ห้องเรียนวรรณกรรม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น ปริทัศน์วรรณกรรม ลิลิตพระลอ
รายงาน เรื่อง ลิลิตพระลอ เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ ภทฺรกวี จัดทำโดย สามเณรรัชพล สมภักดี รหัสนิสิต 6505502013 รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา 204 202 วรรณกรรมไทยปริทัศน์ ภาคเรียนที่ 2/๒๕๖๖ คณะครุศาสตร์บัณฑิตสาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยสาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
คำนำ ลิลิตพระลอ เป็นลิลิตโศกนาฏกรรมความรัก ที่เเต่งขึ้นอย่างประณีตงดงาม มีความไพเราะของ ถ้อยคำ เเละเต็มไปด้วยสุนทรียศาสตร์ พรรณาเรืองด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ใช้กวีโวหารอย่างยอด เยี่ยม ในการบรรยายเนื้อเรื่อง ที่มีฉากอย่างมากมาย หลากหลายอารมณ์ โดยมีเเก่นเรืองเเบบรักโศก หรือโศกนาฏกรรม เเละแฝงเเง่คิดถึงสัจธรรมของชีวิตลิลิตพระลอนี้เคยถูกวิจารย์อย่างเผ็ดร้อนจากนัก วรรณคดีบางกลุ่ม เนื่องจากเชื่อว่าเป็นวรรณกรรมที่มอมเมาทางโลกีย์ รายงานเล่มนี้จึงจัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ที่ต้องการศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับวรรณกรรมเรื่องลิลิตพระลอ ผู้จัดทำหวังว่ารายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการค้นคว้าไม่มากก็น้อย หากมีสิ่งหนึ่งประการใดขาด ตกบกพร่องก็ขออภัยมา ณ โอกาสนี้ สามเณรรัชพล สมภักดี ผู้จัดทำ
สารบัญ เนื้อหา หน้า เรื่องย่อลิลิตพระลอ ๑ ผู้แต่งและปีที่แต่ง ๒ เนื้อหาคำประพันธ์อื่นๆ ๓-๑๘ -ร่าย -โครง๒ -โครง๓ -โครง๔ อ้างอิง
ลิลิตพระลอ เรื่อง “ลิลิตพระลอ” นี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ประมานอธิบายไว้ในหนังสือ “บันทึกสมาคมวรรณคดี” (ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๕ วันที่ ๒๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕) ว่าดังนี้ “หนังสือลิลิตมีมากเรื่องก็จริง แต่ที่นับถือกันว่าเป็นตำรามาแต่โบราณ จนกาลบัดนี้ มี ๓ เรื่อง เท่านั้น ๑. เรื่องยวนพ่าย แต่งมนสมัยอยุธยา เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง ๒. เรื่องพระลอ แต่งในสมัยอยุธยา เป็นนิทานเรื่องทาง อาณาเขตล้านนา (คือมณฑลพายัพ) ดูเหมือน พระเจ้าแผ่นดินพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง พระราชนิพนธ์แต่ในเวลาเมื่อยังดำรงพระยศเป็นพระราช โอรส ๓. เรื่องเตลงพ่าย สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส (เมื่อยังเสด็จดำรงพระยศเป็นกรมหมื่อนุชิต ชิโนรส) ทรงพระนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๓ กรุงรัตนโกสินทร์ เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนเรศวรมหาราช "เสียงลือเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพี่หลับไหล ลืมตื่น ฤาพี่ สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ ถามเผือ" เชื่อว่าโคลงบทนี้จะเป็นที่คุ้นเคยสำหรับชาวไทย เพราะมักจะได้ยินการ นำมากล่าวถึงกันบ่อยครั้ง โคลงบทนี้ปรากฎในหนังสือจินดามณีของพระโหราธิบดี สมัยสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช ถือเป็นผลงานชั้นครูและกลายเป็นแบบอย่างของฉันทลักษณ์โคลงสี่สุภาพ ในการ วางคำเอกเจ็ดโทสี่ ตลอดจนสัมผัสและกำหนดจำนวนคำที่มีความสอดคล้องของการใช้ภาษา ได้อย่าง ไพเราะ สละสลวย เป็นการสนทนาระหว่างพระเพื่อนพระแพงและพี่เลี้ยง นางรื่น นางโรย กล่าวขวัญ ถึงความสง่างามของ "พระลอ" กษัตริย์เมืองสรวง ซึ่งมีกิตติศัพท์ระบือไกลไปทั่วทั้งแผ่นดิน จนใครๆ ก็ อยากเห็นอยากชื่นชมพระบารมี โศกนาฎกรรมจากความรักในเรื่อง "ลิลิตพระลอ" ที่ประพันธ์ด้วยร่ายสุภาพและโคลงสุภาพตั้งแต่ สมัยอยุธยาตอนต้น ไม่เพียงจะสร้างความประทับและตราตรึงใจผู้อ่านด้วยเนื้อหา การผูกเรื่องได้อย่าง สนุกสนาน รันทด ซาบซึ้งใจในเรื่องราวของความรักซึ่งมีหลากหลายรูปแบบทั้งรักระหว่างหนุ่มสาว/
นาย-บ่าว/ แม่-ลูก/ เจ้า-ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน แต่ยังมีความงดงามของการใช้ภาษาและถ้อยคำได้อย่าง ไพเราะจับใจ นอกจากนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของการสะท้อนวิถีชีวิต วัฒนธรรม และสังคมในยุคสมัยที่ ผู้ประพันธ์แต่งขึ้นด้วย ผู้แต่งและปีที่แต่ง เรื่องผู้แต่งและปีที่แต่ง ไม่ปรากฏหลักการหรือข้อความระบุที่ชัดเจน แต่อาจอาศัยเนื้อเรื่องที่ระบุถึง สงครามระหว่างอยุธยาและเชียงใหม่มาเป็นจุดอ้างอิง ซึ่งเดิมนั้นเชื่อว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยสมเด็จพระ นารายณ์มหาราช (พ.ศ. 2199-2231) แต่ไม่ปรากฏหลักฐานชัดเจน และเป็นที่ถกเถียงกันมาจวบจน ปัจจุบัน นักวิจารณ์วรรณคดีส่วนใหญ่ลงความเห็นว่า ลิลิตพระลอแต่งขึ้นในสมัยอยุธยาแน่ และเชื่อว่า เป็นไปได้มากที่จะแต่งขึ้นก่อนสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เนื่องจากหนังสือสอนภาษาไทย "จินดามณี" ที่ แต่งโดยพระโหราธิบดีในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ได้คัดเอาโคลงลิลิตพระลอบทที่ว่า เสียงฦๅเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่ สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือฯ มาใช้เป็นแบบโคลง 4 เพราะเอกโทตรงตามตำราหมดทุกแห่ง นอกจากหนังสือจินดามณี ยังมีเค้า เงื่อนอย่างอื่นเป็นที่สังเกต คือ หนังสือบทกลอนแต่งครั้งกรุงศรีอยุธยา (ว่าตามตัวอย่างที่ยังมีอยู่) ในช่วงตอนต้นนับแต่รัชกาลสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถมาชอบแต่งลิลิตกันเป็นพื้นมีลิลิตโองการแช่ง นํ้าพระพิพัฒนสัตยา ลิลิตเรื่องยวนพ่าย และลิลิตเรื่องพระลอเป็นตัวอย่างสำนวนทันเวลากันทั้ง 3 เรื่อง แต่การกวีนิพนธ์ตอนกลางและปลายกรุงศรีอยุธยา ไม่ปรากฏว่ามีการแต่งลิลิตเรื่องใดเลย ดังนั้น จึงมีหลักฐานน่าเชื่อว่า ลิลิตพระลอ เป็นวรรณคดีที่แต่งใน กรุงศรีอยุธยาตอนต้น ราวในระหว่าง พ.ศ. 1991 จนถึง พ.ศ. 2026 แต่ยังมีบางท่านเสนอเวลาที่ใหม่กว่านั้น ว่าน่าจะแต่งขึ้นในสมัยต้นกรุง รัตนโกสินทร์ แต่ยังมีผู้คล้อยตามไม่มากนัก เนื่องจากไม่มีหลักฐานสนับสนุนนักวรรณคดีมักจะยกโคลง ท้ายบทมาเป็นหลักฐานพิจารณาสมัยที่แต่ง ดังนี้
659.จบเสร็จมหาราชเจ้า นิพนธ์ ยอยศพระลอคน หนึ่งแท้ พี่เลี้ยงอาจเอาตน ตายก่อน พระนา ในโลกนี้สุดแล้ เลิศล้ำคุงสวรรค์ฯ 660.จบเสร็จเยาวราชเจ้า บรรจง กลอนกล่าวพระลอยง ยิ่งผู้ ใครฟังย่อมใหลหลง ฤาอิ่ม ฟังนา ดิเรกแรกรักชู้ เหิ่มแท้รักจริงฯ จากโคลงข้างบน มีผู้เสนอว่า "มหาราช" คือกษัตริย์ เป็นผู้แต่ง และ "เยาวราช" เป็นผู้เขียน (บันทึก) และสันนิษฐานว่า ผู้แต่งน่าจะเป็น สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 (พระเชษฐา) และผู้เขียน คือ สมเด็จพระ บรมราชาธิราชที่ 4 (พระอาทิตยวงศ์) และคาดว่าน่าจะแต่งเมื่อ พ.ศ. 2034-2072 อย่างไรก็ตาม นักวรรณคดีบางท่าน เสนอว่า น่าจะอยู่ในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราช (พ.ศ. 2077- 2089) เนื่องจากเป็นสมัยที่มีสงครามระหว่างไทยกับเชียงใหม่ และเป็นสมัยแรกที่มีการใช้ปืน (ปืนไฟ) ในการรบภาษาสำนวนในลิลิตพระลอ อ่านเข้าใจได้ง่ายกว่าวรรณกรรมเรื่องอื่นๆ ในสมัยอยุธยา แต่ก็ ยังมีศัพท์ยาก และศัพท์โบราณอยู่บ้าง ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหตุให้นักวิจารณ์บางท่านเสนอว่า ลิลิตพระ ลอแต่งในสมัยรัตนโกสินทร์ ท้าวแมนสรวงเป็นกษัตริย์ของเมืองแมนสรวง พระองค์มีพระมเหสีทรง พระนามว่า “ นางบุญเหลือ ” ทั้งสองพระองค์มีพระโอรสมีพระนามว่า “ พระลอดิลกราช ” หรือเรียกกันสั้น ๆ ว่า “ พระลอ ” มี กิตติศัพท์เป็นที่ร่ำลือกันว่าพระองค์นั้นทรงเป็นชายหนุ่มรูปงามไปทั่วสารทิศจนไปถึงเมืองสรอง ( อ่าน ว่า เมืองสอง ) ซึ่งเป็นเมืองที่ถูกปกครองโดยท้าวพิชัยวิษณุกร พระองค์มีพระนามว่า “ พรดาราวดี ” และพระองค์ทรงมีพระธิดาผู้เลอโฉมถึงสองพระองค์พระนามว่า “ พระเพื่อน ” และ “ พระแพง ” พระเพื่อนและพระแพงได้ยินมาว่า พระลอเป็นชายหนุ่มรูปงาม ก็ให้ความสนใจอยากจะได้ยล พี่เลี้ยง ของพระเพื่อนและพระแพงคือนางรื่น และนางโรยสังเกตเห็นความปรารถนาของนายหญิงของตนก็ เข้าใจในพระประสงค์ สองพี่เลี้ยงจึงอาสาจะจัดการให้นายของตนนั้นได้พบกับพระลอ โดยการส่งคน
ไปขับซอในนครแมนสรวง และในขณะที่ขับซอนั้นจะไห้นักดนตรีพร่ำพรรณนาถึงความงามของเจ้า หญิงทั้งสอง ในขณะเดียวกันนั้นพี่เลี้ยงทั้งสองก็ได้ไปหาปู่เจ้าสมิงพราย เพื่อที่จะให้ช่วยทำเสน่ห์ให้ พระลอหลงใหลในเจ้าหญิงทั้งสองเมื่อพระลอต้องมนต์ก็ทำให้ใคร่อยากที่จะได้ยลพระเพื่อนและพระ แพงเป็นยิ่งนัก พระองค์เกิดความคลั่งไคล้ไหลหลงจนไม่เป็นอันทำอะไรแม้แต่กระทั่งเสวยพระกระยา หาร พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของพระองค์ ได้ทำให้พระราชชนนีสงสัยว่าจะมีผีมาเข้ามาสิงสู่อยู่แต่ ถึงแม้ว่าจะหาหมอผีคนไหนมาทำพิธีขับไล่ก็ไม่มีผลอันใด พระลอก็ยังคงมีพฤติการณ์อย่างเดิมอยู่ เพื่อที่จะได้ยลเจ้าหญิงทั้งสอง พระลอจึงทูลลาพระราชชนนีออกประพาสป่า แต่จุดประสงค์ที่แท้จริงก็ คือ เพื่อที่จะได้ไปยลเจ้าหญิงแห่งเมืองสรองนั่นเอง จากนั้นพระลอก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองสรอง พร้อมคนสนิทอีก 2 คน คือ นายแก้ว กับนายขวัญ พร้อมกับไพร่พลอีกจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดต้องเดิน ผ่านป่าผ่าดงจนกระทั่งมาพบแม่น้ำสายหนึ่งมีชื่อว่า “ แม่น้ำกาหลง ”และที่แม่น้ำกาหลงนี้เอง ที่ พระลอได้ตั้งอธิษฐานว่าหากตนเองได้รอดกลับมาน้ำจะใสและไหลตามปรกติแต่หากต้องตายให้น้ำ กลายเป็นสีเลือดและไหลผิดปรกติ หลังจากคำอธิษฐานนั้น แม่น้ำก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดในทันทีและ ไหลเวียนวนผิดปกติ เมื่อพระลอเห็นดังนั้นก็รู้ได้ว่าจะมีเรื่องร้ายรออยู่เบื้องหน้าของพระองค์ แต่ก็ไม่ได้ ทำให้พระองค์เกิดความย่อท้อที่จะได้พบกับเจ้าหญิงที่พระทัยของพระองค์เรียกร้องแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าพระองค์นั้นจะไม่เคยพบนางเลย แต่พระองค์คลั่งไคล้ไหลหลงในตัวนางทั้งสองเป็นยิ่งนักส่วน เจ้าหญิงทั้งสองรอการเดินทางมาของเจ้าชายรูปงามไม่ได้ และเกรงว่ามนต์เสน่ห์ของปู่เจ้าสมิงพรายจะ ไม่เห็นผล จึงได้ขอร้องให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วยเหลืออีกครั้ง โดยให้ช่วยเนรมิตไก่งามขึ้นตัวหนึ่งให้มีเสียง ขันที่ไพเราะ ทั้งสองพระองค์คิดว่าไก่ตัวนั้นจะต้องทำให้พระลอสนพระทัยและติดตามมาจนถึงเมืองสร องอย่างแน่นอนและแล้วเหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่เจ้าหญิงสองคาดไว้ พระลอได้ตามไก่เนรมิตไปจนถึง พระราชอุทยาน และได้พบกับเจ้าหญิงทั้งสองซึ่งกำลังทรงสำราญอยู่ ในทันทีที่ทั้งสามได้พบกันก็เกิด ความรักใคร่กันในบัดดล และก็เป็นเวลาเดียวกับที่นายแก้วกับนายขวัญ ได้ตกหลุมรักของนางรื่นและ นางโรยผู้ซึ่งเปิดหัวใจต้อนรับชายหนุ่มทั้งสองโดยไม่รีรอเช่นกัน ปรากฏว่าพระลอและบ่าวคนสนิทของ พระองค์ลักลอบเข้าไปอยู่ในพระตำหนักชั้นในซึ่งเป็นที่ประทับของเจ้าหญิงทั้งสองอย่างไรก็ตาม ความลับนี้ได้ถูกเปิดเผยเข้าจนได้ เมื่อข่าวได้ไปถึงพระกรรณของพระราชาจึงได้เสด็จมาไต่สวนในทันที และเมื่อพระลอกราบทูลให้ทรงทราบเรื่อง พระองค์ก็ทรงกริ้วเป็นยิ่งนัก แต่ก็ทรงเข้าพระทัยในความ รักของคนทั้งสาม และทรงจัดพิธีอภิเษกสมรสให้ทั้งสามพระองค์ทันทีด้วยการอ้างเอาพระราชโองการ ของพระราชโอรสของพระนางคือ ท้าวพระพิชัยวิษณุกร พระเจ้าย่าจึงสั่งให้ทหารล้อมพระลอและไพร่ พลเอาไว้ ในขณะที่พระลอกับไพร่พลได้ต่อสู้เอาชีวิตรอด พระนางก็สั่งให้ทหารระดมยิงธนูเข้าใส่ ลูก ธนูที่พุ่งเข้าหาพระองค์และไพร่พลประดุจดังห่าฝนก็ไม่ปานจึงทำให้ไม่อาจจะต้านทานไว้ได้อีกต่อไป
และเพื่อที่ปกป้องชีวิตของชายคนรักพระเพื่อนกับพระแพงจึงเข้าขวางโดยใช้ตัวเองเป็นโล่กำบังให้ พระลอ ทั้งสามจึงต้องมาสิ้นพระชนม์ในอ้อมกอดของกันและกันท่ามกลางศพของบ่าวไพร่ ณ ที่ตรง นั้นเอง ทันใดนั้นทั้งสองเมืองก็ต้องตกอยู่ในความวิปโยคต่อการจากไปของทั้งสามพระองค์ผู้บูชาในรัก แท้ ศรีสิทธิฤทธิไชย ไกรกรุงอดุงเดชฟุ้งฟ้า หล้ารรัวกลัวมหิมารอาอานุภาพ ปราบทุกทิศ ฤทธิรุกราญ ผลาญพระนคร รอนลาวกาวตาวตัดหัว ตัวกลิ้งกลาดดาษดวน ฝ่ายข้างยวนแพ้พ่าย ฝ่ายข้างลาวประ ไลย ฝ่ายข้างไทยไชเยศร์ คืนยังประเทศพิศาล สำราญราษฎร์สัมฤทธิ พิพิธราชสมบัติ พิพัฒนมงคล สรพสกลสิมา ประชากรเกษมสุข สนุกทั่วธรณี พระนครศรีอโยธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรี รมย อุดมยศโยคยิ่งหล้า ฟ้าฟื้นฟึกบูรณ์ ฯ โคลง ๔ บุญเจ้าจอมโลกเลี้ยง โลกา ระเรื่อยเกษมสุขพูล ใช่น้อย แสนสนุกศรีอโยธยา ฤารํ่า ถึงเลย ทุกประเทศชมค้อยค้อย กล่าวอ้างเยินยอ ฯ รู้มลักสรพศาสตรถ้วน หญิงชาย จักกล่าวกลอนพระลอ เลิศผู้ ไพเราะเรียบบรรยาย เพราะยิ่ง เพราะนา สมปี่ลู้เสียงลู้ ล่อเล้าโลมใจ ฯ สรวลเสียงขับอ่านอ้าง ใดปาน ฟังเสนาะใดปูน เปรียบได้ เกลากลอนกล่าวกลการ กลกล่อม ใจนา ถวายบำเรอท้าวไท้ ธิราชผู้มีบุญ ฯ
ร่าย กล่าวถึงขุนผู้ห้าว นามท่านท้าวแมนสรวง เปนพระยาหลวงผ่านเผ้า เจ้าเมืองสรวงมีศักดิ์ ธมีอัคเทพี พิลาส ชื่อนางนาฎบุญเหลือ ล้วนเครือท้าวเครือพระยา สาวโสภาพระสนม ถ้วนทุกกรมกำนัล มนตรี คัลคับคั่ง ช้างม้ามั่งมหิมา โยธาเดียรดาษหล้า หมู่ทกล้าทหาร เฝ้าภูบาลนองเนือง เมืองออกมากมียศ ท้าวธมีเอารสราชโปดก ชื่อพระลอดิลกล่มฟ้า ทิศตวันออกหล้า แหล่งไล้สีมา ท่านนา ฯ ร่าย มีพระยาหนึ่งใหญ่ ธไซร้ทรงนามกร พิมพิสาครราช พระบาทเจ้าเมืองสรวง สมบัติหลวงสองราชา มี มหิมาเสมอกัน ทิศตวันตกไท้ท้าว อคร้าวครอบครองยศ ท้าวธมีเอารสราชฦๅไกร ชื่อท้าวพิไชยพิษณุกร ครั้นลูกภูธรธใหญ่ไซร้ ธก็ให้ไปกล่าวไปถาม นางนามท้าวนามพระยา ชื่อเจ้าดาราวดี นางมีศรีโสภา เป นนางพระยาแก่ลูกไท้ ลูกท้าวธได้เมียรัก ลำนักเนตรเสนหา อยู่นานมามีบุตร สุดสวาทกษัตริย์สององค์ ทรงโฉมจันทรงามเงื่อน ชื่อท้าวเพื่อนท้าวแพง จักแถลงโฉมเลิศล้วน งามถี่พิศงามถ้วน แห่งต้องติดใจ บารนี ฯ ร่าย เมื่อนั้นไท้แมนสรวง พระยาหลวงให้หา หัวเมืองมาริปอง ว่าเมืองสองกษัตริย์กล้า อย่าช้าเราจะรบ ชิงพิภพเปนเมืองออก เร่งบอกให้เรียบพล นายกคณชุมกัน ครันเทียบพลเศิกเสร็จ ท้าวธเสด็จพยุบาตร ลีลาสจากพระนคร คลี่นิกรพลพยู่ห์ สู่แดนศึกบมิช้า เดียรดาษพลช้างม้า เพียบพื้นภูมิน ฯ ร่าย ส่วนนรินทรราชา พิมพิสาครราช พระบาทครั้นได้ยิน ว่าภูมินทรแมนสรวง ยกพลหลวงมากระทั่ง ท้าวธก็สั่งพลออกรับ ตับตามกันเดียรดาษ พระบาทเสด็จบมิช้า พลหัวหน้าพะกัน แกว่งตาวฟันฉฉาด แกว่งดาบฟาดฉฉัด ซร้องหอกซัดยยุ่ง ซร้องหอกพุ่งยย้าย ข้างซ้ายรบบมิคลา ข้างขวารบบมิแคล้ว แกล้วแลแกล้วชิงข้า กล้าแลกล้าชิงขัน รุมกันพุ่งกันแทง เข้าต่อแย้งต่อยุทธ์ โห่อึงอุจเอาไชย เสียงปืน ไฟกึกก้อง สเทือนท้องพสุธา หน้าไม้ดาปืนดาษ ธนูสาดศรแผลง แขงต่อแขงง่าง้าง ช้างพะช้างชนกัน ม้าผกผันคลุกเคล้า เข้ารุกรวนทวนแทง รแรงเร่งมาหนา ถึงพิมพิสาครราช พระบาทขาดคอช้าง ขุนพล คว้างขวางรบ กันพระศพกษัตรีย์ หนีเมื้อเมืองท่านไท้ ครั้นพระศพเข้าได้ ลั่นเขื่อนให้หับทวาร ท่านนา ฯ
ร่าย งารรักษาพระนคร ท้าวพิไชยพิษณุกรกันเมืองได้ ไท้แมนสรวงเสด็จคืน ท้าวพิไชยยืนครองพิภพ ปลง ศพพระราชบิดาแล้วไส้ ธก็ให้สองพงาหน่อเหน้า ไปอยู่ด้วยย่าเจ้าวังเดียว กับสองนางเฉลียวฉลาด พี่ เลี้ยงราชธิดา โดยธตราชื่อชื่น ชื่อนางรื่นและนางโรย โดยรักษาสองอ่อนท้าว สองสมเด็จเสด็จด้าว สู่ ห้องเรือนหลวง ท่านแล ฯ ร่าย เมื่อนั้นไท้แมนสรวง พระยาหลวงผู้มีศักดิ์ ให้ไปกล่าวนางลักษณวดี นางมีศรีสวัสดิ์ลออ ให้แก่ พระลอดิลก ยกเปนอัคมหิษี มีบริพารพระสนม ถ้วนทุกกรมกำนัล ประกอบสรรพสมบูรณ์ จึ่งนเรนทร์ สูรราชบิดา สวรรคาไลยแล้วเสร็จ พระลอเสด็จเสวยราชย์ โฉมอภิลาสสระสม ดินฟ้าชมบรู้แล้ว โฉม พระลอเลิศแก้ว กว่าท้าวแดนดิน แลนา ฯ โคลง ๒ รอยรูปอินทรหยาดฟ้า มาอ่าองค์ในหล้า แหล่งให้คนชม แลฤา ฯ พระองค์กลมกล้องแกล้ง เอวอ่อนอรอรรแถ้ง ถ้วนแห่งเจ้ากูงาม บารนี ฯ โฉมผจญสามแผ่นแพ้ งามเลิศงามล้วนแล้ รูปต้องติดใจ บารนี ฯ ฦๅขจรในแหล่งหล้า ทุกทั่วคนเที่ยวค้า เล่าล้วนยอโฉม ท่านแล ฯ เดือนจรัสโพยมแจ่มฟ้า ผิบได้เห็นหน้า ลอราชไซร้ดูเดือน ดุจแล ฯ ตาเหมือนตามฤคมาศ พิศคิ้วพระลอราช ประดุจแก้วเกาทัณฑ์ ก่งนา ฯ
พิศกรรณงามเพริศแพร้ว กลกลีบบงกชแก้ว อีกแก้มปรางทอง เทียบนา ฯ ทำนองนาสิกไท้ คือเทพนฤมิตไว้ เปรียบด้วยขอกาม ฯ พระโอษฐ์งามยิ่งแต้ม ศศิอยู่เยียวยะแย้ม พระโอษฐ์โอ้งามตรู บารนี ฯ ร่าย พิศดูคางสระสรม พิศศอกลมกลกลึง สองไหล่พึงใจกาม อกงามเงื่อนไกรสร พระกรกลงวงคช นิ้ว สลวยชดเล็บเลิศ ประเสริฐสรรพสรรพางค์ แต่บาทางค์สุดเกล้า พระเกศงามล้วนเท้า พระบาทไท้งาม สม สรรพนา ฯ โคลง ๔ ขับซอยอราชเที้ยร ทุกเมือง ฦๅเล่าพระลอเลือง ทั่วหล้า โฉมบาบพิตรเปลือง ใจโลก สาวหนุ่มฟังเปนบ้า อยู่เพี้ยงโหยหน ฯ เล่าฦๅโฉมท้าวทั่ว เมืองสรอง ขจรข่าวถึงหูสอง พี่น้อง รทวยดุจวัลย์ทอง ครวญใคร่ เห็นนา โหยลห้อยในห้อง อยู่เหยี้ยมฟังสาร ฯ พระแพงพระเพื่อนเพี้ยง พิศวง นับอยู่ในใจจง จอดไท้ มลักเห็นดอกกลหลง ฉงนเงื่อน อยู่นา
อกอ่อนรทวยไหม้ สรากหน้าตาหมอง ฯ นางโรยนางรื่นขึ้น ไปเยือน เห็นราชสองหมองเหมือน ดั่งไข้ ทุกวันดุจดวงเดือน งามชื่น ไส้นา หมองดั่งนี้ข้าไหว้ บอกข้าขอฟัง หนึ่งรา ฯ ผิวไข้พูลพยาธิไซร้ ยาหาย ง่ายนา ไข้หลากทั้งหลายใคร ช่วยได้ ไข้ใจแต่จักตาย ดีกว่า ไส้นา สองพี่นึกในไว้ แต่ถ้าเผาเผือ ฯ โคลง ๒ ข้าฟังเหลือที่พร้อง สองสมเด็จพระน้อง กล่าวนี้กลใด ฯ ใดขัดใจแม่ณเกล้า สองสมเด็จพระเจ้า บอกไว้งารเผือ ฯ ร่าย เจ็บเผือเหลือแผ่นดิน นะพี่ หลากกระบิลในแหล่งหล้า นะพี่ บอกแล้วจะไว้หน้าแห่งใด นะพี่ ความ อายใครช่วยได้ นะพี่ อายแก่คนใส้ท่านหัว นะพี่ แหนงตัวตายดีกว่า นะพี่ สองพี่อย่าถามเผือ นะพี่ เจ็บ เผือเหลือแห่งพร้อง โอ้เอนดูรักน้อง อย่าซ้ำจำตาย หนึ่งรา ฯ ร่าย ข้าไหว้ถวายชีพิต เผือข้าชิดข้าเชื่อ เขือดังฤาเหตุใด ธมิไว้ใจเท่าเผ้า สองแม่ณหัวเจ้า มิได้เอนดูเผือฤา ฯ
โคลง ๔ เสียงฦๅเสียงเล่าอ้าง อันใด พี่เอย เสียงย่อมยอยศใคร ทั่วหล้า สองเขือพี่หลับใหล ลืมตื่น ฤาพี่ สองพี่คิดเองอ้า อย่าได้ถามเผือ ฯ สิ่งนี้น้องแก้วอย่า โศกา ณแม่ เผือจักขออาสา จุ่งได้ ฉันใดราชจักมา สมสู่ สองนา จักสื่อสารถึงไท้ หากรู้เปนกล ฯ ความคิดผิดรีตได้ ความอาย พี่เอย หญิงสื่อชักชวนชาย สู่หย้าว เจ็บเผือว่าแหนงตาย ดีกว่า ไส้นา เผือหากรักท้าวท้าว ไป่รู้จักเผือ ฯ ไป่ห่อนเหลือคิดข้า คิดผิด แม่นา คิดสิ่งเปนกลชิด ชอบแท้ มดหมอแห่งใดสิทธิ์ จักสู่ ธแม่ ให้ลอบลองท้าวแล้ อยู่ได้ฉันใด ฯ ร่าย ภายในสองนางขอบ ว่ามิชอบภายนอก ดอกห้ามว่าผิดใหญ่ เขือคิดใช่ความดี มีผู้รู้น่ากลัว เสียตัวเขือ ลูกไท้ จะไว้ผิดในแหล่งหล้า จะไว้หน้าแห่งหนใด ข้าเดาใจสองสบ พบกระแหน่สองศรี ใจกษัตรีย์มีเสีย ชอบ เราจะประกอบจงควร ซึ่งสองครวญจุ่งได้ ไว้ความร้ายแก่เรานา ข้าก็ว่าสองพงาอยู่เกล้า สองท้าว เจ้าไป่รู้ ไว้เผือผู้อาสา ครานี้พี่บผิด ความคิดสองบได้ สองบพิตรจักไว้ สองพี่เลี้ยงเยียใด ฯ
ร่าย ข้าจะใช้ชาวในผู้สนิธ ชิดชอบอัชฌาไสย ไปซื้อขายวายล่อง แล้วให้ท่องเที่ยวเดิร สรรเสริญสองโฉม ศรี ทั่วบุรีพระลอ ขับซอยอยศอ้าง ฦๅลูกกษัตริย์เจ้าช้าง ชื่นแท้ใครเทียม เทียบนา ฯ โคลง ๔ ทุกเมืองมีลูกท้าว นับมี มากนา บเปรียบสองกษัตรีย์ พี่น้อง พระแพงแม่มีศรี สวัสดิ์ยิ่ง คณนา พระเพื่อนโฉมยงหย้อง อยู่เพี้ยงดวงเดือน ฯ โฉมสองเหมือนหยาดฟ้า ลงดิน งามเงื่อนอับสรอินทร์ สู่หล้า อย่าคิดอย่าควรถวิล ถึงยาก แลนา ชมยะแย้มทั่วหน้า หน่อท้าวมีบุญ ฯ หมื่นขุนถ้วนหน้าส่ำ หัวเมือง ก็ดี อย่าใคร่อย่าคิดเคือง สวาทไหม้ สมภารส่งสองเรือง สองรุ่ง มานา สองราชควรท้าวไท้ ธิราชผู้มีบุญ ฯ โคลง ๒ ยอยศสองอ่อนท้าว ฦๅทั่วทุกแดนด้าว ลอราชได้ฟังสาร ฯ ฟังตระการอยู่เกล้า ให้เร่งเบิกเขาเข้า มาสู่โรงธาร ท่านแล ฯ ฟังสารสองหนุ่มหน้า จอมราชควรคิดอ้า
อคร้าวหัวใจ ท่านนา ฯ มลักนึกในคแคล้ว ผิพี่มีบุญแก้ว พี่เพี้ยงไปสม เจ้านา ฯ ร่าย ชมข่าวสองพี่น้อง ต้องหฤทัยจอมราช พระบาทให้รางวัล ปันผ้าเสื้อสนอบ ขอบใจสูเอาข่าว มากล่าว ต้องติดใจ บารนี ฯ โคลง ๒ ฉันใดกูจักได้ สมพระนุชท้องไท้ อ่อนท้าวทั้งสอง ฯ ท้าวธจำนองโคลงอ้าง โคลงบพิตรเจ้าช้าง ชื่อแท้ใดเทียม เทียบนา ฯ โคลง ๔ เรียมฟังสารอ่านอ้าง อันผจง กล่าวนา ถนัดดั่งเรียมเห็นองค์ อะเคื้อ สองศรีสมบูรณ์บง กชมาศ กูเอย นอนแนบสองข้างเนื้อ แนบเชื้อชมเชย ฯ โคลง ๒ พระกรเกยผากไท้ มือลูบทรวงไล้ไล้ ทำเล่ห์ให้เขาเห็น ฯ
ร่าย เป็นปฤศนาแล้วไส้ ธก็ให้เลี้ยงดูโดยขนาด เขาก็ลาพระบาทเมื้อเมือง หน้ารุ่งเรืองชมชื่น ไปบอกแก่ นางรื่นนางโรย โดยยุบลทุกสิ่ง จึ่งสองนางพี่เลี้ยง ทูลแดสองเนื้อเกลี้ยง ถี่ถ้วนสารแสดง ฯ จึ่งแสวงหายายมด ไปจรดผู้ยายำ จำเอาแต่ผู้สิทธิ์ รู้ชิดใช้กลคล่อง บอกทำนองทุกอัน ครันธช่วยลุไส้ ตูจะให้ลาภจงครัน จะให้รางวัลจงพอ ครั้นพระลอสมสองแล้ว อยู่ช่างยายมดแก้ว อะคร้าวใครปาน เปรียบเลย ฯ โคลง ๓ ยายฟังสารยายสั่นหัว ยายเคยลองแต่ตัวชั่วตัวช้า ยายจักลองเจ้าหล้า บ่ได้หลานเอย ฯ โคลง ๒ ยายเคยใครอย่าไส้ ยายช่วยยายชักให้ ถ่องแท้ จักไป ฯ ร่าย ยายว่าเยียกระใดเขาทุกผู้ ตูรู้จักเขาทั่วหน้า ย่อมชั่วช้ามิเปนกล เห็นแต่ตูสามคนแก่แม่มดเถ้า แก่เจ้า แม่มดใหญ่ จะลองใครใครก็มา จะหาใครใครก็เต้า เว้นแต่เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ธรู้ศิลป์รู้ศาสตร ธมี อำนาจมีบุญ คุณตูไกลท่านไท้ สองราชนั้นฤาได้ อาจยื้อฤาถึง เลยนา ฯ ร่าย ดังจึงตูจะรู้จัก หมอสิทธิศักดิ์สามคน รู้พระมนต์มีฤทธิ์ ลูกศิษย์ปู่สมิงพราย ยายก็นำไปบอก ถึง จรอกหมอแล้วมา ข้าก็เข้าไปสู่ ปู่หมอเถ้าเจ้าหมอหลวง บำบวงบอกทุกประการ วานธช่วยกังวล หมอ กล่าวกลยายมด ตูนี้ยศยังตํ่า ลองแต่ส่ำพอดี พอแรงผีแรงมนต์ เจ้าสากลผ่านหล้า หน้าผู้ใดจะลองลุ สองนางทุทรฮู ว่าธเอนดูรู้จัก ผู้มีศักดิ์มีสิทธิ์ ผู้มีฤทธิ์มีอำนาจ อาจลองธมาได้ ตูจะให้ลาภจงเต็มกอง ตู จะให้ทองเต็มโกฏิ ทั้งผู้บอกโสตรจะรางวัล เชิญบอกพลันอย่าช้า จงดูรู้จักหน้า ท่านให้เต็มใจ หนึ่งรา ฯ
ร่าย หมอว่าในใต้ฟ้า ทั่วแหล่งหล้าผู้ใด ใครจักเทียมจักคู่ ปู่เจ้าปู่สมิงพราย ธว่าให้ตายก็ตายทันเห็น ธว่า ให้เปนก็เปนทันใจ จะลองใครใครก็มา จะหาใครใครก็บอยู่ จะไปสู่ท่านไส้ ไว้ตูจะนำไป เถ้าว่าทางไกล จรลํ่า วันนี้คํ่าสองนางเมือ พรุ่งเช้าเขือเขียวมา สองนางลาสองเถ้า ไปบอกแก่สองเจ้า สองอ่อนท้าว ยินดี ยิ่งนา ฯ โคลง ๔ สองศรีเสาวภาคย์ได้ ฟังสาร ถนัดดั่งพระภูบาล จักเต้า คือสุริยส่องบัวบาน สรดร่อ กันนา เกรงเกลือกเยียวความเร้า รั่วรู้ฤาดี ฯ สองกรกลเกียดเกี้ยว กรรชิด แสร้งใส่กลปกปิด เงื่อนไว้ ความขำซ่อนซอนมิด งำแง่ งามนา เอาชอบลอบปนให้ แปลกร้ายเปนดี ฯ พี่เลี้ยงเห็นเล่ห์แล้ว ยินฉงน อยู่นา สองใส่กลเหนือกล ใช่น้อย ไหว้พระย่ายังยล หลานราช ฤาแม่ สองอยู่สองเศร้าสร้อย สรากหน้าตาหมอง ฯ หมอดูหมอว่าให้ รับขวัญ ขวัญอ่อนเขจรจรัล จิ่มฟ้า ขวัญเที่ยวทั่วแดนบรร พตป่า ดงนา ให้รับขวัญอย่าช้า พรุ่งเช้าวันดี ฯ
ย่าเจ้าฟังข่าวร้อน อาดูร เดือดนา เขือเร่งเร็วไปทูล แด่ไท้ พระภูบดินทร์สูรย์ บิตุราช สองนา ข้าพี่เลี้ยงไปไหว้ บอกท้าวทุกอัน ฯ ครั้นฟังธิราชร้อน รนใจ อยู่นา หมอจักเอาอันใด เร่งให้ ไปรับเรียกขวัญใน เขาปู่ พระเอย หมอสั่งเขือข้าได้ ชอบช้างตัวเร็ว ฯ เขือไปอุปกาศแล้ว เขือมา ทูลแด่สองธิดา อยู่เกล้า สองฟังหฤหรรษา ชมชื่น ใจนา สองพี่เร็วไปเช้า ช่วยน้องจงพลัน ฯ เบิกเอาช้างต้นชื่อ เทียมลม ธพี่ กับพระพายุพลันสม ชื่อแท้ เทียมใจเลิศแลชม ฝีย่าง มันนา เร็วเร่งเร็วนักแล้ เลิศด้วยเดิรพลัน ฯ โคลง ๒ ไก่ขันเขียวผูกช้าง มาเทียบทั้งสองข้าง แนบข้างเกยนาง ฯ
ไป่ทันสางสั่งไท้ พระแต่งจงสรรพไว้ เยียวปู่เจ้าเรามา ฯ เผือจักลาแม่ณเกล้า จักอยู่เยียวเจียนรุ่งเช้า จักช้าทางไกล ฯ ร่าย ขึ้นช้างไปผผ้าย มาคคล้ายโดยทาง ถับถึงกลางจรอกปู่ หมอเถ้าอยู่แลเห็น แสร้งแปรเปนโฉมมลาก เปนบ่าวภาคบ่าวง เนื้อหาที่ย่อสรุปได้ดังนี้ เมืองสรวงและเมืองสรองเป็นศัตรูกัน พระลอ กษัตริย์เมืองสรวงทรงพระสิริโฉมยิ่งนัก จนเป็นที่ต้อง พระทัยของพระเพื่อนพระแพงราชธิดาของท้าวพิชัยพิษณุกร กษัตริย์แห่งเมืองสรอง นางรื่นนางโรย พระพี่เลี้ยงได้ขอให้ปู่เจ้าสมิงพรายช่วยทำเสน่ห์ให้พระลอเสด็จมาเมืองสรวง เมื่อพระลอต้องเสน่ห์ได้ ตรัสลาพระนางบุญเหลือพระราชมารดา และนางลักษณวดมเหสี เสด็จไปเมืองสรองพร้อมกับนายแก้ว นายขวัญพระพี่เลี้ยง พระลอทรงเสี่ยงทายน้ำที่แม่น้ำกาหลง ถึงแม้จะปรากฏรางร้ายก็ทรงฝืนพระทัย เสด็จต่อไป ไก่ผีของปู่เจ้าสมิงพรายล่อพระลอกับนายแก้วนายขวัญไปจนถึงสวนหลวง นางรื่นนางโรย พี่เลี้ยงของพระเพื่อนพระแพง ออกอุบายลอบนำพระลอกับนายแก้วนายขวัญไปไว้ในตำหนักของพระ เพื่อน พระแพง ท้าวพิชัยพิษณุกรทรงทราบเรื่องก็ทรงพระเมตตารับสั่งจะจัดการอภิเษกพระลอกับ พระเพื่อนและพระแพงให้ แต่พระเจ้าย่าเลี้ยงของพระเพื่อนพระแพงยังทรงพยาบาทพระลอ อ้าง รับสั่งท้าวพิชัยพิษณุกรตรัสสั่งใช้ให้ทหารไปรุมจับพระลอ พระเพื่อนพระแพงและพี่เลี้ยง พระลอ พระเพื่อน พระแพง และพี่เลี้ยงทั้งสี่ช่วยกันต่อสู้จนสิ้นชีวิตทั้งหมด ท้าวพิชัยพิษณุกรพิโรธพระเจ้าย่า และทหาร รับสั่งให้ประหารชีวิตทุกคน พระนางบุญเหลือทรงส่งทูตมาร่วมงานพระศพกษัตริย์ทั้งสาม ในที่สุดเมืองสรวงและเมืองสรองก็กลับมาเป็นไมตรีต่อกัน
อ้างอิง https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8% B4%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8 %AD https://www.museumthailand.com/en/3538/storytelling/%E0%B8%A5%E0%B8% B4%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8 %B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD/ https://vajirayana.org/%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0 %B8%95%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD/% E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%9E %E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%AD https://www.nongnoochpattaya.com/th/article/579