตัณหาราคะ เจ้าอารมณ์ เอาแต่ใจตนเอง และไม่คำนึงถึงความรู้สึกของ ผู้อื่น - มัทนา เป็นคนซื่อตรง ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมไม่พูดปด ปากตรงกับใจ ๑.๔ ฉากและบรรยากาศ ในเรื่องปรากฏฉากที่เป็นวิมานของสุเทษณ์ มีนางฟ้านางสวรรค์มาบำเรอขับ กล่อมถวายงานสอดคล้องกับลักษณะนิสัยของสุเทษณ์ที่หมกหมุ่นในตัณหาราคะ ๑.๕ กลวิธีการแต่ง ดำเนินเรื่องโดยใช้วิทยาธร มายาวินเป็นผู้เล่าเรื่องราวในอดีตของสุเทษณ์และใช้ วิธีการแต่งโดยตัวละครโต้ตอบกันเป็นฉันท์ ๒. คุณค่าด้านวรรณศิลป์ ๒.๑ การสรรคำ คือ การเลือกใช้คำที่สื่ออารมณ์และความคิดได้อย่างลึกซึ้งและงดงาม มีการสลับ ตำแหน่งคำเพื่อให้เกิดความไพเราะ ๒.๒ การใช้เสียง คือ การเลือกใช้คำที่มีเสียงสัมผัสกันแพรวพราว เช่น สัมผัสสระ และสัมผัสพยัญชนะ ภายในวรรค ๒.๓ การใช้โหาร คือ การเลือกอุปมาโวหารในการชมความงามของนางมัทนา และบอกรายละเอียด ด้วยการใช้พรรณนาโวหาร ๓.คุณค่าด้านสังคม ๓.๑ ความเชื่อ - ความเชื่อเรื่องชาติภพ - ความเชื่อเรื่องการทำบุญ จะได้เกิดในสวรรค์ - ความเชื่อเรื่องผลของกรรม
6 ๓.๒ สะท้อนให้เห็นธรรมชาติของมนุษย์ ตรงตามพุทธวัจนว่า “ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์” ๓.๓ ข้อคิดสำหรับนำไปใช้ในการดำเนินชีวิต กวีได้กำหนดให้นางมัทนาถูกสาปเป็นดอกกุหลาบ ซึ่งมี หนามแหลมคมและดอกสวยงาม เปรียบได้กับ ผู้หญิงที่มีความสวยแต่จะต้องฉลาดและปกป้องตนเองจากความ รักของผู้ชายให้ได้ เพื่อที่จะไม่ทุกข์ กับความรักเหมือนตัวละครในเรื่อง การเชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน ในอดีตมีวิธีการเลือกคู่แต่งงานอย่างหนึ่งที่เรียกว่า "คลุมถุงชน" เป็นการนำคู่บ่าวสาวที่ไม่รู้จักกัน หรือ ไม่ได้รักกันมาแต่งงานกันโดยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่าย โดยเชื่อว่าเมื่อใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันไปนาน ๆ แล้วจะเกิดความรักความผูกพันขึ้นเอง ซึ่งอาจไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป เพราะความรักไม่ได้เกิดจากการบังคับขู่ เข็ญ หากแต่เกิดจากความสมัครใจ คู่ที่แต่งงานจากการคลุมถุงชนแล้วผูกสมัครรักใคร่กันตลอดรอดฝั่งก็เป็น ผลดี แต่ก็มีคู่ที่ประสบปัญหาเนื่องจากการแต่งงานด้วยวิธีการนี้เช่นกัน ชายหญิงที่ไม่รู้จักนิสัยใจคอของกันและ กันมาก่อน เมื่ออยู่กันไปแล้วหากอัธยาศัยไม่ตรงกันก็ต้องแยกทางซึ่งก่อให้เกิดปัญหาครอบครัวแตกสลาย ตามมา จากวิธีการเลือกคู่ดังกล่าวเราจึงมักจะได้ยินข่าวว่าเกิดวิวาห์ล่มบ้าง มีคนฆ่าตัวตายหนีการวิวาห์บ้าง เจ้าสาวหายตัวไปก่อนวันวิวาห์บ้าง ซึ่งลักษณะนี้ก็จะเป็นการตัดสินใจคล้ายกับนางมัทนาที่ยอมถูกสาปเป็นดอก กุหลาบ แต่ไม่ยอมฝืนใจอยู่กับผู้ที่ตนไม่ได้รัก ปัจจุบันสังคมไทยเปลี่ยนแนวความคิดในการเลือกคู่ครองโดยให้หนุ่มสาวมีโอกาสเลือก คู่ครองด้วย ตนเอง สามารถคบหาศึกษานิสัยใจคอกันก่อนตัดสินใจวิวาห์ ซึ่งก็จะช่วยลดปัญหาอันเกิดจากความไม่เข้าใจกัน บางประการได้ แต่ก็ใช่ว่าความเดือดร้อนเพราะความรักนี้จะหมดไป เพราะยังมีความรักบางอย่างที่ก่อให้เกิด ความเดือดร้อน ดังที่นักเรียนได้เห็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับการตายเพราะความรักที่ไม่สมหวัง เช่น ข่าวสามีภรรยาฆ่ากันตายเพราะความหึงหวง บางราย ฆ่าลูกที่ไม่รู้เรื่องให้ตายตามไปด้วย ข่าวน้อยใจคู่รักแล้ว ฆ่าตัวตาย หรือที่แย่กว่านั้นข่าวนักเรียน มัธยมหึงหวงคนรักด้วยเกรงว่าคนรักจะเปลี่ยนใจจากตน และด้วย อารมณ์น้อยใจและโกรธแค้นเพียงชั่ววูบก็ฆ่าคนที่รักตาย และสิ่งที่ตามมาก็คือความเสียใจของผู้ที่ลงมือฆ่าเอง และพ่อแม่และญาติพี่น้องของทั้งสองฝ่าย ไม่เกิดผลดีแก่ฝ่ายใดทั้งสิ้น หนทางที่ดีที่สุดเมื่อมีความรักก็คือรัก อย่าง มีสติ พร้อมที่จะรักและพร้อมที่จะผิดหวัง ต้องทำความเข้าใจว่าความรักมีสองด้าน คือ ด้านที่ทำให้ทุกข์ และด้านที่ทำให้สุข เช่นเดียวกับดอกกุหลาบที่สวยงามมีกลิ่นหอมชื่นใจ แต่ก็ต้องรู้จักระมัดระวังเพราะถ้าหาก เผลอไผลเมื่อใดก็อาจถูกหนามอันแหลมคมของกุหลาบตำก็เจ็บปวดไม่น้อยเช่นกัน ข้อคิด คติคำสอน และความจรรโลงใจ ความรักที่แท้จริงคือการรู้จักให้ เพื่อให้คนที่เรารักมีความสุข สุเทษณ์รักมัทนาแต่นางไม่รับรักตอบ สุเทษณ์จึงโกรธและสร้างเงื่อนไขให้มัทนาเกิดความทุกข์ เพื่อบีบบังคับให้นางกลับมารัก ตัวเอง ซึ่งแสดงให้เห็น
7 ว่าแท้ที่จริงแล้วสุเทษณ์รักตัวเองมากกว่า ต้องการให้ตัวเองสมหวังโดยไม่คิดถึงจิตใจของผู้ที่ตนเองรัก ความรัก มีทั้งด้านสมหวังและผิดหวัง ความรักอาจทำให้โลกสวยงาม และในขณะเดียวกันอาจทำให้โลกหม่นหมองได้ถ้า ความรักนั้นไม่สมหวัง ที่ใดมีรักที่นั่นอาจจะมีทุกข์หรืออาจจะมีแต่ความสุข เมื่อสมหวังก็เป็นสุข แต่เมื่อผิดหวัง ก็เป็นทุกข์ ดังนั้นจึงควรรักอย่างมีสติ ไม่ทำให้ความรักเป็นสิ่งที่บั่นทอนทำลายตัวเองและทำลายคนที่เรารัก สรุป เรื่องมัทนะพาธา พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่แสดงให้เห็นถึงความรักในอีก ด้านหนึ่งที่ไม่ใช่สิ่งสดใสสวยงามแต่กลับเป็นสิ่งทำลายตนเองและผู้อื่น และก่อให้เกิด ทุกข์ ตัวละครทุกตัวใน เรื่องต่างตกอยู่ในห้วงแห่งความรักและได้รับความระทมทุกข์จากความรักอย่างถ้วนหน้า ซึ่งสอดคล้องกับชื่อ เรื่อง "มัทนะพาธา" ที่แปลว่าความเจ็บปวดและความเดือดร้อนเพราะความรัก ถอดคำประพันธ์บทละครพูดคําฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา องค์ที่ ๑ (มายาวินประนมมือและนั่งบริกรรม, พิณพาทย์ทําเพลงตระสันนิบาตทุก ๆ คนตั้งตาคอยมองดู พอถึง รัวท้ายตระ มัทนาเดินออกมา, ตาจ้องเป๋ง ไม่แลดูใคร และกิริยาอาการเป็นอย่างคนที่ยังหลับอยู่, และพูดหรือ แสดง กิริยาอย่างคนที่ฝัน, สุเทษณ์ลุกจากบัลลังก์ลงมาต้อนรับด้วยความยินดี แต่ครั้นเห็นมัทนาจังงังอยู่ ไม่ยิ้ม แย้มก็ชะงัก แล้วหันไปพูดกับมายาวิน) [สุรางคณา, ๒๔.] สุเทษณ์ นางมาแล้วไซร้ แต่ว่าฉันใด จึงไม่พูดจา (นางมาถึงแล้ว แต่ว่าทําไมนางจึงไม่ยอมพูดจากับขา) มายาวิน นางยังงงงวย ด้วยฤทธิ์มนตรา แต่ว่าตูข้า จะแก้บัดนี้ (เพราะว่านางยังอยู่ในมนต์สะกดของข้า แต่ว่าข้าจะแก้มนต์ ณ บัดนี้) (พูดสั่งมัทนา) อินทะวิเชียร, ๑๑. ดูก่อนสุชาตา ยามองค์สุเทษณ์มี มะทะนาวิไลศรี วรพจน์ประการใด, นางจงทํามูลตอบ มะธุรส ธ ตรัสไซร้ : เข้าใจมิเข้าใจ ฤ ก็ตอบพะจีพลัน.
8 (ดูก่อน นางมัทนาผู้มีรูปโฉมงดงาม ถ้าหากว่าท่านสุเทษณ์ถามอะไรเจ้า เจ้าจงตอบด้วยถ้อยคํา ที่อ่อนหวาน ไม่ ว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็ตามก็จงตอบโดยเร็วพลัน) มัทนา เข้าใจละเจ้าข้า, ตรัสมาดิฉันพลัน ผิวะองค์สุเทษณ์นั้น จะเฉลยพระวาที (ขาเข้าใจแล้วถ้าหากองค์สุเทษณ์นั้น ตรัสถามอะไร หม่อมฉันจะตอบในทันที) [วสันตะดิลก, ๑๔.] สุเทษณ์ อ้าโฉมวิไลยะสุปริยา มะทะนาสุรางค์ศรี, พี่รักและกอบอภิระตี บ มิเว้นสิเน่ห์นัก ; บอกหน่อยเถิดว่าดะรุณีเจ้า ก็จะยอมสมัครรัก มัทนานางฟ้าผู้แสนงาม พี่หลงรักเจ้ามานานไม่มีเว้นวายบอกพี่มาหน่อยเถิด ว่าเจ้าก็รักพี่เช่นกัน มัทนา ตูข้าสมัคร ฤ มิสมัคร ก็มิขัดจะคล้อยตาม หม่อมฉันจะรักท่านหรือไม่รักท่าน ก็ไม่สามารถขัดความเห็นของท่าน จะคล้อยตามท่าน สุเทษณ์ จริงฤๅนะเจ้าสุมะทะนา วจะเจ้าแถลงความ? มทนานี่เจ้าพูดจริงหรือ ตอบช้ามา มัทนา ข้าขอแถลงวะจะนะตาม สุระเทวะโปรดปราน. หม่อมฉันขอตอบท่านว่า หม่อมฉันจะพูดในสิ่งที่ท่านต้องการ สุเทษณ์ รักจริงมิจริง ๆ ก็ไฉน อรไทบ่แจ้งการ? จะรักหรือไม่รักก็แล้วแต่พระองค์ทรงโปรด ว่าต้องการอย่างไร มัทนา รักจริงมิจริงก็สุระชาญ ชยะโปรดสถานใด? รักจริงหรือไม่จริง เหตุใดน้องจึงไม่บอกกับพี่เล่า สุเทษณ์ พี่รักและหวังวธุจะรัก และ บ ทอด บ ทิ้งไป. พี่รักเจ้า และหวังว่าเจ้าจะรักพี่ และไม่ทอดทิ้งความรักของพี่ไป มัทนา พระรักสมัคร ณ พระหทัย ฤ จะทอดจะทิ้งเสีย? ตอนนี้ทรงรักหม่อมฉันอยู่ หรือจะทอดทิ้งอย่างไร สุเทษณ์ ความรักละเหี่ยอุระระทด เพราะมิอาจจะคลอเคลีย (ความรักของพี่นั้นน่าระเหี่ยใจ เพราะไม่สามารถจะอิงแอบเจ้าได้) มัทนา ความรักระทดอุระละเหี่ย ฤ จะหายเพราะเคลียคลอ?
9 (ความรักของท่านนั้นจะหายจากความน่าละเหี่ยใจเพียงเพราะได้อิงแอบแนบชิดอย่างนั้นหรือ) สุเทษณ์ โอ้โอ๋กระไรนะมะทะนา บมิตอบพะจีพอ? โอ้ มัทนา ทําไมเจ้าไม่ตอบในสิ่งที่พี่ถาม มัทนา โอ้โอ๋กระไรอะมระง้อ มะทะนามิพอดี! โอ้ ท่านเทวดา มัทนาได้ตอบสิ่งที่ท่านถามมาแล้ว สุเทษณ์ เสียแรงสุเทษณ์นะประดิพัทธ์ มะทะนา บ เปรมปรีดิ์ (เสียแรงที่พี่น่ะจงรักภักดีต่อเจ้า แต่เจ้ากลับไม่ยินดี) มัทนา แม้ข้า บ เปรมปริยะฉะนี้ ผิจะโปรดก็เสียแรง (แม้ขายินดีหรือไม่ หากท่านจะรักหม่อมฉันต่อไปก็เสียแรงเปล่า) สุเทษณ์ โอ้รูปวิไลยะศุภะเลิศ บ มิควรจะใจแข็ง โอ้นางผู้มีรูปร่างอันงดงามเป็นเลิศ มีควรใจแข็งกับพี่ขนาดนั้น มัทนา โอ้รูปวิไลยะมละแรง ละก็จําจะแข็งใจ โอ้ ถึงหม่อมจะมีรูปงดงาม แต่หม่อมฉันบอบบาง เพราะฉะนั้นใจหม่อมฉันจึงจําต้องแข็งใจ (สุเทษณ์จ้องดูนาง, แต่นางยังคงตาลอยไม่จับตาอยู่, สุเทษณ์ออกฉงน, จึงลองพูดไปอีก.) (สุเทษณ์ไม่พอใจในคําตอบของนาง, จึงหันไปพูดกับมายาวิน) (สุรางคณา, ๒๔.] สุเทษณ์ แน่ะมายาวิน เหตุใดยุพิน จึงเป็นเช่นนี้ ดูราวมะเมอ เผลอเผลอฤดี ประดุจไม่มี ชีวิตจิตใจ คราใดเราถาม หล่อนก็ย้อนความ เหมือนเช่นถามไป ดังนี้จะยวน ชวนเชยฉันใด ก็เปรียบเหมือนไป พูดกับ หุ่นยนต์ แน่ะ มายาวิน ทําไมนางจึงเป็นอย่างนี้? นางเหมือนคนที่กําลังละเมอ ไม่มีชีวิตจิตใจ คราวใดที่ เราถามอะไรไป หล่อนก็ย้อนเราเหมือนดังคําถามที่เราถามไป เหมือนต้องการ ที่จะยียวนกวนใจข้า เปรียบเสมือนการพูดกับหุ่นยนต์ มายาวิน เทวะที่นาง อาการเป็นอย่าง นี้เพราะฤทธิ์มนตร์โยคะอันขลัง บังคับได้จน ให้ตอบยุบล ได้ตามต้องการ แต่จะบังคับ ใครใครให้กลับ มโนวิญญาณ, ให้ชอบให้ฟัง ยืนยังอยู่นาน ย่อมจะเป็นการ สุดพ้น วิสัย ท่านสุเทษณ์ ที่นางเป็นอย่างนี้เป็นเพราะฤทธิ์แห่งเวทมนตร์ขลัง ซึ่งสามารถบังคับให้ตอบ เรื่องราวได้ตามต้องการ แต่จะให้บังคับจิตใจของคนให้ชอบหรือเกียจนั้นหาทําได้ไม่
10 มายาวิน หากว่าพระองค์ มีพระประสงค์ อยู่เพียงจะให้ นงคราญฉลอง รองพระบาทไซร้ ข้าอาจผูกใจ ไว้ด้วยมนตรา มิให้นงรัตน์ ดื้อดึงขึงขัด ซึ่งพระอัชฌาบังคับให้ยอม ประนอมเป็นข้า บาทบริจา ริกาเทวัญ ถ้าหากพระองค์มีพระประสงค์ แต่เพียงให้นางคอยรับใช้ท่าน ข้าสามารถผูกใจนางไว้ด้วย เวท มนตร์ ไม่ให้นางดื้อดึง ขัดใจท่าน บังคับให้นางยอมเป็นข้ารับใช้ท่านได้ สุเทษณ์ อ๊ะ! เราไม่ขอ ได้นางละหนอ ได้นางละหนอ โดยวิธีนั้น! เสียแรงเรารัก สมัครใจครัน อยากให้ นางนั้น สมัครรักตอบ ผูกจิตด้วยมนตร์ แล้วตามใจตน ฝ่ายเดียวมิชอบ, เราใฝ่ละโบม ประโลมใจปลอบ ให้นาง นึกชอบ นึกรักจริงใจ ฉะนั้นท่านครู คลายเวทมนตร์ดู อย่าช้าร่ําไร หากเราโชคดี ครั้งนี้คงได้ สิทธิ์สมดังใจ รีบ คลายมนตรา อ๊ะ! เราไม่อยากได้นางโดยวิธีนั้น เสียแรงที่เรารักนางจากใจจริง เราอยากให้นางนั้นรักเรา ตอบผูกใจด้วย เวทย์มนต์แล้วตามใจเราคนเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ดี ข้าอยากให้นางรักเราด้วยใจจริง ฉะนั้นท่านครูจง รีบคลายเวท มนตร์เถิด หากว่าข้าโชคดี ครั้งนี้เราคงสมหวัง [วิชชุมาลา, ๘.] มายาวิน อันเวทอาถรรพณ์ แห่งนางมิ่งมิตร จงเคลื่อนคลายฤทธิ์ คลายคลายอย่าช้า ที่พันผูกจิต อยู่บัดนี้นา จากจิตกัญญา สวัสดีสวาหาย! อันเวทย์มนต์อาถรรพณ์แห่งข้า ที่ผูกพันจิตของนางอยู่บัดนี้ จงคลายฤทธิ์จากจิตของนางอย่าช้า เวทมนตร์จงหายไป (พิณพาทย์ทําเพลงรัว มายาวินยกมือไหว้ แล้วเสกเป่าไปทางมัทนา ฝ่ายมัทนาค่อย ๆ รู้สึกตัว, เอามือ ลูบตาเหมือนคนตื่นนอน ได้สติบริบูรณ์ บัดนี้นางเหลียวแลไปเห็นสุเทษณ์ก็ตกใจ, ตั้งท่าเหมือนจะหนีไป แต่สุ เทษณ์ขวางทางไว้) [ฉบงง, ๑๖.] สุเทษณ์ อ้ามัทนาโฉมฉายเฉิดช่วงดังสาย วิชชุประโชติอัมพร ไหนไหนก็เจ้าสายสมร มาแล้วจะร้อน จะรุนและรีบไปไหน?
11 อามัทนาโฉมงามสว่างไสวดังสายฟ้าในท้องฟ้า ไหน ๆ เจ้าก็มาแล้วจะร้อนรนรีบไปไหน? มัทนา เทวะ, อันข้านี้ไซร้ มานี่อย่างไร บ ทราบสํานึกสักนิด จําได้ว่าข้าสถิต ในสวนมาลิศ และลม รําเพยเชยใจ, แต่อยู่ดีดีทันใด บังเกิดร้อนใน อุระประหนึ่งไฟผลาญ, ร้อนจนสุดที่ทนทาน แรงไฟในราน ก็ล้มลง สิ้นสมฤดีฉันใดมาได้แห่งนี้? หรือว่าได้มี ผู้ใดไปอุ้มข้ามา? ขอพระองค์จงเมตตา และงดโทษข้า ผู้บุกรุกถึงลานใน องค์เทวะหม่อมฉันมาที่นี่ได้อย่างไร ไม่ทราบสักนิด จําได้ว่าข้าอยู่ในสวนดอกไม้มีลมพัดชื่นใจ แต่อยู่ดีๆ ก็เกิดร้อนในใจ ราวกับโดนไฟผลาญ ร้อนจนสุดที่จะทนได้ แล้วก็สิ้นสติลง หม่อมฉันมาที่แห่งนี้ได้ อย่างไร หรือว่ามีใครไปอุ้มข้ามา ขอพระองค์จงทรงเมตตาและให้อภัย หม่อมฉันที่บุกรุกถึงฌานใน สุเทษณ์ อ้าอรเอกองค์อุไร พี่จะบอกให้ เจ้าทราบคดีดังจินต์ พี่เองใช้มายาวิน ให้เชิญยุพิน มาที่นี้ด้วย อาถรรพณ์ อาน้องผู้ขอดดวงใจ ที่จะบอกให้เจ้าทราบตามจริง พี่ใช้ให้มายาวินให้เชิญเข้ามาที่นี่ ด้วยเวทมนตร์ มัทนา เหตุใดพระองค์ทรงธรรม์ จึงทําเช่นนั้น ให้ข้าพระบาทต้องอาย แก่หมู่ชาวฟ้าทั้งหลาย? โอ้พระ สาย พระองค์จงทรงปรานี เหตุใดพระองค์จึงทําเช่นนั้น ให้หม่อมฉันต้องอับอายแก่เหล่านางฟ้าทั้งหลาย โอ้พระองค์ได้โปรด ปรานด้วยเถิด (อินทวงศ์, ๑๒.] สุเทษณ์ อ้ายอดสิเนหา อย่าทรงพระโศกี มะทะนาวิสุทธิศรี, วรพักตร์จะหม่นจะหมอง โอ้ มัทนายอดรัก อย่าร้องไห้ไปเลยใบหน้าของเจ้านั้นจะหม่นหมอง สุเทษณ์ พี่นี้นะรักเจ้า และจะเฝ้าประคับประคอง คู่ชิดสนิทน้อง บ่ มิให้ระคางระคาย พี่นี้จะรักเจ้า และเฝ้าดูแลเจ้าเป็นคู่ชนิดสนิทกัน มิให้ระคายระเคืองใจเลย สุเทษณ์ พี่รักวะธูนวล บ่ มิควรระอาละอาย,
12 อันนาริกับชาย ฤ ก็ควรจะร่วมจะรัก พี่รักเจ้าไม่ควรที่เจ้าจะระอายเลย อันผู้หญิงกับผู้ชายเกิดมาเพื่อจะร่วมรักกัน สุเทษณ์ รูปเจ้าวิไลราว มิควรจะร้างรัก สุระแสร้งประจิตประจักษ์, เพราะพะธูพิถีพิถัน; รูปเจ้านั้นก็งดงามราวกับเนรมิต ไม่ควรจะขาดรักเลย สุเทษณ์ ธาดา ธ สร้างองค์ อรเพราะพิสุทธิสรรพ์ ไว้เพื่อจะผูกพัน- ธนะจิตตะจองฤดี. พระพรหมท่านสร้างไว้เพื่อให้ผูกพัน สุเทษณ์ อันพี่สิบุญแล้ว ก็เผอิญประสบสุรี และรักสมัครมี มนะมุ่งทะนุถนอม. บุญของพี่แล้วที่ได้มาพบน้อง และรักทนุถนอมน้อง สุเทษณ์ ขอโฉมเฉลาปลง รับรักและยินยอม พระฤดีประนีประนอม ดนุรักสมัครสมาน. ขอเจ้าจงยินยอมรับรักข้า และยินยอมดังที่ รักเจ้า สุเทษณ์ หากนางมิข้องขัด ประดิพัทธ์ประสมประสาน ทั้งสองจะสุขนาน มนะจ่อ บ จืด บ จาง หากน้องมีขัดข้องอะไร เราจะรักกันยาวนานไม่จืดจาง สุเทษณ์ อ้าช่วยระงับดับ ทุขะพระคายระคาง พี่รักอนงค์นาง ผมิสมฤดีถวิล, โปรดจงช่วยดับทุกข์ของพี่ พี่รักเจ้า หากได้เจ้าสมใจ น้องมีความสุขมาก สุเทษณ์ เหมือนพี่มิได้คง วรชีวะชีวิตินทรีย์ไซร้ บ่ ใฝ่จิน- ตะนะห่วงและห่อนนิยม แต่หากไม่เป็นเช่นนี้ พี่ก็คงไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ สุเทษณ์ ชีพอยู่ก็เหมือนตาย เพราะมิวายระทวยระทม ทุกข์ยากและกรากกรม อุระซ้ําระกําทวี. มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตาย เพราะมีแต่ความทุกข์ยาก ชอกช้ําระกําใจ
13 สุเทษณ์ อ้าฟังดนูเถิด มะทะนาและตอบวจี พอให้ดนูนี้ สุขะรื่นระเริงระรวย. ว่าจงฟังพี่เถิด มัทนา และตอบพี่ พี่จะได้มีความสุข [วสันตะดิลก, ๑๔] มัทนา ฟังถ้อยดํารัสมะธุระวอน ดนนี้ผิเอออวย. จักเป็นมุสาวะจะนะด้วย บ มิตรงกะความจริง หม่อมฉันฟังคําอ้อนวอนของท่าน ถ้าหากหม่อมฉันตามน้ําไปกับท่านด้วย ก็จะเป็นการโกหก เพราะไม่ตรงกับ ความจริง อ้นชายประกาศวะระประทาน ประดิพัทธะแด่หญิง, หญิงควรจะเปรมกะมะละยิ่ง ผิวะจิตตะตอบรัก; อันชายใดประกาศรักแก่หญิง ถ้าฝ่ายหญิงชอบก็จะรับรัก แต่หากฤดี บ อะภิรมย์ จะเฉลยฉะนั้นจัก เป็นปดและลวงบุรุษะรัก ก็จะหลงละเลิงไป. แต่ถ้าหากไม่รัก ก็จะเป็นการหลอกลวง ถ้าหากว่ารับรัก ทําให้ฝ่ายชายหลงดีใจไป ตูข้าพระบาทสิสุจริต บ มิคิดจะปดใคร. จึงหวังและมุ่งมะนะสะใน วรเมตตะธรรมา สําหรับตัวหม่อมฉัน จริงใจ ไม่คิดที่จะโกหกใคร จึงหวังว่าพระองค์จะทรงพระเมตตาหม่อมฉัน อันว่าพระองค์กรุณะข้อย ฤ ก็ควรจะปรีดา, ฤ อีกควรฉลองวรมหา กรุณาธิคุณครัน; อันว่าที่พระองค์ทรงพระกรุณาหม่อมฉัน หม่อมฉันก็ควรจะดีใจและควรที่จะรับพระมหากรุณาธิคุณนั้น ดังนี้คะนึง ฤ ก็ระบม อุระแห่งกระหม่อมฉัน, ที่ตน บ อาจจะอภิวัน ทะนะตอบพระวาจา ดังนั้น หม่อมฉันขออภัยจากใจจริงที่มิอาจจะยินดี ตอบรับในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ได้ มัทนา ให้ถูกประดุจสุระประสงค์ ผิวะทรงพระโกรธา, หม่อมฉันก็โอนศิระ ณ บา- ทะยุคลและกราบกราน
14 ให้ถูกตามประพระสงค์ แม้ว่าพระองค์จะโกรธ หม่อมฉันก็กราบขออภัย (อินทวงศ์, ๑๒.] สุเทษณ์ที่หล่อนมิยินยอม มะนะรักสมัครสมาน, มีคู่สะมรมาน อภิรมย์ ถ เป็นไฉน? ที่เจ้าไม่ยอมรักษ์ เพราะเจ้ามีคนรักอยู่แล้วอย่างนั้นหรือ [วสันตะดิลก, ๑๔.] มัทนา หม่อมฉัน บ มีบุรุษผู้ ประดิพัทธะใดใด, เป็นโสด บ มีมะนะสะใฝ่ อภิรมย์ ฤ สมรส. หม่อมฉันไม่มีชายใด ยังคงเป็นโสด ไม่มีใจใฝ่ในเรื่องรัก (อินทวงศ์, ๑๒.] สุเทษณ์ เช่นนั้นก็เชิญฟัง ดนุกล่าวสิเนหะพจน์, เจ้างามประเสริฐหมด ก็มิควรจะฤดีจะดํา ถ้าเช่นนั้นจงฟัง กล่าว เจ้าช่างงามยิ่งนัก ไม่ควรที่จะใจดํา [วสันตะดิลก, ๑๔.] มัทนา หม่อมฉันสดับมะธุระถ้อย ก็สํานึกเสนาะคํา, แต่ต้องทํานูลวะจะนะซ้ํา ดนุจะได้ทํานูลมา หม่อมฉันฟังวาจาอ่อนหวาน ที่ท่านพูด ก็รู้สํานึกในคําไพเราะนั้น แต่ต้องกราบทูล เหมือนเดิมที่เคยกราบทูล เอาไว้ [อินทวงศ์, ๑๒.] สุเทษณ์ นี่เจ้ามิยอมรับ รสะรักฉะนั้น ฤ จ๋า? ตัวฉันจะเลวสา หะสะด้วยประการไฉน? ที่เจ้าไม่ยอมรับรักพี่ เพราะพี่เลวหรือไม่ดีตรงไหนหรือ
15 [วสันตะดิลก, ๑๔.] มัทนา อ้าองค์พระผู้สุระวิศิษฎ์, พระจะผิดสะถานใด? หม่อมฉันสิทรามเพราะ บ่มิได้ อนุวัตน์พระบัณฑูร โอ้พระองค์เทวดาผู้มีอํานาจ พระองค์จะผิดได้อย่างไร แต่หม่อมฉันที่เลว เพราะไม่สามารถกระทํา พระกระแส รับสั่งของพระองค์ได้ [อินทวงศ์, ๑๒.] สุเทษณ์ ยิ่งฟังพะจีศรี ก็ระที่ประมวลประมูล, ยิ่งขัดก็ยิ่งพูน ทุขะท่วมระทมหะทัย! อ้าเจ้าลําเพาพักตร์ สิริลักษะณาวิไล, พี่จวนจะคลั่งไคล้ สติเพื่อพะวงอนงค์. ยิ่งฟังคําพูดที่น้องพูดมาทั้งหมด ก็ยิ่งขัดใจ ความทุกข์ท่วมกันในใจ อาเจ้าผู้มีหน้าตาและรูปร่างที่งดงาม พี่ หลงใหลเจ้าจนใกล้จะบ้าอยู่แล้ว [วสันตะดิลก, ๑๔.] มัทนา โอ้โอ๋ละเหี่ยอุระสดับ วรศัพทะท่านทรง อ้อยอิ่งแสดงวรประสง คะ ณ ตัวกระหม่อมฉัน อยากใคร่สนองพระวรสุน ทรคุณอเนกนั้น, จนใจเพราะผิดคติสุธรรม สุจริตประติชญา. ให้พระองค์อะมะระเท วะเสวยประโมทา, หม่อมฉันจะขอประณตะลา สุระราชลีลาศไป โอ้ ช่างสลดใจนัก คําพูดที่ท่านต้องการในตัวหม่อมฉัน หม่อมฉันอยากจะตอบสนองท่าน แต่หม่อมฉัน ก็จนใจ เพราะผิดคํามั่นสัญญาที่ให้ไว้กับตนเอง ขอให้พระองค์จงมีแต่ความสุข หม่อมฉันขอกราบทูล [ฉบงง, ๑๖.] สุเทษณ์ ช้าก่อน! หล่อนจะไปไหน? ช้าก่อน นี่เจ้าจะไปไหน มัทนา หม่อมฉันอยู่ไป ก็เครื่องแต่ทรงรําคาญ หม่อมฉันอยู่ไป ก็มีแต่จะทําให้ท่านรําคาญ สุเทษณ์ ใครหนอบอกแก่นงคราญ ว่าพี่รําคาญ?
16 ใครบอกแก่เจ้า ว่าพี่รําคาญ มัทนา หม่อมฉันสังเกตเห็นด้วยตนเอง หม่อมฉันสังเกตเองเห็น [ฉบงง, ๑๖.] สุเทษณ์ เออ! หล่อนนี้มาล้อเล่น อันตัวพี่เป็น คนโง่ๆ บ้าฉันใด? เออ เจ้ามาล้อเล่นอย่างนี้ เห็นพี่เป็นคนโง่หรือคนบ้ารึ มัทนา หม่อมฉันเคารพเทพไท ทูลอย่างจริงใจ ก็ บ มิทรงเชื่อเลย กลับทรงดํารัสตรัสเฉลย ชวนชักชมเชย และชิดสนิทเสนหา หม่อมฉันเคารพพระองค์ และทูลอย่างจริง พระองค์ก็ไม่ทรงเชื่อเลย กลับพูดชักชวนชมเชยให้ข้ารักตอบ [ฉบงง, ๑๖.] มัทนา พระองค์ทรงเป็นเทวา ธิบดีปรา กฏเกียรติยศเกรียงไกร, มีสาวสุรางค์นางใน มากมวลแล้วไซร้ ในพระพิมานมณี, พระองค์เป็นเทวดาผู้ยิ่งใหญ่ มีเกียรติยศปรากฏเกรียงไกร มีสาวสุรางค์นางในมากมายในวิมาน มัทนา จะโปรดปรานข้าบาทนี้ สักกี่ราตรี? และเมื่อพระเมื่อข้าน้อย จะมิต้องนั่งละห้อยนอนโศกเศร้าสร้อย ชะเง้อชะแง้แลหรือ? จะโปรดปรานหม่อมฉันสักกี่วันกี่คืนกัน และเมื่อพระองค์เพื่อขาน้อยมิต้องโศกเศร้า ชะเง้อชะแง้คอยมองหา ท่านหรือ [ฉบงง, ๑๖.] มัทนา หม่อมฉันนี้เป็นผู้ถือ สัจจาหนึ่งคือ ว่าแม้มีรักจริงใจ, ถึงแม้จะเป็นชายใด ขอสมพาสไซร้ ก็จะมิยอมพร้อมจิต ดังนี้ขอเทพเรืองฤทธิ์ โปรดข้าน้อยนิด, ข้าบาทขอบังคมลา หม่อมฉันเป็นผู้ถือสัจจะนั่นก็คือ ถ้าแม้ว่าหม่อมฉันไม่รักอย่างจริงใจ ถึงแม้จะเป็นชายใด ขอร่วมรัก ก็จะไม่ ยินยอมพร้อมใจ ดังนั้นขอให้พระองค์ ผู้เป็นเทพผู้มีฤทธิ์ จงทรงโปรด ด้วยเถิด หม่อมฉันขอถวายบังคมลา [กมล, ๑๒.] สุเทษณ์ (ตวาด) อุเหม่! มะทะนาซะเจ้าเล่ห์ ชิชิช่างจํานรรจา, ตะละคําอุวาทา ฤ กระบิดกระบวนความ อุเหม่ มัทนา เจ้านี้ช่างเจ้าเล่ห์รัก คําพูดแต่ละคําที่พูดออกมา มีแต่คําพูดที่ไม่ดีตลบตะแลง
17 ดนุถามก็เจ้าไซร้ บ มิตอบ ณ คําถาม, วนิดาพยายาม กะละเล่นสํานวนหวน. เมื่อมาถาม เจ้าก็ไม่ตอบ พยายามเล่นสํานวนยอกย้อน [กมล, ๑๒.] ก็และเจ้ามิเต็มจิต จะสดับดนูชวน, ผิวะให้อนงค์นวล ชนะหล่อนทะนงใจ ถ้าเจ้าไม่เต็มใจทําตามที่ขาเอ่ยชักชวน หากแม้นข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ชนะเจ้าก็จะทะนงใจ บ่ มิยอมจะร่วมรัก และสมัครสมรไซร้, ก็ดะนูจะยอมให้ วนิดานิวาสสวรรค์ เมื่อเจ้าไม่รับรักอย่างสมัครใจแล้ว ข้าก็จะยอมให้เจ้าไปจากสวรรค์ [กมล, ๑๒.] ผิวะนางเผอิญชอบ มรุอื่นก็ข้าพลัน จะทุรนทุรายศัล- ยะบ่อยากจะยินยล; เพราะถ้าต่อไป เจ้าเผอิญไปชอบเทวดาคนอื่นเข้า ข้าก็จะทุรนทุรายโศกเศร้า ไม่ยากจะเห็น ไม่อยากจะได้ยิน เพราะฉะนั้นจะให้นาง จุติสู่ ณ แดนคน, มะทะนาประสงค์ตน จะกําเนิด ณ รูปใด? เพราะฉะนั้นข้าจะให้เจ้าจุติ ลงไปเกิดในโลกมนุษย์ มัทนาเจ้าประสงค์จะเกิด เป็นอะไร? [กมล, ๑๒.] ทวิบทจะตู บาท ฤ จะเป็นอะไรไซร้, วรเลือกจะตามใจ และจะสาปประดุจสรร เกิดเป็นมนุษย์ เป็นสัตว์สี่เท้า หรือจะเป็นอย่างอื่น ข้าจะตามใจเจ้า และข้าจะสาปให้เป็นเช่นนั้น จะสถิตฉะนั้นกว่า จะสํานึก ณ โทษทัณฑ์ และผิวอนดนูพลัน จะประสาทพระพรให้ เจ้าจะอยู่ที่นั่น จนกว่าจะสํานึกถึงความผิดของตนเอง และอ้อนวอนต่อข้า แล้วข้าจะให้พรเจ้า
18 [กมล, ๑๒.] วนิดาจรัลกลับ ณ ประเทศสุราลัย; ก็จะชอบสะถานใด วรุตอบคนมา. ให้เจ้าคืนสู่สวรรค์ดั้งเดิม ตกลงเจ้าเลือกเป็นอะไร ตอบข้ามา [สาลินี, ๑๑.] มัทนา อ้าเทพศักดิ์สิทธิ์ซึ่ง พระจะลงพระอาญา ข้าเป็นแต่เพียงข้า บ มิมุ่งจะอวดดี. องค์เทวะผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพระองค์จะลงพระอาญาแก่หม่อมฉันนั้น หม่อมฉันเป็นเพียงแต่ข้ารับใช้ ไม่ได้คิดจะอวด ดี หม่อมฉันนีอาภัพ และก็โชค บ่ พึงมี, จึ่งไม่ได้รองศรี วรบาทพระจอมแมน. หม่อมฉันเป็นคนอาภัพและไม่มีโชค จึงไม่ได้รับใช้ท่าน [สาลินี, ๑๑.] อันทรงเมตตาควร จะประจบและตอบแทน คุณท่านที่มากแสน คณนาประมวลมี ซึ่งที่พระองค์เมตตาสมควรจะตอบแทนบุญคุณอันมากมายของท่านที่มีต่อหม่อมฉัน อันโปรดให้เลือกตา ฤดูข้า ณ บัดนี้, ขอเป็นซึ่งมาลี รุจิเรขวิไลวรรณ, แล้วที่พระองค์โปรดให้เลือกตามใจหม่อมฉัน หม่อมฉันขอเกิดเป็นดอกไม้ที่สวยงาม [สาลินี, ๑๑.] สุดแท้แต่จอมสรวง จะประสิทธิ์ประสาทพันธุ์ ขอเพียงให้มีคัน- ธะระรื่นระรวยหอม. แล้วแต่พระองค์เถิด ว่าจะให้ว่าเป็นดอกไม้พันธุ์ใด ขอแต่เพียงให้มีกลิ่นรื่นรมย์หอม ด้วยกลิ่นของข้าบาท ก็จะได้ประณตน้อม ใจนิตย์บูชาจอม สุระบ่มบําเพ็ญบุญ, ด้วยกลิ่นของหม่อมฉัน จะได้ส่งกลิ่นมาเป็นเครื่องบูชาพระองค์ ในยามที่ พระองค์บําเพ็ญบารมี
19 [สาลินี, ๑๑.] ข้าขอแต่เพียงให้ มรุทรงพระการุญ ให้ข้าได้ทําคุณ และประโยชน์ บ่ อยู่หมั้น ขอให้พระองค์ได้โปรดกรุณาให้หม่อมฉันได้ทําประโยชน์ไม่ได้อยู่เฉย ๆ ด้วยเถิด [ฉบงง, ๑๖.] สุเทษณ์ ที่เจ้างอนง้อขอนั้น เราจะยอมสรร พะสิทธิดังใจจินต์ ดูราท่านมายาวิน, นางนี้ถวิล จะถือรูปเป็นมาลี ที่เจ้าขอมานั้น เราจะจัดการให้เป็นไปตามใจของเจ้า ดูก่อน ท่านมายาวิน นางมัทนามีความประสงค์ จะเกิดเป็นดอกไม้ ก็บุปผาอย่างใดมี ที่งามทั้งสี อีกทั้งมีกลิ่นส่งไกล? แต่ต้องให้มีหนามไว้ป้องกันมิให้ เหล่าเดรัจฉานผลาญยับ มีดอกไม้อะไรที่งามทั้งสี และมีกลิ่นหอมส่งไปได้ไกล แต่ต้องมีหนามไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าเดรัจฉานทําลาย [ฉบงง, ๑๖.] มายาวิน เทวะ! อันไม้งามสรรพ มีลักษณ์ต้องกับ พระองค์ดํารัสนั้นมี ในนันทะโนทยานศรี, องค์พระศจี โปรดเป็นยอดมาลา เห็นมีแต่ในฟากฟ้า, ในแดนคนหา ไม้นี้มิได้แห่งไหน องค์เทวะ อันไม้ที่งามพร้อม มีลักษณะตามที่พระองค์ถามมานั้น มีอยู่ในสวนนันทวัน เป็นไม้ดอกที่ พระเหสีของพระอินทร์โปรดปาน เห็นมีแต่บนสวรรค์เท่านั้น ไม่มีในแดนมนุษย์ สุเทษณ์ ไม้นี้มีนามฉันใด? ท่านจงเล่าให้ เราทราบซึ่งลักษณ์แถลง ไม้นี้มีชื่อว่าอะไร ท่านจงเล่าให้เราฟัง (อินทะวิเชียร, ๑๑. มายาวิน ไม้เรียกผะกากพ ซะกะสีอรุณแสง ปานแก้มแฉล้มแดง ดรุณีณยามอาย; ไม่เชื่อว่าดอกกุพชกะ มีสีแดงเหมือนแก้มผู้หญิงยามอาย ดอกใหญ่และเกสร สุวคนธะมากมาย, อยู่ทน บ วางวาย มธุรสขจรไกล; มีดอกขนาดใหญ่ และมีเกสร อยู่คงทน มีกลิ่นหอมส่งไปไกล
20 [อินทะวิเชียร, 11] มายาวิน ทั้งสะพรั่งหนาม ดุจะเข็มประดับไว้ ผึ้งเขียวสิบินไขว่ บ มิใคร่จะห่างเหิน อีกทั้งมีหนามราวกับเข็มประดับไว้ ผึ้งบินอยู่ขวักไขว่ ไม่ยอมห่าง อันกุมชะกาหอม บริโภคอร่อยเพลิน, รสหวานสิหวานเชิญ นรลิ้มเพราะเลิศรส; ดอกกุมชะกะนี้มีกลิ่นหอม รับประทานอร่อย มีรสหวานเป็นเลิศ [อินทะวิเชียร, ๑๑.] กินแล้วระงับตรี พิธะโทษะหายหมด, คือลมและดีลด ทุษะเสมหะเสื่อมสรรพ์; กินแล้วระงับความเครียด ความโกรธ ทําให้รู้สึกดีขึ้น ช่วยขับเสมหะ อีกทั้งเจริญกา- เย็นในอุราพลัน, มะคุณาภิรมย์นันท์, และระงับพยาธิ อีกทั้งยังเจริญกามคุณ ช่วยให้ร่างกายเย็นลงทําให้หายป่วย และช่วยขับพยาธิ [ฉบงง, ๑๖.] สุเทษณ์ ดีละ, จะให้มารศรี เป็นดอกไม้นี้ โฉมยงจะว่าฉันใด? ดีล่ะ เราจะให้เจ้าเป็นดอกไม้นี้ เจ้าจะว่าอย่างไร มัทนา ไหนไหนจะเป็นดอกไม้, หม่อมฉันพอใจ เป็นดอกที่ออกนามมา ข้าขอก้มเกศวันทา ที่จอมเทวา การุญให้เลือกเช่นนี้ ไหนๆ จะเป็นดอกไม้แล้ว หม่อมฉันพอใจเป็นดอกไม้ตามที่ท่านออกนามมา ข้าขอกราบขอบพระคุณที่กรุณา เลือกให้เช่นนี้ [ฉบงง, ๑๖.] สุเทษณ์ ด้วยอํานาจอิทธิ์ฤทธิ์ อันประมวลมี ณ ตัวกูผู้แรงหาญ, กูสาปมัทนานงคราญ ให้จุติผ่าน ไปจากสุราลัยเลิศ, ด้วยอํานาจอิทธิฤทธิ์ที่ข้ามีทั้งหมด ข้าขอสาปนางมัทนาให้จุติจากสวรรค์ สู่แดนมนุษย์และเกิด เป็นมาลีเลิศ อันเรียกว่ากุพซะกะ, ให้เป็นเช่นนั้นกว่าจะ รู้สึกอุระ ระอุเพราะรักริ่งเข็ญ. ไปสู่แดนมนุษย์เกิดเป็นดอกไม้อันเลิศ มีนามว่า กุมชะกะ ให้เป็นเช่นนั้นจนกว่า จะรู้สึกเป็นทุกข์เพราะความรัก
21 [ฉบงง, ๑๖.] ทุกเดือนเมื่อถึงวันเพ็ญ เพียงหนึ่งทิวาราตรี; ให้นางนี้เป็น มนุษย์อยู่กําหนดมีแต่หากนางมีความรักบุรุษเมื่อใด, ทุก ๆ เดือน เมื่อถึงวันเพ็ญ ขอให้นางกลับกลายเป็นมนุษย์เพียงหนึ่งวันหนึ่งคืนแต่ถ้าหากนางมัทนามีความรัก ต่อชายเมื่อใด เมื่อนั้นแหละให้ทรามวัย คงรูปอยู่ไซร้ บ คืนกลับเป็นบุปผา หากรักชายแล้วมัทนา บ มีสุขา ภิรมย์เพราะเริดร้างรัก, เมื่อนั้นแหละให้เจ้าคงรูปเป็นมนุษย์ ไม่ต้องคืนกลับเป็นดอกไม้ หากมัทนามีความรัก แล้วไม่มีความสุขเพราะ ต้องร้างลาจากกัน [ฉบงง, ๑๖.] และนางเป็นทุกข์ยิ่งนัก จนเหลือที่จัก อดทนอยู่อีกต่อไป เมื่อนั้นผิว่าอรไท กล่าววอนเราไซร้ เราจึงจะงดโทษทัณฑ์ นางจะเป็นทุกข์ยิ่งนักจนไม่สามารถจะทนต่อไปได้ เมื่อนั้นหากว่านางกล่าวอ้อนวอน ต่อเราไซเราจะให้อภัย [จิตระปทา, ๘.] นางมทะนา จุติอย่านาน จงมะละฐาน สุระแมนสวรรค์, ไปเถอะกําเนิด ณ หิมาวัน ดั่งดนลั่น วจิสาปไว้! มัทนา เจ้าจงจุติไปจากเมืองสวรรค์ แล้วกําเนิดในแดนหิมวันต์ ดังที่เราลั่นวสายไว้ (พิณพาทย์ทําเพลงคุกพาทย์, สุเทษณ์แผลงฤทธิ์, ฟ้าแลบแวววาววาบตลอดเพลง ถึงรัวท้าย มัทนาร้องกรีด และล้มลงกับพื้น)
22 บรรณานุกรม กระทรวงศึกษาธิการ. ๒๕๕๕. “บทละครพูดคำฉันท์เรื่องมัทนะพาธา.” วรรณคดีวิจักษ์: หนังสือเรียนรายวิชา พื้นฐานภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน. มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. ๒๕๑๓. พระบาทสมเด็จพระ. มัทนะพาธา, บทละคอนพูดคำฉันท์ และบทละครเรื่องท้าว แสนปม. พระนคร: ศิลปาบรรณาคาร. ภาสกร เกิดอ่อน และคณะ. 2554. หนังสือเรียน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 5. กรุงเทพฯ : อักษรเจริญทัศน.