The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปริทัศน์วรรณกรรม ศรีธนญชัย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

ปริทัศน์วรรณกรรม ศรีธนญชัย

ปริทัศน์วรรณกรรม ศรีธนญชัย

Keywords: ศรีธนญชัย

ห้องเรียนวรรณกรรม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น ปริทัศน์วรรณกรรม ศรีธนญชัย


รายงาน เรื่อง วรรณกรรมพื้นบ้าน(ศรีธนญชัย) เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ ภทฺรกวี จัดทำโดย สามเณรธนชัย สุริยะ รหัสนิสิต ๖๕๐๕๕๐๒๐๕๐ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ๒๐๔ ๒๐๒ วรรณกรรมไทยปริทัศน์ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๖ คณะครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


ก คำนำ ศรีธนญชัย เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทานมุขตลกคนเจ้าปัญญาและเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะมา ก่อนที่จะมีการสร้างสรรค์เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์ในรูปแบบของร้อยกรองที่แต่งด้วยคำประพันธ์ ประเภทกาพย์ และกลอนเสภาและรูปแบบที่เป็นร้อยแก้ว นิทานศรีธนญชัยมีมาแต่โบราณ ไม่ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับต้นกำเนิดสมัยที่แต่งและชื่อผู้แต่ง วรรณกรรมเรื่องนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดเรื่องหนึ่งในท้องถิ่นต่างๆ ของไทยตราบถึง ปัจจุบัน ภาคกลางและภาคใต้รู้จักกันในชื่อ “ศรีธนญชัย” ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้จัก กันใน ชื่อ “เชียงเมี่ยง” แม้นิทานศรีธนญชัยจะมีหลายสำนวนแต่ก็มีลักษณะร่วมกันในด้านโครงเรื่อง คือ เป็น เรื่องราว ชีวิตของชายผู้หนึ่งซึ่งใช้ปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดหรือแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ให้ผ่านพ้นไปได้โดยลำดับ ตั้งแต่วัยเด็ก จนสิ้นอายุขัย เหตุการณ์แต่ละตอนมีลักษณะเป็นเรื่องสั้นๆ ซึ่งสามารถหยิบยกมาเล่า แยกกันได้ ผู้จัดทำ สามเณรธนชัย สุริยะ


ข สารบัญ เรื่อง หน้า คำนำ.........................................................................................................................................................ก สารบัญ .....................................................................................................................................................ข ประวัติความเป็นมา.................................................................................................................................. ๑ เนื้อเรื่องย่อ............................................................................................................................................... ๒ วิเคราะห์วรรณกรรม ................................................................................................................................ ๔ ข้อคิดที่ได้................................................................................................................................................. ๕ สรุป.......................................................................................................................................................... ๖ บรรณานุกรม............................................................................................................................................ ๗


๑ ประวัติความเป็นมา การถ่ายทอดเรื่องราวของศรีธนญชัย ยอดตลกหลวง ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดปราดเปรื่อง โดยมีบท เริ่มต้นดังนี้กาลครั้งหนึ่งยังมีสองสามีภรรยาอยู่กินด้วยกันมาอย่างมีความสุขเป็นเวลา หลายปีแต่กลับยังไม่มีบุตร "นายชัย" ผู้เป็นสามีจึงปรึกษากับ "นางศรี" ภรรยาของตนว่าควรปลูกศาลเพียงตาทำพิธีบวงสรวงเทพยดา เพื่อขอ ทายาทไว้สืบสกุล ร้อนถึง พระอินทร์ เมื่อรู้สึกว่าพระแท่นบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ เกิดแข็งกระด้างจึงเล็งทิพยเนตร ลงมาตรวจดูความเป็นไปของชาวโลก ครั้นทราบความประสงค์ของสองสามีภรรยาก็มีจิตเมตตาคิดจะช่วย สงเคราะห์ให้สมความปรารถนา จึง มีบัญชาให้เทวบุตรองค์หนึ่งจุติลงมาในครรภ์ของนางศรีในค่ำคืนนั้น นางศรีฝันว่าได้ไปเที่ยวเล่นและพบเขาพระ สุเมรุขวางอยู่ จึงผลักเบี่ยงให้พ้นทาง ครั้นเห็นพระจันทร์ลอยเด่นอยู่ตรงหน้าได้คว้าเอามาถือไว้ พลันนางศรีก็ตกใจ ตื่นรีบปลุกสามีเล่าความฝันให้ฟัง รุ่งเช้านางได้ไปหาท่านสมภารที่วัดหมายให้ช่วยทำนายฝัน บังเอิญท่านสมภารออกไปฉันเพลนอกวัด สามเณรซึ่งเป็นผู้เฝ้ากุฏิจึงทำนายให้เองว่า นางจะให้กำเนิด บุตรชาย และเมื่อโตขึ้นเขาผู้นั้นจะได้เป็นยอดตลกหลวงผู้มีชื่อเสียง นางศรีดีใจรีบกลับไปบอกนายชัยสามี ครั้น ท่านสมภารกลับมาได้ฟังเรื่องราวจากสามเณรก็ดุบอกว่าทำนายผิด เพราะลูกของเขาจะเป็นผู้มีสติปัญญาเฉลียว ฉลาดเหนือคนทั้งปวงต่างหาก เมื่อครบกำหนดคลอดเพื่อนบ้านได้มาเยี่ยม และนำข้าวของมาให้เป็นอันมาก พอนางศรีแข็งแรงดีแล้วจึง ชวนสามีนำลูกชายไปหาท่านสมภารให้ช่วยตั้งชื่อ ท่านสมภารได้นำชื่อของแม่คือ "ศรี" นำหน้า ปิดท้ายด้วยชื่อพ่อ คือ "ชัย" โดยมีคำว่า "ธนญ" อยู่ตรงกลางจึงกลายเป็น ศรีธนญชัย ซึ่งเป็นเด็กที่ช่างพูดช่างเจรจา พ่อกับแม่และ ชาวบ้านต่างพากันให้ความรักและเอ็นดู ประวัติศรีธนญชัยนั้นมีอยู่หลายเวอร์ชั่น ทางภาคเหนือและอีสานท่านเรียกว่า "บักเสี้ยงเมี้ยง" คำว่า "เสี้ยง" นั้นเพี้ยนมาจากคำว่า "เชียง" หรือ "เซียง" ซึ่งเป็นคำเรียกคนเคยบวช เหมือนกับคำว่า "ทิด" ซึ่งใช้เรียกคน เคยผ่านการบวชพระมาแล้วในภาคกลาง "เซียง"หรือ "เสี้ยงเหมี้ยง" ก็คือ "ทิดเหมี้ยง" ส่วนคำว่า "เหมี้ยง" ซึ่งคู่กับ คำว่า "หมาก" นั้น หวังว่าคงไม่ต้องแปล แต่สมัยเป็นสามเณรนั้น "เซียงเหมี้ยง" ใช้ไหวพริบเอาเหมี้ยงของพ่อค้ามากินฟรีๆ โดยการพนันกันว่า พ่อค้าจะหาบเหมี้ยงข้ามน้ำมาโดยที่เหมี้ยงไม่เปียกได้หรือไม่ ? ปรากฏว่าพวกพ่อค้าหาบเหมี้ยงลุยน้ำข้ามมา หาได้ หาบเหมี้ยงข้ามน้ำมาไม่ ศรีธนญชัยปรากฏตัวในบทนี้ บทที่ได้เหมี้ยงไปกินฟรี "สี่ซ้าห้าบาท" คือกวาดเรียบ เอา ทั้งซ้าคือตะกร้าหรือชะลอมและบาตรพระมาใส่เหมี้ยงฟรี จนเหมี้ยงมีให้ไม่พอปรับ นับเป็นการขึ้นชื่อลือชาในด้าน ไหวพริบปฏิภาณเป็นอย่างยิ่ง สมัยราชาธิปไตยนั้น ไม่มีการคัดค้านต่อหน้าพระพักตร์ ใครขืนขัดก็จะโดนขัดทั้งดอกทั้งต้นจนตัวตาย การแสดงออกในทางการเมืองของคนไทยสมัยโบราณจึงต้องแสดงผ่านตัวละครไปในแนวตลก และผู้ที่จะสามารถ ต่อกรกับพระราชาได้ก็เห็นจะมีเพียงพระสงฆ์เท่านั้น ดังนั้นพระสงฆ์หรือตัวแทนของพระสงฆ์จึงถูกอุปโลกน์ให้เป็น


๒ ตัวแทนฝ่ายประชาชน เข้าไปคานอำนาจกับพระราชาในการบริหารกิจการบ้านเมือง รวมถึงการวินิจฉัยอรรถคดี ต่างๆ ศรีธนญชัยจึงได้ฉายาว่า "ตลกหลวง" บวกกับภูมิปัญญาแบบไทยๆ ที่ใช้ความได้เปรียบเสียเปรียบโดยไม่ คำนึงถึงกฎเกณฑ์กติกา แต่อาศัยเพียงว่าใครไหวพริบดีกว่าก็ได้ไป ส่วนใครโง่เง่าเอาไม่ทันก็ปล่อยให้มันเป็นฝ่ายแพ้ ไม่มีใครเหลียวแล ทุกคนสนใจก็แต่ฝ่ายชนะ ชัยชนะแบบศรีธนญชัยซึ่งไม่โปร่งใสในทางคุณธรรมจริยธรรม ไร้ทั้ง จรรยาและมารยาท กลับกลายเป็นฮีโร่ในใจของคนไทย ศรีธนญชัย..เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือทางด้านสติปัญญา แต่ทำไมนะทำไม..เขาจึงกลับไม่ใช่คนน่าคบหา ความฉลาดของเขา..ไม่ได้ทำให้คนชื่นชมเขาหรอกหรือ.. มาดูสิว่า..ปฏิภาณและไหวพริบนั้น ทำให้เขารอดปลอดภัย มาได้อย่างไรกัน ชีวิตศรีธนญชัยมีทั้งด้านดีคือรู้จักใช้ปัญญา แต่อีกด้านหนึ่งใช้ความฉลาดของตนเอาเปรียบคนอื่น ไม่นึกถึงความผิดชอบชั่วดี สุดท้ายต้องรับกรรมที่ก่อไว้...? เนื้อเรื่องย่อ นานมาแล้ว มีนางแก้วผู้หนึ่งเป็นคนใจบุญ ชอบทำบุญทำทานเสมอ ตลอดพรรษานางไปทำบุญอยู่ที่วัด หนึ่งมิเคยขาด วันหนึ่ง ใจนางคิดอยากจะไปทำบุญอีกวัดหนึ่งที่อยู่คนละฝั่งแม่น้ำกับที่นางอยู่ เมื่อนางเตรียมข้าว ปลาอาหารพร้อมแล้วที่จะไปตักบาตร เผอิญวันนั้นฝนเกิดตกหนักน้ำท่วมนางก็ไม่อาจจะข้ามไปได้ มีพระรูปหนึ่ง พายเรือผ่านไป นางขอโดยสารข้ามฟากไปกับพระ พระรูปนั้นรีบร้อนไม่ยอมหยุดฟังคำพูดของนางเลย พายเรือมา ชาติใดก็ขอให้มีลูกชาย ให้ได้อยู่ร่วมกับพระรูปนั้นและใช้กรรมเวรนี้ให้จงได้ พลางนางก็โยนของที่เตรียมจะไป ทำบุญตักบาตรลงไปในน้ำ ต่อมานางก็มีลูกเป็นชายคนหนึ่งพออายุได้ ๑๑ – ๑๒ ขวบ นางก็ส่งไปอยู่วัดตั้งชื่อลูกว่า ‘' ไอ้กะตำป๋า '' ( ศรีธนญชัย ) และได้ไปอยู่กับพระรูปที่ไม่ให้นางโดยสารเรือไปด้วยในวันที่นางจะไปทำบุญตัก บาตรวัดฝั่งตรงข้ามบ้านของนาง คำอธิษฐานของนางก็เป็นความจริง เพราะศรีธนญชัยลูกของนางก็ได้มาใช้กรรม เวรเหมือนดังคำอธิษฐานที่นางได้ตั้ง ไว้ วันหนึ่งพระสั่งให้เอาผ้าไปซัก ศรีธนญชัยซักเสร็จแล้วก็เอาไปตากไว้ที่กอง ทราย มีหมาตัวหนึ่งผ่านมา ศรีธนญชัยนึกในใจว่าจะต้องแกล้งพระรูปนี้สักหน่อย จึงไปหาน้ำตาลอ้อยกับงาดำมา ผสมกันแล้วปั้นเป็นก้อนกลม ๆ เอาไปวางไว้บนผ้าพระที่ตากไว้ พระมาเห็นเข้านึกว่าเป็นขี้หมาก็เอ็ดศรีธนญชัยว่า ‘' แกนี่มันทำไมถึงโง่นัก ซักผ้าตากไว้ก็ไม่เฝ้า ปล่อยให้หมามาขี้รดเสียแล้ว แกกินขี้หมานี้เข้าไปเสียนะ ถ้าแกไม่กิน ข้าจะเขกหัวแกเดี๋ยวนี้แหละ ''ศรีธนญชัยก็แก้ตัวว่า‘' กระผมมั่วแต่ไปทำงาน เลยไม่ได้อยู่เฝ้าผ้า '' ฝ่ายพรดะก็บังคับ ให้ศรีธนชัยกินให้ได้ ศรีธนญชัยก็หยิบขึ้นมากินหน้าตาเฉย พระสงสัยก็ถามว่า ‘' แกกินอย่างอร่อยเชียวนะ ‘' ศรี ธนญชัยตอบว่า ‘' ขอรับกระผม ขี้หมาตัวนี้อร่อยมาก '' พระขอลองชิมดู ก็เลยสั่งศรีธนญชัยว่า พรุ่งนี้ถ้าหมาตัวนี้ ผ่านมาให้จับไว้นะ บีบเอาขี้หมาออกมาให้หมด วันรุ่งขึ้นอหมาผ่านมา ศรีธนญชัยก็ล่อหมาไปเอาประตูหนีบตัวมัน ไว้ จนหมาขี้ไหลออกมาก็เรียกพระให้มากินขี้หมา ตอนนี้ก็ได้แก้แค้นให้แม่ไปได้ตอนหนึ่งแล้วต่อมาอีกวันหนึ่ง พระ มีธุระเข้าไปในเมืองก็สั่งศรีธนญชัยว่า ‘' ใครมาเรียกอย่าเปิดประตูนะให้บอกว่า พระท่านไม่ให้เปิด '' ตกดึกคืนนั้น พระกลับมาจากธุระ ก็ตะโกนเรียกให้ศรีธนญชัยเปิดประตูให้ ‘' ไอ้ศรีธนญชัยข้ากลับมาแล้ว เปิดประตูที '' ศรีธนญ ชัยตะโกนตอบว่า ‘' หลวงพี่สั่งไม่ให้เปิด '' ‘' ก็ข้ากลับมาแล้ว ข้าเอง เปิดประตูเร็ว ๆ เข้า ‘' ช่างเถอะ หลวงพี่สั่ง


๓ ไม่ให้เปิด ตกลงพระนั้นก็ไม่ได้เข้าห้อง ต้องนอนตัวงอก่ออยู่นอกกุฏินั่นเองจนกระทั่งสว่างหลายปีต่อมา ศรีธนญชัย อายุมากขึ้น ร่ำเรียนอะไรก็ไม่สำเร็จ ดีแต่แกล้งพระ วันหนึ่งก็ไปหาพระแล้วบอกว่าตนจะไปค้าขายเกลือ พระก็ขอ ไปด้วย เพราะอยากจะไปเห็นบ้านเมืองอื่นบ้าง พระมีม้าอยู่ตัวหนึ่ง ศรีธนญชัยมันรู้ว่าพระจะขี่ม้าไป พอดีตอนนั้น เป็นฤดูที่ต้นหมามุ่ยออกดอกมันก็ไปเก็บเอามาเคาะใส่อานม้าไป ศรีธนญชัยก็หาบเกลือเดินตามไป พระก็คันก้นเกา ไปตลอดทางเพราะโดนหมามุ่ย เมื่อขี่ม้ามาทันศรีธนญชัยแล้ว ก็ชวนให้ศรีธนญชัยแลกม้าขี่ พรดะอาสาหาบเกลือ ให้ ฝ่ายศรีธนญชัยเมื่อได้ม้าขี่แล้วก็รีบขี่ม้าไปอย่างเร็ว ส่วนพระหาบเกลือมาหนักมาก ตามศรีธนญชัยไม่ทัน ก็เลย คิดได้ว่าจำเป็นที่จะต้องหาบเกลือไปซ่อนก็กลัวคนเห็น เลยตกลงใจซ่อนไว้ในน้ำ พระก็เอากาบเกลือทิ้งลงไปในน้ำ ตรงที่ลึกจนมองไม่เห็น แล้วก็ออกเดินทางตามศรีธนญชัยไปจนทัน ฝ่ายศรัธนญัยไม่เห็นหาบเกลือก็ถามว่า ‘' พระ เอาหาบเกลือไปไว้ที่ไหนเสียล่ะ ‘' ‘' เราเอาไปซ่อนไว้ในน้ำเสียแล้ว ‘' ศรีธนญชัยก็ชวนพระให้กลับไปงมหาแล้วพูด ว่า ‘' ปลาคงจะเอาไปกินเสียแล้วถ้างมได้ปลาดุกขึ้นมาก็ตบหูปลาดุก เงี่ยงปลาดุกก็ตำมือพระ จนทะลุออกมาอีก ข้าง พระก็ร้องด้วยความเจ็บปวด และบอกว่าข้าเจ็บมือไปไหนไม่ได้แล้ว เอ็งต้องหามข้าไปนะ ศรีธนญชัยตอบว่า '' พระ เราก็มากันสองคนเท่านั้น จะหามกันไปได้อย่างไรล่ะ'' ศรีธนญชัยก็ปิ่นขึ้นไปบนเขาแล้วก็กลิ้งก้อนกินลงมาทาง ที่พระนั่งอยู่พร้อม ทั้งตะโกนว่า ‘' ไม่เสือก็หมี ไม่หนีก็ตายเน้อ '' พระกลัวกินจะตกมาทับก็เลยวิ่ง มาจนถึงวัดก็ จัดการเอาปลาดุกตัวที่งมได้นั้นมาปิ้ง สั่งศรีธนญชัยว่าให้เก็บไว้ให้ตนกินบ้าง ศรัธนญชัยกลับกินเสียจนหมด ทิ้งแต่ ก้างไว้ให้กิน แล้วไปหาแมลงวันตัวหนึ่งมาขังไว้ในกล่องข้าว พอพระสั่งให้ศรีธนญชัยให้เอาข้าวมาให้ พอเปิดกล่องก็ มีแมลงวันบินออกมา ศรีธนญชัยก็บอกว่า ‘' หมดแล้วแมลงวันกินหมดแล้ว เหลือแต่ก้าง เรามาหลอกฆ่าแมลงวัน ไหมล่ะหลวงพี่ ‘' แล้วศรีธนญชัยก็สานตะแกรงมาให้พระแล้วบอกว่า ‘' ถ้าแมลงวันเกาะผมให้หลวงพี่เอาตะแกรงนี่ ตบนะ หากแมลงวันเกาะหลวงพี่ผมจะตีเอาบ้าง '' เมื่อต่างสัญญากันแล้ว พอแมลงวันเกาะศรีธนญชัยพระก็เอา ตะแกรงตบเจ็บสักเล็กน้อย แต่พอแมลงวันหนีบินมาเกาะที่ศีรษะพระ พระก็บอกศรีธนญชัยว่า ‘' เอาเลย ตีเลย ‘' ศรีธนญชัยก็เอาค้อนตีไปบนหน้าผากพระ จนพระถึงแก่ความตาย เป็นอันว่าการใช้หนี้กรรมการทำเวรกันก็จบเรื่อง ศรีธนญชัยเบียดเบียนพระเพียง เท่านี้ วันหนึ่งศรีธนญชัยนึกอยากไปเล่นหมากรุกกับพระที่วัด เดินจากบ้านมาถึงริมน้ำเห็นเณรองค์หนึ่งพาย เรือผ่านมา จึงเรียกให้จอดบอกว่า "ขอข้ามเรือสักที" เณรองค์นั้นรีบจอดเรือแล้วทำทีเป็นเดินข้ามไปข้ามมา ยอด ตลกหลวงเจอดีเข้าแล้วรีบบอกว่า "นี่พ่อเณรขออาศัยนั่งเรือข้ามฟากไปวัดด้วยคน" เณรจึงให้นั่งเรือไปด้วยแต่กลับ ลุกขึ้นยืนพายอย่างตั้งอกตั้งใจศรีธนญชัยเกรงเรือจะล่มจึงถามไปว่า "ทำไมไม่นั่งพายเล่าพ่อเณร" เณรองค์นั้นก็เอา พายพาดเรือแล้วนั่งทับพายไว้ ยอดตลกหลวงเสียทีเณรสองครั้งสองคราติดต่อกันก็คั่งแค้นใจเพราะไม่เคยพ่ายแพ้ เชาว์ปัญญาใครมาก่อน รีบบอกให้เณรพายเรือเหมือนชาวบ้านชาวเมืองเขาพายกันตามปกติเถิด เณรจึงถามว่าจะ ขึ้นตรงไหน ศรีธนญชัยกำลังโกรธก็ว่าจะจอดตรงไหนก็ตามใจเถิด เณรเห็นหมู่กอไผ่ขึ้นเรียงรายอยู่ริมตลิ่งจึงเสือก หัวเรือเข้าไปยอดตลกหลวงเสียทีเป็นครั้งที่ 3ต้องลุยหนามไผ่หรือหนามซอเกือบครึ่งค่อนวันจึงหลุดออกมาได้ อยู่ ต่อมาไม่นานสามเณรซึ่งเฆี่ยนศรีธนญชัยด้วยแส้ปัญญาจนพ่ายแพ้ยับเยินนึกอยากรับราชการจึงขออนุญาตโยมพ่อ โยมแม่และอุปัชฌาย์สึก แล้วไปถวายตัวกับพระเจ้าภูเบศปฏิบัติหน้าที่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง จนได้เลื่อนขึ้นเป็น นายเวรผู้พิจารณาความชั้นต้น


๔ วันหนึ่งสองตายายมาร้องเรียนว่าศรีธนญชัยได้ขอยืมเงินไปหนึ่งชั่งห้าตำลึงบอกสองเดือนจะนำมาคืนให้ แต่นี่ผ่านมาปีกว่า ไปทวงครั้งใดก็ทำนิ่งเฉย นายเวรเรียกคู่ความมาสอบสวน ศรีธนญชัยก็อ้างข้อความในสัญญา บอกสองเดือนจะใช้หนี้ให้ แต่นี่เพิ่งเดือนเดียวเท่านั้น จะรีบทวงไปทำไม นายเวรรู้ทันเล่ห์ถามว่าท่านหมายถึงเดือน บนฟ้าใช่หรือไม่ เมื่อยอดตลกหลวงรับว่าใช่ นายเวรจึงเรียกมาตัดสินในเวลากลางคืนพร้อมชี้ให้ดูเดือนบนท้องฟ้า กับเดือนอีกดวงหนึ่งที่ปรากฏเงาอยู่ในน้ำรวมเป็นสองเดือนพอดี ศรีธนญชัยจำต้องใช้หนี้คืนโจทก์ไปและชักแน่ใจว่า นายเวรหรืออดีตชาติของสามเณรผู้นี้คือน้องชายของตนกลับชาติมาเกิดเพื่อแก้แค้นนั่นเองหลังจากแพ้คดีศรีธนญ ชัยก็มีแต่ความกลัดกลุ้มใบหน้าเศร้าหมองร่างกายซูบผอม โรคภัยเบียดเบียนคิดว่าตนคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นานจึงให้ ภรรยาไปเฝ้าพระเจ้าภูเบศว่า ตนมีเรื่องสำคัญจะทูลพระเจ้าภูเบศเห็นแก่คนใกล้จะตาย อุตส่าห์รีบเสด็จมาศรีธนญ ชัยจึงทูลว่า "การที่จะเสวยปลาหมอปิ้งนั้นให้หมั่นกลับอย่าให้หนังแห้งจึงจะอร่อย"พระเจ้าภูเบศคลั่งแค้นพระทัย ตรัสว่า "มึงตายเมื่อไรกูจะให้สนมนางในมาเยี่ยวรดกองกระดูกให้สมใจ" ได้ฟังดังนั้น ศรีธนญชัยจึงสั่งภรรยาว่า ให้ เอาไม้ลังตังมาเผาศพตนห้ามใช้ไม้อย่างอื่น เมื่อนางข้าหลวงได้รับพระบัญชาจากพระเจ้าภูเบศก็พากันมาเยี่ยวรด เถ้ากระดูก ของศรีธนญชัย จึงโดนขุยไม้ลังตังฟุ้งเข้าใส่ในร่มผ้าต่างคันคะเยอแหกปากร้องลั่นไปตามๆ กันนับว่า ยอดตลกหลวงยังคงรักษาเกียรติภูมิความเป็นผู้มีเชาว์ปัญญาไว้ได้จนวาระสุดท้ายแม้จะใช้ไปในทางฉลาดแกมโกง ซะเป็นส่วนใหญ่ วิเคราะห์วรรณกรรม ศรีธนญชัย เป็นวรรณกรรมพื้นบ้านประเภทนิทานมุขตลกคนเจ้าปัญญา และเป็นวรรณกรรมมุขปาฐะมา ก่อนที่จะมีการสร้างสรรค์เป็นวรรณกรรมลายลักษณ์ใน รูปแบบของร้อยกรองที่แต่งด้วยคำประพันธ์ประเภทกาพย์ และกลอนเสภา และรูปแบบที่เป็นร้อยแก้ว นิทานศรีธนญชัยมีมาแต่โบราณ ไม่ปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับต้นกำเนิด สมัยที่แต่ง และชื่อผู้แต่ง วรรณกรรมเรื่องนี้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากที่สุดเรื่อง หนึ่งในท้องถิ่นต่างๆ ของไทยตราบถึง ปัจจุบัน ภาคกลางและภาคใต้รู้จักกันในชื่อ “ศรีธนญชัย” ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือรู้จักกันใน ชื่อ “เชียงเมี่ยง” แม้นิทานศรีธนญชัยจะมีหลายสำนวน แต่ก็มีลักษณะร่วมกันในด้านโครงเรื่อง คือ เป็นเรื่องราว ชีวิตของชายผู้หนึ่งซึ่งใช้ปฏิภาณไหวพริบเอาตัวรอดหรือแก้ไข ปัญหาต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้โดยลำดับ ตั้งแต่วัยเด็ก จนสิ้นอายุขัย เหตุการณ์แต่ละตอนมีลักษณะเป็นเรื่องสั้นๆ ซึ่งสามารถหยิบยกมาเล่าแยกกันได้ วรรณกรรมเรื่องนี้แสดงให้เห็นภูมิปัญญาและพลังทางปัญญาในการสร้างสรรค์ อันประกอบด้วยศิลปะ ของการถ่ายทอดเรื่องราวที่ทำให้เกิดอารมณ์ขัน โดยแสดงความเจ้าปัญญาของตัวเอกในลักษณะที่คาดไม่ถึง หรือ พลิกความคาดหมายได้อย่างออกรส และแสดงพลังทางภาษาด้วยการนำเอาถ้อยคำ สำนวนมาเล่นคำ เล่น ความหมายได้ตามความต้องการ ซึ่งนอกจากจะใช้ความเถรตรงแล้ว ยังใช้กลวิธีอื่นๆ อีก เช่น การใช้กลอุบายการ ใช้จิตวิทยา และการหาเหตุผลโดยการเชื่อมโยงสิ่งต่างๆ ที่ปกติไม่ค่อยมีใครนำมาสัมพันธ์ กัน หรือโดยการมองสิ่ง หนึ่งสิ่งใดไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับคนอื่นมาแก้ไขปัญหา หรือเอาตัวรอดได้


๕ เมื่อพินิจนิทานศรีธนญชัยอย่างลึกซึ้งจะเห็นได้ว่า ศิลปะการสร้างสรรค์ดังกล่าวทำให้นิทานศรีธนญชัย มิได้มีคุณค่าด้านการให้ความบันเทิงหรือสนุกสนานเพลิดเพลินเท่านั้น แต่ยัง มีคุณค่าที่ให้สาระด้านความคิดด้วย กล่าวคือ ได้แฝงแนวคิดร่วมหรือแนวคิดที่เป็นสากลของมนุษยชาติ คือเรื่องความสำคัญของการใช้ปัญญา ปฏิภาณ ไหวพริบ เรื่องความขัดแย้งกับบุคคลและความขัดแย้งกับค่านิยมของสังคม และเรื่อง “เสียหน้า” โดยได้นำ สภาพแวดล้อม สังคมและวัฒนธรรมไทยมาสอดแทรกไว้ในเนื้อหาได้อย่างกลมกลืน นอกจากนี้ ยังทำให้ประจักษ์ ถึงสัจธรรมเกี่ยวกับความไม่เที่ยงที่ว่า ไม่มีผู้ใดจะครองความเป็นผู้ชนะได้ตลอดกาล และทำให้ได้คิดว่า ควรใช้ ปัญญาไปในทางสร้างสรรค์มิใช่ทำลาย นิทานศรีธนญชัยเป็นที่ชื่นชอบของคนทั้งหลายก็เพราะสามารถทำให้เกิดอารมณ์ ร่วมไปกับเรื่องราวที่อยู่ ในโลกสมมุติได้อย่างเต็มที่ เสียงหัวเราะอันเกิดจากความหฤหรรษ์ในการล้อเลียนเสียดสีบุคคล หรือกฎเกณฑ์ที่ เคร่งครัดในสังคมนั้นแสดงให้เห็นบทบาทของ “มุกตลก” ว่าเป็นทางออกที่ช่วยผ่อนคลายหรือลดความตึงเครียด ของคนในสังคมได้อย่างแยบ คาย นิทานศรีธนญชัยจึงสะท้อนให้เห็นภูมิปัญญาของ ความคิดสร้างสรรค์ที่มีคุณค่ายิ่ง ปัจจุบัน นิทานศรีธนญชัย ยังเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในสังคมไทย และเป็นที่รู้จักของชาวต่างชาติ ด้วย เนื่องจากลักษณะเด่นของศรีธนญชัยคนเจ้าปัญญา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจให้มีการนำไปสร้างสรรค์เป็นงาน ศิลปะในหลายรูปแบบ เช่น จิตรกรรมฝาผนัง ในพระวิหารวัดปทุมวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร ภาพยนตร์ หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์การ์ตูน เป็นต้น ข้อคิดที่ได้ ควรใช้ปัญญาในทางที่ถูก เช่น สร้างความดี ช่วยเหลือผู้อื่น ไม่ทำให้ใครๆ เดือดร้อน การพนันทำให้ สูญเสียทรัพย์หรือแม้แต่ชีวิต มีจิตรักและกตัญญูรู้คุณต่อแผ่นดินเกิดและต่อชาติบ้านเมือง


๖ สรุป ศรีธนญชัย เป็นนิทานพื้นบ้านไทย ไม่ทราบใครเป็นผู้แต่ง เพราะเป็นนิทานที่เล่าสู่กันฟังต่อเนื่องมา สันนิษฐานว่าถือกำเนิดมาตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เป็นที่รู้จักและแพร่หลายจนถึงทุกวันนี้ ทั้งยังแพร่หลายไปใน ประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น กัมพูชา เวียดนาม ลาว มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ เนื้อหาของนิทานเป็นเรื่องของ “ศรีธนญชัย” ตัวละครหลักของเรื่องที่เป็นคนเจ้าปัญญา มีเล่ห์เหลี่ยมชั้น เชิง ไหวพริบดี สามารถแก้ปัญหาเอาตัวรอดจากเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ไหวพริบของศรีธนญชัยส่วนใหญ่เป็นเรื่อง ความสามารถในทางภาษา การเล่นคำ และการตีความหมายของคำที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดมาก่อน ซึ่งเป็นความโดดเด่น ของนิทาน และทำให้เป็นที่กล่าวขานถึงเสมอในปัจจุบัน


๗ บรรณานุกรม ผศ. สุวรรณา งามเหลือ. “ศรีธนญชัยกับอุบายการตีความหมายในภาษา” ผลการงานวิจัยและวิชาการด้าน มนุษยศาสตร์ ปี ๒๕๕๓, มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. วีรพงษ์ รามางกูร.“การเมืองศรีธนญชัย” ใน, มติชนรายวัน ฉบับวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑. อัญมาศ ภู่เพชร. "นิทานเรื่องศรีธนญชัยในสื่อสิ่งพิมพ์ไทยร่วมสมัย" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. คณะอักษศาสตร์. สันธิกร วรวรรณ. "นัยทางการเมืองในวรรณกรรมเรื่อง "ศรีธนญชัย" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย. กัญญรัตน์ เวชชศาสตร์. "การศึกษาเปรียบเทียบเรื่องศรีธนญชัยฉบับต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. บัณฑิตวิทยาลัย. หญ้าน้ำ ทุ่งขุนหลวง (๓๑ มีนาคม ๒๕๖๔). "แลมรดกโลก : เรื่องเล่า "ศรีธนญชัย" ฉบับกะเหรี่ยง ที่มีชื่อว่า "จ้อ เกอะ โด่". ศิลปวัฒนธรรม. สืบค้นเมื่อ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๕.


Click to View FlipBook Version