ห้องเรียนวรรณกรรม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น ปริทัศน์วรรณกรรม นางสิบสอง
รายงาน เรื่อง นางสิบสอง เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ภทฺรกวี จัดทำโดย นางสาวตรีรัตน์ ราหมัน รหัสนิสิต ๖๕๐๕๕๐๒๐๓๖ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา วรรณกรรมไทยปริทัศน์ ๒๐๔ ๒๐๒ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๖ คณะครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ก คำนำ นางสิบสอง หรือ พระรถเมรีหรือ พระรถเสน และในกัมพูชาเรียก พุทธแสนนางกังรีเป็นนิทาน พื้นบ้านที่ได้รับความนิยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง ประเทศไทย กัมพูชา พม่า และลาว รวมถึงใน มาเลเซียที่เผยแพร่ผ่านชาวมาเลเซียเชื้อสายสยามจนภายหลังได้รับความนิยมในหมู่ชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน ราว พ.ศ. ๒๐๐๐ พระภิกษุชาวเชียงใหม่ได้แต่งชาดกในคัมภีร์พุทธศาสนาเรื่อง รถเสนชาดก ใน ปัญญาสชาดกเป็นภาษาบาลี วรรณคดีสมัยอยุธยาที่เอ่ยถึง นางสิบสอง เช่น โคลงนิราศหริภุญชัย กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ นอกจากนี้หนังสือ จินดามณี ของพระโหราธิบดีซึ่งเชื่อว่าแต่งขึ้นในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้ นำเอาข้อความซึ่งน่าจะตัดมาจากเรื่อง นางสิบสอง สำนวนใดสำนวนหนึ่งมาแสดงตัวอย่างการประพันธ์ "สุราง คณาปทุมฉันท์" นางสิบสอง เป็นเรื่องที่สังคมไทยโบราณรู้จักแพร่หลาย มีการนำมาแต่งเป็นคำประพันธ์กาพย์ขับไม้ คำฉันท์ กลอนสวด หรือกาพย์ และคำกลอน โดยเฉพาะคำฉันท์นั้น พบไม่น้อยกว่า ๓ สำนวน คำกลอนพบไม่ น้อยกว่า ๑๐ สำนวน เรื่อง พระรถคำฉันท์ ที่พบต้นฉบับและกรมศิลปากรจัดพิมพ์เผยแพร่แล้วมี ๓ สำนวน ได้แก่ พระรถคำฉันท์ สำนวนที่ ๑ บอกชื่อไว้ในเอกสารต้นฉบับว่า พระรถนิราศคำฉันท์ สันนิษฐานว่าน่าจะแต่ง ขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลายหลังรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระรถคำฉันท์ สำนวนที่ ๒ เข้าใจว่า น่าจะปรับปรุงแก้ไขจากพระรถคำฉันท์ สำนวนที่ ๑ และ พระรถคำฉันท์ สำนวนที่ ๓ บอกชื่อเรื่องไว้ในเอกสาร สมุดไทยว่า พระรถคำหวน สำนวนนี้น่าจะแต่งขึ้นในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ส่วน พระรถนิราศ ในลักษณะ คำกลอน น่าจะเป็นผลงานของเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ในภาคเหนือและภาคอีสานของไทยรวมถึงในลาวปรากฏชื่อว่า พุทธเสนกะ พุทธเสน พุทธเสนากะ และ นางสิบสอง เขตไทใหญ่ของรัฐฉานเรียก นางสิบสองเมืองนาย เขตไทลื้อและไทขึนเรียก จันทโสภานางสิบ สอง พงศาวดารล้านช้างกล่าวถึงตำนานของชาวล้านช้างซึ่งเป็นชนเผ่าไทยกลุ่มหนึ่งว่าสืบเชื้อสายมาจาก นางกังรีหรือนางเมรีในเรื่องพระรถเสน ฉบับตีพิมพ์ หลวงศรีอมรญาณที่รวมรวมเรียบเรียงพิมพ์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๖ ในชื่อ นิทานร้อยแก้วเรื่อง พระรถเสน ฉบับ พระรถ สำนวนนายบุศย์ พิมพ์ที่โรงพิมพ์ราษฎร์เจริญในปี พ.ศ. ๒๔๙๒ ที่เป็นกลอนอ่านมี พระรถเมรีกลอนสุภาพ ของ ส.เลี้ยงถนอม พิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๒
ข วรรณคดีปริทัศน์เรื่อง นางสิบสอง เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวรรณกรรมไทยปริทัศน์จัดทำขึ้นโดยมี วัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาเรื่องของวรรณคดีพื้นบ้าน เรื่องนางสิบสองเนื้อหาของรายงานฉบับนี้ประกอบด้วย ไปด้วย ประวัติความเป็นมา ความสำคัญของเรื่องว่ามีความสำคัญอย่างไร ประวัติผู้แต่ง เนื้อเรื่องย่อ บท ประพันธ์ และตัวละคร ของวรรณคดีพื้นบ้าน เรื่องนางสิบสอง ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารายงานฉบับนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่มีความสนใจต้องการศึกษาหา ความรู้เกี่ยวกับวรรณคดีปริทัศน์เรื่อง นางสิบสอง หากผิดพลาดประการใดขออภัย ไว้ ณ ที่นี้ นางสาวตรีรัตน์ ราหมัน ผู้จัดทำ
ค สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ ก-ข สารบัญ ค ประวัติความเป็นมา ๑ ความสำคัญ ๒ ประวัติผู้แต่ง ๒ เนื้อเรื่องย่อ ๒ บทประพันธ์ ๔ ตัวละคร ๕ อ้างอิง ๖
๑ ความเป็นมาของวรรณคดีเรื่อง นางสิบสอง เรื่องพระรถเมรี หรือ เรื่องนางสิบสอง เป็นนิทานพื้นบ้านที่ชาวไทยรู้จักแพร่หลายมาตั้งแต่สมัยอยุธยา หรือก่อนหน้านั้นแล้ว เมื่อพระเถระชาวเขียงใหม่รจนาคัมภีร์ปัญญาสชาดกได้นำเรื่องนี้ไปปรับเป็นขาดกด้วย เรื่องหนึ่ง วรรณดีสำคัญฯ หลายเรื่องที่แต่งในสมัยอยุธยาอ้างถึงเรื่องพระรถเมรีไว้ เรื่องนางสิบสอง หรือพระรถ-เมรี่ นอกจากจะเป็นวรรณกรรมที่คนไทยรู้จักกันมานานแล้ว ยังเป็นที่ แพร่หลายในประเทศ ถือว่ามีวัฒนธรรมร่วยมกัน ในพงศาวดารชาติลาว พงศาวดารล้านช้าง โดยมีความเชื่อกัน ว่าได้สืบเชื่อสายมาจากนางกังรี ซึ่งในพงศาวดารล้านช้างหน้าแรกมีข้อความปรากฏดังนี้"ยังมีพญายักษ์ตนหนึ่ง ชื่อนันทาลุกเมืองลังกามา มีเมียชื่อพาลาแลมีลูกหญิงชื่อนางกางรี เมื่อพญายักษ์นั้นตายแล้ว นางพาลาผู้เป็น เมีย ไปได้กับพระยาอินทปัตต ลูกพระยาอินทปัตตชื่อพุทธเสนเลยเอานางกางรีเป็นเมีย แล้วปกครองบ้านเมือง สืบต่อพระยาอินทปัตตนั้นมา เมื่อข้าพเจ้าตายแล้ว เจ้าหลี่ผีจึงแปลงรูปไว้ริมฝังแคมน้ำของ โดยประเทศในภูมิภาคแถบนี้ จะให้ความสำคัญต่อเพศหญิง เช่น ที่กล่าวว่าได้สืบเชื้อสายมาจากนางกัง รี ในกาพย์ขับไม้เรื่องพระรถ คำที่พระรถเรียกนางเมรีก็แสดงถึงความยกย่อง เช่น หญ้วน้อง หญ้วข้า (หญ้ว หมายถึง แม่อยู่หัว ด้วยขณะนั้นนางเมรีเป็นผู้ครองนคร) การให้ความสำคัญแก่วรรณกรรมเรื่องนี้ ในประเทศไทยนอกจากปรากฏเป็นวรรณคดีเรื่องต่างๆ แล้ว ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้นครองราชสมบัติ บทที่ใช้ขับในการพระราชพิธีคือบทขึ้นเรือนหลวง จากกาพย์ ขับไม้เรื่องพระรถ ที่ขึ้นต้นด้วยวรรคที่ว่า "ขึ้นตั่งนั่งเมือง" เรื่องเดียวเท่านั้น ที่มา : หนังสือ ประชุมเรื่องพระรถ.กรมศิลปากร ตำนานเรื่องพระรถเมรี " น่าจะมาจากเรื่อง "รถเสนชาดก" ซึ่งเป็นชาดกเรื่องที่ ๔๗ ในหนังสือปัญญาส ชาดก (ซาดก ๕๐ เรื่อง) เมื่อได้ฟังนิทานชาดกแล้วผู้ฟังก็นำมาเปรียบเทียบกับชีวิตจริงมิใช่แต่เพียงสำนึกในกฏ แห่งกรรมตามคำสอนเท่นั้น แต่ยังจินตนาการสภาพบ้านเมืองในเรื่องชาดกให้เข้ากับสภาพจริงของบ้านเมือง ของตนด้วย จึงเกิดเป็นนิทานพื้นบ้าน หรือตำนานของชื่อสถานที่ต่างๆในท้องถิ่นของตน ดังเช่น เรื่อง "พระรถ เมรี" (บางคนเรียกว่า "นางสิบสอง" ) เป็นความเชื่อของชาวบ้านในภาคกลาง บริเวณฝั่งตะวันออกของอ่าวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชาวอำเภอพนัสนิคมจังหวัดชลบุรี และชาวอำเภอราชสาส์น จังหวัดฉะเชิงเทรา เชื่อว่าเป็น เรื่องจริง เนื่องจากตำนานส่วนใหญ่จะถ่ายทอดด้วยวิธีมุขปาฐะ เล่าเรื่อง)ที่ทั้งผู้เล่าและ ผู้ฟังต่างมุ่งสนอง ความสุขทางจิตใจของคน เมื่อเล่าต่อกันไปรายละเอียดของเรื่อง ชื่อตัวละคร และชื่อสถานที่ ก็อาจจะผิดเพี้ยน จากต้นฉบับเดิมบ้างเป็นธรรมดานอกจากนั้นยังเป็นเทคนิคเฉพาะตัวของผู้เล่าที่จะสร้างความสุขแก่ผู้ฟังพร้อม ทั้งสอดแทรกคุณธรรมไว้ด้วยตำนานพระรถเมรีก็เช่นเดียวกัน คือมีหลายสำนวน ในที่นี้จะเป็นสำนวนของ อิง ตะวัน แพลูกอินทร์โรงเรียนพนมสารคาม "พนมอดุลย์วิทยา" จังหวัดฉะเชิงทรา
๒ ความสำคัญของวรรณคดี ความสำคัญของการเรียนวรรรคดี ๑. ช่วยเพิ่มความเข้าใจและความซาบซึ้งในคุณค่าของวรรณคดี ๒. ได้ความรู้เกี่ยวกับภาษาและลักษณะอักชรวิธีสมัยต่าง ๆ ๓. ได้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับต่างประเทศสมัยต่าง ๆ ๔. ได้ความรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม สภาพสังคม และเหตุการณ์บ้านเมือง ควบคู่กันไปกับวิวัฒนาการ ของวรรณคดีในสมัยต่าง ๆ จากที่ได้ศึกษาวรรณกรรม เรื่องนางสิบสอง มีข้อคิดดังนี้ ๑. เป็นเศรษฐีก็ยากจน หมดตัวได้ หากไม่รู้จักการใช้จ่ายที่เป็นประโยชน์ ๒. มีลูกมาก จะยากจน (แต่หากช่วยกันทำมาหากิน จะมิ่งมีเป็นเศรษฐีได้) ประวัติผู้แต่ง เป็นวรรณคดีที่แต่งขึ้นในสมัยอยุธยา ไม่พบผู้แต่ง เรื่องย่อ นานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ นนท์ และภรรยาของเขาชื่อ พราหมณี ทั้งสองได้นำกล้วยน้ำว้า ๑๒ ผลไปถวายพระพุทธเจ้าแล้วอธิษฐานขอให้มีบุตรธิดาไว้สืบสกุล อยู่มาภรรยาก็ตั้งครรภ์ไห้กำเนิดธิดา ๑๒ คน โดยลำดับ ตั้งแต่นางสิบสองเกิดมาเศรษฐีก็เริ่มยากจนลง กระทั่งไม่มีอาหารพอเพียงที่จะเลี้ยง จึงพาธิดา ทั้งหมดขึ้นเกวียนนำไปปล่อยเสียในป่า นางพากันเดินหลงทางไปจนถึงสวนเมืองคชปุรนครของนางยักษ์สันธ มาลา นางยักษ์พบเข้าก็เมตตานำไปเลี้ยงไว้ อยู่มานางสิบสองรู้ว่านางสันธมาลาเป็นยักษ์ขิณี จึงหนีไปจนถึง เมืองกุตารนครของท้าวรถสิทธิ์ พากันขึ้นไปอยู่บนต้นไทรริมสระ ทุกวันจะมีนางค่อมทาสีแบกหม้อน้ำทองคำมา ตักน้ำไปให้พระราชาสรงในพระราชวัง ในขณะเตรียมที่จะตักน้ำจาสระ นางค่อมเหลือบไปเห็นเงาเหล่าหญิง สาวหน้าตาสวยคล้ายกับนางฟ้า นางเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเงาของตน แต่เมื่อพี่น้องทั้งสิบสองหัวเราะเยาะนาง นางก็แหงนหน้าขึ้นดูแล้วก็เห็นเหล่าหญิงสาวอยู่บนต้นไทร นางคิดว่าหญิงเหล่านั้นเป็นนางฟ้า จึงรีบไปกราบ ทูลให้พระราชาทรงทราบ ท้าวรถสิทธิ์จึงรับนางทั้งสิบสองไว้เป็นมเหสี ฝ่ายนางสันธมาลามีความโกรธแค้นยิ่งครั้นทราบข่าวว่านางสิบสองไปเป็นมเหสีของท้าวรถสิทธ์จึงออก ติดตามไปจนถึงกุตารนคร แปลงร่างเป็นนางงามนั่งอยู่บนต้นไทรริมสระน้ำและนางค่อมอยู่ที่ต้นไทรที่สระน้ำ ซึ่งนางจะต้องมานำน้ำไปให้พระราชาสรงเหมือนอย่างปกติ แล้วนางสันธมาลาก็แปลงร่างเป็นหญิงสาวมีหน้าตา สวยงาม กว่านางสิบสองมาก เมื่อได้เห็นหญิงสาวผู้สวยที่สุด นางค่อมก็รีบไปกราบทูลพระราชาผู้ซึ่งเสด็จมา
๓ ทอดพระเนตรนาง และก็ต้องตะลึงในความงามของนาง พระราชาจึงนำนางเข้าวัง และทรงแต่งตั้งให้นางเป็น พระอัครมเหสี นับจากนั้นมานางสิบสองก็ประสบเคราะห์กรรมอย่างแสนสาหัส เพราะนางยักษ์ใช้มนต์สะกดให้ พระราชาหลงรักนางจนกระทั่งอยู่ภายใต้อำนาจของนาง นางสันธมาลาแปลงแกล้งทำเป็นป่วยแล้วทูลท้าวรถ สิทธ์ว่า หากควักดวงตานางสิบสองเสียจึงจะหายจากโรค ท้วรถสิทธิ์ต้องเสน่ห์จึงยอม ให้นางยักษ์ควักดวงตา นางสิบสองเสียทั้งสองเว้นแต่นางน้องสุดท้องนั้นวักตาออกเพียงข้างเดียว หลังจากรับสั่งให้ควักดวงตาของนาง สิบสองออกแล้ว พระราชาก็รับสั่งให้นำอดีตพระมเหสีของพระองค์ไปขังไว้ในอุโมงค์ ซึ่งทั้งหมดต้องประสบ ความทุกข์ทรมานอย่างน่าสมเพทเวทนา ในขณะเดียวกันหลังจากได้ดวงตาของนางสิบสองแล้ว นางยักษ์สันธ มาลาก็ส่งดวงตาทั้งหมดไปให้นางเมรีผู้เป็นธิดาเก็บรักษาไว้ที่เมืองคชปุรนคร ขณะนั้นพี่สาวทั้งสิบเอ็ดคนกำลัง ตั้งครรภ์ ท้าวสักกเทวราชจึงอาราธนาพระโพธิสัตว์ให้มาปฏิสนธิในครรภ์ของน้องคนสุดท้อง เมื่อครบกำหนดนางผู้พี่ทั้งสิบเอ็ดคนก็คลอดบุตร ด้วยความอดอยากจึงฉีกเนื้อบุตรแบ่งกันกิน ภายหลังพระโพธิสัตว์จึงคลอดจากครรภ์มารดา นางน้องสุดท้องเฝ้าถนอมเลี้ยงดูจนเจริญวัยให้นามว่า"รถเสน" อยู่มารถเสนกุมารก็ออกมาจากอุโมงค์ได้ด้วยอำนาจบารมี เที่ยวเล่นชนไก่พนันแลกอาหารมาเลี้ยงมารดากับ ไก่ฟ้าของพระรถเสนชนะพนัน ทุกคราวจนความเลื่องลือไปถึงท้าวรถสิทธิ์ จึงให้นำตัวไปเฝ้า เมื่อทราบว่าเป็น โอรสก็มีความรักใคร่ นางสันธมาลาทราบเข้าก็คิดหาอุบายที่จะกำจัดพระรถเสน นางแสร้งทำเป็นป่วยหนัก ทูล ท้าวรถสิทธิ์ว่าต้องการยาที่จะรักษาที่มีอยู่แต่เฉพาะในเมืองของนางเท่านั้นคือมะงั่วหาวมะนาวโห ขอให้พระ รถเสนไปนำมาให้ พระรถเสนทูลอาสาแล้วเลือกม้าพระที่นั่งตัวหนึ่งเป็นพาหนะสำหรับเดินทาง นางสันธมาลา จึงบอกให้รถเสนนำจดหมายไปให้บุตรสาวของตน แล้วเจ้าชายก็ผูกจดหมายไว้กับคอม้าและเริ่มออกเดินทาง ม้าพาพระรถเสนเหาะไปถึงกลางทางก็พากันแวะพักที่อาศรมของพระฤษี ทันใดนั้นพระฤาษีก็เหลือบไปเห็นจึง เข้าไปดูใกล้ๆ และก็พบว่ามีจดหมายแขวนอยู่ที่คอม้า ด้วยความสงสัยท่านจึงตัดสินใจเปิดอ่านโดยไม่ได้รับ อนุญาติและก็พบข้อความประหลาดว่า “ถ้าหากชายหนุ่มผู้นี้ถึงกลางวันให้กินกลางวัน แต่ถ้าเขาถึงกลางคืนก็ ให้กินกลางคืน” พระฤาษีแปลกใจที่พบข้อความเช่นนั้น ท่านจึงเข้าถามและก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พระฤาษีคิดว่า เจ้าชายควรจะได้แต่งงานกับพระธิดากังรีและปกครองเมืองยักษ์แทนที่จะมาถูกยักษ์กิน แล้วพระฤาษีก็เปลี่ยน ข้อความใหม่เป็น "ถึงกลางคืนให้รับกลางคืน ถึงกลางวันให้รับกลางวัน ผัวแก้วผัวขวัญของเมรี" เปลี่ยนข้อความ ในจดหมายเสียใหม่ ครั้นถึงเมืองคชปุรนครพบไพร่พลยักษ์ขวางอยู่เป็นจำนวนมาก จึงแก้จดหมายที่คอม้าทิ้งลงไป เสนา ยักษ์อ่านข้อความแล้วก็จัดการต้อนรับอย่างเอิกเกริกและขัดการอภิเษกกับนางเมรีให้ครอบครองบ้านเมืองตาม ความในจดหมาย เวลาล่วงไป ๗ เดือน ม้าทูลเตือนให้ พระรถเสนกลับไปมารดา พระรถเสนจึงออกอุบายขอให้ นางเมรีพาไปประพาสอุทยานเพื่อนำมะงั่วหาวมะนาวโหไปให้นางสันธมาลา เมื่อได้สมปรารถนาแล้วก็กลับมา ยังตำหนัก ลวงให้นางเมรีดื่มสุราจนลืมสติแล้วพระรถเสนก็ถาม ถึงที่เก็บดวงตานางสิบสองและสรรพคุณยาวิเศษทั้ง ๗ ห่อ นางเมรีหลงกลก็บอกให้ทั้งหมด
๔ ครั้นนางเมรีหลับพระรถเสนก็ฉวยห่อดวงตาและห่อยาทั้งหมดขึ้นหลังม้าหนีไปกลางดึก ตอนเช้า นางตื่นขึ้นไม่เห็นสามีก็รีบยกไพร่พลออกติดตามไป พระรถเสนก็โปรยยาห่อหนึ่งเป็นมหาสมุทรขวางหน้าไว้ นางเมรีรำพันขอร้องให้พระรถเสนกลับมาก็ไม่เป็นผล ในที่สุดนางเสียใจจนดวงหทัยแตก ออกเป็น ๗ภาค สิ้นชีวิตอยู่ริมฝั่งมหาสมุทรนั้น ฝ่ายพระรถเสนกลับมาถึงกุตารนครโดยสวัสดิภาพ นางสันธมารทราบว่า ถูกพระ รถเสนซ้อนกลก็เสียใจจนถึงแก่ความตาย พระรถเสนรีบนำยาไปรักษาดวงตาให้แม่และป้าจนหายเป็นปกติ ท้าว รถสิทธิ์จึงตั้งนางสิบสองเป็นมเหสีเดิมและอภิเษกให้ พระรถเสนครอบครองบ้านเมืองต่อไป บทประพันธ์ โคลงนิราศหริภุญไชย บทประพันธ์นี้กล่าวถึงนางเมรีกับพระรถเสน กังรีนิราศร้าง รถเสน หวานหว่านในดินเดน ด่านน้ำเดน นางยักษ์ผูกพันเวร มรโมฐ วันนา อันพี่พลัดน้อง เร่งร้ายระเหระหน ฯ กาพย์ห่อโคลงพระศรีมโหสถ บทประพันธ์นี้กล่าวถึงนางทั้งสิบสองโดนใส่ร้ายและโดนควักดวงตา เกลือกเหมือนเงื่อนบพิตร รถสิทธิสนิทนนทา รุกริบสิบสองพะงา ควักตาให้ใส่ขุมขัง เกลือกเหมือน สากล รักมารดาลมัวมนท ข่าวไข้ สิบสองจองทัณฑ์อน ธการเนตร แล้วส่งลงขุมให้ ร่ำร้อนฤาเสบย ฯ **บทประพันธ์นี้กล่าวถึง พระรถเสนกลับไปหามารดาและป้ายังอุโมงค์ที่ถูกคุมขังแล้วเล่าความให้นางสิบ สองฟังว่าได้รอดชีวิตกลับมาเพราะความช่วยเหลือของนางเมรี ** เปลวปล่องช่อง ศิลาแลมลังเมลือง ภูผา แสงแก้ว จำรัวรุ่งเจริญตา ฯ ประเทืองเรือง
๕ ตอนที่ ๕ “โดคลุก” เริ่มต้นด้วยโคลงกระทู้ “เด็ด ก้าน ราน ใบ” ตามด้วยกาพย์ขับไม้ ๑๖ บท เนื้อหากล่าวถึงตอนพระรถเสนกับนางเมรีลงสวน พระลอบเด็ดก้านรานใบมะงั่วหาวมะนาวโห่อันเป็นไม้ หลักเมือง o ไม้นี้เสือเมือง ครั้นหล่นครั้นเหลือง แต่ละใบสองใบ เกิดโกลาหล ราษฎรร้อนรน ดุจเมืองประลัย เกิดยุคคือไฟ ฟ้าเหลืองเมืองไข้ จินจนอัศจรรย์ ฯ o ข้าก็ให้โหมเมือง ทำพิทธีนองเนือง เจ็ดคืนเจ็ดวัน วัวควายทรายพรา สิงสัตว์จำฆ่า มากมีพลีกรรม ฉัตรธงเรียงรัน พิทธีเจ็ดวัน จึงเสนาเมืองขวาง ฯ ตอนพระรถเสนใช้ยาวิเศษขวางกองทัพ o ป่างนั้นบรมนเรศ บรเมศอิศรา อิศรภาพมหา เธอบ่หลบบ่หลีกภัย o ทรงทอดซึ่งโอสถ อดิเรกเกรียงไกร ตระบัดเป็นเปลวไฟ ลุกลามไหม้ทั่วหาวหน o สิทธิกรรม์เพื่อนทรงเวท อันเรืองเดชด้วยทิพมนตร์ แก้ได้บัดเดี๋ยวดล แลเพลิงนั้นก็หายแสง o ตระบัดเป็นลมฝน พยุพัดจรัดแรง เมฆหมอกออกกลุ้มแสง ชรอุ่มชรอ่ำเย็น ตัวละคร นางบัวทอง นางบัวแก้ว นางจงกล นางอุบล นางบัวผัน นางบัวเผื่อน นางโกมุท นางศรีบงกช นางบัวขม นางบัวหลวง นางประทุมทอง นางเภา ท้าวรถสิทธิ์ นางยักษ์สันธมาลา ผัวเมียเศรษฐี ฤาษี พระโพธิสัตว์ เมรี (ธิดาของนางยักษ์)
๖ อ้างอิง ศิลปากร, กรม (๒๕๐๐).บทละคอนเรื่องรถเสน.พระนคระศิวพร. ศิลปะการแสดง (นาฎศิลป์) ปีพุทธศักราช๒๕๖๑.(๒๕๖๒).กรุงเทพมหานคร : ม.ป.ท.Dhanit yupho. (๑๙๖๓). The khon and lakon.Bankok: The Department of Fine arts.