ห้องเรียนวรรณกรรม ครุศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการสอนภาษาไทย มจร.วิทยาเขตขอนแก่น ปริทัศน์วรรณกรรม นิราศภูเขาทอง
รายงาน เรื่อง นิราศภูเขาทอง จัดทำโดย นางสาวศุภวรรณ อะเวลา รหัสนิสิต ๖๕๐๕๕๐๒๐๒๖ สาขาวิชาการสอนภาษาไทย คณะครุศาสตรบัณฑิต เสนอโดย พระมหาอธิวัฒน์ ภทฺรกวี พระอาจารย์ประจำรายวิชาวรรณกรรมไทยปริทัศน์ ภาคเรียนที่๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๖ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตขอนแก่น
คำนำ รายงานเล่มนี้ เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชาวรรณกรรมไทยปริทัศน์โดยมีเนื้อหาประวัติความ เป็นมานิราศภูเขาทอง มีจุดประสงค์ในการแต่ง บทวิเคราะห์คุณค่าด้านเนื้อหาและด้านวรรณศิลป์ทำ ให้ผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องนิราศภูเขาทองนั้นเกิดความเข้าใจ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ที่สนใจศึกษา ผู้จัดทำจึงได้ทำเนื้อหาที่เข้าใจง่ายทันสมัย ผู้จัดทำหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานเล่มนี้ จะช่วยพัฒนาผู้ที่สนใจจะศึกษาได้เต็มศักยภาพ นางสาวศุภวรรณ อะเวลา ผู้จัดทำ
ประวัติผู้แต่ง พระสุนทรโวหาร นามเดิม ภู่ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สุนทรภู่ (26 มิถุนายน พ.ศ. 2329 – พ.ศ. 2398) เป็นอาลักษณ์ชาวไทยที่มีชื่อเสียงเชิงกวี เขาได้รับยกย่องเป็น เชกสเปียร์แห่งประเทศไทยเกิด หลังจากตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ได้ 4 ปี และได้เข้ารับราชการเป็นอาลักษณ์ราชสำนักในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อสิ้นรัชกาลได้ออกบวชเป็นเวลาร่วม 20 ปี ก่อนจะกลับ เข้ารับราชการอีกครั้งในปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเป็นอาลักษณ์ใน สมเด็จเจ้าฟ้าจุฑามณี กรมขุนอิศเรศรังสรรค์ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้เลื่อนตำแหน่งเป็น พระสุนทร โวหาร เจ้ากรมอาลักษณ์ฝ่ายพระราชวังบวร ซึ่งเป็นตำแหน่งราชการสุดท้ายก่อนสิ้นชีวิต สุนทรภู่เป็นกวีที่มีความชำนาญทางด้านกลอน ได้สร้างขนบการประพันธ์กลอนนิทานและกลอน นิราศขึ้นใหม่จนกลายเป็นที่นิยมอย่างกว้างขวางสืบเนื่องมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ผลงานที่มีชื่อเสียง ของสุนทรภู่มีมากมายหลายเรื่อง เช่น นิราศภูเขาทอง นิราศสุพรรณ เพลงยาวถวายโอวาท กาพย์พระ ไชยสุริยา และ พระอภัยมณีเป็นต้น โดยเฉพาะเรื่อง พระอภัยมณีได้รับยกย่องจากวรรณคดีสโมสร ว่าเป็นยอดของวรรณคดีประเภทกลอนนิทาน และเป็นผลงานที่แสดงถึงทักษะ ความรู้ และทัศนะของ สุนทรภู่อย่างมากที่สุด งานประพันธ์หลายชิ้นของสุนทรภู่ได้รับเลือกให้เป็นส่วนหนึ่งในหลักสูตรการ เรียนการสอนนับแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน เช่น กาพย์พระไชยสุริยา นิราศพระบาท และอีกหลาย ๆ เรื่อง ปี พ.ศ. 2529 ในโอกาสครบรอบ 200 ปีชาตกาล สุนทรภู่ได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโกให้ เป็นบุคคลสำคัญของโลกด้านงานวรรณกรรม ผลงานของสุนทรภู่ยังเป็นที่นิยมในสังคมไทยอย่าง ต่อเนื่องตลอดมาไม่ขาดสาย และมีการนำไปดัดแปลงเป็นสื่อต่าง ๆ เช่น หนังสือการ์ตูน ภาพยนตร์ เพลง รวมถึงละคร มีการก่อสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ไว้ที่ตำบลกร่ำ อำเภอแกลง จังหวัดระยอง บ้าน เกิดของบิดาของสุนทรภู่ และเป็นที่กำเนิดผลงานนิราศเรื่องแรกของท่านคือ นิราศเมืองแก ลง นอกจากนี้ยังมีอนุสาวรีย์แห่งอื่น ๆ อีก เช่น ที่วัดศรีสุดาราม ที่จังหวัดเพชรบุรี และจังหวัด นครปฐม วันเกิดของสุนทรภู่คือวันที่ 26 มิถุนายนของทุกปี ถือเป็น วันสุนทรภู่ซึ่งเป็นวันสำคัญด้าน วรรณกรรมของไทย มีการจัดกิจกรรมเชิดชูเกียรติคุณและส่งเสริมศิลปะการประพันธ์บทกวีจาก องค์กรต่าง ๆ โดยทั่วไป
ประวัติความเป็นมาของนิราศภูเขาทอง ผู้แต่งนิราศภูเขาทองคือ สุนทรภู่ แต่งขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๓ ในรัชสมัยของ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๓ หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่๒ สวรรคตได้ ๖ ปี สุนทรภู่ได้แต่งขึ้นในขณะที่บวชเป็นพระภิกษุอยู่ที่วัดราชบูรณะหรือเรียก อีกชื่อหนึ่งว่าวัดเลียบ นิราศภูเขาทอง เป็นนิราศที่มีเนื้อหาสั้นที่สุดของสุนทรภู่ คือมีความยาวเพียง ๑๗๖ คำกลอนเท่านั้น จุดประสงค์ในการแต่งนิราศภูเขาทอง เพื่อบอกเล่าการเดินทางของสุนทรภู่เอง โดยเป็นการเดินทางจากวัดราชบูรณะไปนมัสการพระ เจดีย์ภูเขาทองที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาเหตุที่ต้องเดินทางไปกราบพระเจดีย์ภูเขาทองในครั้งนั้น ก็เพื่อหาความสบายใจให้แก่ตนเอง เนื่องจากได้รับความเดือดเนื้อร้อนใจบางประการในขณะที่พำนัก อยู่ที่วัดราชบูรณะ ลักษณะคำประพันธ์ นิราศภูเขาทองมีลักษณะเป็นกลอนนิราศ โดยทั่วไปกลอนนิราศมีลักษณะเหมือนกลอนแปด แต่มักเริ่มบทแรกด้วยวรรครับไม่เริ่มด้วยวรรคสดับ จึงเหลือเพียง ๓ วรรค แล้วจบท้ายด้วยคำว่า เอย โดยไม่มีการจำกัดความยาว
บทวิเคราะห์ : คุณค่าด้านเนื้อหา สะท้อนสภาพบ้านเมืองและสังคม (การติดต่อค้าขาย) “ไปพ้นวัดทัศนาริมท่าน้ำ แพประจำจอดรายเขาขายของ มีแพรผ้าสารพัดสีม่วงตอง ทั้งสิ่งของขาวเหลืองเครื่องสำเภา” ภาพการค้าขายที่ดำเนินไปอย่างคึกคัก มีการนำสินค้าหลากหลายประเภทที่บรรทุกมากับเรือสำเภา มาวางขายในแพที่จอดเรียงรายอยู่ตามแม่น้ำ “ถึงแขวนนนท์ชลมารคตลาดขวัญ มีพ่วงแพแพรพรรณเขาค้าขาย ทั้งของสวนล้วนเรืออยู่เรียงราย พวกหญิงชายประชุมกันทุกวันคืน” เมื่อเดินทางผ่านถึงตลาดขวัญก็เห็นภาพการค้าขาย หรือการจับจ่ายสินค้าหลากหลายชนิด ทั้งเสื้อผ้า และพืชผลต่างๆ อยู่บนเรือมากมายหลายลำและตลาดแห่งนี้ยังเป็นสถานที่สำหรับพบปะพูดคุยกันของ ชาวบ้านอีกด้วย สะท้อนสภาพบ้านเมืองและสังคม (ชุมชนชาวต่างชาติ) “ถึงเกร็ดย่านบ้านมอญแต่ก่อนเก่า ผู้หญิงเกล้ามวยงามตามภาษา เดี๋ยวนี้มอญถอนไรจุกเหมือนตุ๊กตา ทั้งผัดหน้าจับเขม่าเหมือนชาวไทย” กล่าวถึงหญิงสาวชาวมอญ ซึ่งอาศัยอยู่ในย่านปากเกร็ด (เขตจังหวัดนนทบุรี) ในสมัยนั้น นิยมแต่งหน้า และทำผมตามอย่างหญิงสาวชาวไทย “ถึงบ้านญวนล้านแต่โรงแลสะพรั่ง มีข้องขังกุ้งปลาไว้ค้าขาย ตรงหน้าโรงโพงพางเขาวางราย พวกหญิงชายพร้อมเพรียงมาเมียงมอง” การประกอบอาชีพของชาวต่างชาติ ในช่วงที่สุนทรภู่เดินทางผ่าน “บ้านญวน” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าชาว ญวนในสมัยนั้นเลี้ยงชีพด้วยการทำประมง
สะท้อนสภาพบ้านเมืองและสังคม (การละเล่นและงานมหรสพ) “มาจอดท่าหน้าวัดเมรุข้าม ริมอารามเรือเรียงเคียงขนาน บ้างขึ้นล่องร้องรำเล่นสำราญ ทั้งเพลงการเกี้ยวแก้กันแซ่เซ็ง บ้างฉลองผ้าป่าเสภาขับ ระนาดรับรัวคล้ายกับนายเส็ง มีโคมรายแลอร่ามเหมือนสามเพ็ง เมื่อคราวเคร่งก็มิใคร่จะได้ดู” งานฉลองผ้าป่าทีวัดพระเมรุ มีการประดับประดาโคมไฟ แลดูสว่างไสวไปทั่วบริเวณงาน และยังมีการ ขับเสภาและร้องเพลงเรือเกี้ยวกันระหว่างหนุ่มสาวชาวบ้าน ตำนานสถานที่ “ถึงอารามนามวัดประโคนปัก ไม่เห็นหลักลือเล่าว่าเสาหิน เป็นสำคัญปันแดนในแผ่นดิน มิรู้สิ้นสุดชื่อที่ลือชา” “วัดประโคนปัก” สุนทรภู่ได้บอกเล่าเรื่องราวอันเป็นที่มาของชื่อวัดแห่งนี้ว่าเหตุที่วัดมีชื่อว่าประโคน ปัก เนื่องจากมีการเล่าสืบต่อกันมาว่าบริเวณนี้ที่ปักเสาประโคนเพื่อปันเขตแดน ความเชื่อในพระพุทธศาสนา “ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย” กล่าวถึงศีลข้อห้า ไม่ดื่มสุราและของมึนเมา โดยสุนทรภู่ได้กล่าวไว้ว่า เมื่อถึงโรงเหล้าเห็นควันลอย ออกมาจากเตากลั่นมากมาย มีเครื่องตักน้ำเป็นคันไม้ยาวถูกแขวนไว้ปลายเสาเหล้าสุราเป็นน้ำจาก นรกที่คอยกัดกินจิตใจให้ร้อนรุ่ม ให้เราหลงมัวเมาเหมือนกับคนบ้า
ความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ “ถึงหน้าวังดังหนึ่งใจจะขาด คิดถึงบาทบพิตรอดิศร โอ้ผ่านเกล้าเจ้าประคุณของสุนทร แต่ปากก่อนเคยเฝ้าทุกเช้าเย็น พระนิพพานปานประหนึ่งศีรษะขาด ด้วยไร้ญาติยากแค้นถึงแสนเข็น ทั้งโรคซ้ำกำซัดวิบัติเป็น ไม่เล็งเห็นที่ซึ่งจะพึ่งพา จะสร้างพรตอุตส่าห์ส่งส่วนบุญถวาย ประพฤติฝ่ายสมถะทั้งวสา เป็นสิ่งของฉลองคุณมุลิกา ขอเป็นข้าเคียงพระบาททุกชาติไปฯ”
บทวิเคราะห์ : คุณค่าด้านวรรณศิลป์ สัมผัสอักษร “ดูน้ำวิ่งกลิ้งเชี่ยวเป็นเกรียวกรอก กลับกระฉอกฉาดฉัดฉวัดเฉวียน บ้างพลุ่งพลุ่งวุ้งวนเหมือนกงเกวียนอดูเปลี่ยนเปลี่ยนคว้างคว้างเป็นหน่วงวน” บทประพันธ์ข้างต้น เป็นการเล่าเสียงพยัญชนะของคำท้ายวรรค ทำให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพและเกิด ความไพเราะในบทประพันธ์ สัมผัสสระ “ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา โอ้บาปกรรมน้ำนรกเจียวอกเรา ให้มัวเมาเหมือนหนึ่งบ้าเป็นน่าอาย ทำบุญบวชกรวดน้ำขอสำเร็จ สรรเพชรโพธิญาณประมาณหมาย ถึงสุราพารอดไม่วอดวาย ไม่ใกล้กลายแกล้งเมินก็เกินไป” ความเปรียบเทียบลึกซึ้งกินใจ “เมื่อเคราะห์ร้ายกายเราก็เท่านี้ ไม่มีที่พสุธาจะอาศัย ล้านหนามเหน็บเจ็บแสบคับแคบใจ เหมือนนกไร้รังเร่อยู่เอกา” สุนทรภู่ยังใช้ความเปรียบแบบ อุปมาโวหาร คือคำว่า เหมือน โดยเปรียบตนเองเหมือนนกที่ต้อง (บิน) ร่อนเร่เรื่อยไปตามลำพัง ไม่มีที่อยู่อาศัย (รัง) เป็นหลักแหล่ง
การใช้คำเพื่อสร้างจินตภาพ “จนแจ่มแจ้งแสงตะวันเห็นพันธ์ผัก ดูน่ารักบรรจงส่งเกสร เหล่าบัวเผื่อนแลสล้างริมทางจร ก้ามกุ้งซ้อนเสียดสาหร่ายใต้คงคา สายติ่งแกมแซมสลับต้นตับเต่า เป็นเหล่าเหล่าแลรายทั้งซ้ายขวา กระจับจอกดอกบัวบานผกา ดาษดาดูขาวดั่งดาวพลาย” พรรณนาภาพบรรยากาศธรรมชาติระหว่างการเดินทาง และยังทำให้เห็นว่าสายน้ำนั้นมีความสะอาด จนสามารถมองเห็นพืชที่ขึ้นอยู่ใต้น้ำ แผนผังการเดินทางนิราศภูเขาทอง
ข้อคิดที่ได้จากเรื่อง นิราศภูเขาทอง สุนทรภู่ให้ข้อคิดจากเรื่องนิราศภูเขาทองไว้ว่า “แม้เจดีย์ที่เคยสวยงามก็มีวันทรุดโทรม ชื่อเสียง เกียรติยศก็เช่นเดียวกัน ย่อมมีเสื่อม จึงควรยึดติด ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกล้วนมีอนิจจัง คือไม่เที่ยงแท้ แน่นอน” ภาพหนังสือเรียน วรรณคดีวรรณกรรมและหนังสือที่มีผู้เขียนขึ้นเรื่องนิราศภูเขาทอง