ประวัติศาสตร์
ในสมัย
อยุธายา
นำเสนอ
คุณครู วิลาวัลย์ ใจคุ้มเก่า
จัดทำโดย
ด.ญ.พลอยชนก สระเเก้ว
เลขที่22 ม.2/1
คำนำ
รายการงานวิชาประวัติศาสตร์
จัดทำขึ้นเพื่อให้เรียนรู้เรื่องราวสมัยอยุธยา
ซึ่งได้รับมอบหมายจากครูผู้สอนให้จัดทำ
สมุดเล่มเล็ก โดยสืบค้นหาข้อมูลจากสื่อ
ต่างๆ
ผู้จัดทำได้ไปศึกษาหาค้นคว้า รวบรวมข้อมูล
และเรียบเรียงออกมาเป็นรายงานเล่มนี้
ซึ่งประกอบด้วย ความเป็นมาของอยุธยา
และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยา
ความเป็นมาของ
อยุธยา
กรุงศรีอยุธยา หรือ อาณาจักรอยุธยา เป็นอาณาจักรของชนชาติ
ไทยสยาม (ไทยภาคกลาง) ในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วง พ.ศ. 1893
ถึง พ.ศ. 2310 มีกรุงศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางอำนาจหรือราชธานี ทั้ง
ยังมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับหลายชาติ จนถือได้ว่าเป็นศูนย์กลาง
การค้าในระดับนานาชาติ [2] เช่น จีน เวียดนาม อินเดีย ญี่ปุ่น
เปอร์เซีย รวมทั้งชาติตะวันตก เช่น โปรตุเกส สเปน
เนเธอร์แลนด์ (ฮอลันดา) อังกฤษ และ ฝรั่งเศส ซึ่งในช่วงเวลา
หนึ่งเคยสามารถขยายอาณาเขตประเทศราชถึง รัฐชาน ของ พม่า
อาณาจักรล้านนา มณฑลยูนนาน อาณาจักรล้านช้าง อาณาจักร
ขอม และ คาบสมุทรมลายู ในปัจจุบัน
การปกครองในสมัย
อยุธยา
ระบอบการปกครองในสมัยอยุธยาเป็นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
อำนาจอธิปไตยอยู่ที่พระมหากษัตริย์เพียงพระองค์เดียว เหมือนกับ
สมัยสุโขทัย แต่แนวความคิดเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ได้เปลี่ยนแปลง
ไปตามคติพราหมณ์ซึ่งพวกขอมนำมา โดยถือว่าพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นผู้ที่ได้รับอำนาจจากสวรรค์ตามแนวความคิดแบบลัทธิเทวสิทธิ์
ลักษณะการปกครองแบบเทวสิทธิ์นี้ถือว่า พระมหากษัตริย์เป็นเสมือน
เจ้าชีวิต นอกจากจะมีพระราชอำนาจเด็ดขาด สามารถกำหนดชะตา
ชีวิตของผู้อยู่ใต้ปกครองแล้ว ยังถือว่าอำนาจในการปกครองนั้นพระ
มหากษัตริย์ทรงได้รับจากสวรรค์ หรือเป็นไปตามเทวโองการ การกระ
ทำของพระมหากษัตริย์ถือเป็นความต้องการของพระเจ้า พระมหา
กษัตริย์ทรงเป็นเหมือนสมมุติเทพ หรือพระเจ้า หรือผู้แทนพระเจ้า
เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์ตามแนวความคิดแบบเทวสิทธิ์จึงทรง
อำนาจสูงสุดล้นพ้น
สมัยอยุธยาตอนต้น
พ.ศ. 1893 - 1991
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง) ได้ทรงวางระบอบการปกครอง
ส่วนกลางเป็นแบบ จตุสดมภ์ ตามแบบ ขอม มีพระมหากษัตริย์ทรง
เป็นผู้อำนวยการปกครองสูงสุด และมีเสนาบดี 4 คน คือ ขุนเมือง
(เวียง) ขุนวัง ขุนคลัง และขุนนา เป็นผู้ช่วยดำเนินการเกี่ยวกับกิจการ
ทั้ง 4 คือ
.เวียง รับผิดชอบด้านการรักษาความสงบเเละปราบปรามโจรผู้ร้าย
. วัง มีหน้าที่เกี่ยวกับราชสำนัก การยุติธรรม และตัดสินคดีความ
ต่างๆ
.คัง ได้แก่ งานด้านคลังมหาสมบัติ การค้า เเละภาษีต่างๆ
.นา รับผิดชอบเกี่ยวกับการเกษตร
สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้นได้นำรูปแบบในสมัยสุโขทัย
มาใช้ โดยให้ กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี และเป็นศูนย์กลางการ
ปกครอง เมืองอื่นๆ แบ่งเป็น 3 ประเภท
หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก หัวเมือง
ประเทศราช
สมัยอยุธยาตอนกลาง
เเละตอนปราย
พ.ศ. 1991 - 2310
การปรับปรุงการปกครองในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถในช่วง
100 ปีแรกของสมัยอยุธยา การบริหารมิได้แยกกันระหว่างฝ่าย
พลเรือนและฝ่ายทหาร เมื่อสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงขึ้นครอง
ราชย์ในระหว่าง พ.ศ. 1991 – 2031 พระองค์ทรงปฏิรูปการ
ปกครองเสียใหม่ ให้มีสมุหนายกเป็นหัวหน้าราชการ ฝ่ายพลเรือน
โดยมีเสนาบดีจตุสมดภ์เป็นผู้ช่วย รับผิดชอบบริหารกิจการเกี่ยวกับ
เมือง วัง คลัง นา และให้มีสมุหกลาโหมเป็นหัวหน้าราชการ ฝ่าย
ทหาร ทำหน้าที่ด้านทหารและการป้องกันประเทศไพร่จะได้รับสิทธิที่
จะเลือกสังกัดฝ่ายพลเรือน หรือ ฝ่ายทหาร แต่ในยามสงครามไพร่
ทั้งสองฝ่ายต้องออกรบด้วยกัน
ในด้านความสัมพันธ์กับต่างประเทศ ในสมัยอยุธยานอกจากค้าขาย
กับชาติต่างๆ ใน เอเชียแล้ว ก็ได้ค้าขายกับชาวตะวันตกด้วย ชาติ
แรกที่เข้ามาคือ โปรตุเกส โดยฑูตชื่อ ดูอาร์ต เฟอร์นันเดช ในสมัย
พระรามาธิบดีที่ 2 พ.ศ. 2061 ได้มีการเซ็นสัญญาอนุญาตให้ชาว
โปรตุเกสทำมาค้าขายในดินแดนไทยได้ ต่อจากนั้นก็มีชนชาติอื่นๆ
เช่น สเปน อังกฤษ ฮอลันดา ฝรั่งเศสทยอยกันเข้ามามีสัมพันธ์
ทางการค้ากับไทย
ชนชั้นสังคมใน
อยุธยา
สังคมยุธยา เป็นสังคมที่เต็มปด้วยชนชั้น นับตั้งเเต่การ
เเบ่งเเยกชนชั้นอย่างเด็ดขาด ระหว่างกษัตริย์กับราษฎร
แล้วพระบรมวงศานุวงศ์ ก็มีอันดับสูงต่ำลดหลั่นกันเป็น
ชั้นๆ ในหมู่ราษฎร ก็มีการ เเบ่งชนชั้นกันเป็นชนชั้นผู้ดี
กับชนชั้นไพร่ ในหมู่ข้าราชการก็มีศักดินาเป็นตัวกำหนด
ความสูงต่ำของข้าราชการในชนชั้นต่างๆ ซึ้งชนชั้นต่างๆ
เหล่านี้ จะก่อให้เกิดมีสิทธิในสังคมอยุธยาขึ้นตกต่างกัน
ด้วยชนชั้นสูงสุดในสมัยอยุธยาคือพระบรมวงศานุวงศ์
ส่วนข้าราชการหรือหมู่ขุนนางนั้น ก็แบ่งเป็นชั้นๆ ลด
หลั่นกันไปตามลักษณะหน้าที่เเละความรับผิดชอบพร้อม
กับตำแหน่งหน้าที่เเล้ว ราชการสมัยอยุธยายังมีศักดินา
ซึ้งมากน้อยตำแหน่งหน้าที่ ระบบศักดินานี้เป็นระบอบ
ของสังคมอยุธยาโดยแท้ เพราะศักดินานั้น ทุกคนต้องมี
ตั้งแต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ พระบรมวงศานุวงศ์ลงไปจนถึง
ข้าราชการชั้นผู้น้อย เเละประชาชนธรรมดา จำนวนลด
หลั่นลงไป
การเเต่งกายในสมัย
อยุธยา
:หญิง
ผม ยังคงเกล้าผม การเกล้ามี 2 แบบ คือ เกล้า
ไว้ท้ายทอย และเกล้าสูงบน(หนูนหยิก) ศีรษะมี
เครื่องประดับเรียกว่า เกี้ยว เป็นเครื่องรัดมวยผม
เครื่องประดับ สร้อยตัว สร้อยข้อมือ กำไล ต่างหู
เครื่องแต่งกาย นุ่งซิ่นจีบหน้า สวมเสื้อ แขน
กระบอก คอกลม ผ่าหน้า เสื้อ ยาวเข้ารูป มีผ้า
คลุมสะโพกไว้ด้านในของตัวเสื้อ แต่ปล่อยชาย
ออกด้านนอก ต่อมาได้ต่อเข้ากับตัวเสื้อ เป็น ชาย
เสื้อลงมาอีกทีหนึ่ง
พ.ศ. 1893 - 2310
:ชาย
ผม มหาดเล็กและคนรับใช้ตัดผมสั้น ชายยังคงเกล้าผมกลางกระหม่อมเช่นเดียว
กับ หญิง
เครื่องแต่งกาย นุ่งกางเกงยาวลงมาแค่หน้าแข้ง ปลายขาเรียวเล็กกว่าเดิม นุ่ง
ผ้าหยักรั้ง แบบเขมรซ้อนทับกางเกง ชายผ้ายาวเสมอเข่า ใช้ผ้าคาดเอว สวมเสื้อ
คอแหลม แขนยาวจรดข้อมือ ผ่าอก สาบซ้ายทับสาบขวา มีผ้ากุ๊นตรงปลาย
แหลม คอ สาบหน้า และชายเสื้อ
เครื่องประดับ จากหลักฐานการขุดกรุใต้พระปรางค์วัดราชบูรณะพบว่า ส่วนบน
ของ มงกุฎที่ครอบมวยพระเศียรของกษัตริย์ พาหุรัดหรือทองกร เครื่องประดับ
ศีรษะถักด้วยลวดทองคำ
หญิง
ผม: ตัดผมสั้น หวีเสยขึ้น ไปเป็นผมปีก บ้างก็ยังไว้ผมยาว
เกล้าบนศีรษะ เลิกเกล้าเมื่อ พ.ศ. 2112 เพราะต้องทำงานหนัก
ไม่มีเวลาเกล้าผม
เครื่องแต่งกาย: นุ่งกางเกงหรือโจงกระเบน สวมเสื้อแขน
กระบอก คอกลมผ่าอก ไม่นิยมสไบ ผู้หญิงชั้น สูงสวมเสื้อ
คอแหลม มีผ้าคล้องไหล่ 2 ข้าง
การห่มสไบมีหลายแบบ:พันรอบตัวเหน็บทิ้งชาย
1.ห่มแบบสไบเฉียง คือ พันรอบอก 1 รอบแล้วเฉวียงขึ้นบ่า
ปล่อยชายไว้ข้างหลังเพียงขาพับ
2.แบบสะพัก สองบ่า ใช้ผ้าพันรอบตัวทับกันที่อกแล้วจึง
สะพักไหล่ทั้งสองปล่อยชายไปข้าง หลัง ทั้ง 2 ข้าง
3.แบบคล้องไหล่ เอาชายไว้ข้างหลังทั้งสองชาย
4. แบบคล้องคอห้อยชายไว้ข้างหน้า
5. แบบห่มคลุม
ชาย
ผม: ตัดผมสั้น แสกกลาง
เครื่องแต่งกาย: นุ่งโจงกระเบน ไม่สวมเสื้อ มีผ้าคล้องไหล่
พ.ศ. 2034 - 2171
หญิง
ผม สตรีในสำนักไว้ผมแบบหญิงพม่าและล้านนาไทย คือ เกล้าไว้บนกระหม่อม
แล้ว คล้องด้วยมาลัย ถัดลงมาปล่อยผมสยายยาว ส่วนหญิงชาวบ้านตัดผมสั้น
ตอนบนแล้วถอนไรผม รอบ ๆ ผมตอนที่ถัดลงมาไว้ยาวประบ่า เรียกว่า
“ผมปีก” บางคนโกนท้ายทอย คนรุ่นสาวไว้ผม ดอกกระทุ่มไม่โกนท้ายทอย
ปล่อยยาวเป็นรากไทร
การแต่งกาย หญิงในราชสำนักนุ่งผ้าซิ่น สวมเสื้อ ผ่าอก คอแหลม (เดิม
นิยม คอกลม) แขนกระบอกยาวจรดข้อมือหญิงชาวบ้านนุ่งผ้าจีบห่มสไบ มี
3 แบบ คือ รัดอก สไบเฉียง และห่ม ตะเบงมาน (ห่มไขว้กันแล้วรวบไปผูก
ไว้หลังคอ) เหมาะสำหรับเวลาทำงาน บุกป่า ออกรบ
เครื่องประดับ ปักปิ่ นทองที่มวยผม สวมแหวนหลายวง สร้อยคอ สร้อยข้อ
มือ
การแต่งหน้า หญิงชาววัง ผัดหน้า ย้อมฟัน และเล็บเป็นสีดำ ไว้เล็บยาวทาง
ปากแดง หญิงชาวบ้าน ชอบประแป้งลายพร้อย ไม่ไว้เล็บ ไม่ทาแก้ม ปาก
พ.ศ. 2173 - 2275
ชาย
ผม ตัดสั้น ทรงมหาดไทย (คงไว้ตอนบนศีรษะรอบๆ ตัดสั้น และโกน
ท้ายทอย)
การแต่งกาย นุ่งโจงกระเบน ใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอ แล้วตลบไปห้อยชายไว้
ทางด้านหลัง สวมเสื้อคอกลม ผ่าอกแขนยาวจรดข้อมือ ในงานพิธีสวม เสื้อ
ยาวถึงหัวเข่า ติดกระดุม ด้านหน้า 8 – 10 เม็ด แขนเสื้อ กว้าง และสั้น มาก
ไม่ถึงศอก นิยมสวมหมวกแบบต่าง ๆ ขุนนางจะสวม ลอมพอกยอดแหลม ไป
งานพิธีจะสวมรองเท้าแตะปลายแหลมแบบแขกมัวร์
หญิง การแต่งผม มี 3 แบบ คือ
1. ทรงผมมวยกลางศีรษะ
2. ทรงผมปีกมีจอนผม
3.ทรงหนูนหยิกรักแครง (เกล้าพับสองแล้วเกี้ยว กระหวัดไว้ที่โคน
รักแครง เกล้า ผมมวยกลมเฉียงไว้ด้านซ้ายหรือขวา)
4.ทรงผมประบ่า มักจะรวมผมปีกและผมประป่าอยู่ในทรงเดียวกัน
และผมปีกทำ เป็นมวยด้วย
เครื่องประดับ นิยมสวมเทริด สวมกำไลข้อมือหลายอัน มีสร้อยข้อมือที
่ใหญ่กว่า
สมัยใด สร้อยตัวสวมเฉียงบ่ามีลวดลายดอกไม้ สิ่งที่ใหม่กว่าสมัยใดคือ สวม
แหวนก้อยชนิดต่าง ๆ และ แหวนงูรัดต้นแขน
การแต่งหน้าแต่งตัว ทาขมิ้น ให้ตัวเหลืองดังทอง ผัดหน้าขาว ย้อมฟันดำ ย้อม
นิ้ว และเล็บด้วยดอกกรรณิการ์ให้สีแดง
การแต่งกาย ของคนชั้น สูงนุ่งซิ่นยก จีบหน้า ห่มตาด สวมเสื้อริ้วทอง (ทำด้วย
ผ้าไหม สลับด้วยเส้นทองแดง) ห่มสไบ ชาวบ้านท่อนบนคาดผ้าแถบหรือห่มสไบ
นุ่งโจงกระเบนหรือ ผ้าถุง
การห่มสไบมี 2 แบบ คือ
1.ห่มคล้องคอตลบชายไปข้างหลังทั้ง 2 ข้าง กันบนเสื้อ ริ้วทอง และใช้เจียระ
บาด (ผ้าคาดพุง) คาดทับเสื้อปล่อยชายลงตรงด้านหน้า
2. ห่มสไบเฉียงไม่ใส่เสื้อเมื่ออยู่กับบ้าน
ชาย
ไว้ทรงมหาดไทย ทาน้ำมันหอม
การแต่งกาย สวมเสื้อคอกลมสวมศีรษะ แขนยาวเกือบจรดศอก มีผ้าห่มคล้อง
คอแล้ว ตลบชายทั้งสองไปข้างหลัง นุ่งโจงกระเบน ส่วนเจ้านายจะทรงสนับ
เพลาก่อน แล้วทรงภูษา จีบโจง มีไหมถักรัดพระองค์ แล้วจึงทรงฉลองพระองค์
คาดผ้าทิพย์ทับฉลองพระองค์อีกที
การแต่งกายสมัยอยุธยา สำหรับผู้ที่สนใจควรศึกษาลายละเอียดเพิ่มเติมจาก
หนังสือ อยุธยาอาภรณ์ ของสมภพ จันทรประภา 2526 และการแต่งกายไทย