The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กลุ่ม 1 อุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุจากการทาแพทยศาสตร์หัตถการ...

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by medsiam2563, 2023-08-24 01:15:44

รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์นักศึกษาแพทย์ ปี 6 (2563)

กลุ่ม 1 อุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุจากการทาแพทยศาสตร์หัตถการ...

Keywords: นักศึกษาแพทย์ ปี 6,คณะแพทย์สยาม

1 รายงานการวิจัย รายวิชาเวชศาสตร์ครอบครัวและเวชศาสตร์ชุมชน อบัติการณ์การเกิดอุ ุบัติเหตุจากการท าแพทยศาสตร์หัตถการ ของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยาม ปี การศึกษา 2563 โดย นศพ. ชุตินันท์ แสงกาญจนวนิช 5806300008 นศพ. กมลชนก สายใจ 5806300009 นศพ. ศุจีภรณ์ ศรีประดิษฐ์ 5806300024 นศพ. ฉันท์ชนิต พฤกษเศรษฐ 5806300043 เสนอ ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์เฉลิม วราวิทย์ แพทย์หญิงสิริรัตน์ ลิมกุล นายแพทย์ประเสริฐ ประกายร้งทองุ อาจารย์ยุพา สุทธิมนัส ปี การศึกษา 2564 ศูนย์แพทยศาสตร์ชั้นคลินิก โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยาม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


2 สารบัญ หัวข้อ หน้า บทคัดยอ่ 4 บทที่ 1 ที่มาและความส าคัญของงานวิจัย 6 ค าถามงานวิจัย 10 จุดประสงค์งานวิจัย 10 ขอบเขตของงานวิจัย 11 ประโยชน์ที่คาดวาจะได้รับ ่ 11 นิยามศัพท์ 12 บทที่ 2 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 14 ค านิยามที่เกี่ยวข้อง 14 โรคจากการท างานและสิ่งคุกคาม 16 สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในการท างาน 18 การป้ องกนอุบัติเหตุเข็มทิ ั่มต าและสัมผัสสารคัดหลังในการท าหัตถการ่ 18 ข้อควรปฏิบัติหลังเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังในการท าหัตถการ่ 20 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 21 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 24 แผนการด าเนินงาน 25 เครื่องมือที่ใช้ 26 บทที่ 4 ผลการวิจัย 37 ประชากรที่ศึกษา 37 อุบัติการณ์ในการเกิดอุบัติเหตุ 37 อุบัติเหตุเข็มทิ่มต า 38 การสัมผัสสารคัดหลัง่ 40 ความเร่งด่วนของการท าหัตถการ 42 จ านวนผู้ท าหัตถการ 42 การสวมเครื่องป้ องกนั 42 การปฐมพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุ 43 การรายงานอาจารย์ 43 บทที่ 5 อภิปรายงานวิจัย 45 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


3 สารบัญ (ต่อ) หัวข้อ หน้า เอกสารอ้างอิง 48ภาคผนวก 51 ศู นย์แพทยศาสตรช์ ัน้ คลิ นิ ก โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม


4 บทคัดย่อ ที่มาของงานวิจัย ในการท าหัตถการระหวางฝึ กปฏิบัติงานชั ่้นคลินิกของนักศึกษาแพทย์มหาวิทยาลัยสยาม ผู้วิจัย พบวา มีอุบัติเหตุของมีคมทิ ่่มต าและสัมผัสสารคัดหลังระหว่างท าหัตถการ ดังนั ่้น ผู้วิจัยจึงสนใจศึกษา อุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังโดยขอบเขตการศึกษาครอบคลุม ชนิดของ ่ มีคมและสารคัดหลัง ขั่ ้นตอนที่เกิดอุบัติเหตุ สาเหตุที่ท าให้เกิดอุบัติเหตุ การป้ องกนอุบัติเหตุ รวมถึงการ ั ปฏิบัติตัวหลังเกิดอุบัติเหตุ วิธีการศึกษา งานวิจัยนี้เป็ นการศึกษาแบบ Cross-sectional study โดยประชากรศึกษาในงานวิจัยนี้ คือ นักศึกษา แพทย์มหาวิทยาลัยสยามชั้นปี ที่ 4,5,6 ของปี การศึกษา 2563 ทั้งหมด ซึ่งแบบสอบถามในการวิจัยนี้ผานการ่ ตรวจสอบโดยอาจารย์ฝ่ ายควบคุมโรคติดเชื้อโรงพยาบาลพระนังเกล้า และใช้วิธีเก ่ ็บข้อมูลแบบ อิเล็กทรอนิกส์ (on line) ผลการศึกษา จากการศึกษา พบวามี นักศึกษาแพทย์ที่ได้เคยเก ่ ิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลัง ่ 35 คน จาก 121 คน ส่วนมากเกิดที่แผนกศัลยกรรม เมื่อศึกษาการเกิดของมีคมทิ่มต า พบวาส่ ่วนใหญ่ถูกเข็มต า ในขณะท าหัตถการ และหัตถการที่พบอุบัติเหตุมากที่สุดคือเย็บแผล โดยนักศึกษาส่วนใหญ่ให้เหตุผลวาขาด่ ความช านาญ และเมื่อศึกษาการสัมผัสสารคัดหลัง พบว่าส่ ่วนใหญ่เป็ นเลือดที่กระเด็นถูกผิวหนังบริเวณไม่มี เครื่องป้ องกน โดยนักศึกษาส ั ่วนใหญ่ให้เหตุผลวาท่ ่าทางในการท าหัตถการไม่เหมาะสม นอกจากนี้เมื่อศึกษาปัจจัยที่อาจท าให้เกิดอุบัติเหตุ ได้แก่ ความเร่งด่วนของการท าหัตถการ และ จ านวนผู้ท าหัตถการ พบวา ส่ ่วนใหญ่เกิดอุบัติเหตุตอนท าหัตถการที่ไม่ฉุกเฉินแต่เร่งด่วน (urgency) และ หัตถการที่ท าเพียงคนเดียวเกิดอุบัติเหตุได้มากที่สุด ส่วนปัจจัยป้ องกนการเกั ิดอุบัติเหตุ ได้แก่ การสวมอุปกรณ์ป้ องกน พบวัา อย่ างน้อยผู้ท าหัตถการได้ ่ สวมถุงมือ 2 ข้าง มีเพียง 1 คน เท่านั้นที่ไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้ องกนเลยั ในการศึกษาการปฎิบัติตัวหลังเกิดอุบัติเหตุ พบวา นักศึกษาแพทย์ทุกคนได้ปฐมพยาบาล โดยใช้วิธี ่ ล้างด้วยน ้ายาฆ่าเชื้อเป็ นส่วนใหญ่ และมี นักศึกษาแพทย์เพียงร้อยละ 40 ที่ รายงานอุบัติการณ์การเกิด อุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังให้อาจารย์ โดยนักศึกษาแพทย์ที่ไม ่่รายงานอุบัติการณ์ให้ เหตุผลวา คิดว ่ ามีความเสี่ยงน้อยเนื่องจากไม ่ ่มีบาดแผลบริเวณที่สัมผัสสารคัดหลังและผลเลือดคนไข้ปกติ ่ อภิปรายและข้อเสนอแนะ ผลการศึกษาในงานวิจัยนี้แสดงให้เห็นถึงภาพรวมของอุบัติการการเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและ สัมผัสสารคัดหลัง โดยไม ่่สามารถเปรียบเทียบความแตกต่างระหวาง นักศึกษาแพทย์ชั ่้นปี ที่ 4, 5 และ 6 ได้ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


5 เนื่องจากข้อจ ากด ในการท าหัตถการ ได้แก ั ่ นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 4 มีโอกาสท าเฉพาะหัตถการพื้นฐานและ นักศึกษาแพทย์ชั้นปี 6 มีโอกาสท าหัตถการที่ซับซ้อนกวา นอกจากนี ่้ผลการศึกษาความสัมพันธ์ระหวาง่ ความเร่งด่วนของหัตถการกบการเกั ิดอุบัติเหตุ ไม่เป็ นไปตามข้อสันนิษฐาน เนื่องจากข้อจ ากดในการท า ั หัตถการเช่นเดียวกน กลั ่าวคือ นักศึกษาแพทย์ทั้ง 3 ชั้นปี อาจไม่มีโอกาสหรือมีโอกาสน้อยมากในการท า หัตถการเร่งด่วน (emergency) จึงท าให้อุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุน้อยที่สุด ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


6 บทที่ 1 ที่มาและความส าคัญของงานวิจัย ในการปฏิบัติงานในชั้นคลินิกแผนกต่างๆ ทั้งในส่วนของหอผู้ป่ วยใน ห้องผาตัดเล็ก ห้องผ ่ าตัด ่ ใหญ่ ห้องคลอด ฯลฯ คณะวิจัยได้สังเกตเห็นวา มีอุบัติการณ์การเก ่ ิดอุบัติเหตุถูกของมีคมทิ่มต าและสัมผัส สารคัดหลังในการท าหัตถการต่่างๆ ต่อผู้ปฏิบัติงานทุกระดับ เช่น ซึ่งในงานวิจัยที่ศึกษาปัจจัยต่ออุบัติการณ์ เข็มทิ่มต าและการสัมผัสสารคัดหลังของผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพหลายงานวิจัย เช ่่น งานวิจัยของ Choi, Torres และคณะ (2560) ศึกษาในแพทย์ระดับสูง (Post graduate) ทั้งแพทย์ประจ าบ้านและอาจารย์แพทย์ งานวิจัยของ อะเคื้อ อุณหเลขกะ (2556) ศึกษาในพยาบาล งานวิจัยของ Wiwanitkit และคณะ (2544) ศึกษาอุบัติการณ์เข็มทิ่มต าจากหัตถการเจาะเลือด (Venepuncture) ในนักศึกษาแพทย์ชั้นปี 1, 2, 3 พบวามีนักศึกษาร้อยละ ่ 1.33 ถูกเข็มทิ่มต าขั้นตอนหลังจาก เจาะเลือดแล้ว และได้มีการเสนอวาควรเน้ ่ นย ้าวิธีการท าหัตถการในทุกขั้นตอนและควรมีผู้ดูแลให้ค าแนะน า อยางใกล้ชิด ส ่ ่วนงานวิจัยของ Fica, Jemenao และคณะ (2553) ที่ศึกษาอุบัติการณ์เข็มทิ่มต าในนักศึกษา แพทย์ชั้นปี ที่ 5 เทียบกบนักศึกษาพยาบาล พบว ั านักศึกษาแพทย์ชั ่้นปี ที่ 5 ถูกเข็มทิ่มต าร้อยละ 1.2 ซึ่งน้อย กวาอุบัติเหตุในนักศึกษาพยาบาล ่ 2 เท่า และงานวิจัยของ Norsayani และ Noor Hassim (2556) ที่ศึกษา อุบัติการณ์เข็มทิ่มต าในนักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 6 พบอุบัติการณ์เข็มทิ่มต าจากหัตถการเจาะเลือด (Venepuncture) มากที่สุด รองลงมาคือหัตถการการให้สารน ้า (Parenteral injections) และเมื่อศึกษา เปรียบเทียบแต่ละแผนก พบวาแผนกสูติ ่ -นรีเวชกรรมมีอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มต ามากที่สุด รองลงมาคือแผนกอายุรกรรม และศัลยกรรมตามล าดับ จากขั้นตอนการสวมปลอกเข็มกลับคืนมากที่สุด รองลงมาคือขั้นตอนการทิ้งเข็ม อะเคื้อ อุณหเลขกะ (2556) ยังได้เสนอปัจจัยที่สัมพันธ์กบการเกั ิดอุบัติเหตุ ทางด้านบุคลากร ด้านการบริหาร และด้านสิ่งแวดล้อมที่พบมากที่สุด ได้แก่ บุคลากรขาดความระมัดระวัง ขาดผู้รับผิดชอบการด าเนินงานโดยตรง และสถานที่คับแคบ ตามล าดับ ในงานวิจัยของ พร บุญมี (2556) ศึกษาอุบัติการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังในนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีพะเยา ่ พบวาระหว่ างการฝึ กปฏิบัติงานในปี ที่ ่ 2-4 มีนักศึกษาพยาบาลร้อยละ 34.88 ถูกเข็มที่มีการปนเปื้อนสารคัด หลังของผู้ป่ วยทิ ่ ่มต าในขณะปลดเข็มและถอดอุปกรณ์มากที่สุด ตามด้วยขั้นตอนการสวมปลอกเข็มกลับคืน และสัมผัสสารคัดหลังขณะดูดเสมหะด้วยเครื่องดูดเสมหะมากที่สุด โดยที่ขณะเก ่ิดเหตุส่วนใหญ่ไม่ได้สวม เครื่องป้ องกน สั ่วนงานวิจัยของ วองรักษ์สัตว์ ่ (2555) ศึกษาอุบัติการณ์การถูกของมีคมทิ่มต าโดยไม่ได้ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


7 จ าเพาะแค่เข็มเท่านั้น พบวา มีอุบัติการณ์ถูกของมีคมทิ ่่มต าจากการหักหลอดยามากที่สุด ตามด้วยการเจาะ เลือด และการฉีดยาตามล าดับ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้เกิดจากปัจจัยด้านบุคคล เช่น การขาดความรู้ความช านาญ ในการท าหัตถการ การเจาะ Hematocrit การปลดเข็ม และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม เช่น ความจ ากดของพื ั้นที่ ข้างเตียง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยศึกษาความสัมพันธ์ระหวางระดับความรู้ก ่ บอุบัติการณ์เข็มทิ ั่มต า พบวา่ นักศึกษาที่มีความรู้เกี่ ยวกบโรคติดเชื ั้อที่ถ่ายทอดทางเลือด (Blood-borne diseases) และความรู้เรื่องการ ป้ องกนและความปลอดภัยในการท างาน ั (Universal precaution) จะถูกเข็มทิ่มต าน้อยกวานักศึกษาที่คว ่ ามรู้ น้อยกวาอย่ างมีนัยส าคัญทางสถิติ ่ ดังนั้นจะเห็นได้วาอุบัติการณ์เข็มทิ ่่มต าและสัมผัสสารคัดหลังในผู้ให้บริการทางด้านสุขภาพรวมถึง ่ นักศึกษาแพทย์นั้นสามารถพบได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยมีปัจจัยที่สัมพันธ์กบการเกั ิดอุบัติเหตุ เช่น ระดับชั้นปี ของนักศึกษาแพทย์ แผนกที่ท าหัตถการ ขั้นตอนและหัตถการที่ท า ความรู้ความช านาญและประสบการณ์ใน การท าหัตถการ การสวมเครื่องป้ องกน ความรู้เก ั ี่ ยวกบ ั Blood-borne diseases และความรู้เกี่ ยวกบ ั Universal precaution เป็ นต้น งานวิจัยนี้จึงสนใจศึกษาอุบัติการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังซึ่งยังไม ่่เคยมีรายงานมาก่อนใน นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก ระดับปี ที่ 4-6 ของมหาวิทยาลัยสยามที่ฝึ กปฏิบัติงานในโรงพยาบาลพระนังเกล้า ่ และโรงพยาบาลร่วมฝึ กปฏิบัติงานที่ท าข้อตกลงร่วมกน ั (MOU) โดยจะศึกษาวามีอุบัติการณ์อย ่ างไร และมี ่ ความสัมพันธ์กบระดับชั ั้นปี ของนักศึกษาแพทย์ และแผนกที่ท าหัตถการอยางไร โดยจะเปรียบเทียบ ่ อุบัติการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังของนักศึกษาระหว ่างชั ่้นปี ที่ 4 ปี ที่ 5 และปี ที่ 6 ในการปฏิบัติงาน แต่ละแผนก ซึ่งจะท าการศึกษาแบบ Cross sectional survey จากวิธีการเก็บข้อมูลแบบ Online questionnaire นอกจากนี้ งานวิจัยนี้ยังสนใจปัจจัยอื่นๆที่มีความสัมพันธ์ต่ออุบัติการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัด หลัง เช่่น ปัจจัยด้านบุคคล ด้านการบริหารจัดการ ด้านสิ่งแวดล้อม ขั้นตอนและหัตถการที่ท า การสวมเครื่อง ป้ องกนระหวั างท าหัตถการ โดยจะรายงานเป็ นร้อยละเรียงจากสาเหตุที่ท าให้เก ่ ิดอุบัติเหตุมากที่สุดไปน้อย กวา โดยไม ่ ่มีการเปรียบเทียบหรือวิเคราะห์ความสัมพันธ์ทางสถิติ เนื่องจากมีปัจจัยรบกวนในการระบุ ความสัมพันธ์ต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ปัจจัยทางด้านบุคคลและสิ่งแวดล้อมมีความหลากหลายและควบคุม ได้ยาก หัตถการที่ท าแต่ละอยางมีระดับความยากและความเสี่ยงที่แตกต ่ ่างกน การสวมเครื่องป้ องก ั นมี ั รูปแบบที่แตกต่างกนในการท าหัตถการที่ต ั ่างกน เป็ นต้น ซึ่งการรายงานสาเหตุที่สัมพันธ์ก ั บอุบัติการณ์เข็ม ั ทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังโดยเรียงล าดับร้อยละจากมากที่สุดไปน้อยกว ่ า จะมีประโยชน์ในการต ่ ่อยอด ศึกษาเพื่อหาแนวทางในการลดความเสี่ยงจากการท าหัตถการในงานวิจัยต่อๆ ไป ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


8 จากประสบการณ์ที่ได้พบเหตุการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังของนักศึกษาแพทย์ขณะฝึ ก ่ ปฏิบัติงานในชั้นคลินิก คณะผู้วิจัยสังเกตเห็นวามีนักศึกษาเพียงส ่ ่วนหนึ่งเท่านั้นที่รายงานอุบัติการณ์ให้ อาจารย์ฝ่ ายควบคุมการติดเชื้อ (Infectious control) ทราบ ในขณะที่นักศึกษาบางส่วนไม่ได้รายงาน ตัวอยางเช่ ่น ในกรณีท าคลอดแล้วมีน ้าคร ่าและเลือดเลอะแขนและขาที่ไม่มีบาดแผล นักศึกษาเลือกที่จะไม่ รายงานอุบัติการณ์ให้อาจารย์ทราบ ในขณะที่กรณีนักศึกษาเข้าช่วยผาตัดแล้วถูกเข็มเก ่ ี่ยว ไม่แน่ใจวาทะลุถุง่ มือหรือไม่ และไม่ทราบผลเลือดของผู้ป่ วย นักศึกษาเลือกที่จะรายงานจะรายงานอุบัติการณ์เพื่อเข้าสู่ กระบวนการรักษาต่อไป ซึ่งการไม่รายงานอุบัติการณ์ต่อหน่วยควบคุมโรคหรือต่อผู้ดูแลนั้นสามารถพบได้ ในงานวิจัยหลายๆฉบับ ซึ่งเหตุผลที่ไม่รายงานก็แตกต่างกนออกไป เ ัช่น งานวิจัยของ Choi, Torres และคณะ (2560) ศึกษาในผู้ที่ปฏิบัติงานในห้องผาตัด ได้แก ่ ่ อาจารย์แพทย์สาขาศัลยศาสตร์ แพทย์ประจ าบ้านสาขา ศัลยศาสตร์ แพทย์ประจ าบ้านสาขาศัลยศาสตร์ทัวไป และ นักศึกษาแพทย์ พบว ่ า เมื่อเก ่ ิดอุบัติเหตุมีการ รายงานอุบัติเหตุร้อยละ 64 โดยส่วนใหญ่จะเป็ นอาจารย์แพทย์ ในขณะที่แพทย์ประจ าบ้านและนักศึกษา แพทย์ไม่รายงานการเกิดอุบัติเหตุ เนื่องจาก ขั้นตอนยุงยากเสียเวลา คิดว ่ าผู้ป่ วยไม ่ ่ใช่กลุ่มเสี่ยง และรู้สึกอาย ไม่กล้ายอมรับวาเก่ ิดอุบัติเหตุ ตามล าดับ งานวิจัยของ Khader, Burgan และคณะ (2552) ศึกษาในทันตแพทย์ พบวามีการรายงานอุบัติเหตุเพียงร้อยละ ่ 25 และให้เหตุผลที่ไม่รายงานวา ถูกเข็มที่ยังไม ่ ่สัมผัสผู้ป่ วยทิ่มต า ไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง ยุงยากเสียเวลา ไม ่ ่พอใจกบขั ั้นตอนการติดตามผลการรักษา ตามล าดับ งานวิจัย ของ Yi, Yuan และคณะ (2561) ศึกษาในพยาบาลชาวจีนที่เกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลัง่ ผู้ป่ วย พบวา มีการรายงานอุบัติเหตุทุกกรณีร้อยละ ่ 14.6 ส่วนใหญ่จะเป็ นการรายงานกรณีเข็มทิ่มต า และให้ เหตุผลในการไม่รายงานวา คิดว ่ าเป็ นความโชคร้ายและเป็ นความผิดของตนเอง ไม ่ ่รู้ขั้นตอนในการรายงาน และขั้นตอนยุงยากเสี ่ ยเวลา ตามล าดับ งานวิจัยของ Bekele, Gebremariam และคณะ (2558) ศึกษาในผู้ให้ บริการทางด้านสุขภาพจากโรงพยาบาลที่ต่างกน ั 4 โรงพยาบาล พบวามีการรายงานอุบัติเหตุเข็มทิ ่่มต าเพียง ร้อยละ 40 และให้เหตุผลในการไม่รายงานวา เสียเวลา ถูกเข็มที่ยังไม ่ ่สัมผัสผู้ป่ วยทิ่มต า คิดวาผู้ป่ วยไม ่ ่ใช่ กลุ่มเสี่ยง ไม่ทราบวาต้องรายงาน ตามล าดับ นอกจากนี ่้ยังได้ศึกษาความสัมพันธ์ของระดับความรู้และระดับ เงินเดือนต่อการรายงานอุบัติเหตุ พบวา เจ้าหน้าที่ที่มีระดับเงินเดือนน้อยและระดับความรู้น้อยจะมีการ ่ รายงานน้อยไปด้วย ดังนั้นจะเห็นได้วาอาชีพ ระดับการศึกษา และวัฒนธรรมที่ต ่ ่างกน กั ็มีเหตุผลในการเลือกปฏิบัติที่ ต่างกน แตั ่อยางไรก ่ ็ตาม แนวคิดและเหตุผลบางอยางอาจมีจุดร ่ ่วมกนได้ โดยเหตุผลที่ไม ั ่รายงานอุบัติเหตุ ส่วนใหญ่ คือ ขั้นตอนยุงยากเสียเวลา ่ (รวมถึงไม่พอใจระบบการติดตามผลการรักษา) คิดวาผู้ป่ วยไม ่ ่ใช่กลุ่ม เสี่ยง ถูกเข็มที่ยังไม่สัมผัสผู้ป่ วยทิ่มต า ขาดความรู้เรื่องความเสี่ยงและขั้นตอนในการรายงาน เหตุผลส่วน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


9 น้อยที่สามารถพบได้ คือ ไม่ตระหนักถึงความเสี่ยง คิดวาเป็ นความโชคร้าย เป็ นความผิดของตนเองซึ่งต้อง ่ รับผิดชอบความเสี่ยงเอง คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสยามก็นับเป็ นสังคมหนึ่งซึ่งรวมกลุ่มคนที่มาเรียนร่วมกน มีการ ั อบรมสั่งสอนร่วมกน วัฒนธรรมองค์กรร ั ่วมกน แตั ่ไม่สามารถสรุปได้วาทุกคนในคณะแพทยศาสตร์ ่ มหาวิทยาลัยสยามจะมีแนวคิดและเหตุผลในการเลือกปฏิบัติที่เหมือนกน ดังนั ั้นงานวิจัยนี้จึงสนใจศึกษาร้อย ละการรายงานอุบัติเหตุวามีมากน้อยเพียงใด และเหตุผลในการที่ไม ่ ่รายงานคืออะไร โดยจะรายงานเป็ นร้อย ละของการรายงานหรือไม่รายงาน และร้อยละของเหตุผลในการไม่รายงานเรียงล าดับจากมากที่สุดไปน้อย กวา ข้อมูลนี ่้อาจใช้เป็ นข้อมูลพื้นฐานในการต่อยอดพัฒนา ปรับปรุงระบบการรายงานอุบัติการณ์ต่อไป นอกจากนี้ ในแบบสอบถามของงานวิจัยจะรวบรวมข้อเท็จจริงรวมถึงสิ่งที่บอกต่อกนมา เรื่อง ั ความรู้เกี่ ยวกบความเสี่ยงจากการได้รับอุบัติเหตุของมีคมทิ ั่มต าและสัมผัสสารคัดหลังจากการท าหัตถการ ่ เชื้อที่มีการถ่ายทอดทางเลือด (Blood borne pathogens) ซึ่งคนส่วนใหญ่จะทราบวาอุบั ่ ติเหตุของมีคมที่เปื้อน เลือดของผู้ป่ วยทิ่มต ามีโอกาสส่งผานเชื ่้อ HIV HBV และ HCV แต่ Ohnishi (2558) ได้รายงานวาเชื ่้อ Dengue virus สามารถส่งผานทางอุบัติเหตุเข็มทิ ่่มต าได้ด้วย นอกจากนี้ในงานวิจัยของ He, Lu et al. (2559) ได้ท าแบบทดสอบความรู้เกี่ ยวกบความสัมพัน ั ธ์ของ HIV ต่อการท าหัตถการในหลายๆ ด้าน แล้วทดสอบ ความรู้ของพยาบาลในเมือง Hunan พบวาพยาบาลบางส่ ่วนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ ยวกบ ั HIV อยู นอกจากนี ่้ แบบสอบถามของงานวิจัยนี้ยังครอบคลุม เรื่องความน่าเชื่อถือของวิธีการตรวจหาเชื้อ และผลกระทบต่อผู้ ได้รับอุบัติเหตุและผู้ใกล้ชิด ดังนั้น คณะผู้วิจัยจึงสนใจศึกษาวานักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยสยาม มีความรู้ความเข้าใจ หรือมี ่ ความเชื่ออยางไร เก ่ ี่ ยวกบความเสี่ยงจากการได้รับอุบัติเหตุของมีคมทิ ั่มต าและสัมผัสสารคัดหลังจากการท า่ หัตถการ เชื้อที่มีการถ่ายทอดทางเลือด (Blood borne pathogens) ความน่าเชื่อถือของวิธีการตรวจหาเชื้อ และ ผลกระทบต่อผู้ได้รับอุบัติเหตุและผู้ใกล้ชิด โดยให้นักศึกษาเลือกวาเชื่อหรือไม ่ ่เชื่อในข้อเท็จจริงและสิ่งที่ บอกต่อกนมาในแต ั ่ละข้อ แล้วรายงานวาแต่ ่ละข้อนักศึกษาเชื่อหรือไม่เชื่อร้อยละเท่าไหร่ โดยไม่ได้ให้ ความรู้ในงานวิจัยนี้ ดังนั้นจึงไม่มีการประเมิน Pre-test และ Post-test ซึ่งผลที่ได้จากข้อมูลนี้สามารถน าไป ต่อยอดในการปรับปรุงการเผยแพร่ความรู้ในโอกาสต่อไป ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


10 ค าถามงานวิจัย ● Primary question มีอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัดหลังจากการท าหัตถการของนักศึกษาแพทย์ชั ่ ้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยามหรือไม่ และมีความแตกต่างในการเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัด หลังจากการท าหัตถการของนักศึกษาแต ่่ละชั้นปี ในขณะฝึ กปฏิบัติงานในแต่ละแผนกหรือไม่ อยางไร ่ ● Secondary questions o สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัดหลังจากการท าหัตถการของนักศึกษา ่ แพทย์คืออะไร o นักศึกษาแพทย์มีการรายงานอุบัติเหตุต่อหน่วยงานควบคุมโรคหรืออาจารย์ผู้ดูแลหลังจากเกิดอุบัติเหตุ ของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัดหลังหรือไม ่่ หากไม่รายงานนักศึกษามีแนวคิดและเหตุผลอยางไร ่ จุดประสงค์งานวิจัย ● เพื่อรายงานอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัดหลังจากการท าหัตถการ่ ของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยามแต่ละชั้นปี ในขณะฝึ กปฏิบัติงานในแต่ละแผนก ● เพื่อรายงานสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัดหลังที่พบมากในการท า ่ หัตถการของนักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยสยาม ● เพื่อรายงานแนวคิดและเหตุผลในการเลือกปฏิบัติภายหลังเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัส สารคัดหลังจากการท าหัตถการของนักศึกษาแพทย์ ่มหาวิทยาลัยสยาม ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


11 ขอบเขตของการวิจัย ผ้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องู ● นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก ระดับปี ที่ 4-6 ของมหาวิทยาลัยสยาม ปี การศึกษา 2563 ที่ฝึ กปฏิบัติงานใน โรงพยาบาลพระนังเกล้าและโรงพยาบาลร ่่วมฝึ กปฏิบัติงานที่ท าข้อตกลงร่วมกน ั (MOU) โดยที่ o นักศึกษาแพทย์ ชั้นปี ที่ 4 ต้องผานการฝึ กปฏิบัติงานมาแล้ว ่ 1 ปี o นักศึกษาแพทย์ ชั้นปี ที่ 5 ต้องผานการฝึ กปฏิบั ่ ติงานมาแล้ว 2 ปี o นักศึกษาแพทย์ ชั้นปี ที่ 6 ต้องผานการฝึ กปฏิบัติงานมาแล้ว ่ 3 ปี ● หน่วยควบคุมโรคติดเชื้อ (Infectious control) โรงพยาบาลพระนังเกล้า ่ ระยะเวลาในการท าวิจัย ● ปี การศึกษา 2563 (พฤษภาคม 2563-มีนาคม 2564) กรอบแนวคิดงานวิจัย ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ● เป็ นงานวิจัยขั้นต้นในการศึกษาอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุถูกของมีคมทิ่มต าและการสัมผัสสารคัดหลัง่ ในการท าหัตถการของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยาม ข้อมูลทัวไป ่ นักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 4,5,6 ประจ าปี การศึกษา 2563 หัตถการ สาเหตุ การ รายงาน ความรู้,ความเชื่อ อุบัติการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังผู้ป่ วย ่ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


12 ● งานวิจัยนี้รายงานสาเหตุที่สัมพันธ์กบการเกั ิดอุบัติเหตุถูกของมีคมทิ่มต าและการสัมผัสสารคัดหลังใน่ การท าหัตถการของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยาม เพื่อเป็ นข้อมูลพื้นฐานในการต่อยอด หาแนวทางการลดความเสี่ยงอุบัติเหตุถูกของมีคมทิ่มต าและการสัมผัสสารคัดหลังในการท าหัตถการ่ ต่อไป ● งานวิจัยนี้รายงานการปฏิบัติหลังเกิดอุบัติเหตุถูกของมีคมทิ่มต าและการสัมผัสสารคัดหลังของนักศึกษา ่ แพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยาม วามีการรายงานหรือไม ่ ่รายงานอุบัติเหตุให้ผู้ดูแลทราบพร้อมทั้ง เหตุผลในการไม่รายงาน เพื่อเป็ นข้อมูลพื้นฐานในการต่อยอดพัฒนาระบบการรายงานอุบัติเหตุต่อไป ● งานวิจัยนี้รายงานความรู้ ความเข้าใจ ความเชื่อเกี่ ยวกบข้อเท็จจริ ั งหรือสิ่งที่บอกต่อกนมา เรื่องความ ั เสี่ยงจากอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัดหลังจากการท าหัตถการ เชื ่ ้อที่มีการถ่ายทอดทาง เลือด (Blood borne pathogens) ความน่าเชื่อถือของวิธีการตรวจหาเชื้อ ผลกระทบต่อผู้ได้รับอุบัติเหตุ และผู้ใกล้ชิด เพื่อเป็ นข้อมูลพื้นฐานในการต่อยอดปรับปรุงการเผยแพร่ความรู้ในโอกาสต่อไป นิยามศัพท์ ● อุบัติการณ์ (Incident) หมายถึง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดเป็ นเหตุน าไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ (Accident) หรือ เกือบเกิดอุบัติเหตุ (Near Miss) ● อุบัติเหตุ (Accident) หมายถึง เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ ที่อาจเกิดขึ้น โดยไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า หรือ ขาดการควบคุม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลให้เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่ วย เสียชีวิตหรือความสูญเสียต่อ ทรัพย์สินสภาพแวดล้อมหรือสาธารณชน ● เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ (Near Miss) หมายถึง เหตุการณ์ที่มีแนวโน้มที่จะก่อให้เกิดเป็ นอุบัติเหตุ ซึ่งเกิดจากการกระท าหรือการละเลยการกระท า ไม่ใช่จากความบังเอิญ สามารถลดเหตุการณ์หรือ บรรเทาความรุนแรงได้จากการป้ องกนั ● หัตถการทางการแพทย์ หมายถึง การรักษาผู้ป่ วยโดยมีการใช้เครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกาย ผู้ป่ วย เช่น การใช้เข็มเจาะน ้าจากช่องปอด การใส่สายสวนหัวใจ การฉีดยาเข้าในข้อ การผาตัดต ่ ่าง ๆ การเย็บบาดแผล เป็ นต้น ซึ่งในงานวิจัยนี้ครอบคลุมหัตถการตามเกณฑ์ความรู้ความสามารถในการ ประเมินเพื่อรับใบอนุญาตเป็ นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2555 จากประกาศแพทยสภา ● ของมีคม หมายถึง อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่มีความคม รวมทั้งอุปกรณ์ที่ท าจากแกวที่แตก ซึ่งสามารถท า ้ ให้เกิดบาดแผลหรือรอยถลอกได้ เช่น เข็ม มีดผาตัด ขวดยาที่ท าจากแก ่ว้ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


13 ● สารคัดหลัง หมายถึง ของเหลวในร ่่างกายของผู้ป่ วย ได้แก่ อสุจิ ของเหลวในช่องคลอด ของเหลวในไข สันหลัง ของเหลวในไขข้อ ของเหลวในช่องเยื่อหุ้มปอด ของเหลวในช่องท้อง น ้าคร ่า น ้าลาย และ ของเหลวในร่างกายใดๆ ที่ไม่ปนเปื้อนกบเลือด เป็ นต้น ั ● Universal precaution หรือ การควบคุมการแพร่กระจายเชื้อตามหลักสากล หมายถึง การระมัดระวัง ป้ องกนตนเองของบุคลากรทุกคนให้ปลอดภัยจากการติดเชื ั้อที่อาจติดต่อทางเลือดและสารน ้าจาก ร่างกาย (blood and body fluid) ของผู้ป่ วยทุกรายเหมือนกน โดยไม ั ่ต้องมีการตรวจเลือดผู้ป่ วยวาติดเชื ่้อ หรือไม่ ● Infectious control หมายถึง มาตรฐานโดยสากลของการรักษาทางการแพทย์ เพื่อป้ องกนและควบคุมั การแพร่กระจายเชื้อจากบุคคลหนึ่งไปสู่อีกบุคคลหนึ่ง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


14 บทที่ 2 ทบทวนแนวคิด ทฤษฎี และ งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง 1. ค านิยามที่เกี่ยวข้อง ● ความหมายของ “โรคที่เกี่ยวข้องกับการท างานและโรคจากการท างาน” บุตรประเสริฐ (2557) ให้ค านิยามของ “โรคที่เกี่ยวข้องกบการท างาน ั ” (Work-related disease) หมายถึง “โรคที่ไม่ได้เกิดจากการท างานโดยตรง แต่การท างานท าให้เป็ นโรคมากขึ้น เช่น ปวดหลัง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ ซึ่งเกิดจากความเครียดของงาน” และให้ค านิยาม “โรคจากการท างาน” (Occupational disease) หมายถึง “โรคที่เกิดจากกระบวนการท างานโดยตรง เช่น โรคปอดจากการ ประกอบอาชีพ (Pneumoconiosis) ในคนที่ท างานโรงงานทอผ้าหรือโรงงานที่เกี่ยวข้องกบฝุ่ นฝ้ าย หรือ ั เส้นใย Asbestos, โรคประสาทหูเสื่อมจากการประกอบอาชีพ (Noise induced hearing loss) ในบริเวณที่ มีเสียงเกินมาตรฐานเป็ นระยะนานๆโดยไม่มีเครื่องป้ องกนั ” ● ความหมายของ “อุบัติการณ์” ส านักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมโรค (2562) ให้ค านิยามของ “อุบัติการณ์” (Incident) หมายถึง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดเป็ นเหตุน าไปสู่การเกิดอุบัติเหตุ (Accident) หรือ เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ (Near miss)” ระบบบริหารความเสี่ยงโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ (2562) ให้ค านิยามของ “อุบัติการณ์” (Incident) หมายถึง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจท าให้เกิดอันตรายต่อร่างกาย, จิตใจ, ชื่อเสียง ทรัพย์สิน, สิ่งแวดล้อม ก่อให้เกิดความไม่พึงพอใจ ค าร้องเรียนหรือการฟ้ องร้อง อุบัติการณ์ที่ เกิดกบผู้ป่ วยรายแรก คือ ความเสี่ยงที่จะเก ั ิดอันตรายกบผู้ป่ วยรายอื่น ๆ ั ” งานบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยผู้ป่ วยโรงพยาบาลศิริราช (2556) ให้ค านิยามของ “อุบัติการณ์” (Incident) หมายถึง “เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่อาจก่อให้เกิดหรือก่อให้เกิดอันตรายต่อ บุคคล และ/หรือ ค าร้องเรียน การสูญเสีย ความเสียหาย” ● ความหมายของ “อุบัติเหตุ” ส านักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมโรค (2562) ให้ค านิยามของ “อุบัติเหตุ” (Accident) หมายถึง “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดไว้ล่วงหน้า ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


15 หรือขาดการควบคุม แต่เมื่อเกิดขึ้นแล้วมีผลให้เกิดการบาดเจ็บ เจ็บป่ วย เสียชีวิตหรือความสูญเสียต่อ ทรัพย์สิน สภาพแวดล้อมหรือสาธารณชน” พงษ์เก่า (2562) ให้ค านิยามของ “อุบัติเหตุ” (Accident) หมายถึง “เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ ไม่ได้คาดคิด (Unplan event) และไม่ได้ควบคุมไว้ก่อนในที่ท างาน แล้วส่งผลท าให้คนเกิดการบาดเจ็บ พิการหรือเสียชีวิต อาจท าให้ทรัพย์สินเสียหายและขบวนการผลิตหยุดชะงัก” ● ความหมายของ “เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ” ส านักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมโรค (2562) ให้ค านิยามของ “เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ” (Near miss) หมายถึง “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์เมื่อเกิดขึ้นแล้วมี แนวโน้มที่จะก่อให้เกิดเป็ นอุบัติเหตุ หรือเกือบได้รับบาดเจ็บ เจ็บป่ วย เสียชีวิต หรือความสูญเสียต่อ ทรัพย์สิน สภาพแวดล้อมหรือสาธารณชน” งานบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยผู้ป่ วยโรงพยาบาลศิริราช (2556) ให้ค านิยามของ “เหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ” (Near miss) หมายถึง “การกระท าหรือละเว้นการกระท าซึ่งอาจส่งผลให้ เกิดอันตรายต่อผู้ป่ วย แต่ไม่เกิดอันตรายเนื่องจากความบังเอิญ การป้ องกนั หรือการท าให้ปัญหาทุเลา ลง (IOM)” ● ความหมายของ “sentinel event” ระบบบริหารความเสี่ยงโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ (2562) ให้ค านิยามของ “sentinel event” หมายถึง “ความเสี่ยงที่เฝ้ าระวังเป็ นพิเศษหรือเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ก่อให้เกิดการ เสียชีวิตหรืออันตรายขั้นรุนแรง ที่ต้องตื่นตัว ใส่ใจ ให้ความส าคัญสูง” งานบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยผู้ป่ วยโรงพยาบาลศิริราช (2556) ให้ค านิยามของ “sentinel event” หมายถึง “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ที่ก่อให้เกิดการเสียชีวิต หรืออันตรายขั้นรุนแรงต่อผู้ป่ วย ที่ ต้องตื่นตัว ใส่ใจ ให้ความส าคัญสูง” ● ความหมายของ “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์” ระบบบริหารความเสี่ยงโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ (2562) ให้ค านิยามของ “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์” (adverse event) หมายถึง “อุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่ วย ครอบคลุมถึงการเกิดโรค ภาวะแทรกซ้อน การบาดเจ็บ ความทุกข์ทรมาน ความพิการ และการเสียชีวิต และอาจจะเป็ นอันตรายทางด้านสังคม หรือจิตใจ” งานบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยผู้ป่ วยโรงพยาบาลศิริราช (2556) ให้ค านิยามของ “เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์” (adverse event) หมายถึง “อุบัติการณ์ที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ป่ วย" ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


16 ● ความหมายของ “ความเสี่ยง” ระบบบริหารความเสี่ยงโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์ (2562) ให้ค านิยามของ “ความ เสี่ยง” หมายถึง “โอกาสที่จะประสบกบความสูญเสีย หรือสิ ั่งไม่พึงประสงค์ โอกาสความน่าจะเป็ นที่จะ เกิดอุบัติการณ์” งานบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยผู้ป่ วยโรงพยาบาลศิริราช (2556) ให้ค านิยามของ “ความ เสี่ยง” หมายถึง “โอกาส หรือ ความน่าจะเป็ นที่จะเกิดอุบัติการณ์ (The probability that an incident will occur)” 2. โรคจากการท างานและสิ่งคุกคาม (Occupational diseases and hazards) ในการปฏิบัติงานของแต่ละอาชีพยอมมีความเสี่ยงในการเก ่ ิดการบาดเจ็บและมีโอกาสเกิดโรคจากการ ท างานด้วยกนทั ั้งสิ้น กลไกส่วนใหญ่ที่ท าให้เกิดโรคจากการท างานคือการสัมผัสปัจจัยคุกคาม (Hazards) เป็ นระยะเวลานานโดยไม่มีเครื่องป้ องกน ปัจจัยคุกคามที่ท าให้เก ั ิดโรคจากการท างานในแต่ละอาชีพอาจ แตกต่างกนอยูั บ้าง แต ่ ่หากพิจารณาปัจจัยหลักๆ สามารถแบ่งได้ 5 ปัจจัย ได้แก่ ● ปัจจัยทางกายภาพ (Physical factor) ได้แก่ เสียง แสง ความร้อน แรงสั่นสะเทือน คลื่น สนามแม่เหล็ก รังสี X รังสี UV เป็ นต้น ส าหรับอาชีพการให้บริการสุขภาพ พบวา แผนกรังสีวินิจฉัยและรังสีรักษามีความเสี่ยงต ่ ่อการ สัมผัสรังสีตลอดเวลา ในงานวิจัยของ Savitz and Calle (2530) ได้รายงานการเกิด Leukemia โดยเฉพาะชนิด Acute myelogenous leukemia มากในเจ้าหน้าที่ที่สัมผัสสนามแม่เหล็กไฟฟ้ า (Electromagnetic field) เป็ นเวลานาน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


17 ● ปัจจัยทางเคมี (Chemical factor) ได้แก่ ก๊าซ สารระคายเคือง สารกดกรั ่อน สารเคมีและยา โลหะ หนัก เป็ นต้น ส าหรับอาชีพการให้บริการทางสุขภาพต้องสัมผัสกบสารเคมีหลายชนิดผ ั านการสูดดม สัมผัส ซึ่ง ่ สารเหล่านี้สามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ จะเห็นได้จากงานวิจัยของ Hall, Demers et al. (2560) ได้ ศึกษาเรื่องการสัมผัสสาร Antineoplastic ที่ใช้ในการรักษาผู้ป่ วยมะเร็ง พบวา เจ้าหน้าที่ที่มีการ ่ สัมผัสสารนี้มากที่สุดคือเภสัชกรทั้งในโรงพยาบาลและร้านขายยา และสารนี้ได้ส่งผลด้านลบต่อ สุขภาพของเจ้าหน้าที่เหล่านี้ด้วย ● ปัจจัยทางการยศาสตร์ (Ergonomically factor) ได้แก่ ท่าทางในการท างานที่ไม่ถูกต้อง ส าหรับอาชีพการให้บริการทางสุขภาพอาจต้องมียกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่ วยบ้างในบางครั้ง การยกด้วย ท่าทางที่ไม่ถูกต้อง การลงน ้าหนักที่จุดหมุนไม่ดี อาจท าให้ต้องใช้แรงมากกวาปกติและต้องฝื น จน ่ ท าให้เกิดการบาดเจ็บได้ ดังนั้น จึงควรพิจารณาลักษณะท่าทางในการยกหรือเคลื่อนย้ายผู้ป่ วยให้ เหมาะสมกบรูปร ั ่างของผู้ป่ วยและสภาพร่างกายของผู้ยกเสมอ (Lafleur, Weaver et al. 2562) ● ปัจจัยทางจิตวิทยาสังคม (Psychological factor) ได้แก่ การรับประทานอาหารไม่ตรงเวลา การ พักผอนไม ่ ่เพียงพอ และความกดดันจากการท างาน ท าให้เกิดความเครียด ซึ่งอาจส่งผลให้อาการ ของโรคบางอยางแย่ลง เช่ ่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือด โรคหัวใจและ หลอดเลือด เป็ นต้น ● ปัจจัยทางชีวภาพ (Biological factor) ได้แก่ การติดเชื้อต่างๆ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว และ เชื้อรา เป็ นต้น ส าหรับอาชีพการให้บริการทางสุขภาพมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อค่อนข้างมาก เนื่องจากต้องสัมผัส ใกล้ชิดกบผู้ป่ วยในการท าหัตถการต ั ่างๆ และมีช่องทางในการติดเชื้อได้หลายช่องทาง ดังนี้ (มาลา ธรรม 2562) o ผานการสัมผัส ่ (Contact transmission) แบ่งเป็ น ▪ การสัมผัสโดยตรง (Direct contact) คือ การสัมผัสเชื้อจากผู้ป่ วยโดยตรง เมื่อมีการสัมผัสมัก ท าให้เกิดโรคได้มากกวาการสัมผัสโดยอ้อม เช ่ ่น การสัมผัสตรงรอยโรค Herpes โดยตรง อาจท าให้ผู้สัมผัสเกิดรอยโรคจากเชื้อไวรัสนี้(Herpetic witlow) ได้ เป็ นต้น ▪ การสัมผัสทางอ้อม (Indirect contact) คือ ผู้รับเชื้อไม่ได้สัมผัสกบแหลั ่งโรคโดยตรง กล่าวคือ มีตัวกลางที่น าเชื้อจากแหล่งโรคมายังผู้รับเชื้อ เช่น การถูกเข็มที่ปนเปื้อนเลือดของผู้ป่ วยทิ่ม ต า โดยมีเข็มเป็ นตัวกลาง เป็ นต้น ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


18 o ผานฝอยละอองใหญ ่ ่ (Droplet transmission) คือ การส่งผานเชื ่้อผานฝอยละอองขนาดใหญ ่ ่ มากกวา ่ 5 ไมครอน ซึ่งฝอยละอองขนาดใหญ่นี้จะลอยอยูในอากาศไม ่ ่นาน และแพร่กระจายได้ ไม่ไกลนัก เชื้อที่มีการส่งผานทางนี ่้ ได้แก่ เชื้อไวรัสจากโรคทางเดินหายใจส่วนบน เช่น ไข้หวัด ใหญ่ SARS ซึ่งสามารถป้ องกนได้โดยสวมหน้ากากป้ องก ั น และรักษาระยะห ั ่างจากผู้ป่ วยอยาง่ น้อย 1 เมตร o ผานฝอยละอองเล็ก ่ (Air borne transmission) คือ การส่งผานเชื ่้อผานฝอยละอองขนาดเล็กกว ่า ่ 5 ไมครอน ซึ่งฝอยละอองขนาดเล็กนี้จะลอยอยูในอากาศนาน แล ่ะแพร่กระจายได้ไกล เชื้อที่มี การส่งผานทางนี ่้ ได้แก่ โรคหัด วัณโรค และ อีสุกอีใส ซึ่งสามารถป้ องกนได้โดยสวมหน้ากากที่ ั สามารถกรองอนุภาคขนาด 0.3 ไมครอนได้ และแยกผู้ป่ วยไว้ในห้อง Negative pressure o ผาน ่ Vector ต่างๆ เช่น แมลง น ้า ดิน โดยในงานวิจัยนี้สนใจศึกษาอุบัติการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังในการท าหัตถการซึ่งเป็ น ่ ช่องทางในการส่งผานเชื ่้อโรคจากผู้ป่ วยสู่ผู้ปฏิบัติงานผานการสัมผัสที่พบมาก และมีการรายงานอุบัติการณ์ ่ ในผู้ให้บริการด้านสุขภาพ (Health worker) ในทุกระดับ ไม่วาจะเป็ นผู้ช ่ ่วยพยาบาล นักศึกษาพยาบาล พยาบาลวิชาชีพ นักเทคนิคการแพทย์ นักศึกษาแพทย์ แพทย์ประจ าบ้าน หรืออาจารย์แพทย์ (Fica, Jemenao et al. 2553, Rodrigues 2553, Shi, Zhang et al. 2554, พร บุญมี 2556, อะเคื้อ อุณหเลขกะ 2556, Choi, Torres et al. 2560) ทางคณะผู้วิจัยมีความเห็นวาควรศึกษาอุบัติการณ์เ ่ ข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังในการท า่ หัตถการในนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิกของมหาวิทยาลัยสยามด้วย โดยจะให้นักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก ระดับปี ที่ 4-6 ของมหาวิทยาลัยสยาม ปี การศึกษา 2563 ทุกคน ที่ฝึ กปฏิบัติงานในโรงพยาบาลพระนังเกล้าและ ่ โรงพยาบาลร่วมฝึ กปฏิบัติงานที่ท าข้อตกลงร่วมกน ั (MOU) ตอบแบบสอบถามวาเคยถูกเข็มทิ ่่มต าหรือ สัมผัสสารคัดหลังในการท าหัตถการหรือไม ่่ และเคยถูกเข็มทิ่มต าหรือสัมผัสสารคัดหลังในการท าหัตถการ่ ตลอดปี การศึกษา 2563 ทั้งหมดก ี่ครั้ง เพื่อหาอุบัติการณ์และอุบัติการณ์การเกิดซ ้า ซึ่งจะเป็ นข้อมูลพื้นฐานที่ ชี้ให้เห็นความส าคัญและเกิดความตระหนักในการระมัดระวังในการท าหัตถการ โดยเฉพาะอุบัติการณ์การ เกิดซ ้าท าให้สันนิษฐานได้วาเมื่อเก ่ ิดเหตุครั้งแรก แล้วมีครั้งที่สอง ก็จะมีครั้งต่อๆไปตามมาได้ 3. สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุในการท างาน ● ปัจจัยด้านบุคคล ● ปัจจัยด้านการบริหารจัดการ ● ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม 4. การป้ องกันอุบัติเหตุในการท างาน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


19 ● การเตรียมตัวก่อนการท าหัตถการ ○ จัดสิ่งแวดล้อมให้ปลอดภัย เช่นแสงสวางเพียงพอ มีพื ่้นที่ในการท าหัตถการที่เอื้ออ านวย ○ เตรียมอุปกรณ์ให้ครบถ้วน วางใน พื้นที่ที่จ ากด เชั ่น วางในถาด ผ้าปลอดเชื้อที่มีขอบเขต ชัดเจน และสะดวกต่อการหยิบใช้ ○ จัดเตรียมที่ทิ้งเข็มหรือของมีคม ○ ประเมินผู้ป่ วยก่อนท าหัตถการ วามีความจ าเป็ นจะต้องผูกมัด คือท าให้สงบก ่ ่อนท า หัตถการหรือไม่ ○ กรณีใช้ยาชนิดบรรจุหลอดแกว ควรมีอุปกรณ์ช ้ ่วยป้ องกน เชั ่น ส าลีรองบริเวณคอ หลอดแกวที่จะหัก ้ ● ขณะท าหัตถการ ○ จัดล าดับขั้นตอนการท าหัตถการ ○ ตั้งสติตลอดการท าหัตถการ โดยเฉพาะขณะเคลื่อนไหวมือทุกครั้ง ○ ระวังการชนกระทบกระแทกจากบุคคลที่อยูใกล้เคียง ่ ○ ไม่ส่งเข็มหรือของมีคมด้วยมือต่อมือโดยตรง ○ ใช้เทคนิคมือเดียว (one hand technique) ในการปลดปลอกเข็มและสวมปลอกเข็ม ○ ใช้คีมจับเนื้อเยื่อ (forcep) ทุกครั้งในการเย็บแผล ห้ามจับเนื้อเยื่อด้วยมือโดยตรง ○ ซ่อนปลายเข็มเย็บแผลขณะพักจากเย็บแผล ● หลังท าหัตถการ ○ แยกเข็มหรือของมีคมออกจากอุปกรณ์ชนิดอื่น ○ ตรวจนับเครื่องมือก่อนเก็บทุกครั้ง ○ ทิ้งเข็มและของมีคมในภาชนะที่เตรียมไว้ ○ ไม่ทิ้งเข็มหรือของมีคมเกิน ¾ ของภาชนะ ○ อยาให้มือหรือนิ ่้วเลยเข้าไปในภาชนะที่คิวเข็มหรือของมีคม ○ ไม่ปลดเข็มหรือของมีคมบนเตียงผู้ป่ วย ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


20 5. ข้อควรปฏิบัติภายหลังการเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลั่งในการท าหัตถการ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


21 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง (สุพรรณ์วองรักษ์สัตว์ ่ , สมสมัย สุธีรศานต์ และคณะ 2559) ศึกษาความชุกของการเกิดอุบัติเหตุจาก เข็มทิ่มต าหรือของมีคมบาด และปัจจัยที่สัมพันธ์กบความชุกของการเกั ิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มต าหรือของมีคม บาด ในบุคลากรทางการพยาบาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ พบวา ปัจจัยด้านบุคลากร และ ่ ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม ภายใต้เงื่อนไข ความระมัดระวัง ความเร่งรีบ และความเหนื่อยล้า มีความสัมพันธ์ต่อ การเกิดอุบัติเหตุจากเข็มทิ่มต าหรือของมีคม บาดอยางมีนัยส าคัญ โดยได้เสนอ นโยบายและ วัฒนธรรม ่ ความปลอดภัยโครงสร้างกายภาพของสิ่งแวดล้อมการท างาน และกลไกการสร้างความ ตระหนักในการ ปฏิบัติกิจกรรมตามแนวทางที่ได้กาหนดไว้ส าหรับบุคลากรทางการพยาบาล (ศิริพร ครุฑกาศ, ศรีวรรณ มีบุญ, สุปราณี ฉายวิจิตร, 2558) ความรู้ในการป้ องกนและอัตราการเก ั ิด เข็มทิ่มต าและการบาดเจ็บจากของมีคมของนักศึกษาวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จังหวัดนนทบุรี, หน้า 1- 10 พบวานักศึกษาสวนใหญ ่ ่มีความรู้ในการป้ องกนเข็มทิ ั่มต าและบาดเจ็บจากของมีคม เมื่อขึ้นฝึ กปฏิบัติงาน ในระดับมาก (ร้อยละ 91.64) โดยนักศึกษาท่ ีมีความรู้ระดับมาก จ านวนมากท่ ีสุดคือช้ันปี ที่ 4 (ร้อยละ 93.91) ระยะเวลา 1 ปี ที่ผานมามีนักศึกษาพยาบาลถูกเข็มทิ ่่มต า ร้อยละ 17.29 เป็ นนักศึกษาช้ันปี ท่ ี 2 มากที่สุดร้อย ละ 23.08 เข็มทิ่มต าส่วนใหญ่เกิดจากเข็มฉีดยาร้อยละ 13.54 ส าหรับผู้ท่ ีได้รับบาดเจ็บจากของมีคม มีร้อยละ 26.22 การบาดเจ็บจากของมีคมมักเกิดจากหลอดยาร้อยละ20.17 อุบัติเหตุส่วนใหญ่เป็ นอุปกรณ์ ท่ ียังไม่ได้ ใช้กบผู้ป่ วย แต ั ่ก็พบวามีนักศึกษาท ่ ่ ีได้รับบาดเจ็บจากของมีคมที่เปื้อนเลือดและใช้กบผู้ป่ วยแล้ว คิดเป็ น ร้อย ั ละ 1.15 และ 4.90 ภายหลังได้รับอุบัติเหตุมีนักศึกษาร้อยละ 7.78 ที่ไม่ทราบขั้นตอนการปฏิบัติตัว (มะลิวัลย์ เต็งสุจริตกุล, และคณะ 2557) อุบัติการณ์และเหตุผลที่รายงานหรือไม่รายงานอุบัติการณ์ ภายหลังได้รับบาดเจ็บจากของมีคม หรือสัมผัสสารคัดหลังของผู้ป่ วย ในนักศึกษาแพทย์ชั ่ ้นปี ที่ 4 ที่ ปฏิบัติงานกบผู้ป่ วย ั , วารสารการพัฒนาสุขภาพชุมชน มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2 (4), 2557, หน้า 61-75 พบวา่ อัตราการตอบกลับแบบสอบถามร้อยละ 91.3(137/150) พบ อุบัติการณ์ ร้อยละ 52.6(72/137)รายงานร้อยละ 34.7(25/72) เหตุผลที่รายงานเนื่องจาก กลัวการติดเชื้อรุนแรง(ร้อยละ31.9) ไม่ทราบผลเลือดผูู้ ป่ วย(ร้อยละ 23.6) ทราบผลเลือดผูู้ ป่ วยวา ่ anti-HIV, hepatitis profile positive (ร้อยละ18) ไม่รายงานร้อยละ 65.3(47/72) เหตุผล คิดวาการบาดเจ็บไม ่ ่รุนแรงและความเสี่ยงต าู่(ร้อยละ33.8) ทราบผลเลือดของผู้ป่ วยวา่ anti- HIV, hepatitis profile negative(ร้อยละ24.8)คิดวาขั ่้นตอนยุงยากเสียเวลา ่ (ร้อยละ24) สรุปประมาณ ครึ่ งหนึ่งพบอุบัติการณ์ และจ านวน 2 ใน 3 ไม่รายงานอุบัติการณ์เหตุผลที่ไม่ไปรายงาน คือคิดวาเป็ นการ ่ บาดเจ็บที่ไม่รุนแรงและความเสี่ยงต ่าเหตุผลที่ไปรายงานคือกลัวการติดเชื้อที่รุนแรง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


22 (พร บุญมี, กฤตพัทธ์ ฝึ กฝน และคณะ 2556) ศึกษาเรื่อง อุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มต า ของมี คมบาด และการสัมผัส สารคัดหลังในนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พะเยา พบว ่า ่ อุบัติเหตุขึ้นขณะที่กาลังใช้ของมีคม ร้อยละ 28.85 เกิดอุบัติเหตุขณะปลดเข็ม ถอดอุปกรณ์ ร้อยละ 21.54 ร้อยละ 13.46 เกิดอุบัติเหตุเมื่อสวมปลอกเข็มกลับ และเกิดอุบัติเหตุขณะดูดเสมหะด้วยเครื่องดูดเสมหะร้อย ละ 21.54 อวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บมากที่สุดคือที่นิ้วมือ ร้อยละ 86.67 ขณะเกิดอุบัติเหตุไม่ได้สวมเครื่อง ป้ องกนร้อยละ ั 55.60 นักศึกษาที่ได้รับอุบัติเหตุร้อยละ 51.10 ไม่ได้รายงานการเกิดอุบัติเหตุ ร้อยละ 48.89 ไม่ทราบผลเลือดผู้ป่ วย และ ร้อยละ 86.70 ไม่ได้รับการตรวจเลือดหลังได้รับอุบัติเหตุ (อะเคื้อ อุณหเลขกะ และคณะ 2556) ได้ท าวิจัยเรื่อง การป้ องกนอุบัติเหตุจากเข็มและของมีคมของ ั โรงพยาบาลในประเทศไทยและพบวาโรงพยาบาลร้อยละ ่ 99.2 มีการให้ความรู้เกี่ ยวกบการป้ องก ั นอุบัติเหตุ ั แก่บุคลากร ร้อยละ 97.2 เฝ้ าระวังการเกิดอุบัติเหตุและกาหนดแนวทางการป้ องก นอุบัติเหตุ ร้อยละ ั 88.6 จัดท าแนวทางการจัดการมูลฝอยแหลมคม ร้อยละ 88.4 กาหนดนโยบายการป้ องก นอุบัติเหตุจากเข็มและ ั ของมีคมเป็ นลายลักษณ์อักษร ร้อยละ 84.8 จัดหาอุปกรณ์ป้ องกนอุบัติเหตุแก ั ่บุคลากรและร้อยละ 76.5 โดย ปัญหาในการด าเนินการป้ องกนการเกั ิดอุบัติเหตุที่พบมากที่สุด คือปัญหาด้านบุคลากรพบวาบุคลากรขาด่ ความตระหนักและไม่ปฏิบัติตามค าแนะน าในการป้ องกนอุบัติเหตุ ปัญหาที่พบรองลงมา คือ ปัญหาด้านการ ั บริหาร ได้แก่ การขาดผู้รับผิดชอบการด าเนินงานโดยตรง ระบบเฝ้ าระวังการเกิดอุบัติเหตุไม่มีประสิทธิภาพ ขาดการสนับสนุนภาชนะทิ้งเข็มของมีคมที่มีคุณภาพ ขาดความร่วมมือจากหน่วยงาน และปัญหาด้าน สถานที่และสิ่งแวดล้อม ได้แก่ ความคับแคบและความสวางในหน ่ ่วยงานไม่เพียงพอ ผลการวิจัยชี้ให้เห็น ความจ าเป็ นในการส่งเสริมและสนับสนุนโรงพยาบาลในการด าเนินการป้ องกนการเกั ิดอุบัติเหตุจากเข็มและ ของมีคมในบุคลากรอยางจริงจังและต ่ ่อเนื่อง เพื่อให้สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อบุคลากรและ โรงพยาบาล (Chaiard J. และคณะ, 2561) ท าการวิจัยเรื่องการนอนหลับไม่เพียงพอในพยาบาลชาวไทยที่ส่งผล ต่ออาการอ่อนเพลีย อาการง่วงระหวางวั ่ น และข้อผิดพลาดจากการท างาน โดยพบวาการนอนหลับเพียง ่ 6.2 ชัวโมงต ่่อคืนนั้นร้อยละ 38.2 มีอาการอ่อนเพลีย,ร้อยละ 49.5 มีอาการง่วงนอนระหวางวันมากเป็ นพิเศษ ่ และร้อยละ 11.7 เกิดข้อผิดพลาดระหวางการท างาน ซึ่งเก ่ ิดข้อผิดพลาดในกลุ่มที่นอนหลับไม่เพียงพอเป็ น จ านวนร้อยละ 6.5 กลุ่มที่อ่อนเพลียเป็ นจ านวนร้อยละ 5.6 และกลุ่มที่มีอาการง่วงนอนระหวางวันมากเป็ น ่ จ านวนร้อยละ 4.7 ซึ่งสรุปได้วาข้อผิดพลาดในการท างานเก ่ ิดจากการนอนหลับไม่เพียงพอมากที่สุด (Ann-Marie Aziz, 2560), A change management approach to improving safety and preventing needle stick injuries ศึกษาเกี่ ยวกบโรคติดเชื ั้อในผู้ให้บริการด้านสุขภาพที่มีความสัมพันธ์กบกระบวณการั ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


23 ป้ องกนโรคติดเชื ั้อในระหวางการปฏิบัติงาน พบว ่ าในระหว ่ างปี ่ 2004 ถึง 2013 พบอุบัติการณ์การเกิดโรค ติดเชื้อจากอุบัติเหตุเข็มทิ่มต า 4830 ราย โดยหลังจากการให้น าแนะการจัดการที่ถูกต้องหลังเกิดอุบัติเหตุเช่น การใช้น ้ายาฆ่าเชื้อ การตรวจเลือดโดยทันที และการใช้อุปกรณ์ป้ องกนเข็มช ั ่วยป้ องกนการถูกเข็มทิ ั่มต า พบวาอุบัติการณ์การเก ่ ิดโรคติดเชื้อจากอุบัติเหตุเข็มทิ่มต าในผู้ให้บริการด้านสุขภาพลดลงร้อยละ 80 อยาง่ ชัดเจน (ฺูBekele T, Gabremarium และคณะ, 2558) ศึกษาเกี่ ยวกบทัศนคติ การรายงานอุบัติเหตุและการ ั จัดการภายหลังการเกิดอุบัติเหตุของเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลในเมือง Bale Zone ประเทศ Southeast Ethiopia พบวา มีเจ้าหน้าที่ร้อยละ ่ 58 เลือกที่จะไม่รายงานอุบัติเหตุ โดยร้อยละ 35 ของผู้ที่ไม่รายงานให้ เหตุผลวา ยุ่ งยาก เสียเวลาร้อยละ ่ 27 ให้เหตุผลวา ของมีคมยังไม ่ ่สัมผัสผู้ป่ วยร้อยละ 20 ให้เหตุผลวา ผลเลือด ่ ผู้ป่ วยไม่มีโรคที่ต้องสงสัย และร้อยละ 14 ให้เหตุผลวาไม ่ ่ทราบขั้นตอนการรายงาน นอกจากนี้ งานวิจัยยัง ได้เปรียบเทียบความใส่ใจต่อการรักษาและต่อสุขภาพระหวางเจ้าหน้าที่ที่ได้รับค ่ ่าจ้างสูงกบเจ้าหน้าที่ที่ ั ได้รับค่าจ้างต ่า พบวา มีความแตกต ่ ่างอยางชัดเจน ่ (Alemie GA, 2555) ได้ท าวิจัยเรื่องความเข้าใจในความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV ในการท างานของ บุคลากรสาธารณสุขที่ University of Gondar Hospital, Northwest Ethiopia ซึ่งพบวาบุคลากรทุกคน่ ตระหนักและระมัดระวังถึงความเสี่ยงของการติดเชื้อ HIV และบางกลุ่มเคยได้รับยา PEP รวมถึงเคยพบเห็น เหตุการณ์การได้รับอุบัติเหตุเข็มทิ่มต า โดยทุกคนรู้สึกวาอุบัติเหตุเข็มทิ ่่มต าเกิดมากครั้งและ universal precaution นั้นไม่ดีพอ (Fica และคณะ, 2555). "[Biological risk accidents among undergraduate healthcare students: five years experience]." Rev Chilena Infectol 27(1): 34-39. ศึกษาเกี่ ยวกบความเสี่ยงในการเก ั ิดอุบัติเหตุการ สัมผัสเลือดที่มีเชื้อโรคในกลุ่มนักศึกษาที่ศึกษาเกี่ ยวกบสาขาวิทยาศา ั สตร์สุขภาพพบวา เมื่อน านักศึกษา ่ ทั้งหมดมาเข้าร่วมโครงการการจัดการเมื่อเกิดอุบัติเหตุทางการแพทย์และติดตามไป 5 ปี(ปี 2556-2560) พบวามีอุบัติการณ์เก ่ ิดขึ้นร้อยละ 0.9 ต่อปี และเกิดมากที่สุดในนักศึกษาพยาบาล ส่วนอุบัติการณ์ที่พบมาก ที่สุดคือ การโดนเข็มทิ่มต า(ร้อยละ 74.7 ของอุบัติเหตุทั้งหมด ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


24 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย การศึกษาอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัสสารคัดหลังจากการท าหัตถการ่ ของนักศึกแพทย์ชั้นคลินิกมหาวิทยาลัยสยามปี การศึกษา 2563 เป็ นการศึกษาภาคตัดขวาง Cross-sectional study เชิงพรรณนา ซึ่งระยะเวลาในการเก็บข้อมูลในปี การศึกษา 2563 ระหวางเดือน ่ พฤษจิกายน พ.ศ. 2563 ถึง เดือนมีนาคม พ.ศ.2564 กลุ่มประชากรเป้ าหมายที่จะศึกษา คือ นักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 4-6 ของมหาวิทยาลัยสยาม ปี การศึกษา 2563 ทั้งที่ฝึ กปฏิบัติงานที่โรงพยาบาลพระนังเกล้าและโรงพยาบาลร ่่วมฝึ กปฏิบัติงานที่ท า ข้อตกลงร่วมกน ั (MOU) โดย ● ปี 4 ที่มีประสบการณ์การฝึ กปฏิบัติงานชั้นคลินิกมาแล้ว 1แผนก ● ปี 5 ที่มีประสบการณ์การฝึ กปฏิบัติงานชั้นคลินิกมาแล้ว 1ปี ● ปี 6 ที่มีประสบการณ์การฝึ กปฏิบัติงานชั้นคลินิกมาแล้ว 2 ปี ข้อพิจารณาด้านจริยธรรม งานวิจัยนี้ได้ผานการรับรองจากคณะกรรมการพิจารณาจริยธรรมเเละการ ่ ศึกษาวิจัยในมนุษย์โรงพยาบาลพระนังเกล้า ่ การเก็บรวบรวมข้อมูล ด าเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลระหวางวันที่ ่ 1 เดือน พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ถึง วันที่ 31 เดือน มีนาคม พ.ศ. 2564 ผานระบบสื่อสารโทรคมนาคม ่ (online) รวมเป็ นระยะเวลา 4 เดือน กระท าโดยคณะผู้วิจัยแจ้งถึงจุดประสงค์และที่มาของานวิจัย และขอความยินยอมจากกลุ่มตัวอยาง่ ให้ผู้เข้าร่วมโครงการท าแบบสอบถามอิเล็กทรอนิกส์โดยระบุตัวตนผู้ท าแบบสอบถามเพื่อใช้นับ จ านวนผู้ท าแบบสอบถามให้ครบตามจ านวนนักศึกษาแพทย์ตามปี การศึกษา 2563 ทั้งหมด ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


25 แผนการด าเนินงาน ศู นย์แพทยศาสตรช์ ัน้ คลิ นิ ก โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยสยาม


26 เครื่องมือที่ใช้ แบบสอบถาม รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งได้รับการปรับปรุงแกไขจากอาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยโดย ้ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาอายุรศาสตร์โรคติดเชื้อ,แพทย์เวชปฏิบัติทัวไปและพยาบาล ประกอบด้วย ่ 5 ส่วน คือ ส่วนที่ 1 ข้อมูลทัวไปของผู้ท าแบบสอบถาม เช ่่น รหัสนักศึกษา อายุ เพศ ระดับชั้นปี โรคประจ าตัว ประวัติวัคซีน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


27 ส่วนที่ 2อุบัติการณ์ เช่น รูปแบบอุบัติเหตุ สถานที่เกิดอุบัติเหตุ ผู้ควบคุมดูแลการท าหัตถการ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


28 ส่วนที่ 3 เหตุการณ์ถูกของมีคมทิ่มต า เช่น ข้างที่ถนัด จ านวนผู้ท าหัตถการ ชนิดของมีคม ต าแหน่งที่ เกิดอุบัติเหตุ ความลึกความรุนแรง หัตถการที่ท า ความเร่งด่วน ขณะที่เกิดอุบัติเหตุ การสวมอุปกรณ์ ป้ องกน สาเหตุของอุบัติเหตุ ั ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


29 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


30 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


31 ส่วนที่ 4 เหตุการณ์การสัมผัสสารคัดหลังผู้ป่ วย เช ่่น จ านวนผู้ท าหัตถการ ชนิดของสารคัดหลัง ่ ต าแหน่งที่สัมผัส ปริมาณสารคัดหลัง หัตถการที่ท า ความเร ่่งด่วน ขณะที่เกิดอุบัติเหตุ การสวม อุปกรณ์ป้ องกน สาเหตุของอุบัติเหตุ ั ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


32 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


33 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


34 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


35 ส่วนที่ 5 การปฐมพยาบาล เช่น วิธีการปฐมพยาบาล ระยะเวลาหลังจากได้รับอุบัติเหตุ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


36 ส่วนที่ 6 การรายงานอุบัติการณ์ เช่น การรายงานและไม่รายงานอุบัติการณ์ สาเหตุที่ไม่รายงาน ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


37 บทที่ 4 ผลการวิจัย 1. ประชากรที่ศึกษา ในงานวิจัยนี้มีผู้เข้าร่วมการศึกษา แบ่งเป็ น ● นักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 4 จ านวน 46 คน ● นักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 5 จ านวน 44 คน ● นักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 6 จ านวน 31 คน รวมเป็ นจ านวน 121 คน ซึ่งคิดเป็ นร้อยละ 100 ของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยาม 2. อุบัติการณ์ในการเกิดอุบัติเหตุ อุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุจากการท าหัตถการ ของนักศึกษาชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยาม พบวา ่ ● มีนักศึกษาแพทย์ ที่ไม่เคยประสบอุบัติเหตุ 86 คน ● ประสบอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า 16 คน คิดเป็ นร้อยละ 13.2 ● ประสบอุบัติเหตุสัมผัสสารคัดหลัง ่ 19 คน คิดเป็ นร้อยละ 15.7 ● ดังนั้น จากแผนภูมิวงกลม จะเห็นได้วา อุบัติการณ์อุบัติเหตุของมีคมทิ ่่มต า สามารถเกิดได้ใกล้เคียง กบการสัมผัสสารคัดหลั ัง่ และเมื่อพิจารณาอุบัติการณ์เข็มทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังแยกตามแผนก พบว่า ่ ● แผนกศัลยกรรม คิดเป็ นร้อยละ 40 จากอุบัติการณ์ทั้งหมด (35 ครั้ง) ● แผนกสูติ-นรีเวชกรรม คิดเป็ นร้อยละ 37.1 โดยเหตุเกิดในห้องคลอดถึง 9 คน (จาก 13 คนที่ ได้รับ อุบัติเหตุในแผนกสูติ-นรีเวชกรรม) ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


38 ● แผนกอายุรกรรม คิดเป็ นร้อยละ 31.4 ● ดังนั้นจากกราฟแท่ง จะเห็นได้วา อุบัติเหตุส ่ ่วนใหญ่เกิดในแผนกศัลยกรรม รองลงมาคือแผนกสูติ- นรีเวชกรรม และแผนกอายุรกรรม ตามล าดับ 3. อุบัติเหตุเข็มทิ่มต า ข้อมูลเชิงลึกจากอุบัติการณ์ของมีคมทิ่มต า พบวา จ านวนผู้เคยถูกของมีคมทิ ่่มต า ระหวางท า ่ หัตถการทั้งหมด 16 คน ● ชนิดของมีคมที่ท าให้เกิดบาดแผล ○ มากที่สุด ได้แก่ เข็ม ไม่วาจะเป็ น เข็มฉีดยา ่ , เข็มเย็บแผล, เข็มเจาะช่องท้อง, เข็มเจาะทรวง อก เป็ นต้น จ านวน 13 คน คิดเป็ นร้อยละ 81.3 ○ อันดับที่ 2 ได้แก่ มีดผาตัดจ านวน ่ 3 คน คิดเป็ นร้อยละ 18.8 ○ อันดับที่ 3 ได้แก่ ขวดยาชนิดแกว ้ (vial) จ านวน 1 คน คิดเป็ นร้อยละ 6.3 และ ○ เข็มส าหรับเจาะชิ้นเนื้อผานผิวหนัง ่ (Core needle) จ านวน 1 คน คิดเป็ นร้อยละ 6.3 ดัง กราฟแท่ง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


39 ● หัตถการที่ท าให้เกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า ○ มากที่สุด ได้แก่ การเย็บแผล จ านวน 6 คน คิดเป็ นร้อยละ 37.6 ○ รองลงมา ได้แก่ การเจาะช่องท้อง จ านวน 2 คน คิดเป็ นร้อยละ 12.5 และ ○ อื่นๆ รวมคิดเป็ นร้อยละ 50.4 แบ่งเป็ น การเจาะชิ้นเนื้อผานผิวหนัง ่ (Core needle biopsy), การผาตัดช ่ ่องท้อง(Exploratory laparatomy) 1 คน, การผาตัดและกรีดของเหลวออกจาก ่ ผิวหนัง(Incision and drainage) 1 คน, การใส่โลหะยึดตรึงกระดูกรยางค์ภายในร่างกาย (Open reduction internal fixation) 1 คน, การเจาะเยื่อหุ้มปอด (Pleural tapping) 1 คน, การ เจาะเลือดทางเส้นเลือดแดง (Aterial blood gas) 1 คน, การฉีดวัคซีน 1 คน และ การเข้า ร่วมผาตัด ่ 1 คน ● ช่วงเวลาที่มักเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า ○ มากที่สุด คือ ขณะท าหัตถการ คิดเป็ นร้อยละ 75 ○ รองลงมา คือ หลังท าหัตถการ คิดเป็ นร้อยละ 18.7 โดยเฉพาะขณะปลดเข็มและถอด อุปกรณ์ ดังแผนภูมิวงกลม ● สาเหตุที่ท าให้เกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า ○ มากที่สุด ได้แก่ การขาดความช านาญในการท าหัตถการ เช่น การสวมปลอกเข็ม, การหัก ขวดยา จ านวน 10 คน คิดเป็ นร้อยละ 62.5 ○ อันดับที่ 2 ได้แก่ การคาดคะเนขนาดเครื่องมือผิดพลาดจ านวน 6 คน คิดเป็ นร้อยละ 37.5 ○ อันดับที่ 3 ได้แก่ การวางของใช้และของทิ้งไม่เป็ นระบบ 2 คน และสภาพแวดล้อมไม่ เหมาะสม 2 คน คิดเป็ นร้อยละ 12.5 และ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


40 ○ อื่นๆ ได้แก่ การกีดขวางขณะที่ผู้อื่นท าหัตถการอยู, ่ ผู้ปฏิบัติงานไม่พร้อม เช่น มีอาการ ตื่นเต้น มือไม่นิ่ง ไม่มีสมาธิ, ไม่ใช้อุปกรณ์ป้ องกนหรืออุปกรณ์ไม ั ่เหมาะสม ดังภาพ ○ อยางไรก ่ ็ตาม จะเห็นได้วาไม ่ ่มีอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าจากการรับส่งเครื่องมือผิดพลาด ดัง กราฟแท่ง 4. การสัมผัสสารคัดหลัง่ ข้อมูลเชิงลึกจากอุบัติการณ์สัมผัสสารคัดหลัง พบว่ า จ านวนผู้เคยถูกของมีคมทิ ่่มต า ระหวางท าหัตถการ ่ ทั้งหมด 19 คน ● ชนิดสารคัดหลังที่นักศึกษาแพทย์สัมผัส ่ ○ มากที่สุด คือ น ้าคร ่า และเลือด คิดเป็ นร้อยละ 42.1 เท่ากนั ○ รองลงมา คือ น ้ามูก น ้าลาย เสมหะ คิดเป็ นร้อยละ 15.8 ดังแผนภูมิวงกลม ● หัตถการที่สัมผัสถูกสารคัดหลัง่ ○ มากที่สุด ได้แก่ การท าคลอดทางช่องคลอด (Normal labour) จ านวน 10 คน คิดเป็ นร้อย ละ 62.6 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


41 ○ อันดับที่ 2 ได้แก่ การเจาะเลือดทางเส้นเลือดแดง (Aterial blood gas) จ านวน 4 คนคิดเป็ น ร้อยละ 21.1 ○ อันดับที่ 3 ได้แก่ การผาตัดคลอด ่ (Cesarean section) 1 คน, การเย็บแผลและการท าแผล ชนิดเปี ยก (Wet dressing) 1 คน คิดเป็ นร้อยละ 5.3 ● บริเวณที่สัมผัสสารคัดหลัง่ ○ มากที่สุด ได้แก่ผิวบริเวณที่ไม่มีการป้ องกนจ านวน ั 11 คน คิดเป็ นร้อยละ 57.9 ○ อันดับที่ 2 ได้แก่ ผิวระหวางช่ ่องวางหรือรอยขาดของชุดจ านวน ่ 7 คน คิดเป็ นร้อยละ 36.8 ○ อันดับที่ 3 ได้แก่ การซึมผานชุดป้ องก ่ นจ านวน ั 1คน คิดเป็ นร้อยละ 5.3 ● สาเหตุที่ท าให้สัมผัสสารคัดหลัง่ ○ มากที่สุด ได้แก่ ท่าทางในการท าหัตถการไม่เหมาะสม คิดเป็ นร้อยละ 63.2 ○ อันดับที่ 2 ได้แก่ ผู้ปฎิบัติงานยังไม่พร้อม คิดเป็ นร้อยละ 21.1 ○ อันดับที่ 3 ได้แก่ การวางของใช้และของทิ้งไม่เป็ นระบบ อุปกรณ์ป้ องกนช ารุดหรือไม ั ่ เหมาะสม คิดเป็ นร้อยละ 15.8 เท่ากน และั ○ อื่นๆ ได้แก่ เกิดจากท าหัตถการผิดพลาด ความประมาทของผู้ปฎิบัติงาน ดังกราฟแท่ง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


42 5. ความเร่งด่วนของการท าหัตถการ เมื่อพิจารณาความเร่งด่วนของหัตถการ ที่ท าให้เกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือสัมผัสสารคัดหลัง พบว่า ่ ● ส่วนใหญ่เป็ นหัตถการที่ไม่ฉุกเฉิน แต่เร่งด่วน (urgency) โดยคิดเป็ นร้อยละ 63.2 ● รองลงมา เป็ นหัตถการที่ไม่ฉุกเฉินและไม่เร่งด่วน (Elective) คิดเป็ นร้อยละ 26.3 และ ● หัตถการฉุกเฉิน (Emergency) คิดเป็ นร้อยละ 10.5 ดังแผนภูมิรูปภาพ 6. จ านวนผู้ท าหัตถการ ปัจจัยอยางหนึ่งที่ส ่ ่งผลต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ คือการท างานร่วมกนหลายคน แตั ่อยางไรก ่ ็ตามจากการศึกษา พบวา การท าหัตถการเพียงล าพังท าให้เก ่ ิด อุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือสัมผัสสารขัดหลังได้ถึงร้อยละ ่ 50 ดังแผนภูมิ 7. การสวมเครื่องป้ องกนั ปัจจัยด้านการป้ องกนอุบัติเหตุ คือการสวมเครื่องป้ องก ั นขณะท าหัตถการซึ่งควรมีการป้ องก ั นที่ครบถ้วน ั ได้แก่ หมวกคลุมผม หน้ากาก แวนตา ถุงมือ เสื ่้อคลุม รองเท้าบูท แต่อยางไรก ่ ็ตาม ในการปฏิบัติงานจริงมัก สวมเครื่องป้ องกนไม ั ่ครบ โดยอุปกรณ์ที่สวม ● มากที่สุด ได้แก่ ถุงมือสองข้างจ านวน 16 คน คิดเป็ นร้อยละ 84.2 ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


43 ● อันดับ 2 ได้แก่ หน้ากากอนามัยจ านวน 15 คน คิดเป็ นร้อยละ 78.9 ● อันดับที่ 3 ได้แก่ แวนตาและหน้ากากป้ องก ่ นใบหน้าจ านวน ั 13 คน คิดเป็ นร้อยละ 68.4 และ ● มีผู้ไม่ได้สวมอุปกรณ์ป้ องกนใดเลยจ านวน ั 1 คน คิดเป็ นร้อยละ 6.3 ดังกราฟแท่ง 8. การปฐมพยาบาลหลังเกิดอุบัติเหตุ ภายหลังเกิดอุบัติเหตุ นักศึกษาแพทย์ทุกคนปฐมพยาบาล แต่มี ● ระยะเวลาที่แตกต่างกนออกไป ั ○ นักศึกษาแพทย์ที่ได้รับอุบัติเหตุร้อยละ 37.1 ปฐมพยาบาลทันที ○ ร้อยละ 28.6 ปฐมพยาบาลภายใน 5 นาที ○ ร้อยละ 25.7 ปฐมพยาบาลภายใน 15 นาที และ ○ ร้อยละ 8.6 ปฐมพยาบาลหลัง 15 นาทีไปแล้ว ดังแผนภูมิ ● วิธีการปฐมพยาบาล ○ ส่วนใหญ่ ล้างด้วยน ้ายาฆ่าเชื้อ(Chlohexidine, Tincture iodine) คิดเป็ นร้อยละ 82.9 และ ○ อื่นๆ ได้แก่ ล้างด้วยน ้าเปล่าล้างด้วยสบู่ที่ไม่ผสมน ้ายาฆ่าเชื้อ ร้อยละ 17.1 9. การรายงานอาจารย์ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


44 จากจ านวนนักศึกษาแพทย์ที่เกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 35 คน ● คนที่ไม่รายงาน 21 คน คิดเป็ นร้อยละ 60 ● คนที่รายงาน 14 คน คิดเป็ นร้อยละ 40 ดังแผนภูมิ ● สาเหตุที่ไม่รายงาน เนื่องจาก ○ คิดวาความเสี่ยงน้อยจากการที่สารคัดหลั ่ งสัมผัสผิวบริเวณที่ไม ่่มีบาดแผล ร้อยละ 76.2 ○ อันดับที่ 2 คิดวาความเสี่ยงน้อยเนื่องจากคนไข้มีผลเลือดปกติ ร้อยละ ่ 52.4 ○ อันดับที่ 3 คิดวาขั ่้นตอนการปฎิบัติค่อนข้างยุงยาก ร้อยละ ่ 38.1 และ ไม่ทราบขั้นตอนการ ปฎิบัติหลังเกิดอุบัติเหตุ ร้อยละ 33.3 ○ อันดับที่ 4 กลัวผลข้างเคียงในการกินยาต้านไวรัส ร้อยละ 14.3 ○ อันดับที่ 5 คิดวาความเสี่ยงน้อยเนื่องจากของมีคมแทงไม ่ ่เข้าและเกรงวาจะมีผลต ่ ่อคะแนน ปฎิบัติงานร้อยละ 9.5 และ ○ อื่นๆ เช่น ไม่แน่ใจวาเก่ ิดอุบัติเหตุหรือไม่ ร้อยละ 4.8 ดังกราฟแท่ง ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


45 บทที่ 5 อภิปรายงานวิจัย 1. ขนาดประชากร จากการศึกษาอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังในการท าหัตถการ่ ของนักศึกษาแพทย์ชั้นคลินิก มหาวิทยาลัยสยาม ทั้งหมด 121 คน มีนักศึกษาแพทย์ที่ไม่เคยประสบอุบัติเหตุ 86 คน คิดเป็ นร้อยละ 71 และประสบอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า 16 คน คิดเป็ นร้อยละ 13.2 และประสบ อุบัติเหตุสัมผัสสารคัดหลัง ่ 19 คน คิดเป็ นร้อยละ 15.7 ดังนั้น การหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า การสัมผัสสารคัดหลัง และการรายงาน่ อุบัติการณ์จึงได้ข้อมูลจาก 35 เหตุการณ์เท่านั้น 2. อุบัติการณ์ในการเกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า นักศึกษาแพทย์ที่ประสบอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า ในการท าหัตถการจ านวน 16 คน ส่วนใหญ่เกิด ขณะท าหัตถการในแผนกศัลยกรรม ซึ่งหัตถการที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดคือการเย็บแผล เนื่องจากขาดความ ช านาญ 3. อุบัติการณ์การสัมผัสสารคัดหลัง ่ นักศึกษาแพทย์ที่สัมผัสสารคัดหลัง ในการท าหัตถการ จ านวน ่ 19 คน ส่วนมากเป็ นการสัมผัสเลือด ส่วนหัตถการที่มีการสัมผัสสารคัดหลังมากที่สุดคือ การท าคลอดทางช ่่องคลอดโดยสารคัดหลังมักเปรอะ่ บริเวณผิวหนังที่ไม่มีเครื่องป้ องกนและสาเหตุมักเก ั ิดจากท่าทางในการท าหัตถการที่ไม่เหมาะสม 4. ปัจจัยที่ท าให้เกิดความผิดพลาดในการท าหัตถการจนน าไปสู่อุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือการสัมผัส สารคัดหลัง ได้แก่ a. ความเร่งด่วนของการท าหัตถการ ซึ่งจากหลักการแล้วหัตถการฉุกเฉิน (Emergency) ที่มี เวลาเตรียมตัวน้อยกวา ไม ่ ่วาจะเป็ นด้านอุปกรณ์ที่อาจจัดวางไม ่ ่เป็ นล าดับ ไม่ครบพร้อม มากนัก หรือสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อการท าหัตถการเท่าที่ควร อีกทั้งยังมีการท างานร่วมกบั ผู้อื่นอีกหลายหลายฝ่ ายภายใต้ภาวะกดดันด้านเวลา ซึ่งหากผู้ร่วมงาน ไม่เข้าใจระบบการ ท างาน หรือไม่เคยซักซ้อมการท าหัตถการร่วมกนแล้ว อาจท าให้เก ั ิดอุบัติเหตุได้ แต่ผลการศึกษาในงานวิจัยนี้กลับพบวาหัตถการส ่ ่วนใหญ่ที่เกิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต า เป็ นหัตถการที่ไม่ฉุกเฉินแต่เร่งด่วน (urgency) ส่วนหัตถการฉุกเฉินกลับเกิดอุบัติเหตุน้อย ที่สุด อาจเนื่องมาจาก ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


46 ● นักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 4, 5, 6 เพียงส่วนน้อยที่มีโอกาสได้ท าหัตถการฉุกเฉิน (emergency) ได้แก่ การใส่ท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube), การใส่ท่อระบาย ในช่องปอด (intercostal drainage), การแทงสายสวนทางหลอดเลือดด า (C-line) เป็ นต้น ● การท าหัตถการฉุกเฉิน (emergency) ส่วนใหญ่อยูภายใต้การควบคุมของอาจารย์ ่ อยางเข้มงวด ผู้ท าหัตถการมีสติ สมาธิ และเพิ ่่มความระมัดระวังอยางมาก่ อยางไรก ่ ็ตาม เนื่องจากอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุ จากหัตถการฉุกเฉิน (emergency) ค่อนข้างน้อย และกลุ่มตัวอยางจากสถาบันเดียวจึงไม ่ ่สามารถสรุปได้วาความเร่ ่งด่วนของ หัตถการมีผลต่ออุบัติเหตุหรือไม่ b. จ านวนผู้ท าหัตถการกบการเกั ิดอุบัติเหต จากการศึกษาพบวา การท าหัตถการเพียงคนเดียวเก ่ ิดอุบัติเหตุได้มากที่สุด อาจเนื่องจาก ● หัตถการที่นักศึกษาแพทย์ชั้นปี ที่ 4, 5, 6 ได้ท าส่วนใหญ่ไม่มีความซับซ้อน และไม่ จ าเป็ นจะต้องท าหลายคน แต่หากไม่มีความช านาญ ขาดการท างานเป็ นระบบ ประมาท หรือเสียสมาธิก็ท าให้เกิดอุบัติเหตุได้ ● การท าหัตถการร่วมกบผู้อื่น สามารถลดความเสี่ยงในการเก ั ิดอุบัติเหตุโดยการ ช่วยกนตรวจทานขั ั้นตอน และช่วยส่งเครื่องมือที่อยูผิดที่ผิดทาง ท าให้สะดวกต ่ ่อ การท าหัตถการมากขึ้น ● การท าหัตถการร่วมกบผู้อื่น ท าให้มีความระมัดระวังมากขึ ั้น ซึ่งจากเหตุผลที่กล่าวมา สอดคล้องกบผลการส ารวจในงานวิจัยนี ั้วา การท าหัตถการเพียง ่ ล าพังมีโอกาสเกิดอุบัติเหตุได้มากกวาการท าหัตถการร ่ ่วมกบผู้อื่น ั 5. ปัจจัยป้ องกนการเกั ิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลัง ได้แก ่ ่ การสวมเครื่องป้ องกนั 6. การปฐมพยาบาล นักศึกษาแพทย์ทุกคนปฐมพยาบาลทุกครั้งหลังเกิดอุบัติเหตุแสดง ถึงการให้ความส าคัญในการ ป้ องกนการถั ่ายทอดเชื้อผานอุบัติเหตุเหล ่ ่านี้ อยางไรก ่ ็ตาม ในการเกิดอุบัติเหตุบางครั้งไม่สามารถประถม พยาบาลทันทีหลังจากเกิดเหตุได้ เนื่องจากไม่สามารถหยุดหัตถการที่ท าอยู แต่ ่จะเห็นได้วานักศึกษาแพทย์ ่ ส่วนใหญ่ปฐมพยาบาลไม่เกิน 15 นาทีหลังเกิดเหตุ และมีเพียงร้อยละ 8 เท่านั้นที่ปฐมพยาบาลหลังจากผาน่ ไปแล้วกวา ่ 15 นาที ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


47 นักศึกษาแพทย์ส่วนใหญ่ใช้วิธีล้างแผลด้วยน ้ายาฆ่าเชื้อ (Chlohexidine, Tincture iodine) ซึ่งยังไม่ครบถ้วน ตามขั้นตอนที่ถูกต้องดังนี้ ● กรณีสารคัดหลังกระเด็นเข้าตา ่ -> ล้างด้วยน ้าสะอาด/NSS ปริมาณมากๆ ● กรณีสารคัดหลังกระ่ เด็นเข้าปาก -> บ้วนน ้าลาย + กลั้วปากด้วยน ้าสะอาดหลายๆ ครั้ง ● กรณีสารคัดหลังกระเด็นถูกผิวหนัง ่ -> ล้างด้วยน ้าสะอาด/สบู่+ เช็ดด้วย 70% alcohol + ทาด้วย Betadine ● กรณีถูกของมีคมเปื้อนเลือด -> เช็ดเลือดออก + ล้างด้วยน ้าสะอาด/สบู่+ เช็ดด้วย 70% alcohol + ทา ด้วย Betadine ดังนั้น เพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ ยวกบการปฐมพยาบาลหลังเก ั ิดอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าหรือ สัมผัสสารคัดหลัง จึงควรมีการประชาสัมพันธ์วิธีการท าความสะอาดแผลให้ นักศึกษาแพทย์ทุกคนทราบ ่ 7. การรายงานอาจารย์ จากอุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุทั้งสิ้น 35 คนพบวานักศึกษาแพทย์ส ่ ่วนใหญ่ไม่ได้รายงาน อุบัติการณ์ต่ออาจารย์หรือผู้ดูแล คิดเป็ นร้อยละ 60 ซึ่งสาเหตุที่ไม่รายงานส่วนใหญ่เนื่องจากคิดวามีความ ่ เสี่ยงน้อยจากการสัมผัสสารคัดหลังบริเวณผิวที่ไม ่่มีบาดแผลและผลเลือดของผู้ป่ วยปกติ รวมถึงไม่เข้าใจ ขั้นตอนในการเข้าสู่การรักษาและคิดวามีความยุ ่งยาก ่ ดังนั้น จึงควรมีการประชาสัมพันธ์และให้ความรู้เกี่ ยวกบขั ั้นตอน ในการเข้ารับการรักษา หลังเกิด อุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลัง เพื่อให้สามารถเข้าถึงการรักษาได้ และให้ค าแนะน าการ ่ ปฏิบัติแก่ผู้ได้รับอุบัติเหตุของมีคมทิ่มต าและสัมผัสสารคัดหลังได้อย ่ างถูกต้อง ่ ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


48 เอกสารอ้างอิง References 1. Bekele, T., A. Gebremariam, M. Kaso and K. Ahmed (2015). "Attitude, reporting behavour and management practice of occupational needle stick and sharps injuries among hospital healthcare workers in Bale zone, Southeast Ethiopia: a cross-sectional study." J Occup Med Toxicol 10: 42. 2. Choi, L. Y., R. Torres, S. Syed, S. Boyle, A. Ata, T. D. Beyer and C. Rosati (2017). "Sharps and Needlestick Injuries Among Medical Students, Surgical Residents, Faculty, and Operating Room Staff at a Single Academic Institution." J Surg Educ 74(1): 131-136. 3. Fica, C. A., P. M. Jemenao, R. G. Ruiz, L. M. Larrondo, H. C. Hurtado, G. G. Munoz and C. C. Sepulveda (2010). "[Biological risk accidents among undergraduate healthcare students: five years experience]." Rev Chilena Infectol 27(1): 34-39. 4. Hall, A. L., P. A. Demers, G. Astrakianakis, C. Ge and C. E. Peters (2017). "Estimating NationalLevel Exposure to Antineoplastic Agents in the Workplace: CAREX Canada Findings and Future Research Needs." Ann Work Expo Health 61(6): 656-658. 5. He, L., Z. Lu, J. Huang, Y. Zhou, J. Huang, Y. Bi and J. Li (2016). "An Integrated Intervention for Increasing Clinical Nurses' Knowledge of HIV/AIDS-Related Occupational Safety." Int J Environ Res Public Health 13(11). 6. Khader, Y., S. Burgan and Z. Amarin (2009). "Self-reported needle-stick injuries among dentists in north Jordan." East Mediterr Health J 15(1): 185-189. 7. Lafleur, B., T. B. Weaver, A. Tondat, V. Boscart and A. C. Laing (2019). "Manual patient transfers: factors that influence decisions and kinematic strategies employed by nursing aides." Ergonomics 62(4): 565-574. 8. Norsayani, M. Y. and I. Noor Hassim (2003). "Study on incidence of needle stick injury and factors associated with this problem among medical students." J Occup Health 45(3): 172-178. 9. Ohnishi, K. (2015). "Needle-stick dengue virus infection in a health-care worker at a Japanese hospital." J Occup Health 57(5): 482-483. 10. Rodrigues, C. (2010). "Needle stick injuries & the health care worker--the time to act is now." Indian J Med Res 131: 384-386. 11. Savitz, D. A. and E. E. Calle (1987). "Leukemia and occupational exposure to electromagnetic fields: review of epidemiologic surveys." J Occup Med 29(1): 47-51. ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


49 12. Shi, C. L., M. Zhang and C. Xie (2011). "[Study on status of needle-stick and other sharps injuries among healthcare workers in a general hospital ]." Zhonghua Lao Dong Wei Sheng Zhi Ye Bing Za Zhi 29(12): 939-943. 13. Wiwanitkit, V. (2001). "Needle stick injuries during medical training among Thai pre-clinical year medical students of the Faculty of Medicine, Chulalongkorn University." J Med Assoc Thai 84(1): 120-124. 14. Yi, Y., S. Yuan, Y. Li, D. Mo and L. Zeng (2018). "Assessment of adherence behaviors for the self-reporting of occupational exposure to blood and body fluids among registered nurses: A cross-sectional study." PLoS One 13(9): e0202069. 15. งานบริหารความเสี่ยงและความปลอดภัยผู้ป่ วยโรงพยาบาลศิริราช. (2013, 10/10/2013). "แนวทาง ปฏิบัติที่ส าคัญในระบบบริหารความเสี่ยง โรงพยาบาลศิริราช." ฉบับปรับปรุง. Retrieved 13/10/2019, 2019, from https://www.si.mahidol.ac.th/th/division/soqd/admin/download_files/215_18_1.pdf. 16. บุตรประเสริฐ, ก. (2014). ระบาดวิทยา โรคที่เกิดจากการท างาน: 3-14. 17. พงษ์เก่า, ส. (2019). เทคนิคการค้นหาสาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุอยางมีประสิทธิภาพ ่ . 18. พร บุญมี, ก. ฝ., พงศ์พัชรา พรหมเผา ่ (2013). "อุบัติการณ์การเกิดอุบัติเหตุเข็มทิ่มต า ของมีคมบาด และการสัมผัส สารคัดหลังในนัก่ ศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี พะเยา." วารสาร พยาบาลและการศึกษา 6(2): 124-136. 19. มาลาธรรม, ก. (2019). หลักการขั้นพื้นฐานเก ี่ ยวกบโรคติดเชื ั้อในโรงพยาบาล. 20. ระบบบริหารความเสี่ยงโรงพยาบาลจิตเวชนครสวรรค์ราชนครินทร์. (2019). "ความรู้เกี่ ยวกบความั เสี่ยง เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจในระบบบริหารความเสี่ยง." Retrieved 13/10/2019, 2019, from https://nph.go.th/riskv1.3/knowledge.php. 21. วองรักษ์สัตว์ ่ , ส. (2012). การศึกษาปัจจัยที่สัมพันธ์กบความชุกของการถูั กเข็มทิ่มต าหรือของมีคม บาดในบุคลากรทางการพยาบาล โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ The Study of Factors Associated with Prevalence of Needle Stick or 22. SharpInjuries among Nursing Staff at Thammasat University Hospital. l, โรงพยาบาลธรรมศาสตร์ เฉลิมพระเกียรติ:27-63. 23. ส านักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อมกรมควบคุมโรค. (2019). "แนวทางการด าเนินงาน ตามเกณฑ์การพัฒนาฯด้านปลอดภัย." สถานประกอบการ ปลอดโรค ปลอดภัย กายใจเป็ นสุข Retrieved 13/10/2019, 2019, from http://61.19.30.156/enocckorat/UserFiles/files/Part%203%20Safety.pdf. ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


50 24. อะเคื้อ อุณหเลขกะ, ส. เ. (2013). "การป้ องกนอุบัติเหตุจากเข็มและของมีคมของโรงพยาบาลใน ั ประเทศไทย Prevention of Needlestick and Sharp Injuries among Hospitals in Thailand." พยาบาล สาร Nursing Journal 40(ฉบับพิเศษ): 130-142. ศ ู นย ์ แพทยศาสตรช ์ ั น ้ คล ิ น ิ ก โรงพยาบาลพระน ั ่ งเกล ้ า คณะแพทยศาสตร ์ มหาวท ิ ยาล ั ยสยาม


Click to View FlipBook Version