โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 1 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววทิ ยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอื่ ของพชื
บทที่ 1 โครงสร้างและหน้าทขี่ องพืชมดี อก
ในบทน้ีนกั เรียนจะไดศ้ ึกษาเน้ือหาท้งั หมดดว้ ยกนั 5 หวั ขอ้ คือ
1.1 เน้ือเยอื่ ของพชื
1.2 โครงสร้างและหนา้ ที่ของราก
1.3 โครงสร้างและหนา้ ท่ีของลาตน้
1.4 โครงสร้างและหนา้ ที่ของใบ
1.5 การเจริญเติบโตของรากและลาตน้
ซ่ึงเน้ือหาในแต่ละหวั ขอ้ จะอธิบายตามลาดบั ดงั น้ี
เนื้อเยื่อของพืช (plant tissue)
พืชเป็ นส่ิงมีชีวติ ชนิดหน่ึงท่ีประกอบดว้ ยเซลล์(cell) หลายๆเซลลม์ ารวมกลุ่มทางานร่วมกนั กลุ่ม
ของเซลล์ท่ีมาทางานร่วมกนั น้ีเราเรียกว่า เน้ือเยื่อ (tissue)จากการศึกษาพบว่าเน้ือเยื่อพืชแบ่งเป็ น 2
ประเภทใหญ่ ๆ ตามความสามารถในการแบง่ ตวั ไดแ้ ก่
1.เน้ือเยอ่ื เจริญ (meristematic tissues) หมายถึงกลุ่มของเซลลท์ ่ีมีการเจริญและแบ่งตวั แบบไมโทซีส
(mitosis) อยตู่ ลอดเวลา
2.เน้ือเยอื่ ถาวร (permanent tissues) หมายถึงกลุ่มของเซลลท์ ่ีในสภาพปกติไมม่ ีการแบ่งตวั โดย
เซลลเ์ หล่าน้ีเจริญเปล่ียนแปลงมาจากเน้ือเยอ่ื เจริญอีกทีหน่ึง รายละเอียดของเน้ือเยอ่ื แตล่ ะชนิดมีดงั น้ี
เนื้อเยื่อเจริญ (meristematic tissues)
หมายถึงกลุ่มของเซลลท์ ่ีมีการเจริญและแบง่ ตวั แบบไมโทซีส(mitosis) อยตู่ ลอดเวลาและเป็นเซลล์
ที่มีลกั ษณะดงั น้ี
1. มีขนาดเล็ก ภายในเซลล์มีไซโทพลาสซึม (cytoplasm)ขน้ และมีนิวเคลียสใหญอ่ ยกู่ ลางเซลล์
2. มีผนงั บาง
3. มีแวคิวโอล (vacuole)ขนาดเลก็ หรือไมม่ ีเลย
4. เซลลม์ ีรูปร่างไดห้ ลายแบบแต่ส่วนมากคอ่ นขา้ งกลมหรือเหลี่ยม
โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 2 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพชื
5. เซลลแ์ ตล่ ะชนิดอยชู่ ิดติดกนั มาก ไมม่ ีช่องวา่ งระหวา่ งเซลล์ (intercellular space)
เน้ือเยอ่ื เจริญสามารถจาแนกตามตาแหน่งท่ีพบในส่วนตา่ ง ๆ ของพชื ไดเ้ ป็น 3 ชนิด ไดแ้ ก่
☺ เน้ือเยอ่ื เจริญส่วนปลาย (apical meristem)
คือเน้ือเยอ่ื ท่ีอยบู่ ริเวณปลายยอด (shoot tip ) หรือปลายราก (root tip) ของพืช เมื่อมีการแบ่งตวั
เพม่ิ จานวนเซลลจ์ ะทาใหร้ ากและลาตน้ ยดื ยาวออก
รูปท่ี 1 เน้ือเยอื่ เจริญปลายยอด
(http://users.rcn.com/jkimball.ma.ultranet/BiologyPages/M/meristem.gif)
☺ เน้ือเยอ่ื เจริญเหนือขอ้ (intercalary meristem)
คือเน้ือเยื่อท่ีอยูบ่ ริเวณเหนือขอ้ หรือโคนของปลอ้ งในพืชใบเล้ียงเด่ียว เช่น ออ้ ย ไผ่ ขา้ วโพด
หรือหญา้ เป็นตน้ เมื่อมีการแบง่ ตวั จะช่วยใหป้ ลอ้ งยาวข้ึน
รูปที่ 2 เน้ือเยอื่ เจริญเหนือขอ้
(http://www.botany.hawaii.edu/faculty/webb/BOT201/EQUISETU/IntercNodeHueLab.jpg )
โรงเรียนมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 3 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพชื
นอกจากน้ี intercalary meristem ยงั พบตามกา้ นช่อดอกของพืชบางชนิด เช่น พวกวา่ นสี่ทิศ
ดอกพลบั พลึง ซ่ึงเป็นกา้ นช่อดอกที่แทงข้ึนมาจากดินโดยตรง
☺เน้ือเยอ่ื เจริญดา้ นขา้ ง (lateral meristem หรือ axillary meristem)
คือเน้ือเย่ือเจริญที่แบ่งตวั ออกดา้ นขา้ งของลาตน้ หรือราก เมื่อแบ่งตวั แลว้ จะทาให้ลาตน้ ราก
ขยายขนาดออกทางด้านขา้ งหรือมีขนาดใหญ่ข้ึน บางคนอาจเรียกเน้ือเยื่อเจริญดา้ นขา้ งน้ีอีกอย่างว่า
แคมเบียม (cambium) แบง่ เป็น 2 ชนิดคือ
1. vascular cambium เป็น Cambium ท่ีเกิดข้ึนในกลุ่มท่อลาเลียง
รูปที่ 3 vascular cambium ของลาตน้ หมอนอ้ ย (ตถั ยแ์ ละคณะ, 2546)
2. cork cambium เป็ น Cambium ท่ีเกิดในช้นั cortex หรือช้นั stele เพ่ือสร้างช้นั
cork และ phlloderm
รูปท่ี 4 cork cambium ของลาตน้ แกว้ (ทิพยอ์ าภาและรรินธร, 2546)
โรงเรียนมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 4 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววทิ ยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอื่ ของพชื
เนื้อเยื่อถาวร (permanent tissues)
หมายถึงกลุ่มของเซลล์ท่ีในสภาพปกติไม่มีการแบ่งตวั โดยเซลล์เหล่าน้ีเจริญเปล่ียนแปลงมา
จากเน้ือเยอ่ื เจริญอีกทีหน่ึง แบง่ ออกได้ 2 ประเภท คือ
2.1 เนื้อเย่ือถาวรเชิงเด่ียว (simple permanent tissues)
หมายถึงเน้ือเย่ือท่ีประกอบดว้ ยกลุ่มเซลล์ชนิดเดียวกนั มารวมกนั เพ่ือทาหนา้ ท่ีอย่างเดียวกนั
แบ่งออกไดห้ ลายชนิดตามตาแหน่งที่อยหู่ รือตามหนา้ ท่ีและส่วนประกอบภายในเซลล์ ไดแ้ ก่ epidermis
parenchyma collenchyma sclerenchyma endodermis และ cork โดยมีรายละเอียดแต่ละเน้ือเยือ่
ดงั น้ี
epidermis
เป็นเน้ือเยอ่ื ถาวรเชิงเด่ียวที่มีลกั ษณะ
1. อยชู่ ้นั นอกสุดของส่วนตา่ ง ๆของพืชในระยะการเจริญข้นั แรก(primary growth)
2. มีกาเนิดมาจากช้นั protoderm ของ primary meristem
3. มีหนา้ ที่ปกป้องคุม้ ครองเน้ือเยอ่ื ตา่ ง ๆ ที่อยภู่ ายในของพชื ท้งั ราก ลาตน้ ใบ ดอก ผล เมล็ด
แตพ่ ืชท่ีมีการเจริญข้นั ที่สอง (secondary growth) เน้ือเยอ่ื epidermis จะสลายไป เพราะมีช้นั ของ cork ท่ี
เกิดข้ึนใต้ epidermis เจริญดนั ออกมา
4. เซลลข์ อง epidermis เป็นรูปสี่เหลี่ยมผนื ผา้ ส่วนมากเรียงอยชู่ ้นั เดียว แตพ่ ชื บางชนิดอาจมี
หลายช้นั เรียกวา่ multiple epidermis เช่นในรากกลว้ ยไมเ้ รียก multiple epidermis น้ีวา่ velamen
5. ผิวดา้ นนอกของเซลล์ epidermis มีสารข้ีผ้ึงพวกคิวติน (cutin) ฉาบอยู่เพื่อช่วยป้องกนั
การระเหยของน้า ช้นั ของคิวตินน้ีเรียกวา่ คิวติเคิล (cuticle)
6. เซลลข์ อง epidermis แต่ละเซลลเ์ รียกวา่ epidermal cell
7. epidermal cell บางเซลลม์ ีการเปล่ียนแปลงรูปร่างไปทาหนา้ ที่เฉพาะอยา่ งเช่น
1.) เปลี่ยนเป็น Trichome คือส่วน ของ epidermis ที่ยน่ื ออกมาเช่น ขนราก (root hair)
โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 5 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอื่ ของพืช
2.) เปล่ียนเป็นปากใบ (stomata)
ปากใบ (stomata) ในการเรียนวชิ า ชว 103 (ชีววทิ ยา 3 ) เพื่อใหเ้ ขา้ ใจตรงกนั เป็ นปากใบที่เกิด
จากเซลล์ของ epidermis 2 เซลล์ เปล่ียนรูปร่างไป มีลกั ษณะคลา้ ยเมล็ดถว่ั ที่หันดา้ นเวา้ เขา้ ประกบกนั
ตรงกลางเกิดเป็ นช่องหรือรูเปิ ด (pore) เซลล์ท้งั สองน้ีเรียกวา่ เซลล์คุม (guard cell) และเรียกรวมท้งั
เซลลค์ ุมและรูเปิ ดน้ีวา่ ปากใบ (stomata)
Parenchyma
เป็นเน้ือเยอ่ื ถาวรเชิงเดี่ยวที่มีลกั ษณะสาคญั ท่ีควรรู้ดงั น้ี
1. ประกอบดว้ ยเซลลท์ ี่มีชีวติ พบไดแ้ ทบทุกส่วนของอวยั วะพืชในช้นั cortex หรือช้นั pith ของ
ลาตน้ และราก ถือไดว้ า่ เป็นเน้ือเยอ่ื ที่พบมากท่ีสุดในพชื
2. มีกาเนิดมาจาก ground meristem แต่ parenchyma ท่ีอยใู่ นกลุ่มท่อลาเลียงเจริญมาจาก
procambium
3. เซลล์ของ parenchyma รูปร่างหลายแบบ บางเซลลค์ ่อนขา้ งกลม รี ทรงกระบอกหรือเป็ น
เหล่ียม เม่ือเซลล์มาเรียงชิดติดกนั จึงทาให้มีช่องวา่ งระหวา่ งเซลล์ (intercellular space) เกิดข้ึนตาม
มุมที่เซลลแ์ ตะกนั ซ่ึง intercellular space เป็นลกั ษณะเฉพาะของ parenchyma
รูปที่ 6 parenchyma ของลำตน้ วา่ นกาบหอย
4. parenchyma มีรูปร่างไดห้ ลายแบบแตกตา่ งกนั ไปตามตาแหน่งท่ีอยแู่ ละหนา้ ท่ีพิเศษ เช่น
โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 6 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวชิ าชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพืช
ในพืชน้าบางชนิด parenchyma มีช่องวา่ งระหวา่ งเซลลใ์ หญ่ทาให้เกิดช่องวา่ งที่เรียกวา่ air space ช่วย
สะสมอากาศจึงเรียก parenchyma ชนิดน้ีไดอ้ ีกอยา่ งหน่ึงวา่ aerenchyma
รูปที่ 7 aerenchyma ของใบอะเมซอนใบมน (ปริยาและวชิ ญม์ ล, 2546)
บางเซลลข์ อง parenchyma ภายในมีเมด็ คลอโรพาสต์ (chloroplast)เรียก parenchyma ชนิดน้ีวา่
chlorenchyma
รูปที่ 8 chlorenchyma ของลาตน้ หมอนอ้ ย (ตถั ยแ์ ละคณะ, 2546)
5. หนา้ ที่ของ parenchyma มีดงั น้ี
1. สะสมอาหาร เช่นสะสมแป้ง เราเรียกเมด็ แป้งท่ีสะสมอยูใ่ น parenchyma วา่ amyloplast หรือ
starch grain เมด็ แป้งมีรูปร่างกลมหรือ รี มีช้นั lamella ลกั ษณะเป็ นวง ๆ คลา้ ยลายนิ้วมือและมีจุด
ศูนยก์ ลางของช้นั เรียกวา่ hilum
2. สร้างอาหารโดยกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง โดยเฉพาะ chlorenchyma
3. ช่วยในการลาเลียง เช่น xylem ray และ phloem ray
โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 7 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพืช
4.
รูปที่ 9 starch grain ใน parenchyma ของลำตน้ วา่ นกาบหอย
Collenchyma
เป็นเน้ือเยือ่ ถาวรเชิงเดี่ยว เจริญมาจาก ground meristem ประกอบดว้ ยเซลล์ ์์ที่มีชีวิตและผนงั
เซลลห์ นามากตามมุมของเซลล์ ผนงั ท่ีหนาตามมุมและไมส่ ม่าเสมอกนั น้ีเป็นการเพิ่มความยึดหยุน่ ใหแ้ ก่
เซลล์ สารท่ีมาฉาบที่ผนังเป็ นสารประกอบพวกเซลลูโลสและเพคติน ผนังเซลล์ที่หนาไม่เท่ากนั
นอกจากจะเพิ่มความยดึ หยุน่ แลว้ ยงั ทาใหร้ ูปร่างของ collenchyma แตกต่างกนั ไป สามารถแบ่งออกได้
หลายชนิดตามรูปร่างดงั น้ี
- Angular collenchyma เป็ น collenchyma ท่ีมีการฉาบของผนงั เซลล์หนาตามมุม
เซลลม์ ากกวา่ ส่วนอื่น
- Lamellar collenchyma เป็ น collenchyma ท่ีมีสารมาฉาบผนังเซลลด์ า้ นชิดกบั
epidermis และดา้ นตรงขา้ มหนามาก เม่ือดูจากการตดั ตามขวางจะเห็นช่องตรง
กลางเซลลค์ ลา้ ยรูปสี่เหล่ียมผนื ผา้
- Annular collenchyma มีสารที่ฉาบผนงั เซลลห์ นามาก เม่ือดูจากการตดั ตามขวางจะ
เห็นช่องกลางเซลลเ์ ลก็ คอ่ นขา้ งกลม
โรงเรียนมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 8 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววทิ ยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอื่ ของพชื
รูปที่ 10 collenchyma ของลำตน้ เอ้ืองทอง (พมิ พชั ราและสุนทรา, 2546)
หน้าทขี่ อง collenchyma
1. ช่วยพยุงหรือช่วยเสริมความแข็งแรงให้แก่พืชโดยเฉพาะต้นอ่อน
(seedling) ไมล้ ม้ ลุก (herb) และไมเ้ ล้ือย(climber)
2. ใหค้ วามแขง็ แรงแก่กา้ นใบและเส้นกลางใบ
ตาแหน่งทพี่ บ collenchyma
collenchyma มีตาแหน่งที่พบไมแ่ น่นอนเช่น
กระจายอยรู่ อบลาตน้ อยเู่ ป็นกลุ่มๆ อยบู่ ริเวณมุมของลาตน้
Sclerenchyma
เป็ นเน้ือเยื่อถาวรเชิงเด่ียวที่มีผนงั เซลล์หนามาก เน่ืองจากมี secondary wall มาฉาบทบั ช้ัน
primary wall อีกช้นั หน่ึง ส่วนใหญ่สารที่มาฉาบเป็นสารพวกลิกนิน (lignin)
การมาสะสมของลิกนินทาใหผ้ นงั มีความแข็งแรงมาก จึงทาให้ sclerenchyma ถือไดว้ า่ เป็ น
โครงกระดูกหรือโครงร่างของพืช (plant skeleton)
sclerenchyma เม่ือเจริญเตม็ ที่เป็นเซลลไ์ ม่มีชีวติ
sclerenchyma ท่ีอยูใ่ นช้นั cortex เกิดมาจาก ground meristem แต่ถา้ เป็ น sclerenchyma ที่อยู่
ในกลุ่มท่อลาเลียง (bundle sheath )จะเกิดมาจาก procambium ช่วยใหเ้ กิดความแขง็ แรงแก่ vascular
bundle
โรงเรียนมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 9 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววทิ ยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพืช
Sclerenchyma แบง่ ออกเป็น 2 ชนิด ตามลกั ษณะรูปร่าง คือ
1. Fiber
มีรูปร่างของเซลลย์ าวมาก หวั แหลมทา้ ยแหลม ผนงั เซลลห์ นามากเป็ นสารประกอบลิกนิน ทาให้
ช่องกลางเซลลห์ รือ lumen แคบมากจนแทบจะมองไมเ่ ห็น ส่วนมากเป็ นเซลลท์ ่ีตายแลว้ บริเวณท่ีจะพบ
fiber ไดแ้ ก่ บริเวณช้นั ของ cortex บริเวณ phloem ที่เราเรียกวา่ phloem fiber และก็ยงั พบท่ี xylem
ก็เรียกวา่ xylem fiber
2. Sclereid
เป็น sclerenchyma ที่มีรูปร่างหลายแบบ เช่น กลม รี หรือ รูปร่างยาวแต่ก็ยงั ส้ันกวา่ fiber ผนงั เซลล์
หนามากเป็นสารประกอบลิกนิน ทาใหช้ ่องกลางเซลล์หรือ lumen แคบแต่การสะสมของสารประกอบ
ลิกนินจะไม่สม่าเสมอคือมีการสะสมเป็ นช่วงๆต่อกนั จึงทาให้เกิดรอยต่อหรือช่องว่างท่ีเกิดจากการ
สะสมที่ไม่ต่อเนื่องเรียกรอยตอ่ อนั น้ีวา่ pit
Sclereid พบตามส่วนที่แข็งของเปลือกไม้ เปลือกหุ้มเมล็ด เช่นกะลามะพร้าว เมล็ดพุทรา และ
เน้ือผลไมท้ ่ีสากๆ เช่น สาล่ี แอปเปิ้ ล เป็นตน้
รูปที่ 11 ลกั ษณะของ sclereid และ fiber
(http://www.cropsci.uiuc.edu/classes/cpsc121/images/FormFunction/sclerenchyma3.jpg)
Endodermis
เป็ นเน้ือเยื่อที่อยถู่ ดั ออกมาจากเน้ือเย่อื ลาเลียงในราก หรือเป็ นเน้ือเยอื่ ช้นั ในสุดของช้นั cortex
รูปร่างของเซลลค์ ลา้ ย parenchyma เซลลเ์ รียงตวั เพียงช้นั เดียว ไม่มีช่องวา่ งระหวา่ งเซลล์ ผนงั เซลล์
จะหนา 3 ดา้ น คือดา้ นขา้ งและด้านที่ติดกบั ช้นั stele โดยสารท่ีมาพอกน้ีเป็ นสารพวก lignin และ
suberin การมีลกั ษณะผนงั หนา 3 ดา้ นน้ีเป็นประโยชนใ์ นการยบั ย้งั มิใหน้ ้าและเกลือแร่ที่ขนรากดูดเขา้
โรงเรียนมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 10 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวชิ าชีววทิ ยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพชื
มาลาเลียงไปสู่ xylem รวดเร็วเกินไป เซลลข์ อง endodermis บางเซลลม์ ีลกั ษณะท่ีเป็ นผนงั บางคือไม่
มีการฉาบของของสาร lignin และ suberin เรียกเซลลท์ ี่มีลกั ษณะเช่นน้ีวา่ passage cell เพราะเซลล์
บริเวณน้ีจะเป็ นช่องทางใหน้ ้าผา่ นเขา้ สู่ xylem ในช้นั stele นนั่ เอง นอกจากน้ี endodermis ยงั มีแถบ
ที่เรียกวา่ casparian strip อยดู่ ว้ ยซ่ึงแถบ casparian strip จะช่วยในการป้องกนั ไม่ให้น้าแพร่ผา่ น
ระหวา่ งเซลลข์ อง endodermis ดว้ ยกนั เอง
รูปที่ 12 ลกั ษณะของ endodermis ในรากของวา่ นกาบหอย
Cork
Cork เป็ นเน้ือเยอ่ื ถาวรเชิงเดี่ยวที่พบในพืชที่มีการเจริญในข้นั ท่ี 2 ( secondary growth) ซ่ึงอาจ
เกิดในช้นั cortex ของลาตน้ หรือในช้นั stele ของรากก็ได้ โดยมีกระบวนการเกิดเร่ิมจาก cork
cambium ซ่ึงเป็ น lateral meristem ที่อาจเกิดจาก pericycle cortex epidermis หรือ phloem ก็ได้
แลว้ แต่ชนิดของพืช
cork cambium หรืออีกชื่อหน่ึงคือ phellogen จะทาการแบ่งเซลล์โดยแบ่งเซลล์ให้เซลล์ใหม่
ทางดา้ นนอกที่เรียกวา่ cork หรืออีกช่ือคือ phellem และแบ่งให้กลุ่มเซลล์ทางดา้ นในที่เรียกวา่
phelloderm
cork หรือ phellem ซ่ึงเป็ นเซลลท์ ี่อยทู่ างดา้ นนอกจะมีสารพวก suberin มาสะสมทาใหน้ ้า
ผา่ นเขา้ มาไม่ได้ ส่งผลใหใ้ นที่สุดเซลล์ cork ก็ตาย
เม่ือมีการแบ่งตวั ของ cork cambium มากข้ึนก็จะทาใหช้ ้นั ของ cork มีมากข้ึนเช่นกนั และจะ
ไปดนั ใหส้ ่วนของเซลลท์ ่ีอยถู่ ดั ออกไปหลุดหายไปดว้ ย
เรียกเน้ือเยอื่ cork, cork cambium และ phelloderm ท้งั 3 ชนิดรวมกนั วา่ ช้นั periderm
โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 11 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวชิ าชีววทิ ยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอื่ ของพชื
รูปท่ี 13 ช้นั periderm ของลาตน้ โกสน (สาริษฐแ์ ละวทญั ญู, 2546)
เนื้อเย่ือถาวรเชิงซ้อน (complex permanent tissue)
หมายถึง เน้ือเย่ือที่ประกอบด้วยกลุ่มเซลล์หลายชนิดมาทางานร่วมกัน ซ่ึงเน้ือเย่ือถาวร
เชิงซ้อนได้แก่ เน้ือเยื่อท่ีทาหน้าที่ลาเลียงน้า แร่ธาตุ เรียกว่าไซเลม (xylem) และเน้ือเยื่อลาเลียง
อาหาร เรียกวา่ โฟลเอม็ (phloem)
ไซเลม (xylem) เป็นเน้ือเย่ือท่ีทาหนา้ ที่ลาเลียงน้าและแร่ธาตุไปสู่ส่วนต่าง ๆ ของพืช Xylem
หรือท่อลาเลียงน้าจดั เป็ นเน้ือเยอ่ื ถาวรเชิงซ้อน (complex permanent tissues) เน่ืองจากประกอบดว้ ย
เน้ือเยอื่ หลายชนิด ไดแ้ ก่
1. vessel 2. tracheid 3. fiber 4. parenchyma
โดยรายละเอียดของแตล่ ะเน้ือเยอื่ เป็นดงั น้ี
- เทรคีด (tracheid) เป็นเซลลท์ ี่มีรูปร่างยาว หวั ทา้ ยคอ่ นขา้ งแหลม ผนงั เซลลห์ นามี
สารพวกลิกนินสะสม และท่ีผนงั มีรูพรุนที่เรียกวา่ pit รูพรุนน้ีจะมีประโยชนใ์ นการใชเ้ ป็ นทางลาเลียง
น้าและแร่ธาตุจากเซลลห์ น่ึงไปยงั อีกเซลลห์ น่ึงนน่ั เอง
หนา้ ที่ของ tracheid คือการลาเลียงและค้าจุนพืช
- เวสเซล (vessel) มีลกั ษณะคลา้ ยทอ่ ยาวๆ ที่ประกอบดว้ ยทอ่ ส้ันๆหลายๆทอ่ มาตอ่
กนั ท่อส้ันแต่ละท่อเรียกวา่ vessel member หรือ vessel element ลกั ษณะของ vessel member หรือ
vessel element คือเป็ นเซลลท์ ี่มีผนงั หนาเป็ นสารพวกลิกนินมาสะสม เซลล์มีรูปร่างยาวหรือส้ัน แต่
บริเวณปลายเซลล์อาจเฉียงหรือตรงและจะมีช่องทะลุถึงกนั ซ่ึงมีลกั ษณะเป็ นรอยปรุหรือรูพรุนท่ี
เรียกวา่ perforation plate
โรงเรียนมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 12 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวชิ าชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพืช
รูปที่ 14 เปรียบเทียบลกั ษณะของ tracheids และ vessels ใน xylem
(http://www.mhhe.com/biosci/pae/botany/histology/images/xylem.gif)
สาหรับเน้ือเยอ่ื พวก fiber และ parenchyma ใน xylem จะมีลกั ษณะรูปร่างและหนา้ ที่คลา้ ยกบั ที่
พบในส่วนต่าง ๆ ของพืชซ่ึงไดก้ ล่าวไปแลว้ แต่มี parenchyma บางกลุ่มทาหน้าท่ีลาเลียงน้าออก
ดา้ นขา้ ง โดยเซลลเ์ รียงตวั เป็นแถวออกมาในแนวรัศมีของลาตน้ เรียกวา่ xylem ray
Phloem หรือทอ่ ลาเลียงอาหาร เป็นเน้ือเยอื่ ถาวรเชิงซอ้ นเช่นเดียวกบั xylem และอยู่
ใกล้ ๆ กบั xylem จึงเรียกรวมกนั วา่ ระหวา่ ง xylem กบั phloem วา่ vascular bundle ซ่ึงแปลวา่ กลุ่ม
ท่อลาเลียง หรือบางคนอาจจะเรียกว่า vascular tissue ซ่ึงก็แปลว่าเน้ือเยื่อลาเลียงก็ไดไ้ ม่ต่างกนั ส่วน
ของ phloem น้นั ประกอบดว้ ยเน้ือเยอื่ หลายชนิดเช่นเดียวกนั กบั xylem คือมี
1. sieve tube 2. companion cell 3. parenchyma 4. fiber
sieve tube เป็ นท่อยาวๆที่ประกอบดว้ ยท่อส้ันๆหลายๆท่อมาต่อกนั ซ่ึงท่อส้ันๆแต่ละท่อ
เรียกวา่ sieve tube member หรือ sieve tube element ก็ได้ ลกั ษณะของ sieve tube member เป็ น
ดงั น้ีคือรูปร่างเป็ นทรงกระบอกยาว หนา้ ตดั ตรงปลายจะตรงและมีรูพรุนคลา้ ยตะแกรงที่เรียกวา่ sieve
plate หนา้ ท่ีของ sieve tube คือการลาเลียงอาหาร
companion cell เป็ น cell ขนาดเล็กมาก ผอมยาว แหลม ตาแหน่งติดอยูก่ บั sieve tube
member เรียกไดว้ า่ sieve tube member อยตู่ รงไหน companion cell จะอยดู่ ว้ ย จากการศึกษาพบวา่
หนา้ ท่ีของ companion cell คือการควบคุมการทางานของ sieve tube
โรงเรียนมหดิ ลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 13 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอื่ ของพชื
รูปที่ 15 ส่วนประกอบของ phloem (http://www.sc.edu/union/Sears/Plant/im.Phloem-L.gif)
ส่วนเน้ือเย่ือพวก fiber และ parenchyma ใน phloem ก็จะมีลกั ษณะรูปร่างและหนา้ ที่คลา้ ยกบั
ท่ีพบในส่วนต่าง ๆ ของพืชแต่มี parenchyma บางกลุ่มทาหนา้ ที่ลาเลียงอาหารออกดา้ นขา้ ง ของลาตน้
เรียก parenchyma ชนิดน้ีวา่ phloem ray
รูปท่ี 16 เน้ือเยอ่ื ลาเลียงในพืชใบเล้ียงคู่
(http://www.ucmp.berkeley.edu/IB181/VPL/Ana/AnaP/Ana1l.jpeg)
รูปที่ 17 เน้ือเยอื่ ลาเลียงในพืชใบเล้ียงเด่ียว
(http://io.uwinnipeg.ca/~simmons/images/vascbl1.gif)
เอกสารอ้างองิ
เกษม ศรีพงษ์. คมู่ ือเตรียมสอบ ชีววทิ ยา ม.5 เลม่ 3 ว 049. สานกั พิมพ์ภมู บิ ณั ฑติ .
กรุงเทพมหานคร.
เชาวน์ ชโิ นรักษ์ และพรรณี ชิโนรักษ์. 2541. ชีววิทยา 3. สานกั พมิ พ์ศลิ ปาบรรณาคาร.
กรุงเทพมหานคร.
โรงเรียนมหิดลวทิ ยานุสรณ์ (องค์การมหาชน) 14 สาขาวชิ าชีววทิ ยา
เอกสารประกอบการสอนวิชาชีววิทยา 4 (ว 40144) ปี การศึกษา 2549 เน้ือเยอ่ื ของพืช
ปรีชา สวุ รรณพนิ ิจและนงลกั ษณ์ สวุ รรณพนิ ิจ. คมู่ ือเตรียมสอบ ชีววิทยา 3 ว 049 .
บริษัทไฮเอ็ดพลบั ลชิ ชิง่ จากดั . กรุงเทพมหานคร.
ประสงค์ หลาสะอาด และจิตเกษม หลาสะอาด. ชีววิทยา ม. 5 ว 049. สานกั พิมพ์ พ.ศ.
พฒั นา จากดั . กรุงเทพมหานคร.
พชั รี พพิ ฒั วรรณกลุ . 2542. หนงั สือเสริมประสบการณ์ ชีววิทยา 3 ชนั้ ม. 5 (ว 049).
สานกั พมิ พ์ฟิสิกส์เซ็นเตอร์. กรุงเทพมหานคร.
ภวู ดล บตุ รรัตน์. 2543. โครงสร้างภายในของพืช. พิมพ์ครัง้ ท่ี 6. สานกั พิมพ์ไทยวฒั นา
พานชิ จากดั . กรุงเทพมหานคร.
เทียมใจ คมกฤส. 2542. กายวิภาคของพฤกษ์. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 4. สานกั พมิ พ์
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์. กรุงเทพมหานคร.
http://www.dmj.ac.th/tissue.htm
http://www.narinukul.ac.th/preeya/preeya.htm