ห้องเรียนวรรณกรรม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น ปริทัศน์วรรณกรรม พระสุธนคำ ฉันท์
รายงาน เรื่อง พระสุธนคำฉันท์ เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ ภทฺรกวี จัดทำโดย นางสาวอรณี ดอนหันรักษา รหัสนิสิต ๖๕๐๕๕๐๒๐๓๑ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ๒๐๔ ๒๐๒ วรรณกรรมไทยปริทัศน์ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๖ คณะครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ก คำนำ พระสุธนคำฉันท์วรรณคดีไทยที่แต่งขึ้นโดยพระยาอิศรานุภาพ (อ้น) ที่มีเค้าโครงเรื่องมาจากสุธนชาดก ที่ปรากฏในปัญญาสชาดกเป็นอีกชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้า พระสุธนคำฉันท์ หรือพระสุธน-มโนราห์ ภาคต่อ ของพระรถ-เมรี เป็นวรรณคดีที่ได้รับความนิยมมากในสมัยอยุธยา เรื่องพระสุธนคำฉันท์นี้ไม่ได้มีเพียงนิทาน ยังมีหลายสำนวน รายงานเล่มนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวรรณคดีไทยเรื่อง พระสุธนคำฉันท์ ได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด หากมีสิ่งหนึ่งประการใดขาดตกบกพร่องก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ อรณี ดอนหันรักษา ผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า พระสุธนคำฉันท์…….…………………………………………………………………………………………………………….๑ รสวรรณคดี..…….……………………………………………………………………………………………………..๓ ลักษณะคำประพันธ์…….……………………………………………………………………………………………๘ ตัวละคร…….……………………………………………………………………………………………………………๙ เนื้อเรื่องย่อ…….……………………………………………………………………………………………………….๑๐ วิเคราะห์บทละคร…….………………………………………………………………………………………………………….๑๒ ตัวอย่างบทละคร…….……………………………………………………………………………………………….๒๒ วรรณกรรมพระสุธนคําฉันท์ในบริบทสังคม……………………………………………………………………………๒๕ ข้อคิดที่ได้…….………………………………………………………………………………………………………….๒๕ สรุป…….………………………………………………………………………………………………………………………………๒๖ บรรณานุกรม…….…………………………………………………………………………………………………………………๒๗
๑ พระสุธนคำฉันท์ ต้นเค้าเรื่องจนถึงเมืองไทย งอกงามเป็นหลากวัฒนธรรม เรื่องพระสุธนคำฉันท์นี้ไม่ได้มีเพียงแค่เป็นนิทาน ยังมีอีกหลายรูปแบบและหลายสำนวน เดิมทีเข้าใจ กันว่าเรื่องสุธนชาดกในหนังสือปัญญาสชาดกของพระภิกษุชาวเชียงใหม่ที่นำนิทานชาวบ้านขึ้นมาผูกขึ้นเป็น นิทานชาดกนั้น เป็นต้นเค้าของเรื่องพระสุธน-นางมโนราห์ฉบับต่าง ๆ ในประเทศไทย แต่ วินัย ภู่ระหงษ์ ผู้ ศึกษาเปรียบเทียบพระสุธน-นางมโนราห์ฉบับต่าง ๆ พบว่าฉบับในประเทศไทยมีเนื้อความเหมือนกับเรื่องพระ สุธน-นางมโนราห์ที่มีอยู่ในประเทศอินเดีย บางสำนวนคล้ายคลึงกันจนเกือบจะกล่าวได้ว่าไม่ผิดเพี้ยนกันเลย จึงเป็นที่เชื่อได้ว่าวรรณกรรมเรื่องนี้มีต้นเค้าอยู่ในประเทศอินเดีย โดยน่าจะได้มาจากกินนรีชาดกในคัมภีร์ มหาวัสตุ หรือสุธนกุมาราวทานในคัมภีร์ทิพยาวทาน ฉบับใดฉบับหนึ่งหรือทั้งสองฉบับ แล้วแพร่มายังเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้โดยทางทะเล เป็นการถ่ายทอดโดยวิธีจำ ๆ กันต่อมา และตกแต่งเพิ่มเติมให้พิสดารออกไป น่าจะเข้ามาเมืองไทยในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ผ่านทางภาคใต้ซึ่งมีเมืองนครศรีธรรมราชเป็นศูนย์กลาง แล้วจึงแพร่ไปยังภาคเหนือซึ่งมีศูนย์กลางคือเมืองเชียงใหม่ พระภิกษุชาวเชียงใหม่จึงได้นำเรื่องมาผูกเป็นชาดก คือ สุธนชาดก ซึ่งผิดเพี้ยนกันเฉพาะส่วนที่เป็นรายละเอียดที่ไม่สำคัญต่อการดำเนินเรื่อง นอกจากเล่าสู่กันฟัง อย่างนิทานชาวบ้านแล้ว ภาคเหนือมีบทค่าวซอ เรื่องสุธน ขณะที่ภาคใต้นำมาแต่งเป็นบทช้าน้องหรือเพลงร้อง เรือ (เพลงกล่อมเด็ก) รวมถึงขยายกลายเป็นวัฒนธรรมการแสดงและอื่น ๆ เช่น การรำโนราห์หนังตะลุง เพลง บอก ภาพจิตรกรรมฝาผนัง นิทานพื้นบ้านเรื่องพระสุธน-มโนราห์(ภาคใต้) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ มีทั้งประเภทมุขปาฐะและลายลักษณ์ (หนังสือบุด) ที่แต่งเป็นคำกาพย์มีหลายสำนวน เช่น มโนราหรา นิบาต วัดมัชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา ส่วนทางภาคเหนือคือเรื่องพระสุธนชาดก ที่รวมอยู่ในปัญญาสชาดก ซึ่ง จากการวิเคราะห์เห็นว่าน่าจะเป็นสำนวนที่แพร่หลายไปทั่วประเทศ เมื่อมาถึงภาคกลางก็ได้รับความนิยมมาก โดยเฉพาะในสมัยอยุธยาตอนปลาย ปรากฏว่ามีบทละครครั้งกรุงเก่าเรื่อง "นางมโนราห์” ซึ่งพัฒนาต่อมาเป็น วรรณกรรมอีกหลายรูปแบบ เช่น พระสุธนคำฉันท์ ของพระยาอิศรานุภาพ (อ้น) พระสุธนคำกลอนของนาย พลอย และพระสุธนฉบับร้อยแก้วของหลวงศรีอมรญาณ เป็นต้น แต่ละสำนวนส่วนใหญ่มีโครงเรื่องจากพระสุ ธนชาดกในปัญญาสชาดกดังกล่าว ขณะที่ภาคอีสานก็ได้รับไปเช่นกันเรียกชื่อพระสุธนว่า ท้าวสีธนา ติดตรึงใจด้วยรักข้ามภพ เหตุที่น่าจะทำให้นิทานหรือวรรณกรรมเรื่องนี้เป็นที่นิยมและติดตรึงใจผู้คน อาจเป็นเพราะเรื่องของ ความรักที่ต้องลุ้นว่าพระสุธนจะผ่านด่านพ่อตาแม่ยายที่ให้พิสูจน์หานางมโนราห์ให้เจอ หรือจะเป็นการผจญภัย อันน่าตื่นเต้นกว่าจะถึงบ้านของนางมโนราห์ที่ป่าหิมพานต์ ที่ต้องเดินทางยาวนานถึง ๗ ปี ๗ เดือน โดยได้ ผู้ช่วยอย่างพระฤษีกับของวิเศษทั้งหลาย หรือจะเป็นเพราะการที่วรรณกรรมเรื่องนี้เสมือนหนึ่งภาคต่อของ เรื่อง "นางสิบสอง” หรือ พระรถ เมรี ซึ่งในตอนท้ายเรื่องเมื่อพระรถเสนรู้ความจริงว่านางเมรีเป็นธิดายักษ์จึง
๒ หนีกลับบ้าน นางเมรีติดตามมาและขอร้องให้กลับไปอยู่ด้วยกัน แต่พระรถเสนไม่ยอม นางเมรีจึงตัดพ้อพระรถ เสนก่อนจะกลั้นใจตายว่า "ชาตินี้น้องตามพี่มา ชาติหน้าขอให้พี่ตามน้องบ้าง” เรื่องราวต่าง ๆ จึงบังเกิดขึ้นอีก ครั้งเมื่อสองพระนางกลับชาติมาเกิดใหม่เป็นพระสุธนและนางมโนราห์ การผูกเรื่องเชื่อมโยงตามวิถีวัฒนธรรมที่ มีความเชื่อเรื่องชาติภพนี้จึงทำให้เข้าถึงใจคนหมู่มากและเป็นที่จดจำยาวนาน เปรียบเทียบเรื่องราวหลากสำนวน พระสุธน-มโนราห์แต่ละสำนวนมีชื่อตัวละคร ชื่อเมือง และรายละเอียดเหตุการณ์ปลีกย่อยแตกต่างกัน ออกไป เช่น พระสุธน-มโนราห์สำนวนภาคใต้ ตรงกับสุธนชาดกของภาคเหนือ คือ นางมโนราห์เป็นพี่องค์โต สำนวนอื่น ๆ มักเป็นน้องสุดท้อง ส่วนพรานบุญ สำนวนภาคใต้ใช้ชื่อ พรานบุญทฤกษา ส่วนสุธนชาดกใช้ชื่อ พรานบุณฑริก และชื่อเมืองปัญจาในสำนวนภาคใต้คือ เมืองปัญจาละในสุธนชาดก เป็นต้น ตัวอย่างสำนวนจาก มโนราหรานิบาต ฉบับวัดมิชฌิมาวาส จังหวัดสงขลา เริ่มที่ท้าวอาทิตย์วงศ์และ นางจันทาเทวีแห่งเมืองปัญจา มีพระโอรสคือพระสุธน เมืองนี้มีความสุขร่มเย็นเพราะสักการะพญานาคท้าว ชมพูจิตรเป็นประจำ ต่างกับเพื่อนบ้านคือเมืองมหาปัญจาที่มีแต่ความเดือดร้อน เจ้าเมืองมหาปัญจาอิจฉาจึง คิดฆ่าพญานาคท้าวชมพูจิตรโดยให้พราหมณ์ร่ายเวทมนตร์ แต่มิสำเร็จเพราะพรานบุญขัดขวางไว้ พญานาคจึง ตอบแทนพรานบุญ บอกเรื่องนางมโนราห์ และให้พรานบุญยืมนาคบาศไปคล้องนางมโนราห์เพื่อไปถวายให้ พระสุธน ส่วนสุธนชาดกเริ่มความว่า ท้าวอาทิจจวงศ์แห่งอุดรปัญจาล มีมเหสีนามว่า จันทเทวี ต่อมาพระ โพธิสัตว์จุติลงมาสู่ครรภ์นางจันทเทวี เมื่อประสูติปรากฏมีขุมทองผุดขึ้นทั้งสี่ทิศ จึงให้นามว่า สุธน และภายใน เมืองมีสระใหญ่ใต้สระนั้นเป็นที่อยู่ของพญานาคชื่อ ชมพูจิตร ซึ่งคอยบันดาลให้บ้านเมืองอุดมสมบูรณ์ ถ้าไปฟังสำนวนภาคอีสานเรื่องท้าวสีธน อาจพบคำผู้เฒ่าเพิ่นว่า ธนมโนราห์ สีธามโนรน แล้วจึงเล่าเข้า เรื่องท้าวอาทิตย์ครองเมืองปัญจา มีมเหสีชื่อ จันทรา ราชกุมารชื่อ สีธน (พระสุธน) คนเก่งกล้าวิชา ราษฎรอยู่ดี กินดี พืชผลบริบูรณ์มิได้คลาดแคลน อยู่มาวันหนึ่งพรานบุญ ชาวเมืองปัญจาได้เข้าไปหาล่าสัตว์ในป่าแถบสระ อโนดาต ได้พบกินรีพี่น้อง ๗ นางกำลังเล่นน้ำอยู่จึงใช้บ่วงคล้องจับมาได้หนึ่งนางเป็นน้องนุชสุดท้อง คือ นาง มโนราห์ นั่นเอง ฝ่ายพี่ ๆ ตกใจกลัวบินหนีกระเจิงให้วุ่น หน้าตาของนางสวยสดงดงามหาใดเทียบทานได้ พราน บุญจึงไปนำถวายท้าวสีธน... ที่กล่าวไปข้างต้นเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าการดำเนินเรื่องหลักไม่แตกต่างกันมากนัก ตอนกลางเรื่องและ ตอนท้ายมีแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในสำนวนต่าง ๆ เช่น มโนราหรานิบาต ฉบับของสงขลาว่า พระสุธนกับนาง มโนราห์แต่งงานอยู่กินกันมีความสุข จนกระทั่งพระสุธนต้องออกรบ พราหมณ์ปุโรหิตของเมืองระแวงว่าพระสุ ธนจะถอดยศตนจึงแอบไปสมคบกับข้าศึกให้ยกทัพมาตีเมืองปัญจา ช่วงนั้นนางจันทาเทวีฝันร้าย พราหมณ์ ปุโรหิตทูลให้นางทำพิธีสะเดาเคราะห์ด้วยการบูชายัญนางมโนราห์ นางมโนราห์จึงหาทางรอดด้วยการขอปีก และหางเพื่อรำถวายเป็นครั้งสุดท้าย แล้วบินหนีไปพร้อมกับฝากแหวนและตำรายาแก้พิษต่าง ๆ ไว้กับ พระกัสสปฤษีเพื่อมอบแก่พระสุธน เมื่อพระสุธนชนะศึกกลับมารู้เรื่องจึงออกเดินทางไปตามนางมโนราห์กลับ ใช้เวลาถึง ๗ ปี ๗ เดือน จึงประสบความสำเร็จ
๓ ผู้แต่ง: พระยาอิศรานุภาพ(อ้น) จุดมุ่งหมายในการแต่ง: เพื่อเผยแพร่นิทานในวัฒนธรรมต่าง ๆ รสวรรณคดี พระยาอิศรานุภาพ(อ้น) ผู้ประพันธ์พระสุธนคำฉันท์ คงได้ศึกษาแนวคิดเรื่องรสวรรณคดีตามแนวทาง ของทฤษฎีวรรณคดีสันสกฤตอยู่พอสมควรจึงทำให้เรื่องพระสุธนคำฉันท์มีรสวรรณคดีอย่างหลากหลายครบทั้ง ๙ รส คือ วีรรส ศฤงคารรส กรุณารส อัทภุตรส ภยานกรส พีภัตสรส หาสยรส เราทรรส และ ศานตรส ดังนี้ ๑. วีรรส เนื้อหาเรื่องพระสุธนคำฉันท์แสดงวีรรสเป็นรสเอกของเรื่อง กล่าวคือ วีรรสจะเป็นรสเด่นที่ปรากฏ ในเรื่องและถือเป็นแก่นหลักของเรื่อง เนื้อจากเนื้อเรื่องของะระสุธนคำฉันท์นั้นจะเน้นการแสดงให้เห็นความ มุ่งมั่น อุตสาหะของพระสุธน ซึ่งปรากฏผ่านการรบ บรรยายอย่างละเอียดใน ๒ เหตุการณ์ คือ เหตุการณ์ที่ พระสุธนต้องออกรบกับท้าวจันภานุ และเหตุการณ์ที่พระสุธนตามไปพบนางมโนราห์ยังเขาไกรลาส ดังนี้ เหตุการณ์ที่พระสุธนได้รับคำสั่งจากพระเจ้าอาทิตยวงศ์ให้ไปสู้รบกับท้าวจันมภานุเมืองบูรพาที่ยก ทัพมาประชิดเมืองอุดรปัญจา พระสุธนได้น้อมรับคำสั่งของบิดาอย่างไม่ขัดข้อง และได้บอกแก่นางมโนราห์ ดัง บทประพันธ์นี้ บัดนี้มีท้าวหนึ่งอัน ประทุษฐอาธรรม์ แลยกมารุกราวี สมเด็จอิศรราชบดี บิตุราชราชี จรรโลงพิภพจุธา มีราโชงการประกา ษิตให้เรียมคลา ไปรณรงค์โรมรอน จักลาเยาวลักษณจากจร ไปปราบดัษกร นิราศเรียมแรมวัน (พระสุธนคำฉันท์, น.๗๑) ๒. ศฤงคารรส เนื้อหาของเรื่องพระสุธนคำฉันท์แสดงศฤงคารรส ทั้ง ๒ ประเภท คือ ความรักของผู้ที่ได้อยู่ ด้วยกัน(สัมโภคะ) และความรักของผู้ที่ห่างจากกัน(วิประลัมภะ) ดังนี้ ความรักของผู้ที่ได้อยู่ด้วยกัน(สัมโภคะ) จากเรื่องพระสุธนคำฉันท์ ตัวอย่าง เช่น การกล่าวถึงการ ได้อยู่ด้วยกันของพระสุธนกับนางมโนราห์ ในช่วงที่พระสัธนได้อยู่เคียงนางเพียง ๒ คน หลังจากที่พรานบุญนำ นางมาถวาย ดังบทประพันธ์นี้ บุญสองเราสร้างสมกัน แต่เบื้องบูรพาบรรพต บันจวยประจวบจำงาย
๔ เรียมไป่ให้นุชเคืองคาย จักเกลียวกล่อมสาย สมรไว้กลางใจ หวังเศกยุพเรศเอกไอ- ศูรยเสวยสวัสดิ์ใน นครแสนสวรรยา เปนปิ่นเยาวราศบริจา- ริกแสนสุรา สุรางเขษมศุขรมย์ (พระสุธนคำฉันท์, น.๔๘-๔๙) ๓. กรุณารส เนื้อหาของเรื่องพระสุธนคำฉันท์ กวีบรรยายให้ผู้อ่านรับรู้ถึงกรุณารสที่เกิดจากความวิบัติ ดังจะ เห็นได้จากเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าตัวละครต้องสูญเสียและประสบเคราะห์กรรม ดังตัวอย่าง เหตุการณ์ที่นางมโนราห์ต้องถูกจับมาบูชายัญ นางมโนราห์กับนางจันทรเทวีต่างเสียใจต่อการ สั่งบูชายัญของพระเจ้าอาทิตยวงศ์ ดังบทประพันธ์นี้ สวมกอดองค์กัลยาณี ราชสุณิสาศรี สะใภ้คือดวงหฤไทย ทรงโศกแสนโศกาไลย ชลพาษปธไร ชรลูมพระภักตรบัวบง ต่างทุ่มต่างทาบทรวงทรง ต่างไห้ต่างองค์ บรู้กี้ไห้ไห้โห้โหย ดักดาลด่าวดิ้นแดโดย สองกรโกยโบย อุระระรุมรัมรัน (พระสุธนคำฉันท์, น.๑๐๕) ๔. อัทภุตรส เรื่องพระสุธนคำฉันท์ กวีบรรยายให้ผู้อ่านรับรู้อัทภุตรส ในความพิเศษของพระสุธนที่นับเป็น อดีตชาติหนึ่งของพระพุทธเจ้าตั้งแต่ช่วงแรกในเหตุการณ์ที่พระสุธนประสูติและได้บังเกิดขุมทองสี่ ขุมขึ้นที่มุมราสาทสี่มุม ดังบทประพันธ์นี้ เกิดแก้วจักรพรรดิธรณี ศรราชบดี บดินทรดิลกโลกา คือองค์พิชิตมารอันมา จากด้าวแดนดาวะดึงษประสงค์พิชิตมารอันมา
๕ เดชาภินิหารองค์อารย์ จักสฤษดิพุทธการย์ การกธรรมามูล บันดานนิธีมาภูล เพื่อพุทธางกูร พิเศศแลสี่สองครา ทรงนามโดยอัศจรรย์ปรา กฎเกรียดดิสมญา สุธนพระยศฦๅไกร (พระสุธนคำฉันท์, น.๑๐) ๕. ภยานกรส เรื่องพระสุธนคำฉันท์กวีแสดงภยานกรสในช่วงที่พระสุธนได้เดินทางเข้าป่าเพื่อตามไปพบนาง มโนราห์ที่เขาไกรลาส ดังบทประพันธ์ที่ว่า พระเสด็จลิลาลาศ ก็ยุบาทจากอา ศรมบทพระสิทธา ธรธรรมมุนี เข้าในพนาเวศ หิมวันตศิรีย์ เซียบเสียงฉนีผี สุรกายปิสาจยง ผีภูตระมายา บรางควานโขมดดง กู่ก้องพนมพง หิมพานตะพาลคะนองคะนอง เสียงสัตว์เสือสีห์ สุริสิงฆคลาคลอง วังเวคไพรพนอง ก็ระรี่ระเรื่อยเย็น เซียบเสียงเสยพอง ศิรโลมทร่านเชน เปลี่ยวองค์คบใครเปน มิตระเพื่อนทุราทวา (พระสุธนคำฉันท์, น.๑๒๖) ๖. พีภัตสรส เรื่องพระสุธนคำฉันท์กวีแสดงพีภัตสรสในช่วงเหตุการณ์สู้รบระหว่างกองทัพของพระสุธนและท้าว จันทภานุ ดังบทประพันธ์นี้ คว้างคว้างครรแลงทวนยอง สบเลศละบอง ก็เท้งประตักทวนทาย ขุนม้าแขกไส้รั่วราย ต้องเพาะพุงทลาย ก็ตกบทันติงตน
๖ ตายดับทับทุ่มในรณ ม้าแมนมิทน ก็ท่าวทั้งสี่ตีนตาย ……………………………………….. ……………………………….. พลรถลูกท้าวผจล ด้วยโลหมุสล แลแสงเสนาะจะรวยระรี ต้องพลท้าวทับไพรี บาดไส้พุงพี แลเลือดฉลมทังลาญ (พระสุธนคำฉันท์, น.๘๕) ๗. หาสรส เรื่องพระสุธนคำฉันท์กวีกล่าวถึงเหตุการณ์ที่แสดงหาสยรสในช่วงที่นางกินรีทั้ง ๗ มาสรงน้ำใน สระและเย้าแหย่กัน ดังบทประพันธ์นี้ ชมฝักหักดวงบุษปบัน เก็บพรรณเผื่อนผัน ผกากุสุมเสาวคนธ์ แซมกรรณเกษแก้วกุณฑล ร้อยรัตนโกมล เปนสร้อยสะอิ้งอาภรณ์ ขับขานบันสารศัพทเอมอร ทราบทร่านทรวงสมร คือทิพกามจำเรียง ฟ้อนรำดำเนิรอรเอียง ส่งสารสำเนียง เสน่ห์เสนาะเอาใจ บ้างเหล้นแฝงบัวบังใบ คณากินรใน ก็สรวญระริกรีรมย์ (พระสุธนคำฉันท์, น.๒๔-๒๕) ๘. เราทรรส เรื่องพระสุธนคำฉันท์กวีกล่าวถึงเหตุการณ์ที่แสดงเราทรรสในช่วงที่ท้าวจันทรภานุออกสู้รบกับ พระสุธน ซึ่งแสดงให้เห็นอารมณ์โกรธของท้าวจันทภานุ ดังบทประพันธ์นี้ ขษณนั้นพญาจัน- ทรภานุกฤษดีไตร เห็นพลพิราไล ยะอเนกนองสนาม โกรธเตรียมกมลไหม้ ดุจไฟสุณีลาม ขับไอยะราราม- สุเรนทรรีบมา
๗ ดูราสุธนนารถ ยุพราชเทียรธารกนี้ฤหังการ์ จะต่อเราบคิดตาย ฤๅไปบเจียมองค์ แลทระนงจะทัดทาย กลิ่นโอฐบหายอาย ขษิรามรศภุญช์ ……………………………………….. ……………………………… ฝ่ายองค์พญาจันทรอา นุภาพมหา ก็แรงพิโรธรันทำ สารทแสงกาลบาทไปจำ เพียงพิศนุปาณำ อันมีมหามหิมา พระทรงขรรค์เพชรวา- วุธแสงพาธา ก็เทิดก็ทัดระราน (พระสุธนคำฉันท์, น.๙๒-๙๔) ๙. ศานตรส เรื่องพระสุธนคำฉันท์กวีกล่าวถึงเหตุการณ์ที่แสดงศานตรสในช่วงที่พรานบุญเดินทางเข้าไปยัง อุทยาน และปรากฏเป็นบทชมธรรมชาติ ดังบทประพันธ์นี้ พฤกษาทรสุมสาร วิยะฉายกำบังบน เกตแก้วพิกรรกล มลุลีรำดวนดาน โกษฐกาญจนากรร ณิกาตระการบาน กฤษณารำเพยพาน รศเร้ากำจรใจ จวงจันทร์จำปีปน สุรภินทร์ภิรมย์ใน ยมโดยพยอมพ บุละบัตระบัดบัง อบเชยระเหยหอม รศคธ์ละเวงวัง ขอนดอกพิโดรทัง กระลำภักประไพงาม (พระสุธนคำฉันท์, น.๒๒) รสวรรณคดีจากเรื่องพระสุธนคำฉันท์จะปรากฏอย่างหลากหลายครบทั้ง ๙ รส คือ วีรรส ศฤงคารรส กรุณารส ภยานกรส พีภัตสรส หาสยรส เราทรรส และศานตรส โดยมีรสเอกของเรื่อง คือ วรรสที่เน้นความ อุสาหะ ความพากเพียรของพระสุธน ซึ่งเห็นได้ว่าพระอิศรานุภาพ(อ้น) คงคำนึกถึงรสวรรณคดีอยู่พอสมควรจึง ทำให้การประพันธ์นั้นไม่ขาดตกบกพร่องของรสวรรณคดีใด ๆ แม้แต่น้อย ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า เรื่อง พระสุธนคำฉันท์ ได้แสดงให้เห็นฝีมือในการประพันธ์ของพระยาอิศรานุภาพ(อ้น) ที่มีความสามารถแสดงรส วรรณคดีได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และนับเป็นวรรณคดีเรื่องหนึ่งที่มีคุณค่าที่ทำให้ผู้อ่านได้รับรสของวรรณคดี อย่างหลากหลายครบทุกรสด้วย
๘ ลักษณะคำประพันธ์ พระสุธนคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่มีความโดดเด่นในเรื่องลักษณะคำประพันธ์ มีการใช้ฉันทลักษณ์ที่ หลากหลาย ทั้งกาพย์และฉันท์ ซึ่งจากการศึกษาวิเคราะห์เรื่องพระสุธนคำฉันท์นี้ พบว่ามีการใช้ฉันทลักษณ์ ชนิด กาพย์และฉันท์อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนี้คือ ๑. กาพย์ฉบัง ๑๖ ตัวอย่าง ท้าวทอดองค์อาตมินทรีย์ ยอกรทุ่มตี กระทุ่มอุระประมาณ อสุชลน่านนองคือธาร เทียรเทพจะลาญ ชีพิตรลั่นแหลกทรวง สองทรงอาไลยลุงลวง กำเดาแดดวง กำสดสยบจาบัลย์ ฯ (พระสุธนคำฉันท์, น.๓๕) ๒. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ตัวอย่าง บัดองค์หน่อนารถ สุธนธิราช ชำเลืองแลไป ยลแมลงวันเวียน ยังองค์ทรามไวบย ถนัดแก่ใจ ตระหนักสำคัญ จึ่งกุมเอากร สุดาองค์อร วิไลยลาวรรณ นางชำเลียงเนตร ชม้ายเมียงมัน ด้วยความกระสรร เกษมสงสาร ………………………………………………. ………………………………………………… (พระสุธคำฉันท์, น.๑๕๘) ๓. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ตัวอย่าง สองกรกระทุ่มอุระประนัง นุประหนึ่งแหลกลาญ อาดูระดวงสมรปาน ระอุอรรคนีใน ยกบาทธทูลศิระสอื้น ชลพาษปธาไร แดแลกำเดาวิจลใน ก็วิลาประจาบัลย์ (พระสุธนคำฉันท์, น.๗๒)
๙ ๔. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ตัวอย่าง เมื่อนั้นอนงคนุชนาฎ วรราชเทพี เอคอรรคเทพกินรี อรองค์มรา ปางได้สดับพจนสุน- ทรไทประโลมลา จักไปณรงค์รณนิรา จะนิราศแรมองค์ เพียงเพ็ชราวุธแลฟาด ศีระขาดกระเด็นลง เจียนจากพระกายอราอง- คอนาถแลดูดาล ขวัญหนีฟพันวิจลจาก สิระรางคเลวลาญ จิตรนางบเปนกมลมาน ก็ประหม่าประเหม่อดาย (พระสุธนคำฉันท์, น.๗๑) ๕. โตฏกฉันท์ ๑๒ ตัวอย่าง ขษณเสรจวรกิจ จสฤษดิอลงกฎิการิยมง คละโหติกะรา ก็ถวายบุษปคน ธนุลาชะรุจี ทีปะธปมณี นพรัตนกุสุมา (พระสุธนคำฉันท์, น.๑๐๑) ตัวละคร ณ เชต วัน - พระพุทธเจ้า - พระภิกษุ เมืองอุดรปัญจา - พระสุธน - พระเจ้าอาทิตยวงศ์ - นางจันทรเทวี - พรานบุญ - ปุโหริต - ท้าวชมพูจิตรนาคราช
๑๐ เมืองปัญจาบุรี - พระเจ้านันทาธิราช เมืองบูรพา - พระเจ้าจันทรภนุ หิมพานต์ - พระกสปฤๅษี - นกอินทรีย์ เขาไกรลาส - นางมโนราห์ - นางกินรีทั้ง ๖ (พี่ของมโนราห์) - ท้าวทุมราช ตัวประกอบ - พราหมณ์ - พระอินทร์ เนื้อเรื่องย่อ เมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ เชตวัน มีพระภิกษุรูปหนึ่งทุกข์โศกเพราะอาวรณ์ในรสรัก จึงทรง เทศนาให้เห็นโทษของการลุ่มหลงสตรี เป็นนิทานว่าในอดีตเคยเสวยพระชาติเป็นพระสุธนและทรงประสบ ความทุกข์อย่างใหญ่หลวงเพราะหลงใหลในความรักสตรีเพศจนถึงกับละทิ้งญาติมิตรบิดามารดา เรื่องเล่าว่า พระเจ้าอาทิตยวงศ์ครองเมืองอุดรปัญจา มีมเหสีชื่อนางจันทรเทวี มีโอรสชื่อพระสุธน ในเมืองนี้มีท้าวชมพู จิตรนาคอาศัยในสระน้ำทางทิศตะวันออก ได้รับการบูชาและพลีกรรมจากชาวเมือง จึงบันดาลให้ชาวเมืองอยู่ อย่างสมบูรณ์พูนสุข เมืองปัญจาบุรีเกิดทุพภิกขภัย ราษฎรจำนวนมากพากันหนีมายังเมืองอุดรปัญจา พระเจ้านันทาธิราชผู้ครอง เมืองโกรธแค้นริษยาเมืองอุดรปัญจาจึงประกาศให้รางวัลผู้สามารถทำลายพญาชมพูจิตรนาคโดยจะแบ่งเมือง ให้ครึ่งหนึ่ง พราหมณ์ผู้หนึ่งรับอาสาไปร่ายเวททำให้พญาชมภูจิตรนาคร้อนรุ่มต้องขึ้นมาจากนาคนครแล้ว แปลงกายเป็นพราหมณ์ พรานบูรณ์จึงช่วยด้วยการจับตัวพราหมณ์ให้มาแก้อาคมแล้วสังหารเสีย ฝ่ายพรานบูรณ์เข้าไปในป่าเพื่อล่าเนื้อ ได้เห็นนางกินรีทั้งเจ็ดนางเป็นธิดาของท้าวทุมราชก็หลงใหลอยากได้มา เป็นภรรยา พรานบูรณ์จึงไปขอบ่วงนาคจากพญาชมพูจิตรนาค แล้วใช้บ่วงนาคจับได้นางกินรีน้องสุดท้องชื่อ นางมโนห์รา
๑๑ พรานบูรณ์พานางมโนห์ราเดินทางกลับเมืองอุดรปัญจา แล้วคิดได้ว่าตนเองต่ำศักดิ์ไม่คู่ควรกับนางมโนห์ รา จึงพานางไปถวายพระสุธนที่พระราชอุทยาน นางมโนห์ราอยู่กับพระสุธนที่ตำหนักอุทยาน พระเจ้าอาทิต ยวงศ์ทรงทราบว่าโอรสมีชายาเป็นกินรีก็ทรงยินดี โปรดให้รับนางเข้ามาในพระราชวังและยกราชสมบัติให้พระ สุธน พระสุธนได้ตั้งพราหมณ์หนุ่มผู้มีปัญญาผู้หนึ่งขึ้นเป็นปุโรหิตตามที่พราหมณ์นั้นเคยทูลขอไว้ ทำให้ปุโรหิต โหราจารย์เดิมแอบผูกใจเจ็บคอยคิดจะแก้แค้นพระสุธนเรื่อยมา พระเจ้าจันทรภานุครองเมืองบุรพา ทรงยกทัพมาเพื่อตีเมืองอุดรปัญญา ปุโรหิตเฒ่าซึ่งหมายจะทำร้ายพระสุ ธนได้กราบทูลให้พระสุธนเป็นผู้นำทัพไปต่อสู้ พระเจ้าอาทิตยวงศ์ไม่ทราบในเล่ห์กลก็โปรดให้พระสุธนเป็นแม่ ทัพยกไป นางมโนห์รามีความเศร้าโศกห่วงใยขอตามเสด็จ พระสุธนปลอบให้นางคอยไม่นานจะกลับมาทั้ง ทรงสั่งเสียว่าหากมีปัญหาอันใดให้ฝากตัวกับพระนางจันทรเทวี พระสุธนทรงฟันพระเจ้าจันทรภาณุสิ้นพระชนม์ขาดคอช้าง ในวันที่พระเจ้าจันทรภาณุสิ้นพระชนม์นั้น พระ นางจันทรเทวีพระชนนีของพระสุธน ทรงพระสุบินว่าพระโอรสสิ้นพระชนม์ในสงคราม จึงไปทูลพระเจ้าอาทิต ยวงศ์ให้หาปุโรหิตเฒ่ามาทำนาย ปุโรหิตแสร้งทูลว่าฝันนี้ร้ายนัก พระสุธนจะสิ้นพระชนม์และดวงเมืองก็ไม่ มั่นคง วิธีแก้คือต้องทำบูชายัญสัตว์ทุกชนิด รวมทั้งนางมโนห์ราด้วย ชั้นแรกพระเจ้าอาทิตยวงศ์ไม่ ยินยอม แต่ภายหลังก็ให้ทำพิธีบูชายัญนางมโนห์ราได้ นางมโนห์ราขอให้นางจันทรเทวีช่วยเหลือแต่ไม่ สำเร็จ นางมโนห์ราจึงออกอุบายขอสวมเสื้อผ้าเครื่องประดับของตน เมื่อเริ่มพิธีนางจึงบินหนีกลับบ้านเมือง ระหว่างทางนางมโนห์ราแวะนมัสการพระกสปฤๅษีที่ป่าหิมพานต์ เล่าเรื่องทั้งหมดแล้วสั่งความถึงพระสุธนขอ อย่าให้ติดตามนางไปเพราะหนทางยากลำบาก และฝากผ้ากัมพลกับพระธำมรงค์ไว้ให้และหากพระสุธนจะขืน ตามนางไป นางได้เขียนเส้นทางทั้งสั่งให้พระองค์จับลิงไปด้วย และให้เลือกเสวยผลไม้ตามลิงนั้นก็จะปลอดภัย ฝ่ายพระสุธนเมื่อกลับถึงเมืองก็รีบออกติดตามโดยไม่ฟังคำทัดทานของพระมารดา ทรงเดินทางไปกับพราน บูรณ์จนถึงป่าหิมพานต์จึงให้พรานบูรณ์กลับไป เสด็จไปพบพระกสปฤๅษี รับมอบสิ่งของที่นางมโนห์ราฝากไว้ จากนั้นได้เดินทางต่อไปด้วยความยากลำบากจนถึงป่าหวาย อันเป็นดินแดนสุดสิ้นหนทางที่มนุษย์จะเดินทาง ต่อไปได้ พระสุธนปีนเถาวัลย์ขึ้นพักบนรังพญาอินทรี พระสุธนคิดทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา กันแสงรำพึง เสียดายชีวิต เมื่อนกอินทรีกลับมารัง ได้ยินนกคุยกันว่าพรุ่งนี้ท้าวทุมวงศ์จะทำพิธีสะเดาะเคราะห์ธิดาที่หนีมา จากเมืองมนุษย์ ขณะนี้ยังอยู่นอกเมืองได้ 7 ปี 7 เดือน 7 วัน ก่อนจะรับเข้าเมือง พระสุธนฟังจึงแฝงกายใน ขนนกอินทรี นกบินลงยังสระบัวแห่งหนึ่ง พระสุธนออกจากกายนก ได้เห็นเหล่านางกินรีบริวารออกมาตักน้ำ ไปสรงนางมโนห์ราให้สิ้นมลทินมนุษย์ นางหนึ่งตักน้ำแล้วยกกระออมไม่ขึ้น พระสุธนไปช่วย แล้วลอบใส่ ธำมรงค์ในหม้อน้ำนั้น เมื่อนางกินรีนำน้ำไปสรงนางมโนห์รา แหวนนั้นก็ตกลงสวมนิ้วของนางทันที นางมโนห์ ราจึงรู้ว่าพระสุธนตามมาก็ยินดี จึงให้นางทาสีนำภูษาทรงอันงดงามไปให้พระสุธน แล้วตนเองไปทูลพระบิดา ว่าพระสวามีได้ตามมาถึงแล้ว ท้าวทุมวงศ์จึงโปรดให้เข้าเฝ้าและทดสอบโดยให้พระสุธนแผลงศรผ่านเครื่องกีด ขวางต่าง ๆ ให้เข้าเป้าซึ่งอยู่ในสุด พระสุธนก็สามารถทำได้สำเร็จ ท้าวทุมวงศ์ทรงให้ธิดาทั้งเจ็ดซึ่งมีรูปโฉม เหมือนกันออกมาให้พระสุธนเลือก พระสุธนอธิษฐานว่าหากจะได้บรรลุพระโพธิญาณต่อไปภายหน้าขอให้
เลือกนางมโนห์ราได้ถูกต้อง พระอินทร์แปลงกายเป็นแมลงวันทองบินเวียนวนรอบกายนาง พระสุธนจึงเลือก ได้ ท้าวทุมวงศ์จึงจัดงานอภิเษกให้ พระสุธนกับนางมโนห์ราอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
๑๒ วิเคราะห์บทละคร เรื่อง พระสุธนคำฉันท์ เรื่องพระสุธนคำฉันท์ สามารถนำมาวิเคราะห์และประเมินคุณค่าในด้านต่าง ๆ ได้ ดังนี้ ๑. คุณค่าทางด้านเนื้อหา ๑.๑ แนวคิด/แก่นเรื่อง เรื่องพระสุธนคำฉันท์ มีเนื้อเรื่องที่เหมือนกับสุธนชาดกในปัญญาสชาดก และสุธนชาดกหรือ มโนห์ราสำนวนอื่น ๆ ที่มีอยู่ ดังนั้นแล้วด้านแนวคิดหรือแก่นเรื่องจึงเหมือนกับในสุธน ชาดก กล่าวคือ แนวคิดของเรื่อง คือ การที่พระสงฆ์รูปหนึ่งบิณฑบาตรอยู่ ได้พบสตรีสาวสวยนางหนึ่งเกิด ปฏิพัทธ์ พอกลับจากบิณฑบาตร ก็วางบาตรไว้นั่งก้มหน้าเสียใจ พระสหายเห็นจึงถามแล้วจึงพาไปเฝ้าพระ ศาสดา พอพระองค์ตรัสว่า ทำไมจึงได้ทำอย่างนี้ ทั้งที่ก็บวชด้วยศรัทธา ละสมบัติมาบวชในพระศาสดา ยังหวน คืนถึงเรื่องสตรีได้ และตรัสถึงเรื่องสตรีว่าเป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ ดังเรื่องอดีตที่แม้บัณฑิตในครั้งก่อน เพราะสตรี จึงได้ละทิ้งบิดามารดาราชสมบัติ แม้ชีวิตตนเองก็มิได้คำนึง จนประสบทุกข์มากมาย พระองค์จึงทรงนำอดีต นิทานเรื่องพระสุธนเล่าให้กับภิกษุรูปนี้ฟัง ๑.๒ ตัวละคร ในเรื่องพระสุธนคำฉันท์มีตัวละครปรากฏในเรื่องอยู่หลายตัวด้วยกัน เช่น พระสุธน นางมโนราห์ พรานบุณฑริก ท้าวอาทิตยวงษ์ นางจันทร ท้าวทุมวงษ์ ฤๅษีกัสป ท้าวชมภูจิตร ปุโรหิต เป็นต้น ซึ่งจะกล่าวถึง เฉพาะตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง ดังนี้ ๑.๒.๑ พระสุธน พระสุธน เป็นพระโอรสของท้าวอาทิตยวงษ์ กับนางจันทรเทวี ครองนครอุดรปัญจา มีลักษณะเป็นหนุ่มรูปงาม เห็นได้จากคำกล่าวของพรานบุณฑริกที่ว่า ควรเปนเกษกามกำนัน นรินทรเทพธรธรรม์ สุธนดิลกจุธา เฉลิมลักษณ์เทียรทิพเปรียบปรา- กฏิสองโสภา ประภาคยคือหล่อลำเพิง เสมอจันทราทิตยงามเงา ดุจดวงมณีเนา วรัตนเรืองรองทอง (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๔๒) จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าพระสุธนมีความงามดังเทพบนสรวงสวรรค์ ซึ่งทำให้เห็นถึงภาพ ความงามของพระสุธนมากขึ้น ๑.๒.๒ นางมโนราห์ นางมโนราห์ เป็นธิดาของท้าวทุมวงษ์ นางเป็นหญิงที่มีความงดงามมากซึ่งกวีได้เปรียบความ งดงามของนางมโนราห์ดั่งองค์พระอุมา ดังตัวบทที่ว่า
๑๓ ยลลักษณวิไลยลาญทรวง ภักตร์เพ็ญเดือนดวง อันจรูญจำรัสอาภา คิ้วค้อมส่งสุดหางตา ศรเนตรกามา คือศรพกามเนียรนิล เสาวภาคลอองค์เอี่ยมอิน - ทรีย์ทิพยุพิน ดั่งองค์อุมามาเปน นางมโนราห์มีความเฉลียวฉลาดและปฏิภาณไหวพริบดี ดังตัวบทที่ว่า แม่นแท้ข้าจักเมือมรณ์ ขอเอาอาภรณ์ สำหรับประดับตัวตาย (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๑๐๗) ๑.๒.๓ พรานบุณฑริก พรานบุณฑริกเป็นชาวนครอุดรปัญจาที่มีลักษณะจงรักภักดีต่อพระเจ้าแผ่นดิน มีสิ่งใดที่ว่าดีก็ จะนำไปถวายนายของตน และลักษณะที่เห็นได้จากเรื่องตอนหนึ่งก็คือ เมื่อพรานบุณฑริกเห็นนางมโนราห์ก็ เกิดความใคร่ ดังบทที่ว่า บุณฑริกกรันจวนใจกาม เลงลาญแลตาม ระเทาระทดใจถวิล แดดาลระด่าวดิ้นโดยจินต์ ผิวมีปีกบิน จะโบยไปโดยบทจร อาไลยลันลุงอาวรณ์ เศร้าโทรมทรวงทอน มนัศกลุ้มกลางใจ (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๒๕-๒๖) ๑.๒.๔ ท้าวอาทิตยวงษ์ ท้าวอาทิตยวงษ์เป็นกษัตริย์ครองนครอุดรปัญจา เป็นพระบิดาของพระสุธน ซึ่งในเรื่องได้ กล่าวถึงลักษณะความเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ ดังบทที่ว่า ราชาธิราช อดิศรธเรศตรี อาทิตยวงษ์ดี- ลกราชภูธร ครองมิ่งมไหสูรย์ สุรศักดิฦาขจร ในบูรพนคร อุดเรศปัญจา
๑๔ เสนาคณานี- กรราชแสนยา แสนเสวกานา ยกยุทธโจษจล นานพนากร ปฏิพลสพราศพล สามรรถราญรณ อริราชสยบแสยง พลคชคือคช สิหราชเริงแรง สินธพดาลแสดง ดุลเดชรณภู พลรถจำรูญรัตน ชำนิอัศวสินธู ยานยุทธไพร ปรปักษยากปอง (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๔) จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าท้าวอาทิตยวงษ์เป็นกษัตริย์ที่ทรงชำนาญในทางการสงคราม เป็น ที่โจษจันของอริราชศัตรูและเทียบเทียมได้ ๑.๒.๕ ปุโรหิต ปุโรหิตแห่งนครอุดรปัญจาเป็นตัวละครที่มีลักษณะเด่นอีกตัวหนึ่ง กล่าวคือ เป็นตัวละครผ่าน ปรปักษ์ที่เพิ่มสีสันให้กับเรื่องได้เป็นอย่างดี ซึ่งลักษณะของปุโรหิตนั้นมีใจริษยา กล่าวมุสา ดังบทที่ว่า โหรากล่าวลักษณา โดยมานมายา ประทุษฐโทษผูกพัน หวังมล้างลูกไททรงธรรม์ ด้วยรังเกียจกรรม์ ก็ทูลอำเภอโดยเดา และ ปโรหิตทูลแด่ราชา โดยใจริศยา ก็กล่าววะจีกระลำภร ผิวจักบรรเทาอันดร ธานโทษเมือมรณ์ ให้พ้นในเงื้อมมฤตยู จะกอบกฤษดิกาโดยบู ราณราชเรียนครู เพทางค์ปกรณคัมภีร์ ตั้งบรรยายจิตรพิธี บูชาพลี สการถ้วนทุกอัน (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๙๖-๙๗)
๑๕ จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าปุโรหิตกราบทูลความเท็จในการทำนายฝันของนางจันทรเทวี ซึ่ง สงผลร้ายต่อนางมโนราห์ ทำให้นางต้องถูกนำไปประกอบพิธีบูชายัญ ๑.๒.๖ ท้าวทุมราช ท้าวทุมราชเป็นบิดาของนางมโนราห์ ในเรื่องจะเห็นถึงความรักที่พ่อมีต่อลูกได้จากตัวละครนี้ดังบท ที่ว่า ทูลพลางๆพาษปธา- ราราชธิดา ก็แสนกำสดบมิวาย สองท้าวสดับดุจตนตาย จระลึงลาญสลาย สวาสดิคือศรเสียบใจ แม้นมารมจุราชอันไกร เด็ดเอาหไทย บทันจะสึกสมประดี ท้าวทอดองค์อาตมินทรีย์ ยอกรทุ่มตี กระทุ่มอุระประมาณ (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๓๔-๓๕) จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่าท้าวทุมวงษ์เมื่อทราบว่านางมโนราห์ถูกพรานบุณฑริกจับตัว ไปก็เศร้ากำสรด ดังใครมาเด็ดเอาหัวใจไป ๒. คุณค่าทางด้านสังคมวัฒนธรรม สังคมวัฒนธรรมที่ปรากฏในเรื่องพระสุธนคำฉันท์มีทั้งเรื่องความรัก ศิลปะ ดนตรีดังตัวบทต่อไปนี้ ๒.๑ เรื่องความรัก พระสุธนคำฉันท์ สะท้อนให้เห็นถึงความรักระหว่างสามีกับภรรยาซึ่งเป็นรักแรกเริ่ม ความรักระหว่าง สามีภรรยานั้น การมีเพศสัมพันธ์กันถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งในการใช้ชีวิตร่วมกัน ดังจะเห็นได้จากตัวบทที่ว่า ตระกองกรบงกชเกลียวกล ยั่วยวนแยงยนต์ กระเหม่นกระมลยรรยรร นาภีสพ้านพิงเกาะกัน คือแผ่นสุวรรณ ระแทบแลแนบเนียรใน ลำลองเล่ห์ทิพประไพ หล่อกามพิศไสมย คือฝาอันสบสมตัว สองเริ่มรุ่นรศมันมัว แรงราครันรัว ฤดีกำดัดดัษกาม ยงยวรเยาวโยคย่ำยาม บิชิชามศุขซาม เกษมกระสรรตสมพอง
๑๖ หฤหรรษารศประลอง โล้เล่นเลาทอง บันเทิงหฤทัยเริงรณ แรกรู้รศกามตระกล เพียงพิรุณโชรชล แลต้องผกาจาวแจรง เฟื้องฟุ้งเรณูรวยแรง ทราบชื่นแชรง ละอองแลอายกำจรฯ จากตัวบทข้างต้น ผู้แต่งได้สะท้อนเรื่องความรักให้เห็นว่าครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นสถาบัน ทางสังคมและเป็นสถาบันที่เล็กที่สุด สามีภรรยาต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันก่อน หากสามีภรรยาคู่ใดมี ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีต่อกันแล้วนั้น ครอบครัวก็ย่อมมีปัญหา และอาจจะส่งผลต่อสังคมนั้น ๆด้วย ๒.๒ ศิลปะ ในเรื่องพระสุธนคำฉันท์นี้ ผู้แต่งได้สะท้อนความงดงามทางด้านศิลปะประเภทสถาปัตยกรรมและ ประติมากรรม จากราชมณเฑียรของกษัตริย์ ดังจะเห็นได้จากตัวบทที่ว่า เนืองนันต์นพศูลชัชวาล พริ้งพรายพรหมมาน คือดั่งจะเห็จหงส์บิน มีเทพประนมกรกิน นรนาศสุรินทร์ สุเรนทรดูเรียบรายฯ จากตัวบทข้างต้น ผู้แต่งได้ให้รายละเอียดความงดงามของราชมณเฑียรได้อย่างชัดเจน การที่ผู้แต่งได้ ให้รายละเอียดชัดเจนเช่นนี้ อาจจะเป็นเพราะว่าผู้แต่งได้เห็นในความงดงามของราชมณเฑียรในสมัยที่ผู้แต่งได้ มีชีวิตอยู่นั้นจริง ๒.๓ ดนตรี ผู้แต่งได้มีการสรรคำเพื่อให้รายละเอียดของดนตรีและการร่ายรำ ซึ่งมีการใช้เครื่องดนตรีหลาย ชนิด เช่น เพลี้ย ปี่ แคน บัณเฑาะว์ ฆ้องและกลอง ดังจะเห็นได้จากตัวบทดังต่อไปนี้ บันสารสังคีตเสภา บำเรอ จำเรียงจำเริญอภิรมย์ เพลี้ยเพลงปี่แคนสวยสม ดุริยางค์ระดม บันเดาะแลดีดดนตรี แน่งนางรวยรำแลที แลลาญฤด รด่าวดิ้นกลางใจ
๑๗ กึกก้องฆ้องขานกลองไชย ครื้นเครงหวั่นไหว สทกเสทือนภาระงมฯ จากตัวบทข้างต้นนี้ กวีได้มีการสะท้อนให้เห็นเครื่องดนตรีของคนไทย ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่คนไทย ใช้อยู่ทั้งในอดีตและปัจจุบัน โดยเฉพาะแคนเป็นเครื่องดนตรีประจำถิ่นอีสาน ซึ่งผู้แต่งก็ได้มีการกล่าวถึงด้วย ว่าแคน เป็นเครื่องดนตรีที่รู้จักกันดีของคนไทยในสมัยนั้น ๒.๔ คติธรรม จากเรื่องพระสุธนคำฉันท์ ของพระยาอิศรานุภาพ ( อ้น ) มีการสอดแทรกคติธรรมไว้สอง เรื่อง คือ ความรักเป็นที่มาของความทุกข์ และความพยายามเป็นที่มาของความสำเร็จ ดังนี้คือ ๒.๔.๑ ความรักเป็นที่มาของความทุกข์ ดังจะเห็นได้จากตัวบทที่ว่า สันโดษประดาษเดียวเอกา วังเวงวิญญา วิเวกสงัดด่านดง เปล่าเปลี่ยวหฤทัยปลดปลง ดำริห์รักษ์องค์ อนาถคำนึงอาตมา โอ้ว่ากูรอยเวรา แต่เบื้องบรรพ์มา มาตามพิบัติเบียนผจญ บเอาโอวาทานน ทลีเลี้ยงตน อันทรงกรรแสงประปราม หากกูกำเลาะหลงกาม ไปคำนึงความ แลโดยอำเภอลำพัง ……………………. ………………….. เจ็บกูจากนุชเจียรไกล เจ็บในหัวใจ กูเจ็บอันเจ็บใดปาน บมิปูนกูเจ็บแดดาล จากปิ่นธราธาร ธิราชสองกษัตรีย์ ปานนี้จักทรงโศกี หาทุกราตรี ทิวาเทวศไป่วาย ……………………. ………………….. แต่กูผู้เดียวมามนท์ มืดมัวกามกล บคิดชีพิตรบังวาย
๑๘ จากตัวบทข้างต้นนี้ กล่าวถึงความรักของพระสุธนที่มีต่อนางมโนห์รา จึงเสด็จตามนางมโนห์ราไปยัง เขาไกรลาส ทำให้ได้รับความทุกข์ยากแสนสาหัสต้องผ่านด่านต่าง ๆ มากมาย จนกระทั่งถึงด่านป่าทึบพระสุ ธนหมดหนทางที่จะเสด็จตามไปได้ จึงทรงท้อพระทัย และทรงรำพึงรำพันออกมาว่า เพราะความหลงใหลใน ความรัก จึงทำให้ต้องทนทุกข์ยากลำบาก ๒.๔.๒ ความพยายามเป็นที่มาของความสำเร็จ ดังจะเห็นได้จากตัวบทที่ว่า ดูกรเยาวราชทรงนาม พ่อพึงพยายาม ลำบากพระองค์ธรมา มาตามรักษ์ราชกานดา เท้าถึงนครา ทุเรศทางกันดาร ……………………………………………. …………………… มาตามเยาวราชกษัตรีย์ ผู้เดียวจรลี ในไพรพนัสธรมาน ล่องจากตำบลกันดาร ข้ามขัวชลธาร อัชคราราวี มล้างแทตยอสูรบาบี เกาะกายอินทรีย์ มาลงแลลุโดยใจ กำหนดเจ็ดปีล่วงไป เจ็ดเดือนแขไข แลเจ็ดทิวาวันวาร ท้าวฟังเขยขานอาการ สังเวชแดดาล ดำริห์อารมณ์รำพึงฯ จากตัวบทข้างต้นนี้ กล่าวถึงท้าวทุมวงษ์ทรงแปลกพระทัยที่มนุษย์อย่างพระสุธนเสด็จไปถึงเขา ไกรลาสได้ซึ่งหนทางในการจะมายังเขาไกรลาสนั้นลำบากและแสนไกลมากยากที่มนุษย์จะสามารถมาถึง ได้ พระสุธนได้เล่าถึงความยากลำบากของพระองค์ในการเดินทางมาตามนางมโนห์ราในครั้งนี้ว่า ต้องพบเจอ กับความยากลำบากและต้องต่อสู้กับสิ่งต่าง ๆ มามากมาย แต่ในที่สุดพระองค์ก็สามารถผ่านอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ นั่นเป็นเพราะความพยายามของพระองค์จึงทำให้พระองค์ได้มาถึงยังเขาไกรลาสและได้พบกับ นางมโนห์ราดังที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้ จากตอนนี้เองผู้แต่งได้สะท้อนให้เห็นคติในเรื่องความพยายามเป็นที่มา ของความสำเร็จได้อย่างชัดเจน
๑๙ ๓. คุณค่าทางด้านวรรณศิลป์ ๓.๑ ลักษณะคำประพันธ์ พระสุธนคำฉันท์ เป็นวรรณคดีที่มีความโดดเด่นในเรื่องลักษณะคำประพันธ์ มีการใช้ฉันทลักษณ์ ที่หลากหลาย ทั้งกาพย์และฉันท์ ซึ่งจากการศึกษาวิเคราะห์เรื่องพระสุธนคำฉันท์นี้ พบว่ามีการใช้ฉันท ลักษณ์ชนิด กาพย์และฉันท์อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนี้คือ ๑. กาพย์ฉบัง ๑๖ ๒. กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ ๓. อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ๔. วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ ๕. โตฏกฉันท์ ๑๒ ๓.๑.๑ ด้านการใช้ภาษา ๑. การใช้คำ การเลือกใช้คำ กวีเลือกใช้คำง่ายๆ มาประกอบกันเพื่อแสดงให้เห็นความงดงามอ่อนโยนของตัวละคร เช่น พระทรงโฉมประโลมพิสมัย และใช้ภาษาที่มีความเหมาะสม ทำให้กระบวนกลอนไพเราะสละสลวย ๑.๑) การเล่นคำ เป็นกลวิธีที่ให้ความไพเราะด้านเสียงอีกวิธีหนึ่ง ช่วยทั้งด้านเสียงและเรื่อง ความหมายให้ไพเราะจับยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น ยงยวรเยาวโยคย่ำยาม บมิชามศุขซาม เกษมกระสรรตสมพอง (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๕๓) จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีการเล่นคำที่มีเสียง ย คือ “ยงยวรเยาวโยคย่ำยาม” ซึ่งทำให้เกิด เสียงที่มีความไพเราะมากขึ้น (๑.๑.๑) เล่นคำซ้ำ การใช้คำซ้ำกันในตำแหน่งต่างๆของคำประพันธ์ ช่วยสร้างอารมณ์ ความรู้สึกและเน้นย้ำความหมาย ตัวอย่างบทประพันธ์เช่น แคว้งแคว้งคระวีตาว ก็กระลึงกระหลับอาวุธหวะกระบานบา ก็พินาศเมือมรณ์ (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๒๑) จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่การซ้ำคำข้างต้นเป็นการซ้ำคำเพื่อเน้นย้ำความหมาย (๑.๑.๒) เล่นคำซ้อน เป็นการนำคำเดี่ยว ๒ คำที่มีความหมายหรือเสียงคล้ายกัน ใกล้เคียง กันมาเข้าคู่กัน โดยตำแหน่งของคำซ้อนอาจอยู่ชิดกันหรือแยกจากกัน เพื่อเล่นคำล้อและย้ำความ เช่น
๒๐ กล่นเกลื่อนกลากกลาดรุมชุม อาวุธกรกุม ก็ป่ายปะปาดเร็งรัน (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๘๓) ๑.๒) การหลากคำ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คำไวพจน์ ทำให้เกิดความหมายอันไพเราะกินใจ เป็นสิ่ง ที่สร้างสรรค์อารมณ์ซึ่งอาจเกิดได้ด้วยกลวิธีต่างๆในการแต่งของกวี - คำที่เรียกหญิงที่รัก ดังตัวอย่างบทประพันธ์ต่อไปนี้ เจ็ดองค์อรรคเทพกินร เฉิดโฉมอรชร พิลาศลักษณ์พึงพล เพียงจักกลืนโฉมนฤมล ดินฟ้าสากล จะอ้างก็อับอายองค์ … ข้าเห็นแดดาลฤดี ในลักษณเทพี ยุพินทรพิลาศลาวรรณ ข้อยใคร่ได้อรองค์อัน กามทิพเฉลิมขวัญ สวาสดิ์สว่างหัวใจ (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๒๗) จากบทประพันธ์จะเห็นได้ว่ากวีมีการใช้ไวพจน์ เช่น อรชร นฤมล เทพี ยุพินทร ลาวรรณ เฉลิมขวัญ ซึ่งมีความหมายถึงผู้หญิง ทำให้ได้เสียงที่มีความไพเราะและได้ความหมายที่เด่นชัดมากขึ้น - คำที่มีความหมายถึงพระจันทร์ เช่น ดังตัวอย่างบทประพันธ์ต่อไปนี้ เมิลมุขไขแข่ง รุจิเรขเดือนวรรณ แจ่มจันทรอับพรรณ ศศิรัชนิเรืองรอง (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๔๕) จากบทประพันธ์จะเห็นได้ว่ากวีมีการใช้ไวพจน์ เช่น ไข เดือน จันทร ศศิ รัชนิ ซึ่งมีความหมายถึง พระจันทร์ ทำให้ได้เสียงที่มีความไพเราะและได้ความหมายที่เด่นชัดมากขึ้น ๓.๑.๒ การใช้โวหารภาพพจน์ การใช้โวหารภาพพจน์ เป็นกลวิธีการนำเสนอสารโดยการพลิกแพลงภาษาที่ใช้พูด หรือเขียนให้แปลก ออกไปจากภาษาตามตัวอักษรทำให้ผู้อ่านเกิดภาพในใจ เกิดความประทับใจ เกิดความรู้สึกสะเทือนใจ เป็นการ เปรียบเทียบให้เห็นภาพอย่างชัดเจน
๒๑ ๑.๑) อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มี ความหมาย เช่นเดียวกับ คำว่า “เหมือน” เช่น ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ ประดุจ เฉก เล่ห์ ปาน ประหนึ่ง เพียง เพี้ยง พ่าง ปูน ฯลฯ ตัวอย่าง เช่น อับแสงสุริยรังรจนา ดุจมือแมนมา พิจิตรด้วยแก้วแกมกล (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๖) และ เสมอจันทราทิตยงามเงา ดุจดวงมณีเนา วรัตนเรืองรองทอง (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๔๒) และ ปรางเปรียบกำโบลบง- กชรัตนรจนา นาสิกคือขอพา หณเทพดำกล (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๔๕) ๑.๒) อุปลักษณ์ เป็นการเปรียบเทียบ สิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือน อุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัย ให้เข้าใจเอาเอง ที่สำคัญ อุปลักษณ์จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา ตัวอย่าง เช่น พริ้งพลายเหมหงษพิสดาร คือเห็จเหิรทยาน ยะยาบยย้ายยักยนต์ สูงส่งฟ้าหล้าสากล ไตรโลกเล็งฉงน ดั่งสับตแสงแสงพ้น กรงนาคมกรเกี้ยวกัน คือเศียรอนันตนาคดูดาลแสดง … ครีบครุฑชำนันนิศกลง ฟ้าหล้าลาญหลง คือภาพกระพือโดยถวิล (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๗) ๑.๓) อติพจน์ หรือ อธิพจน์ คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อเน้นความรู้สึก ทำให้ผู้ฟังเกิด ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่าย และแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่างชัดเจน ตัวอย่าง เช่น เสียงรถคชพลนิกร แซ่เสียงอัศดร ดุรงคร้องเริงรณ ไหวหวั่นชั้นฟ้าสากล มลเมฆบังบน แลบดชระอุ่มทุกพาย
๒๒ ดุจดังปัถพีจะทลาย คลี่พลคือสาย สมุทแสนสังขยา (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๘๒) จากบทประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีการกล่าวเกินจริงคือ การกล่าวว่าเสียงรถและไพร่พลของ พระสุธนที่จะไปรบมีเสียงดังจนทำให้สวรรค์ชั้นฟ้า ผืนแผ่นดิน มหาสมุทรหวั่นไหวจะทลาย แสดงถึงความ ยิ่งใหญ่ของกองทัพ ๑.๔) สัจพจน์หมายถึงภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงดนตรี เสียงสัตว์ เสียงคลื่น เสียงลม เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ ตัวอย่างเช่น หัวหน้าต่อหน้าปรือปรัน ฉาดฉานโจมฟัน จระคลื่นจรคล่าวโรมรุม (พระสุธนคำฉันท์, ๒๕๑๖, หน้า ๘๓) จากคำประพันธ์ข้างต้นจะเห็นได้ว่ามีการใช้คำเลียนเสียงการต่อสู้ ทำให้ผู้อ่านเกิดภาพการต่อสู้ที่ เด่นชัดมากยิ่งขึ้น ตัวอย่างบทละคร เรื่อง พระสุธนคำฉันท์ ตอน พรานบุญจับนางมโนราห์ จึ่งเห็นเจ็ดอรรคเทพี คือเทพกินรี ธิดาสมเด็จท่านไท ทรงนามทุมราชภูวไนย เสวยศุขยังไกร เกลาศเขาเงินยวง …………………………………………….. ………………………. พรานไพรครั้นทอดทฤษดี ชอบเลศดีหลี ก็ลอบลิลาศแลงตน ดอดดักบ่วงนาคด้วยกล ต้องกรนิฤมล มโนหรานงคราญ หกองค์เยาวลักษณ์เลงลาญ เห็นพฤกษไพรพราน ก็ดาลตระดกสมประดี คณานางกินนรนารี ต่างร่ายร่อนหนี ประเวศยังพื้นอำภณ เพียงมารมจุราชมาดล ยอกรตีตน ระทาบรทวยประปราณ ฯ
๒๓ ตอน พรานบุญถวายนางมโนราห์แก่พระสุธน ข้อยข้าเพียรผูกด้วยกล เอาองค์นฤมล ก็รีบทุเรศอารัญ มาหวังถวายไทธรธรรม์ เศกสวัสดิ์เสวยสวรรค์ พิภพแสนสมพอง ……………………………………………. ……………………………….. ถอดธรรมรงครัตนรูจี จากพระดัชนี ประทานประถมรางวัล แล้วปูนบำนาญนองนันต์ ศฤงฆารครัวครัน พิพิธเพ็ญโภไคย ……………………………………………. ……………………………… บุญสองเราสร้างสมกัน แต่เบื้องบูรพบรรพ บันจวบประจวบจำงาย เรียมไป่ให้นุชเคืองคาย จักเกลียวกล่อมสาย สมรไว้กลางใจ …………………………………………… ………………………………………………… พระสุธนยินวาทีมีคำถาม น้องนงรามลูกเต้าใครจากไหนหนา แลนามนั้นฉันใดเล่ากานดา เผยวาจาให้แจ้งกระจ่างใจ เมื่อยินคำบัญชาโนราน้อง จำต้องเงยหน้าหาช้าไม่ อัญชลีแล้วหมอบกราบทูลไป หม่อมฉันไซร้มีนามมโนรา เป็นธิดาราชาทุมราช จากนครไกรลาสพระเจ้าข้า พระสุธนยลพักตร์ลักขณา เสน่หาซ่านซึ้งตรึงฤดี ตอน บูชายัญนางมโนราห์ ปโรหิตทูลแด่ราชา โดยใจริศยา ก็กล่าววะจีกระลำภร ผิวจักบรรเทาอันดร ธานโทษเมือมรณ์ ให้พ้นในเงื้อมมฤตยู จักกอบกฤษดิกาโดยบู ราณราชเรียนครู เพทางค์ปกรณคัมภีร์ ตั้งบรรยายจิตรพิธี บูชาพลี สการถ้วนทุกอัน
๒๔ อิกสัตวของเลี้ยงทุกพรรค์ จักห้ามไภยา ตราบำบัดพิบัติยายี ท้าวสดับเล่หเลศเปนดี ดาลหฤทัยมี มโนภิรมปรีดา …………………………………………. …………………… เมื่อนั้นบโรหิตพีรีย์ โอมอ่านอาหุดี วิโรจโชติชัชวาล ชอบชั้นฉายโยคโดยทยาน สั่งบาบริพาร ผู้หนึ่งแลคุทเปนนาย ขึ้นยังเรือนรัตน์โพรงพราย ประทุษฐมาหมาย จะกุมเอาองค์เทพี เอกอรรควรเทพนารี องค์พระชนนี แลกอดกำสดไป่คลาย ครั้นทอดทฤษดีเห็นชาย กระหม่าขวัญหาย โผขึ้นยังอำพร บินหนีออกโดยบัญชร กางปีกเขจร ก็ร่อนชรล่องลมบน ตอน พระอินทร์ช่วยพระสุธนเลือกนางมโนราห์ บัดองค์หน่อนารถ สุธนธิราช ชำเลืองแลไป ยลแมลงวันเวียน ยังองค์ทรามไวย ถนัดแก่ใจ ตระหนักสำคัญ จึ่งกุมเอากร สุดาองค์อร วีไลยลาวรรณ นางชำเลืองเนตร ชม้ายเมียงมัน ด้วยความกระสรร เกษมสงสาร …………………………………………. …………………………………………. บัดท้าวฟังไทยจำนัน- จาเห็นอัศจรรย์ ประจักษ์แก่ใจดาลแสดง แม่นแท้บุรุษราชไป่แคลง สมภารมาแจง มะโนนิราสังกา
๒๕ วรรณกรรมพระสุธนคําฉันท์ในบริบททางสังคม ปัญญาสชาดกสู่พระสุธนคำฉันท์ วรรณกรรมพื้นบ้านเรื่องพระรถ-เมรี พระสุธน-มโนราห์ ปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์บาลีปกรณ์เรื่อง “ปัญญาสชาดก” ละคร - พระสุธน-มโนราห์ ฉายปี ๒๕๔๑ - พระสุธน-มโนราห์ ฉายปี ๒๕๕๓ - พระสุธน-มโนราห์ ฉายปี ๒๕๖๕ เพลง - เพลงมโนราห์ ของ มินตรา น่านเจ้า - เพลงชาตรี ในละครนอก เรื่อง พระสุธนมโนราห์ - เพลงพระสุธน-มโนราห์ ของ ดวงดี ศรีวิชัย&แก้วฟ้า สหเพชร หนังสือ - หนังสือเรียน พระสุธน-มโนราห์ - หนังสือการ์ตูน พระสุธน-มโนราห์ การ์ตูน - การ์ตูน นิทานพระสุธน-มโนราห์ อื่น ๆ - หน้ากากมโนราห์ ใน the mask line Thai. - โนราห์กับลิเก - แหล่พระสุธน-มโนราห์ - นาฏศิลป์สร้างสรรค์ พระสุธน-มโนราห์ โดยน้องเมย์ ข้อคิดที่ได้จาก พระสุธนคําฉันท์ - ความมุมานะ พยายาม ไม่ย่อท้อ - ความรักมั่นรักษา - การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า
๒๖ สรุป พระสุธนคําฉันท์เป็นวรรณกรรมพื้นบ้าน เรื่อง พระสุธน-มโนราห์ และ พระรถ-เมรี เป็นหนึ่งในนิทาน ปัญญาสชาดก ที่มีเนื้อหาแฝงธรรมะอย่างแยบยล ได้รับความนิยมสูงและแพ่ขยายไปยังดินแดนใกล้เคียงอย่าง รวดเร็ว ในสมัยอยุธยาได้นำเอาปัญญาสชาดกมาแต่งเป็น พระสุธคำฉันท์ ในรัชกาลที่ ๕ พระยาอิศรานุภาพ (อ้น) จึงประพันธ์ขึ้นใหม่ มีรสวรรณที่ครบทั้ง ๙ รส ได้แก่ วีรรส ศฤงคารรส กรุณารส หาสยรส รุทรรส ภยานกรส พีภัตสรส อัทภูตรสและศานตรส พระสุธนคำฉันท์ เป็นวรรณคดีเรื่องที่ได้รับความนิยมมากในสมัย อยุธยา ซึ่งเนื้อเรื่องก็ไม่ได้ต่างกับสุธนชาดกในปัญญาสชาดกแต่อย่างใด หากแต่จะมีลักษณะการประพันธ์ที่มี แตกต่างไปจากสุธนชาดก กล่าวคือ ในสุธนชาดกมีการใช้ลักษณะการประพันธ์เป็นภาษาบาลีแต่ในพระสุธน คำฉันท์ของพระยาอิศรานุภาพ ( อ้น ) นั้นใช้ลักษณะคำประพันธ์ชนิด กาพย์และฉันท์ ซึ่งจากการศึกษา วิเคราะห์เรื่องพระสุธนคำฉันท์นี้ พบว่ามีการใช้ฉันทลักษณ์ชนิด กาพย์และฉันท์อยู่เป็นจำนวนมาก ดังนี้คือ (๑.) กาพย์ฉบัง ๑๖ (๒.) กาพย์สุรางคนางค์ ๒๘ (๓.) อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ (๔.) วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ (๕.) โตฏกฉันท์ ๑๒ (๖.) สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ ซึ่งจากฉันทลักษณ์ที่พบทั้งหมดนั้น เห็นจะมีฉันทลักษณ์ อยู่ ๓ ชนิดที่มีความโดดเด่น กล่าวคือ พบมากที่สุดในสุธนคำฉันท์นี้ นั่นคือ กาพย์ฉบัง ๑๖ กาพย์ สุรางคนางค์ ๒๘ และอินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ ตลอดเวลานับศตวรรษที่เรื่องราวความรักของคู่พระนางที่อยู่ใน วิถีชีวิตและความทรงจำของผู้คน จากนิทานพื้นบ้าน กลายเป็นวรรณคดีสูงค่า มีทั้งร้อยแก้ว ร้อยกรองประเภท ต่าง ๆ บทละคร รวมถึงการแสดงที่นิยมในหมู่คนปักษ์ใต้ ที่เรียกชื่อการแสดงชนิดนี้ตามชื่อตัวเอกของเรื่อง ว่า "โนรา” ซึ่งทุกวันนี้กลายเป็นวัฒนธรรมการแสดงที่ต้องฝึกฝนอย่างหนัก มีพิธีกรรมความเชื่อประกอบอยู่ อย่างหนักแน่น ปัจจุบันนอกจากนิทานที่ให้เล่าต่อ วรรณคดีให้อ่าน การแสดงให้ชมแล้ว ตำนานเรื่องเล่าของ สองคู่รักนี้ยังดำเนินต่อ โดยเคลื่อนไปสู่รูปแบบที่เข้าถึงคนรุ่นใหม่มากขึ้น ทั้งการ์ตูน ละครทีวี ภาพยนตร์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นส่วนหนึ่งของประจักษ์พยานที่สะท้อนให้เห็นว่า การพิสูจน์รักของพระสุธนกับนางมโนราห์ ได้ผ่านกาลเวลาพิสูจน์คุณค่าของเรื่องราว และการแพร่หลายที่เข้าถึงชีวิตผู้คนในหลากรูปแบบและจะยังคงอยู่ ต่อไป
๒๗ บรรณานุกรม บริษัท บุญศิริกานพิมพ์ จำกัด. (๒๕๖๐). วารสารวัฒนธรรม. ฉบับที่๔. โรงพิมพ์สำนักงานพระพุทธศาสนา แห่งชาติ. สุภาวรัชต์ วัฒนทัพ. (2010) พระสุธนคำฉันท์: รสตามทฤษฎีวรรณคดีสันสกฤต. วรรณวิทัศน์, 10 (พฤศจิกายน), 107-138. อิศรานุภาพ, พระยา. (๒๕๑๖). พระสุธนคำฉันท์.กรุงเทพ:ศึกษาภัณฑ์พาณิชย์. อิศรานุภาพ, พระยา. (๒๕๑๖). พระสุธนคําฉันท์.กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์ครุสภาลาดพร้าว