ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
เร่อื ง ระบบนเิ วศ ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 3
ชุดท่ี 2 ความสมั พนั ธข์ องสิง่ มชี ีวติ ในระบบนิเวศ
ประกอบการจดั การเรยี นรู้ รายวชิ า ว23102 วิทยาศาสตร์พืน้ ฐาน 6
ช่อื -สกุล.......................................................................
ช่อื เล่น..................... ชน้ั .................... เลขท่.ี .............
คานา
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ระบบนิเวศ ประกอบการจัดการเรียนรู้ รายวิชา ว23102 วิทยาศาสตร์
พ้ืนฐาน 6 ช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โรงเรียนวัดนวลนรดิศ
กรุงเทพมหานคร สพม. เขต 1
สาหรับเล่มนี้เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ระบบนิเวศ ชุดที่ 2 ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตใน
ระบบนิเวศ ใชเ้ วลาในการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ 2 คาบ จานวน 3 ชว่ั โมง
ผู้จัดทาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้เล่มน้ี จะทาให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจ
เกี่ยวกับองค์ประกอบของระบบนิเวศ โดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์ผ่านกระบวนการสืบ
เสาะหาความรู้ (5E) โดยยึดหลักให้นักเรียนเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้ ครูเป็นเพียงผู้ให้คาแนะนาและ
ประสานกิจกรรมให้เกิดการเรียนจากการได้ทากิจกรรมร่วมกัน ซึ่งจะทาให้นักเรียนรู้จากการลงมือทา
(Learning by doing) นักเรียนจึงเกิดกระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงและทาให้องค์ความรู้นั้น
คงอยถู่ าวรยง่ิ ข้ึน
ขอขอบคุณผู้เชี่ยวชาญทุกท่านท่ีได้ใหค้ วามรู้ คาปรึกษา และข้อเสนอแนะท่ีเป็นประโยชนต์ ่อการ
จัดทาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ระบบนิเวศ ชุดท่ี 2 ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศเล่มนี้ จน
สาเร็จลลุ ว่ งไปไดด้ ว้ ยดี
ศยามล ดวี ิลัย
ผ้จู ดั ทา
สารบญั
เรือ่ ง หนา้
คานา.........................................................................................................................................................ก
สารบัญ....................................................................................... ...............................................................ข
คาแนะนาการใชช้ ดุ กิจกรรมการเรยี นรูส้ าหรบั ครู......................................................................................1
คาแนะนาการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้สาหรบั นกั เรยี น.............................................................................2
สาระการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้และตัวช้วี ัดของชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้.............................................3
สาระสาคญั และความคดิ รวบยอดของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้.....................................................................3
จุดประสงค์การเรียนรขู้ องชุดกิจกรรมการเรยี นรู้.......................................................................................4
สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน........................................................................................................................4
แผนผงั ลาดับขั้นตอนการใช้ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้.....................................................................................5
ขน้ั ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ........................................................................................................................6
ข้ันที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา....................................................................................................................7-8
ขั้นท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ ...............................................................................................................9
ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้.......................................................................................................................10-11
ขน้ั ท่ี 5 ขัน้ ประเมิน..................................................................................................................................12
ใบความรู้ เร่ือง องค์ประกอบของระบบนิเวศ......................................................................................13-16
ภาคผนวก................................................................................................................................................17
คำแนะนำกำรใช้ชุดกจิ กรรมกำรเรยี นรู้ เรอื่ ง ระบบนิเวศ
ชุดที่ 2 ควำมสมั พนั ธ์ของสงิ่ มชี วี ติ ในระบบนิเวศ (สำหรับคร)ู
การนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ระบบนิเวศ ชุดท่ี 2 ความสัมพันธ์ของสง่ิ มีชีวติ ในระบบนิเวศ ไปใช้
ในการจัดการเรยี นรู้กบั นกั เรยี น ครูผสู้ อนควรศกึ ษาและทาความเขา้ ใจตามข้ันตอน ดงั ตอ่ ไปน้ี
ข้ันเตรียมกอ่ นสอน
1. ครคู วรศกึ ษาและทาความเข้าใจวธิ ีการใชช้ ุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื ง ระบบนิเวศ ชุดที่ 2 ความสัมพันธ์
ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ โดยเริ่มจากข้ันตอนการดาเนินกิจกรรม การใช้ส่ือและอุปกรณ์ การวัดและ
ประเมนิ ผลของชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ใหช้ ัดเจน
2. ครูควรศึกษาแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง องค์ประกอบของระบบนิเวศ เพ่ือให้การดาเนินการจัด
กิจกรรมการเรียนรู้บรรลุตามจุดมุ่งหมายของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ระบบนิเวศ ชุดที่ 2 ความสัมพันธ์
ของสิ่งมชี ีวิตในระบบนเิ วศ
3. ครคู วรศกึ ษา ค้นควา้ และอ่านเนอ้ื หาท่เี กยี่ วข้องเพม่ิ เติมลว่ งหน้า และเตรยี มชุดกิจกรรมการเรียนรู้
เรื่อง ระบบนเิ วศ ชดุ ท่ี 2 ความสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชวี ิตในระบบนเิ วศ
ข้ันสอน
1. ครูแจ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรใู้ ห้นกั เรียนทราบ
2. ครดู าเนนิ กิจกรรมตามแผนการจดั การเรียนรู้
3. ในชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ือง ระบบนเิ วศ ชดุ ที่ 2 ความสัมพนั ธข์ องสงิ่ มชี วี ติ ในระบบนิเวศ
ประกอบการจัดการเรยี นรดู้ าเนินการโดยใช้กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ดงั นี้
ข้ันที่ 1 ขั้นสร้างความสนใจ (Engagement)
ขน้ั ที่ 2 ขนั้ สารวจและคน้ หา (Exploration)
ขั้นท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation)
ขน้ั ที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้ (Elaboration)
ขั้นท่ี5 ขั้นประเมนิ (Evaluation)
4. ครคู วรดแู ลนักเรียนอย่างใกลช้ ิดเพอ่ื คอยให้คาแนะนาและเป็นท่ปี รกึ ษา
5. ครปู ระเมนิ ผลการเรียนรูข้ องนักเรียนเมอ่ื จบการเรียนในแตล่ ะชดุ กิจกรรม
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่องระบบนเิ วศ ชุดที่ 2 ความสัมพันธ์ของส่งิ มชี วี ิตในระบบนิเวศ หนา้ 1
คำแนะนำกำรใช้ชดุ กจิ กรรมกำรเรียนรู้ เรอื่ ง ระบบนิเวศ
ชุดท่ี 2 ควำมสมั พนั ธข์ องสิง่ มชี วี ติ ในระบบนิเวศ (สำหรับนักเรียน)
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เร่อื ง ระบบนิเวศ ชดุ ท่ี 2 ความสมั พันธ์ของสิง่ มีชวี ิตในระบบนิเวศ ท่ีนกั เรียนจะ
ศึกษาต่อไปน้ี เป็นชุดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ เพ่ือให้นักเรียนได้คิด และลงมือ
ปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีกาหนดไว้ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด นักเรียนควร
ปฏิบัติตามคาชแ้ี จงที่กาหนดไวใ้ นชุดกจิ กรรมการเรยี นร้ตู ามลาดบั ดังนี้
1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ือง ระบบนิเวศ ชุดท่ี 2 ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ ใช้เวลา
3 คาบ จานวน 3 ชวั่ โมง หรือ 180 นาที
2. ศึกษาผลการเรียนรูแ้ ละจุดประสงค์การเรยี นรู้
3. นักเรียนปฏิบัติกิจกรรมตามข้ันตอนในชุดกิจกรรมการเรียนรู้โดยศึกษาคาชี้แจงที่กาหนดไว้ในแต่ละ
ข้ันของกจิ กรรมอย่างละเอยี ด
4. ในชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ระบบนิเวศ ชุดท่ี 2 ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
ประกอบด้วยใบความรูแ้ ละกิจกรรมการจดั การเรยี นร้ทู ่ีเนน้ กระบวนการสืบเสาะหาความรู้ มี 5 ขัน้ ตอน ดงั นี้
ขัน้ ท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ (Engagement)
ขัน้ ท่ี 2 ขั้นสารวจและคน้ หา (Exploration)
ขนั้ ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation)
ข้นั ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration)
ขั้นท่5ี ขั้นประเมิน (Evaluation)
5. เมื่อปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ในแต่ละขั้นเสร็จ นักเรียนสามารถตรวจสอบคาตอบและเฉลย
ชุดกจิ กรรมการเรยี นร้ทู ่ีอยู่ในสว่ นของภาคผนวกของแตล่ ะชดุ กิจกรรมการเรียนรู้
6. เม่ือนักเรยี นมีข้อสงสัยในการปฏบิ ัติกจิ กรรม ใหน้ ักเรียนขอคาปรึกษาจากครูผสู้ อน
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ืองระบบนิเวศ ชุดที่ 2 ความสัมพนั ธข์ องส่ิงมชี วี ติ ในระบบนิเวศ หนา้ 2
สำระกำรเรียนรู้ มำตรฐำนกำรเรียนรู้ และตัวช้ีวดั ของชดุ กจิ กรรมกำรเรียนรู้
เร่ือง ระบบนิเวศ ชุดท่ี 2 ควำมสัมพันธข์ องส่ิงมชี วี ติ ในระบบนิเวศ
สำระที่ 1 วิทยำศำสตรช์ ีวภำพ
มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสมั พนั ธ์ระหว่างส่ิงไม่มชี ีวิตกบั ส่ิงมชี ีวิตและ
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับส่ิงมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลี่ยนแปลงแทนท่ีใน
ระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบที่มตี ่อทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม แนวทางใน
การอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาสง่ิ แวดล้อม รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตวั ชว้ี ดั
ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่าง ๆ ในแหล่งท่ีอยู่
เดียวกันที่ได้จากการสารวจ
ว 1.1 ม.3/5 อธิบายการสะสมสารพิษในสิ่งมชี วี ิตในโซอ่ าหาร
ว 1.1 ม.3/6 ตระหนักถึงความสัมพันธข์ องสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไม่ทาลายสมดลุ
ของระบบนเิ วศ
สำระสำคญั /ควำมคิดรวบยอด
1. ส่ิงมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิงอาศัย ภาวะ
เหยอื่ กบั ผู้ลา่ ภาวะปรสติ
2. พลังงานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บริโภคลาดับต่าง ๆ รวมทั้งผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ในรูปแบบ
สายใยอาหารท่ีประกอบด้วย โซ่อาหารหลายโซ่ท่ีสัมพันธ์กัน ในการถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร พลังงานท่ี
ถกู ถ่ายทอดไปจะลดลงเรือ่ ย ๆ ตามลาดบั ของการบริโภค
3. การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทาให้มีสารพิษสะสมอยู่ในส่ิงมีชีวิตได้ จนอาจก่อให้เกิด
อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทาลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการดูแลรักษาระบบนิเวศให้เกิดความสมดุล และ
คงอยตู่ ลอดไปจงึ เปน็ สง่ิ สาคญั
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งระบบนเิ วศ ชุดท่ี 2 ความสัมพันธข์ องสง่ิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ หน้า 3
จุดประสงค์กำรเรยี นรูข้ องชุดกจิ กรรมกำรเรียนรู้ เรื่อง ระบบนเิ วศ
ชดุ ที่ 2 ควำมสมั พนั ธข์ องสิง่ มีชีวติ ในระบบนเิ วศ
ดำ้ นควำมรู้ (K : Knowledge)
1. นักเรียนอธบิ ายการสะสมสารพิษในสง่ิ มชี ีวิตในโซ่อาหารได้
2. นักเรยี นอธบิ ายความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวติ ในรูปแบบภาวะพ่ึงพากัน อิงอาศยั ปรสติ และการล่าเหยื่อได้
ดำ้ นทกั ษะกระบวนกำร (P : Process)
1. นักเรียนใช้ทกั ษะการตีความหมายข้อมูลและลงข้อสรปุ โดยการแปลความหมายขอ้ มลู จากแผนภาพ
และลงขอ้ สรปุ เกีย่ วกับการสะสมสารพษิ ในโซอ่ าหาร
2. นกั เรยี นใช้ทกั ษะการจาแนกประเภท โดยจดั กลมุ่ สิ่งมีชวี ติ ตามความสัมพันธ์ที่คล้ายคลึงกนั ไวด้ ้วยกันได้
3. นักเรียนใช้ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล โดยนาข้อมูลที่ได้จากการสังเกตสิ่งมีชีวิตมาเช่ือมโยง
เพ่อื อธิบายเกย่ี วกับรูปแบบความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ
ด้ำนคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ (A : Attribute)
1. ตระหนกั ถงึ ความสัมพันธข์ องส่งิ มีชีวติ และสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไมท่ าลายสมดุลของระบบนิเวศ
2. มีความสนใจใฝ่รใู้ ฝเ่ รียน
3. ความมีเหตุมผี ล
4. มีระเบยี บและรอบคอบ
5. มีความซ่ือสตั ย์
6. มคี วามรับผดิ ชอบ
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
1. ความสามารถในการสอื่ สาร
2. ความสามารถในการคิด
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เรือ่ งระบบนิเวศ ชุดท่ี 2 ความสมั พนั ธ์ของสง่ิ มชี ีวิตในระบบนเิ วศ หน้า 4
แผนผงั ลำดบั ข้นั ตอนกำรใชช้ ดุ กิจกรรมกำรเรยี นรู้ เรอ่ื ง ระบบนิเวศ
ชุดท่ี 2 ควำมสัมพันธ์ของส่ิงมชี ีวติ ในระบบนเิ วศ
ศึกษำคำแนะนำ/จุดประสงค์กำรเรียนรู้/สมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
วดั ผลสัมฤทธ์ิทำงกำรเรียนวิชำวิทยำศำสตร์ เร่ือง ระบบนิเวศ
หมำยเหตุ เกณฑ์การผ่าน นักเรยี นมีคะแนนผลการทดสอบข้นั ประเมินผลร้อยละ 80 ข้นึ ไป
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่อื งระบบนเิ วศ ชดุ ท่ี 2 ความสัมพันธข์ องสิ่งมชี วี ติ ในระบบนิเวศ หนา้ 5
กจิ กรรมที่ 1 “กำรถ่ำยทอดพลงั งำนในระบบนเิ วศ” (15 นำท)ี
คำชีแ้ จง: ให้นักเรยี นวิเคราะห์ความสมั พันธ์ของส่ิงมชี ีวิตในระบบนิเวศดงั ภาพตอ่ ไปน้ี ประกอบการตอบคาถาม
ขอ้ 1-5
1. ความสัมพนั ธใ์ นภาพเรยี กวา่ ...........................................................................................................................
2. จงเขยี นโซอ่ าหารแสดงการถา่ ยทอดพลังงานทกุ โซ่อาหาร
...............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................................
............................................................................................................................. ..................................................
................................................................ ....................................................................................... ........................
............................................................................................................................. ..................................................
...............................................................................................................................................................................
3. ถา้ พชื และสัตวต์ ายลงพลังงานจะถา่ ยทอดใหก้ ับ...............................................................................................
ซ่งึ ไดแ้ ก่.............................................................................................................................. ................................
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งระบบนเิ วศ ชุดท่ี 2 ความสมั พันธ์ของสิง่ มีชวี ิตในระบบนิเวศ หนา้ 6
4. ใหน้ ักเรยี นเลือกโซ่อาหารจากข้อ 2 มา 1 โซอ่ าหารแลว้ นามาเขียนแผนภาพพีระมิดพลังงาน
แผนภำพพรี ะมดิ พลงั งำน
โซ่อาหาร..................................................................................................................... .............
5. หากระบบนเิ วศในภาพข้อ 1 มีการฉดี พ่นสารฆา่ หญ้า นักเรยี นคดิ ว่าการฉดี พน่ สารฆา่ หญา้ น้จี ะส่งผลกระทบ
ตอ่ ระบบนเิ วศอยา่ งไรบ้าง จงอธิบาย
............................................................................................................................. ..................................................
...............................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..................................................
............................................................................................................................. ..................................................
ชุดกิจกรรมการเรยี นรู้ เรื่องระบบนเิ วศ ชุดที่ 2 ความสัมพันธ์ของสง่ิ มีชวี ิตในระบบนิเวศ หนา้ 7
กจิ กรรมท่ี 2 “ควำมสมั พนั ธข์ องสิ่งมชี ีวิตในระบบนิเวศ” (90 นำท)ี
คำชี้แจง: ให้นักเรียนศึกษาเก่ียวกับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตจากน้ันนาความรู้มาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง
ส่งิ มีชีวิตกับสิง่ มีชวี ิตในระบบนเิ วศให้ถูกต้อง
รปู แบบควำมสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวติ ได้แก่ ภาวะพ่ึงพากนั , ภาวะการได้ประโยชนร์ ่วมกัน ,
ภาวะองิ อาศัยกัน , ภาวะการแข่งขนั , ภาวะปรสิต และการล่าเหยื่อ
ตัวอย่างความสัมพนั ธ์ รปู แบบความสัมพันธข์ องส่ิงมีชีวติ เคร่ืองหมายแสดง
ความสมั พนั ธ์
1. นกทารังบนตน้ ไม้
2. ไลเคน (Lichen) (รากบั สาหรา่ ย)
3. มดดากบั เพลี้ย
4. โพรโทซัวในลาไส้ปลวก
5. ต้นไมช้ นดิ ต่าง ๆ ขน้ึ บรเิ วณเดยี วกนั
6. กาฝากกับต้นไม้
7. ปลาฉลามกบั เหาฉลาม
8. สงิ โตกนิ ม้าลาย
9. หมดั กบั สุนขั
10. ปูเสฉวนกบั ดอกไม้ทะเล
11. ปลาใหญก่ นิ ปลาเล็ก
12. เสือกบั สงิ โตท่ีอยู่บรเิ วณเดยี วกนั
ชดุ กจิ กรรมการเรยี นรู้ เร่อื งระบบนิเวศ ชดุ ท่ี 2 ความสมั พันธ์ของสิ่งมชี วี ติ ในระบบนิเวศ หน้า 8
จากตารางข้างต้นสามารถจาแนกประเภทโดยจดั กลุ่มสิ่งมชี วี ิตตามความสัมพันธท์ ่ีคล้ายคลึงกันไวด้ ้วยกนั ได้ดังน้ี
รปู แบบความสมั พันธ์ ตัวอยา่ งความสมั พันธ์
ของส่งิ มชี ีวิต
ภาวะพ่ึงพากัน
ภาวะการได้ประโยชนร์ ่วมกนั
ภาวะอิงอาศยั กัน
ภาวะการแข่งขัน
ภาวะปรสิต
การลา่ เหยื่อ
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่อื งระบบนิเวศ ชุดท่ี 2 ความสมั พันธข์ องส่งิ มีชวี ติ ในระบบนิเวศ หน้า 9
กิจกรรมที่ 3 “เขียนสรุปองค์ควำมรู้” (15 นำที)
คำช้ีแจง: ให้นักเรยี นเขยี นสรุปองค์ความรู้เกย่ี วกับความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชวี ติ ในระบบนิเวศ
ควำมสมั พนั ธข์ องส่งิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ
รปู แบบ ลกั ษณะ ตวั อย่ำง
ควำมสัมพนั ธ์ ควำมสัมพันธ์ ควำมสมั พันธ์
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่อื งระบบนิเวศ ชดุ ที่ 2 ความสมั พันธข์ องสิ่งมชี วี ิตในระบบนิเวศ หนา้ 10
กิจกรรมท่ี 4 “กำรดูแลรักษำระบบนิเวศในทอ้ งถิน่ ให้สมดุล” (45 นำที)
คำชีแ้ จง: ให้นักเรยี นอา่ นสถานการณ์ที่กาหนดให้ จากนนั้ วเิ คราะห์ถึงปญั หาของระบบนเิ วศในทอ้ งถน่ิ
ประกอบการตอบคาถามข้อ 1-3
พ้ืนท่ีปลูกข้าวในจังหวัดหน่ึง มีการใช้สารเคมีกาจัดศัตรูพืชต่อเน่ืองเป็นเวลานาน ในชว่ งแรกของการปลูก
ข้าวได้ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นและมีคาใช้จ่ายในการกาจัดศัตรูพืชน้อย ต่อมาไม่นาน พบว่าเกิดการระบาดของเพล้ีย
กระโดดสีน้าตาล นักวิชาการเกษตรพบว่าสาเหตุของการระบาดของเพล้ียกระโดดสีน้าตาล เกิดจากการฉีดพ่น
สารเคมีกาจัดศัตรูพืชซึ่งส่งผลกระทบให้จานวนประชากรของศัตรูตามธรรมชาติของเพล้ียกระโดดสีน้าตาล เช่น
มวนเขียวดูดไข่ แมงมุมสุนัขป่าลดลงเป็นจานวนมาก เพราะขณะที่เกษตรกรฉีดพ่นสารเคมีกาจัดศัตรูพืช เพลี้ย
กระโดดสีน้าตาลและศัตรูตามธรรมชาติจะถูกทาลาย แต่สารเคมีเหล่านี้ไม่สามารถทาลายไข่ของเพลี้ยกระโดดสี
นา้ ตาลได้ ทาให้ตัวอ่อนทพี่ กั ออกจากไข่มโี อกาสรอดชีวิต จงึ สง่ ผลให้ข้าวเสียหายและได้ผลผลิตลดลง
1. ปญั หาของระบบนเิ วศจากสถานการณ์คอื อะไร และมีสาเหตุมาจากอะไร
................................................................................................................ ...............................................................
............................................................................................................................. ..................................................
2. แนวทางในการแก้ปัญหาทาไดอ้ ย่างไร
............................................................................................................................. ..................................................
................................................................................................................... ............................................................
..............................................................................................................................................................................
3. ในทอ้ งถิน่ ของนักเรียนประสบปญั หาเกีย่ วกับระบบนิเวศหรอื ไม่ มีแนวทางในการแกไ้ ขปญั หาอยา่ งไร
...............................................................................................................................................................................
................................................................................................................... ............................................................
................................................................................................................... ............................................................
................................................................................................................... ............................................................
ชดุ กิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งระบบนิเวศ ชุดที่ 2 ความสัมพันธข์ องส่งิ มชี ีวิตในระบบนเิ วศ หน้า 11
กจิ กรรมที่ 5 “เกมจบั คคู่ วำมสัมพนั ธข์ องส่งิ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ” (15 นำท)ี
คำชแี้ จง: ให้นกั เรียนลากเส้นจบั คคู่ าสาคัญกับความหมายของคาสาคญั ใหถ้ ูกต้อง
คำสำคัญ ควำมหมำย
ภาวะพ่งึ พากัน ความสมั พนั ธ์ท่ีทง้ั 2 ฝ่ายต่างไดร้ ับผลประโยชน์จาก
ความสัมพนั ธ์นี้ ทาใหส้ ง่ิ มีชวี ิตทัง้ 2 ชนิดไมส่ ามารถแยกตวั
ภาวะการได้ประโยชน์รว่ มกนั ออกจากกนั ได้อีกเลยตลอดชว่ งชวี ิต
ภาวะองิ อาศัยกัน ความสมั พันธ์ที่ท้งั สองฝ่ายตา่ งจาเป็นต้องใช้ทรัพยากร
ประเภทเดียวกนั ในการดารงชีวิต จนก่อให้เกิดภาวะแก่งแยง่
ภาวะการแข่งขัน แข่งขันทส่ี ่งผลเสียแก่ท้งั สองฝ่าย
ภาวะปรสิต ความสมั พนั ธ์ท่ีท้ัง 2 ฝา่ ยไดร้ ับผลประโยชน์จาก
ความสัมพนั ธ์น้ี โดยที่ส่งิ มีชวี ติ ทั้ง 2 ชนดิ สามารถดารงชวี ติ
การลา่ เหย่ือ อยู่ตามลาพังได้ หากเกดิ การแยกตวั ออกจากกัน
ความสัมพนั ธท์ ่ีมฝี ่ายหนึ่งฝา่ ยใดไดร้ ับผลประโยชนโ์ ดยตรง
หรอื ท่ีเรียกกันวา่ “ผ้ลู า่ ”
ความสมั พนั ธท์ ฝี่ ่ายหนึง่ ไดร้ บั ผลประโยชน์ ขณะท่อี ีกฝ่าย
ไม่ได้รับหรือเสยี ผลประโยชน์ใด ๆ
ความสัมพนั ธท์ ่ีมีฝ่ายหน่ึงฝา่ ยใดสูญเสียผลประโยชน์ หรือ
ถกู เบียดเบียนจากการเป็นผ้ถู ูกอาศัยท่ีเรยี กว่า “โฮสต์”
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เร่ืองระบบนเิ วศ ชดุ ท่ี 2 ความสัมพันธ์ของสิ่งมชี ีวิตในระบบนเิ วศ หนา้ 12
ใบควำมรชู้ ดุ กิจกรรม เรอื่ ง ระบบนิเวศ
ชุดท่ี 2 ควำมสัมพันธ์ของสิง่ มชี ีวิตในระบบนิเวศ
ควำมสมั พันธข์ องสิ่งมชี ีวติ ในระบบนเิ วศ
สง่ิ มีชีวิตในระบบนิเวศต้องการอาหารเพ่ือการดารงชีวิต บางชนดิ มีบทบาทในการสรา้ งอาหารบางชนิด
กินส่ิงมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร และบางชนิดเป็นผู้ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารได้เอง
โดยใช้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง สิ่งมีชีวิตกลุ่มน้ีมีบทบาทเป็น ผู้ผลิต (producer) ได้แก่ พืช สาหร่าย
และแบคทเี รียบางชนิด สิ่งมชี วี ิตบางชนิดไมส่ ามารถสรา้ งอาหารได้เอง ต้องกนิ สง่ิ มชี ีวิตอนื่ เป็นอาหาร สงิ่ มชี วี ิต
กลุ่มนี้มีบทบาทเป็น ผู้บริโภค (consumer) เช่น มนุษย์ สัตว์ต่าง ๆ ถ้าพิจารณาอาหารท่ีผู้บริโภคกินสามารถ
แบ่งกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นผู้บริโภคที่กินพืชเป็นอาหาร เรียกว่า สิ่งมีชีวิตกินพืช (herbivore) เช่น วัว ช้าง
ผู้บริโภคท่กี ินสัตว์เป็นอาหาร เรยี กวา่ สงิ่ มชี วี ิตกินสัตว์ (carnivore) เชน่ เสือดาว สงิ โต และผบู้ รโิ ภคท่ีกินทั้ง
พชื และสัตวเ์ ป็นอาหาร เรียกว่า ส่งิ มีชีวติ กนิ พชื และสัตว์ (omnivore) เช่น ไก่ มนุษย์ นอกจากนี้ยงั มีส่ิงมชี ีวิต
บางชนิดทกี่ ินเฉพาะซากส่ิงมชี วี ติ เชน่ แรง้ เรยี กสิง่ มชี ีวิตพวกนว้ี ่า สัตวก์ นิ ซำก (scavenger)
เมอ่ื ส่งิ มชี ีวติ ตายลง จะมสี ่ิงมีชีวติ อกี กลุ่มหนง่ึ ทม่ี ีบทบาทเปน็ ผยู้ อ่ ยสลำยสำรอินทรีย์ (decomposer)
เช่น เห็ดรา แบคทีเรีย ซ่ึงดารงชีวิตโดยผลิตเอนไซม์ออกมาย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารอาหารที่มีขนาด
โมเลกุลเล็กลง แล้วดูดซึมสารอาหารไปใช้เพียงบางส่วน ส่วนท่ีเหลือจะอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ผลิตสามารถ
นาไปใช้ในการดารงชวี ิตตอ่ ไป
การที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีบทบาทแตกต่างกัน ทาให้เกิดการถ่ายทอดพลังงานที่อยู่ในอาหารไปตาม
ลาดับโดยการกินกนั เป็นทอด ๆ เรยี กวา่ โซ่อำหำร (food chain) โดยท่วั ไปโซ่อาหารประกอบด้วยผู้ผลิตและ
ผู้บริโภคลาดับต่าง ๆ ดังภาพ จะเห็นว่าในโซ่อาหารนี้มีหญ้าเป็นผู้ผลิต มีต๊ักแตน ก และงู เป็นผู้บริโภค โดย
ต๊ักแตนกินหญ้า ตั๊กแตนจัดเป็นผู้บริโภคลาดับที่ 1 กบกินตั๊กแตน กบจัดเป็นผู้บริโภคลาดับที่ 2 ส่วนงูกินกบ
งูจดั เป็นผบู้ รโิ ภคลาดับที่ 3 หรือผบู้ รโิ ภค ลาดับสุดทา้ ยของโซ่อาหารนี้
ภำพแสดง โซ่อำหำร
(ทีม่ า: หนังสอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หนา้ 167)
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรือ่ งระบบนเิ วศ ชดุ ท่ี 2 ความสัมพนั ธ์ของสิง่ มีชวี ิตในระบบนเิ วศ หนา้ 13
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตในโซ่อาหารเป็นความสัมพันธ์ในด้านการถ่ายทอดพลังงาน โดยการกิน
กันเป็นทอดๆ ไม่ซับซ้อน แต่ในธรรมชาติอาจมีผู้ผลิตมากกว่าหนึ่งชนิดและมีผู้บริโภคท่ีสามารถบริโภคพืชและ
สัตว์อ่ืน ๆ ได้หลายชนิด เช่น กบกินตั๊กแตน แมลงปอ และแมลงหวี่ ในขณะเดียวกันผู้บริโภคชนิดหน่ึงอาจเปน็
อาหารของผู้บริโภคได้หลายชนิด เช่น กบเป็นอาหารของแมว งู และนกอินทรี ดังภาพ แสดงความสัมพันธ์ของ
ส่ิงมชี ีวิต ในการถ่ายทอดพลังงานโซอ่ าหารหลายสายที่สัมพันธ์ซบั ซ้อนนี้ เรียกว่า สำยใยอำหำร (food web)
ภำพแสดง สำยใยอำหำร
(ที่มา: หนงั สือเรียนรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 168)
ระบบนเิ วศหนึ่ง ๆ จะมสี ิ่งมีชวี ิตหลายชนิดท่ีมีความสมั พันธ์กันในดา้ นการถ่ายทอดพลงั งานโดยการกิน
กันเป็นทอดๆ ในรูปของสายใยอาหาร ซึ่งประกอบด้วยโซ่อาหารหลายโซ่อาหารสัมพันธก์ ัน ในธรรมชาติสายใย
อาหารจะมคี วามซับซ้อนแตกตา่ งกนั ไปขนึ้ อย่กู ับชนิดและจานวนชนดิ ของสงิ่ มชี ีวติ ทอี่ ยใู่ นระบบนิเวศ
ชุดกจิ กรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งระบบนเิ วศ ชุดท่ี 2 ความสัมพันธข์ องสง่ิ มีชีวิตในระบบนเิ วศ หนา้ 14
กำรถ่ำยทอดพลงั งำนระหว่ำงสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ
การถ่ายทอดพลังงานในห่วงโซ่อาหารอาจแสดงในในลักษณะของสามเหล่ียมพีระมิดของสิ่งมีชีวิต
(ecological pyramid) แบ่งได้ 3 ประเภทตามหนว่ ยท่ีใช้วัดปรมิ าณของลาดบั ขน้ั ในการกนิ
1. พีระมิดจำนวนของสิ่งมชี วี ติ (pyramid of number)
แสดงจานวนสิ่งมีชีวิตเป็นหน่วยตัวต่อพ้ืนท่ี โดยท่ัวไปพีระมิดจะมีฐานกว้างซ่ึงหมายถึง มีจานวนผู้ผลิต
มากทส่ี ดุ และจานวนผบู้ ริโภคลาดับตา่ งๆ ลดลงมา
ภำพแสดง พรี ะมดิ จำนวนส่ิงมชี วี ติ
(ท่ีมา: http://jeerapa-thong.blogspot.com/2016/03/blog-post_12.html)
แต่การวัดปริมาณพลังงานโดยวธิ นี ี้อาจมีความคลาดเคลือ่ นไดเ้ น่ืองจากสิง่ มีชีวติ ไม่วา่ จะเป็นเซลล์เดยี ว
หรือหลายเซลล์ ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น ไส้เดือน จะนับเป็นหนึ่งเหมือนกันหมด แต่ความเป็นจริงนั้นใน
แง่ปริมาณพลังงานที่ได้รับหรืออาหารที่ผู้บริโภคได้รับจะมากกว่าหลายเท่า ดังนั้นจึงมีการพัฒนารูปแบบในรูป
ของพีระมิดมวลของสง่ิ มชี ีวติ
2.พีระมิดมวลของส่งิ มีชวี ิต (pyramid of mass)
โดยพีระมิดน้ีแสดงปริมาณของส่ิงมีชีวิตในแต่ละลาดับขั้นของการกินโดยใช้มวลรวมของน้าหนักแห้ง
(dry weight) ของสิ่งมีชีวิตต่อพื้นท่ีแทนการนับจานวน พีระมิดแบบนี้มีความแม่นยามากกว่าแบบท่ี 1 แต่ใน
ความเปน็ จรงิ จานวนหรือมวลของสิ่งมีชีวติ มีการเปลี่ยนแปลงตามชว่ งเวลา เช่น ตามฤดกู าลหรือ ตามอตั ราการ
เจริญเติบโตปจั จัยเหล่านจ้ี ึงเปน็ ตัวแปรทีส่ าคญั
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอ่ื งระบบนิเวศ ชดุ ท่ี 2 ความสมั พนั ธ์ของส่ิงมชี วี ติ ในระบบนิเวศ หน้า 15
ภำพแสดง พรี ะมดิ มวลของสิ่งมชี วี ิต
(ทม่ี า: http://jeerapa-thong.blogspot.com/2016/03/blog-post_12.html)
ถึงแม้มวลท่ีมากข้ึน เช่น ต้นไม้ใหญ่ จะผลิตเป็นสารอาหารของผู้บริโภคได้มาก แต่ก็ยังน้อยกว่าท่ี
ผบู้ รโิ ภคได้จากส่ิงมีชวี ิตเลก็ ๆ เช่น สาหร่ายหรือแพลงก์ตอน ทงั้ ๆ ท่มี วล หรือปริมาณของสาหร่ายหรือแพลงก์
ตอนนอ้ ยกว่ามาก ดงั นน้ั จงึ มกี ารพฒั นาแนวความคดิ ในการแกป้ ัญหาน้ี โดยในการเสนอรูปของพรี ะมดิ พลังงาน
(pyramid of energy)
3. พรี ะมิดพลงั งำน ( pyramid of energy)
เปน็ การแสดงปริมาณพลังงานที่ถ่ายอดจากการกนิ ในลาดบั หน่ึงในสายใยอาหาร ซง่ึ พลังงานมีมากท่ีสุด
ในลาดับผู้ผลิตและพลังงานจะน้อยลงในลาดับของพีระมิดที่สูงขึ้น การเปล่ียนแปลงครั้งนี้ย่อมเกิดการฟุ้ง
กระจายของพลังงานตามกฏเทอร์โมไดนามิกส์และหลดุ ออกมาเป็นพลังงานความร้อนนั่นเอง ดังน้ันพลังงานจงึ
ถูกใช้ไปจานวนมากประมาณ 90 เปอร์เซนต์ของพลังงานท้ังหมด ด้วยเหตุน้ีพลังงานจะเหลืออยู่เฉพาะส่วนท่ี
เป็นเนื้อเยื่อของส่ิงมีชีวิตน้ันๆ ประมาณ 10 เปอร์เซนต์เท่าน้ัน จึงเป็นไปตามกฏเกณฑ์ที่เรียกว่า “Law of
Ten” ดังนั้นเมื่อมีการถ่ายทอดพลังงานไปหลายระดับการบริโภคพลังงานย่ิงเหลือน้อยลงตามลาดับ จนเกิด
เป็นปริ ามิดพลงั งาน (Pyramid of Energy)
ภำพแสดง พีระมิดพลงั งำนของสง่ิ มีชวี ติ
(ที่มา: http://jeerapa-thong.blogspot.com/2016/03/blog-post_12.html)
ชดุ กจิ กรรมการเรียนรู้ เรื่องระบบนิเวศ ชดุ ที่ 2 ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชวี ติ ในระบบนเิ วศ หนา้ 16
จากภาพจะเห็นว่าผู้ผลิตใช้พลังงานแสงจากดวงอาทิตย์ในการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อสร้างอาหารท่ีมี
พลังงาน ซึ่งสะสมอยู่ในเน้ือเย่ือต่าง ๆ ของผู้ผลิต เมื่อผู้บริโภคลาดับที่ 1 กินผู้ผลิตก็จะได้รับพลังงานบางส่วน
จากผู้ผลิตและนาพลังงานที่ได้รับบางส่วนไปสะสมในเน้ือเยื้อของตนเอง เพราะพลังงานส่วนใหญ่จะสูญเสียไป
กับการทากิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อผู้บริโภคลาดับท่ี 2 มากินผู้บริโภคลาดับที่ 1 และผู้บริโภคลาดับที่ 3
มากินผู้บริโภคลาดับท่ี 2 ก็จะมีการนาพลังงานส่วนหน่ึงไปใช้ในกิจกรมของร่างกาย และเหลือพลังงานที่จะไป
สะสมในเนื้อเย่ือของผู้บริโภคเพียงส่วนหน่ึง ทาให้ปริมาณพลังงานที่สะสมในเน้ือเย่ือของผู้บริโภคแต่ละลาดับ
ข้ันของการบริโภคลดลงไปเร่อื ย ๆ
การใช้สารเคมีในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ เช่น การกาจัดศัตรูพืช การใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต
ของอุตสาหกรรม การทาเหมืองแร่ สารเคมีเหล่าน้ีอาจเป็นสารพิษหรืออาจมีสารพิษเจือปนอยู่ ทาให้เกิดการ
ปนเป้ือนและการสะสมของสารพิษอยู่ในแหล่งน้า ดิน อากาศ รวมถึงสิ่งมีชีวิตท่ีอยู่ในระบบนิเวศน้ัน ๆ ด้วย
ขณะที่สิง่ มีชีวติ มกี ารกินตอ่ กนั เป็นทอด ๆ จะมีการถ่ายทอดพลังงานไปตามลาดบั ขัน้ ของการบรโิ ภค
ปริมาณสารพิษจะสะสมในสิ่งมีชีวิตเพ่ิมขึ้นตามลาดับช้ันของการบริโภคเน่ืองจากผู้บริโภคลาดับท่ีสูง
กว่าจะกินผู้ผลิตหรือบริโภคลาดับต่ากว่าในปริมาณมาก เพ่ือให้ได้รับพลังงานเพียงพอสาหรับการดารงชีวิต
การสะสมสารพิษจะก่อให้เกิดอนั ตรายของสง่ิ มีชวี ิต ถา้ สารพิษสะสมในส่ิงมชี วี ิตในปรมิ าณมากจนทาใหส้ ่ิงมีชีวิต
นัน้ ตายลง ซงึ่ ส่งผลกระทบตอ่ สิง่ มชี ีวติ ชนดิ อืน่ ๆ ในระบบนเิ วศและอาจทาให้ระบบนิเวศเสียสมดุลได้
ภำพแสดง กำรสะสมสำรพษิ ในสง่ิ มชี ีวิต
(ทีม่ า: หนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันม.3 เล่ม 2 สสวท. หนา้ 174)
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เรอื่ งระบบนเิ วศ ชุดที่ 2 ความสัมพนั ธข์ องส่ิงมีชีวิตในระบบนิเวศ หนา้ 17
ควำมสมั พนั ธ์ของสิ่งมชี วี ติ ในระบบนเิ วศ
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวิตต่างชนิด (Interspecific interactions) หมายถึง ความเก่ียวข้องหรือ
สายสัมพนั ธ์ทเี่ กดิ ขึน้ จากการอาศัยอยู่ร่วมกนั ของส่ิงมชี วี ติ ตา่ งชนิดในระบบนเิ วศ โดยกอ่ ใหเ้ กดิ ทัง้ ภาวะของการ
พงึ่ พาอาศัยกันและกนั การแก่งแยง่ แขง่ ขัน หรอื แมแ้ ตก่ ารเบยี ดเบียนสง่ิ มชี ีวิตชนดิ อนื่ เพอ่ื ความอย่รู อด
ซึ่งความสัมพันธเ์ หล่านี้ สามารถจาแนกออกเป็น 6 ประเภท โดยสง่ ผลกระทบตอ่ ส่ิงมีชวี ิตแต่ละชนิดใน
ลักษณะท่ีแตกต่างกันออกไป เช่น เป็นประโยชน์ต่อกัน (+) เป็นโทษหรือภัยคุกคาม (-) และการไม่ได้รับ
ผลกระทบและผลประโยชน์ใด ๆ (0) ดังน้ี
ภำวะพ่ึงพำอำศัยกัน (Mutualism : +/+) หมายถึง ความสัมพันธ์ระยะยาวของส่ิงมีชีวิต 2 ชนิดที่อาศัยอยู่
ร่วมกันในระบบนิเวศ โดยท่ีท้ัง 2 ฝ่ายต่างได้รบั ผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ในลกั ษณะนี้ ทาให้ส่ิงมีชีวิตทั้ง 2
ชนดิ ไมส่ ามารถแยกตวั ออกจากกนั ได้อีกเลยตลอดชว่ งชีวิต เชน่
ไลเคน (Lichens) : ส่ิงมีชีวิตท่ีเกิดจากการพ่ึงพาอาศัยกันของราและสาหร่าย โดยท่ีราทาหน้าท่ีให้ความชุ่ม
ชื้นและแรธ่ าตุแก่สาหรา่ ย ขณะทีส่ าหร่ายทาหน้าทีส่ ร้างอาหารให้ราผ่านกระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง
ภำวะกำรได้ประโยชน์ร่วมกัน (Protocooperation : +/+) หมายถึง ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต 2 ชนิดท่ี
อาศัยอยู่ร่วมกันและได้รับผลประโยชน์จากความสัมพันธ์ทั้ง 2 ฝ่าย โดยที่ส่ิงมีชีวติ ท้ัง 2 ชนิดสามารถดารงชีวติ
อยูต่ ามลาพังได้ หากเกดิ การแยกตวั ออกจากกนั เช่น
ผึ้งและดอกไม้ : ผึ้งกินน้าหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร ขณะที่ดอกไม้ได้ผ้ึงเหล่าน้ี ช่วยผสมเกสรและ
แพรข่ ยายพันธ์ุ
ปูเสฉวนและดอกไม้ทะเล : ดอกไม้ทะเลเกาะอยู่บนเปลือกปูเสฉวน เพื่อช่วยพรางตัวและป้องกันภัย
อนั ตราย ขณะทป่ี ูเสฉวนชว่ ยนาพาดอกไม้ทะเลเคลื่อนท่ีไปด้วย หาแหล่งอาหารใหมๆ่
ภำวะอิงอำศัยหรือภำวะเก้ือกูลกัน (Commensalism : +/0) หมายถึง ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต 2 ชนิดที่
อาศัยอยู่รว่ มกัน โดยทีฝ่ า่ ยหนง่ึ ไดร้ บั ผลประโยชน์ ขณะท่ีอีกฝา่ ยไม่ไดร้ บั หรอื เสียผลประโยชนใ์ ด ๆ เชน่
ฉลามและเหาฉลาม (Remora) : เหาฉลามเกาะติดกับฉลาม เพือ่ กินเศษอาหารพร้อมกบั การไดร้ ับการ
ปกป้องคุม้ ครองจากฉลาม โดยฉลามไม่ได้รบั และไมเ่ สยี ประโยชนใ์ ด ๆ จากการอย่รู ว่ มกนั
พืชอิงอาศัย (Epiphyte) : กระเช้าสีดาหรือเฟิร์นเป็นพืชที่มักเกาะอยู่ตามต้นไม้ใหญ่ เพื่อใช้เป็นแหล่ง
พักพิงอาศัย ขอแบ่งปันร่มเงาและความชื้น โดยท่ีต้นไม้ใหญ่ไม่ได้ประโยชน์หรือสูญเสียประโยชน์ใด ๆ
จากการอยรู่ ว่ มกัน
ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรอื่ งระบบนิเวศ ชุดที่ 2 ความสมั พนั ธข์ องส่ิงมีชวี ิตในระบบนเิ วศ หน้า 18
ภำวะปรสติ (Parasitism : +/-) หมำยถงึ ความสมั พันธ์ของสิ่งมีชวี ิต 2 ชนดิ ทอ่ี าศัยอย่รู ว่ มกัน โดยที่มีฝา่ ยหน่ึง
ฝา่ ยใดสูญเสียผลประโยชนห์ รอื ถูกเบยี ดเบยี นจากการเปน็ ผูถ้ ูกอาศัยที่เรยี กวา่ “โฮสต”์ (Host) ขณะท่ฝี า่ ยทไี่ ด้รับ
ประโยชนจ์ ากความสมั พนั ธล์ ักษณะน้ี หรอื “ปรสิต” (Parasite) สามารถแบง่ ออกเปน็ 3 ประเภทย่อย ไดแ้ ก่
ปรสิตภายใน (Endoparasite) เชน่ แบคทเี รยี และพยาธิชนิดต่าง ๆ
ปรสิตภายนอก (Ectoparasite) เชน่ ปลิง เห็บ หมัด และยุง
ปรสิตในเซลล์ (Intracellular Parasite) เช่น ไวรัส
ภำวะกำรล่ำเหย่ือ (Predation : +/-) หมายถึง ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชวี ิต 2 ชนิด ท่ีอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยท่ีมี
ฝา่ ยหน่ึงฝา่ ยใดได้รบั ผลประโยชน์โดยตรงหรือท่เี รียกกันว่า “ผู้ล่า” (Predator) ขณะทฝี่ า่ ยซงึ่ สูญเสียประโยชน์
หรือสูญเสียชีวิต คือ “ผู้ถูกล่า” หรือ “เหย่ือ” (Prey) น่ันเอง เช่น ส่ิงมีชีวิตในกลุ่มผู้บริโภคพืช (Herbivore)
ผู้บริโภคสัตว์ (Carnivore) และผู้บริโภคท้ังพืชท้ังสัตว์ (Omnivore) ซ่ึงความสัมพันธ์ในภาวะการล่าเหยอ่ื น้ี ถือ
เป็นอีกหน่ึงกลไกในธรรมชาติท่ีมีส่วนช่วยในการสรา้ งสมดุลให้แก่ระบบนิเวศ โดยการควบคุมจานวนประชากร
ของส่ิงมชี วี ติ ทง้ั 2 ฝา่ ย ท้งั ที่ดารงเป็นผู้ล่าและผถู้ กู ลา่
สิงโตกัดควายป่า : สงิ โตเป็นผู้ล่า สว่ นควายปา่ เปน็ เหยอื่
ภำวะกำรแข่งขัน (Competition : -/-) หมำยถึง ความสัมพันธ์ของส่ิงมีชีวิต 2 ชนิด ซึ่งดารงอยู่ภายใต้
สภาพแวดล้อมเดียวกัน และทงั้ สองฝ่ายต่างจาเปน็ ต้องใช้ทรัพยากรประเภทเดียวกนั ในการดารงชวี ติ จนก่อให้เกิด
ภาวะแก่งแยง่ แข่งขนั ทสี่ ่งผลเสียแกท่ ั้งสองฝ่าย โดยความสมั พันธ์ลักษณะน้ี สามารถแบ่งออกเป็น 2 รปู แบบ คอื
การแก่งแย่งแข่งขันระหว่างส่ิงมีชีวิตชนิดเดียวกัน (Intraspecies Competition) เช่น การแย่งอาหาร
ภายในฝูงหมาป่าหรอื การแย่งดนิ แดนและอาณาเขตของสิงโต
การแก่งแย่งแข่งขันระหว่างส่ิงมีชีวิตต่างชนิด (Interspecific Competition) เช่น การแย่งอาหารของ
เสือและสิงโต ซึ่งมแี หล่งอาหารประเภทเดยี วกนั หรือการแก่งแยง่ แสงแดดของตน้ ไม้ เปน็ ตน้
วิธีกำรรักษำสมดุลของระบบนิเวศ
ความสมดุลของระบบนิเวศ หมายถึงสภาวะที่องค์ประกอบของระบบนิเวศท้ังปัจจัยทางชีวภาพและ
ทางกายภาพมีสัดส่วนที่เหมาะสม น่ันคือสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ย่อยสลาย
สารอินทรีย์มีความสัมพันธ์กัน ส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์กันแบบภาวะพ่ึงพาอาศัยกัน โดยความสมดุลของระบบ
นเิ วศจะคงอยู่ หากยังมีความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ติ ภายในระบบ
ชดุ กิจกรรมการเรยี นรู้ เร่ืองระบบนเิ วศ ชดุ ที่ 2 ความสัมพนั ธ์ของส่งิ มีชีวติ ในระบบนิเวศ หน้า 19
กลไกกำรรักษำสมดุลของระบบนเิ วศ
การรักษาสมดลุ ของการหมุนเวยี นสารและการถา่ ยทอดพลงั งาน ทาใหเ้ กดิ การแลกเปล่ียนพลงั งานและ
สสารซง่ึ กันและกนั การรักษาสมดุลของประชากรในสิ่งมชี วี ติ เปน็ การรกั ษาสมดลุ ของผ้ผู ลติ ผู้บริโภค และผยู้ ่อย
สลายสารอนิ ทรยี ์ เกดิ การถ่ายทอดพลงั งานไปตามโซ่อาหาร
กำรเสยี สมดลุ ของระบบนเิ วศ
โดยปกติแล้วระบบนิเวศจะมีการแลกเปลี่ยนสสารและพลังงานตลอดเวลา ทาให้ระบบนิเวศสมดุล ซ่ึง
ปัจจยั ท่ที าใหร้ ะบบนเิ วศเสียสมดลุ ไดแ้ ก่
ปจั จยั ท่เี กดิ จากธรรมชาติ เชน่ น้าท่วม ไฟไหมป้ า่ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบดิ ซึ่งการสญู เสยี สมดุลของ
ระบบนเิ วศแบบนี้ ระบบนเิ วศจะซอ่ มแซมและสร้างระบบนเิ วศใหม่ได้อีกครั้ง
ปัจจัยท่ีเกิดจากการกระทาของมนุษย์ เนื่องจากการเพ่ิมจานวนประชากร ทาให้มีการพัฒนาท้ังด้าน
การดารงชีวิต ด้านการเกษตร หรือด้านเทคโนโลยี ดังนั้นจึงต้องรุกล้าพื้นที่ธรรมชาติ ตัดไม้ทาลายป่า
หรอื ทาลายสิง่ แวดล้อม เพ่อื อานวยความสะดวกสบายให้แก่มนษุ ย์
กำรรักษำสมดลุ ของระบบนิเวศ
ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม ไม่ทาลายแหล่ง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เช่น การท่องเที่ยวเชิง
อนุรักษ์ การทาเกษตรผสมผสาน การอุตสาหกรรมเชิงอนุรักษ์ การพัฒนาท้องถ่ินแบบย่ังยืนฟ้ืนฟูแหล่ง
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมที่เสื่อมโทรม สร้างจิตสานึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอ้ มให้แก่ประชาชน
ชุดกจิ กรรมการเรยี นรู้ เรอื่ งระบบนิเวศ ชุดที่ 2 ความสัมพนั ธข์ องส่งิ มชี ีวติ ในระบบนิเวศ หนา้ 20
ภาคผนวก
แนวการตอบคาถามแต่ละกิจกรรมของชุดกิจกรรมการเรียนรู้
เร่อื ง ระบบนเิ วศ ชดุ ที่ 2 ความสมั พนั ธ์ของสิง่ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ
กิจกรรมที่ 1 “การถา่ ยทอดพลงั งานในระบบนิเวศ” (30 นาที)
คาชีแ้ จง: ให้นกั เรยี นวิเคราะห์ความสมั พันธ์ของสิง่ มีชวี ติ ในระบบนิเวศดงั ภาพต่อไปน้ี ประกอบการตอบคาถาม
ข้อ 1-5
1. ความสัมพนั ธ์ในภาพเรยี กว่า สายใยอาหาร (Food Web)
2. จงเขยี นโซอ่ าหารแสดงการถา่ ยทอดพลงั งานทกุ โซ่อาหาร
หญา้ หนู งู หมาปา่ เหยีย่ ว
หญา้ กระต่าย งู หมา เหย่ยี ว
หญ้า กระตา่ ย หมาปา่ เหย่ยี ว
หญ้า หนอน นก เหยี่ยว
หญา้ ตกั๊ แตน แมงมุม นก เหย่ยี ว
หญา้ ต๊กั แตน แมงมุม กบ เหยย่ี ว
3. ถ้าพชื และสตั วต์ ายลงพลงั งานจะถ่ายทอดใหก้ ับ ผ้ยู ่อยสลายอนิ ทรียสาร (Decomposer)
ซึง่ ได้แก่ แบคทเี รยี เหด็ รา
4. ให้นักเรยี นเลอื กโซ่อาหารจากข้อ 2 มา 1 โซอ่ าหารแลว้ นามาเขียนแผนภาพพีระมดิ พลังงาน
แผนภาพพีระมดิ พลงั งาน เหยี่ยว
โซอ่ าหาร หญา้ ตั๊กแตน แมงมมุ นก
5. หากระบบนิเวศในภาพข้อ 1 มกี ารฉดี พ่นสารฆา่ หญา้ นักเรียนคิดว่าการฉดี พ่นสารฆ่าหญ้านีจ้ ะส่งผลกระทบ
ตอ่ ระบบนิเวศอยา่ งไรบา้ ง จงอธบิ าย
หากมีการฉดี พน่ สารฆา่ หญา้ สารเคมดี ังกล่าวอาจตกคา้ งและถูกถา่ ยทอดไปตามโซ่อาหาร โดยปริมาณสารพิษ
สะสมจะค่อย ๆ เพิม่ สูงขน้ึ และหากการฉดี พ่นสารฆ่าหญา้ จนทาใหไ้ ม่มีหญา้ เหลืออยู่จะส่งผลโดยตรงกบั สัตว์ท่ี
บรโิ ภคพชื หรอื ผ้บู รโิ ภคอนั ดับท่ี 1 ที่จะไม่มีอาหารในการดารงชวี ติ จนเกิดเป็นการเสยี สมดลุ ของระบบนิเวศ
กิจกรรมที่ 2 “ความสัมพันธข์ องสงิ่ มชี วี ิตในระบบนิเวศ” (60 นาที)
คาช้ีแจง: ให้นักเรียนศึกษาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตจากน้ันนาความรู้มาอธิบายความสัมพันธ์ระหว่าง
ส่ิงมชี ีวติ กับสิ่งมีชวี ิตในระบบนเิ วศให้ถูกต้อง
รปู แบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวติ ไดแ้ ก่ ภาวะพ่ึงพากนั , ภาวะการได้ประโยชน์ร่วมกัน ,
ภาวะอิงอาศยั กัน , ภาวะการแข่งขัน , ภาวะปรสติ และการล่าเหย่ือ
ตวั อย่างความสัมพนั ธ์ รูปแบบความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มีชวี ิต เครื่องหมายแสดง
ความสัมพันธ์
1. นกทารงั บนตน้ ไม้ ภาวะองิ อาศยั +/0
2. ไลเคน (Lichen) (รากับสาหรา่ ย) ภาวะพง่ึ พากนั +/+
3. มดดากับเพลย้ี ภาวะการไดป้ ระโยชน์ร่วมกัน +/+
4. โพรโทซวั ในลาไสป้ ลวก ภาวะพึ่งพากัน +/+
5. ตน้ ไม้ชนดิ ต่าง ๆ ขน้ึ บรเิ วณเดยี วกนั ภาวะการแข่งขนั -/-
6. กาฝากกับต้นไม้ ภาวะปรสติ +/-
7. ปลาฉลามกบั เหาฉลาม ภาวะองิ อาศยั +/0
8. สิงโตกนิ ม้าลาย การลา่ เหยื่อ +/-
9. หมดั กับสนุ ขั ภาวะปรสติ +/-
10. ปเู สฉวนกับดอกไม้ทะเล ภาวะการไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั +/+
11. ปลาใหญ่กินปลาเล็ก การลา่ เหยอื่ +/-
12. เสือกับสิงโตที่อยู่บรเิ วณเดยี วกัน ภาวะการแขง่ ขัน -/-
จากตารางข้างต้นสามารถจาแนกประเภทโดยจัดกลุ่มสิง่ มชี ีวติ ตามความสัมพันธท์ ี่คล้ายคลึงกันไว้ดว้ ยกนั ได้ดังน้ี
รปู แบบความสมั พันธ์ ตัวอย่างความสัมพนั ธ์
ของสิ่งมีชวี ิต
ภาวะพึ่งพากนั - ไลเคน (Lichen) (รากบั สาหรา่ ย)
- โพรโทซัวในลาไสป้ ลวก
ภาวะการได้ประโยชนร์ ว่ มกนั - มดดากับเพลย้ี
- ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล
ภาวะอิงอาศัยกัน - นกทารังบนต้นไม้
- ปลาฉลามกับเหาฉลาม
ภาวะการแข่งขัน - ต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ขึ้นบริเวณเดยี วกนั
- เสือกับสงิ โตท่อี ยู่บริเวณเดียวกนั
ภาวะปรสิต - กาฝากกบั ต้นไม้
- หมัดกบั สนุ ขั
การล่าเหยื่อ - สิงโตกินม้าลาย
- ปลาใหญก่ ินปลาเลก็
กิจกรรมที่ 3 “เขียนสรปุ องค์ความรู้” (45 นาที)
คาชี้แจง: ให้นกั เรยี นเขียนสรุปองค์ความรเู้ กีย่ วกับความสมั พันธ์ของส่ิงมชี ีวติ ในระบบนเิ วศ
ความสมั พนั ธ์ของสิ่งมีชีวติ ในระบบนิเวศ
รูปแบบ ลักษณะ ตัวอย่าง
ความสมั พนั ธ์
ความสัมพนั ธ์ ความสัมพันธ์ ไลเคน (Lichens)
ภาวะพึง่ พาอาศยั กัน ความสมั พันธ์ที่ทงั้ 2 ฝ่ายต่างได้รบั ผลประโยชน์โดย ผ้ึงและดอกไม้
(Mutualism : +/+) ทัง้ 2 ชนดิ ไมส่ ามารถแยกตวั ออกจากกนั ได้อกี ตลอด ฉลามและเหาฉลาม
(Remora)
ช่วงชวี ติ เหบ็ และสนุ ัข
ภาวะการได้ประโยชน์รว่ มกนั ความสมั พันธ์ท่ีทง้ั 2 ฝา่ ยไดร้ ับผลประโยชน์ โดยท่ี สงิ โตกดั ควายปา่
(Protocooperation : +/+) สง่ิ มีชวี ติ ทัง้ 2 ชนิดสามารถดารงชีวิตอยตู่ ามลาพังได้ การแยง่ อาหารของเสือ
และสิงโต
หากเกิดการแยกตวั ออกจากกัน
ภาวะอิงอาศัย ความสมั พนั ธ์ทฝ่ี า่ ยหนง่ึ ไดร้ ับผลประโยชน์ ขณะที่อกี
(Commensalism : +/0) ฝา่ ยไมไ่ ดร้ ับหรือเสยี ผลประโยชนใ์ ด ๆ
ภาวะปรสติ ความสัมพนั ธ์ที่มีฝา่ ยหนึง่ ฝา่ ยใดสูญเสียผลประโยชน์
(Parasitism : +/-) หรือถูกเบียดเบียนจากการเป็นผู้ถูกอาศัย (โฮสต์)
ภาวะการลา่ เหยอื่ ความสัมพนั ธ์ที่มีฝ่ายหนง่ึ ฝา่ ยใดได้รบั ผลประโยชน์
(Predation : +/-) โดยตรงหรือทเ่ี รียกกันว่า “ผู้ล่า”
ภาวะการแขง่ ขัน ความสมั พันธ์ที่ท้งั สองฝา่ ยตา่ งจาเปน็ ต้องใช้ทรัพยากร
(Competition : -/-) ประเภทเดียวกนั ในการดารงชีวติ จนก่อใหเ้ กดิ ภาวะ
แก่งแย่งแขง่ ขนั ท่สี ่งผลเสียแก่ท้งั สองฝ่าย
กจิ กรรมที่ 4 “การดแู ลรักษาระบบนเิ วศในทอ้ งถน่ิ ให้สมดุล” (30 นาท)ี
คาชแ้ี จง: ให้นกั เรยี นอ่านสถานการณ์ที่กาหนดให้ จากนั้นวิเคราะห์ถึงปัญหาของระบบนิเวศในทอ้ งถิ่น
ประกอบการตอบคาถามข้อ 1-3
พื้นที่ปลกู ข้าวในจังหวัดหน่ึง มกี ารใชส้ ารเคมีกาจดั ศัตรูพชื ต่อเน่ืองเป็นเวลานาน ในช่วงแรกของการปลูก
ข้าวได้ผลผลิตข้าวเพ่ิมขึ้นและมีคาใช้จ่ายในการกาจัดศัตรูพืชน้อย ต่อมาไม่นาน พบว่าเกิดการระบาดของเพล้ีย
กระโดดสีน้าตาล นักวิชาการเกษตรพบว่าสาเหตุของการระบาดของเพล้ียกระโดดสีน้าตาล เกิดจากการฉีดพ่น
สารเคมีกาจัดศัตรูพืชซึ่งส่งผลกระทบให้จานวนประชากรของศัตรูตามธรรมชาติของเพล้ียกระโดดสีน้าตาล เช่น
มวนเขียวดูดไข่ แมงมุมสุนัขป่าลดลงเป็นจานวนมาก เพราะขณะท่ีเกษตรกรฉีดพ่นสารเคมีกาจัดศัตรูพืช เพล้ีย
กระโดดสีน้าตาลและศัตรูตามธรรมชาติจะถูกทาลาย แต่สารเคมีเหล่านี้ไม่สามารถทาลายไข่ของเพล้ียกระโดดสี
นา้ ตาลได้ ทาใหต้ วั อ่อนทีพ่ ักออกจากไขม่ ีโอกาสรอดชีวติ จงึ ส่งผลให้ขา้ วเสยี หายและไดผ้ ลผลติ ลดลง
1. ปญั หาของระบบนเิ วศจากสถานการณ์คอื อะไร และมีสาเหตุมาจากอะไร
แนวคาตอบ สาเหตเุ กดิ จากการกระทาของมนุษย์ คือ การใช้สารเคมที างการเกษตร แลว้ ทาให้เกดิ ปัญหากับ
สิง่ แวดล้อม คือ การระบาดของเพลยี้ กระโดดสนี า้ ตาล
2. แนวทางในการแก้ปญั หาทาไดอ้ ย่างไร
แนวคาตอบ ขึ้นอยู่กับคาตอบของนักเรยี น เช่น ลดการใช้สารเคมี ลดการรบกวนส่ิงแวดลอ้ มหรอื ใช้การควบคุม
โดยชีววธิ ี ที่นาสิง่ มชี วี ิตบางชนดิ มาควบคมุ การเพมิ่ จานวนประชากรของศัตรูพืชได้
3. ในทอ้ งถิน่ ของนักเรยี นประสบปัญหาเกีย่ วกบั ระบบนเิ วศหรอื ไม่ มีแนวทางในการแก้ไขปญั หาอยา่ งไร
แนวคาตอบ ตอบตามข้อมูลและผลของการทากจิ กรรมของนักเรียน เชน่ แมน่ ้ามีขยะและเน่าเสีย นกั เรยี นจึง
ระดมความคิดจดั กจิ กรรมเกบ็ ขยะในแม่นา้ พร้อมทงั้ ทาป้ายรณรงคไ์ ม่ให้มีการทิง้ ขยะลงแหลง่ นา้
กจิ กรรมที่ 5 “เกมจบั คคู่ วามสัมพนั ธข์ องสงิ่ มีชีวิตในระบบนิเวศ” (15 นาท)ี
คาชี้แจง: ให้นักเรยี นลากเส้นจบั คคู่ าสาคญั กับความหมายของคาสาคัญใหถ้ ูกต้อง
คาสาคญั ความหมาย
ภาวะพง่ึ พากัน ความสมั พันธ์ที่ท้ัง 2 ฝา่ ยต่างได้รับผลประโยชน์จาก
ความสัมพนั ธ์น้ี ทาใหส้ ่ิงมีชวี ติ ท้ัง 2 ชนิดไมส่ ามารถแยกตวั
ภาวะการได้ประโยชนร์ ว่ มกัน ออกจากกันได้อีกเลยตลอดช่วงชวี ติ
ภาวะอิงอาศยั กัน ความสมั พนั ธ์ท่ีทง้ั สองฝ่ายตา่ งจาเป็นต้องใช้ทรัพยากร
ประเภทเดียวกนั ในการดารงชวี ิต จนก่อให้เกิดภาวะแก่งแย่ง
ภาวะการแข่งขัน แข่งขันทีส่ ่งผลเสียแก่ทั้งสองฝ่าย
ภาวะปรสิต ความสัมพันธ์ที่ทั้ง 2 ฝา่ ยไดร้ บั ผลประโยชน์จาก
ความสมั พนั ธ์น้ี โดยท่สี ิ่งมีชวี ติ ทง้ั 2 ชนดิ สามารถดารงชีวิต
การลา่ เหยื่อ อยู่ตามลาพังได้ หากเกิดการแยกตวั ออกจากกัน
ความสัมพนั ธ์ท่ีมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดได้รบั ผลประโยชน์โดยตรง
หรอื ท่ีเรียกกันวา่ “ผูล้ ่า”
ความสมั พนั ธ์ที่ฝ่ายหน่ึงไดร้ ับผลประโยชน์ ขณะทอี่ ีกฝ่าย
ไม่ไดร้ ับหรือเสียผลประโยชน์ใด ๆ
ความสัมพนั ธ์ที่มีฝา่ ยหน่ึงฝ่ายใดสูญเสยี ผลประโยชน์ หรือ
ถูกเบียดเบียนจากการเป็นผู้ถูกอาศัยที่เรยี กวา่ “โฮสต์”