ห้องเรียนวรรณกรรม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น ปริทัศน์วรรณกรรม ผาแดง นางไอ่
รายงาน เรื่อง ผาแดง-นางไอ่ เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ภทฺรกวี จัดทำโดย นางสาวอาภาพร มายา รหัสนิสิต ๖๕๐๕๕๐๒๐๔๖ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา ๒๐๔ ๒๐๒ วรรณกรรมไทยปริทัศน์ ภาคเรียนที่ ๒/๒๕๖๖ คณะครุศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
ก คำนำ ผาแดงนางไอ่ เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาถึงมูลเหตุที่ทำให้เกิดหนองหาน จังหวัด สกลนครและอุดรธานี เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรักสามเศร้าโศกนาฏกรรมระหว่างนางไอ่ ท้าวผาแดง และท้าวภังคี ในเรื่องมีการแข่งขันจุดบั้งไฟ ตำนานเรื่องนี้ยังใช้อธิบายภูมิศาสตร์และภูมินามใน หลายสถานที่ในสกลนครและอุดรธานี ในปัจจุบันมีการใช้ตำนานเรื่องนี้ในประเพณีบุญบั้งไฟด้วย เนื่องจากในตำนานมีเรื่องของการแข่งขันจุดบั้งไฟ ในขบวนแห่บั้งไฟในปัจจุบันจึงมีการนำเสนอ ตัวละครผาแดง-นางไอ่ด้วย รายงานเล่มนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวรรณกรรมท้องถิ่น เรื่อง ผาแดง-นางไอ่ ได้นำไปใช้ประโยชน์อย่างสูงสุด หากมีสิ่งหนึ่งประการใดขาดตกบกก็ขออภัย มา ณ โอกาสนี้ นางสาวอาภาพร มายา ผู้จัดทำ
ข สารบัญ เรื่อง หน้า ผาแดง-นางไอ่………………………………………………………………………………………………………...๑ ที่มาและความสำคัญ……………………………………………………………………………………………….๑-๒ เนื้อเรื่องย่อ (ฉบับภาษาอีสาน)………………………………………………………………………………..๓ สรุปเนื้อหาวรรณกรรม ผาแดงนางไอ่ (ฉบับภาษาไทย)…………………………………………….๖ การวิเคราะห์ชื่อและเนื้อหาในวรรณกรรมเรื่องผาแดงนางไอ่…………………………………….๗-๙ ค่านิยม………………………………………………………………………………………………………….………๑๐ ความเชื่อ………………………………………………………………………………………………………….…..๑๐-๑๑ ภาพสะท้อนอกุศลมูล ๓ ในเรื่องผาแดง-นางไอ่……………………………………….……………….๑๓-๑๔ ข้อคิด คติสอนใจ……………………………………………………………………………………………………๑๔ บริบททางสังคม…………………………………………………………………………………………………….๑๔-๒๐ บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………………………………๒๑
๑ ผาแดง-นางไอ่ วรรณคดีภาคอีสานโบราณซึ่งมีอยู่ในหนังสือผูกที่สำคัญเรื่องหนึ่งคือ “ท้าวผาแดง-นางไอ่ หนังสือผูกนี้โดยปกติจานลงในใบลานเป็นตัวหนังสือไทยน้อย โดยทั่วไปตัวหนังสือที่ใช้อยู่ในภาค อีสานแต่ก่อนนั้นมีอยู่ ๓ แบบ ตัวหนังสือไทยน้อย นั้นส่วนมากใช้ในวงการบ้านเมืองทางคดีโลกและวรรณคดี แบบที่สอง คือ ตัวหนังสือธรรม ส่วนมากใช้ทางคดีธรรม คือใช้ในวัดแบบที่สาม คือ ตัวหนังสือขอม เป็นอักษร สำหรับจารึกพระคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา ทั้งสามแบบนี้ใช้เหล็กแหลมจาน (ขีด) จารึกไว้บนใบลาน โดยใช้เส้นเชือกร้อยหรือผูกไว้ ถ้าหากมี ขนาดยาวก็เรียกว่า “หนังสือผูก” ซึ่งมักจะเป็นเรื่องวรรณคดี ถ้าหากจารึกลงในใบลานขนาดสั้น ก็เรียกว่า “หนังสือก้อม” โดยมักจะเป็นประเภทตำราต่างๆทางวิชาการ ตัวอักษรดังกล่าวข้างต้นนี้ รวมตลอดทั้งอักษรไทยสมัยพระเจ้าขุนรามคำแหง อักษรพม่า – มอญ มีลักษณะตัวกลมๆ ก็เพราะใช้เหล็กแหลมจานลงในใบลาน คงจะดัดแปลงมาจากอักษรอินเดีย โบราณด้วยกันทั้งนั้น เค้าโครงของวรรณคดีหนังสือผูกเรื่องท้าวผาแดง – นางไอ่ เห็นจะมาจากตำนานในสังคมขอม โบราณ แต่เป็นงานของนักปราชญ์ชาวอีสานที่ได้แปลหรือร้อยกรองไว้เป็นกลอนภาษาไทยน้อย เหมือนกับเรื่องอิเหนาซึ่งเป็นวรรณคดีไทยที่ได้เค้าโครงเรื่องมาจากชวา อาณาจักรของขอมมีอาณา เขตถึงไหนเราจะสังเกตเห็นว่ามีปราสาทหินหรือกู่ – เจดีย์ อยู่ในบริเวณนั้น โดยเฉพาะทั่วบริเวณ ภาคอีสานแทบทั้งหมดจะมี “กู่” กระจายอยู่ทั่วไป “กู่” ขนาดใหญ่ก็มักจะเป็นที่ตั้งของเมืองใหญ่ ตามสัดส่วน มีข้อที่น่าสังเกตว่า เมืองโบราณทางภาคอีสานมีซากศิลปวัตถุสมัยมอญอยู่มาก เหมือนกันและศิลาจารึกบางแห่งมีอักษรตัวธรรมซึ่งใกล้ไปทางหนังสือไทยใหญ่อยู่ด้วย ที่มาและความสำคัญ เป็นตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาถึงมูลเหตุที่ทำให้เกิดหนองหาน จังหวัดสกลนคร และ อุดรธานี เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับรักสามเส้าโศกนาฏกรรมระหว่างนางไอ่ ท้าวผาแดงและท้าวภังคี ในเรื่องมีการแข่งขันจุดบั้งไฟ เมื่อท้าวภังคีซึ่งคือพญานาคผู้แปลงตัวเป็นกระรอกเผือกถูกทำร้าย จนถึงแก่ความตาย พญานาคผู้เป็นบิดาจึงบันดาลให้เกิดเมืองล่มจมสู่บาดาล เกิดเป็นตำนานเล่า ขานสืบต่อกันมาถึงหนองน้ำใหญ่ที่มีเมืองล่มอยู่ภายใต้หนองน้ำนั้น
๒ ตำนานเรื่องนี้จึงชี้ให้เห็นโทษของการทำลายธรรมชาติ (พญานาค) จนทำให้เมืองมนุษย์ ล่มสลาย ตำนานเรื่องนี้ใช้อธิบายภูมิศาสตร์และภูมินามในหลายสถานที่ในสกลนครและอุดรธานี ในปัจจุบันมีการใช้ตำนานเรื่องนี้ในประเพณีบุญบั้งไฟด้วยเนื่องจากในตำนานมีเรื่องของการแข่งขัน จุดบั้งไฟ ในขบวนแห่บั้งไฟในปัจจุบันจึงมีการนำเสนอตัวละครผาแดง-นางไอ่ด้วย ผู้แต่ง ปรากฏหลักฐานการจารลงในใบลานทั้งตัวอักษรธรรมและอักษรไทยน้อยหลายสำนวน และมักไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้แต่งและแต่งไว้ตั้งแต่เมื่อใด สำนวนที่รู้จักกันแพร่หลายคือ สำนวนที่ ปรีชา พิณทอง ได้เลือกมาชำระใหม่เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๒ นอกจากสำนวนเก่ายังมีสำนวนที่แต่งขึ้น ใหม่ เช่น สำนวนในหนังสือ รวมนิทานพื้นบ้านอีสาน ชุดที่ ๕ ของเตชวโรภิกขุ (อินตา กวีวงศ์) (พ.ศ. ๒๕๔๔) ยังมีวรรณกรรมอีสานสำหรับเยาวชน เช่น ผาแดงนางไอ่ เขียนโดย พิพัฒน์ ประเสริฐสังข์ (พ.ศ. ๒๕๕๕) ด้านเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับผาแดงนางไอ่ เช่น "ไอ่คำรำพัน" (ขับร้อง โดย นกน้อย อุไรพร) และ "วาสนาภังคี" (ขับร้องโดย วิเศษ เวณิกา) เป็นต้น ลักษณะการแต่ง นิทานผาแดง นางไอ่ ในหนังสือเล่มที่เลือกมาศึกษา จะแต่งเป็นคำกลอนโบราณอีสาน ฉันทลักษณ์ที่ใช้จะเป็นภาษาอีสาน คล้ายการแต่งร่าย มีสัมผัสสระและพยัญชนะเพื่อทำให้เกิด ความคล้องจอง ไพเราะ และทำให้ผู้อ่านเกิดความคล้อยตามเน้นการใช้ภาษาอีสานหรือภาษาลาว เพราะเป็นวรรณกรรมอีสานเป็นหนังสือที่เหมาะแก่ผู้อ่านทั่วๆไปเพื่อความสนุกสนาน อ่านแล้วทำ ให้ฉุดคิด มีคติสอนใจ ไม่ว่าจะเป็นคติทางโลกและทางธรรม เป็นหนังสือที่ใช้ภาษาอีสานหรือภาษา ลาวได้ไพเราะมาก ตัวละคร ตัวละครหลัก - ท้าวผาแดง - นางไอ่ - ท้าวพังคี
๓ เนื้อเรื่องย่อ (ฉบับภาษาอีสาน) ดนมาแล้ว เมืองสุวรรณโคมคำ (หรือเมืองเอกธีตา) มีพญาขอมเป็นเจ้าผู้ครองเมืองและมี พระมเหสีซื่อพระนางจันทร์ ทั้งสองพระองค์มีพระธิดาซื่อว่า นางไอ่คำ เป็นแม่ญิงมีฮูปงาม ควม งามของนางคนส่าไปฮอดเมืองต่าง ๆ เฮ็ดให้เจ้าซายต่างเมืองทั้งหลาย กะอยากสิได้นางไอ่คำเป็น เมียเจ้าของ ท้าวผาแดงผู้เป็นเจ้าแห่งเมืองผาโพง คันได้ยินคำส่าเรื่องความงามของนางไอ่คำ กะ เกิดมักในโตนางหลาย กะเลยคิดแผนสิผูกไมตรีกับนาง คึดว่าสิลอบส่งแก้วแหวนเงินคำพร้อมผ้า อย่างดีไปให้นาง นางไอ่คำกะยินดีฮับไว้แล้วส่งของมีค่าคืนให้ท้าวผาแดงคือกัน เทิงเซื้อเซิญเอิ้น ท้าวผาแดงให้มาพ้อกับนางอยาเมืองเอกธีตานำ ทางท้าวผาแดงคันว่าได้คำเซิญจากนางไอ่คำกะ หลอยขี่ม้าเข้าไปพ้อนางในเมือง ทั้งสองได้พ้อกัน เกิดควมฮักแพงกันแล้วได้ครองฮักกัน ท้าวผาแดง กะเลยให้คำมั่นว่าสิมาขอนางไอ่ให้ถืกตามฮีตตามคอง ว่าไปฮอดเมืองบาดาลศรีสัตนาคหุต มีพญานาคสุทโธนาคเป็นเจ้าผู้ครองเมือง และมี พระโอรสซื่อว่าท้าวภังคี ท้าวภังคีมีควมผูกพันแต่อตีตาซาติกับนางไอ่คำ กะคือ ในอตีตาซาตินั้น ท้าวภังคีเกิดเป็นบ่าวคนทุกข์แล้วกะเป็นกืก เป็นขอทานนำบ้าน มื่อหนึ่งท้าวภังคีในอตีตาซาติได้มา ขอทานจนฮอดบ้านเศรษฐีใจบุญ จั่งได้ขอเข้ามาอาศัยและซ่อยเฮ็ดงานอย่างเต็มใจและบ่เห็นแก่ ความเมื่อยยาก เฮ็ดให้ท่านเศรษฐีเกิดควมฮักแพงหลานจนยอมยกลูกสาวเจ้าของให้กับบ่าวผู้นี้ แล้วว่าลูกสาวของเศรษฐีกะคือนางไอ่คำในซาตินี้ แต่ท้าวภังคีในอตีตาชาติเป็นบ่าวนิสัยบ่คือไผ ย้อนว่าแทนที่สิฮักแพงเมียเจ้าของคือผัวคนอื่น แต่เพิ่นบ่หัวซาแล้วกะบ่เคยฮ่วมหอกับเมียเลย แต่ นางกะบ่เคยว่าฮ้ายหลือจ่มให้เลย ซ้ำบ่หนำเฮ็ดนำผัวคือแนวว่าอย่างดีมาตลอด จนมื่อหนึ่งผู้บ่าวคึ ดฮอดบ้าน กะเลยลาท่านเศรษฐีและพาเมียออกท่องไปยามบ้านเกิด ท่านเศรษฐีผู้เป็นพ่อกะได้จัด เสบียงกับข้าวให้อย่างดี ให้ลูกสาวเจ้าของเป็นผู้คอนเสบียง ละหว่างเดินทางที่ยากลำบาก ผู้บ่าวบ่ เคยซ่อยหยังเมียเจ้าของเลย เฮ็ดผู้สาวเหมื่อยล้าเหมิดคีงเหมิดโตจนว่ากับข้าวที่เอาไปนำเหมิดลง กลางทาง คันผู้ซายเห็นต้นเดื่อลูกสุกเต็มต้น ย้อนว่าหิวแล้วกะเหมื่อยเมเข้ากะขึ้นไปเก็บกินต่าง ข้าว บ่ได้เก็บมาสู่เมียกินแม้แต่น้อย ทางผัวฮั่งว่าเก็บกินบักเดื่อจนอิ่มกะลงมาจากต้นแล้วกะย่าง หนีไป ทางเมียกะขึ้นต้นเดื่อหากินคือกัน แต่บัดลงมาตาล่างแล้วบ่พ้อผัว เลยย่างนำหาจนทั่ว แต่ หาปานใด๋กะบ่พ้อ สร้างความทุกข์ทรมานใจแกนางหลาย ย้อนความน้อยใจในโซคซะตากับเสียใจ ย้อนว่าผัวไลถิ่ม นางจั่งอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า เกิดซาติหน้าฉันใด ขอให้ผัวเจ้าของตาย อยู่เทิงหง่าไม้ แล้วกะอย่าได้มาเป็นคู่กันอีกเลย ค่อมว่าแฮงอธิษฐานของนาง ซาติต่อมาผัวนางได้เกิดเป็นพญานาคภังคี นางได้เกิดเป็น นางไอ่คำแม่ญิงผู้งาม พัดว่าย่างเข้ากลางเดือนหก พญาขอมสิจัดงานบุญบั้งไฟ เลยได้มีการบอก บุญไปนำหัวเมืองน้อยใหญ่ต่าง ๆ ให้เอาบั้งไฟมาจูดแข่งกันอยู่เมืองของพระยาขอม
๔ คันบั้งไฟเมืองใด๋ขึ้นสูงกว่าเมืองอื่น เมืองนั้นสิได้รับทรัพย์สมบัติกับนางสนมกำนัลไป มื่องานพญา ขอมกำหนด คือขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ จนว่าฮอดมื่องานอีหลี ขบวนบั้งไฟจากหัวเมืองน้อยใหญ่กะ ได้เข้าโฮมงานกัน ฮอดท้าวผาแดง แม้สิบ่ได้ฮับใบบอกบุญแต่กะเอาบั้งไฟมาแข่งในงานนี้พร้อม พญาขอมกะฮับต้อนอย่างดี ฟากพญานาคภังคี คนได้ฮู้ว่าอยู่เมืองมนุษย์สิมีงานบุญบั้งไฟ แต่บ่ได้ ฮับใบบอกบุญ กะแปลงกายเป็นกระรอกเผือกเข้ามาเลาะงานในย้อนว่าอยากมาเบิ่งควมงามนางไอ่ คำ งานแข่งจูดบั้งไฟตื่นตาแล้วกะหม่วนซื่นโฮแซวบักขนาด ย้อนว่าซุคนอยากสิฮู้ว่าไผสิมีชัย แล้วกะมีเหล่นทวยท้าวผาแดงกับพญาขอมว่า คันท้าวผาแดงมีชัย พญาขอมสิยกนางไอ่ให้เป็นเมีย บัดว่าแข่งแล้วผากฏว่าบั้งไฟของเมืองอื่นซุขึ้นฟ้าเหมิด เว้นบั้งไฟของพญาขอมกับท้าวผาแดงที่บ่ ขึ้นเทิงคู่ ย้อนว่าบั้งไฟของพญาขอมซุ (ไม่ขึ้นเลย) แล้วทางบั้งไฟของท้าวผาแดงนั้นกะแตกกลาง บั้ง พญาขอมถือว่าแพ้แต่ว่าเฮ็ดเป็นซื่อๆ บ่หัวซา บ่เฮ็ดนำคำเว้า เฮ็ดให้เจ้าเมืองต่างๆเมือเมือง เหมิด ฮอดท้าวผาแดงกะเมือเมืองผาโพงพร้อมควมทุกข์ ย้อนว่าควมฮักนางไอ่แล้วกะเสียใจย้อน บั้งไฟเจ้าของบ่ขึ้น ทางกระรอกเผือกที่พึงใจฮักนางไอ่ แต่บ่มีโอกาสได้สากโตนาง กะเอาควมฮัก เมือเมืองศรีสัตนาคนหุตคือกัน คันเมือฮอดเมืองศรีสัตนาคนหุต ท้าวภังคีกะบ่เป็นอันกินอันนอน เฝ้าคึดฮอดแต่นางไอ่ จน บ่ทานต่อควมฮักได้อีกต่อไป จั่งขอลาท้าวสุทโธนาคไปหานางไอ่อีกเทื่อ ท้าวสุทโธนาคกะห้ามบ่ให้ ไป แต่กะบ่อาจขวงท้าวภังคีไว้ได้ บัดนี้มาฮอดเมืองเอกธีตาอีกเทือ ท้าวภังคีกะแปลงกายเป็น กระรอกเผือกโตเก่า มีกระดิ่งคำแขนยู่คอ ทางบริวารที่นำมากะแปลงกายเป็นสัตว์ต่าง ๆ กระรอก เผือกภังคีขึ้น เต้นสักกะโยงไปมาอยู่เทิงหง่าไม้แคมผาสาทนางไอ่ จนว่ามาคอนอยู่เทิงหง่าไม้แคม ป่องเยี่ยมห้องนอนนางไอ่ แล้วเสียงกระดิ่งคำกะดังขึ้น นางไอ่จั่งเปิดป่องเยี่ยมออกไปเบิ่ง คันเห็น กระรอกเผือกกะอยากได้ กะเลยสั่งให้พรานนำจับโตมาให้คันซั่นพรานกะออกนำหากระรอก เผือกที่เต้นสักกะโยงไปมานำหง่าไม้ บ่มีเหมื่อยบ่มีเซา แต่เฮ็ดจั่งใด๋กะจับบ่ได้ จนว่ากรรมเก่าท้าว ภังคีที่เฮ็ดไว้กับนางไอ่ไลมาทัน ยามกระรอกน้อยเต้นมาฮอดต้นเดื่อที่มีลูกสุกห้อยเต็มต้น กะก้ม หน้าก้มตากัดกินลูกเดื่อสุกย้อยว่าหิวแฮง ทางพรานแล่นนำมาจ่อ ๆ กะได้โอกาสยิงกระรอกกะเอา หน้าไม้ใส่ลูกดอกอาบยา คันถืกพรานยิง กระรอกเผือกภังคีกะฮู้ว่าเจ้าของสิตายแท้ๆ กะสั่งให้ บริวารที่มานำไปบอกพ่อเจ้าของ แล้วก่อนสิขาดใจ กระรอกภังคีได้อธิษฐานว่า ขอให้เนื้อข้อยหอม แซบ แล้วกะมีพอกินสู่คนเหมิดเมือง พรานกะเอาเนื้อกระรอกไปยายสู่ไทบ้านให้ได้กินกัน เว้นแต่ ซุมแม่หม้ายที่ไทบ้านขี้เดียดแล้วกะเลยบ่ยอมแบ่งเนื้อกระรอกให้กินนำ
๕ ทางท้าวสุทโธนาคคันได้ฮับข่าวฮ้าย ย้อนว่าเคียดหลายลูกชายตายบ่มีควมผิด กะสั่งข้าไพร่พลนาค ทั้งเมืองขึ้นไปเมี้ยนเมืองเอกธีตา เทิงว่าไว้ ไผกินเนื้อภังคีสิตายตกคือภังคีไปนำ ยามนั้นท้าวผาแดง กะเกิดคึดฮอดนางไอ่จนทนอยู่เมืองเจ้าของบ่ได้ กะขี่ม้าซื่อบักสามไปเมืองเอกธีตา และละหว่าง ทางนั้น ท้าวผาแดงเห็นพญานาคเต็มอากหลาก จนมาฮอดเมืองเอกธีตาและได้พ้อกับนางไอ่ ผา แดงกะเลยเว้าเรื่องพ้อมาให้นางไอ่ฟัง แต่นางไอ่บ่หัวซา ตั้งพาข้าวฮับต้อนท้าวผาแดงอย่างดี แต่คัน ฮู้ว่ากับข้าวนั้นเฮ็ดจากเนื้อกระรอกท้าวผาแดงกะบ่กิน แล้วเว้าสู่นางไอ่ฟังว่ากระรอกโตนั้นบ่แม่น กระรอกธรรมดาแต่เป็นพญานาคภังคีแปลงกายมา ไผกินเนื้อกระรอกแล้วสิตาย ตกมายามคืน ทัพพญานาคกะมาฮอดเมืองเอกธีตา เฮ็ดให้เมืองทั้งเมืองจม ซาวเมืองกะตื่นฮือ ย่านแฮง แต่ละผู้แต่ละคนกะหาทางหนีตาย ซาวเมืองผู้กินเนื้อกระรอกกะตายตกไปพร้อม ๆ กับ เมืองเอกธีตาที่จมลงเป็นหนองน้ำใหญ่ เหตุการณ์เป็นตาย่าและบ่ดีเทื่อนี้เกิดขึ้นเทิงไวเทิงแฮง ท้าว ผาแดงกะบอกให้นางไอ่เกียมของที่พอสิติดโตไปได้ บัดนี้กะพานางขี่ม้าหนีออกจากเมืองที่กำลังจม ฟากพญานาคคันได้ฮู้ว่านางไอ่หนีจากเมืองไปแล้วกะฟ้าวนำไปจ่อ ๆ นางไอ่เลยโยนกลองกับฆ้อง ประจำเมือง แล้วกะแหวนที่ติดโตไปนำถิ่ม ย้อนเข้าใจผิดคึดว่าพญานาคนำมาเอาของ แต่พญานาค กะนำไปบ่เซา จนว่าบักสาม ม้าของท้าวผาแดงค่อย ๆ เหมิดแฮงลง พญานาคนำมาทันกะเลยเอา หางพันโตนางไอ่ตกลงจากม้า เกี่ยนางไปเมืองบาดาล ทางท้าวผาแดงซ่อยนางไอ่ไว้ดนบ่ได้ กะขี่ ม้าหนีต่อไป ทัพพญานาคยังไล่บ่เซา จนท้าวผาแดงยอมถิ่มแหวนนางไอ่ย้อนความปลอดภัยของ เจ้าของ คันเมือมาฮอดเมืองผาโพง ท้าวผาแดงก็ได้แต่เสียใจที่ต้องสูญเสียความรักไปต่อหน้าต่อตา กะเลยอธิษฐานต่อเทพเจ้าเหล่าเทวดา ผีฟ้า ผีแมนกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายว่า สิขอตายสู้กับ พญานาคแล้วเอานางไอ่คืนมา จบคำอธิษฐานท้าวผาแดงกะกลั้นใจตายเทิงผาสาทของเจ้าของ ท้าวผาแดงกะได้เป็นหัวหน้าผีนำทัพผีสู้กับทัพพญานาค สองฝ่ายสู้กัน ๗ มื่อ ๗ คืน บ่มีไผแพ้ไผ ชนะจักเทื่อ จนท้าวสุทโธนาคเจ้าเมืองบาดาลเพิ่นเฒ่าแล้วบ่อยากเฮ็ดบาปกรรมอีกแล้ว ย้อนว่า อยากไปเกิดในภพของพระศรีอารยเมตไตรย กะเลยไปฮ้องท้าวเวสสสุวัณผู้เป็นใหญ่ให้มาตัดสิน คันท้าวเวสสุวัณฮู้เรื่อง กะเว้าสู่ทั้งสองฟากว่า เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งเหมิดนั้น เป็นมาแต่กรรมเก่าที่ส่งมา ฮอดซาตินี้ แต่ละฟากฝั่งกะมีเหตุผลทั้งคู่ ท้าวเวสสุวัณเลยขอให้เซาจองเวรกัน ทั้งผีท้าวผาแดงและ พญานาคคันได้ฟังคำสั่งสอนท้าวเวสสุวัณแล้ว กะเข้าใจในมูล จั่งอนุโมทนาแล้วกะขออโหสิฯให้กัน ในที่สุดเหตุการณ์บ่ดีกะเซา เกิดควมเข้าใจและให้อภัยกัน
๖ สรุปเนื้อหาวรรณกรรม ผาแดงนางไอ่ (ฉบับภาษาไทย) ครั้งหนึ่ง ยังมีเมืองอยู่เมืองหนึ่งชื่อ "นครเอกชะทีตา" มีพระยาขอมเป็นกษัตริย์ปกครองเมือง ด้วยความร่มเย็น พระยาขอมมีพระธิดาสาวสวยนามว่า "นางไอ่คำ" ซึ่งเป็นที่รักและ หวงแหนมาก จึงสร้างปราสาท 7 ชั้นให้ อยู่พร้อมเหล่าสนม กำนัล คอยดูแลอย่างดี ขณะเดียวกันยังมีเมืองอีกเมืองหนึ่งชื่อ "เมืองผาโพง" มีเจ้าชายนามว่า "ท้าวผาแดง" เป็นกษัตริย์ ปกครองอยู่ ท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโพงได้ยินกิตติศัพท์ความงามของธิดาไอ่คำมาก่อนแล้ว ใคร่ อยากจะเห็นหน้า จึงปลอมตัวเป็นพ่อค้าพเนจร ถึงนครเอกชะทีตาและติดสินบนนางสนมกำนัล ให้นำของขวัญลอบเข้าไปให้นางไอ่คำ ด้วยผลกรรมที่ผูกพันกันมาแต่ชาติปางก่อน นางไอ่คำกัท้าว ผาแดง จึงได้มีใจปฏิพัทธ์ต่อกันจนในที่สุดทั้ง 2 ก็ได้อภิรมย์สมรักกัน ก่อนท้าวผาแดงจะจากไป เพื่อจัดขบวนขันหมากมาสู่ขอ ทั้ง 2 ได้คร่ำครวญต่อกันด้วยความ อาลัยยิ่ง วันเวลาผ่านไปถึงเดือน 6 เป็นประเพณีแต่โบราณของเมืองเอกชะทีตา จะต้องมีการ ทำบุญบั้งไฟบูชาพญาแถนระยาขอม จึงได้ประกาศบอกไปตามหัวเมืองต่างๆ ว่าบุญบั้งไฟปีนี้จะ เป็นการหาผู้ที่จะมาเป็นลูกเขยอีกด้วย ขอให้เจ้าชายหัวเมืองต่างๆจัดทำบั้งไฟมาจุดแข่งขันกัน ผู้ใด ชนะก็จะได้อภิเษกกับพระธิดาไอ่คำด้วย ข่าวนี้ได้ร่ำลือไปทั่วสารทิศ ทุกเมืองในขอบเขตแว่นแคว้นต่างก็ส่งบั้งไฟเข้ามาแข่งขัน เช่น เมืองฟ้า แดดสูงยาง เมืองเชียงเหียน เชียงทอง แม้กระทั่งพญานาคใต้เมืองบาดาลก็อดใจไม่ไหว ปลอมตัว เป็นกระรอกเผือกมาดูโฉมงามนางไอ่คำด้วยในวันงานบุญบั้งไฟ เมื่อถึงวันแข่งขันจุดบั้งไฟ ปรากฏ ว่า บั้งไฟท้าวผาแดงจุดไม่ขึ้นพ่นควันดำอยู่ถึง 3 วัน 3 คืน จึงระเบิดแตกออกเป็นเสี่ยงๆทำให้ ความหวังท้าวผาแดงหมดสิ้นลง ขณะเดียวกันท้าวพังคีพญานาคที่ปลอมเป็นกระรอกเผือก มี กระดิ่งผูกคอน่ารัก มาไต่เต้นไปมาอยู่บนยอดไม้ข้างปราสาทนางไอ่คำ ก็ปรากฏร่างให้นางไอ่คำ เห็น นางจึงคิดอยากได้มาเลี้ยงแต่แล้วก็จับไม่ได้ จึงบอกให้นายพรานยิงเอาตัวตายมา ในที่สุดกระรอกเผือกพังคีก็ถูกยิงด้วยลูกดอกจนตาย ก่อนตายท้าวพังคีได้อธิษฐานไว้ว่า "ขอให้เนื้อของข้าได้แปดพันเกวียน คนทั้งเมืองอย่าได้กินหมดเกลี้ยง" จากนั้นร่างของกระรอกเผือกก็ใหญ่ขึ้น จนผู้คนแตกตื่นมาดูกัน และจัดการแล่เนื้อแบ่งกัน ไปกินทั่วเมืองด้วยว่าเป็นอาหาร ทิพย์ ยกเว้นแต่พวกแม่ม่ายที่ชาวเมืองรังเกียจ ไม่แบ่งเนื้อ กระรอกให้พญานาคแห่งเมืองบาดาลทราบข่าวท้าวพังคีถูกมนุษย์ฆ่าตาย แล่เนื้อไปกินกันทั้งเมือง จึงโกธรแค้นยิ่งนัก ดึกสงัดของคืนนั้นขณะที่ชาวเมืองชะทีตากำลังหลับไหล เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ก็เกิดขึ้น ท้องฟ้าอื้ออึงไปด้วยพายุฝนฟ้ากระหน่ำลงมาอย่างหนัก ฟ้าแลบอยู่มิได้ขาด แผ่นดินเริ่ม ถล่มยุบตัวลงไปทีละน้อย ท่ามกลางเสียงหวีดร้องของผู้คนที่วิ่งหนีตาย เหล่าพญานาคผุดขึ้นมานับ หมื่นนับแสนตัว ถล่มเมืองชะทีตาจมลงใต้บาดาลทันที คงเหลือไว้เป็นดอน 3 - 4 แห่ง ซึ่งเป็นที่อยู่ ของพวกแม่ม่ายไม่ได้กินเนื้อกระรอกเผือกจึงรอดตาย
๗ ฝ่ายท้าวผาแดงได้โอกาสรีบควบม้าหนีออกจากเมือง โดยไม่ลืมแวะรับพระธิดาไอ่คำไปด้วย แต่แม้จะเร่งฝีเท้าม้าเท่าใดก็หนีไม่พ้นทัพพญานาค ที่ทำให้แผ่นดินถล่มตามมาติดๆ ในที่สุดก็กลืน ท้าวผาแดงและพระธิดาไอ่คำพร้อมม้าแสน รู้ชื่อ "บักสาม" จมหายไปใต้พื้นดินรุ่งเช้าภาพของเมือง เอกชะทีตาที่เคยรุ่งเรืองโอฬารก็อันตธานหายไปสิ้น คงเห็นพื้นน้ำกว้างยาวสุดตา ทุกชีวิตในเมือง เอกชะทีตาจมสู่ใต้บาดาลจนหมดสิ้น เหลือไว้แต่แม่ม่ายบนเกาะร้าง 3 - 4 แห่ง ในผืนน้ำอันกว้างนี้ ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นหนองหานหลวง ดังปรากฏในปัจจุบัน. การวิเคราะห์ชื่อและเนื้อหาในวรรณกรรมเรื่องผาแดงนางไอ่ ๑. วิเคราะห์ชื่อเรื่อง ผาแดง นางไอ่ - ชื่อเรื่องของวรรณกรรมท้องถิ่นอีสาน เรื่อง ผาแดง นางไอ่ นี้มีที่มาจากการนำเอาชื่อของ ตัวละครเอก ที่เป็นพระนางในเรื่องมาตั้งชื่อวรรณกรรม ๒. แก่นเรื่อง - รักสามเศร้าเหตุแห่งโศกนาฏกรรมแห่งรัก ๓. โครงเรื่อง การเปิดเรื่อง - เป็นการบรรยายเกี่ยวกับ พระยาขอม เจ้าเมืองครองเมือง เอกธิดา หรือ เอกชะธีตา ที่มี พระธิดาที่มีโฉมงดงาม ชื่อว่า นางไอ่คำ การดำเนินเรื่อง - ท้าวผาแดง เจ้าชายเมืองผาโพง ทราบข่าวเล่าลือถึงสิริโฉมอันงดงามของ นางไอ่ ก็เกิดความ หลงไหลใฝ่ฝันในตัวนางไอ่ จึงทอดสัมพันธ์ไมตรีด้วยการส่งแก้วแหวนเงินทองและผ้าแพรพรรณ เนื้อดีไปฝากและแอบไป - ผาแดงแอบไปหานางไอ่และรักใคร่กัน ผาแดงสัญญากับนางไอ่ว่าจะมาสู่ขอตามประเพณี - ท้าวพังคี ลูกชายพญาศรีสุทโธ พญานาคผู้ครองเมืองบาดาล อีกตนหนึ่งที่อยากยลสิริโฉม ของนางไอ่ เพราะกรรมที่เคยทำร่วมกันในอดีตจึงทำให้เป็นเช่นนี้ - บรรยายถึง อดีตชาติ ของพังคี ที่เคยเป็นชายหนุ่มที่ยากจนบ้าใบ้ - พระยาขอมมีใบฏีกาบอกไปยังเมืองต่างๆให้มาแข่งบั้งไฟ ใครชนะจะยก นางไอ่ให้เป็นคู่ครอง
๘ - พระยาขอมกำหนดวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 เป็นวันแข่งบั้งไฟ - ผาแดงมาร่วมงานแข่งบั้งไฟ - ภังคีแปลงกายเป็นกระรอกเพื่อชมความงามของนางไอ่ และลุ้นว่าใครจะได้นางไอ่ไป ครอง - การแข่งขันไม่มีใครแพ้ใครชนะทุกคนแยกย้ายกลับเมือง - ภังคีกลับไปเมืองบาดาลแล้วกลับมาเมืองเอกธิดาอีกครั้งโดยแปลงกายเป็นกระรอกมีกระดิ่งห้อย คอ - นางไอ่อยากได้กระรอกน้อยมาเลี้ยง แต่จับเป็นไม่ได้เลยให้นายพรานจับตาย - นายพรานแจกจ่ายเนื้อกระรอกให้ชาวเมืองกินยกเว้นแม่ฮ้างแม่ม่ายไม่มีโอกาสได้ชิมรสของ กระรอกด่อน - พญานาคราชทราบข่าวภังคีตายก็มีความโกธร ทำให้เกิดแผ่นดินไหวเกิดน้ำทะลักเจ้าท่วมเมือง เอกธิดาผู้คนจมหายลงใต้น้ำหมดยกเว้นหญิงแก่หญิงม่ายที่ไม่ได้กินเนื้อกระรอก - ผาแดงทราบข่าวเมืองเอกธิดาและจะกลับมาช่วยนางไอ่แต่ช่วยไม่ได้นางไอ่จมลงใต้น้ำ การปิดเรื่อง - ท้าวผาแดงและนางไอ่ถูกพญานาคกลืนกินตายไปตามกัน ๔. วิเคราะห์ตัวละคร ตัวละครหลัก ๑. ท้าวผาแดง เจ้าชายเมืองผาโพง เป็นชายที่มีรูปร่างสง่างาม องอาจ ผึ่งผาย เป็นที่ต้องตาต้องใจของหญิงที่พบ เห็น มีชาติเป็นมนุษย์ ๒. นางไอ่ เป็นธิดาของพระยาขอมแห่งเมืองเอกซะทีตา เป็นหญิงที่มีรูปร่างหน้าตางดงาม ซึ่งจะหาสาวงาม นางใดในสามภพมาเทียบมิได้
๙ ๓. ท้าวพังคี ลูกชายพญาศรีสุทโธ พญานาคผู้ครองเมืองบาดาล ก็เป็นอีกตนหนึ่งที่มี ความไฝ่ฝันอยากยลศิริโฉม ของนางไอ่ ทั้งนี้ก็เพราะเป็นเวรกรรมในอดีตชาตินั้นบันดาลให้เป็นไป ตัวละครรอง ๑. ท้าวสุทโธนาค เป็นพญานาคแห่งเมืองบาดาล เป็นพ่อที่มีความรักลูกมาก เวลาโมโหหรือโกรธจะน่ากลัว ๒. พระยาขอม เป็นกษัตริย์ครองเมืองเอกซะฑีตา เป็นพระบิดาที่มีความรักลูกมาก ๕. ภาษา จะแต่งเป็นคำกลอนโบราณอีสาน เล่าเรื่องเป็นภาษาอีสานทำให้ผู้อ่านเกิดความคล้อย ตามเน้นการใช้ภาษาอีสานหรือภาษาลาว เพราะเป็นวรรณกรรมอีสานเป็นหนังสือที่เหมาะแก่ ผู้อ่านทั่วๆไปเพื่อความสนุกสนาน อ่านแล้วทำให้ฉุดคิด มีคติสอนใจ ไม่ว่าจะเป็นคติทางโลกและ ทางธรรม เป็นหนังสือที่ใช้ภาษาอีสานหรือภาษาลาวได้ไพเราะมาก ๖. ฉาก ฉากหลัก ๑. เมืองเอกซะฑีตา - มีพระยาขอมเป็นกษัตริย์ทีครองเมือง เป็นสถานที่จัดแข่งบั้งไฟ เพื่อหาคู่ให้นางไอ่ ถ้าใครแข่งบั้ง ไฟชนะจะได้นางไอ่ไปครอง - เป็นสถานที่นางไอ่กับผาแดงแอบลักลอกมาหากันเกิดเป็นความรัก - เป็นสถานที่เกิดเหตุการณ์ท้าวสุโธนาคไล่ฆ่าผู้คนด้วยความโกรธที่ลูกชายพังคีตาย ฉากรอง ๑. เมืองบาดาล - เป็นสถานที่ ที่พังคี ทูลขออนุญาตพระบิดาขึ้นมาเมืองมนุษย์
๑๐ ๗.ค่านิยม ๗.๑ ค่านิยมเรื่องความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตอน...นายพรานกับพวกชําแหละเนื้อกระรอกแบ่งกันกิน เมื่อเนื้อมีเพิ่มมากขึ้นก็แบ่งให้กับผู้อื่นกิน อย่างมากมาย พฤติกรรมนี้สะท้อนค่านิยมของคนไทยคือความเอื้อเฟื้อแบ่งปัน ดังข้อความปรากฏ ดังนี้ เมื่อกระรอกเผือกสิ้นใจตาย นายพรานกับพวกนักล่าฝีมือฉกาจได้ช่วยกันชําแหละเอาเนื้อกระรอก มาแบ่งปันกันกิน ปรากฏว่าเมื่อปาดเอาเนื้อออก เนื้อก็เพิ่มขึ้นมาเป็นทวีคูณไม่รู้จักหมด ผู้คนใน เมืองเอกธีตาต่างพากันมากินเนื้อกระรอกอย่างอิ่มหมีพีมัน ๗.๒ ค่านิยมเรื่องการเชื่อฟังผู้ใหญ่ บิดา มารดา หรือผู้อาวุโส ตอน...ท้าวผาแดงสู้รบกับพญาศรีสุทโธนาค สู้กันถึง 7 วัน 7 คืน ก็ไม่มีใครชนะ พระอินทร์จึงลงมา ห้ามทัพ โดยสั่งให้ทั้งสองฝ่ายหยุดสู้กัน ท้าวผาแดงและพญาศรีสุทโธนาคก็เชื่อฟัง พฤติกรรมนี้ สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อฟังผู้ใหญ่ ดังข้อความปรากฏดังนี้ พระอินทร์เห็นดังนั้นจึงลงมาห้ามทัพ และบอกว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนั้น เป็นผลมาจาก “บุญกรรม” หรือกรรมเก่าแต่ชาติปางก่อน จึงขอให้เลิกราต่อกัน ไม่เข่นฆ่ากันอีก ขอให้มีเมตตาต่อกัน และให้ ทั้งสองฝ่ายรักษาศีลห้า ปฏิบัติธรรม และให้มีขันติธรรม ๗.๒ ค่านิยมเรื่องการให้อภัยกัน ตอน...ท้าวผาแดงและพญาศรีสุทโธนาคปรับความเข้าใจกัน เมื่อมีสติต่างฝ่ายต่างก็อภัยให้กัน ความสงบสุขจึงเกิดขึ้น พฤติกรรมนี้สะท้อนให้เห็นถึงค่านิยมเรื่องการให้อภัยกัน กล่าวคือหากต่าง ฝ่ายต่างเข้าใจกัน อภัยให้กัน ความสงบสุขก็จะเกิด ดังข้อความปรากฏดังนี้ ท้าวผาแดงและพญาศรีสุทโธนาคกลับมีสติ เข้าใจในเหตุผล ต่างฝ่ายต่างโมทนา เหตุร้ายจึงยุติลงด้วยความเข้าใจและมีการให้อภัยกันในที่สุด ๘. ด้านความเชื่อ ตำนานผาแดงนางไอ่ สอนให้คนอีสานเชื่อในบาปบุญ เชื่อในกฎแห่งกรรม เชื่อในอำนาจของ ผู้มีอำนาจ คนที่ฆ่ากระรอกเผือก กินเนื้อกระรอกเผือก ต่างก็ถูกน้ำท่วมถล่มตายและจมไปพร้อม กับเมือง ส่วนคนที่รักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่กินเนื้อสัตว์ อย่างแม่หม้ายเกาะกลางหนองหารหลวง รอดชีวิตได้ทั้งหมู่บ้าน
๑๑ วรรณคดีอีสานมีจุดมุ่งหมายสำคัญที่จะแทรกคติสอนในทางศีลธรรมด้วยเสมอ เรื่องท้าวผาแดง – นางไอ่ นี้ก็เช่นเดียวกัน จะเห็นได้ชัดว่ามีการเน้นหนักให้สำนึกถึงความเลวร้ายของการอาฆาต – พยาบาท – มาตรหมาย เรื่องกรรม – เวร ตลอดจนความวินาศซึ่งเป็นผลมาจากการพนัน ถ้าวิเคราะห์ในเชิงประวัติศาสตร์ จากตำนานเรื่องนี้จะมองเห็นภาพที่ขอมกำลังครอบครองดินแดน อีสานอยู่เกือบทั้งหมด โดยเฉพาะผู้มีบทบาทสำคัญของเรื่อง คือ พญาขอมนั้นครองเมืองหนองหาร น้อย มีลูกหลานวงศ์ตระกูลเดียวกันครองอยู่หลายเมือง เช่น มีขบวนแห่บั้งไฟจากเมืองต่างๆ มา ร่วมงานบุญของพญาขอม คือ “อันว่าหลายชายท้าวเชียงเหียนฟ้าแดด สองก็ตามเผ่าผู้แพงล้านที่ตน” “เมื่อนั้นผาแดงท้าวถวายคะดีบนบอก เฮาก็หว่ายย่านนํ้าไกลกว้างตุ่งเถิง เนาอยู่ผาโพงพุ้นฮิมของนคเรศ” “อันว่าบาสีแก้วเมืองหงส์เสมอภาค กันแล้ว ไฟหากขึ้นสู่บั้งบ่อมีค้างแตกโตน” เมืองเชียงเหียนได้แก่บ้านเอียดเซียงเหียน อยู่ในเขตอำเภอเมืองมหาสารคาม เมืองฟ้าแดดสงยาง อยู่บ้านบักก้อมเข้าหลาม ในเขตอำเภอกมลาไสย เมืองสีแก้วผักแว่น อยู่ในเขตอำเภอเมืองร้อยเอ็ด เมืองหงส์ เมืองทอง อยู่ในเขตอำเภอจตุรพักตรพิมาน ส่วนเมืองผาโพงฮิมของนั้น ยังไม่แน่ว่าอยู่ แห่งใด ตำนานผาแดง – นางไอ่ นี้เป็นเรื่องของชาวขอมในท้องเรื่องเราจะสังเกตเห็นมีคนต่างชาติ จากขอมรุกรานเข้ามาในอาณาบริเวณนี้คือ พวกพระยานาคซึ่งคงจะเป็นพวกไทย – ลาว เพราะมี เค้าเรื่องสอดคล้องกับประวัติศาสตร์ไทย – ลาว เช่น “เมื่อนั้น ราชาท้าวทั้งสองพระยานาค ก็จึงพากที่นั้นถึงห้องแห่งตน พาเอาพลไพร่น้อยหนีจาก หนองกระแส ตามบัญเทพะแมนเมืองฟ้า” โดยมีท้าวสุวรรณนาคนาโคบุกลงทางใต้คือ “ท้าวก็พา พลสร้างถางภูบุก่น คนจึงเอิ้นว่านํ้าน่านกว้างคราวนั้นสืบมา” และมีท้าวสุทโธนาคราชบุกลงมาอีก ทางหนึ่ง แต่งเป็นกลอนว่า “อันราชาท้าวสุทโธนาคราช พรากถิ่นดั้งเดิมผ้ายเผ่นหนี พากันซีดิน หญ้าภูผาขุดก่น ขนคาบไม้ไปถิ่นผีกทาง หางก่วยเบื้องฟาดผ่าภูผา ก็จึงเป็นคงคาแม่ของเขาเอิ้น” … พระยานาคตนนี้มีบุตรชายชื่อภังคี ซึ่งหลงรักนางไอ่จนตัวตาย นางไอ่เป็นนางขอม แต่ท้าวภังคี เป็นคนต่างชาติกัน โดยสมมุติว่าเป็นนาค (ไทย-ลาว) ดังคำสอนของแม่ภังคีแต่งเป็นกลอนไว้ว่า “อันหนึ่งเฮาหากเป็นนาคนํ้าถํ้าใหญ่เป็นโฮง เขานั้นเนาปรางค์ทองยู่โฮงพันห้อง”
๑๒ จุดสุดยอดของวรรณคดีเรื่องท้าวผาแดง – นางไอ่ อยู่ที่การเกิดแผ่นดินถล่ม จนกลายเป็นหนองหารน้อย มีคำกลอนดังต่อไปนี้ “เมื่อเดิ๊กซักไซ้เถิงเที่ยงราตรี กรรมสิมาเวียนถองคอบสนองชาวบ้าน ดูดั่งปืนตำต้องธรณีน้าวน่วง คือดังฟ้าแป่ม้างดินสะท้านหวั่นไหว ดินก็หวนหันปึ้นหลุบหล่มจมลง ปฐพีพอยพัดหลั่งลงทะหลัง หล่ม ฝูงหมู่รุกขาไม้ทั้งหลายหักโค่นทั้งหมู่เฮือนและเล้าทะลายหล้มหล่มลง ท้าวก็โจมเอาแก้ว กัลยานางไอ่ ฮีบมาไปเถิดน้องเมืองบ้านหล่มหลวง” นิยายเรื่องแผ่นดินถล่มในภาคอีสานนี้ เห็นจะมีเค้าความจริงมาแต่โบราณดึกดำบรรพ์อยู่บ้างเพราะ ดินแดนภาคนี้เชื่อว่าเคยเป็นทะเลนํ้าเค็มจัดหรือทะเลตายมาก่อน เวลานี้ยังปรากฏซากสิ่งที่มีชีวิต ซึ่งเป็นสัตว์นํ้าโบราณเหลืออยู่เช่น มีซากหอยจำนวนมาก ชาวบ้านเรียกว่า “ขี้นกอินทรีย์” อยู่ใน บริเวณทุ่งกุลาร้องไห้ จังหวัดร้อยเอ็ด จุดเด่นของนิทานท้าวผาแดง – นางไอ่ อีกข้อหนึ่งก็คือ มีการพรรณนาถึงประเพณีการทำบุญบั้งไฟ ซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังมีอยู่ในภาคอีสาน เพราะก่อนถึงฤดูทำงานหนักในรอบปีได้แก่การทำนา เมื่อยามเดือน ๖ ชาวอีสานจะมีพิธีงานบุญ สำคัญประจำปีคือ “บุญบั้งไฟ” คำกลอนเกี่ยวกับบุญบั้งไฟของพระยาขอมมีดังนี้ “เฮาจักตามฮีตเค้าเฒ่าเก่าคองหลังกูจักพาสูทำแต่งบุญแปลงสร้าง เดือนหกขึ้นวันเพ็งสิบห้าคํ่า กับทั้งเบิกแผนกพร้อมวันซํ้าส่งบุญ จักได้มีการเล่นไฟหางบั้งหมื่น กับทั้งมีบวชพร้อมสรงนํ้าราชครู” “เซียงเหียนพร้อมไวเปียงไปไส่ บอกให้ได้ไฟบั้งหมื่นปลาย กับทั้งไฟตะไลพร้อมไฟพะเนียงเป็นดอก……………………….” “พากันตกแต่งสร้างผามกว้างซ่วงสูง ฝูงหนึ่งให้ได้ไม้เสาใหญ่ปุกผาม บ้านนํ้าฆ้องสามพาดพันดอน ให้เขาหาตงกอนก่อผามมุงหญ้า”
๑๓ ภาพสะท้อนอกุศลมูล ๓ ในเรื่องผาแดง-นางไอ่ วรรณกรรมเรื่องผาแดงนางไอ่ ได้สะท้อนให้เห็นว่าการถูกครอบงำโดย "อกุศลกรรม" ประกอบด้วย โลภะ โทสะ และโมหะ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโสกนาฏกรรมของเรื่องราวที่ตามมา โดยมุ่งหวังที่จะชี้ให้เห็นว่านิทานพื้นบ้านเรื่องนี้ก็สามารถถ่ายทอดหลักคุณธรรมที่บุคคลควร คำนึงถึง เพื่อประโยชน์สุขของตนเองและส่วนรวมได้ดังคุณประโยชน์ของวรรณกรรมที่กล่าวไว้ ในตอนต้น ๑.โลภะ (ความอยากได้) ปรากฏชัดเมื่อนางไอ่เห็นกระรอกเผือกจึงมีความอยากได้อันเป็น "โลภะ" ความอยากได้นี้เบียดเบียนชีวิตของผู้อื่น โดยนางให้นายพรานตามจับกระรอกตัวนั้น จนนายพราน ได้ยิงกระรอก ซึ่งเป็นท้าวภังคีแปลงกายมา จนตายในที่สุด หากนางไม่อยากได้ การเบียดเบียน ชีวิตท้าวภังดีก็จะไม่เกิดขึ้น ๒.โทสะ (ความคิดประทุษร้าย) กล่าวคือ ความขัดเชื่องใจ ความไม่ชอบใจ ความไม่พอใจ หรือ แม้แต่ความน้อยใจ ซึ่งมีโทษทั้งต่อร่างกาย จิตใจ และสังคมโดยส่วนรวม ในเนื้อเรื่อง ปรากฏชัด เมื่อท้าวสุทโธนาคทราบว่าภังคีบุตรชายถูกสังหาร จึงโกรธเเค้นเกณฑ์กองทัพนาคไปถล่มเมืองเอกธี ตาให้จมลงกลายเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่ ใครที่กินเนื้อภังคีไปต้องตายอย่างน่าเวทนา เบียดเบียน ชีวิตชาวบ้านผู้ที่บริสุทธิ์ไม่ได้รับรู้อะไรด้วยเลย เพียงแต่ได้รับบริจาคเนื้อกระรอกมารับประทาน เท่านั้น ๓.โมหะ (ความหลง) ปรากฏชัดในสองตอน กล่าวคือ ตอนที่ท้าวกังดีหลง ปราศจากปัญญา ไตร่ตรอง ไม่ยอมฟังคำเตือนของท้าวสุทโธนาคผู้เป็นบิดา แปลงกายเป็นกระรอกเผือกแอบไปใกล้ ปราสาทของนางไอ่คำ จนเกิดโศกนาฎกรรมบังเกิดแก่ชีวิตตนเองในที่สุด เเละอีกตอนคือ เมื่อท้าว ผาแดงปราศจากปัญญา มีแต่ความ ปรารถนาที่จะช่ายให้นางไอคำกลับคืนมา จนต้องกลั้นใจตาย กลายเป็นผีเพื่อไปสู้รบกับพญานาค เบียดเบียน ชีวิตของตนเองเช่นเดียวกัน ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนให้สติพุทธศาสนิกชนเกี่ยวกับความรักว่า เพราะอาศัยตัณหา จึงเกิดการแสวงหา เพราะอาศัยการแสวงหา จึงมีการได้มา เพราะอาศัยการได้มา จึงเกิดการตกลงใจ เพราะอาศัยความตกลงใจ จึงเกิดความใคร่ เพราะอาศัยความใคร่ จึงเกิดการฝังใจ เพราะอาศัยความฝังใจ จึงเกิดการหึงหวง
๑๔ เพราะอาศัยความหึงหวง จึงเกิดความตระหนี่ เพราะอาศัยความตระหนี่ จึงเกิดการปกป้อง ” เพราะอาศัยการปกป้อง จึงการการลงไม้ลงมือ ทะเลาะวิวาท แก่งแย่ง ขึ้นกูขึ้นมึง โกหก หลอกลวง หยาบคาย และฆ่ากันตาย อกุศลธรรม (ความชั่วร้าย) ทั้งปวงก็เกิดขึ้น (พระไตรปิฎก เล่มที่ 10 มหานิทานสูตร) เท่านี้หรือ “ความรักใคร” ตำนาน “ผาแดงนางไอ่” ก็หนีไม่พ้นจาก หลักคำสอนวงจรแห่งทุกข์นี้ไปได้ ข้อคิดที่ได้ ต้นเหตุที่เด่นชัดแห่งความทุกข์ หรือความชั่วร้ายในสังคมมาจาก ”ความอยาก“… เมื่ออยากก็ แสวงหา… เมื่อแสวงหาก็ได้มา… ได้มาแล้วก็ตกลงใจ… เมื่อตกลงใจก็เกิดความรักใคร่ รักมากก็ฝัง มาก… ฝังใจมากก็หวงมาก… หวงมากๆ ก็ตระหนี่ เห็นแก่ตัว… ตระหนี่มากก็พยายามปกป้องรักษา กลัวสูญหาย… เมื่อพยายามปกป้องก็เป็นเหตุให้ถือศาสตราวุธ ทะเลาะเบาะแว้ง ด่าท่อ ส่อเสียด หรือโกหกตอแหลต่างๆ… ความทุกข์ความเลวร้ายจึงเกิดขึ้นในหมู่มนุษย์ด้วยประการฉะนี้ฯ คติสอนใจ ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ และการอธิษฐานเป็นสิ่งศักสิทธิ์ อย่าไปอธิษฐานทั่ว บริบททางสังคม
๑๕
๑๖
๑๗
๑๘
๑๙
๒๐
๒๑ บรรณานุกรม (ฐานข้อมูลพระไตรรัตน์ในอีสาน. (ม.ป.ป.) สำนักวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝ่ายศิลปวัฒนธรรมและชุมชนสัมพันธ์. (ม.ป.ป.).พระไตรรัตน์ในอีสาน. https://cackku.wixsite.com/phratrairat2/copy-of-16 (ภารกิจพิเศษ วิเคราะห์วรรณกรรมเรื่อง ผาแดงนางไอ่) (สำนักพิมพ์, ปีที่พิมพ์ 2552) ผู้แต่ง นายสิริวัฒน์ คำวันสา http://mypiyaporn.blogspot.com/2017/04/blog-post.html ท้าวผาแดง – นางไอ่ / (จารุบุตร เรืองสุวรรณ/20 เม.ย. 2020)
๒๒