ประวัติความเป็นมาและ องค์ประกอบของเพลงพื้นบ้าน เจรียงเบริน ห้องเรียนคติชนวิทยา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น
รายงาน เรื่อง ประวัติความเป็นมาและองค์ประกอบของเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ผู้จัดทำ นางสาวอัจฉรา ศรีจันสา รหัสนิสิต ๖๔๐๕๕๐๒๐๖๘ ชั้นปีที่ ๓ รายงานประกอบการศึกษารายวิชาคติชนวิทยา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ภาคการศึกษาที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖
เรื่อง ประวัติความเป็นมาและองค์ประกอบของเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ผู้จัดทำ นางสาวอัจฉรา ศรีจันสา สาขาวิชาการสอนภาษาไทย รหัสนิสิต ๖๔๐๕๕๐๒๐๖๘ ชั้นปีที่ ๓ อาจารย์ประจำรายวิชา พระอาจารย์มหาอธิวัฒน์ ภทฺรกวี บทคัดย่อ การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาประวัติความเป็นมาและองค์ประกอบของเพลงพื้นบ้าน เจรียงเบรินจากการศึกษาพบว่าความเป็นมาของเจรียงเบรินเป็นเพลงพื้นบ้านของชาวไทยเขมรแถบจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์และศรีษะเกษ วิวัฒนาการมาจากบทร้องกันตร๊อบไกของกัมพูชา องค์ประกอบมีนักร้องชาย-หญิงและหมอ แคนอย่างละ ๑ คน ใช้วิธีด้นกลอนสดเป็นภาษาเขมรร้องโต้ตอบกันประกอบเสียงแคน เนื้อหาและบทร้องเกี่ยวข้อง กับทางโลกลทางธรรม ขั้นตอนการเล่นมีการบูชาครู ขึ้นเวทีแสดง แนะนำตัวกับผู้ชม กล่าวถึงความสำคัญของงาน ร้องถามตอบ ร้องอวยพร ท่ารำตามจังหวะเสียงแคน การแต่งกายแบบพื้นเมืองไทยเขมรสุรินทร์ เจรียงเบรินเล่นได้ ทั้งงานมงคลและอวมงคล ลักษณะของการคงอยู่ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการแสดง จากเดิมนิยมร้องแบบ เบ็ดเตล็ด ปัจจุบันร้องเกี่ยวกับหลักธรรมพระพุทธศาสนา สอดแทรกคติสอนใจ เจรียงเบรินมีโอกาสถ่ายทอดผ่าน งานต่างๆ ทั้งงานส่วนบุคคลและส่วนรวม รวมทั้งเจรียงเบรินผ่านสื่อทางสถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์และการบันทึกลง แถบบันทึกเสียง ปัจจัยการคงอยู่ได้แก่การตั้งคณะและการตั้งชมรมเจรียงเบริน ทำให้เกิดความสามัคคีและ ช่วยเหลือกันในกลุ่ม การปรับรูปแบบการแสดงและปรับเนื้อหาให้สอดคล้องกับลักษณะของงาน รวมทั้งมีการ ถ่ายทอดเจรียงเบรินสู่บุตรหลานและเยาวชนรุ่นหลัง จึงทำให้เจรียงเบรินสามารถดำรงอยู่ได้จนถึงปัจจุบัน
บทนำ เพลงพื้นบ้าน เป็นวรรณกรรมมุขปาฐะแบบหนึ่ง ถ่ายทอดสืบต่อกันโดยอาศัยการบอกกล่าวหรือท่องจำ ส่วน ใหญ่นิยมเล่นเพื่อความรื่นเริงสนุกสนาน ผู้ร้องต้องคิดกลอนสดร้องแก้กันโดยใช้ไหวพริบปฏิภาณ อาจจะร้องเล่นคน เดียว เป็นกลุ่ม หรือร้องตอบโต้กัน ใช้เครื่องดนตรีพื้นบ้านหรือเครื่องประกอบจังหวะน้อยชิ้น หรือใช้เพียงการ ปรบมือให้จังหวะเท่านั้น ในแต่ละท้องถิ่นจะมีเพลงพื้นบ้านที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะแตกต่างออกไป ตามกลุ่ม วัฒนธรรม ได้แก่ เพลงพื้นบ้านภาคกลาง เพลงพื้นบ้านภาคใต้ เพลงพื้นบ้านภาคเหนือและเพลงพื้นบ้านอีสานจะ แบ่งออกได้ ๓ กลุ่มใหญ่คือ กลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาว กลุ่มวัฒนธรรมไทย-โคราช และกลุ่มวัฒนธรรมเขมร-ส่วย(กูย) หรือกลุ่มวัฒนธรรมเจรียง-กันตรึม ซึ่งกลุ่มวัฒนธรรมเขมรเขมร-ส่วยนั้น ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีษะเกษและอุบลราชธานี ภาษาพูดอยู่ในตระกูลมอญ-เขมร ลักษณะเด่นของประชากรกลุ่มนี้คือ การเจรียง กันตรึมและเจรียงเบริน ขับร้องเป็นภาษาเขมร โดยใช้กลองกันตรึมและแคนเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญ ชาวไทยเชื้อ สายเขมรในจังหวัดสุรินทร์มีการละเล่นเพลงพื้นบ้านเจรียงเบรินมาอย่างช้านาน ใช้วิธีด้นกลอนสดเป็นภาษาเขมร ร่ายรำ ร้องโต้ตอบกันระกว่างชาย-หญิงประกอบเสียงแคน เรื่องราวที่เล่นจะประกอบกับทางโลกและทางธรรม สอดแทรกคติเตือนใจ เจรียงเบรินนิยมเล่นในเทศกาลต่างๆทั้งงานมงคลและอวมงคล ลักษณะการเล่นคล้ายกับหมอ ลำกลอน โดยเฉพาะการใช้แคนเป็นเครื่องประกอบจังหวะ จุดมุ่งหมาย เพื่อวิเคราะห์ประวัติความเป็นมาและองค์ประกอบของเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ประเภทของข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา ๑.ความเป็นมาเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ๒.บทเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ๓.การขับร้องเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ๔.เครื่องดนตรีเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ๕.การร่ายรำเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง วิจัยเรื่องการคงอยู่ของเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน
ผลการศึกษา ประวัติและความเป็นมาของเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน เจรียง หรือ จำเรียง ภาษาเขมรในสุรินทร์เรียกว่า จรีง หรือ จำรึ่ง เป็นการละเล่นพื้นเมืองที่เน้นการขับร้อง มากกว่าการร่ายรำ ขับร้องเป็นเพลงคล้ายทำนองแบบการอ่านทำนองเสนาะ มักจะใช้"กลอนสด" เป็นส่วนใหญ่ เนื้อร้องเป็น ภาษาเขมร บรรยายถึงสภาพทางภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เหตุการณ์ในอดีตและปัจจุบัน คำ ว่า "เจรียง" เป็นคำกริยาในภาษาเขมรแปลว่า "ร้อง" ส่วนคำว่า "จำเรียง" หรือที่ชาวเขมรทางกัมพูชาออกเสียง ว่า "จ็อบ-เรียง" นั้นเป็นคำนาม แปลว่า "บทร้อง" เจรียงมีลักษณะการขับคล้ายกับการขับวรรณคดีเสภาในภาค กลางที่เรียกว่า “เสภา” ภาคเหนือเรียกว่า “จ๊อย” การเรียกเจรียง จะเรียกตามชนิดของเครื่องดนตรีที่เล่นประกอบการเจรียง เช่น ถ้าใช้ปี่ที่มีชื่อว่า เป์ยจรวง เป่า ประกอบเรียกว่า เจรียงจรวง ถ้าใช้ซอ บรรเลงประกอบเรียก เจรียงตรัว และหากนำเจรียงไปขับขานกับ การละเล่นพื้นบ้านอะไรก็จะใช้คำว่า เจรียง นำหน้าการละเล่นนั้นๆ เจรียง เป็นการละเล่นพื้นบ้านในลักษณะของ เพลงปฏิพากย์(dialogue songs) คือ เพลงที่ชายหญิงใช้ร้อง โต้ตอบกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของการเกี้ยวพาราสี มีจุดเด่นอยู่ที่โวหาร การชิงไหวพริบกันเพลงพื้นบ้านที่ใช้ขับร้อง นั้น จะแตกต่างกันไปบ้างตามลักษณะวัฒนธรรมประจำท้องถิ่น สังเกตได้จากการใช้ภาษา ท่วงทำนอง เนื้อหา เครื่องดนตรี การร่ายรำ การแต่งกาย และโอกาสที่ขับร้อง เพลงปฏิพากย์เป็นเพลงที่ร้องเล่นกันเป็นกลุ่มเป็นวง เจรียง ซึ่งเป็นการละเล่นของชาวไทยเชื้อสายเขมรในแถบอีสานใต้ และตามแนวชายแดนติดกับประเทศกัมพูชา เป็นเพลงที่เล่นในเทศกาล หนุ่ม-สาวมีโอกาสได้พบปะกัน เช่น เทศกาลตรุษสงกรานต์ เทศกาลกฐิน ผ้าป่า ในงาน บุญต่างๆ ที่จัดขึ้นที่วัด เจรียง จึงเป็นการละเล่นพื้นบ้าน เป็นเพลงปฏิพากย์ของชาวไทยเขมร โดยชายหญิงร้อง โต้ตอบกันไปมา มีทั้งเจรียงที่ร้องโต้ตอบเป็นคู่ๆ ระหว่างชายหญิง และมีการร้องกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมีผู้นำขับร้อง เรียกว่า หัวหน้า หรือ พ่อเพลง และแม่เพลง อาจจะมีลูกคู่คอยร้องรับในจังหวะ เช่น เจรียงซันตูจ เจรียงตรด เจรียงเบริน เป็นต้น การแสดงอย่างเดียวกันนี้ในประเทศกัมพูชา เรียกว่า "โอะกัญโตล" การเจรียง จะเริ่มต้นด้วยบทไหว้ครูเป็นการรำลึกถึงคุณพระศรีรัตนตรัย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระคุณบิดามารดา ครูบา อาจารย์ แล้วเริ่ม บทปฏิสันฐานกับผู้ฟัง เพื่อบอกเล่าถึงความสำคัญของการแสดงว่า งานนั้นๆ มีการบำเพ็ญกุศล อะไร บางครั้งก็ยกนิทานประกอบ การเจรียงอาจจะเจรียงเป็นกระทู้ถามตอบ ในช่วงหลังๆ จะเพิ่มความสนุกสนาน โดยใช้บทหยอกล้อ กระทบกระเทียบ ในลักษณะตลกคะนองเพิ่มเข้ามา การเจรียงแบ่งออกได้หลายแบบ เช่น [2] • เจรียงซันตรูจ เป็นการร้องเล่นในเทศกาลต่าง ๆ โดยชายหนุ่มจะหาคันเบ็ดมาหนึ่งคัน แล้วใช้ขนมต้มหรือ ผลไม้ผูกไว้ที่เชือกเบ็ด แล้วนำเบ็ดไปหย่อนล่อหญิงสาวถ้าหญิงสาวผู้ใดรับเหยื่อก้แสดงว่ารัก
• เจรียงกันกรอบกัย (เพลงปรบไก) เป็นการเล่นเจรียงคนเดียว ไม่มีดนตรีเป็นแบบแผน ส่วนใหญ่ใช้วิธีตบมือ หรือสีซอเป็นการเจรียงแบบตลก • เจรียงจาเป็ย เป็นการขับร้องเดียวเป็นนิทาน ประกอบพิณกระจับปี่ มีผู้เล่นคนเดียวเป็นผู้ขับร้องและดีด จาเป็ย • เจรียง-จรวง แปลว่าขับร้องโดยปี่จรวงเป่าประกอบ เป็นการขับร้องโต้ถามกันเป็นเรื่องตำนาน สุภาษิตต่าง ๆ เดิมใช้ปี่จรวงประกอบแต่ปัจจุบันใช้ซอแทน • เจรียงนอรแก้ว มีผู้แสดงประกอบด้วยชาย ๒ คน หญิง ๒ คน เป็นการเล่นโต้ตอบระหว่างชายหญิง โดยแต่ ละฝ่ายจะมีพ่อเพลงและแม่เพลงร้องนำและมีลูกคู่ร้องตาม ต่อจากนั้นชาย-หญิงแต่ละฝ่ายจึงร้องโต้ตอบ กันเป็นคู่ ๆ โดยไม่มีเครื่องดนตรีประกอบ • เจรียงปังนา เป็นการขับร้องคล้ายกับเจรียงนอรแก้ว แต่มีจังหวะเร็วกว่า มีผู้แสดงประกอบด้วยชาย ๑ คน หยิง ๑ คน กลองโทน ๑ คน ขับร้องโดยบรรยายเรื่องราวตามต้องการ • เจรียงเบริน เป็นการร้องเพลงคลอกับซอแบบร้องคู่ชาย-หยิง คล้าย "หมอลำกลอน" ของชาวอีสานเป็น ทำนองขับลำนำเรื่องราวหรือโต้ตอบซักถามนิทานชาดก • เจรียงตรุษ เป็นการร้องรำเป็นกลุ่มในวันขึ้นปีใหม่ (๑๓ เมษายน) โดยมีพ่อเพลงร้องนำแล้วลูกคู่ก็ร้องตาม หรือร้องรับเดินทางเป็นคณะไปร้องอวยพรตามบ้านต่าง ๆ เมื่ออวยพรเสร็จก็จะขอบริจาคเงินเพื่อไปทำ สาธารณะประโยชน์ต่าง ๆ ลักษณะการร้องรำอันนี้คล้ายกับการเซิ้งบั้งไฟของชาวอีสานเหนือ • เจรียงกันตรึม ใช้ในงานมงคลโดยเฉพาะ เช่น กล่อมหอ ในงานแต่งงานขึ้นบ้านใหม่ มีผู้เล่นประกอบ ๔ คน เป็นชายทั้งหมด เครื่องดนตรีประกอบด้วย ปี่อ้อ ๑ คน ซอด้วง ๑ คน กลองโทน ๒ คน คนตีกลองจะเป็น ผู้ขับร้อง บทเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน เพลงพื้นบานเจรียงเบรินเปนเพลงพื้นบานที่ใหความรูและความบันเทิง การเลน เจรียงเบรินนอกจาก จะให ประโยชนในดานความเพลิดเพลินแลว ยังใหความรูทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะเนื้อเรื่องสวนใหญจะ นำเอาเรื่องเกี่ยวกับ ศาสนา เรื่องเกี่ยวกับทางโลก เชน การเกิด แก เจ็บ ตาย มาเลนเพื่อเปนอุทาหรณมีคติเตือนใจ มีการสอดแทรกขนบธรรมเนียม ประเพณี ความเชื่อ สุภาษิต นับวาเปนศิลปะที่มีคุณคา เพราะการที่ถายทอดออก มายอมสงผลตอจิตใจของผูชมผูฟง สามารถซึมซับหรือชักจูงใหผูฟงหรือผูชม เกิดความรูโดยไมรูตัว เปนการโนม นาวจิตใจใหเชื่อในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ ในพุทธศาสนา นับเปนการชวยจรรโลงศีลธรรมไว เพลงพื้นบานเจรียงมี คุณคา ในหลายๆดาน ไมวาจะเปนดานภาษา ดานสังคมวิทยา ดานจิตวิทยา
๑. งานศพ งานศพ คือเพลง บทไหว้ครู เจตนา –บุญคุณ เขมมา ๒.งานบุญกระดูก งานบุญกระดูก คือเพลง นางมณีขลา ๓.งานบวช งานบวช คือเพลง สะเบ็นกุมาร ๔.งานกฐิน งานกฐิน คือเพลง มหากันเท็นคอนตีวดา ๑.บทไหว้ครู เนื้อเพลง บทไหว้ครู โอออมพุทธัง อะระตะนัง ทเลียะดอลธัมมัง อะระตะนัง สังฆัง อาเรือดตะเนีย กระยาเมียดบูเจีย เนียงรีบสรัจเฮย เมียนมะลูปรำ มัด เทดซอปรำ หัด ซรามูยเซอะ ประมาพืยบาด รีบตะตูลอย่างสะอาด อัญเจิญกรูกรบ อันเจิญฮาสลาย ลำสวยฮาสล็อบ อัญเจิญเซ็ลปรำ โมจูยกันรบ อันเจิญเซ็ลด็อบ โมจูยค็อมกะจิล โอออมพุทธัง อะระตะนัง ทเลียะดอลธัมมัง โอออมพุธธัง อะระตะนัง ตกถึงธัมมัง อะระตะนัง สังฆัง อะระตะนัง สังฆังอาเรือดตะเนีย กระยาเมียดบูเจีย อาราธนา เครื่องเซ่นบูชา เนียงรีบสรัจเฮย น้องจัดเรียบร้อยแล้ว เมียนมะ ลูปรำ มัด เทดซอปรำ หัด มีพลู ๕ คำ ผ้าขาว ๕ ศอกซรามูยเซอะ ประมาพีย์บาด สุรา ๑ ขวด เงิน ๒๐ บาท รีบตะ ตูลอย่างสะอาด เตรียมการต้อนรับอย่างดีอัญเจิญกรูกรบ อันเจิญฮาสลาย ขอเชิญคุณครูทุกท่าน ขอเชิญนํ้ามนต์ สะกดกายลำสวยฮาสล็อบ อัญเจิญเซ็ลปรำ โมจูยกันรบ นํ้ามนต์สะกดจิต ขอเชิญศีลห้ามาช่วยให้ครบ อันเจิญเซ็ลด็ อบ โมจูยค็อมกะจิล ขอเชิญศีลสิบข้อ มาช่วยอย่าเกียจคร้าน ฯลฯ
๒. เจตนา-บุญคุณ เนื้อเพลง เจตนา-บุญคุณ เจตนาเปียลเปรวเมียนเนิวแบ็ยอย่าง มูย ศีลวิรัตเจตนา ปี สมาธิเจตนา แบ็ย ปัญญาเจตนา กุศลเจตนา อกุศลเจตนา ศีลวิรัตเจตนากายเรียบร้อย ใจเรียบร้อย วาจาเรียบร้อย เนี๊ยะโมมุนโมกรอย โมนึงเรียบร้อยบอนเมียน ตาสร็อก สมาธิเจตนาคือ ระลึกบานปัญญากาลยานคือความ แจ๊ะเด็ง เด็งบาป เด็งบอน เด็นกุน เด็งตุ๊ เด็งเคาะ เด็ง เตริอว เด็งกุนแม่กุนออวกุนแย็ยกุนตา กุศลเจตนาเจ้าภาพเดิมเตียนประเทียนเดิมบอนสละเตือบทนเทอบอนไง แนะเฮากุศลเจตนา อกุศลเจตนาโมกระน๋องบอนแว็ยกระบาลเคนียแบกเฮาอกุศลเจตนา ปูชนียบุคคลเมียนเนิวปรำอย่าง มูย กุนแม่ ปี กุนออวเนี้ยะออบปรัวตรัวแบ็ยออบปรัวตรัวตะกองอันเจ็มโกนเปราะ แซร็ยพองกุนทมขางโกนปรับแบ็ยมันออยโสน กุนตีแบ็ย กุนกรูขางโรงรีนเนี๊ยะจับกระดานออยขีนออยรีนขางบาน แจ๊ะบานเด็ง ข้อที่บูลปูรปรึงกุนกรูอุปชาเนิวขางเวิดขางวาสอนลูกสอนเณรเตียยกเตียยุกาออยแจ๊ะสำพุธเธแจ๊ะเย สันตาเด็งหลักศาสนา ปรำนุ๊เจียมะนองลูกสะดัจมะจร๊แพนแด็ยกรวบกรวงนะกวรจักแร็ย รัตนโกแสร็ย สอกกระเสมกระสาน ๓. เขมมา เนื้อเพลง เขมมา ก็อบมุนกีมันบานเทอบอนเตสมัยกาลเนาะแม่ออวแซร็ยมันแจ๊ะเทอบอนดวงวิญญาณทุกข์ทน โมโจลยูลซ้อปยัว เนียงเติวก็อบออดตึกออดบายลูกเปรียะบรรยายออยแจ๊ะ เทอบอนสละเตือบทนกึดบอนขม็อจ โกนปรับบองปรับ ประโอนด็อดขม็อจเนียงเขมมา
๔. มหากันเท็นคอนตีวดา เนื้อเพลง มหากันเท็นคอนตีวดา กระน๋องเปรี๊ยะศาสนากันเท็นเลือนลอยตีวดาถวายกันเท็นจำนวนไตรปรำรวยลูกเปร๊ยะมันออยเงือบสัตว์เดรัจฉาน เปรี๊ยะอ๋องกาลยานเนี๊ยะกรวงกันเท็น เจรียงเบรินลูกทุ่ง เนื้อเพลง เจรียงยิ่งยงสอนน้อง - ศิลปืน ยิ่งยง ยอดบัวงาม ...... ปะโอนบองเอย ไงแนะไงเจียว เวเลียละออ.. เอ.เบอทาเนียงจองบานอังกอ ออยเนียงยัวสราโตว.เก็น.. เอ.เบอทาเนียงจองเทิดทม สรวลบวนยางเบ็ญ. บอนกุซอนออยเนียงบำเพ็ญ. ไกวละไกลเว็น เนอโอน.. ตระโยน.โยนเอย โยนๆ โยนเอยเนียงเอยก็โยนๆ ก็ปรัวทาบอง.สลันปะโอน บานบองปรับนะบองทา นะบองทา (....ดนตรี...) สมัยซบไงกีเฮาสมัยพัฒนา ซบ.ไง.กีเฮาสมัยพัฒนา. กีเมียนน่ะตองคลับ กีเมียนน่ะตองบาร์โกนเมงนะโปรสะไล แจจั๊วะ...เพาะสรา โตวนานีโมวนา กีจิมอเตอร์ไซค์ กลางคืนนะเที่ยวคลับ กลางวัน...หลับสบาย เดาะมันนะเตือนเลิง อังกุยยุมจองบานปะเตย คลูนทมนะเปินระเบ็ย มันแจ๊ะ...ตนำบาย วิชานะไม่มี ติดตัวนะทรามวัย ดอลเนียงนะปานปะได บองคลาด...เสรยยากรอ โกนเพนคะเมารวล หากินนะไม่พอ เปอเนียงนะขาดกรออ ออยเนียงคอมวิชา...นะวิชา (...ดนตรี..) ตระโยน.โยนเอย โยนๆ โยนเอยเนียงเอยก็โยนๆ ก็ปรัวทาบอง.สลันปะโอน บานบองปรับนะบองทา นะบองทา (...ดนตรี..) แมเอานะนา.คละ ยากรอมันเทยปรูน ออยแตนะโกนซรูน ออยโกนบานศึกษา ร่ำเรียนนะวิชา หาความรู้ใส่ตัว โกนคละนะเวียจูน มันเด๊ะ...กึดเวไกล ทั้งหญิงนะทั้งชาย พากันเที่ยวคลับบาร์ กัญชงนะกัญชา ยาอง...ยาอียาบ้าก็มี พากันมั่วอบาย พ่อแม่อับอาย เอียลเซราะ...เอียลแซร มันเตรยนะโกนแม มันแจ๊ะ.แยะเคาะเตรา โคยมุนะแมเอา โคยดอล...ยัยตา ตัวเราก็ยังเด็ก ออยเร่งการศึกษา ใครมีนะวิชา เขาว่า...เมียนประแซน ยากรอนะยังนา วิชา.จูยาบานเมน กึดออยนะเมนเตน เนอโอน...ปะวอซะเร็ย .ละออบองเอย สดับบองยิ่งยงอันยัย
.โอนเกลียดโอนชังเกอไคว แดลบองยิ่งยงอันยัย ปรัวบองสลันซรัยเนอโอ..โอน (...ดนตรี..) ตระโยน.โยนเอย โยนๆ โยนเอยเนียงเอยก็โยนๆ ก็ปรัวทาบอง.สลันปะโอน บานบองปรับนะบองทา นะบองทา ลักษณะของเพลงที่ใช้เปิดวงเป็นเพลงที่มีลักษณะ ทำนองรวดเร็ว กระชับ คึกครื้น สนุกสนาน เพราะการเปิดวงนี้ จะเป็นเพลงที่ใช้ดึงดูดความสนใจจาก คนดูและทำให้คนดูสนใจมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะตอนที่ นางไหซองออกมาหรือ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นางเอกของวง เพราะในวงดนตรีพื้นบ้านอีสาน วงโปงลางจะมีผู้หญิงเพียงคนเดียวเท่านั้น และเป็นผู้ที่ เพิ่มสีสันให้กับวงดนตรีเพราะนักดนตรีส่วนใหญ่เป็นผู้ชายทั้งหมด โดยเพลงเปิดวงนี้เป็นชื่อเพลง เฉพาะ นักดนตรีส่วนใหญ่จะเรียกว่า เพลงเปิดวง ซึ่งเพลงเปิดวงนี้ในแต่ละวงหรือแต่ละที่จะมีเพลงที่ เป็น เอกลักษณ์ของวงตนเองโดยจะอาศัยจุดเด่นของวงเป็นจุดขาย การขับร้องเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน เป็นการร้องโต้ตอบระหว่าง ชาย – หญิง เป็นทำนอง “ลำ” โดยมีแคนเป็นเครื่องดนตรีประกอบ เจรียง เป็นคำภาษาเขมร แปลว่า “ร้อง” เบรินเป็นชื่อการเจรียงโต้ตอบซึ่งมีคำร้องเป็นภาษาเขมร เข้าใจว่า วิวัฒนาการมาจาการเล่นไปยอังโกง ซึ่งมีลักษณะการเล่นคล้ายกับทำนองการเป่าปี่ไปยอังโกง จะมีทำนองคล้าย กับเสียงแคนที่เป่าประกอบการเล่นเจรียงเบริน ลักษณะการเล่นเจรียงเบรินคล้าย ๆ หมอลำกลอนของชาวไทย ลาว การเล่นเจรียงเบริน จะมีบทร้องแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือบทร้องสั้นที่ร้องโต้ตอบกันระหว่างชายหญิงในแต่ละ ครั้ง ซึ่งมีความยาวไม่เกิน ๖ วรรค แล้วเปลี่ยนให้อีกฝ่ายหนึ่งร้องโต้ตอบเพื่อแก้กลอนกัน ส่วนบทร้องยาวจะเป็น บทร้องที่มีความหมายยาวหลายบท ในการร้องโต้ตอบแต่ละครั้ง ไม่จำกัดความยาว ผู้เล่นประกอบด้วยนัก เจรียงฝ่ายชาย ๑ คน หญิง ๑ คน และหมอแคน ๑ คน เนื้อร้องทุกบทจะนำมาจากคัมภีร์ในทางพุทธ ศาสนา ในคัมภีร์จะปรากฏเรื่องราวที่เป็นคำสอนต่าง ๆ ความรู้เกี่ยวกับกำเนินมนุษย์ งานประเพณีโกนจุก บวช นาค งานกฐิน งานแต่งงาน และงานศพ ตลอดจนงานเทศกาลประจำปีต่าง ๆ ฉะนั้นเจรียงเบริน จึงเล่นได้ทุก โอกาสทั้งงานมงคลสมรสและงานอวมงคล อุปกรณ์ในพิธีไหว้ครู ฝ่ายเจ้าภาพจะต้องจัดเตรียมหาไว้ ประกอบด้วยกรวยดอกไม้ ๕ กรวย ธูป ๕ ดอก เทียน ๑ คู่ หมาก-พลู ๕ คำ เหล้าขาว ๑ ขวด ผ้าขาวยาว ๕ ศอก เงินกำนัล ๒๒ บาท เครื่องรางของขลังที่มีติดตัว มา นำมาใส่ในพานดอกไม้เพื่ออธิฐานของคุ้มครองให้มีโชคร้องรำไม่ผิดพลาด วิธีการเล่นเจรียงเบริน ก่อนเริ่มเล่น จะมีการไหว้ครู เมื่อไหว้ครูเสร็จหมอแคนจะเป่าแคนนำก่อน แม่เพลง เจรียงเบรินจะฟ้อนประกอบเสียงแคนแล้วเริ่มโอ่ โดยเอามือป้องหู (เป็นการฟังเสียงร้องกับเสียงแคนว่าเข้ากัน หรือไม่) แล้วเริ่มเจรียงด้วยบทไหว้ครู ปฏิสันฐานกับผู้ฟังและเจรียงเป็นการบอกกล่าวถึงความสำคัญของงานนั้น
ๆ ว่ามีการบำเพ็ญกุศล มีอานิสงส์อย่างไร มีการยกนิทานอุทาหรณ์ประกอบการเจรียง โดยเจรียงเป็นเชิงกระทู้ ถาม-ตอบ ในทำนอง ปุจฉา วิสัชชนา หลังจากนั้นจึงเจรียงทั่ว ๆ ไป ในการเจรียงเบรินสมัยโบราณ ผู้เล่น เจรียงเบริน ประกอบด้วยเจรียงฝ่ายชาย ๑ คน นักเจรียงฝ่ายหญิง ๑ คน และนักดนตรีหมอแคน ๑ คน ปัจจุบันมีผู้ เล่นเป็นคณะ เช่นคณะไทยรุ้ง คณะสายรุ่งคณะสุพจน์ คณะกาดา เป็นต้น ในการเล่นเจรียงเบรินสมัยก่อนมีการ เจรียงประกอบกับซอ กลอง บางคณะก็มีปี่ ประกอบการเจรียง ต่อมามีการน าแคนเข้ามาประกอบการเจรียง และ มีการโอ่เหมือนหมอลำ การเจรียงที่มีเครื่องดนตรี แคน ประกอบเรียกว่า เจรียงเบริน และแคนที่ใช้เป็นแคน ๗ แคน ๘ หรือ แคน ๙ และไม่จำกัดสถานที่เล่น แต่เป็นเวทียกพื้นสูง ๔ ต้น กว้างประมาณ ๔ เมตร ยาว ๔ เมตร มี หลังคาไม่มีฉาก ยกพื้นปูกระดานจากพื้นดินประมาณ ๒ เมตร หรือต่อเวทีจากบ้าน ออกมาเป็นสถานที่เล่น ปัจจุบัน สถานที่อาจจะเป็นเวทีกลางแจ้ง หรือหอประชุมก็ได้ ในฤดีฝน ถ้าฝนตกอาจเล่นในบ้าน โดยไม่ต้องสร้างโรงมี สถานที่กว้างพอเหมาะกับผู้เล่นและผู้ชม สถานที่เล่นเจรียงเบริน จะมีข้อห้ามคือ ไม่นิยมทำเวทีต่อจากยุ้งข้าวหรือ ฉางข้าว เพราะเชื่อว่าจะทำให้เกิดอาถรรพ์ต่อผู้แสดง และถือเป็นการลบหลู่ ดูหมิ่น โดยไม่ทำเสียงดัง กระโดดโลด เต้น ทำความรำาคาญและรบกวนแก่ภูติผี วิญญาณซึ่งดูแลและสิงสถิตอยู่ในยุ้งข้าวในการเล่นเจรียงเบริน แบบ ดั้งเดิมฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ร้องโต้ตอบกันในสมัยก่อน ต่อมาเล่นเป็นคณะ ซึ่งมากกว่า ๒ คน ขึ้นไป แต่ก็ยังร้อง โต้ตอบกันเป็นคู่ๆ เหมือนเดิม ฉะนั้นการแต่งกายแต่ละฝ่ายมีลักษณะและวิวัฒนาการ ได้แก่ ฝ่ายหญิง ในสมัยก่อน จะนุ่งผ้าซิ่นพื้นบ้านมัดหมี่โฮล (จองโอล์) หรือมัดหมี่ลายต่างๆ (จองซิ่น) สวมเสื้อแขนกระบอก ต่อมาในปัจจุบันบาง คณะนุ่งผ้าซิ่นพื้นบ้าน บางคณะก็สวมกระโปรงสั้นเข้ารูป ซึ่งเรียกว่า กระโปรงฟิต ในสมัยก่อน เสื้อทรงสุภาพหรือ สวมเสื้อแขนกระบอก หรือแขนสั้นเข้ารูปอาจจะเป็นเสื้อลูกไม้มีระบาย และใส่เครื่องประดับ ตุ้มหูพวงระย้า(ตะเกา รันยูล) มีประค าใส่ข้อมือ(ประเกือมจองได) และสวมสังวาล (จาร) และฝ่ายชายจะนุ่งโสร่ง สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสี ขาว มีผ้าสไบ (ผ้าขาวม้า) พาดบ่า ต่อมาเปลี่ยนเป็นนุ่งกางเกงขายาว สวมเสื้อเชิ้ต แขนยาวพับแขนขึ้นมาประมาณ ๒-๓ พับมัดผ้าขนหนูผืนเล็กๆ พาดไว้ที่ต้นคอ เพื่อใช้เป็นผ้าเช็ดหน้า หรือซับเหงื่อ ไม่สวมรองเท้า ท่าร าในการเล่น เจรียงเบรินหลังจากการร้อง หรือโอ่จะมีการฟ้อนยืดยุบตัวและม้วนมือจีบวงตามจังหวะเสียงแคน คล้ายกับหมอลำ คู่ของอีสานเหนือ ท่าฟ้อนจะฟ้อนในช่วงดนตรีรับและในช่วงที่ร้องเป็นบางครั้ง สลับกันไป ในการฟ้อนไม่มีรูปแบบ ตายตัวจะยืดยุบตัวพร้อมกับย่อเข่าไปตามจังหวะ และฟ้อนไปด้วยตามจังหวะลีลาของเสียงแคน ท่าฟ้อนมีทั้งช้า และเร็ว เป็นลักษณะของการฟ้อนเกี้ยวระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิง เมื่อเจรียงถึงบทเร้าใจ หรืออยากหยอกเย้าคู่ เจรียงก็จะใช้มือดีดนิ้วเพื่อให้เกิดเสียงดังเป็นจังหวะ เพิ่มรสชาติให้สนุกสนานยิ่งขึ้น ได้แก่ ท่ารำเดิน ท่ารำถอย ท่า รำเคียง ท่ารำเกี้ยว ท่ารำดีดนิ้ว และท่ารำเตะขา ตามท่วงทำนองเสียงแคน การเล่นเจรียงเบรินจะต้องมีพิธีไหว้ครู ก่อนการแสดงทุกครั้ง ซึ่งอุปกรณ์ที่ใช้ในพิธีไหว้ครู หรือเครื่องบูชาครูเจรียงเบริน แต่ละคณะแต่ละครูอาจจะ แตกต่างกันบ้างฝ่ายเจ้าภาพจัดงานหรือว่าจ้างจะต้องเตรียมหาไว้ให้ซึ่งประกอบด้วย กรวยดอกไม้๕กรวย ธูป ๕ ดอก เทียน ๑คู่ หมากพลู๕คำเหล้าขาว ๑ขวด ผ้าขาวยาว ๕ศอก ๑ผืน เงิน ๒๒บาทวิธีการถ่ายทอดเพลงพื้นบ้าน: เจรียงเบริน จังหวัดสุรินทร์ ในสมัยโบราณภูมิปัญญาท้องถิ่นจะได้รับความรู้สืบทอดจากบิดา มารดา ญาติพี่น้อง ซึ่ง เป็นเจรียง หรือบิดามารดา พาลูกไปฝากเป็นลูกศิษย์อยู่ที่บ้านครูในช่วงค่าครูจะสอนให้ลูกศิษย์เรียนรู้แบบตัวต่อ ตัวโดยอ่านให้ฟัง ให้ฝึกจำตามคำพูดของครูฝึกท่อง และให้ศึกษาเทคนิคการร้องเล่นกันในงานงานศพหรืองาน ประเพณีต่างๆ และให้ลูกศิษย์จำสำนวนหรือสุภาษิตที่ดีเพื่อนำไปต่อบทเจรียง สำหรับการรำหรือการเข้าดนตรี ก็
ฝึกด้วยตนเองจากการแสดงจริงบนเวที ครูจะเป็นผู้คอยแนะนำเพิ่มเติมต่อมาจึงมีการถ่ายทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น การเจรียงให้แก่ลูกศิษย์ ผู้สนใจและครูผู้สอนในสถานศึกษา ซึ่งการถ่ายทอดความรู้เรื่องเจรียงเบริน มีหลายรูปแบบ ทั้งทางตรง คือการศึกษาในระบบ โดยปฏิบัติหน้าที่เป็นวิทยากรหรือครูผู้สอนในโรงเรียน และทางอ้อม คือ การศึกษาตามอัธยาศัยให้กับบุคคลทั่วไปและผู้สนใจ การเล่นเจรียงนั้น มีทั้งที่จัดเป็นคณะ และเล่นกันเองตามเทศกาล เป็น ๒ ลักษณะ ได้แก่ ๑. เจรียงในวงกันตรึมวง ซึ่งเป็นวงดนตรีประกอบด้วย ปี่ออ ปี่ชลัย กลอง กันตรึม ฉิ่ง ฉาบ กรับ ปัจจุบันมีซออู้ และซอด้วงด้วย เมื่อเจ้าภาพจัดหาวงกันตรึมมาเล่น ก็จะมีการร้องเพลง คือ เจรียงประกอบวงกันตรึม เนื้อร้องจะ เลือกให้เข้ากับงานบุญกุศลนั้นๆ หรือตามที่ผู้ฟังขอมา ๒. เจรียงเป็นตัวหลัก ในวันเทศกาล ชาวบ้านที่มีอารมณ์ศิลปินจะจับกลุ่มร้องเจรียงที่จำสืบทอดกันมา ผลัดกันร้อง และรำฟ้อนด้วย เช่น เจรียงตรุษ เจรียงนอรแกว (เพลงร้องโต้ตอบระหว่างชาย-หญิง) ตัวอย่าง เจรียงซันตูจ (เพลงตกเบ็ด) ปกัวร์เลือนกันโดะ (ฟ้าลั่นสั่นสะเทือน) บองจัญเรียบ มจ๊ะเสราะ (พี่ขอแจ้งเจ้าของบ้าน) บองโซมลีงซันตูจโกน กระโมม (พี่ขอเล่นตกเบ็ดกับลูกสาว) ลิ่งเตียง เนียงตูจ (เล่นทั้งน้องนางคนเล็ก)
รโฮด ดอลเนียงธม (ตลอดถึงน้องนางคนโต) โซมลีง ซันตูจโกน กระโมม (ขอเล่นตกเบ็ดกับลูกสาว) ตามจ๊ะโบราณ (ตามคนแก่โบราณ) เครื่องดนตรีเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ดนตรีที่ใช้ประกอบการเล่นเจรียงเบรินได้แก่แคน ผู้แสดงประกอบด้วยนักแสดงชาย 1 คน หญิง 1 คน และ แคน 1 คน ชาวไทยเชื้อสายเขมรเรียกนักแสดงว่า “เนียะ จรีง” หรือ “เนียะจำรีง” พิธีไหว้ครูจะทำก่อน เริ่มการแสดง ทุกครั้ง นักร้องชาย-หญิงและหมอแคน จะร่วมทำ พิธีพร้อม กันเป็นการระลึกถึงครูบาอาจารย์ที่ได้ ถ่ายทอดวิชาความรู้ตลอดทั้งบิดามารดาที่ได้ให้กำ เนิดเลี้ยงดูมาและบอกเจ้าที่ เจ้าทางที่ได้มาทำการแสดงในงาน นั้น ถ้าเป็นงานศพจะเรียก ชื่อผู้ตายให้มารับเครื่องเซ่นไหว้ เครื่องไหว้ครูของแต่ละ คณะส่วนใหญ่จะคล้ายกัน ข้อ สำคัญคือต้องแยกเครื่องไหว้ครู
๑.แคน เป็นเครื่องดนตรีที่นิยมแพร่หลาย แคนเป็นเครื่องดนตรีประเภทลม มีลิ้นโลหะเกิดจากลมผ่านลิ้นโลหะและ ผ่านไปตามลำไม้การเป่าแคน จะเป่าทำนอง เรียกว่าลายแคน เป็นการลอกเลียนแบบท่วงทำนองและเสียงจาก ธรรมชาติเช่น ๑.๑ ลายสุดสะแนน มาจากคำอีสานที่ว่า “สายแนน” มีความหมายว่า ต้นตอ หรือสายใย ลายสุดสะแนนเป็น ลายที่ผู้เล่นจะเล่นได้ก่อนลายอื่น ๑.๒ ลายแมงภู่ตอมดอก เป็นลายที่เลียนแบบธรรมชาติของแมงภู่ ที่บินตอม ดอกไม้เสียงดังหิ่น ๆ มีทำนอง ลีลาช้า ๆ ก่อนแล้วเร็วกระชั้นเข้าตามลำดับ ๑.๓ ลายวัวขึ้นภูเป็นลายเลียนแบบเสียงธรรมชาติโปงลางนิยมทำไว้แขวนคอวัวที่พ่อค้านำเข้ามาขาย เวลา วัวเดินข้ามภูเขา จะมีเสียงขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นทำนอง ฟังแล้ววิเวก วังเวงคิดถึงบ้านลายแม่ฮ้างกล่อมลูก อาศัย ธรรมชาติความว้าเหว่และการพิไร รำพรรณผสม การประชดประชันชีวิตของหญิงที่ถูกสามีทิ้งที่ลายลมพัดไผ่ เป็น การเลียนเสียงกิ่งไผ่ที่ลู่ไปตามลมเวลา ใบไผ่ร่วงลงพื้นจะเหมือนกังหันเวลาร่วงลงมาก ๆ จะงดงามมาก เสียงคืนจะ รำพันออกมาได้อย่าง ไพเราะลายลมพักพร้าว ธรรมชาติของใบมะพร้าวเมื่อถูกลมจะโยกไหวอย่างเชื่องช้าคราใดที่ พายุพัด มาจะเอนตัวไปตามสายลม พร้อมกับสะบัดใบเสียงดังเป็นจังหวะ ๑.๔ เต้ย จังหวะเต้ยเป็นจังหวะกระชับเพื่อให้ผู้ล าได้ออกท่าฟ้อนเวลา เป่าลายเต้ย หมอแคนจะเป่าเป็นตอน ๆ ตามคนเต้ยมีขึ้นและลงอย่างสนุกสนุกสนาน ๑.๕ ลายเซิ้ง เป็นการเป่าให้คนได้ล าเซิ้ง เช่น เซิ้งสวิง เซิ้งกระติบข้าว เป็นต้น แคน มีส่วนประกอบต่าง ๆ ดังนี้
ลูกแคน ลูกแคน ทำจากไม้ตระกูลไผ่ชนิดหนึ่ง ทางภาคอีสาน เรียกว่าไม้ไผ่เฮี้ย ชาวลาวเรียกว่า ไม้เฮี้ยน้อย ทาง ภาคกลางและทางเหนือเรียกไม้ซาง และเนื่องจาก ไม้ไผ่เฮี้ยนี้ โดยมากนำมาใช้ทำแคนเป็นหลัก ช่างแคน จึงนิยม เรียกว่า ไม้กู่แคน ไม้กู่แคน เป็นพืชตระกูลไผ่ มีลำเล็ก ๆ ขนาดประมาณเท่านิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้และนิ้วนาง มีปล้อง ค่อนข้างยาว ภายในมีรู มีเปลือกบาง ก่อนนำมาใช้ จะลนไฟแล้ว ดัดให้ตรง แบ่งขนาดความยาวตามความ เหมาะสมของเสียงแคนและรูปทรงแคน ไม้กู่แคนทุกลำทะลุข้อออกเพื่อให้ลมผ่าน ฝังหลาบโลหะเรียกว่าลิ้นแคน (ซึ่งเลียนแบบมาจากลิ้นนก) ตรงรูสี่เหลี่ยมผืนผ้า เล็ก ๆ ซึ่งตรงลิ้นแคนนี้ เมื่อประกอบเป็นแคนแล้ว จะอยู่ภายใน เต้าแคนอีกที มองไม่เห็น หากเป็นแคนลิ้นคู่ รูใส่ลิ้นแคนจะมีสองรูต่อหนึ่งลูกแคน ถัดจากลิ้นแคนขึ้นไปประมาณ ๑๕-๒๐ ซ.ม. ในแนวเดียวกัน จะเจาะรูกลมเล็ก ๆ ลำละหนึ่งรู เพื่อใช้นิ้วปิดเปิดเวลาบรรเลงเพลง เรียกรูนี้ว่า รูนับ ถัดจากลิ้นแคนลงมาด้านล่าง ระยะห่างขึ้นอยู่กับเสียงที่ต้องการ ด้านในจะบากรูไว้ลำละรู รูนี้คือ รูแพวล่าง เป็นรู พื้นฐานในการกำหนดระดับเสียง และถัดจากรูนับขึ้นไปอีก ระยะห่างขึ้นอยู่กับเสียงที่ ต้องการ หรือประมาณ 3 เท่าของระยะรูแพวล่างกับลิ้นแคน ด้านในจะบากรูไว้ลำละรู รูนี้เป็นรูแพวบน เป็นรูสำหรับปรับแต่งระดับเสียง (การปรับเสียง มีสองวิธีคือ ปรับโดยระยะห่างของรูแพวบน กับปรับโดยขูดลิ้นแคน). 2. เต้าแคน ท าจากแก่นไม้ที่ เนื้อไม่แข็งมากนัก เช่นไม้แคนหรือไม้ตะเคียน ไม้หนามแท่ง ไม้ประดู่ แต่ที่นิยมมากที่สุดคือ รากไม้ประดู่ เพราะ รากไม้ประดู่ ไม่แข็งมากนัก ตัด บาก เจาะทำรูปทรงของเต้าแคนได้ง่าย ช่องว่างระหว่างเต้าแคนและลูกแคน จะถูก ปิดผนึกแน่น ด้วยขี้สูด เพื่อปิดกั้นมิให้ลมที่เป่าเข้าไปนั้นรั่วออกมาข้างนอก ลมที่เป่าเข้าไป จะได้ผ่านออกทางลิ้น แคนอย่างเดียว หลาบโลหะ หลาบโลหะ คือแผ่นโลหะบาง ๆ ใช้สำหรับทำลิ้นแคน โดยช่างแคนจะค่อย ๆ ทุบตีก้อนโลหะ จาก ที่เป็นก้อน ให้เป็นแผ่นเส้นยาว ๆ จากที่เป็นแผ่น ให้กลายเป็นแผ่นบาง ๆ พอเหมาะกับการใช้งานหลาบโลหะที่ใช้ท าลิ้นแคน เป็นโลหะผสม โดยมากใช้โลหะผสมระหว่างทองแดงกับเงิน แคนที่ใช้ลิ้นที่ท าจากทองแดงผสมกับเงิน เรียกว่า แคนลิ้นเงิน ให้โทนเสียงออกนุ่ม ๆ มีเสียงสดใสโทนแหลมของโลหะทองแดง และเสียงโทนทุ้มของโลหะ เงิน ดังนั้น แคนลิ้นเงิน จึงให้เสียงที่ฟังไพเราะ สบายหู นุ่มหูแคนที่ใช้ลิ้นที่ทำจากสตางค์แดงล้วน ๆ ไม่ผสมเงิน เรียกว่า แคนลิ้นทองแดง หรือแคนลิ้นทอง แคนลิ้นทอง (แดง) นี้ เนื่องจากหลาบโลหะสตางค์แดง มีความแข็งมาก จึงให้เสียงโทนแหลมใส เป่าแล้วเสียงดังไกล แต่มีความนุ่มนวลน้อย ขี้สูดหรือชันโรง เป็นขี้ผึ้งเหนียวสีดำที่ได้จากรังของแมลงชนิดหนึ่ง ตัวเล็กกว่าผึ้งเรียกว่า แมลงขี้สูด หรือบางแห่ง เรียก แมงน้อย คุณสมบัติของขี้สูดคือ อ่อน เหนียว ยืดหยุ่น ไม่ติดมือและไม่แห้งกรอบ ขี้สูดใช้สำหรับติดยึดลูกแคน เข้ากับเต้าแคน ทั้งยังช่วยปิดอุด ช่องว่างระหว่างลูกแคนกับเต้า และระหว่างลูกแคนกับลูกแคน เพื่อไม่ให้ลมที่ผ่าน เข้าสู่โพรงเต้าแคน รั่วไหลออกจากเต้า ไม้กั้น ไม้กั้น ทำจากไม้ไผ่ เหลาเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ 1 ซ.ม. หนาประมาณ 1 ซ.ม. และยาว ประมาณ ไม่เกินความกว้างของแคนดวงนั้น ไม้กั้นนี้ ใช้กั้น ระหว่างลูกแคนแพซ้าย กับแพขวา ตรงจุดที่มีเชือกมัด ซึ่งจุดที่มีเชือกมัด โดยมากจะมีอยู่ 3 จุดคือ ด้านล่าง 1 จุด ตรงกลางแถว ๆ ปลายลูกแคนที่สั้นที่สุด 1 จุด และ ด้านบนตรงปลายลูกแคนที่ยาว ที่สุด อีก 1 จุด นอกจากนั้น ตรงรูสี่เหลี่ยมของเต้าแคน ก็ใช้ไม้กั้นอีก 2 จุด บน-ล่าง รวมแล้ว แคน 1 ดวง ใช้ไม้กั้นประมาณ 5 อัน
เชือก ใช้สำหรับมัดยึดลูกแคนให้อยู่ในรูปทรงที่ต้องการให้แคนมีความแข็งแรงขึ้น เชือกมัดนี้ นิยมใช้ เครือหญ้า นาง และหวาย แต่บางแห่งในปัจจุบัน ก็ใช้เชือกฟาง แคนที่ผลิตที่แถวร้อยเอ็ด นิยมใช้เครือหญ้านาง เป็นเชือกรัด แคน แคนที่ผลิตที่แถวนครพนม นิยมใช้หวาย เป็นเชือกรัดแคน ๒. ซอเล็ก เป็นเครื่องดนตรีที่ประกอบด้วย ๕ ส่วน ด้วยกันคือ ส่วนที่ ๑ คันทวน ทำ มาจากไม้ประดู่ ส่วนที่ ๒ กล่องเสียง เป็นกระบอกทำจากไม้เนื้อแข็ง ส่วนที่ ๓ ลูกบิด มี ๒ อันทำจากไม้พะยูง ส่วนที่ ๔ คันชัก ทำด้วยไม้มูก ขึงด้วย หางม้าหรือเอ็นขนาดเล็ก มีลักษณะคล้ายคันธนู อยู่ตรง กลางระหว่างสายซอทั้งสอง ส่วนสุดท้าย สายซอ ทำจากลวด หรือเบรกรถจักรยาน การบรรเลงซอเล็ก จะบรรเลงทำ นอง เดียวกันกับเครื่องดนตรีประเภทบรรเลง ทำ นองชนิดอื่น ๓. ซออู้ เป็นเครื่องดนตรีที่ประกอบด้วย ๕ ส่วน ด้วยกันคือ ส่วนที่ ๑ คันทวน ทำ มาจากไม้พะยูง ส่วนที่ ๒ กล่อง เสียง เป็นกระบอกทำจากกะลามะพร้าว เปิดออกด้าน หนึ่งแล้วเอาเนื้อออกให้หมด ด้านหลังเจาะเป็นรูเพื่อระบาย ลมให้เสียงออกอาจมีการแกะสลักให้สวยงาม ด้านหนึ่งขึง ด้วยหนังลูกวัว เรียกว่า หน้าซอ ส่วนที่ ๓ ลูกบิด มี ๒ อัน ทำจากไม้พะยูง ส่วนที่ ๔ คันชัก ทำด้วยไม้พะยูงขึงด้วยหาง ม้าหรือเอ็นขนาดเล็กมีลักษณะคล้ายคันธนู อยู่ตรง กลาง ระหว่างสายซอทั้งสอง ส่วนสุดท้าย สายซอทำ จากลวด ๔. ตรัว ของตรัว เป็นเครื่องดนตรีที่ประกอบด้วย ๕ ส่วนด้วยกันคือ ส่วนที่ ๑ คันทวน ทำ มาจากไม้ประดู่ ส่วน ที่ ๒ กล่องเสียง ด้านหนึ่งใส่คอนแท็กรับสัญญาณเสียงจาก สายซอเรียกว่าหน้าซอ ด้านหลังกล่องเสียงเจาะรูเอาไว้รับ สายสัญญาณเพื่อส่งสัญญาณไปยังเครื่องขยายเสียง บน กล่องเสียงมีปุ่มหมุนปรับสัญญาณเสียง ๒ ปุ่ม ได้แก่ปุ่มที่ ๑ ใช้ปรับความดัง-เบาของเสียง ปุ่มที่สองใช้ปรับเสียงทุ้มแหลม ส่วนที่ ๓ ลูกบิด มี ๒ อันเป็นลูกบิดกีตาร์ ส่วนที่ ๔ คันชัก คันชักทำด้วยไม้ประดู่ขึงด้วยหางม้าหรือเอ็นขนาด เล็กมีลักษณะคล้ายคันธนู อยู่ตรงกลางระหว่างสายซอทั้ง สอง ส่วนสุดท้าย สายซอทำจากลวดหรือเบรกรถจักรยาน การบรรเลงตรัวจะบรรเลงทำ นองเดียวกันกับปี่ใน เมื่อ นำ มา เปรียบเทียบกับตรัวทั่วไปแล้วพบว่า มีส่วนประกอบที่แตก ต่างกันคือ กล่องเสียงและลูกบิด ๕. ปี่หรือปี่ใน ประกอบด้วยตัวปี่หรือเลาปี่ทำ มา จากไม้พะยูง และลิ้นปี่ที่ทำจากใบตาลมาตัดเป็นรูปใบผัก แว่นผูก ติดกับท่อทองเหลืองขนาดเล็กเรียกว่า กำ พวดปี่ ใช้เสียบที่รูด้าน บนเป่าให้เกิดเสียง มีรูนับนิ้ว ๖ รู ตัวเลาปี่เจาะ ทะลวงตลอดทั้งลำ มีลักษณะเป็นปากลำ โพง คือไล่ระดับ จากเล็กไปหาใหญ่ สามารถทำ ได้ หลายเสียงแต่มีเสียง ที่เป็น หลักมีอยู่ ๙ เสียง ส่วนเสียงอื่นๆ นั้นแล้วแต่ความสามารถ ของผู้บรรเลง การบรรเลงปี่หรือปี่ในจะบรรเลง เป็นทำ นอง หลักเช่นเดียวกับตรัว ๖. โทน โทนที่ใช้เป็นโทนที่ทำ มาจากไม้ขนุน มีลักษณะที่คล้ายกับโทนในวงมโหรีของภาคกลางแต่มีขนาด ใหญ่ กว่าและป่องตรงกลาง กล่าวคือมีลักษณะคล้ายกับ สรีระของสตรี โทนแบ่งออกเป็น ๓ ส่วนคือ ๕.๑ ส่วนหน้าโทน ใช้ขึงหนังวัวแล้วตีให้เกิด เสียง ๕.๒ ส่วนอกของโทน ๕.๓ ส่วนสะโพกและท้ายโทน การบรรเลงโทน จะใช้ตีกำกับจังหวะไปพร้อมกับเครื่องกำกับจังหวะชนิดอื่น
๗. กลองรำ มะนา เป็นกลองขนาดใหญ่ หน้ากลอง ขึงด้วยหนังวัว ตรึงด้วยหมุด ตัวกลองทำด้วยไม้ขนุน ตีด้วย ไม้ เช่นเดียวกับกลองทัดและกลองเพลของภาคกลาง การบรรเลงกลองรำ มะนา จะใช้ตีกำกับจังหวะหลักในวง ๘. ฉิ่ง ทำจากทองสัมฤทธิ์หรือทองเหลือง ฉิ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลาง ๗ เซนติเมตร มี ๒ ฝาใช้ผูกเชือกร้อยเข้า ไว้ ด้วยกัน การบรรเลงฉิ่ง จะบรรเลงในรูปแบบอัตราจังหวะ ๒ ชั้น ๙. ฉาบ ทำจากทองสัมฤทธิ์หรือทองเหลือง มีเส้น ผ่านศูนย์กลาง ๑๖ เซนติเมตร มี ๒ ฝา และใช้เชือกร้อยเข้า ไว้ ด้วยกันเช่นเดียวกับฉิ่ง การบรรเลงฉาบ จะบรรเลงในรูป แบบอัตราจังหวะ ๒ ชั้น เทคนิคที่ใช้ในการบรรเลงวงดนตรีพื้นบ้านอีสานใต้ มีทั้งหมด ๔ เทคนิค ดังนี้ เทคนิคที่ใช้มากที่สุดอันดับหนึ่งคือ เทคนิค การพรมสาย เทคนิคที่ใช้มากเป็นอันดับสองคือ เทคนิค การใช้เสียงเลื่อน (เอ้เสียง) เทคนิคที่ใช้มากเป็น อันดับสาม คือ เทคนิคการขย่ม ส่วนเทคนิคที่ใช้มากทเป็นอันดับสี่คือ เทคนิคการประสาย วิธีการปฏิบัติเหมือนกับ การใช้เทคนิค การสีซออีสาน แต่จะ แตกต่างกันในเรื่องของเสียง เนื่องจากการตั้งเสียงของเพลงพื้นบ้านอีสานใต้ จะตั้งเสียงเป็นขั้นคู่ ๔ (D-G) ซึ่งต่างจากการตั้งเสียงซออีสานที่ตั้งเสียงเป็นขั้นคู่ ๕ (A-E) ด้านบทเพลงที่ใช้บรรเลง อีสานใต้ เป็นบทเพลงที่มีทำ นองและ จังหวะที่เป็นเอกลักษณ์บ่งบอกความเป็นอีสานใต้ได้อย่าง ชัดเจน หากใช้ เทคนิคอย่างอื่นที่นอกเหนือจากเทคนิคที่ได้กล่าวมา อาจจะทำ ให้เพลงที่ใช้บรรเลงนั้นขาดความเป็น เอกลักษณ์ ซึ่งผู้บรรเลงเพลงพื้นบ้านอีสานใต้ได้ถ่ายทอดอารมณ์เพลง ผ่านเสียงร้องซึ่งมีการใช้เทคนิคการร้องที่เป็นเอกลักษณ์ ของวงเจรียงเบรินเพลงพื้นบ้านอีสานใต้ ได้อย่างสวยงาม) ที่ว่าเป็น วิชาที่เกี่ยวกับความงาม และทำหน้าที่ร้องเติม เต็มความ เป็นอีสานใต้ในวงเพลงพื้นบ้านอีสานใต้ได้เป็นอย่างดี สำหรับผู้ที่สนใจเรื่องการบรรเลงตรัวในวงมโหรี พื้นบ้านอีสานใต้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องฝึกเทคนิคทั้ง ๔ เทคนิคที่กล่าวมาให้เกิดความชำนาญเพื่อความไพเราะ และเติมเต็มความเป็นเอกลักษณ์ของบทเพลงพื้นบ้านอีสานใต้ การร่ายรำเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน การแต่งกายของนักร้องฝ่ายหญิง สมัยโบราณ จะนุ่งโจงกระเบน เสื้อคอกลมแขนกระบอกมีผ้าสไบไหม พาดไหล่ มัดรวบไว้ด้านข้างระหว่างเอว หรือบางครั้งใช้ผ้า สไบคล้องคอปล่อยชายทั้งสองเท่ากันไว้ด้านหน้า ต่อมา เปลี่ยนมานุ่งผ้าถุงไหมทอมือลวดลายแบบพื้นเมืองสุรินทร์เรียกว่า“ซัมป็วดโฮล”นักร้องฝ่ายชายสมัยโบราณ จะนุ่ง โจง กระเบนด้วยผ้าหางกระรอก (ผ้ากะเนียว) สวมเสื้อคอกลม คล้องด้วยผ้าขาวม้าไหม ทิ้งชายไปข้างหลังสองชาย มีผ้า ขาวม้าคาดเอว ๑ ผืน ต่อมาเปลี่ยนมานุ่งโสร่งไหมแทนและ มีผ้าขาวม้าคาดเอว ปัจจุบันแต่งกายแบบชุดสากล และแบบ พื้นบ้าน หมอแคน สมัยโบราณนุ่งโจงกระเบน ต่อมาเปลี่ยน เป็นนุ่งโสร่ง ใส่เสื้อคอกลม คาดเอวด้วย ผ้าขาวม้า ปัจจุบัน เปลี่ยนมาเป็นสวมเสื้อแขนยาวส่วนใหญ่นิยมใส่เสื้อแขนยาว สีสุภาพ คาดเข็มขัด หรืออาจจะ แต่งตามโอกาสที่ไปแสดง
ท่ารำของเจรียงเบรินเป็นท่ารำ ที่ไม่มีแบบแผนตายตัว โดย จะรำ ไปตามจังหวะเสียงแคน ประกอบด้วย ท่ารำ เดิน ท่ารำ ถอย ท่ารำ เคียง ท่ารำ เกี้ยว ท่ารำ เตะขา ท่ารำดีดนิ้ว และท่า กระทบปลายฝ่าเท้า โดยเฉพาะท่ารำดีดนิ้ว และท่ากระทบ ปลายฝ่าเท้าถือเป็นเอกลักษณ์และอัตลักษณ์ที่สำคัญของเจรียงเบริน สถานที่แสดงเจรียงเบริน สมัยก่อนสามารถเล่นได้ไม่จำกัดสถานที่ หรือสถานที่ที่เจ้าภาพจัดเตรียมไว้ให้ เช่น เล่นในลานบ้านหรือบนบ้าน หรือในลานวัด ต่อมาจึงสร้าง เป็นโรงเพลงชั่วคราว เรียกว่า เวที เพื่อให้ทุกคนสามารถ มองเห็นนักร้องได้อย่าง ทั่วถึง เจรียงเบรินสามารถเล่นได้ทุก โอกาสไม่ว่าจะเป็นงานมงคล หรืองานอวมงคล รวมทั้งงาน บุญประเพณีต่างๆ อัตราค่าจ้างในการเล่นแต่ละคนแต่ละ คณะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของคณะเจรียงและระยะ ทางที่เดินทางไป แสดงรูปแบบการละเล่นเจรียงเบรินในอดีตและปัจจุบันมีการพัฒนาปรับเปลี่ยน ดัดแปลงเนื้อหา ภาษา การแต่ง กายให้สอดคล้องกับสังคมและความต้องการของผู้ชมและผู้ฟัง แต่ยังคงรักษารูปแบบการละเล่นแบบเดิมเอาไว้ ใน อดีต นิยมร้องแบบเกี้ยวพาราสี และร้องตอบโต้กันไปมาคล้าย การโต้วาที แต่ปัจจุบันนิยมร้องแบบเรื่องราวที่ เกี่ยวข้อง พระพุทธศาสนา สอดแทรกคติสอนใจ เจรียงเบริน มีโอกาส ถ่ายทอดผ่านงานส่วนตัวและงานของชุมชน และเจรียงเบริน ผ่านสื่อทางสถานีวิทยุ สถานีโทรทัศน์และการบันทึกลง แถบบันทึกเสียง กลุ่มผู้ฟังเจรียงเบรินใน อดีตมีทุกเพศทุกวัย เกือบทุกพื้นที่ในแถบที่พูดภาษาถิ่นไทยเขมร
สรุปผลการศึกษา ผลการศึกษาด้านประวัติความเป็นมาของ เพลงพื้นบ้านเจรียงเบรินพบว่า เจรียงเบรินเป็นเพลง พื้นบ้านของชาว ไทยเชื้อสายเขมรในแถบจังหวัดสุรินทร์บุรีรัมย์และศรีสะเกษ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเกี่ยวกับกลุ่ม ชาติพันธุ์ไทย เขมรของสำ นักงานคณะกรรมการวัฒนธรรม แห่งชาติ ได้ให้ความหมายว่า ชาวไทยเชื้อ สายเขมร เป็นกลุ่มชาติ พันธุ์กลุ่มหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียง เหนือหรืออีสานใต้ ในจังหวัดแถบแนวชายแดนไทยกัมพูชา ได้แก่ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ อุบลราชธานีบางส่วน ใช้ภาษาพื้นเมืองเป็นภาษาเขมรสำ หรับการสื่อสาร เจรียงเบริน มี วิวัฒนาการมาจากบทร้องเก่าแก่ของเขมรที่เรียกว่า “กัน ตร็อบไก” ซึ่งใช้วิธีด้นกลอนสดเป็นภาษาเขมร ซึ่งผลการ วิจัยแสดงออกมาให้เห็นถึงลักษณะการแพร่กระจายของ วัฒนธรรม ที่มาจากกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ในเขตติดต่อกันของ ชาวไทยเขมรจังหวัดสุรินทร์กับชาวเขมรของกัมพูชา ที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ทำ ให้เกิดการแพร่กระจายทาง วัฒนธรรม ต่อกันด้วย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทฤษฎีการแพร่กระจาย ทางวัฒนธรรม (Cultural Diffusion Theory) ของโครเบอร์(Krober, 1963) ซึ่งเสนอแนวความคิดว่า วัฒนธรรมจะแพร่ กระจายจากจุดศูนย์กลาง (จุด กำ เนิด) ไปตามพื้นที่เท่าที่มัน จะเป็นไปได้ในเขตภูมิศาสตร์เดียวกันและยุคสมัยใกล้เคียง กัน ผู้วิจัยใช้ทฤษฎี “การ แพร่กระจายทางวัฒนธรรม” มา อธิบาย ประวัติความเป็นมาของเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน ซึ่งจะศึกษาตั้งแต่อดีต ถึงปัจจุบันโดยใช้วิธีการสืบย้อนทาง ประวัติศาสตร์ เพื่อให้รู้ความเป็นมาของลักษณะและยุค สมัยของสิ่งที่พบ เนื่องจากมีการติดต่อปฏิสัมพันธ์ มีการ เดินทางไปมาหาสู่ระหว่างคนจากสังคมหนึ่งไปอีกสังคมรูปแบบการเล่น เจรียงเบรินแต่เดิมจะมีเฉพาะหมอแคน นักร้องชายและหญิง อาจจะมีคู่เดียวหรือ หลายคู่ก็ได้ แต่ในปัจจุบันมีการ ปรับเปลี่ยนให้ทันสมัยและ เหมาะสมกับยุคสมัยมากขึ้น โดยมีการเพิ่มผู้รำ เข้ามา ซึ่งผู้รำ ที่กล่าวมานี้มีอยู่สอง ประเภทคือ ผู้รำ ที่เป็นนักรำอาชีพ ที่รับงานทั่วไป และผู้รำ ประจำคณะ หรืออาจเป็นนักร้องที่ เป็นฝ่ายมารำสลับ กับการร้อง หนึ่ง ภายใต้สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติใกล้เคียงกัน เขต ภูมิศาสตร์เดียวกัน และยุคสมัยที่ใกล้เคียง กัน ทำให้เกิดการแพร่กระจายทางวัฒนธรรม เกิดการยอมรับวัฒนธรรมใหม่ โดยไม่จำ เป็นว่าจะมีจุดกำ เนิด ร่วมกัน องค์ประกอบของเพลงพื้นบ้านเจรียงเบริน พบว่า เจรียงเบรินเป็นเพลงปฏิพากษ์ใช้วิธีด้นกลอนสด เป็น ภาษาเขมรร้องโต้ตอบกันระหว่างนักร้อง ชาย-หญิง เรื่องราวที่ร้องจะเกี่ยวกับทางโลกและทางธรรม สอด แทรก ขนบธรรมเนียมประเพณี ความเชื่อ สุภาษิต บาป บุญคุณโทษ ความกตัญญูกตเวที ซึ่งถือเป็นธรรมเนียม วัฒนธรรม การละเล่นพื้นบ้านที่ตอบสนองต่อความต้องการ ของกลุ่มชนทั้งในด้านความรื่นเริงบันเทิงใจ ตามลักษณะของเพลง ปฏิพากษ์เป็นการเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาวและ ตอบสนองความเชื่อและความศรัทธาตลอดจนค่านิยมทาง สังคม ของกลุ่มชนด้วย ซึ่งเรื่องเจรียงเบริน : เพลงพื้น บ้านของชาวไทยเขมรจังหวัดสุรินทร์ พบว่า เพลงพื้นบ้าน เจรียงเบ ริน วิวัฒนาการมาจากการเล่น“ กันตร็อบไก” จัด เป็นเพลงปฏิพากษ์ ประกอบด้วย นักแสดง ชาย ๑ คน หญิง ๑ คน และแคน ๑ คน เจรียงเบรินนิยมเล่นทั้งในงานมงคล งานอวมงคลและงานบุญประเพณีต่างๆ เรื่องราวที่เล่นขึ้น อยู่กับงานที่ไปเล่น เนื้อหาที่ร้องจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทาง โลกและทางธรรม สอดแทรกคติเตือนใจซึ่งผลการศึกษา ชี้ให้เห็นว่าการอยู่รอดของชาติพันธุ์ต่างๆ ขึ้นอยู่กับความสามารถทางภูมิปัญญาในการดำรงชีพและความสามารถ ในการสืบทอดภูมิปัญญาสู่คนรุ่นใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องมีการผลิตซํ้าและถ่ายทอดจาก คนรุ่นหนึ่งไปสู่คน อีกรุ่นหนึ่ง อาจจะมีการปรับปรุง ดัดแปลง หรือประยุกต์ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสังคมและยุคสมัย จึงจะสามารถ
ทำ ให้วัฒนธรรมเหล่านั้นคงอยู่ต่อไปได้ดังนั้น บทเพลงเจรียงเบรินพื้นบ้าน จึงเป็นมรดกอันล้ำค่าทางวัฒนธรรม พื้นบ้านของชนชาวเขรมอีสานใต้ ในฐานะเป็นอนุชนของชาวเขรมอีสานใต้ ถือว่าเป็นภาระหน้าที่ที่สำคัญที่จะต้อง ศึกษาค้นคว้าเพื่อให้เกิดความรู้และเข้าใจที่ชัดเจนถูกต้อง และนำออกเผยแพร่อนุรักษ์ให้เป็นที่รู้จักและเกิด ประโยชน์ต่อสังคมท้องถิ่นต่อไป ที่สำคัญคือ การศึกษาเรื่องวัฒนธรรมของตนเองให้ถ่องแท้นั้น ถือเป็นการธำรง รักษาซึ่งมรดกอันล้าค่าทางสติปัญญาของท้องถิ่นให้คงอยู่นานได้ ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา ประโยชน์ที่ได้จากการศึกษาเจรียงเบรินเป็นวัฒนธรรมการละเล่นพื้นบ้าน ของชาวไทยเชื้อสายเขมร ที่ ตอบสนองต่อความต้องการของกลุ่มชนทั้งในด้านความรื่นเริงบันเทิงใจ ตามลักษณะ ของเพลงปฏิพากษ์ ซึ่งเป็น การเกี้ยวพาราสีของหนุ่มสาว ตอบสนองความเชื่อและความศรัทธาตลอดจนค่านิยมทาง สังคมของกลุ่มชน มีการ ปรับเปลี่ยนพัฒนาทั้งรูปแบบการ แสดง เนื้อหา ภาษา การแต่งกายให้สอดคล้องกับความ ต้องการของสังคมยุค ปัจจุบัน แต่ยังคงรักษารูปแบบการ ละเล่นแบบเดิมเอาไว้ มีการถ่ายทอดผ่านสื่อและถ่ายทอด สู่คนรุ่นหลัง จาก การศึกษาการคงอยู่ของเพลงพื้นบ้าน เจรียงเบริน พบว่าวัฒนธรรมจะดำรงอยู่ได้อย่างยั่งยืนต้องมีการปรับเปลี่ยน ให้เข้ากับสภาวการณ์การเปลี่ยนแปลงของสังคมและค่านิยมของคนในชุมชนและต้องเร่งรณรงค์เรื่อง การสืบทอด และการเรียนรู้ไปสู่ชนรุ่นหลังเพื่อสร้างความ ตระหนักในความสำคัญและความภาคภูมิใจในการร่วม อนุรักษ์และ สืบสานต่อไปด้วย
เอกสารอ้างอิง คนึงนิตย์ ไสยโสภณ และประทีป แขรัมย์. (๒๕๕๙). วรรณกรรมเพลงพื้นบ้านกันตรึม :การเปลี่ยนแปลงที่ สัมพันธ์กับสังคม วัฒนธรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมรตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา. มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์ เครือจิต ศรีบุญนาค. (๒๕๔๖). เจรียงเบริน : เพลงพื้นบ้านของชาวไทยเขมรจังหวัดสุรินทร์. ภาควิชานาฏศิลป์. คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์. สถาบันราชภัฏสุรินทร์. ชมศรี ภู่เงินงาม. (๒๕๕๙, มีนาคม ๑๒). สัมภาษณ์ สรวงสุดา สิงขรอาสน์ (๒๕๕๔). กลุ่มชาติพันธุ์ไทยเขมร : การบริหารจัดการเพื่อการสืบทอดศิลปะการแสดง พื้นบ้าน ในเขตอีสานใต้. วิทยานิพนธ์ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาวัฒนธรรมศาสตร์ คณะวัฒนธรรม ศาสตร์มหาวิทยาลัยมหาสารคาม