The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ตำบลโนนยาง อำเภอหนองสูง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ตำบลโนนยาง อำเภอหนองสูง

การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ตำบลโนนยาง อำเภอหนองสูง

Keywords: การสืบทอด,เหยา

ห้องเรียนคติชนวิทยา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ตำ บลโนนยาง อำ เภอหนองสูง ห้องเรียนคติชนวิทยา ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น


รายงาน เรื่อง การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ผู้จัดท า นางสาวนารีรัตน์ สวัสดิ์เมือง รหัสนิสิต 6405502051 สาขาวิชาการสอนภาษาไทย ชั้นปีที่ 3 รายงานประกอบการศึกษารายวิชาคติชนวิทยา หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น ภาคการศึกษาที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๖


รายงาน เรื่อง การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร ผู้จัดท า นางสาวนารีรัตน์ สวัสดิ์เมือง เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ ภฺทรกวี มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น


ชื่อเรื่องการวิจัย การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัด มุกดาหาร จัดท าโดย นางสาว นารีรัตน์ สวัสดิ์เมือง รหัสนิสิต 6405502051 เสนอ พระมหาอธิวัฒน์ ภทฺรกวี บทคัดย่อ ผลการศึกษาพบว่า ต าบลโนนยาง มีขนบธรรมเนียมประเพณีนับถือพุทธเน้นหนักไปทาง ศาสนาพราหมณ์และไสยศาสตร์แต่เป็นเผ่าภูไท ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพท านาและ รับจ้างทั่วไป การด าเนินชีวิตของชาวบ้านมีประเพณีพิธีกรรมควบคู่กับความเชื่อมาจากอดีตจนถึง ปัจจุบันซึ่งเป็นพิธีกรรมเดี่ยวในการรักษาโรคหรือการหยาเลี้ยงผีเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอด มาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นความเชื่อของชาวไทยที่เชื่อว่าถ้ารักษาแบบแผนปัจจุบันไม่หายก็หันมาพึ่ง กันอย่างในการรักษาสมัยก่อนสภาพสังคมของชาวภูไทไม่มียารักษาโรคหรือไม่มีการแพทย์ สาธารณสุขยังไม่เจริญเมื่อมีการเจ็บป่วยก็จะท าการเยียวยาแบบตามมีตามเกิดก่อให้เกิดความดิ้น รนหาที่พึ่งในยามเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนใหญ่ชาวพุทธไทยจะใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่มีอยู่ในท้องถิ่นใช้ใน การรักษาและดูแลสุขภาพหมอพื้นบ้านเป็นทางเลือกหนึ่งของชาวภูไทสังคมชาวผู้ไทให้ความส าคัญ กับการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน หรือพิธีกรรม การเหยาซึ่งเป็นพิธีการรักษาโรคแบบพื้นบ้านของชาว ผู้ไท ถึงแม้ว่าความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการในการรักษาโรคแบบแผนปัจจุบันจะเข้ามามี อิทธิพลแล้วก็ตาม ชาวผู้ไทก้ยังคงใช้บริการการรักษาโรคด้วย “วิธีการเหยา” ควบคู่ไปกับการ รักษาแผนปัจจุบัน เพราะชาวผู้ไทมีความเชื่อว่า “หมอเหยารักษาผี หมอแผนปัจจุบันรักษาโรค” ชาวผู้ไทจะประเมินแยะแยะว่าอาการใดเป็นโรคที่เกิดจากผีท า และอาการใดเกิดจากโรค แล้วจึง ประเมินการรักษาตามอาการ เช่น มีผู้ป่วยมีอาการปวดท้องและปวดหัวไปรรักษากับหมอแผน ปัจจุบัน และหมอเหยา หลังจากรักษาด้วยวิธีการ “เหยา” แล้วการปวดหัวหัวหายไป ผู้ด้วยให้ เหตุผลว่า “มันเหงา มันซึม เหยาแล้วก็หายปวดท้องมันบ่หายเพราะเป็นโรค” หมายความว่า อาการเจ็บป่วยมีทั้งเมื่อยและปวดหัวซึ่งเกิดจากการกระท าผี เหยาแล้วก็หาย จึงเกิดเป็นพิธีกรรมที่ ท าสืบทอดต่อกันมานถึงปัจจุบัน ความส าคัญ:การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร


1.บทน า ภูมิปัญญาชาวบ้านมีลักษณะเฉพาะท้องถิ่นเฉพาะพื้นที่และเฉพาะด้านเพราะการส่งเสริมภูมิปัญญาของ ชาวบ้านแต่ละท้องถิ่นมีความแตกต่างกันเป็นการก าหนดยุทธศาสตร์และเป็นแนวทางการส่งเสริมภูมิปัญญา ชาวบ้านจากอดีตถึงปัจจุบันในการสืบทอดประเพณีพิธีธรรมการเหยามีการรวบรวมองค์ความรู้ในท้องถิ่นให้มี บทบาทในการขับเคลื่อนในการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืนและการสอดคล้องกับแนวคิดการอนุรักษ์วัฒนธรรม เพื่อสะท้อนความเป็นอยู่ของชาวบ้านในยุคปัจจุบันภูมิปัญญาจัดเป็นทุนทางวัฒนธรรมที่มีความส าคัญยิ่งของ มนุษย์สิ่งดังกล่าวสังคมงอกงามขึ้นจากความรอบรู้ประสบการณ์ของคนในอดีตด้วยความเฉียบคมในการหยั่งรู้ อย่างลุ่มลึกเพื่อการปรับเปลี่ยนสภาพทรัพยากรและองค์ความรู้ที่มีอยู่เดิมให้เพิ่มพูนค่าขึ้นอย่างสอดคล้องและ เหมาะสมกับบริบทต่างๆของชุมชนท้องถิ่นและสังคมของตนตลอดจนการด าเนินชีวิตของชาวบ้านมีประเพณี พิธีกรรมควบคู่กับความเชื่อมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งเป็นพิธีกรรมเดี่ยวในการรักษาโรคหรือการหย่าเลี้ยงผี เป็นวัฒนธรรมประเพณีที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษซึ่งเป็นความเชื่อของชาวไทยที่เชื่อว่าถ้ารักษาแบบแผน ปัจจุบันไม่หายก็หันมาพึ่งกันอย่างในการรักษาสมัยก่อนสภาพสังคมของชาวภูไทไม่มียารักษาโรคหรือไม่มี การแพทย์สาธารณสุขยังไม่เจริญเมื่อมีการเจ็บป่วยก็จะท าการเยียวยาแบบตามมีตามเกิดก่อให้เกิดความดิ้น รนหาที่พึ่งในยามเจ็บไข้ได้ป่วยส่วนใหญ่ชาวพุทธไทยจะใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่มีอยู่ในท้องถิ่นใช้ในการรักษาและ ดูแลสุขภาพหมอพื้นบ้านเป็นทางเลือกหนึ่งของชาวภูไทซึ่งการเดี่ยวจะมีหลายประเภทอาทิเช่นการหย่ารักษา คนเยาเลี้ยงผีอย่าเอาเด็กร้องไห้เดี๋ยวสู่ขวัญแต่งงาน พิธีเหยา เป็นพิธีกรรมที่เกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนาของคนไทยแถบภาคอีสาน โดยจะนิยมท าในแถบภู ไทหรือผู้ไทย,ผู้ไท (จ.กาฬสินธุ์,จ.นครพนม,จ.มุกดาหาร,จ.สกลนคร)พิธีกรรมนี้เป็นการเสี่ยงทาย เมื่อมีการ เจ็บป่วยในครอบครัว โดยการเจ็บป่วยนี้จะเชื่อว่าเป็นการกระท าของผี จึงต้องท าการเหยาเพื่อแก้ผี และเพื่อจะ ได้ทราบว่าผีต้องการอะไร หรือผู้เจ็บป่วยท าผิดผีอะไร จะได้ท าตาม เชื่อว่า หากแก้ผีแล้ว อาการเจ็บป่วยจะ หายเป็นปกติ "เหยา” เป็นความเชื่อและพิธีกรรมหนึ่งในการรักษาสุขภาพของคนในชุมชนผู้ไทยที่สืบทอดมาแต่ครั้ง บรรพกาลอันสืบเนื่องมาจากความเชื่อดั้งเดิมที่นับถือผี เป็นการท าพิธีเพื่อติดต่อระหว่างผีกับคน ให้ผีช่วยเหลือ แก้ปัญหาความเดือดร้อนโดยเฉพาะการเจ็บไข้ได้ป่วย มูลเหตุที่ต้องมีการเหยามาจากสภาพสังคมดั้งเดิมของ ชาวไทยที่ไม่มีสถานพยาบาลรับรองความเจ็บป่วย ก่อให้เกิดความจ าเป็นที่ชาวไทยต้องดิ้นรนหาที่พึ่งยามเจ็บ ไข้ได้ป่วย ส่วนใหญ่นั้นใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่มีในท้องถิ่นในการรักษาและดูแลสุขภาพ ในอดีตการรักษาโรคภัย ไข้เจ็บจ าเป็นต้องอาศัยผีเป็นผู้วินิจฉัยโรคบอกวิธีรักษา ในปัจจุบันแม้มีการแพทย์แผนใหม่ที่สามารถวินิจฉัยโรค ได้ถูกต้อง แต่โรคบางโรคหรืออาการบางอย่างรักษาไม่หาย ผู้ป่วยที่ไม่มีที่พึ่งจึงจ าเป็นต้องพึ่งพิธีกรรม อย่าง น้อยจะท าให้จิตใจผู้ป่วยดีขึ้น จึงจัดเป็นพิธีกรรมที่สร้างขวัญและก าลังใจกับผู้ป่วยเป็นหลัก เมื่อผู้ป่วยอยู่ใน วาระสุดท้ายของชีวิตหรือผู้ป่วยหายจากโรคและอาการเจ็บป่วยก็จะท าพิธีการเหยา ผู้ที่ท าพิธีการเหยาเรียกว่า หมอเหยาเป็นผู้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษโดยปู่ย่า ตายาย แม่ เป็นหมอเหยามาก่อนลูกก็จะสืบทอดการเป็น หมอเหยา แต่ในปัจจุบันนี้การสืบทอดการเป็นหมอเหยานั้นได้เลือนหายไปจากสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยไป แล้ว ยังเหลือแต่หมอเหยาที่เป็นผู้อาวุโสของชุมชนเท่านั้น และการประกอบพิธีกรรมเหยายังคงเหลือให้เห็น เพียงแต่บางชุมชนเท่านั้น เนื่องจากสังคมสมัยใหม่ได้เขามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียม


ประเพณีบางอย่างของชาวผู้ไทย ทั้งนี้ การเหยาเป็นการติดต่อสื่อสารของมนุษย์และวิญญาณ ซึ่งการ ติดต่อสื่อสารจะใช้ท่วงท านองของดนตรีหรือที่ชาวผู้ไทยเรียกว่า กลอนล า (หมอล า) มีเครื่องดนตรีประเภท แคนประกอบการให้จังหวะ วิธีการติดต่อสื่อสาร กลอนล าและท านอง เรียกว่า การเหยา 2.วัตถุประสงค์ -เพื่อศึกษาการสืบทอดการเป็นหมอเหยาและขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมของหมอเหยาเพื่อรักษา อาการเจ็บป่วยของชาวภูไทย ของต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร 3.ประเภทข้อมูลที่ใช้ในการศึกษา -ความเชื่อชาวบ้านที่มีต่อพิธีกรรมเหยา ของต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร -ขั้นตอนการท าพิธีกรรมเหยา ของต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร -การสืบทอดการเป็นหมอเหยา ของต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร 4.เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 4.1เอกสารที่เกี่ยวข้อง 4.1.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับพิธีการเหยา 4.1.1 เอกสารที่เกี่ยวข้องกับพิธีการเหยา อนันต์ มีชัย (2551: 31) กล่าวว่าผู้ที่เป็นหมอเหยา จะต้องจัดพิธีกรรมเลี้ยงผีเป็นประจ า ทุกปีชาวผู้ไทย เรียกว่า พิธีเหยาเลี้ยงผี เป็นพิธีไหว้ผีแถน เพื่อขอพลังอ า นาจจากผีแถนในการรักษา โรค ส่วนการสืบทอดการ เป็นหมอเหยามีทั้ง สืบทอดตามสายตระกูล และสืบทอดโดยผ่าน พิธีกรรมเหยาคุมผีออก การสืบทอดโดยสาย ตระกูล ผู้ที่จะเป็นหมอเหยาคนต่อไปจะต้องเป็น เชื้อสายของหมอเหยาคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ทั้งนี้ผีไท้ผีแถนจะ เป็นผู้เลือกลูกหลานขึ้นมาเป็นหมอ เหยาแทนสืบต่อไป ส่วนการสืบทอดโดยผ่านพิธีเหยาคุมผีออก เป็น พิธีกรรมสืบทอดหมอเหยาใหม่ จากผู้ป่วยที่มาเข้ารับการรักษาจากหมอเหยา และ รับปากว่าเมื่อหายป่วยแล้ว จะรับเป็นหมอเหยาต่อ ไป หมอเหยาที่สืบทอดโดยผ่านพิธีเหยาคุมผีออก ต้องสร้างหิ้งผี เพื่อประกาศต่อผู้คน ว่าตนเองได้เปลี่ยนสถานภาพเป็น หมอเหยาแล้ว 4.2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง อลงกรณ์ อิทธิผล( 2558:บทคัดย่อ) พิธีกรรมเหยาเป็นการติดต่อสื่อสารกันระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ โดยใช้บทกลอนและ ท านองล ามีแคนประกอบการให้จังหวะผู้ท าหน้าที่สื่อสารคือหมอเหยาการเหยาแต่ละครั้ง จะมีเครื่องคายประกอบพิธีกรรมเหยาถือว่าเป็นวิธีการบ าบัดรักษาพื้นบ้านอย่างหนึ่ง ที่รักษาการ เจ็บป่วยของ


ชาวบ้าน อันเนื่องจากการละเมิดหรือสร้างความไม่พอใจต่อผี ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็น ผีมีอ านาจ ความรู้สึก อารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเกิดการเจ็บป่วย หรือประสบ ภัยธรรมชาติ ก็จะเชื่อว่าเกิดจาก การละเมิดต่อผีจึงต้องมีการท าพิธีบวงสรวง กราบไหว้ บูชา เพื่อให้ผีมาช่วยบ าบัดปัญหาความเดือดร้อน และ เชื่อว่าผีจะดลบันดาลให้เป็นไปตามต้องการได้พิธีกรรมเหยา คือ การติดต่อสื่อสารกันระหว่างมนุษย์กับ วิญญาณโดยใช้บทกลอนและ ท านองล ามีแคนประกอบการให้จังหวะผู้ท าหน้าที่สื่อสารคือหมอเหยาการเหยา แต่ละครั้งจะมีเครื่องคายประกอบพิธีกรรมเหยาถือว่าเป็นวิธีการบ าบัดรักษาพื้นบ้านอย่างหนึ่ง ที่รักษาการ เจ็บป่วยของชาวบ้าน อันเนื่องจากการละเมิดหรือสร้างความไม่พอใจต่อผี ซึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็น ผีมีอ านาจ ความรู้สึก อารมณ์ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อเกิดการเจ็บป่วย หรือประสบ ภัยธรรมชาติ ก็จะเชื่อว่า เกิดจากการละเมิดต่อผีจึงต้องมีการท าพิธีบวงสรวง กราบไหว้ บูชา เพื่อให้ผีมาช่วยบ าบัดขจัดปัญหาความ เดือดร้อน และเชื่อว่าผีจะดลบันดาลให้เป็นไปตามต้องการ ได้ หมอเหยาจะใช้วัจนกรรมปลอบประโลมใจมาก ที่สุด และมีการใช้วัจนกรรมกลุ่มต่าง ๆ ได้แก่ การบอกกล่าว การชี้น า การผูกมัด การแสดงความรู้สึก และการ แถลงการณ์ โดยมีเจตนาเพื่อ บอกเล่าหรือขอร้องให้ขวัญของผู้ป่วยกลับมาเข้าร่างกาย เพื่อจะได้หายเป็นปกติ การเหยาเป็น วัฒนธรรมของที่สะท้อนความเชื่อในการรักษาแบบพื้นบ้าน และผู้ป่วยที่หายจากการเจ็บป่วยจะ ฝากตัวเป็นลูกศิษย์และ รับอ านาจศักดิ์สิทธิ์เป็นหมอเหยาคนต่อไป หมอเหยา ส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ผีเชื้อเป็น ผู้เลือกเพราะผู้หญิงส่วนใหญ่ปฏิบัติต่อบรรพ บุรุษดีสม่ าเสมอหมอเหยาเป็นได้ 2 วิธีคือ วิธีคือ วิธีที่หนึ่ง คือให้ คนที่เป็นหมอเหยาซึ่งจะเป็นผีหมอเทียมอยู่ในตัว หรือผีเชื้อมาครอบ (คือมาถ่ายทอดให้) อีกวิธีหนึ่งคือการที่มี ผีเชื้อสายผีหมอคนที่เป็นหมอเหยาตายไปก็จะตกทอดแก่ทายาทที่เรียกว่าผีเชื้อ) เข้ามาอยู่ กับหมอ เหยาก็จะ ถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไปโดยผีเชื้อแค่เป็นผู้เลือกเอง การที่จะเป็นหมอเหยาต้องมีคุณสมบัติที่เป็นที่ยอมรับ ของคนในชุมชนต้องเป็นคนดีๆมีคุณธรรมสูงมีสัจธรรมไม่กินของไม่สุก จัดต้องปรุงขึ้นมาเองส่วนใหญ่จะเน้น ดอกจ าปี ไว้ที่ม้วนผมของตัวเอง ในแต่ละปีจะมีการเลี้ยงผีประจ าหมู่บ้านทุกๆปี คือการที่ไม่เอาหลายๆคนมา อยู่รวมกันเลี้ยงผีหมอด้วยเหล้าไก่ตัวของเซ่น ไหว้เมื่อผีหมอเข้ามาเทียมก็จะมีการฟ้อน ใส่ดนตรีประกอบด้วย แคน ผีหมอจะมี อาวุธในการ ประกอบพิธีการเหยา


ผลการศึกษา 1. ความเชื่อในพิธีกรรมเหยา อ านาจเร้นลับหรือสิ่งที่อยู่นอกเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่มนุษย์บางกลุ่มสามารถสัมผัสและใช้เป็น แนวทางในการด ารงชีวิต ความเชื่อเรื่องภูตผี วิญญาณ และปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ไม่ทราบความเป็นมา ตลอดจนอาการเจ็บป่วยที่เกิดกับคนในชุมชนซึ่งมีความเชื่อว่าเกิดจากการกระท าของภูตผีต่างๆ นอกจากความ เชื่อในเรื่องภูตผีแล้ว ชาวผู้ไทยังเชื่อและนับถือเทวดา จึงท าให้เกิดการบวงสรวงเซ่นไหว้ก่อให้เกิดเป็นพิธีกรรม ต่างๆ ที่ปฏิบัติสืบทอดกันมาทั้งเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต โชคลาภ การหาฤกษ์ยาม เชิญผีและไล่ผี รวมทั้ง การเลี้ยงผีเพื่อเป็นการตอบแทนและการแสดงความเคารพนับถือ เช่น ผีบ้าน ผีเรือน ผีบรรพบุรุษ โดยเชื่อว่า ถ้าใครประพฤติไม่ดีผีก็จะลงโทษให้มีอันเป็นไปหรือมีอาการเป็นป่วย จนต้องท าพิธีแก้เซ่นไหว้ผี อาการต่างๆ จึงจะหายไป ในเรื่องความเจ็บป่วย ชาวผู้ไทเชื่อว่า อาการเจ็บป่วยต่างๆ มีสาเหตุมาจากการกระท าของผีและเกิด จากโรคภัยไข้เจ็บทั่วไป การรักษาต้องใช้วิธีการรักษาทางใดทางหนึ่งให้ถูกกับสาเหตุที่ท าให้เกิดอาการเจ็บป่วย คือ หากผู้ป่วยไปรักษาทางแพทย์แผนปัจจุบันแล้วไม่หายก็จะกลับมารักษากับหมอพื้นบ้านโดยการประกอบ พิธีกรรมเหยาเพื่อเสี่ยงกาสาเหตุของอาการเจ็บป่วยและแนวทางในการรักษาต่อไป 1.1 หมอเหยา หมอเหยา ค าว่า “เหยา” ตามความหมายของชาวผู้ไท หมายถึง การสู่ขวัญหรือการรักษาพยาบาล ผู้ป่วย การเหยา เป็นพิธีความเชื่อในการนับถือผี เป็นการเสี่ยงทายเมื่อมีการเจ็บป่วยเชื่อว่าเป็นการกระท าของ ผี จึงต้องท าพิธีเหยา “แก้ผี” หาสาเหตุว่าผู้เจ็บป่วยผิดผีด้วยสาเหตุใด ผีต้องการท าอะไร จะได้ปฏิบัติตาม ความเชื่อว่าท าการแก้ผีแล้วอาการเจ็บป่วยจะหายไป หมอเหยาส่วนใหญ่จะเป็นเพศหญิง ผีเชื้อเป็นผู้เลือกเพราะ ผู้หญิงส่วนใหญ่ปฏิบัติต่อบรรพบุรุษ ดี สม่ าเสมอ หมอเหยาเป็นสองวิธีคือ วิธีหนึ่งคือให้คนที่เป็นหมอเหยา ซึ่งจะมีผีหมอเทียมอยู่ในตัวหรือผีเชื้อ มา ครอบ(คือมาถ่ายทอดได้) อีกวิธีหนึ่งคือการที่มีผีเชื้อ(คือมีเชื้อสายผีหมอ คนที่เป็นหมอเหยาตายไป ก็จะตกทอด แก่ทายาท ก็จะเรียก ผีเชื้อ) เข้ามาอยู่กับหมอเหยา จะถ่ายทอดให้ลูกหลานต่อไปโดยผีเชื้อเป็นผู้เลือกเอง การจะเป็นหมอเหยาจะต้องมีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน ต้องเป็นคนดีจริงๆ มีคุณธรรมสูง มีสัจจะไม่กินของไม่สุก ปรุงแต่งตัวเองด้วยเครื่องหอมที่หมอเหยาคนนั้นๆจะปรุงขึ้นมาเอง ส่วนใหญ่จะเหน็บ ดอกจ าปี ดอกสะเลเต หรือภาษากลางเรียกว่า มหาหงส์ ไว้ที่มอยผมของตัวเอง คนไหนเป็นหมอเหยาของ หมู่บ้านด้วย ให้ดูที่มวยผมของคนนั้น หากมี “ดอกสะเลเต” พร้อมทั้งเครื่องปรุงหอมบางอย่างอยู่ด้วย หญิงนั้น คือ หมอเหยาประจ าหมู่บ้าน ด้วยเหล้า ไก่ตัวของเซ่นไหว้ เมื่อผีหมอเข้าเทียมก็จะมีการฟ้อน ผีหมอแต่ละคน จะมีวุธประกอบในการเหยาด้วย เพื่อผีจะได้ไม่เข้ามาท าร้าย


1.2 ผู้ป่วย ในเรื่องความเจ็บป่วย ชาวผู้ไทเชื่อว่าอาการเจ็บป่วยต่างๆ มีสาเหตุมาจากการกระท าของผีและเกิดจาก โรคภัยไข้เจ็บทั่วไป การรักษาจึงต้องใช้วิธีการรักษาทางใดทางหนึ่งให้ถูกกับสาเหตุที่ท าให้เกิดอาการป่วย คือ หากผู้ป่วยไปรักษาทางแพทย์ปัจจุบันแล้วไม่หายจึงกลับมารักษากับหมอพื้นบ้านโดยการประกอบพิธีกรรม เหยาเพื่อเสี่ยงทายสาเหตุของอาการเจ็บป่วยและแนวทางการรักษาต่อไป ผู้ที่มีอาการไม่สบายหรือมีอาการเจ็บป่วย เชื่อว่าการเจ็บป่วยมสองลักษณะด้วยกันคือ ป่วยเพราะ โรคภัยไข้เจ็บธรรมดากับป่วยเพราะเกิดจากการกระท าของผี เพราะ คนๆนั้นประพฤติผิด ฮีต 12 คลอง 14 หรือจากผีร้ายต่างๆ และบุคคลที่จะมาคอยรักษาอาการป่วยเหล่านี้ได้คือ หมอเหยา เพราะหมอเหยาจะเป็นผู้ ติดต่อสื่อสารกับผีเพื่อหาสาเหตุว่าการเจ็บป่วยที่เกิดจากผีกระท านั้นเกิดเพราะอะไร ผิดอะไร และต้องการให้ แก้แบบไหน ตามความต้องการของผีจึงท าให้อาการเจ็บป่วยนั้นๆ ให้หายได้ จึงต้องจัดให้มีการรักษาผู้ป่วยด้วย การเหยาโดยหมอเหยาจะเป็นผู้ประกอบพิธีเหยาผู้ป่วย การแต่งกายของผู้ป่วยต้องแต่งกายตามที่ก าหนดไว้คือ มีผ้าไหมหรือผ้าขาวม้าพาดบ่า มีดอกมะละกอ ร้อยเป็นพวงทัดหูหรือแต่งตัวตามสบายตามสภาพความเป็นอยู่ของผู้ป่วย 1.3 เครื่องคาย เครื่องคาย เป็นสิ่งที่อัญเชิญเทพยดา ครูบาอาจารณื ผีผู้เป็นใหญ่ ผีหมอ ผีหลักบ้านหลักเมือง ลงมา ช่วยเหลือรักษาผู้ป่วย ประกอบไปด้วย 1.1.3 เครื่องคายใหญ่ ส าหรับประกอบพิธีเพื่ออัญเชิญเทพยดา ผีผู้เป็นใหญ่และผีต่างๆ เครื่องคายถูก จัดวางไว้ในพานขนาดใหญ่ มีเครื่องปะกอบหลายอย่าง ดังนี้ 1) เงินฮาง (เงินราชสมัยโบราณมีลักษณะคล้ายรางหมู) 8 อัน ส าหรับให้ผีใช้เดินทาง 2) เงินส าหรับเดินทาง 12 สตางค์ เป็นค่าคายส าหรับหมอเหยา 3) ซวยดอกไม้ (กราย) 4 คู่หรือ 8 อัน 4) ซวยเทียน (กรวย) 4 คู่หรือ 8 อัน 5) เทียนไขใหญ่ 4 เล่ม 6) เทียนเล็ก 4 เล่ม 7) เทียนหง่า (เป็นเทียนที่ท าขึ้นเอง ท าจากฝ้ายซุบขี้ผึ้งมาน าพันกันเป็นลักษณะเป็นกิ่งเหมือนกิ่ง ไม้) 4 เล่ม 8) เทียนลึม (มีลักษณะเหมือนเทียนหง่า แต่น ามาพันกันให้มีขนาดยาว) 4 เล่ม


9) ตะแหลวไม้ง่าม (เทียนที่ท าขึ้นเองจากฝ้ายชุบขี้ผึ้งแล้วน ามาพันกันเป็นลักษณะไม้สามง่าม) 4 เล่ม 10) ขันหมากเบ็ง (ท ามาจากใบตองกล้วยส าหรับใส่ดอกไม้สีขาว) 2 อัน 11) ขันนิมนต์ 4 ขัน ใส่ข้างละ 2 ขัน 12) ไข่ไก่ดิบ 2 ฟอง 13) เหล้าขาว 1 ขวด (ให้เรียกว่า ม้า) 14) ข้าวสาร 1 ถ้วย 15) บุหรี่ 4 มวนพันจากยาเส้นห่อพริกแห้ง (หรือเรียกว่า แอม) 16) ค าหมาก 2 ค า 17) ฝ้าย 1 ปอย 18) ฝ้ายเคียนหัวหมอเหยา ( ส าหรับพันรอบศรีษะของหมอเหยาขณะท าพิธี) 1 เส้น 19) เทียนไต้ (เทียนส าหรับจุดขณะประกอบพิธี ท าจากฝ้ายชุบขี้ผึ้ง) 3 เล่ม เครื่องคายบางอย่าง ใช้จ านวน 4 คู่หรือ 8 อัน เพราะ ใช้ส าหรับบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และเทพยาดารวมทั้งผีต่างๆ 1.1.3 เครื่องคายส าหรับเชิญลง จัดเตรียมใส่จานใบเล็กหรือเรียกว่า จานเชิญลงใช้ส าหรับให้หมอ เหยาอัญเชิญเทพยดาและผีต่างๆ ลงมาเข้าร่างเพื่อประกอบพิธี ประกอบด้วยเครื่องคายต่างๆ ดังนี้ 1) ขันห้า ได้แก่ ดอกไม้ 5 คู่ เทียน 5 คู่ หรือ ท าเป็นซวยเทียน 5 คู่ 2) ไข่ไก่ดิบ 1 ฟอง 1.1.4 ขันซิ่นขันแพร เป็นเครื่องคายที่จัดเตรียมไว้ให้แก่ผีที่ลงมาเข้าร่างหมอเหยาแล้ว โดยผีจะ เลือกเครื่องนุ่งที่ตนชอบ ถ้าไม่ถูกใจผีจะบอกให้จัดหาให้ใหม่ สิ่งที่เตรียมไว้ได้แก่ ผ้าซิ่น ผ้าแพร เสื้อ ถ้าเป็นผีปู่ ผีตา ถ้าลูกหลานรู้ว่าท่านชอบนุ่งอย่างไรก็ให้จัดเตรียมไว้อย่างนั้น 1.1.5 เครื่องคายส าหรับผู้ป่วย เป็นการจัดเตรียมเครื่องคายไว้ส าหรับเรียกขวัญผู้ป่วย มีดังนี้ 1.1.5.1 เทียนสี จ านวน 3 เล่ม เป็นเทียนที่ท าจากฝ้ายชุบด้วยขี้ผึ้งส าหรับเรียกขวัญผู้ป่วยกลับ เข้าร่าง มีขั้นตอนการท าดังนี้ 1) เล่มที่ 1 วัดรอบหัว ใช้ฝ้ายที่เป็นไส้เทียนวัดความยาวรอบศรีษะของผู้ป่วย 2) เล่มที่ 2 วัดศอก ใช้ฝ้ายที่เป็นไส้เทียนวัดความยาวจากปลายนิ้วไปจนถึงศอกของผู้ป่วย


3) เล่มที่ 3 วัดจากคอถึงสะตือ ใช้ฝ้ายที่เป็นไส้เทียนวัดความยาวจากคอลงมาจนถึงสะตือของ ผู้ป่วย 1.1.5.2 กล่องข้าวรับขวัญผู้ป่วย เป็นการจัดเตรียมเครื่องคายต่างๆ ใส่ไว้ในกระติบข้าวเหนียว เพื่อรับขวัญผู้ป่วย มีเครื่องคายดังนี้ ข้าวต้มมัด ขนม ข้าว ปลา อาหาร ฝ้ายผูกแขน(อาจผูกใส่แหวนของผู้ป่วยก็ ได้) กระจก หวี ผ้าแพรมน (ผ้าเช็ดหน้า) แป้งและไข่ต้ม (ส าหรับเสี่ยงทายว่า ขวัญของผู้ป่วยกลับมายัง) 1.1.5.3 พาข้าวรับขวัญ (ส าหรับข้าวส าหรับรับขวัญป่วย) เป็นการจัดเตรียมไว้เพื่อให้ขวัญของ ผู้ป่วยที่กลับมาแล้วได้ทาน ประกอบด้วย ข้าว ปลา อาหาร ของหวาน (ขาดไม่ได้ ถ้าไม่มี ของหวานให้ใช้ น้ าตาลทรายแทน) เครื่องคายทั้งหมดต้องจัดเตรียมให้เสร็จก่อนเที่ยงหรืออย่างช้าไม่เกินบ่ายสามโมงเย็นเพราะ หลังจากเวลานี้แล้วถือว่าเป็นช่วงเวลา เอาผีไปป่าช้า ชาวบ้านถือว่าเป็นเวลาที่ไม่เป็นมงคลไม่เหมาะส าหรับ ประกอบพิธีที่เป็นมงคลต่างๆ เครื่องคายดังกล่าวจะต้องวางไว้ใน “ถาดเครื่องเซ่น” เมื่อกระท าพิธีเสร็จจะยก เครื่องคายทั้งหมดขึ้นไว้บนหิ้งเป็นเวลา 1 คืน จึงยกลงมาได้ 1.4 ดนตรีประกอบ 1.4.1 เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบ เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบ คือ แคน แคนเป็นเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่ประดิษฐ์จากภูมิปัญญา ของชาวบ้าน ใช้วัสดุที่มีในท้องถิ่นที่หาได้ง่าย จะใช้แคนแปดหรือแคนเก้าเป่าก็ได้ การใช้แคนแปดเป่าประกอบพิธีเป็นแคนประจ าตัวหมอเหยา สาเหตุที่หมอเหยาต้องมีแคน ประจ าตัวเพราะ การล าประกอบพิธีต้องใช้แคนที่มีระดับเสียงเดียวกันกับผู้ล า ดังนั้นหมอเหยาจึงจ าเป็นต้องมี แคนประจ าตัวที่มีระดับเสียงตรงกับเสียงของตนเอง แคนแปด หมายถึง แคนที่มีจ านวนลูกแคน 8 คู่ หรือ 16 ลูก เป็นแคนที่นิยมใช้ทั่วไปเพราะมี ระดับเสียงปานกลางและสามารถท าเสียงประสานในขณะเป่าได้ 1.4.2 ผู้บรรเลงดนตรี การเป่าแคนประกอบพิธีเหยานั้น ผู้บรรเลงจะต้องมีสุขภาพแข็งแรง มีความอดทน เพราะ ในการ เป่าประกอบพิธีแต่ละครั้งใช้เวลานานประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยผู้บรรเลงต้องเป่าแคนประกอบพิธีโดยตลอด บางครั้งอาจจะมีการพักบ้างแต่แค่เวลาไม่นาน ดังนี่นจึง จ าเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงหรืออาจใช้ผู้ บรรเลง 2 คน เพื่อผลัดเปลี่ยนกัน 1.4.3 การสืบทอดแนวทางท านองดนตรี การฝึกเป่าแคนลายล าผีไท้นั้น ขึ้นอยู่กับความสนใจของหมอแคนแต่ละคน หมอแคนแต่ละคน ไม่ได้เรียนกับครูมาโดยตรงแต่สามารถเป่าได้โดยอาศัยประสบการณื ความจ าและความขยันฝึกฝน การสอบ ทอดแนวท านองดนตรีจึงเป็นไปในลักษณะไม่มีแบบแผนที่แน่นอนโอกาสจะสูญไปมีมาก เพราะคนรุ่นหลังใน


ปัจจุบันไม่ให้ความสนใจแคนและพิธีเท่าที่ควร เนื่องจากเครื่องดนตรีสากลมีความน่าสนใจและเล่นง่ายเข้ามามี บทบาทและอิทธิพล ท าให้ไม่มีคนรุ่นหลังสืบทอด ด้วยเหตุนี้หมอแคนจึงพยายามสอนลูกหลานและคนใน ครอบครัวให้เป่าแคนเพื่อสืบทอดตนต่อไป ส าหรับขั้นตอนการรับลูกศิษย์นั้น ไม่ค่อยได้ปฏิบัติเป็นแบบอย่าง แน่นอน เนื่องจากไม่เคยรับลูกศิษย์เพราะไม่ค่อยมีคนให้ความสนใจเท่าที่ควร เพราะฉะนั้นการรับลูกศิษย์จึงไม่ มีพิธีการอะไร แล้วแต่ผู้ที่จะมาเป็นศิษย์เห็นสมควร อาจเตรียมขันดอกไม้ ธูป เทียน เงิน (ไม่ต้องก็ได้หรือ แล้วแต่ศรัทธา) น ามาบูชาครูก็เพียงพอแล้ว 2.ขั้นตอนการประกอบพิธีกรรมเหยา การประกอบพิธีเหยาเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของชาวผู้ไท เป็นการรักษาโดยการเที่ยงทายและถามหา สาเหตุของอาการเจ็บป่วยจากผีที่ลงมาเทียมร่างของหมอเหยาที่เป็นสื่อกลางในการติดต่อกันระหว่างคนกับผี โดยใช้เสียงแคนและกลอนล า เพราะ สมัยก่อนบรรพบุรุษชอบร้องล า เครื่องดนตรีที่ท านองมีเพียงชนิดเดียว เท่านั้น คือ แคน เสียงแคนและกลอนล าจึงเป็นสื่อที่ผีชอบและมีอ านาจสื่อสารกับผีได้ ค ากลอนล าที่หมอเหยา ขับร้องเป็นอ านาจของผีที่ร้องกลอนล าออกมา เพื่อเสี่ยงทายหาสาเหตุและแนวทางการรักษา ผู้ที่เข้ารับการ รักษาส่วนมากจะเป็นชาวผู้ไทที่นับถือผีด้วยเช่นกัน พิธีเหยา นั้นเมื่อมีผู้ป่วยต้องการเสี่ยงทายหาสาเหตุของอาการป่วยเจ็บ พิธีกรรมจะถูกจัดขึ้นในวัน พฤหัสบดีเท่านั้นเพราะถือว่าเป็นวันครุเหมาะแก่การเชิญผีที่เป็นเทพและครูบาอาจารณ์ลงมาเทียมหรือถ้า เร่งด่วนมากก็อาจจะท าได้ในวันอาทิตย์แต่ทั้งสองวันจะต้องไม่ตรงกับวันศีล วันพระหรือวันธรรมสวณะ สถานที่ส าหรับประกอบพิธีนั้นถ้าผู้ป่วยที่อยู่ใกล้อาจใช้บ้านของหมอเหยาเอง แต่ถ้าผู้ป่วยที่อยู่ถิ่นอื่น หมอเหยาจะเดินทางไปเหยาที่บ้านของผู้ป่วยแต่ต้องมีการจัดเตรียมเครื่องคายให้พร้อม ทั้งนี้อยู่ในความดูแล ของหมอเปี่ยงประจ าตัวหมอเหยา 2.1 การเตรียมก่อนเริ่มพิธี หมอเปี่ยงทั้ง 2 คน จะเป็นผู้จัดเตรียมสถานที่ ส่วนใหญ่จะใช้ที่บ้านของหมอเหยา จัดเตรียมเครื่อง คายประกอบพิธีซึ่งจะถูกจัดเตรียมในตอนกลางวันก่อนเวลาบ่ายสามโมงเย็น เพราะเวลาหลังจากบ่ายสามโมง เย็นไปจนถึงพระอาทิตย์ตกดินถือเป็นเวลาน าผีเข้าป่าช้า ซึ่งชาวผู้ไทเชื่อว่า เป็นเวลาที่ไม่เป็นสิริมงคลไม่เหมาะ ที่จะประกอบพิธีมงคลใดๆ เครื่องคายที่จัดเตรียมไว้ ประกอบไปด้วย เครื่องคายใหญ่ เครื่องคายเชิญลง ขันซิ่น ขันแพร เครื่องคายส าหรับรับขวัญผู้ป่วย และพาข้าวส าหรับขวัญของผู้ป่วย เครื่องคายใหญ่จะถูกจัดเตรียมไว้คู่กับเครื่องคายเชิญลง นิกจากนั้นยังต้องเตรียมน้ าใส่ภาชนะ ส าหรับใส่น้ าไว้อีก 2 ที่ ได้แก่ น้ ามนต์หรือน้ าหอม (น้ าธรรมดาใส่ขมิ้น) และน้ าใส่ดอกไม้ (ดอกจ าปี) เหล้าขาว (เรียกว่า ม้า) 1 ขวด ทั้งหมดตั้งไว้ข้างๆ คายใหญ่


2.2 การเชิญลงหรือการเทียม เป็นขั้นตอนการเชิญผีมาเข้าร่างของหมอเหยา พิธีจะเริ่มประมาณเวลาหนึ่งทุ่ม โดยหมอเหยาจะ เข้ามานั่งพับเพียบหน้าเครื่องคายใหญ่ประกอบพิธีหันไปทางทิศใดก็ได้ หมอเปี่ยงทั้ง 2 คนนั่วถัดไปด้านซ้ายมือ ของหมอเหยา และหมอแคนนั่งด้านขวามือหรือด้านหลังของหมอเหยาก็ได้ เริ่มพิธีหมอแคนจะเป่าแคนลาย เชิญผีไท้ไปเรื่อยๆ หมอเปี่ยงจะจุดเทียนยาวน ามาปักที่พาน เครื่องคายใหญ่ประกอบพิธี (ใช้แทนดอกไม้) จากนั้นหมอเหยาอาจจะพูดคุยกับหมอเปี่ยงเล็กน้อยก็ได้ก่อนจะน าฝ้ายสีขาวมาพันศรีษะ เสร็จแล้วหมอเหยา จะหยิบจานเครื่องคายส าหรับ เชิญลงเพื่อใช้ส าหรับเทพยดาและผีต่างๆ ลงมาเทียมหรือเข้าร่างด้วยสองมือถือ ไว้ระดับอกน ามาวนขวาไปว้าย 3 รอบ ก่อนที่จะร้องล าเป็นท านองผู้ไทเพื่อเชื้อเชิญให้ผีไท้และผีหมอเปี่ยงทั้ง สองลงมาเข้าร่าง กลอนล ามีลักษณะเป็นค ากลอนสด มีจังหวะไม่แน่นอน ร้องตามอารมณ์ของผู้ท าพิธี ในขณะ ที่อัญเชิญเทพยดาและผีหมอผู้ใหญ่ที่สุด หมอเหยาจะใช้มือถือจานคายส าหรับเชิญลง หลักจากที่เทพยดาและผี หมอผู้เป็นใหญ่ลงเทียมร่างแล้ว หมอเหยาจะวางจารคายเชิญลงไว้แล้วฟ้อนร าประกอบเสียงแคนแต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืน ยังคงนั่งฟ้อนร า เหมือนเดิมพร้อมกับล าค ากลอนเชิญผีต่างๆ ให้ลงมาเทียม เช่น ผีหมอ พ่อมด ผีหมอดู ผีหมอเหยา ผีภูผีผา ผี ป่า ผีเชื้อ ผีบรรพบุรุษ ผีหมอเปี่ยง ให้ลงมาเทียมพร้อมกัน จากนั้นก็มีการพูดคุย ขี่ม้า (ดื่มเหล้า) ฟ้อนร ากัน อย่างสนุกสนาน มีกลอนล าดังนี้ กลอนล าประกอบพิธีเหยาที่ใช้ส าหรับเชิญเทพยดาและผีหมอลงมาเทียมหรือเข้าร่างหมอเหยา ผู้ท าพิธี โอ้ยนอ แม่นายเอย เชิญเจ้าลงมาจากหิ้งไม้ยอ เฮาเด้อ แม่นายเอย โอ้ยนอ แม่นายเอย เชิญเจ้าลงมาจากหอไม้แก้ว ของเฮาน้อยอ่อนๆ เด้อแม่ โอ้ยนอ แม่นายเอย รุดรุดไต่กกฝ้ายไห่มาเด้อ ร่ายร่ายไต่กกไหมไห่มาเด้อ แม่นายเอย โอ้ยนอ เชิญเด้อ เชิญหมอมดอยู่เมืองฮ้อ (เมืองผี) เชิญหมอมอ เชิญเจ้า ด่วนมาเด้อ อันยาเอย โอ้ยนอ หมอเหยาเอยผู้คิ้วคิ้ว เชิญเจ้าไห่ด่วนมาเด้อ ดูบาเอ้ย โอ้ยนอ อังกะฮาด เฮาเอ้ย ไอยการ เฮาเอ้ย เชิญเด้อ โอ้ยนอ ดันเจ้ามาฮอดแล้ว เชิญเจ้าเข้าร่างคีงบางๆ น้อยอ่อนๆ เด้อคูบา ความหมายของกลอนล า เพื่อเชื้อเชิญผีเชื้อที่เป็นใหญ่ที่สุดลงมาพร้อมด้วย ผีหมอมด ผีหมอดู ผี หมอเหยา ผีภูผีผา (อังกะฮาด) ผีเชื้อ ผีบรรพบุรุษ (ไอยการ) ให้ลงมาเข้าร่างของหมอเหยาผู้ท าพิธี ถึงช่วงนี้ หมอเหยาจะหยุดล า และเริ่มมีอาการตัวสั่นเล็กน้อย มือที่ถือจานเชิญลงก็ลั่นไปด้วย หมอ แคนยังคงเป่าต่อไป หมอเหยาเริ่มล าต่อ โอ้ยนอ คันเจ้ามาฮอดแล้ว คีงนางน้อยผู้แอ่ววอนน าเด้อ อันยาเอ่ย (อันยา = ค าแทนตัว)


โอ้ยนอ แก้วละนอยอดฟ้าเอ้ย กาสีเอยให้เจ้าด่วนมาเด้อ โอ้ยนอ วันทองเอย พั่งพ้อมเชิยเจ้าไห่ด่วนมาเด้อ อันยาเอย โอ้ยนอ ไห่เจ้ามาจับแข่งอีน้องลีลา เด้ออันยาเอย ไห่เจ้ามาจับขาอีนางน้อยรีร้อย จับนิ้วก้อยไห่นาง น้อยแอ่นคิง เชิญมาเด้อ โอ้ยดอนตาลเอย ไต่กกฝ้ายไห่ลงมาเด้อ ดอนตาลเอ่ย ไต่กกไหม ไห่ลงมาเด้อ วันทองเอย ความหมายของกลอนล า คือ หลังจากที่ผีต่างๆ ที่เป็นใหญ่ลงมาเทียมแล้วผีเหล่านั้นก็เชิญผีหมอที่ เป็นผีเชื้อของหมอเหยา เรียกว่า แก้วยอดฟ้า และเชิญผีหมอเปี่ยงทั้งสองคนลงมาด้วย คือ กาสีกับวันทอง เมื่อ ผีทั้งสามลงมาแล้ว ก็จะมีการฟ้อนร ากันเพื่อให้เกิดความใสนุกสนาน ช่วงนี้หมอเหยาวางจานเชิญลงไว้ แล้วฟ้อนร าประกอบแคนอย่างอ่อนช้อย หมอเปี่ยงทั้งสองก้ฟ้อน ร าด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนั่งฟ้อน หมอเหยาล าต่อ โอ้ยนอ วันทองเอย กาสีเอย พากันยกยองย้ายเกาะก่ายกันลงมาเด้อ อันยาเอย โอ้ยนอ แม่เมืองเอย พ่อเมืองเอย ขอกินน ากะบวยคันเจ้ากี่เด้อแม่เมืองเด้อ โอ้ยนอ แม่เมืองเอย ขอกินน้ าอิ่มแล้ว กะบวยเจ้าข่อยส่งคืนเด้อ ความหมายของค ากลอน เมื่อแก้วยอดฟ้า กาสีและวันทอง ลงมาแล้วก็จะขอกินน้ าจากแม่เมืองพ่อ เมือง (หมายถึง ผีที่หลักบ้านหลักเมืองที่ประจ าหมู่บ้าน) หมอเหยาจะหยุดฟ้อนและหันมาใช้ขันน้ าตักน้ าที่อยู่ ในถังหรือขันใบใหญ่ที่ตั้งเตรียมไว้ข้างๆ เครื่องคายใหญ่เมื่อแก้วยอดฟ้าดื่มน้ าอิ่มก็ส่งน้ าให้ กาสีและวันทองดื่ม ต่อ หมอแคนยังคงเปาแคนไปเรื่อยๆ (ช่วงนี้อาจจะหยุดพักก็ได้) หลังจากดื่มน้ าเสร็จหมอเหยากับหมอเปี่ยงก็จะฟ้อนร ากันอีกครั้ง อาจจะมีการพูดคุยกันไปด้วย เพราะ นานๆ ผีจะได้มีโอกาสมาเจอกัน เมื่อพบกันแล้วจึงชวนกันฟ้อนร าพร้อมกับขี่ม้า (ดื่มเหล้า) กันอย่างสนุกสนาน หมอเหยาล าต่อ โอ้ยนอ วันทองเอย ไห่เจ้าอดสาเยิ้น กินลงตางกะต่าย เด้อวันทองเอย โอ้ยนอ อดสาเว้าผู้ฮ่ายเซิมพ้เพิ่นผู้งาม เด้ออันยาเอ่ย (กินเหล้าเม้า) หมอเหยา ดื่มเหล้าอีกพร้อมกับรินให้กับสีกาและวันทองดื่มด้วยจากนั้นพากันฟ้อนต่อสักพักก่อนจะ ล าต่อไปอีก ในขณะท าพิธีหมอเหยาจะล าและฟ้อนประกอบไปด้วย โอ้ยนอ วันทองเอย กาสีเอย เฮาพากันขี่ม้าพักก่ า ห าสีพวงๆ เอย


โอ้ยนอ แฮงแจงจับกันเข้าสายไย่ไห่ดีเด้อ โอ้ยน้อ แฮงแจงรีบเร่งเข้าสายดึงสายไห่มันเค่งเด้อ โอ้ยนอ เฮาแจงจับรีบเร่งเข้าสายไยไห่ดีเด้อ 2.3 การเหยาเสี่ยงทาย เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการชัยลงหลังจากที่แก้วยอดฟ้า กาสีและวันทอง ลงมาเทียมแล้ว ก็จะ ท าการเหยาเพื่อรักษาผู้ป่วยต่อไป หมอแคนยังคงเป่าแคนตอไปเรื่อยๆ หมอเหยาท าการเสี่ยงทายหาสาเหตุของอาการเจ็บป่วยโดย ใช้ไข่ไก่ดิบเป็นเครื่องมือส าหรับเสี่ยงทาย หมอเหยาวางไข่ในลักษณะนอนไว้ในอุ้งมือขวา ในขณะที่ถามขาหมอ เหยายื่นมือที่ถือไข่เข้ามาใกล้ๆ เครื่องคายใหญ่พร้อมกับโน้มใบหน้าเข้ามาหาไข่แล้วร้องกลอนล าเพื่อถามหา อาการเจ็บป่วย เมื่อถามเสร็จใช้มืออีกข้างฟ้อนร าไปเรื่อยๆ การถามอาการเจ็บป่วยคือการถามหาสาเหตุของ อาการเจ็บป่วยว่าเกิดจากสาเหตุเพราะการกระท าผิดผีหรือไม่ ถ้าใช่หรือไม่ใช่ก็ขอให้ไข่ลุกขึ้นตั้งหรือนอนลง ตามเดิม เช่น หมอเหยาถามว่าอาการเจ็บป่วยครั้งนี้เป็นเพราะท าผอดผีบ้านผีเรือนหรือไม่ ถ้าใช่ให้ไข่ลุกขึ้นตั้ง หรือถ้าไม่ใช่ให้ลุกขึ้นตั้ง เมื่อได้ค าตอบว่าใช่แล้ว จากนั้นถามต่อว่าถ้าเป็นเพราะผิดผีบ้านเรือนจริงๆ ก็ให้ไข่นั้น นอนลง การถามทุกครั้งจะถามเป้นกลอนล าที่คิดขึ้นเฉพาะในทันทีทันใดนั้น ดังนี้ โอ้ยนอ ขออนุญาตไว้เด่อ คูบ่าย่าวๆ คือ สิงสันเพิ่นไฮ่ โอ้ยนอ หมูฌอาเกิดเดือนร้อนแจ่ง สิโอ้โอยหาเด้อ คูบาเด้อ โอ้ยนอ ไห่เจ้ามามาเด้อ เสาดอนตาลไห่มาก่อนเด้อ โอ้ยนอ สาวเชโปนช่าง มาเอ้ค่องคือแท้หนอ โอ้ยนอ ดอนตาลเอย คันดอนตาลบ่ปากดอนตาลอุ้มขี้งัวเด้อ โอ้ยนอ ดอนตาลบ่หัว ตอนตาลอุ้มขี่ม้า ดอนตาลอุ้มขี่ม้า ตอนตาลบ่กล้า อย่าได้สู่ท่าวังทอง เด้อ อันยาเอ่ย 2.4 การเรียกขวัญผู้ป่วย การเรียกขวัญผู้ป่วย เป็นขั้นตอนที่ต่อเนื่องจากการเสื่องทายหาสาเหตุของอาการเจ็บป่วยของ ผู้ป่วย หลังจากที่ทราบสาเหตุอาการเจ็บป่วยว่า เกิดจากการกระท าของผีปู่ตา และขวัญของผู้ป่วยออกจากร่าง ไปมีเมียเป็นผีและลูกผีอีกหนึ่งคน เมียและลูกที่เป็นผีคอยฉุดดึงไว้ไม่ให้ขวัญของผู้ป่วยกลับมาบ้านเดิม หมอ เหยาจึงต้องท าพิธีเรียกขวัญผู้ป่วยกลับมาเข้าร่าง โดยหมอเปี่ยงเป็นผู้จัดเตรียมเครื่องคายส าหรับปะกอบพิธีใน ขณะที่หมอเหยาฟ้อนร าประกอบเสียงแคนต่อไป อาจหยุดพักขี่ม้า (ดื่มเหล้า) บ้าง หมอเหยาลุกขึ้นนี่งคุกเข่ามือ ขวาถือง้าวร่ายร าไปตามเสียงแคน จากนั้นหมอเหยาจึงส่งง้าวให้หมอเปี่ยง หมอเปี่ยงใช้เทียนสีของผู้ป่วยมาพัน กับปลายง้าว และน ากล่องข้าวส าหรับเรียกขวัญผู้ป่วยมาผูกติดกับง้าวแล้วจุดเทียน ขั้นตอนนี้หมอเหยายังคง นั่งคุกเข่าฟ้อนร าโดยยกมือขึ้นฟ้อนร าเหนือศรีษะพร้อมกับร้องล าค ากลอน ดังนี้


โอ้ยนอ คูบาเอย โอ้ยนอ อดสาเยิ่นเด้อคูบาเอย โอ้ยนอ เทวบุตรอยู่ชั้น 5 เทวดาอยู่ชั้น 4 โอ้ยนอ ธรณีนาคน้ า นาโคนั่นพ่ ากัน โอ้ยนอ พะอินท์พ้อม พะพรหมยราช ขอเชิญเจ้าลงมาเด้อ โอ้ยนอ พะยาเวรพ้อมเด้อ พะยากรรมพอมพ า โอ้ยนอ ยกย่างย้ายไห่เกาะก่ายกันลงมาเด้อ โอ้ยนอ มาฮอดแล้ว เอาขวัญบักห าเข้ามาแน่ เอามาใส่ร่างคีงบักห าน้อย ผู้ป่วยเป็น ความหมายของค ากลอน คือ หมอเหยาเชิญเทวบุตร เทวดา พระอิทร์ ท้าวมราช พระพรหม เจ้ากรรมนายเวร พญาแถน ผีปู่ตา ผีหลักบ้าน ในช่วยน าขวัญผู้ป่วยกลับมาเข้าร่าง จากนั้นก็ถือง้าวลุกขึ้นยืนมือ หนึ่งฟ้อนร าไปด้วย พร้อมกับร้อองล าเป็นค ากลอน หลังจากร้องล าค ากลอนเสร็จแล้ว หมอเหยาจะกลับมานั่งพร้อมกันถือกล่องข้าวไว้ด้วยมือทั้ง สองข้างยกกล่องข้าวโยกย้ายไปตามจังหวะแคน ในขณะนี้หมอเปี่ยงจะเรียกลูกหลานให้มานั่งข้างหลังหมอ เหยา ให้ลูกหลานจับผ้า (ผ้าขาวม้า) คนละข้างกางออกเพื่อรองรับกล่องขวัญ (กล่องข้าว) เมื่อเตรียมเสร็จแล้ว หมอเหยาบอกว่า “รับเอานะ รับเอาขวัญของพ่อเจ้า” พร้อมกับโยนกล่องขวัญข้ามศรีษะไปด้านหลัง ลูกหลาน ที่อยู่ข้างหลังใช้ผ้าขาวม้ารับเอากล่องขวัญ จากนั้นหมอเปี่ยงรับเอากล่องขวัญจากลูกหลานผู้ป่วยน ามาเปิดฝากล่องออกหยิบไข่ต้มใน กล่องขวัญมาแกะเปลือกออกส่งให้หมอเหยา ช่วงนี้แคนหยุดเป่า หมอเหยาน าไข่มาพินิจพิเคราะหืหาจุดต่างๆ ที่เกิดขึ้นในไข่ต้มโดยเฉพาะจุดสีด าที่แสดงให้เห็นว่าขวัญของผู้ป่วยกลับมาแล้วรวมทั้งมีอาการเจ็บป่วย อะไรบ้าง ปรากฏว่า ขวัญกลับมาเข้าร่างผู้ป่วยแล้วแต่อาการป่วยที่เป็นคือ ความดันโลหิตสูง จากนั้นเป็นพิธีผูก ข้อมือให้ผู้ป่วย หมอเหยาฟ้อนร าและร้องร าต่อ หลังจากขวัญผู้ป่วยกลับมาแล้ว หมอเหยาเรียกขวัญผู้ป่วยให้ทานข้าวปลา อาหารที่เตรียมไว้ จนอิ่ม แล้วให้กลับเข้าร่างผู้ป่วยตามเดิม จากนั้นเป็นพิธีผูกข้อมือให้ผู้ป่วย หมอเปี่ยงน าข้าวของของผู้ป่วยที่อยู่ ในกล่องขวัญ 2-3 ชิ้นมาใส่ไว้ในมือของผู้ป่วย จากนั้นหมอเหยาจะใช้ฝ้ายผูกมือของผู้ป่วยพร้อมกับร้องล า กลอน หลังจากนั้นก็ให้ลูกหลานและแขกที่มาร่มงานผูกข้อมือให้ผู้ป่วย ระหว่างนี้หมอเหยาจะฟ้อนร าประกอบ เสียงแคนไปเรื่อยๆ จากนั้นจึงน าไข่ที่ใช้ส าหรับเสี่ยงทายมาเสี่ยงทายดูว่าขวัญของผู้ป่วยกลับเข้าร่างจริงหรือไม่


2.5 การลา การลากลับเป้นการส่งให้เทพยดาและผีต่างๆ ให้ออกจากร่างไปกลับไปยังถิ่นที่อยู่อาศัยอยู่เดิม หมอเหยาจะฟ้อนร าโดยยกมือขึ้นฟ้อนเหนือศรีษะ พร้อมกับร้องกลอนล าที่มีความหมายในการส่งกลับประกอบ เสียงแคน ผีบางตัวที่ยังสนุกสนานอยู่ ไม่อยากกลับก็จะขอขี่ม้า(ขอดื่มเหล้า) ก่อนที่จะลากกลับไป เป็นการ สิ้นสุดพิธีเหยา 3.การสืบทอดอ านาจการเป็นหมอเหยา สังคมชาวผู้ไทให้ความส าคัญกับการรักษาโรคแบบพื้นบ้าน หรือพิธีกรรม การเหยาซึ่งเป็นพิธีการรักษา โรคแบบพื้นบ้านของชาวผู้ไท ถึงแม้ว่าความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาการในการรักษาโรคแบบแผนปัจจุบัน จะเข้ามามีอิทธิพลแล้วก็ตาม ชาวผู้ไทก้ยังคงใช้บริการการรักษาโรคด้วย “วิธีการเหยา” ควบคู่ไปกับการรักษา แผนปัจจุบัน เพราะชาวผู้ไทมีความเชื่อว่า “หมอเหยารักษาผี หมอแผนปัจจุบันรักษาโรค” ชาวผู้ไทจะประเมิน แยะแยะว่าอาการใดเป็นโรคที่เกิดจากผีท า และอาการใดเกิดจากโรค แล้วจึงประเมินการรักษาตามอาการ เช่น มีผู้ป่วยมีอาการปวดท้องและปวดหัวไปรรักษากับหมอแผนปัจจุบัน และหมอเหยา หลังจากรักษาด้วยวิธีการ “เหยา” แล้วการปวดหัวหัวหายไป ผู้ด้วยให้เหตุผลว่า “มันเหงา มันซึม เหยาแล้วก็หายปวดท้องมันบ่หาย เพราะเป็นโรค” หมายความว่าอาการเจ็บป่วยมีทั้งเมื่อยและปวดหัวซึ่งเกิดจากการกระท าผี เหนาแล้วก็หาย 3.1 ระบบหมอเหยาและการสืบทอด จากการสังเกตและการเข้าร่วมพิธีเหยาเลี้ยงผีของหมอเหขาในต าบลโนนยางพบว่าหมอเหยาส่วนใหญ่ เป็นผู้หญิง ถึงแม้ว่าจะมีผู้ชายอยู่บ้าง แต่เป็นหมอเหยาที่มาจากที่อื่น เช่น มาจากอ าเภอกุฉินาราชณ์ จังหวัด กาพสินธุ์ แต่ผู้ประกอบพิธีกรรมต้องแต่งกายเลียนแบบผู้หญิง คือนุ่งผ้าซิ่น โสร่ง และใส่ เสื้อมอบ เสื้อแขนยาว สีด าหรือสีน้ าเงิน จึงอาจกล่าวได้ว่าหมอเหยาเป็นกิจกรรมของผู้หญิง นอกจากนี้ชาวบ้านที่เข้าร่วมพิธีเลี้ยงผี ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้หญิงด้วยเหมือนกัน สอดคล้องกับการศึกษาหมอล าผีฟ้าของกลุ่มวัฒนธรรมไทย - ลาว ของ ชัยยนต์ เพาพาน (2533 : 56 ที่กล่าวว่าหมอล าผีฟ้าส่วนใหญ่จะเป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะการล าผีฟ้า เป็นพิธีกรรมที่ใช้ความนุ่มนวลอ่อนหวาน การฟ้อนร าด้วยท่าทางที่อ่อนช้อยสง่างาม บทร้องต้องไพเราะ อ่อนหวานเพื่อใช้สื่อสารกับผี ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เหมาะแก่เพศหญิง อันที่จริงแล้วหมอเหยาชาวผู้ไทกับหมอล าผีฟ้าซึ่งเป็นกิจกรรมของกลุ่มคนในวัฒนธรรมไทย-ลาว มี ลักษณะใกล้เคียงกันมาก แต่ในรายละเอียดจะแตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น กระบวนการสืบทอดการเป็นหมอ เหยามีความยุ่งขาก และซับซ้อนมากกว่า ผู้ที่จะเป็นหมอเหยาต้องมีความอดทน ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นไปได้ว่า หมอเหยาส่วนใหญ่จึงเป็นผู้หญิงเพราะผู้หญิงมีความอดทน สอดคล้องกับความเห็น ของปรานี วงษ์เทศ (2544: 361-362) ที่ว่าผู้หญิงจะเป็นผู้มีบทบาทในการสืบทอดประเพณีพิธีกรรมมากกว่าฝ่ายชายเพราะ ผู้หญิงอยู่กับที่ ไม่ได้โยกย้ายไปที่ไหน ส่วนผู้ชาขต้องไปเป็นทหาร ไปมีเมียที่อื่นหรือไปค้าขายต่างถิ่น ผู้หญิงจึง


เป็นเจ้าของหมู่บ้านที่แท้จริง เป็นเจ้าของที่ดิน และการผลิต ตลอดจนเป็นผู้น าในการเซ่นไหว้ผีประจ าหมู่บ้าน และผีบรรพบุรุษ นอกจากนี้อีกเหตุผลหนึ่งที่ หมอเหยาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เพราะผู้หญิงเป็นคนขวัญอ่อน ตกใจง่าย ผีจึง เข้าสิงร่างของผู้หญิงได้ง่าย และผู้หญิงจะมีข้อขะล าเกี่ยวกับการมีประจ าเดือนซึ่งเชื่อว่าสามารถท าลายพลัง ความศักดิ์สิทธิ์ของไสขศาสตร์และพุทธศาสนา (ชิเกฮารุทานาเบ้, 1991 อ้างในสุริยา สมุทคุปติ์, 2539 :46) หมอเหยาจึงมีบทบาทส าคัญในการรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วยที่เข้ามารับการรักษาโรคเพราะหมอเหขา เปรียบได้กับแพทย์พื้นบ้านที่ให้การรักษาผู้ป่วย ดังนั้นผู้หญิงจึงมีบทบาทส าคัญในกิจกรรมนี้ ดังนั้นผู้ที่จะเป็น หมอเหยา จึงต้องเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูง และต้องเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติพิเศษที่จะสืบทอดการเป็นหมอเหยา ดังนี้ 1) เป็นชาวผู้ไทเท่านั้น เพราะการสืบทอดการเป็นหมอเหยาจะสืบทอดกันเฉพาะในกลุ่ม ของชาวผู้ไท โดยเฉพาะในกลุ่มเครือญาติที่เคยเป็นหมอเหยาแล้วเท่านั้น จะไม่สืบทอดให้แก่คน นอกกลุ่มเป็นอันขาด 2) เป็นผู้ที่มีเชื้อสายบรรพบุรุษผีที่เป็นหมอเหยามาก่อน บรรพบุรุษอาจจะสืบได้ไกลจนถึงขั้นย่าทวด ยายทวด เชื้อสายการเป็นหมอเหยาจึงติดมากับลูกหลานทุกคน สุดแท้แต่ผีบรรพบุรุษจะเลือกลูกหลานคนใด เป็นหมอเหยา คุณสมบัติแบบนี้เรียกว่า “มีท้าวมีนาง” หรือ “ มีองค์” ซึ่งเป็นลักษณะของการมีสัญญาณพิเศษ ที่อ านาจเหนือธรรมชาติหรือผีต้องการใช้ร่างเป็นร่างทรง 3) เคยผ่านความเจ็บป่วยมาก่อน การเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นนั้นอาจจะเกิดขึ้นแก่ตัวผู้ที่จะเป็นหมอเหยาเอง หรือสมาชิกในครอบครัว เช่น สามี บุตร บางครั้งเป็นการเจ็บป่วยถึงขั้นวิกฤติของชีวิต เช่น เป็นอัมพาตเดิน ไม่ได้ หรืออาจจะเกิดอาการอ่อนเพลียกินไม่ได้นอนไม่หลับ ซึ่งใช้เวลานาน 3-6 เดือน หรือบางคนป่วยเรื่องรัง ซึ่งเมื่อรับเป็นหมอเหยาแล้วความเจ็บป่วยก็จะค่อยทุเลาและหายในที่สุด 4) ต้องขอมรับการเป็นหมอเหยา เนื่องจากหมอเหยาต้องกินเหล้าในเวลาเลี้ยงผีหรือเมื่อเวลาไปเหยา รักษาโรค ผู้หญิงบางคนก็กลัวว่าจะไม่ได้แต่งาน เนื่องจากสามีจะรังเกียจผู้ที่ดื่มเหล้าและเป็นหมอเหยา อาจจะ มีผลต่อไปถึงลูกหลานก็ได้ (ส้มภายณ์นางเบ๊ะ น้อยทรง, 8 มกราคม2552) ไม่ถึงขั้นปฏิเสธเองได้เนื่องจากการ ตัดสินใจของชาวผู้ไทต้องขึ้นอยู่กับผู้มีอาวุโสในครอบครัวหรือที่เรียกว่า "เจ้าโคตร" 5) เคยแต่งงานมีครอบครัว จากการศึกษาข้อมูลหมอเหยาต าบลโนนยาง ได้ข้อมูลว่าหมอเหยาต้อง แต่งงานและมีลูกแล้วจึงได้เป็นหมอเหยา จากที่กล่าวมาแล้วข้างต้นพบว่า คนที่จะเปลี่ยนผ่านชีวิตของตนเอง จากบุคคลธรรมดากลายเป็นหมอเหยานั้น ต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ อย่างเข้มข้นและมากมาย ดังนั้นคนนอกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทคง ไม่สามารถที่จะเป็น ได้เพราะในขั้นตอนบางอย่างมีความขากล าบากมากซึ่ง คนนอกชาติพันธุ์ไม่สามารถอดทนได้ หมอเหยาจึงเป็นลักษณะเฉพาะกลุ่มชาวผู้ไท โดยเฉพาะหมอเหยาที่ ต าบลโนนยาง


3.1.1 ค าส าคัญในระบบหมอเหยา หมอเหยาชาวผู้ไทเป็นผู้ที่มีหน้าที่ในการรักษาโรคแบบพื้นบ้านให้กับผู้ป่วย ซึ่งเป็นสิ่งที่ชาวผู้ไท คาดหวัง การที่หมอเหยาสามารถรักษาโรคให้กับผู้ป่วยได้ต้องเป็นผู้ที่มีพลังอ านาจที่เข็มแข็งสามารถสู้กัอ านาจ ของผีร้ายที่อยู่ในร่างกายของผู้ป่วย ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคการที่หมอเหยาจะได้รับพลังอ านาจศักดิ์ได้นั้น หมอ เหยาจะต้องท าพิธีเหยาเลี้ยงผี ซึ่งนอกจากจะเป็นการไหว้ครูผีไท้ผีแถนแล้ว ความหมายอีกอย่างคือ การร้องขอ พลังอ านาจจากผีไท้ผีแถน จากการศึกษาพิธีเหยาเลี้ยงผี ซึ่งเป็นพิธีกรรมไหวัครูประจ าปีของกลุ่มหมอเหยาพบว่ามีค าศัพท์ที่ เกิดขึ้นจากพิธีกรรมอยู่ 3 ค า คือ ค าว่า แม่เมือง ลูกเมือง และลูกเลี้ยง ค าทั้ง 3 นี้จะใช้เฉพาะในบริบทของ พิธีกรรมเลี้ยงผีประจ าปีของหมอเหยาเท่านั้น ความหมายนั้นจะแตกต่างกันออกไป ดังรายละเอียดต่อไปนี้ แม่เมือง หมาขถึง หมอเหยาที่ไปรักษาโรคให้กับผู้ป่วยขั้นวิกฤต เมื่อผู้ป่วยรับปากว่า เมื่อได้รับการ รักษาโรคให้หายแล้วจะเป็นหมอเหยา ผู้ที่รักษาโรคจะเปลี่ยนสถานภาพเป็นแม่เมืองทันที แม่เมืองจะมีลูกเมือง หรือมีบริวารกี่คนก็ได้ แต่ แม่เมืองจะต้องมีพลังอ านาจเข้มแข็ง ให้ความคุ้มครองแก่บริวารที่อยู่ใสังกัดของ ตนเอง ลูกเมือง หมายถึง ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาโรคจากหมอเหยาแม่เมือง เมื่ออาการทุเลาและขอมรับว่าจะ เป็นหมอเหยา จากนั้นหมอเหขา แม่เมือง จะท าพิธีเหยาคุมผีออก ให้กับผู้ป่วยนั้น เมื่อผู้ป่วยได้เข้าสู่ขั้นตอน และผ่านกระบวนการพิธีเหยาคุมผีออกแล้ว ผู้ป่วยก็จะมีสถานภาพเป็นหมอเหยาและมีความสัมพันธ์เป็น “ลูก เมือง” และเป็นบริวารของ “แม่เมือง” ผู้ที่ท าการรักษาตน ลูกเลี้ยง หมายถึง ผู้ที่ไปรับรักษาโรคจากหมอเหยา เมื่อหายแล้วยอมอยู่ภายใต้ “ของรักษา” ของหมอ เหยาแม่เมืองทั้งครอบครัวแต่ตัดสินใจไม่เป็นหมอเหยา เมื่อแม่เมืองเลี้ยงผี “ลูกเลี้ยง” จะเป็นผู้ที่รับหน้าที่ใน การท าเครื่องคาย ตลอดจนท าอาหารเพื่อรับแขกแม่เมืองตน 3.2 การสืบทอดการเป็นหมอเหยา การสืบทอดการเป็นหมอเหยามีทั้งการสืบทอดอ านาจและการสืบทอดการเป็นหมอเหยา การสืบทอด อ านาจ หมายถึง หมอเหยา ซึ่งมีหน้าที่ในการรักษาโรคเมื่อพลังอ านาจของตนเองอ่อนลงจะต้องร้องขอพลัง อ านาจศักดิ์สิทธ์จากผีไทผีแถนผ่านพิธีเหยาเลี้ยงผี พลังอ านาจของหมอเหยาที่อ่อนแอลงจะสังเกตได้จากการที่ บริวารของหมอเหยาได้รับอันตรายจากสิ่งต่างๆซึ่งแสดงว่าหมอเหยาไม่สามารถคุ้มครองบริวาร ได้ ส่วนการสืบ ทอดการเป็นหมอเหยา หมายถึงการที่คนธรรมดาเปลี่ยนสถานะของตนเองให้กลายเป็นหมอเหยาเพื่อท าหน้าที่ รักษาโรคให้แก่ผู้ป่วยตามที่ตนเองได้รับปากไว้ หมอเหยาในต าบลโนนยาง มีการสืบทอดการเป็นหมอเหยา 2 วิธี ได้แก่ การสืบทอดทางเครือญาติและ สายตระกูล และการสืบทอดโดยผ่านพิธีกรรม เหยาคุมผีออก


3.2.1 การสืบทอดการเป็นหมอเหยาทางเครือญาติและสายตระกูล หมอเหยามีการสืบทอดอ านาจอย่างเป็นระบบ การก้าวเข้าสู่ต าแหน่งการเป็นหมอเหยามีขั้นตอนต่างๆ มากมายและเข้มข้น นอกจากนี้ผีที่ต้องการจะสิงร่างของผู้ที่จะเป็นหมอเหยาก็ส าคัญ เพราะหมอเหยาต้องมี บรรพบุรุษที่เป็นเคยเป็นหมอเหยารักษาโรคมาก่อน มีการสืบสายเลือดผ่านสายตระกูลทางฝ่ายแม่ จึงเป็นการ ผูกขาดอ านาจการเป็นหมอเหยาไว้เฉพาะกลุ่มเท่านั้นจะมีการแต่งงานเฉพาะสายตระกูล และจะไม่แต่งงาน ข้ามสายตระกูล ดังนั้นจึงเป็นการสืบเชื้อสายแบบมาตุพงศ์ (matrilineal descent) บรรพบุรุษของชาวผู้ทต าบลโนนยาง อพยพมาจากเมืองวังและเมืองค าอ้อ แขวงสะหวันเขต สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว มาตั้งถิ่นฐานครั้งแรกที่บ้านโนนน้ าค า ต่อมากลุ่มผู้ เฒ่า 4 สายตระกูลได้แยกตัวออกมาตั้งบ้านเรือนในบริเวณที่เป็นที่นาของตนเองซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ของบ้านโนนน้ าค า กลุ่มบรรพบุรุษทั้ง 4 สายตระกูลนี้จึงเป็นผู้มีความส าคัญต่อชาวผู้ไทต าบลโนนยางตั้งแต่ อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะสายตระกูลปัททุม และน้อยทรง ซึ่งเป็นตระกูลผู้ปกครองของหมู่บ้านและเป็น หมอรักษาโรคพื้นบ้าน จากการสอบหมอเหยาพบว่า ผู้ที่เป็นหมอเหยารักยาโรคนั้นจะไม่มีการถ่ายทอดให้แก่บุคคลในสาย ตระกูลอื่นนอกจากสายตระกูลปัททุมและน้อยทรง ที่ส าคัญคือกลุ่มสายตระกูลนี้จะแต่งงานกันเองระหว่าง 2 ตระกูลเท่านั้น วัฒนธรรมการแต่งงานดังกล่าว จึงเป็นการเน้นย้ าให้เห็นความส าคัญของระบบชนชั้นดั้งเดิมของ ชาวผู้ไท สายตระกูลของหมอเหยา เมื่อแต่งงานแล้วสะใภ้ก็จะเปลี่ยนไปนับถือผีของฝ่ายสามี สอดคล้องกับการ เรื่องโคตรตระกูลของคนไทในเวียดนามที่ฝ่ายหญิงเมื่อแต่งานแล้วเรียกว่า " แต่งด้ าใหม่" กล่าวคือผู้หญิงจะ เปลี่ยนสังกัดด้ าของตนเองไปเข้ากับฝ่ายสามี เมื่อสามีเสียชีวิตลงฝ่ายหญิงจะไม่สามารถย้ายด้ ากลับคืนไปถ้ า เดิมของพ่อแม่ ( พิเชฐ สายพันธ์ ,2553 : 43) ส่วนชาวผู้ไทถ้าเป็นชาวบ้านทั่วไปที่ไม่ใช่กลุ่มหมอเหยา เมื่อ แต่งงานแล้วฝ่ายหญิงก็เปลี่ยนมานับถือผีของฝ่ายชาย เพราะไม่มีบรรพบุรุษเป็นหมอเหยา จึงเป็นได้แค่ลูกเลี้ยง ของหมอเหยาเท่านั้น เพราะไม่มีบรรพบุรุษเคขเป็นหมอเหยา การสืบทอดการเป็นหมอเหยาของชาวผู้ไทต าบลโนนยาง ส่วนใหญ่จะถ่ายทอดการเป็นหมอเหยาผ่าน ทางสายโลหิต หรือทางสายตระกูลจากรุ่นสู่รุ่นหนึ่ง บุคคลเหล่านี้เมื่อกลายสภาพเป็นหมอเหยา จะได้รับการ ยอมรับจากสังคมเนื่องจากชาวผู้ไทเชื่อว่าบุคคลนี้เป็นผู้มีลักษณะพิเศษที่ผีเลือกให้เป็นหมอเหยา นอกจากนี้คน ที่อยู่ในกลุ่มสายตระกูลใหญ่ที่เคยเป็นหมอเหยาก็ยิ่งได้รับการนับถือมากขึ้น ส่วนผู้ที่เป็นหมอเหยาจะได้รับการ ยกระดับฐานะให้สูงมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อออกรักษาโรคให้กับผู้ป่วยและผู้ป่วยหายจากอาการของโรค ส าหรับบางคนการสืบทอดจากบรรพบุรุษที่เคยเป็นหมอเหยาและเสียชีวิตไปแล้วแต่ยังไม่ได้ไปผุดไป เกิดเชื่อว่าจะใช้ร่างของลูกหลานคนใดคนหนึ่งที่พอใจเป็นร่างทรงของตนผีที่เลือกร่างทรงอาจจะเป็นผียายทวด ยาย หรือแม้แต่แม่ของผู้ที่จะเป็นหมอเหยาเอง การสืบทอดอ านาจการเป็นหมอเหยาจึงเป็นการสืบทอดจาก สายตระกูล ดังตัวอย่างกรณีศึกษาการสืบทอดการเป็นหมอเหยา


3.2.2 การสืบทอดการเป็นหมอเหยาโดยพิธี “เหยาคุมผีออก” "เหยาคุมผีออก" หมายถึงพิธีกรรมการสร้างหมอเหยาใหม่ การที่คนธรรมดาจะเปลี่ยนสถานะตนเอง เป็นหมอรักษาโรคได้ ต้องได้รับอ านาจศักดิ์สิทธิ์จากผีเสียก่อน การสืบทอดอ านาจการเป็นหมอเหยาอีกวิธีหนึ่ง ที่ส าคัญ คือการสืบทอด โดยผ่าน "พิธีเหยาคุมผีออก"ซึ่งเป็นพิธีกรรมการเปลี่ยนจากบุคคลธรรมดาให้กลายเป็น หมอเหยา อาร์โนลด์ แวน เจนเนป (1960 : 19) ได้ให้ความหมายของพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่าน (rite of passage) ว่าหมายถึง พิธีกรรมที่จะเปลี่ยนสภาพชีวิตของคนใดคนหนึ่งจากโลกหนึ่งไปสู่อีกโลกหนึ่ง กระบวนการของพิธีกรรมเปลี่ยนผ่านประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือขั้นแยกตัว(separation) ขั้นที่2ช่วงชายขอบ (limina)และขั้นกลับคืนสู่โครงสร้างปกติ (agregation) ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้หมายความว่า บุคคลที่จะเข้าพิธีการ เปลี่ยนผ่านจะต้องถูกตัดขาดจากสถาบภาพดั้งเดิมและจะต้องปรับเปลี่ยนตนเองในระยะหัวเลี้ยวหัวต่อ และใน ที่สุดก็กลับมารวมกับสังคมอีกครั้งในสถานภาพทางสังคมที่ได้รับใหม่ (สุริยา รัตนกุล , 2549 : 219) พิธีเหยาคุมผีออก เป็นพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านจากคนธรรมดาให้เป็นหมอเหยา โดยเริ่มจากการที่ หมอเหยาจะถูกเลือกโดยผี จากนั้นจะเป็นขั้นของการเผชิญสถานการณ์วิกฤตของชีวิตซึ่งมีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงที่จะ กลายเป็นหมอเหยา ระยะนี้จึงเป็นจุดหักเหที่คนธรรมดาจะตัดสินใจเข้าสู่เอกลักษณ์ใหม่ ของตน ในพิธีเหยาคุมผืออกครอบคลุมทั้ง 3 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นแรก ขั้นแยกตัว (Separation) เมื่อคนธรรมดารับปากว่าจะเป็นหมอเหยา และ ผ่านการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นขั้นการเริ่มแยกตัวออกจากสังคม หมอเหยาจะท าพิธีรักษาอาการป่วยให้เมื่อทุเลาแล้วจะยังไม่ได้เป็น หมอเหยา จะอยู่ระหว่างการรอรับอ านาจจากผี ในช่วงนี้จะเรียกว่าผู้ป่วย ซึ่งเป็นช่วงการแยกตัว ผู้ป่วยจะใส่ เสื้อมอบซึ่งเป็นเครื่องแต่งกายประจ าเผ่าผู้ไท ที่แสดงให้เห็นถึงความ โอ่อ่า ความศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าสู่ พิธีเหยา คุมผีออก และนั่งลงข้างเครื่องคายของตนเอง จากนั้นหมอเหยาหยิบฝ้ายดอกไม้สีขาวขึ้นมาสวมที่ศรีษะและ ผู้ป่วยก็ท าตาม ฝ้ายดอกไม้เป็นสัญลักษณ์ของการแยกตัวของผู้ป่วยออกมาจากคนธรรมดาเพื่อเตรียมเปลี่ยน สภาพเป็นหมอเหยาฝ้ายดอกไม้ยังแสดงถึงความศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจะเตรียมให้ผู้ป่วยเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ใน พิธีกรรมจะมีผู้ร่มพิธีอย่างมากมาย ผู้ป่วยจะแตกต่างจากผู้อื่นอย่างชัดเจน ขั้นที่สอง เรียกว่า ช่วงชายขอบ (liminal) สุริยา รัตนกุล (2549: 219) ได้ให้ความหมายของของค า ว่า lIiminal หมายถึงสภาวะที่อยู่ระหว่างสภาวะสองอย่าง บุคคลที่อยู่ในช่วงชายขอบจ าเป็นต้องมีลักษณะ ก ากวม เพราะเขาก าลังเคลื่อนผ่าน สภาวะและต่ าแหน่งพื้นที่ทางวัฒนธรรม อันท าให้ขาอยู่ในระหว่าง ช่วงชาย ขอบ(betwixt and between position) เป็นช่วงภาวะที่ไร้โครงสร้าง (communitas ) มีอันตราย ไร้ระเบียบ มีความสับสน และอยู่ภายใต้ข้อก าหนด ข้อห้ามหรือเงื่อนไขบางอย่าง (Turner, 1 970 อ้างใน พิเชฐ สาย พันธ์, 2539 : 16) หมอเหยาจะถามวิญญาณผีก่อนว่าจะรับผู้ป่วยเป็นหมอเหยาหรือไม่ เมื่อผีตอบรับ หมอ เหยาจะสวดอ้อนวอนผีประกอบด้วยเสียงดนตรี (ปี แคน กระจับปี และกลอง) เสียงดนตรีเป็นสัญลักษณ์ของ การเร่งให้วิญญาณผีเข้ามาประทับร่างของผู้ป่วย นอกจากนี้การใช้เหล้าขังเป็นสิ่งช่วยกระตุ้นให้วิญญาณผีเข้าสู่ ร่างกายผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว เมื่อวิญญาณผีได้ยินค าสวดอ้อนวอนก็จะลงมาตาม “โขเมือง” คือผ้าขาวที่ โยงจาก เครื่องคายของผู้ป่วยไปยังฝาบ้าน ในช่วงนี้เป็นช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการสับสน วุ่นวาย อยากลองดีหรือขัดขืน แต่ เมื่อได้ยินแต่เสียงคนตรี ไม่นานจะรู้สึกชาที่ขา ซึ่งเป็นอาการของผีที่มาเข้าทรง ผู้ป่วยจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย นอกจากเสียงดนตรี นอกจากจะเริ่มขยับแขน ขาและตบมือไปตามจังหวะคนตรี ต่อมาผู้ป่วยจะเข้าสู่สภาวะที่ ไร้โครงสร้างไม่สามารถควบคุมตนเองได้ลุกขึ้นฟ้อนร าไปตามจังหวะดนตรี ซึ่งในชีวิตประจ าวันผู้ป่วยบางคน


ฟ้อนร าแทบจะไม่เป็น นอกจากเสียงคนตรีที่ช่วยเร่งให้ผู้ป่วยเข้าสู่สภาวะนี้อย่างรวดเร็ว ยังมีเครื่องช่วยเร่งอีก อย่างคือถือ "ม้า" หรือเหล้าขาว ผู้ป่ายจะเริ่มดื่มเหล้าเมื่อวิญญาณเข้าสิงร่างเหล้าจะช่วยให้ผีเข้าสู่ร่างอย่าง รวดเร็ว สอดคล้องกับโทมัส เคริสท์ (1967 : 407) ที่กล่าวว่า หมอเหยาจะใช้เหล้าเพื่อเป็นเครื่องกระตุ้นให้ ร่างกายเข้าสู่ความเป็นอิสระจากการด าเนินชีวิตแบบปกติประจ าวัน และเสียงแคนก็จะเป็นสิ่งบันเทิงใจให้กับ คนได้เข้าสู่ความสนุกสนาน ดังนั้นจะเห็นว่าผู้ป่วยจะ "ขี่น้ า "หรือกินเหล้าอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้เหล้าขังเป็น เครื่องแยกผู้ป่วยออกจากสังคม หรือกลุ่มคนที่มาร่วมงาน ขั้นที่สาม การก้าวผ่านไปสู่สภาวะใหม่หรือเข้าสู่ภาวะปกติ ผู้ป่วยในฐานะคนธรรมดาจะเลื่อสถานภาพ ตนเองให้สูงขึ้น (ritual of status reversal) นั้นคือ ผู้ป่วยจะกลายเป็นหมอเหยา เมื่อผ่านพิธีกรรมคุมผีออก และท าทิ้งผีเพื่อต้อนรับผี เป็นการเพิ่มสถานภาพของผู้ป่วยให้สูงขึ้น ถือว่าเป็นการได้รับสถานภาพใหม่ทาง สังคม หมอเหยาเมื่อท าพิธีเชิญผีขึ้นหิ้งถือว่าเป็นการก้าวผ่านธรณีประตูจากสภาวะของคนธรรมดากลายเป็น หมอเหยาอย่างสมบูรณ์ เพราะหิ้งผีถือเป็นสัญลักษณ์ของหมอเหยา จากนั้นหมอเหยาก็จะเรียนรู้กิจกรรมการ เป็นหมอรักษาโรคแบบพื้นบ้านต่อไป การก้าวผ่านจากคนธรรมดากลายเป็นหมอเหยานั้น หมอเหยาแต่ละคนเมื่อเข้าสู่ภาวะไร้โครงสร้าง ซึ่ง ภาวะนี้ก าลังจะเคลื่อนผ่านไป จะมีความสับสนและไร้ระเบียบ ไม่สามารถควบคุมตนเองได้ ซึ่งจะยกตัวอย่าง จากกรณีศึกษาทั้ง 2 กรณี เพื่อแสดงสภาพของ หมอ กรณีศึกษาที่ 1 นางต๋อย ปัททุม หมอเหยา อายุ 82 ปี เล่าว่า ผีลงมาประทับร่างของนางหลังเที่ยงคืน ไปแล้ว ช่วงหัวค่ า พิธีกรรมต้องหยุดพักหลายครั้งก่อนที่จะเริ่มพิธีกรรมใหม่ต่อไปเรื่อยๆ นางได้ยินเสียงคนที่อยู่ ข้างๆ ให้ขี่ม้าข้าว (ดื่มเหล้า) หลังจากขี่ม้าขาวแล้วนางรูกสึกว่าร่างกายเบบหวิว ลุกเดินเหินได้สะดวกสบาย มือ และแขนของนางร่ายร าไปตามจังหวะเสียงดนตรีและรู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงตบมือ บอกว่าผีมาลงแล้ว นางก็รู้สึกตัว กรณีศึกษาที่ 2 นางพัฒนา ปัททุม หมอเหยา อายุ 68 ปี เล่าว่า เมื่ออยู่ในพิธีคุมผีออก หูของนางจะได้ ยินแต่เสียงดนตรี นางมีความรู้สึกไพเราะมาก ไม่รู้สึกตัวว่าได้ลุกขึ้นฟ้อนร าตามจังหวะดนตรี ในร่างกายร าของ นางนั้นบางครั้งก็ยกมือขึ้นสูง บางครั้งก็ยกมือในระดับเอว บางครั้งนางก็ร้องไห้ออกมา แล้วนอนกลิ้งเกลือกไป มา โดยไม่ณุ้สึกตัวว่าได้ท าไรลงไป มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงดนตรีได้หยุดลง และคนทั้งหลายที่มาร่วมงาน ตบมือแสดงความยินดี จากกรณีศึกษาทั้ง 2 แต่ละคนเมื่ออยู่ในช่วงชายขอบ อาการจะแตกต่างกันออกไป ช่วงเวลานี้ถือได้ว่า เป็นภาวะแห่งคุณสมบัติไรัระเบียบและโครงสร้าง ดังนั้นแต่ละคนจึงแสดงออกมาไม่เหมือนกัน แต่การ แสดงออกของแต่ละคนนั้นไม่มีอันตรายแต่อย่างใด พิธีเหยาคุมผีออกเป็นพิธีที่แสดงให้เห็นถึงการขอมรับอ านาจศักดิ์สิทธิ์ของหมอเหยาจากผีที่มอบให้ ผี จะลงมาตาม “โขเมือง” (ผ้าขาวที่โยงจากฝาบ้านมาที่คายลูกเมืองเป็นสัญลักษณ์แทนสะพานเพื่อให้ผีได้ลงมา) สิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่าผีลงมาประทับร่างแล้วคือ การที่ร่างกายของลูกเมืองเริ่มชาไปทั้งตัว ร่างกายเริ่มมี อาการสั่น แล้วค่อย ๆ ตบมือไปตามจังหวะเสียงดนตรีและเสียงเหยาของแม่เมือง จนกระทั่งถึงขั้นกระโดดโลด เต้น ซึ่งเป็นสภาวะที่ลูกเมืองไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ พิธีเหยาคุมผีออก นอกจากจะเป็นพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านจากคนธรรมดากลายเป็นหมอเหยาที่รักษา โรคพื้นบ้าน คนธรรมดาจะกลายเป็นหมอเหยาอย่างเป็นทางการ และได้รับอ านาจอันชอบธรรมจากวิญญาณผี


ดังนั้นผู้ที่ผ่านพิธีกรรมนี้จึงสามารถเรียกตนเองได้ว่าเป็นหมอเหยา คนทั่วไปก็จะรับรู้ด้วยว่า คนผู้นี้ได้เปลี่ยน สถานะจากคนธรรมดากลายเป็นหมอเหยาแล้วนอกจากนี้พิธีกรรมเหยาคุมผีออก ขังเป็นการขัดเกลาตรวจสอบ บุคคลที่จะเข้าสู่สมาชิกใหม่จากผีซึ่งหมอเหยาที่ท าพิธีจะถามผีอย่างละเอียดถึงการจะรับผู้ป่วยคนนี้ให้เป็น หมอเหยาคนใหม่ ดังนั้นการคุมผืออกจึง เป็นการเพิ่มจ านวนหมอเหยา เพราะพิธีคุมผีออก มีผีเป็นผู้ให้พลัง อ านาจและความชอบธรรมกับผู้ป่วยที่จะกลายเป็นหมอเหยาต่อไป จากกรณีหมอเหยาชาวผู้ใททั้งสามคน แสดงให้เห็นว่าการที่คนธรรมดาจะก้าวเข้าสู่การเป็นหมอเหยา นั้นไม่ง่าย เพราะผู้ที่จะเป็นหมอเหยาต้องสืบเชื้อสายจากผีเชื้อผีมูลหรือผีบรรพบุรุษ หรือต้นตระกูลเคยเป็น หมอเหยามาก่อน และที่ส าคัญที่สุดต้องผ่านพิธีกรรมคุมผีออกซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ส าคัญส าหรับการเป็นหมอเหยา นอกจากนี้คุณสมบัติของหมอเหยาตามความคาดหวังของชาวผู้ใท เมื่อกนธรรมคากลายเป็นหมอเหยาจะต้อง ประพฤติตนให้ชาวบ้านเชื่อถือคือมีความซื่อสัตย์สุจริต มีจิตใจเมตตากรุณา ไม่เป็นคนโกหกหลอกลวงจึงจะ ได้รับการยอมรับจาก ชาวผู้ไท 3.2.3 หิ้งผีสัญลักษณ์ของการเป็นหมอเหยา ก่อนที่ชาวผู้ไทจะอพยพข้ามแม่น้ าโขงเข้าสู่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ชาวผู้ไทต้อง อพยพอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะอพยพหนีสึกสงคราม หรืออพยพหนีจากภัยความอดอยาก และเมื่อเข้าตั้งถิ่นฐาน ที่อยู่ก็ต้องพบกับกลุ่มชนดั้งเดิม ต้องมีการแย่งชิงพื้นที่กันอยู่ตลอดเวลา อังนั้นชาวผู้ไทจะไม่สร้างที่อยู่มั่นคง แข็งแรงเพราะเมื่อเวลามีศึกสงครามจะได้เก็บสิ่งของได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ "ทิ้งผีหมอ" ที่ท าด้วยไม้ไผ่สาน เป็นรูปสามเหลี่ยมแล้วผูกด้วยฝ้ายที่ปลายส าหรับใช้สะพาย หิ้งผีหมอนี้ ผู้ที่เป็นหมอเหยาเท่านั้นจึงจะมีหิ้งผี หิ้ง ผีจึงเป็นสัญลักษณ์ของหมอเหยา เมื่อมีการอพยพหมอเหยาจะสะ พายหิ้งผีหมอไปด้วยเสมอ (สัมภาษณ์นาย สมลี อาจวิชัย, 9 มีนาคม 2552) จนเมื่อเข้ามาตั้งหลักแหล่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีความ มั่นคงในถิ่นที่อยู่แล้ว หิ้งผีจึงเปลี่ยนมาท าจากไม้ยอ หิ้งผี เป็นที่อยู่ของผีไท้ผีแถนและผีเชื้อผีมูล หมอเหยาน าหิ้งผีไปไว้ที่ห้องของตนเองเพื่อความสะดวกใน การบูชา หมอเหยาที่ได้รับการถ่ายทอดอ านาจศักดิ์สิทธิ์ โดยผ่านพิธีเหยาคุมผีออก จะสามารถมีหิ้งผีได้ทุกคน เพราะหิ้งผีเป็นสัญลักษณ์ของหมอเหยา เมื่อแม่เมืองเชิญวิญญาณผีเข้าร่างทรงของหมอเหยาใหม่แล้ว สัญลักษณ์อีกอย่างหนึ่งที่จะท าให้รับรู้ว่า เป็นหมอเหยาอย่างสมบูรณ์แบบคือ "การรับหิ้งผี" พิธีกรรมนี้ทางญาติและหมอเหยาใหม่จะเป็นผู้จัดท า หิ้งผี จะต้องท าจากไม้ขอเท่านั้นใช้ไม้อื่นไม่ได้ การใช้ไม้ขอท าทิ้งเพราะไม้ยอเป็นไม้ที่อยู่ในป่ามีกลิ่นหอม ยิ่งเมื่อทา ด้วยขมิ้นยิ่งมีสีเหลืองและกลิ่นหอม แม่เมือง(หมอเหยาที่ท าการรักษาผู้ป่วยหายแล้ว และต่อ ไปผู้ป่วยจะ เรียกว่า แม่เมือง) จะเป็นผู้เชิญผีในตัวของลูกเมือง (ผู้ป่ายที่เปลี่ยนสถานะของตนเองเป็นหมอเหยา ) แลผีของ แม่เมืองให้มาสถิตอยู่ในหิ้งผีของลูกเมือง จากนั้นก็จะเป็นผู้ประกอบพิธีพาหิ้งผีของลูกเมืองไปไว้บนบ้านของลูก เมือง ซึ่งเป็นการยกผีขึ้นเรือน เมื่อหาที่แขวนหิ้งผีได้แล้ว เครื่องคาย เช่น เทียนงา เทียนลึม เงินลาด และ เครื่องเล่นต่างๆ จะถูกน ามาเก็บไว้บนหิ้งผีเช่นกัน ความส าคัญของหิ้งผีต่อหมอเหยาเห็นได้จาก พิธี"เลียบหิ้งผี" ซึ่งเป็นการขอพลังอ านาจจากผีไห้ผีแถน และผีบรรพบุรุษที่อยู่บนหิ้งผีเพื่อปกปักรักษาหมอเหยาและสมาชิกในครอบครัวให้มีความอยู่ดีมีสุข อันเป็น


สัญลักษณ์ของการขัดเกลาและเรียนรู้ให้หมอเหยาใหม่จดจ าฮีตประเพณีของตนเอง หลังจากเลี้ยงผีประจ าปี เสร็จแล้วจะต้องท าพิธีเลียบหิ้งผี 3 ครั้ง ในวันขึ้น3 ค่ าของแต่ละเดือนจนครบ 3 เดือน การเลียบหิ้งยังเป็นบท ทดสอบความแม่นย าของการเรียนรู้ขั้นตอน องค์ประกอบของพิธีกรรมเหยารักษาโรคของหมอเหยาใหม่ เพราะ เมื่อแม่เมืองออกไปรักษาโรค ลูกเมืองจะต้องเป็นผู้ช่วยบอกขั้นตอนและองค์ประกอบของพิธีกรรม นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างความมั่นใจในการออกไปรักษาโรค การที่ทิ้งผีต้องท าจากไม้ยอซึ่งเป็นไม้มงคลย่อมแสดงให้เห็น ความศักดิ์สิทธิ์ของหิ้งบูชา หิ้งผี เป็นสัญลักษณ์ของหมอเหยา เพราะบนหิ้งผีนอกจากจะเป็นบ้านของผีแล้วเครื่องเล่นผี ที่น ามา จากพิธีเลี้ยงผีจะน ามาไว้ที่หิ้งผี หมอเหยาเชื่อว่าสิ่งของที่ผ่านพิธีกรรม จะมีวิญญาณของผีสถิตอยู่เป็นของ ศักดิ์สิทธิ์ ไม่สามารถจะให้คนนอกเข้ามาแตะต้องได้ถ้ไม่ได้รับอนุญาตจากหมอเหยาเสียก่อน มิเช่นนั้นจะเกิด อาการต่าง ๆ ขึ้นทันที เช่น เกิดการเจ็บป่วย ปวดท้อง ปวดหัวทันที หิ้งผีจึงเป็นสิ่งแทนหมอเหยาหรือเป็นชีวิต ของ หมอเหยา 3.2.4 “ของรักษา” กับหมอเหยา “ของรักษา” โดยทั่วไปหมายถึงอ านาจเหนือธรรมชาติที่คอยคุ้มครองรักษาชีวิตของสมาชิกใน ครอบครัว ให้มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ตลอดจนอยู่ดีมีสุข และเป็นศูนย์รวมเพื่อยึดเหนี่ยวทางจิตใจกับสมาชิก ในครอบครัว ( สมใจ ศรีหล้า,2535:75) “ของรักษา” ในความหมายของชาวผู้ไท หมายถึง วิญญาณของบรรพบุรุษที่เคยเป็น หมอเหยา หรือผู้ ที่มีเวทมนตร์คาถา เมื่อเสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณบรรพบุรุษเหล่านี้จะวนเวียนให้ความคุ้มครองแก่ลูกหลานของ ตน ให้มีความปลอดภัยและมีความสุข ดังนั้นหมอเหยาจะท าพิธีเชิญวิญญาณของรักษาเหล่านี้ขึ้นไปไว้บนหิ้งผี ของรักษาจะมีเฉพาะตระกูลที่เป็นหมอเหยาเท่านั้น ส าหรับคนทั่วไปต้องเข้าขอความคุ้มครองจากหมอเหยา เมื่อพวกเขาต้องเดินทางไปต่างถิ่นเพื่อท ากิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ไปค้าขาย ไปท างาน หรือไปศึกษาเล่า เรียน จะต้องให้หมอเหยาบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่บนหิ้งผีให้ช่วยคุ้มครองพวกเขาให้มีความปลอดภัยจากสิ่ง ที่จะมาท าอันตราย ของรักษาของชาวผู้ไทจึงเป็นวิญญาณผีบรรพบุรุษซึ่งเป็นของรักษาประจ าครอบครัวซึ่งจะดูแลบุคคล ในกรอบครัวและบริวารให้มีความสุข ของรักษาประเภทนี้สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น คือสืบทอดจากพ่อแม่มาสู่รุ่น ลูกหลานนับถือตามไปด้วย แม้แต่ผู้ที่เข้ามาเป็นสมาชิกในครอบครัวใหม่ก็ต้องนับถือของรักษาตามกันไปด้วย หมอเหยาเป็นผู้ดูแลของรักษาประจ าครอบครัวเป็นผู้ที่คอยบอกกล่าวแก่ของรักษาเมื่อบริวารน าหมากพลู และ บุหรี่มาท าความเคารพในวันพระทั้งขึ้นและแรม 8 ค่ าและ 15 ค่ า ชาวผู้ไทที่ไปรับการรักษาโรคจากหมอเหยา (แม่เมือง) ต้องอยู่ภายใต้ความคุ้มครองจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรือของรักษาของหมอเหยา ถ้าหมอเหยาคนใดมีของรักษาแก่กล้าก็จะได้รับความเชื่อมั่นจากคนป่วย ดังนั้นทั้ง ลูกเมืองและลูกเลี้ยงก็อยู่ในเครือข่าย "ของรักษา" ของแม่เมืองโคขเฉพาะลูกเมืองต้องมอบทั้งกาขและใจในการ ให้ความเคารพแก่แม่เมืองอย่างจริงใจ ถือว่าเป็นการให้ความเการพของรักษา การท าผิดจนท าให้เกิดความ เจ็บป่วยขึ้นนั้น ชาวผู้ไทจะบอกว่าเป็นเพราะท าผิดของรักษา จึงถูกอ านาจเหนือธรรมชาตินั้นลงโทษ ส่วน ลูกเลี้ยงก็ต้องให้ความเการพแก่ของรักษาของแม่เมืองเช่นเดียวกับลูกเมือง แต่ความเข็มแข็งดูจะน้อยกว่าลูก


เมือง เพราะถูกเลี้ยงสามารถที่จะออกจากการดูแลของแม่เมืองได้เสมอ เมื่อพวกเขาและครอบครัวรู้สึกว่าผีของ แม่เมืองไม่ศักดิ์สิทธิ์และเข้มแข็งพอ 3.2.5 การเรียนรู้เวทมนต์ คาถา ของหมอเหยา เวทมนตร์ คาถา เป็นวิชาความรู้อย่างหนึ่งที่หมอเหยาทุกคนจะต้องมีติดตัวเวทมนตร์ คาถา เป็น ถ้อยค าอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะต้องใช้ในพิธีกรรมเหยา เวทมนตร์ยังใช้ป้องกับอันตรายต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นแก่ตนเอง นอกจากนี้ผู้ที่มีเวทมนตร์คาถา เป็นผู้ที่คนทั่วไปให้ความเคารพนับถือในการรักษาโรค หมอเหยาจะต้อง บริกรรมคาถาหรือเวทมนตร์เพื่อเชิญผีให้ลงมา ในพิธีเหยารักษาโรคและพิธีเหยาเลี้ยงผี สิ่งที่หมอเหยาเลือกใช้ติดต่อสื่อสารกับผีคือ "เวทมนตร์" ดังนั้นเวทมนตร์จึง จึงเป็นเครื่องมือสื่อสารที่มีความจ าเป็นอย่างยิ่งส าหรับหมอเหยาที่จะสื่อสารกับวิญญาณผี นอกจากนี้ หมอเหยาที่ผ่านพิธีคุมผีออกและจัดพิธีเลี้ยงผี พร้อมกับมีหิ้งผีประจ าตัวเองแล้ว จะมีความชอบ ธรรมในการเป็นหมอเหยา และเรียกตนเองว่า "ลูกเมือง"เพราะต่อไปจะต้องเรียนวิชาความรู้จากแม่เมือง (หมอ เหยาที่มารักษาอาการป่วยให้หาย) สิ่งเหล่านี้จะไม่มีการสอนกันในห้องเรียน ลูกเมืองจะต้องมีหน้าที่ในการ จดจ า เวทมนตร์คาถา ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์ในพิธีกรรมเหยารักษาโรค และพิธีเหยาเลี้ยงผีประจ าปี ซึ่งเป็น พิธีกรรมส าคัญของหมอเหยา การเรียนรู้เวทมนตร์ของหมอเหยาต้องเรียนรู้ด้วยการลงมือปฏิบัติจริง จะต้องจดจ าและท่องจ า จากปากของแม่เมืองในขณะประกอบพิธีกรรม เวทมนตร์จึงไม่มีการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร และไม่มีการ เรียนการสอนอยู่ในห้องเรียน หมอเหยาจะต้องท่องและจดจ า เรียนรู้และสังเกตจากแม่เมืองของตนเองเมื่อ เวลาไปเหยารักษาโรคและเลี้ยงผีร่วมกับแม่เมืองตนเองกระบวนการเรียนรู้เวทมนตร์เกิดขึ้นเมื่อแม่เมืองติดต่อ กับผี ลูกเมืองต้องจดจ าบทบาทของแม่เมืองทุกอย่างโดยเฉพาะอย่างยิ่งบทสวดต่าง ๆ จนท่องจ าให้ขึ้นใจ เพราะทั้งแม่เมืองและลูกเมืองต่างก็รู้ว่า “เมื่อผีทางเทิงเข้าสิงร่างหมอแล้ว เวทมนตร์กาถาต่าง ๆ จะออกมาเอง ตามต้องการ” ดังนั้นลูกเมืองจึงต้องคอยสังเกตและท่องจ าเวทมนตร์ที่ออกจากปากแม่เมือง แต่ถ้าจดจ าไม่ได้ เมื่อสิ้นสุดพิธีกรรม ลูกเมืองสามารถสอบถามบทสวดที่ตนเองท่องจ าไม่ได้เป็นบางตอน แต่จะไม่สามารถ สอบถามได้ทั้งหมดเพราะเป็นข้อ “ขะล า” การเรียนรู้เวทมนตร์มีปัญหามากส าหรับหมอเหยา เพราะบางคนถึงกับไม่ต้องการเป็นหมอเหยา เนื่องจาก หมอเหยาส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงที่จบเพียงการศึกษาภาคบังคับ หรือบางคนไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ อย่างไรก็ตามบทบาทของหมอเหยาได้ถูกก าหนดให้ท าหน้าที่ดูแลรักษาผู้ป่วย เวทมนตร์คาถา การฟ้อนร า จึง เป็นส่วนส าคัญในฮีตประเพณีของหมอเหยาที่ต้องปฏิบัติและท าการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นสืบต่อมา ลูกเมืองที่มีความเก่งกล้าและช านาญในการเหยา จะใช้เวทมนตร์อย่างคล่องแคล่วจากการสังเกต ในพิธีเหยารักษาโรค และพิธีเหยาเลี้ยงผี หมอเหยาท่องเวทมนตร์คาถาด้วยความคล่อง หมอเหยาคนหนึ่งบอก ว่า “เมื่อผีทางเทิงเข้าสิงแล้ว บทสวดเชิญผีหรือเวทมนตร์จะใช้ออกมาอย่างไม่รู้จบ มันจะออกมาเอง” เวท มนตร์ที่หมอเหยาใช้เป็นภาษาผู้ไท ความยาวหรือสั้นขึ้นอยู่กับขั้นตอนของพิธีกรรม เช่น ในพิธีเหยาเลี้ยงผี ขั้นตอนการเชิญผีลงคาถาจะยาว ส่วนขั้นตอนอื่น ๆ จะสั้น


นอกจากจะไม่มีสอนเวทมนตร์ในพิธีเหยารักษาโรคและพิธีเหยาเลี้ยงผีประจ าปีแล้วลูกเมืองจะต้อง เรียนรู้และจดจ าทั้งขั้นตอนและองค์ประกอบในพิธีกรรม ดังนั้นพิธีกรรมจึงเปรียบได้กับห้องเรียนห้องหนึ่งที่ ประกอบด้วยครู นักเรียน และพี่เลี้ยง เนื่องจากพิธีกรรมเหยาประกอบด้วยขั้นตอนและองค์ประกอบมากมาย ลูกเมืองที่ได้ติดตามแม่เมืองไปท าพิธีเหยา และเข้าร่วมในพิธีเหยาเลี้ยงผีอยู่เป็นประจ า จะจดจ าขั้นตอนและ องค์ประกอบต่างๆ ได้ ซึ่งจะต่างจากลูกเมืองที่ไม่ได้ติดตามแม่เมืองไปประกอบพิธีกรรมบ่อยครั้ง 3.2.6 ข้อปฏิบัติเมื่อเป็นหมอเหยา เมื่อผู้ป่วยผ่านพิธีเหยาคุมผีออก และได้หิ้งเป็นของตนเองแล้วก็ถือว่าเป็นหมอเหยาอย่างสมบูรณ์ มีความชอบธรรมในการออกรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วย เมื่อมีผู้ป่วยมาร้องขอให้รักษา ในการรักษาโรคครั้งแรกคู่ คาย 3 คายแรกจะต้องยกให้กับแม่เมือง เพราะแม่เมืองจะเป็นพี่เลี้ยงในการเหยา หลังจากนั้นหมอเหยาจะมี หน้าที่และบทบาทตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับผีทุกประการ หมอเหขาจะต้องปฏิบัติตัวตามข้อก าหนดหรือฮีตคองที่ ก าหนดขึ้นจากบรรพบุรุษ ข้อปฏิบัติของหมอเหยาส่วนใหญ่จะเป็นข้อห้ามหรือเรียกว่า “ข้อขะล า” ซึ่งหมอ เหยาทุกคนต้องปฏิบัติตามถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีผลต่าง ๆ ตามมาอย่างคาดไม่ถึง หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตก็ได้ ข้อ ปฏิบัติของ หมอเหยา ได้แก่ ข้อขะล าเกี่ยวกับอาหาร และข้อขะล าเกี่ยวกับการปฏิบัติตัวดังต่อไปนี้ 1) ข้อขะล าเกี่ยวกับอาหาร - ไม่กินอาหารมังสัง 10 อย่าง ได้แก่ เขียดนา งู สุนัข ปลาไหล เสือ ช้าง ลิงม้า แมว และนกเค้า แมว เพราะถ้ากินเข้าไปแล้วจะมีผลทันที เช่นท าให้ผีไม่พอใจ เกิดการเจ็บป่วยเรื้อรังโดยไม่ทราบสาเหตุ และที่ ร้ายแรงที่สุดคือจะเกิดข่าวลือว่าหมอเหยาคนนั้นเป็นผีปอบ ซึ่งท าให้หมอเหยาอับอาย บางรายถึงกับเลิกเป็น หมอเหยา และถึงแก่กรรมในเวลาต่อมา - ไม่กินของตายซาก หมายถึงเนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารของมนุษย์ เมื่อสัตว์ดังกล่าวตายเนื้อจะน ามา ประกอบอาหาร แต่การตายของสัตว์นั้นมีหลายแบบ สัตว์ที่ตายโดยถูกสัตว์ใหญ่กว่าล่าแล้วน ามาเป็นอาหาร แต่เมื่อคนพบเข้าและน ามาปรุงเป็นอาหาร หมอเหยาเมื่อกินอาหารนี้เข้าไปจะเกิดอาการข้างเคียงขึ้นทันที นาง ดอน หมอเหยา เล่าให้ฟังว่า ญาติของนางที่เป็นหมอเหยาได้ไปกินไก่ที่ถูกแมวกัดแล้วน ามาปรุงอาหาร พอกลับ มาถึงบ้านถึงกับมีอาการน้ าลายฟูมปาก เวียนหัวทั้งวัน ต้องไปท าการขอขมาผี อาการจึงค่อยทุเลา นางดอนยัง เล่าไปอีกว่าเนื่องจากหมอเหยาเป็นผู้มีเวทย์มนต์คาถาจึงต้องมีความพิถีพิถันในเรื่องของอาหารเป็นอย่างยิ่ง -ไม่กินอาหารในบ้านที่มีศพ เมื่อหมอเหยาเข้าร่วมพิธีศพของญาติๆ หรือผู้ที่หมอเหยาให้ความ เคารพ ตามปกติหมอเหยาจะไม่ได้ไปร่วมงานศพ จะให้สมาชิกในบ้านไปร่วมงานตามธรรมเนียมของชาวผู้ไท เมื่อพระสวดเสร็จแล้ว เจ้าภาพจะน าข้าวปลาอาหารมาเลี้ยงญาติพี่น้องหรือแขกที่มาร่วมในพิธีรับประทาน มี ข้อปฏิบัติว่าห้ามหมอเหยารับปะทานอาหารในบ้านที่ศพอยู่ เพราะพลังอ านาจของผีที่อยู่ในตัวหมอเหยาจะ อ่อนแอลงเหตุผลที่ส าคัญคือเมื่อเหยารับประทานอาหารในบ้านที่มีศพตั้งอยู่จะกลัวว่าตนเอวจะกลายเป็นผี ปอบซึ่งเป็นความผิดที่ร้อยแรงมาก ดังนั้นหมอเหยาจะกลับมารับประทานอาหารที่บ้านตนเอง ยกเว้นเมื่อญาติ พี่น้องของคนตายน าศพไปเผาเรียบร้อยแล้ว หมอเหยาจึงรับประทานอาหารที่บ้านของคนตายได้


- ไม่กินไข่ที่อยู่ในเครื่องคาย เมื่อหมอเหยาไปรักษาโรคให้แก่ผู้ป่วย เมื่อผู้ป่วยหายจากโรคแล้ว หมอเหยาจะ “ปลดคาย” คือน าเครื่องคายที่อยู่บ้านผู้ป่วยกลับมาที่บ้านของหมอเหยา ไข่ไก่ดิบ ที่อยู่ในเครื่อง คาย “นางอ้อนางแพง” ที่ใช้ในการเสี่ยงทาย ดังนั้นไข่จึงมีวิญญาณของผีสิงอยู่ แต่เมื่อหมอเหยา “ปลดคายไ ไข่ไก่ดิบหรือ “นางอ้อนางแพง” หมอเหยาจะน ากลับมาด้วยหมอเหยาจะน าไข่มาท าเป็นอาหารและ รับประทานไม่ได้ เพราะจะท าให้พลังอ านาจในตัวอ่อนแอลง ต้องให้บุคคลอื่นน าไปประกอบอาหาร หาก ลูกหลานหรือญาติได้รับประทานไข่แล้ว ชาวผู้ไทเชื่อว่าวิญญาณผีสิ่งอยู่ในไข่จะช่วยคุ้มครองให้ปลอดภัยจาก อันตรายทั้งปวง และอยู่ดีมีสุข 2) ข้อขะล าเกี่ยวกับการปฏิบัติ - ไม่รักษาผู้ป่วยในวันขึ้นและแรม 8 ค่ า 15 ค่ า ชาวผู้ไทจะเรียกช่วงเวลาดังกล่าวว่า“เดือนลับ เดือนเข็ง” เนื่องจากในวันดังกล่าวผีจะไม่ลงทรงร่าง หมอเหยาบางคนบอกว่าช่วงเวลาดังกล่าวผีจะพักผ่อน หมอเหยาจะน าเครื่องบูชา ได้แก่ หมากพลู บุหรี่ คารวะผีที่ทิ้ง นอกจากนี้บรรดาลูกเลี้ยงซึ่งเป็นบริวารของหมอ เหยาก็จะน าเครื่องคารวะต่างๆมาการวะของรักษาที่อยู่กับแม่เมืองของตนเอง - การไปเหยารักษาโรคแต่ละครั้ง ไม่มีข้อห้ามว่าจะเหยามากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับผู้ป่วยที่จะมาหา หมอเหยาเพื่อไปรักษา ธรรมเนียมในการรักษาโรค การเหยา จะได้ครั้งละ 3 บาทจะรับมากกว่านั้นไม่ได้ และ ที่ส าคัญหมอเหยาจะไปเรียกร้องเงินค่ารักษาโรคจากญาติของผู้ป่ายอีกไม่ได้ ข้อปฏิบัติของกลุ่มหมอรักษาโรคแบบพื้นบ้านที่นับถืออ านาจเหนือธรรมชาตินั้น จะมีข้อ "จะล า"คล้าย ๆ กัน เช่น กลุ่มหมอล าผีฟ้าของกลุ่มวัฒนธรรมไทย-ลาวจะไม่รักษาผู้ป่วยในวันขึ้นและแรม 8 ค่ า 15 ค่ า มีเหตุผลว่าเพราะวันพระหรือวันศีลถือว่าเป็นวันพักผ่อนของผีฟ้าจะไม่ลงเทียมร่างเด็ดขาดส่วนข้อขะล ล าในด้านอาหารนั้น อาหาร มังสัง 10อย่าง (เนื้อสัตว์) จะถูกห้ามทุกกลุ่มเช่นกลุ่มของหมอธรรม ซึ่งเป็นหมอ รักษาโรคพื้นบ้านที่เกิดจากการกระท าของผี ก็ห้ามกินอาหารประเภทนี้(สมใจ ศรีหล้า, 2535 : 73) เมื่อมีข้อห้ามหรือ "ขะล า" หมอเหยาทุกคนจะต้องปฏิบัติตามฮีตของหมอให้ได้ ถ้าไม่ปฏิบัติแล้วก็จะมี ผลที่เกิดตามมา เช่น จะท าให้หมอเหยานั้นเกิดการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ รักษาไม่หาย หรือการเจ็บป่วย อาจจะเกิดกับบุคคลที่อยู่ในครอบครัว หรือถึงขั้นร้ายแรงคือหมอเหยาจะกลายเป็นผีปอบไปสิงสู่กินตับไตของ ชาวบ้าน


สรุปผลการศึกษา วิธีการรักษาความเจ็บป่วยในรูปแบบ หมอพื้นบ้านลักษณะนี้ จะพบได้ในวิถีชีวิตของ คนที่อยู่ใน ชนบท และความเจริญทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ยังเข้าไปไม่มากนัก จากการศึกษาพบ ว่าหมู่บ้านนาตาล ยังคงมี วิถีชีวิตแบบชนบท พิธีเหยาจะเป็นพิธีกรรมที่ได้รับการยอมรับและเชื่อว่าสามารถรักษาผู้ป่วยที่หมดทางรักษา จากโรงพยาบาลได้ พิธีกรรมเหยาจึงถือเป็นการรักษาอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ให้ความหวังและก าลังใจทั้งแก่ตัว ผู้ป่วยเองและ ญาติ แม้ว่าในปัจจุบันการแพทย์มีความเจริญยก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น แต่ความเชื่อนี้ก็ยังคงอยู่ในวิถี ชีวิตของชาวผู้ไท.จากการศึกษาความเชื่อในการใช้พิธีเหยา เพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยของชาวผู้ไทยใน ต าบล โนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร พบว่า ชาวผู้ไทต าบลโนนยาง ยังคงมีความเชื่อ ในเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หรืออ านาจเหนือธรรมชาติจะประกอบพิธีเหยาเพื่อรักษาอาการเจ็บปวยของชาวภูไท ซึ่งใช้แคนในการบรรเลง เช่นกัน มูลเหตุที่ต้องมีการเหยามาจากสภาพสังคมดั้งเดิมของชาวไทยที่ไม่มีสถานพยาบาลรับรองความ เจ็บป่วย ก่อให้เกิดความจ าเป็นที่ชาวไทยต้องดิ้นรนหาที่พึ่งยามเจ็บไข้ได้ป่วย ส่วนใหญ่นั้นใช้สมุนไพรพื้นบ้านที่ มีในท้องถิ่นในการรักษาและดูแลสุขภาพ ในอดีตการรักษาโรคภัยไข้เจ็บจ าเป็นต้องอาศัยผีเป็นผู้วินิจฉัยโรค บอกวิธีรักษา ในปัจจุบันแม้มีการแพทย์แผนใหม่ที่สามารถวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง แต่โรคบางโรคหรืออาการบางอย่าง รักษาไม่หาย ผู้ป่วยที่ไม่มีที่พึ่งจึงจ าเป็นต้องพึ่งพิธีกรรม อย่างน้อยจะท าให้จิตใจผู้ป่วยดีขึ้น จึงจัดเป็นพิธีกรรม ที่สร้างขวัญและก าลังใจกับผู้ป่วยเป็นหลัก เมื่อผู้ป่วยอยู่ในวาระสุดท้ายของชีวิตหรือผู้ป่วยหายจากโรคและ อาการเจ็บป่วยก็จะท าพิธีการเหยา ผู้ที่ท าพิธีการเหยาเรียกว่า หมอเหยาเป็นผู้ที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษโดย ปู่ย่า ตายาย แม่ เป็นหมอเหยามาก่อนลูกก็จะสืบทอดการเป็นหมอเหยา แต่ในปัจจุบันนี้การสืบทอดการเป็น หมอเหยานั้นได้เลือนหายไปจากสังคมของกลุ่มชาติพันธุ์ผู้ไทยไปแล้ว ยังเหลือแต่หมอเหยาที่เป็นผู้อาวุโสของ ชุมชนเท่านั้น และการประกอบพิธีกรรมเหยายังคงเหลือให้เห็นเพียงแต่บางชุมชนเท่านั้น เนื่องจากสังคม สมัยใหม่ได้เขามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงขนบธรรมเนียมประเพณีบางอย่างของชาวผู้ไทย ทั้งนี้ การเหยา เป็นการติดต่อสื่อสารของมนุษย์และวิญญาณ ซึ่งการติดต่อสื่อสารจะใช้ท่วงท านองของดนตรีหรือที่ชาวผู้ไทย เรียกว่า กลอนล า (หมอล า) มีเครื่องดนตรีประเภทแคนประกอบการให้จังหวะ วิธีการติดต่อสื่อสาร กลอนล า และท านอง เรียกว่า การเหยา


ประโยชน์ที่ได้รับจากการศึกษา 1.ได้ศึกษาประวัติความเป็นอยู่ของชาวต าบลโนนยาง อ าเภอหนองสูง จังหวัดมุกดาหาร 2.ได้ศึกษาวัฒนธรรมประเพณี และพิธีกรรมเหยา 3.ได้ทราบประวัติความเป็นมาของพิธีกรรมเหยา 4.ได้รู้จักองค์ประกอบของพิธีกรรมเหยาและได้รู้จักวิถีชีวิตความเชื่อของคนไทยในสมัยก่อนและปัจจุบัน 5.ได้ฝึกวิธีการหาข้อมูลและคัดกรองข้อมูลหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพ 6.ได้รู้จักความเป็นอยู่ของชาวภูไท ในต าบลโนนยาง


การอ้างอิง กระทรวงวัฒนธรรม. (ม.ป.ป.). พิธีกรรมเหยา. เรียกใช้เมื่อ 8 กันยายน 2566 จาก http://www.mculiture.go.th /ilovethicure/indexp. ทรงคุณ จันทจร. (2540). การรักษาผู้ป่วยด้วยวิธีเหยาของชาวผู้ไทย. พิธีกรรมเหยาชาวผู้ไทย จังหวัด สกลนคร. เรียกใช้เมื่อ 7 กันยายน 2566 ธัญญลักษณ์ ไชยสุข มูลเลอรุพ. (2551). วิถีชีวิตการดูแลสุขภาพของชาวภูไท. หมอเหยา. เรียกใช้เมื่อ 7 กันยายน 2566 นางสุด อุทโท. (15 สิงหาคม 2554). นักแสดงในพิธีกรรมเหยา. (อ๋อม คนดนตรี, ผู้สัมภาษณ์) ประภากร แก้วพรรณา. (2544). การจัดการความรู้ภูมิปัญญาท้องถิ่น(พิธีกรรมเหยา). เรียกใช้เมื่อ 7 กันยายน 2566


Click to View FlipBook Version