The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by pari2519chai, 2022-06-16 02:16:28

ใบความรู้ทักษะการเรียนรู้

ใบความรู้

Keywords: ทักษะการเรียนรู้,ใบความ,รู้

ใบความรู้
วิชาทักษะการเรยี นรู้ ทร31001
ระดับมธั ยมศึกษาตอนปลาย

ใบความร้ทู ่ี 1
เร่ือง การจัดการความรู้
เรื่องที่ 1 : แนวคดิ เกี่ยวกบั การจดั การความรู้ ความหมายของการจัดการความรู้ การจัดการ (Management)
หมายถึง กระบวนการในการเข้าถึงความรู้ และการถ่ายทอด ความรทู้ ี่ ต้องดาเนนิ การร่วมกนั กบั ผ้ปู ฏบิ ตั งิ าน ซ่ึงอาจ
เรม่ิ ตน้ จากการบ่งชี้ความรู้ทต่ี อ้ งการใชก้ ารสรา้ ง และแสวงหา ความรู้ การประมวลเพ่ือกลน่ั กรองความรู้ การจดั การ
ความรู้ใหเ้ ป็นระบบ การสรา้ งช่องทางเพ่ือการสอ่ื สาร กับผู้เก่ยี วข้อง การแลกเปลี่ยนความรู้ การจดั การสมัยใหม่
กระบวนการทางปัญญา เปน็ สงิ่ สาคัญในการคดิ ตัดสินใจ และส่งผลใหเ้ กิดการกระทาการจดั การจึงเน้นไปทก่ี ารปฏิบตั ิ
ความรู้ (Knowledge) หมายถึง ความรูท้ ค่ี วบค่กู ับการปฏิบตั ิ ซ่วงในการปฏบิ ตั กิ าร เป็น ต้องใช้ความรู้ ท่ีหลากหลาย
สาขาวิชามาเช่ือมโยงบูรณาการเพอ่ื การคดิ และตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติ จุดกาเนิดของความรู้ คือสมองของคน เปน็
ความรู้ที่ฝงั ลกึ อยู่ในสมอง ชีแ้ จงออกมาเปน็ ถอ้ ยคาหรือ ตัวอักษรได้ยาก ความรู้นนั้ เม่ือ นาไปใช้จะไม่หมดไป แตจ่ ะยงิ่
เกดิ ความร้เู พมิ่ พนู มากขึ้นอยู่ในสมองของผปู้ ฏบิ ตั ิ ในยคุ แรก ๆ มองวา่ ความรู้ หรอื ทนุ ทางปัญญา มาจากการจัด
กระบวนการตีความ สารสนเทศ ซง่ึ สารสนเทศก็มาจากการประมวลข้อมูล ข้ันของการเรียนรู้ เปรียบดังปริ ามิดตาม
รูป แบบน้ี
การจัดการความรู้ การจดั การความรู้ (Knowledge Management) หมายถึง การจดั การกบั ความรู้และ
ประสบการณท์ ี่ มีอยู่ในตวั คนและความรู้เด่นชัด นามาแบ่งปนั ใหเ้ กดิ ประโยชน์ตอ่ ตนเองและครอบครวั ดว้ ยการ
ผสมผสาน ความสามารถของคนเข้าด้วยกันอยา่ งเหมาะสม มเี ป้าหมายเพอ่ื การพัฒนางาน พัฒนาคน และพัฒนา
องค์กร ให้เป็นองค์กรแหง่ การเรยี นรู้ ในปัจจุบนั และในอนาคต โลกจะปรบั ตัวเขา้ สู่การเป็นสงั คมแห่งการเรียนรู้ ซงึ่
ความรู้กลายเปน็ ปจั จัยสาคญั ในการพัฒนาคน ทา ให้คนจาเป็นตอ้ งสามารถแสวงหาความรู้ พัฒนาและสรา้ งองค์กร
ความรู้ อยา่ งตอ่ เนอื่ ง เพ่ือนาพาตนเองสูค่ วามสาเรจ็ และนาพาประเทศชาติไปสู่การพัฒนา มคี วามเจริญกา้ วหนา้
และสามารถแข่งขนั กบั ต่างประเทศได้ คนทุกคนมีการจัดการความรใู้ นตนเอง แตย่ ังไมเ่ ป็นระบบ การจดั การความรู้
เกิดข้นึ ได้ใน ครอบครวั ท่มี ีการเรยี นรู้ตามอธั ยาศยั พอ่ แม่สอนลูก ปยู่ ่า ตายาย ถา่ ยทอดความรแู้ ละภูมปิ ัญญา ใหแ้ ก่
ลกู หลานในครอบครวั ทากนั มาหลายชัว่ อายุคน โดยใชว้ ธิ ธี รรมชาติ เช่นพดู คยุ สงั่ สอน จดจา ไมม่ ี กระบวนการทเ่ี ปน็
ระบบแตอ่ ย่างใด วิธีการดงั กล่าวถอื เป็นการจัดการความรรู้ ปู แบบหน่งึ แต่อยา่ งใดกต็ าม โลกในยุคปัจจุบันมกี าร
เปล่ยี นแปลงอย่างรวดเรว็ ในด้านตา่ ง ๆ การใช้วธิ กี ารจัดการ ความรู้แบบธรรมชาติ อาจกา้ วตามโลกไม่ทัน จึง
จาเป็นต้องมีกระบวนการท่เี ปน็ ระบบ เพอ่ื ชว่ ยใหอ้ งคก์ รสามารถทาให้บุคคลได้ ใช้ความรตู้ ามท่ีต้องการได้ทนั เวลา
ซึ่งเป็นกระบวนการพฒั นาคนให้มศี ักยภาพ โดยการสร้างและใช้ความรู้ ในการปฏบิ ตั งิ านให้เกิดผลสัมฤทธ์ิดขี ึ้น
กว่าเดมิ การจัดการ ความรหู้ ากไมป่ ฏบิ ตั ิจะไมเ่ ขา้ ใจเร่ืองการจดั การ ความรู้ นัน่ คอื “ไม่ทา ไมร่ ู้” การจัดการความรู้
จึงเปน็ กิจกรรมของนกั ปฏิบตั ิ กระบวนการจัดการความรู้จึงมี ลักษณะเป็นวงจรเรียนรู้ท่ตี อ่ เนอื่ งสมา่ เสมอ เป้าหมาย
คือ การพฒั นางานและพัฒนาคน การจัดการความรทู้ ่แี ท้จรงิ เป็นการจดั การความรู้โดยกลุม่ ผ้ปู ฏบิ ัติงาน เป็นการ
ดาเนนิ กจิ กรรม ร่วมกนั ในกล่มุ ผู้ทางาน เพื่อชว่ ยกนั ดึง “ความรู้ในคน” และคว้าความรภู้ ายนอกมาใช้ในการทางาน
ทาให้ ไดร้ บั ความรู้มากขน้ึ ซ่ึงถือเป็นการยกระดับความรู้และนาความรู้ท่ไี ด้รับการยกระดับไปใช้ในการทางาน เปน็
วงจรตอ่ เน่อื งไมจ่ บส้นิ การจัดการความรจู้ งึ ตอ้ งรว่ มมือกนั ทาหลายคน ความคดิ เห็นท่ีแตกต่างในแตล่ ะ บคุ คลจะ
ก่อใหเ้ กดิ การสร้างสรรคด์ ้วยการใชก้ ระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ มีปณธิ านมุง่ ม่นั ที่จะทางานให้ ประสบผลสาเรจ็ ดี

ขน้ึ กวา่ เดมิ เมอื่ ดาเนนิ การจัดการความร้แู ลว้ จะเกิดนวัตกรรมในการทางานนนั่ คือการต่อยอดความรแู้ ละมีองค์ความรู้
เฉพาะเพ่ือใชใ้ นการปฏิบัติงานของตนเอง การจดั การความรมู้ ิใชก่ ารเอาความรู้ ทม่ี ีอยู่ในตาราหรอื จากผู้ที่เชย่ี วชาญมา
กองรวมกนั และจัดหมวดหมู่ เผยแพร่ แต่เป็นการดึงเอาความรูเ้ ฉพาะ สว่ นทีใ่ ชใ้ นงานมาจดั การให้เกิดประโยชนก์ บั
ตนเอง กลมุ่ หรือชมุ ชน
“การจัดการความรู้เป็นการเรยี นรู้จากการปฏิบัติ นาผลจากการปฏบิ ตั ิมาแลกเปล่ยี นเรยี นรู้กัน เสริมพลงั ของการ
แลกเปล่ียนเรยี นรู้ดว้ ยการช่นื ชม ทาให้เป็นกระบวนการแหง่ ความสขุ ความภูมิใจ และการ เคารพเห็นคณุ คา่ ซงึ่ กนั
และกัน ทกั ษะเหล่านี้นาไปสู่การสรา้ งนิสัยคิดบวก มองโลก ในแง่ดี และ สรา้ งวัฒนธรรมในองคก์ รทผ่ี ู้คนสัมพนั ธก์ นั
ดว้ ยเรอ่ื งราวดี ๆ ด้วยการแบง่ ปันความรู้ และ แลกเปล่ียนความรู้ จากประสบการณ์ซ่งึ กันและกัน โดยทก่ี ิจกรรม
เหล่าน้ีสอดคลอ้ งแทรกอยู่ในการทางานประจา ทุกเรอ่ื ง ทุก เวลา”



เรื่องที่ 2 : รูปแบบและกระบวนการในการจัดการความรู้
1. รูปแบบการจดั การความรู้ การจัดการความรนู้ น้ั มหี ลายรปู แบบ หรอื ที่เรียกกนั วา่ “โมเดล” มีหลากหลาย

โมเดล หวั ใจ ของ การจัดการความรู้ คือ การจดั การความรทู้ ีอ่ ยูใ่ นตวั คนในฐานะผู้ปฏิบตั ิและเป็นผู้มีความรู้ การ
จดั การความรู้ ที่ทาให้คนเคารพในศกั ด์ศิ รีของคนอ่นื การจัดการความรนู้ อกจากการจดั การความรใู้ นตนเองเพือ่ ใหเ้ กดิ
การพฒั นางานและพัฒนาตนเองแลว้ ยงั มองรวมถงึ การจัดการความรูใ้ นกลุ่มหรอื องค์กรด้วยรปู แบบการ จัดการ
ความรู้จึงอยบู่ นพ้ืนฐานของความเชอื่ ที่ว่า ทุกคนมีความรู้ปฏบิ ตั ิในระดับความชานาญทต่ี า่ งกนั เคารพความร้ทู ่ีอยู่ใน
ตวั คน ดร.ประพนธ์ ผาสุกยึด ไดค้ ัดคนรูปแบบการจัดการความรู้ไว้ 2 รปู แบบ คือ รปู แบบ ปลาทหู รอื ท่ี เรยี กว่า
“โมเดลปลาทู” และรปู แบบปลาตะเพยี น หรือที่เรียกวา่ “โมเดลปลาตะเพียน” แสดงใหเ้ ห็นถึง รปู แบบการจดั การ
ความรู้ในภาพรวมของการจัดการท่คี รอบคลมุ ทง้ั ความรูท้ ี่ชัดแจง้ และความรู้ที่ฝงั ลกึ ดังนี้
โมเดลปลาทู เพอ่ื ใหก้ ารจัดการความรู้ หรือ KM เปน็ เร่ืองทีเ่ ข้าใจง่าย จึงกาหนดให้การจดั การความรู เปรยี บ
เหมือนกับปลาทูตัวหน่ึง มีสง่ิ ท่ีต้องดาเนินการจัดการความรอู้ ยู่ 3 สว่ น โดยกาหนดว่า ส่วนหวั คอื การ กาหนด
เปา้ หมายของการจดั การความร้ทู ่ชี ัดเจน สว่ นตัวปลาคือการแลกเปลย่ี นความรซู้ ่งึ กัน และกนั และ ส่วนหางปลาคือ
ความรทู้ ีไ่ ด้รับจากการแลกเปลีย่ นเรียนรู้

ส่วนที่ 1 “หัวปลา” หมายถงึ “Knowledge Vision” KV คอื เปา้ หลายของการจัดการความรู้ ผู้ใช้
ตอ้ งรวู้ า่ จะจดั การความรู้เพอื่ บรรลุเป้าหมายอะไร เก่ยี วข้องหรือสอดคล้องกับวสิ ยั ทัศน์พันธกิจ และ ยุทธศาสตร์ของ
องค์กรอยา่ งใด เชน่ จดั การความรู้เพ่อื เพิ่มประสิทธภิ าพของงาน จัดการความร้เู พ่อื พฒั นาทกั ษะชวี ติ ด้านยาเสพติด
จดั การความรเู้ พอื่ พัฒนาทักษะชีวิตดา้ นสิง่ แวดล้อม จัดการความรู้เพ่ือพฒั นาทกั ษะชวี ิต ดา้ นชวี ิตและทรพั ยส์ นิ
จัดการความรูเ้ พ่ือฟนื้ ฟขู นบธรรมเนียม ประเพณี ดัง้ เดมิ ของคนในชุมชน เปน็ ต้น

สว่ นท่ี 2 “ตวั ปลา” หมายถึง “Knowledge Sharing” หรือ KS เป็นการแลกเปลย่ี นเรียนรู้ หรอื การ
แบ่งปนั ความรูท้ ีฝ่ ังลึกในตวั คนผู้ปฏิบัติ เนน้ การแลกเปล่ียนวิธีการทา งานท่ปี ระสบผลสาเร็จ ไม่เนน้ ทปี่ ญั หา เครือ่ งมือ
ในการแลกเปลี่ยนเรียนรมู้ หี ลากหลายแบบ อาทิ การเลา่ เรอ่ื ง การสนทนาเชงิ ลึก การช่นื ชมหรือการ สนทนาเชิงบวก
เพอ่ื นช่วยเพื่อน การทบทวนการปฏิบัตงิ าน การถอดบทเรียน การถอดองค์ความรู้

ส่วนท่ี 3 “หางปลา” หมายถงึ “Knowledge Assets” หรือ KA เปน็ ขุมความรูท้ ี่ได้จากการ
แลกเปลย่ี นความรู้ มีเครือ่ งมือในการจัดเกบ็ ความร้ทู ่มี ชี ีวติ ไม่หยดุ นง่ิ คอื นอกจากจดั เก็บความรู้ แลว้ ยงั งา่ ย ในการนา
ความรูอ้ อกมาใชจ้ รงิ งา่ ยในการนาความรูอ้ อกมาต่อยอด และงา่ ยในการปรบั ข้อมูลไม่ใหล้ า้ สมยั ส่วนนจี้ ึงไม่ใชส่ ่วนทม่ี ี
หนา้ ทเ่ี ก็บข้อมูลไวเ้ ฉย ๆ ไมใ่ ชห่ ้องสมุดสาหรบั เก็บสะสม ขอ้ มูลท่ีนา ไปใชจ้ ริง ไดย้ าก ดังนนั้ เทคโนโลยกี ารสือ่ สาร
และสารสนเทศ จึงเปน็ เครอ่ื งมือจัดเก็บความรู้อันทรงพลงั ยงิ่ ใน กระบวนการจัดการความรู้ จากโมเดล “ปลาทู” ตวั
เดียวมาสู่โมเดล “ปลาตะเพียน” ท่ีเป็นฝงู โดยเปรียบแม่ปลา “ปลาตัวใหญ่” ไดก้ บั วสิ ัยทัศน์ พันธกิจ ขององค์กร
ใหญ่ ในขณะท่ีปลาตาเล็กหลาย ๆ ตัว เปรียบไดก้ ับเป้าหมายของการจัดการ ความรู้ที่ต้องไปตอบสนองเปา้ หมายใหญ่
ขององคก์ ร จึงเป็นปลาท้งั ฝงู เหมือน “โมบายปลาตะเพยี น” ของ เลน่ เด็กไทยสมยั โบราณทผ่ี ใู้ หญส่ านเอาไว้แขวน
เหนอื เปลเดก็ เปน็ ฝูงปลาท่หี นั หนา้ ไปในทิศทางเดียวกนั และมคี วามเพยี รพยายามที่จะว่ายไปในกระแสน ้าท่ี
เปลย่ี นแปลงอยู่ตลอดเวลา ปลาใหญอ่ าจเปรยี บเหมือนการพัฒนาอาชีพตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพยี ง ใน

ชมุ ชนซึง้ การพฒั นาอาชีพดังกลา่ ว ตอ้ งมกี ารแก้ปัญหาและพฒั นาร่วมกนั ไปท้ังระบบเกิดกลุ่มตา่ ง ๆ ข้นึ ในชมุ ชนเพ่อื
การเรียนรรู้ ว่ มกนั ท้งั การทาบญั ชีครวั เรือน การทาเกษตรอนิ ทรีย์ การทาปยุ๋ หมัก การเลยี้ งปลา การเล้ียงกบ หากการ
แกป้ ัญหาท่ีปลาตวั เล็กประสบผลสาเรจ็ จะส่งผลให้ปลาใหญห่ รือ เปา้ หมายในระดับชุมชนประสบ ผลสาเร็จดว้ ยเช่น
นนั่ คือ ปลาว่ายไปขา้ งหนา้ อย่างพรอ้ มเพรยี งกนั ท่ีสาคญั ปลาแต่ละตัวไม่จาเปน็ ต้องมรี ูปรา่ งและขนาดเหมือนกัน
เพราะการจดั การความรู้ของ แต่ ละเรื่อง มีสภาพของความยากงา่ ยในการแกป้ ญั หาที่แตกต่างกัน รปู แบบของการ
จดั การความรู้ของแตล่ ะ หนว่ ยย่อยจึงสามารถสร้างสรรค์ ปรบั ให้เข้ากับแตล่ ะทีไ่ ดอ้ ย่างเหมาะสม ปลาบางตัวอาจมี
ท้องใหญ่ เพราะ อาจมีสว่ นของการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้มาก บางตัวอาจเปน็ ปลาทีห่ างใหญ่ เดน่ ในเรอ่ื งของการจัดระบบ
คลงั ความรู้เพอ่ื ใช้ในการปฏบิ ตั มิ า แต่ทุกตัวตอ้ งมีหัวและตาทีม่ องเห็น เป้าหมายที่จะไป

2. กระบวนการจัดการความรู้ กระบวนการจัดการความรู้ เป็นกระบวนการแบบหนึง่ ท่จี ะช่วยให้องคก์ รเข้าถงึ
ขน้ั ตอน ท่ีทา ให้ เกิดการจดั การความรู้ หรือพัฒนาการของความรู้ที่จะเกิดขน้ึ ภายในองค์กร มีขั้นตอน 7 ขั้นตอน
ดังนี้

1. การบ่งชี้ความรู้ เปน็ การพจิ ารณาว่า เปา้ หมายการทา งานของเราคืออะไร และเพอ่ื ให้บรรลุ
เปา้ หมายเราจา ต้องรู้อะไร ขณะนีเ้ รามคี วามรอู้ ะไร อยู่ในรปู แบบใด อยกู่ ับใคร

2. การสรา้ งและแสวงหาความรู้ เปน็ การจัดบรรยากาศและวัฒนธรรมการทางานของคนใน องคก์ ร
เพอ่ื เออื้ ให้คนมคี วามกระตือรือร้นในการแลกเปล่ียนความรูซ้ ึ่งกันและกนั ซึ่งจะก่อใหเ้ กดิ การสร้าง ความรใู้ หมเ่ พ่ือใช้
ในการพฒั นาอยู่ตลอดเวลา

3. การจดั การความรู้ให้เป็นระบบ เป็นการจัดทาสารบัญและจัดเก็บความรู้ประเภทต่าง ๆ เพื่อให้
การเก็บรวบรวมและการคน้ หาความรู้ นามาใช้ไดง้ า่ ยและรวดเร็ว

4. การประมวลและกล่นั กรองความรู้ เป็นการประมวลความรใู้ หอ้ ยู่ในรปู เอกสาร หรือ รปู แบบ อนื่
ๆ ที่มมี าตรฐาน ปรับปรงุ เนอ้ื หาให้สมบูรณ์ ใช้ภาษาท่ีเขา้ ใจงา่ ยและใช้ไดง้ ่าย

5. การเข้าถึงความรู้ เป็นการเผยแพรค่ วามร้เู พอ่ื ให้ผูอ้ น่ื ไดใ้ ช้ประโยชน์ เขา้ ถึงความรู้ได้ง่ายและ
สะดวก เช่น ใช้เทคโนโลยี เว็บบอร์ด หรือบอรด์ ประชาสมั พันธ์ เปน็ ตน้

6. การแบ่งปันแลกเปล่ียนความรู้ ทาให้หลายวธิ กี าร หากเปน็ ความรเู้ ด่นชดั อาจจัดทาเปน็ เอกสาร
ฐานความรูท้ ใี่ ช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หากเป็นความรู้ฝังลกึ ที่อยู่ในตวั คน อาจจัดทาเปน็ ระบบ แลกเปลยี่ นความรเู้ ป็น
ทมี ขา้ มสายงาน ชุมชนแห่งการเรยี นรู้ พ่เี ลี้ยงสอนงาน การสับเปลีย่ นงาน การยมื ตัว เวทีแลกเปลี่ยนเรยี นรู้ เปน็ ตน้

7. การเรยี นรู้ การเรยี นรู้ของบุคคลจะทาให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ ขนึ้ มากมาย ซงึ่ จะไปเพ่มิ พนู องค์
ความรขู้ ององคก์ รทมี่ อี ยแู่ ลว้ ใหม้ ากขึน้ เรื่อย ๆ ความรูเ้ หล่านจี้ ะถูกนาไปใช้เพ่ือสร้างความรูใ้ หม่ ๆ เปน็ วงจร ทไ่ี ม่
ส้นิ สุด เรียกวา่ เปน็ “วงจรแห่งการเรียนรู้
ตวั อยา่ งของการะบวนการจัดการความรู้ “วสิ าหกิจชมุ ชน” บ้านทงุ่ รวงทอง

1. การบ่งชีค้ วามรู้ หมู่บ้านทงุ่ รวงทองเป็นหมู่บา้ นหนึง่ ที่อยูใ่ นอาเภอจุน จังหวัดพะเยา จากการที่
หนว่ ยงานต่าง ๆ ได้ ไปสง่ เสริมใหเ้ กิดกลุ่มต่าง ๆ ข้นึ ในชมุ ชน และเห็นความสาคัญของการรวมตวั กัน เพือ่ เก้ือกูล คน
ในชมุ ชน ให้มกี ารพงึ่ พาอาศยั ซง่ึ กนั และกนั จึงมีเปา้ หมายจะพัฒนาหมูบ่ ้านให้เปน็ วิสาหกจิ ชมุ ชน จึงต้องมกี ารบง่ ชี้
ความรู้ทีจ่ าเป็นทจ่ี ะพัฒนาหมบู่ ้านให้เป็นวิสาหกิจชุมชน นัน่ คอื หาขอ้ มูลชมุ ชนในประเทศไทยมลี ักษณะ เปน็ วสิ าหกจิ

ชุมชน และเมอ่ื ศกึ ษาขอ้ มลู แลว้ ทาให้รู้ว่าความรูเ้ รื่องวสิ าหกจิ ชมุ ชนอยู่ที่ไหน นนั่ คือ อยทู่ ่ี เจา้ หนา้ ท่ีหนว่ ยงาน
ราชการทม่ี าส่งเสรมิ และอย่ใู นชมุ ชนทม่ี ีการทาวิสาหกิจชุมชนแลว้ ประสบผลสาเร็จ

2. การสร้างและแสวงหาความรู้ จากการศกึ ษาหาข้อมูลแลว้ วา่ หม่บู า้ นที่ทาเรือ่ งวสิ าหกิจชมุ ชน
ประสบผลสาเรจ็ อยู่ที่ไหน ได้ ประสานหน่วยงานราชการ และจัดทาเวทแี ลกเปลย่ี นเรยี นรเู้ พอ่ื เตรียมการในการไป
ศกึ ษาดงู าน เมอ่ื ไปศกึ ษา ดูงานได้แลกเปล่ียนเรียนรู้ ทาให้ได้รบั ความรเู้ พ่มิ มากข้ึน เข้าใจรูปแบบ กระบวนการ ของ
การทาวิสาหกิจ ชมุ ชน และแยกกันเรียนรเู้ ฉพาะกลุ่ม เพือ่ น าความรู้ทไี่ ด้รบั มาปรับใช้ในการทาวิสาหกจิ ชุมชนใน
หมบู่ า้ น ของตนเอง เม่อื กลับมาแลว้ มีการทาเวทีหลายครั้ง ท้ังเวทีใหญ่ทค่ี นทงั้ หมู่บ้านและหน่วยงานหลาย หน่วยงาน
มาใหค้ าปรกึ ษาชมุ ชนรว่ มกันคิด วางแผน และตัดสนิ ใจ รวมทง้ั มีเวทีย่อยเฉพาะกลมุ่ จากการ แลกเปลีย่ นเรยี นรู้ผา่ น
เวทชี าวบ้านหลายครงั้ ทาให้ชมุ ชนเกดิ การพัฒนาในหลายด้าน เชน่ ความสัมพันธ์ของ คนในชมุ ชน การมีส่วนร่วม ทง้ั
รว่ มคิด ร่วมวางแผน รว่ มดาเนนิ การ ร่วมประเมนิ ผล และร่วมรับ ผลประโยชน์ท่ีเกิดขน้ึ ในชมุ ชน

3. การจัดการความรใู้ ห้เป็นระบบ การทาหมูบ่ า้ นให้เปน็ วสิ าหกจิ ชุมชน เปน็ ความรู้ใหมข่ องคนใน
ชุมชน ชาวบ้านได้เรยี นรไู้ ปพรอ้ ม ๆ กนั มกี ารแลกเปลยี่ นเรยี นรกู้ ันอยา่ งเป็นทางการและไม่เปน็ ทางการ โดยมีสว่ น
ราชการและ องค์กรเอกชนตา่ ง ๆ รว่ มกนั หนนุ เสริมการท างานอยา่ งบูรณาการ และจากการถอดบทเรยี นหลายคร้ัง
ชาวบา้ นมคี วามรเู้ พ่ิมมาก ขนึ้ และบันทึกความรอู้ ยา่ งเป็นระบบนนั่ คอื มคี วามรู้เฉพาะกลุ่ม สว่ นใหญจ่ ะบันทกึ ในรปู
เอกสาร และมกี าร ทาวิจยั จากบคุ คลภายนอก

4. การประมวลและกล่นั กรองความรู้ มีการจัดทาขอ้ มูล ซึง่ มาจากการถอดบทเรยี น และการจดั ทา
เป็นเอกสารเผยแพร่เฉพาะกลมุ่ เป็น แหล่งเรียนรู้ให้กับนักศึกษา กศน. และนักเรยี นในระบบโรงเรยี น รวมทั้งมีนา
ขอ้ มูลมาวเิ คราะห์ เพือ่ จัดทา เปน็ หลกั สูตรทอ้ งถ่ินของ กศน. อาเภอจนุ จังหวัดพะเยา

5. การเข้าถึงความรู้ นอกจากการมีขอ้ มูลในชุมชนแลว้ หน่วยงานตา่ ง ๆ โดยเฉพาะองคก์ ารบรหิ าร
ส่วนตาบล ได้จดั ทาข้อมลู เพื่อให้คนเข้าถงึ ความรไู้ ดง้ ่าย ได้นาขอ้ มูลใส่อินเตอร์เนต็ และในแต่ละตาบลจะมี
อินเตอรเ์ นต็ ตาบล ให้บริการ ทาให้คนภายนอกเข้าถงึ ขอ้ มูลไดง้ ่าย และมีการเข้าถงึ ความรจู้ ากการ แลกเปลย่ี นเรียน
ร่วมกันจาก การมาศึกษาดูงานของคนภายนอก

6. การแบง่ ปนั แลกเปลยี่นความรู้ ในการดาเนนิ งานกลุ่ม ชุมชน ได้มีการแลกเปลย่ี นเรยี นรกู้ ันใน
หลายรปู แบบ ทัง้ การไปศึกษาดงู าน การศึกษาเป็นการส่วนตัว การรวมกลุ่มในลักษณะชมุ ชนนักปฏิบัติ (CoP) ที่
แลกเปล่ยี น เรยี นรว่ มกนั ท้งั เป็น ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ ทาให้กลุม่ ได้รับความรมู้ ากขึน้ และบางกลมุ่ เจอปัญหา
อุปสรรคโดยเฉพาะเรื่อง การบริหารจดั การกลมุ่ ทาให้กลุ่มตอ้ งมาทบทวนรว่ มกันใหม่ สร้างความเข้าใจรว่ มกัน และ
เรยี นร้เู รอ่ื งการ บรหิ ารจดั การจากกลมุ่ อนื่ เพม่ิ เติม ทาใหก้ ลุ่มสามารถดารงอยูไ่ ด้โดยไม่ล่มสลาย

7. การเรยี นรู้ กลมุ่ ไดเ้ รียนร้หู ลายอยา่ งจากการดาเนินการวิสาหกจิ ชุมชน การที่กลุม่ มกี ารพัฒนาข้ึน
นั่นแสดงวา่ กลมุ่ มีความร้มู ากข้นึ จากการลงมือปฏิบัตแิ ละแลกเปล่ียนเรยี นรรู้ ว่ มกัน การพัฒนา นอกจากความร้ทู ี่
เพ่ิมขึน้ ซงึ่ เป็นการยกระดับความรขู้ องคนในชุมชนแลว้ ยังเป็นการพฒั นาความคิด ของคนในชุมชน ชมุ ชนมี ความคดิ
ท่เี ปลยี่ นไปจากเดมิ มีการทากจิ กรรมเพือ่ เรียนรรู้ ว่ มกนั บ่อยขน้ึ มคี วามคิดในการพึ่งพาตนเอง และ เกดิ กลมุ่ ต่าง ๆ
ขน้ึ ในชมุ ชน โดยการมสี ว่ นรว่ มของคนในชุมชน

ปัจจยั ที่ทาให้การจัดการความร้ดู ้วยการรวมกลุม่ ปฏิบตั กิ ารประสบผลสาเร็จ
1. วัฒนธรรมและพฤตกิ รรมของคนในกล่มุ คนในกลุ่มตอ้ งมเี จตคตทิ ่ดี ีในการแบ่งปันความรซู้ ่ึง กันและกนั มี

ความไว้เนื้อเช่ือใจกนั ใหเ้ กยี รตกิ นั และเคารพความคิดเห็นของคนในกลมุ่ ทุกคน
2. ผูน้ ากล่มุ ต้องมองวา่ คนทกุ คนมคี ุณคา่ มคี วามรจู้ ากประสบการณ์ ผ้นู ากลมุ่ ต้องเป็นต้นแบบ ในการ

แบง่ ปันความรู้ กาหนดเป้าหมายของการจัดการความรใู้ นกลุ่มให้ชดั เจน หาวธิ กี าร ใหค้ นในกล่มุ นาเรอ่ื งทต่ี นรอู้ อกมา
เลา่ สู่กันฟงั การให้เกียรตกิ ับทุกคนจะทาให้ทุกคนกลา้ แสดงออก ในทางสร้างสรรค์

3. เทคโนโลยี ความรทู้ ่ีเกิดจากการรวมกลุ่มปฏบิ ัติการเพอ่ื ถอดองค์ความรู้ ปัจจบุ ันมกี ารใช้ เทคโนโลยีมาใช้
เพ่ือการจัดเก็บ เผยแพรค่ วามรู้กนั อยา่ งกวา้ งขวาง จดั เก็บในรูปของเอกสารใน เวบไซตว์ ดี ิโอ VCD หรือจดหมายขา่ ว
เป็นต้น

4. การนาไปใช้ การติดตามประเมนิ ผล จะชว่ ยให้ทราบวา่ ความร้ทู ่ไี ด้จากการรวมกลุ่มปฏิบัติมี การนาไปใช้
หรือไม่ การติดตามผลอาจใช้วธิ ีการสังเกต สมั ภาษณ์ หรอื ถอดบทเรียนผเู้ กีย่ วข้อง ประเมินผล จากการเปลีย่ นแปลงที่
เกดิ ขึน้ ในกลุ่ม เชน่ การเปล่ยี นแปลงทางด้านความคิด ของคนในกล่มุ พฤตกิ รรมของ คนในกลุ่ม ความสัมพนั ธ์ ความ
เป็นชมุ ชนท่รี วมตัวกนั เพ่ือแลกเปลย่ี น ความรกู้ ันอย่างสมา่ เสมอ รวมทง้ั การ พฒั นาดา้ นอ่ืน ๆ ที่สง่ ผลใหก้ ลุ่ม
เจรญิ เติบโตขึ้นด้วย
กระบวนการจดั การความรูด้ ้วยกลมุ่ ปฏบิ ัตกิ าร มีขั้นตอนดงั น้ี

1. การบ่งชีค้ วามรู้ สารวจปัญหา วเิ คราะห์ปัญหาภายในกล่มุ แยกปญั หาเปน็ ข้อ ๆ เรียง ตามลาดับ
ความสาคญั กาหนดความร้ทู ีต่ ้องใชใ้ นการแกป้ ญั หา ความรู้นน้ั อาจอยูใ่ นรูปของเอกสาร หรืออยทู่ ่ี ตัวบุคคลผู้ท่ีเคย
ปฏิบัติในเร่ืองนั้นและสาเรจ็ มาแลว้

2. การสรา้ งและแสวงหาความรู้ เมอ่ื กาหนดองค์ความรู้ที่จาเปน็ ในการแก้ปญั หาหรอื พัฒนาแล้ว ทาการ
สารวจและแสวงหาความรู้ทต่ี อ้ งการจากหลาย ๆ แหล่ง

3. การจดั การความรู้ให้เป็นระบบ นาข้อมลู ที่ไดจ้ ากการแสวงหาความรู้ มาจัดให้เปน็ ระบบ เพอ่ื แยกเป็น
หมวดหมู่ เพือ่ ใหง้ า่ ยตอ่ การวิเคราะหแ์ ละตัดสินใจในการนาไปใช้

4. การประมวลและกลน่ั กรองความรู้ ในยคุ ที่สังคมเปลย่ี นแปลงไปอย่างรวดเรว็ และมกี ารนา เทคโนโลยมี า
ใช้เพอื่ การเรียนรูแ้ ละการบริหารจัดการมากขนึ้ ความรู้บางอย่างอาจลา้ สมยั ใช้แก้ปญั หาไมไ่ ด้ ในสมยั นี้ ตอ้ งมีการ
ประมวลและกลน่ั กรองความรกู้ ่อนนามาใช้ ความรทู้ ่ผี ่านการปฏิบตั ิจนประสบผลสาเร็จ มาแลว้ ถือเป็นความรู้ทส่ี าคัญ
เนอ่ื งจากมบี ทเรยี นจากการปฏิบตั ิ และหากเป็นความรตู้ ามที่เราต้องการก็ สามารถนามาประยกุ ตใ์ ช้ในกลุ่มได้

5. การเข้าถงึ ความรู้ สมาชกิ ในกล่มุ ทกุ คนควรจะเขา้ ถงึ ความรูไ้ ด้ทุกคน เนอ่ื งจากทุกคนมี ความสาคัญในการ
แก้ปญั หา พัฒนา รวมทงั้ เปน็ ผสู้ รา้ งพลังให้กับกลุ่ม การแก้ปญั หาไม่ได้ หมายความว่า ผ้นู ากลมุ่ คนเดยี วสามารถ
แก้ปัญหาได้หมด ทุกคนควรมสี ่วนรว่ มในการแก้ปญั หา ความรู้ที่จา เป็นในการ แก้ปัญหาหรอื พฒั นากลุ่ม ตอ้ งมกี าร
จัดการให้ทกุ คนสามารถเข้าถงึ ความรู้ ไดง้ ่าย หากเป็นกล่มุ ปฏิบัติการ การเข้าถงึ ความรู้ได้งา่ ย คอื การแลกเปล่ยี น
เรยี นรู้ในตวั คน การศึกษาดูงานกลุม่ อ่นื การศึกษาหาความรู้จาก เว็บไซต์ หรอื การนาเอกสารมาใหส้ มาชิกไดอ้ ่าน

6. การแบง่ ปนั แลกเปลยี่ นความรู้ ความรู้ส่วนใหญ่จะอยใู่ นสมองคนซง่ึ เปน็ ผ้ปู ฏิบตั ิไมส่ ามารถ ถ่ายทอด
ออกมาเป็นความรูท้ ีช่ ัดแจ้ง ในรปู ของเอกสาร หรือสือ่ อื่น ๆ ทีจ่ บั ตอ้ งไดก้ ารแลกเปลีย่ นเรยี นรู้จงึ มี ความสาคญั อยา่ ง
มากในการดึงความรทู้ ีอ่ ย่ใู นตัวคนออกมา เปน็ การตอ่ ยอด ความรใู้ หแ้ กก่ ันและกัน การ แลกเปล่ยี นแบง่ ปันความรู้
รว่ มกนั ทาได้หลายวธิ ี เชน่ การประชุม สัมมนา การศึกษาดูงาน การเป็นพ่เี ลยี้ ง สอนงาน หรือการรวมกลุ่มชุมชนนัก
ปฏิบัตเิ ฉพาะเรอ่ื งทีส่ นใจ

7. การเรียนรู้ สมาชิกในกลมุ่ เกิดการเรยี นรู้รว่ มกนั การไดแ้ ลกเปล่ียนประสบการณก์ ็ถอื เป็นการ เรียนรู้ น่นั
คือ เกิดความเขา้ ใจและมีแนวคิดในการนาไปปรบั ใช้ หากมีการนาไปใชโ้ ดยการปฏิบัติจะสง่ ผล ให้ผู้ปฏิบตั เิ กดิ การ
เรยี นรมู้ ากยิง่ ขึน้ เพราะในระหว่างการปฏบิ ตั ิจะมปี ัญหาเขา้ มาให้ แก้ไขเปน็ ระยะ ๆ การทาไปแก้ปัญหาไป เป็นการ

เรยี นรทู้ ดี่ ี และเมื่อปฏิบัติจนเกดิ ผลสาเร็จ อาจเป็นผลสาเร็จท่ีไมใ่ หญโ่ ต สาเรจ็ ในขน้ั ทห่ี นงึ่ หรือข้นั ทส่ี อง ก็ถอื เปน็
ผลสาเรจ็ จาการปฏบิ ตั ิที่เป็นเลศิ หรอื best practice ของผปู้ ฏบิ ัตินน่ั เอง

การสรุปองคค์ วามรู้และการจดั การทาสารสนเทศการจัดการความรู้ดว้ ยการรวมกลมุ่ ปฏิบตั ิการ การรวมกลมุ่
ปฏบิ ตั กิ าร ในการปฏบิ ัติงานแต่ละคร้ัง กลุ่มจะตอ้ งมกี ารสรุปองค์ความรู้เพอื่ จดั ทา เป็นสารสนเทศ เผยแพร่ ความรู้
ใหก้ ับสมาชิกกลมุ่ และกลุ่มอ่นื ๆ ท่ีสนใจในการเรียนรู้ และเมอ่ื มีการดาเนนิ การจัดหา หรือสร้าง ความรูใ้ หม่จากการ
พัฒนาขึ้นมา ต้องมีการกาหนดส่งิ สาคัญท่จี ะเก็บไว้เปน็ องคค์ วามรู้ และต้องพจิ ารณาถงึ วิธีการในการเกบ็ รกั ษาและ
นามาใชใ้ ห้เกดิ ประโยชนต์ ามความตอ้ งการ ซึง่ กลมุ่ ต้องจัดเกบ็ องค์ความรู้ไว้ให้ ดีท่ีสดุ ไม่ว่าจะเป็นขอ้ มลู ขา่ ว
สารสนเทศ การวิจยั การพัฒนา โดยตอ้ ง คานงึ ถงึ โครงสรา้ งและสถานที่หรอื ฐานของการจัดเก็บ ต้องสามารถค้นหา
และส่งมอบให้อย่างถูกตอ้ ง มีการจาแนกหมวดหมู่ของความรู้ไวอ้ ย่าง ชดั เจน

การสรปุ องคค์ วามรดู้ ว้ ยการรวมกล่มุ ปฏบิ ัตกิ าร การจัดการความรูก้ ลุ่มปฏิบตั ิการ เปน็ การจัดการความรขู้ อง
กลมุ่ ท่ีรวมตวั กัน มีจุดมุง่ หมายของ การทางานรว่ มกนั ให้ประสบผลสาเรจ็ ซึ่งมีกลุ่มปฏบิ ัตกิ าร หรอื ที่เรียกวา่ “ชมุ ชน
นักปฏิบัติ” เกดิ ขน้ึ อย่าง มากมาย เช่น กลุม่ ฮกั เมืองน่าน กลุ่มเล้ยี งหมู กล่มุ เลีย้ งกบ กลมุ่ เกษตรอินทรยี ์ กลมุ่ สัจจะ
ออมทรัพย์ หรอื กลุ่มอาชีพต่าง ๆ ในชมุ ชน กลุม่ เหลา่ นีพ้ ร้อมทจ่ี ะเรยี นรแู้ ละแลกเปล่ยี น ประสบการณ์ซึง่ กนั และกนั
องคค์ วามรูจ้ ึงเป็นความร้แู ละปญั ญาทแ่ี ตกต่างกันไปตามสภาพและบริบทของชมุ ชน การสร้าง องคค์ วามรู้หรอื ชดุ
ความรู้ของกลุม่ ได้แลว้ จะทาใหส้ มาชิกกลุ่มมีองค์ความรหู้ รือชดุ ความรู้ ไวเ้ ป็นเครอ่ื งมือ ในการพฒั นางาน และ
แลกเปลี่ยนเรียนรู้กับคนอ่นื หรือกลุ่มอน่ื อย่างภาคภมู ใิ จ เปน็ การตอ่ ยอดความรู้

ใบความรู้ ท่ี 2
เรอ่ื ง การแก้ปญั หาทีน่ ่าเชอ่ื ถอื (คดิ เปน็ )

การคิดเป็น คอื การใช้ขอ้ มลู อยา่ งนอ้ ย 3 ประการมาประกอบการตัดสนิ ใจ แก่ ขอ้ มลู ด้านวชิ าการ ข้อมลู
เกยี่ วกับตนเอง ข้อมลู เกี่ยวกบั สังคมและสิ่งแวดล้อม การที่เปน็ ผู้รู้จักปัญหา เรือ่ งทุกข์ รู้จกั สาเหตุแหง่ ทกุ ข์ ซ่งึ มีอยู่ใน
ตนเองและสภาพแวดล้อม รจู้ ักคิดวิเคราะหห์ าวธิ บี าบดั ทุกข์ และใชว้ ธิ ที ่ีเหมาะสมในการดบั ทกุ ข์จึงจะเกิดความสุขการ
ท่เี ป็นผรู้ ้จู ักปัญหา เรอื่ งทกุ ข์ รูจ้ กั สาเหตแุ หง่ ทุกข์ ซ่ึงมอี ยูใ่ นตนเองและสภาพแวดล้อม รจู้ กั คิดวิเคราะห์หาวิธีบาบัด
ทุกข์ และใชว้ ิธีทีเ่ หมาะสมในการดับทกุ ข์จงึ จะเกิดความสุขพฤติกรรมสาคัญของการคิดเปน็ อย่างหน่ึงคอื การใช้ข้อมลู
โดยเฉพาะ ข้อมูลท่เี กย่ี วกบั ตนเอง สงั คมสิง่ แวดล้อม
ความเชื่อพ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ มีอยู่ 5 ประการดว้ ยกัน ไดแ้ ก่

1. ในความเปน็ จรงิ ในสงั คมผู้คนมคี วามแตกตา่ งกันทั้งดา้ นอาชีพ ฐานะความเป็นอยู่ สภาพสังคม สภาพภมู ิ
ประเทศ ภมู ิอากาศ สิ่งแวดล้อม แต่ทกุ คนกป็ รารถนาความสุข ความสขุ ของแต่ละคนจึงแตกต่างกัน

2. ความสุขของคนจะเกดิ ขน้ึ ตอ่ เมื่อมีการปรบั ตัวเอง และส่งิ แวดล้อมใหเ้ ขา้ หากันอย่างผสมกลมกลืน จนเกดิ
ความพอดี

3. สภาวะแวดลอ้ มในสังคมมีการเปลยี่ นแปลงตลอดเวลา จึงทาให้เกดิ ปญั หา เกดิ ความทุกข์ ความไมส่ บาย
กาย ไมส่ บายใจอยูต่ ลอดเวลา

4. เมื่อเกดิ ปัญหาหรอื เกดิ ทุกข์ ก็ตอ้ งหาวิธแี ก้ปญั หา ซงึ่ การแกป้ ัญหาทีเ่ หมาะสมต้องมขี อ้ มลู ที่หลากหลาย
ประกอบการตดั สินใจ
การทเี่ ป็นผรู้ ้จู กั ปญั หา เร่อื งทุกข์ รูจ้ ักสาเหตแุ ห่งทกุ ข์ ซ่ึงมีอยใู่ นตนเองและสภาพแวดล้อม รจู้ กั คดิ วเิ คราะหห์ าวิธี
บาบดั ทุกข์ และใช้วธิ ีทเ่ี หมาะสมในการดับทกุ ข์จงึ จะเกิดความสุข
พฤติกรรมสาคญั ของการคดิ เป็นอย่างหน่ึงคือ การใชข้ อ้ มูล โดยเฉพาะ ขอ้ มูลท่ีเกยี่ วกบั ตนเอง สงั คมสง่ิ แวดลอ้ ม
ความเชอื่ พื้นฐานทางการศกึ ษาผูใ้ หญ่ มอี ยู่ 5 ประการดว้ ยกัน ได้แก่

1. ในความเปน็ จริง ในสังคมผู้คนมคี วามแตกตา่ งกันทงั้ อาชีพ ฐานะความเปน็ อยู่ สภาพสั่งคม สภาพภมู ิ
ประเทศ ภมู ิอากาศ สิ่งแวดล้อม แต่ทกุ คนกป็ รารถนาความสุข ความสุขของแต่ละคนจงึ แตกต่างกัน

2. ความสุขของคนจะเกิดข้นึ ตอ่ เมอ่ื มกี ารปรับตัวเอง และสิ่งแวดล้อมให้เข้าหากนั อย่างผสมกลมกลืน จนเกิด
ความพอดี

3. สภาระแวดลอ้ มในสังคมมกี ารเปลีย่ นแปลง ตลอดเวลา จึงทาให้เกดิ ปัญหา เกดิ ความทกุ ข์ ความไมส่ บาย
กายไมส่ บายใจอยู่ตลอดเวลา

4. เมอ่ื เกิดปญั หาหรอื เกิดทุกข์ ก็ต้องหาวิรแี ก้ปัญหา ซ่ึงการแกป้ ัญหาท่เี หมาะสมต้องมีข้อมูลทห่ี ลากหลาย
ประกอบการตดั สินใจ

5. เมื่อไดใ้ ช้วธิ ีแกป้ ญั หาดว้ ยการวิเคราะหซ์ อื้ มูลและไตรต่ รองขอ้ มูลอย่างรอบคอบ โดยใช้ขอ้ มลู ท้ัง 3
ประการ ข้อมูลต้านตนเอง วชิ าการ และด้านสงั คมส่ิงแวดล้อม จนมคี วามพอใจแลว้ กพ็ รอ้ มท่จี ะรับผดิ ขอบการ
ตัดสินใจเกิดความพอดี ความสมดุลระหว่างชีวติ กับธรรมชาตอิ ย่างสนั ติสุข

ขอ้ มลู หมายถึง ขอ้ มลู ท่ีเป็นขอ้ เท็จจริง หรือเหตุการณ์ตา่ ง ๆที่เกิดขนึ้ ในชีวิตประจาวันที่เกบ็ รวบรวมจาก
แหลง่ ตา่ ง ๆ อาจเปน็ ตวั เลข ตวั อกั ษร สญั ลกั ษณ์ รปู ภาพ เสยี ง ข้อมูลท่ีดีจะต้องมคี วามแม่นยาและเป็นปจั จุบัน
สารสนเทศ คอื ข้อมูลที่นามาผ่านกระบวนการประมวลผล วเิ คราะห์จนสามารถนาไปใช้ในการตดั สินใจต่อไปได้ทีนที

ลกั ษณะของข้อมูล
- ขอ้ มูลเชงิ คณุ ภาพ คอื ข้อมลู ทไี่ มส่ ามารถบอกได้ว่า มีคา่ มากหรือนอ้ ย แต่จะสามารถบอกไดว้ า่ ดี

หรือไม่ดี
- ข้อมลู เชงิ ปริมาณ คือ ขอ้ มูลที่สามารถวดั คา่ ได้ว่ามมี ากหรือนอ้ ย และวดั ออกมาเป็นตัวเลขได้

ประเภทของข้อมลู
- ข้อมลู ปฐมภมู ิ คือ ข้อมูลทผี่ ู้ใชเ้ ป็นผู้เก็บรวบรวมขอ้ มูลขน้ึ เอง
- ขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ คือ ขอ้ มลู ทผ่ี ู้ใช้นามาจากหนว่ ยงานอนื่ หรอื ผู้อ่ืนที่ได้ทาการเกบ็ รวบรวมมาแลว้ ใน

อดตี
คณุ สมบตั ขิ องขอ้ มลู
- ถกู ต้อง / รวดเรว็ เปน็ ปัจจุบัน / ความสมบูรณ์ / ชัดเจนและกะทดั รัด / ความสอดคลอ้ ง

กระบวนการ คิดเป็น
คดิ เปน็
แนวความคดิ เรอื่ งคิดเปน็ มีองค์ประกอบท่ีสาคัญในเชงิ ปรชั ญา 3 สว่ น กล่าวคือ เป้าหมายสูงสุดของชวี ติ

มนุษย์ คอื ความสขุ มนษุ ยจ์ งึ แสวงหาวธิ กี ารตา่ ง ๆ เพือ่ ทจี่ ะมงุ่ ไปสู่ความสขุ น้นั แต่เนือ่ งจากมนษุ ยม์ คี วามแตกต่างกัน
โดยพื้นฐานทงั้ ทางกายภาพ อารมณ์ สังคม จิตใจและสภาวะแวดลอ้ ม ทาให้ความต้องการของคนแต่ละคนมีความ
แตกต่างกัน การใหค้ ุณคา่ และความหมายของความสขุ ของมนษุ ย์จงึ แตกตา่ งกัน การแสวงหาความสุขทีแ่ ตกต่างกนั นั้น
ขนึ้ อยู่กับการตดั สนิ ใจของคนแต่ละคน การตัดสนิ ใจนนั้ จาเปน็ จะตอ้ งใช้ข้อมูลอย่างรอบดา้ น ซงึ่ โดยหลักการของการ
คดิ เป็น มนุษย์ควรจะใช้ขอ้ มูลอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมลู ตนเอง ซงึ่ เปน็ ข้อมลู เกีย่ วกับตนเอง ท้ังทางด้านกายภาพ
สขุ ภาพอนามยั ความพร้อมตา่ ง ๆ ข้อมูลสงั คม ซึ่งเป็นข้อมลู เก่ยี วกับสภาพแวดลอ้ ม ครอบครัว สังคม วฒั นธรรม
ความเช่อื ประเพณี คา่ นยิ มตลอดจนกรอบคุณธรรม จรยิ ธรรม และขอ้ มูลทางวชิ าการ คอื ความรู้ทีเ่ กยี่ วขอ้ งกับเร่อื งท่ี
ตอ้ งคดิ ตดั สนิ ใจนน้ั ๆ ว่ามหี รอื ไม่เพียงพอท่จี ะนาไปใช้หรอื ไม่ การใชข้ อ้ มูลอย่างรอบดา้ นน้ีจะช่วยให้การคดิ ตัดสินใจ
เพอื่ แสวงหาความสุขของมนษุ ยเ์ ปน็ ไปอย่างรอบคอบ เรยี กวิธีการคดิ ตดั สนิ ใจน้วี ่า “คดิ เป็น” และเป็นความคดิ ทีม่ ี
พลวัต คอื ปรับเปล่ียนไดเ้ สมอ เมื่อขอ้ มูลเปลย่ี นแปลงไป เปา้ หมายชวี ติ เปล่ียนไป
กระบวนการคิดเปน็

กระบวนการคิดเป็นอาจจาแนกให้เหน็ ข้ันตอนต่าง ๆ ที่ประกอบกันเข้าเปน็ กระบวนการคิดได้ ดังน้ี (สานัก
บรหิ ารงานการศึกษานอกโรงเรียน.2547:31-32)

ขนั้ ท่ี 1 การระบปุ ญั หาท่กี าลงั เผชิญอยู่
ขน้ั ที่ 2 การศึกษารวบรวมข้อมลู เกยี่ วกบั ปญั หาเพื่อทาความเขา้ ใจปัญหาและสถานการณน์ ั้น ๆ โดยจาแนก
ขอ้ มูลออกเป็น 3 ประเภท คอื

ขอ้ มลู สังคม : ไดแ้ ก่ขอ้ มลู เก่ียวกับสภาพแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวปญั หา สภาพสงั คมของแตล่ ะบคุ คล ตง้ั แต่
ครอบครัว ชมุ ชนและสงั คมท้งั ในแงเ่ ศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง สง่ิ แวดลอ้ ม วัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ
คา่ นิยม เปน็ ต้น

ขอ้ มูลตนเอง : ไดแ้ ก่ขอ้ มลู เกีย่ วกับตัวบุคคล ซึ่งจะเปน็ ผู้ตัดสนิ ใจ เปน็ ขอ้ มูลท้ังทางด้านกายภาพ ความพร้อม
ท้ังทางอารมณ์ จิตใจ เปน็ ตน้

ข้อมลู ทางวิชาการ : ได้แกข่ ้อมลู ด้านความรู้ในเชงิ วชิ าการท่จี ะช่วยสนับสนุนในการคดิ การดาเนินงาน
ขนั้ ท่ี 3 การสังเคราะหข์ อ้ มลู ท้ัง 3 ดา้ น เข้ามาชว่ ยในการคดิ หาทางแกป้ ัญหาภายในกรอบแหง่ คณุ ธรรม
ประเดน็ เด่นของขน้ั ตอนนีค้ อื ระดับของการตัดสนิ ใจท่ีจะแตกตา่ งกันไปแตล่ ะคนอันเปน็ ผลเนื่องมาจากข้อมลู ในขั้นท่ี 2
ความแตกต่างของการตัดสินใจดงั กล่าว มุ่งไปเพือ่ ความสุขของแต่ละคน
ขั้นท่ี 4 การตัดสนิ ใจ เปน็ ข้ันตอนสาคญั ของแตล่ ะคนในการเลือกวธิ กี ารหรือทางเลอื กในการแกป้ ญั หา ขึ้นอยู่
กับวา่ ผลของการตดั สินใจน้ันพอใจหรอื ไม่ หากไมพ่ อใจก็ตอ้ งทบทวนใหม่
ขั้นที่ 5 เปน็ การปฏิบตั ติ ามส่ิงที่ไดค้ ดิ และตดั สินใจแลว้

ใบความรู้ที่ 3
เรอ่ื ง การนาคณุ ธรรม จรยิ ธรรมมาวเิ คราะห์ และสงั เคราะหข์ อ้ มลู

คุณธรรม จริยธรรม : องคประกอบทส่ี าคัญของการคดิ แกปญหาแบบคนคดิ เปน
1. ความหมายของคุณธรรมและจริยธรรม คุณธรรม (Moral) คือ คุณ + ธรรม หมายถึง คุณงามความดที ่ี

เปนธรรมชาติกอใหเกดิ ประโยชนตอ ตนเองและสงั คม ซึง่ รวมสรปุ วา คอื สภาพคณุ งาม ความดี คุณธรรม คอื ความดี
งามในจติ ใจทที่ าใหบุคคลประพฤติดี ผูมีคุณธรรมเปนผูมีความเคยชนิ ในการ ประพฤติดีดวยความรูสึกในทางดงี าม คุณ
ธรรมเปนสง่ิ ที่ตรงกนั ขามกับกเิ ลส ซ่งึ เปนความไมดใี นจิตใจ ผูมี คุณธรรมจึงเปนผูไมมกั มากดวยกเิ ลส ซึง่ จะไดรบั การ
ยกยองวาเปนคนดี ดวงเดือน พันธนุ าวิน (2543 : 115) ไดใหความหมายของคณุ ธรรมในแงสิ่งดงี ามไววา หมายถงึ ส่งิ
ที่ บคุ คลยอมรบั วาเปนสิ่งดีงาม มปี ระโยชนมาก มีโทษนอย คุณธรรมในแตละสงั คมอาจตางกันขนึ้ อยูกับ วัฒนธรรม
เศรษฐกจิ ศาสนาและการศกึ ษาของคนในสังคมนนั้ ๆ พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน (2546 : 190) ไดให
ความหมายของคุณธรรมไวในแบบเดยี วกนั วา เปนสภาพคุณงามความดี สวนธวัชชยั ชัยจริ ฉายากลุ และวราพรรณ
นอยสุวรรณ กลาวถงึ คณุ ธรรม ในทางพทุ ธศาสนาวา หมายถึง ความรกั ความรูคิด สรุปแลว คุณธรรม หมายถึง ส่ิงท่ี
สังคมยอมรบั วาเปนส่งิ ดีงามที่เกดิ จากสวนรวมของการศกึ ษาการ ปฏบิ ตั ิ ฝกอบรม และการกระทาจนเคยชนิ เกิดเป
นลักษณะนิสัย เปนส่งิ ทม่ี คี ุณประโยชน ตอตนเองตอผูอื่น และตอสังคม จริยธรรม (Ethics) คอื จริย ไดแก ความ
ประพฤติ + ธรรมะ ไดแก หลกั ปฏิบตั ิ หมายถึงหลกั แหง ความประพฤตหิ รือแนวทางของการประพฤติ มีผูให
ความหมายของคาวา จริยธรรมไวหลายทศั นะ เชน ดวง เดอื น พันธุมนาวนิ (2543 : 113) กลาววา จริยธรรม
หมายถึง ระบบการทาความดี ความชัว่ พระธรรมปฎก (2546 : 7) กลาววา จริยธรรมเปนเรือ่ งของความสมั พนั ธของ
ชีวติ กับส่งิ แวดลอมทางสังคมและวตั ถุ เปนเรือ่ ง ของจิตใจและเปนเรอื่ งของปญญา ความรู ความคิด พนสั หันนคินทร
อางในธวัชชยั ชยั จริ ฉายากุล และวรา พรรณ นอยสุวรรณ (2546 : 69) อธบิ ายวา จริยธรรม หมายถงึ ความประพฤติ
ทป่ี ฏบิ ตั ติ ามหลกั จรยิ ธรรม จะตองประกอบดวยกนั ทัง้ การปฏิบัตทิ างกายและความรูสกึ ทางใจสอดคลองกัน ดงั น้นั
ความหมายของจรยิ ธรรมโดยรวมจะเห็นตรงกันวา เปนสิ่งที่เช่ือกันวา เปนความดงี ามท่ีควรยึด เปนหลกั ในการ
ประพฤติ ปฏบิ ตั ติ อตนเอง ตอผูอื่นและตอสงั คม ทงั้ การกระทาดวยกายและตระหนักดวยใจ จากการใหความหมาย
ของคุณธรรม และจรยิ ธรรมในหลายทัศนะน้ี จะเห็นไดวา แมความหมายของ คณุ ธรรม และจรยิ ธรรมจะแตกตางกัน
แตกม็ ีความหมายใกลเคยี งและสัมพนั ธกัน และบางคนก็ใชควบคูกนั ไปเปนคณุ ธรรม จริยธรรม ซ่ึงหมายถึง การ
กระทาหรอื การประพฤติปฏบิ ตั ทิ ่ีดีที่ปลกู ฝงอยูในอุปนสิ ยั อันดี งามของคน ตลอดจนความรูสกึ นกึ คิดทถ่ี ูกตอง ซงึ่ อยูใน
จติ สานกึ ความรับผิดชอบช่ัวดีของบุคคลนน้ั ๆ อันเปนเครอื่ งเหนีย่ วร้ังและควบคุมความประพฤติของบุคคลทีแ่ สดงออก
เพือ่ ใหบรรลใุ นสง่ิ ท่ีปรารถนา เชน ความซ่ือสตั ย ความสามัคคี ความมีวนิ ัย ความกตัญ ู และความเออ้ื เฟอเผื่อแผ
เปนตน

2. ความสาคัญของคณุ ธรรมและจริยธรรม สภาพสงั คมไทยในปจจุบันมีการเปล่ยี นแปลงทางดานเศรษฐกิจ
และสงั คมอยางรวดเร็ว พรอมทงั้ ความเจริญทางดานเทคโนโลยีการสอ่ื สารทสี่ ามารถสื่อสารกนั ทัว่ ทัง้ โลกภายใน
ระยะเวลาอนั สนั้ สงผลให ประชาชนและเยาวชนเกิดการรบั รูขอมูลขาวสาร ศิลปวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณี
รปู แบบการ ดารงชวี ิตของเพ่ือนรวมโลก แลวถอื เปนตวั แบบในการดารงชีวติ ของตน โดยขากการคิดวเิ คราะหถงึ ความ

เปนมาและเหตุผลทแี่ ทจริงอยางถูกตอง ซง่ึ ปรากฏอยูในสงั คมปจจุบัน และสงผลกระทบตอคุณภาพการ ทจุ ริต
คอรปั ชน่ั ในวงการราชการ การทุจรติ ในการสอยเขาศกึ ษาตอในสถาบันการศกึ ษาตางๆ โดยใช เทคโนโลยีทท่ี ันสมัย
เปนเครือ่ งมือ รวมทัง้ ปญหาการขยายบรกิ ารทางเพศของนิสิตนกั ศึกษา เปนตน ซึ่ง ปญหาตางๆ เหลานแี้ สดงใหเหน็ ถงึ
การหยอนยานทางดานคณุ ธรรม จริยธรรมของประชาชนในชาตเิ ปน อยางมาก และควรที่จะไดรับการแกไขอยาง
เรงดวน คุณธรรมและจริยธรรมมคี วามสาคญั มาก เพราะเปนรากฐานของความเจรญิ รุงเรืองของสังคม และเปนสิง่ ที่
กาหนดความเจรญิ และความลมสลายของสังคม ดังน้นั ผบู ริหารประเทศ และผูที่เก่ยี วของตองตระหนักและ เล็งเหน็
ความสาคญั ในการทีจ่ ะแกปญหา เรงพัฒนาจิตใจและพฤตกิ รรมของบุคคลในทุกระดับชน้ั รวมกันหา แนวทางในการแก
ปญหาคุณธรรมและจรยิ ธรรมในสงั คม และหาทางปลูกฝงใหบคุ คลในสงั คมมคี ุณธรรม จรยิ ธรรม เพือ่ ใหบุคคลสามารถ
ท่ีจะดารงอยูในสังคมไดอยางมีความสขุ

3. องคประกอบของคุณธรรม จริยธรรม
3.1 องคประกอบของคุณธรรมในระดบั องคกร จรยิ ธรรมเปนเครอ่ื งมือกาหนดหลกั ปฏบิ ัตใิ น การดารงอยขู อง
องคการ แนวทางในการอยูรวมกนั อยางสงบเรยี บรอยประกอบดวยองคประกอบดงั ตอไปนี้

1. ระเบียบวินัย (Discipline) เปนองคประกอบสาคัญยง่ิ การหยอนยานระเบียบวนิ ัยเปนการ ละเมิด
สิทธิและหนาท่ีตามบทบาทของแตละคน

2. สงั คม (Society) การรวมกลุมกนั ประกอบกจิ กรรมอยางมรี ะเบยี บแบบแผน กอใหเกิด
ขนบธรรมเนียมประเพณที ่ดี งี าม มวี ัฒนธรรมอนั เปนความมรี ะเบียบเรยี บรอย และศีลธรรมอนั ดีของ ประชาชน

3. อิสระเสรี (Autonomy) ความมีสานึกในมโนธรรมทีพ่ ัฒนาเปนลาดับกอใหเกดิ ความอสิ ระ
สามารถดารงชีวติ จากสงิ่ ท่ไี ดเรียนรูจากการศกึ ษา และประสบการณในชีวิต มคี วามสุข อยูในระเบียบวนิ ัย และสังคม
ของตน เปนคานยิ มสงู สุดท่ีคนไดรับการขดั เกลาแลวสามารถบาเพ็ญตนตามเสรีภาพเฉพาะตนได อยางอสิ ระสามารถ
ปกครองตนเอง และชกั นาตนเองใหอยูในทานองครองธรรม

3.2 คณุ ธรรมจริยธรรมในระดับบุคคล มอี งคประกอบ 3 ประการ คือ
1. ดานความเปนเหตเุ ปนผล (Moral Reasoning) คือ ความเขมแข็งทางจติ ใจในหตผุ ลของ ความ

ถูกตองดีงาม สามารถตัดสนิ แยกความถกู ตองออกจากความไมถกู ตองไดดวยการคิด
2. ดานความเชอื่ และทัศนคติ (Moral Attitude and Belief) คือ ความพงึ พอใจ ศรัทธา เลอ่ื มใส

ความนยิ มยนิ ดที ่จี ะรบั จริยธรรมมาเปนแนวทางในการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
3. ดานพฤติกรรม (Moral Conduct) คือการกระทาหรอื การแสดงออกของบุคคลใน สถานการณต

างๆ ซ่งึ เชอ่ื วาเกดิ จากอทิ ธพิ ลของสององคประกอบขางตน
4. คุณธรรม จริยธรรมเพ่อื การคดิ แกปญหา
4.1คุณธรรม จรยิ ธรรม 4 ประการ ตามแนวทางพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระ

เจาอยูหัว พระบาทสมเดจ็ พระเจาอยูหวั ทรงมพี ระราชดารสั ในพระราชพิธีบวงสรวงสมเดจ็ พระบูรพา มหากษัตริยาธิ
ราชเจา เมื่อวันท่ี 5 เมษายน พุทธศักราช 2525 ความวา “...คณุ ธรรมทท่ี กุ คนควรจะศึกษาและนอมนามาปฏิบัติ มีอยู
ส่ปี ระการ 1) คอื การรกั ษาความสัจ ความจรงิ ใจตอตัวเองทจี่ ะประพฤตปิ ฏิบัติแตสง่ิ ท่ีเปนประโยชน และเปนธรรม 2)
คอื การรูจักขมใจตนเอง ฝกฝนตนเอง ใหประพฤตปิ ฏิบตั ิอยูในความสจั ความดีน้นั 3) คือ การอดทน อดกลน้ั และอด

ออมทจ่ี ะไมประพฤติลวง ความสัจสุจรติ ไมวาดวยเหตุ ประการใด 4) คือ การรูจกั ละวางความช่ัว ความทจุ ติ และรูจัก
สละประโยชนสวนนอยของตน เพอื่ ประโยชนสวนใหญของบานเมอื ง คณุ ธรรมส่ปี ระการน้ี ถาแตละคนพยายาม
ปลูกฝงและบารุงใหเจรญิ งอก งามข้นึ โดยท่ัวถึงกนั จะชวยใหประเทศชาตบิ ังเกดิ ความสขุ ความรมเย็น และมโี อกาสท่ี
จะปรับปรงุ พัฒนา ใหมนั่ คงกาวหนาตอไปดังประสงค...” พระบรมราโชวาทเรอ่ื งคุณธรรม 4 ประการนี้ สอดคลองกบั
หลักพุทธธรรมในเรือ่ ง ฆราวาส ธรรม 4 คอื 1) สัจจะ มคี วามจริงใจตอตนเองทจี่ ะรักษาสัจจะที่ใหไวกับตน 2) การรู
จักขมใจตนเองท่ีจะปฏิบตั ติ ามสัจจะที่กาหนด 3) ขนั ติ มคี วามอดทนอดกลัน้ ท่ีจะปฏิบตั ิตามสัจจะนนั้ ใหสาเรจ็ ลลุ วง 4)
จาคะ การสละความชว่ั ความทจุ ริตตามสัจจะน้ันๆ

4.2 คุณธรรมตามแนวคดิ ของอรสิ โตเติล ซ่ึงอริสโตเติลนกั ปราชญชาวกรกี ไดใหแนวทาง
ของ คุณธรรมหลักๆ ไว 3 ประการ คอื 1) ความรอบคอบ คือ รูวาอะไรควรประพฤติปฏิบตั ิ อะไรไมควรประพฤติ
ปฏิบตั ิ 2) ความกลาหาญ คือ ความกลาเผชิญตอความเปนจรงิ 3) การรูจกั ประมาณ คอื รูจักควบคุมความตองการ
และการกระทาใหเหมาะสมกับสภาพและ ฐานะของตน

4.3 กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธกิ าร ไดวิเคราะหคณุ ธรรม จริยธรรมท่คี วรเรงพฒั นาสงเส
รมิ ใหเกดิ ข้นึ ในระดับประถมศกึ ษา ควรพัฒนาคณุ ธรรม จริยธรรม 3 ประการคอื ความเมตตากรณุ า ความ ซ่อื สัตย
สจุ ริต และความขยนั หมั่นเพียร สวนระดับมธั ยมศึกษาควรพฒั นาทงั้ 3 ประการ และเพิ่มจรยิ ธรรม อกี 2 ประการ คอื
การใฝสัจธรรมและการใชปญญาในการแกปญหา ซึ่งกรมวชิ าการไดกาหนดพฤตกิ รรม คณุ ธรรมจริยธรรมตางๆ ไวดงั ต
อไปนี้ 1) การใฝสัจธรรม ไดแก พฤตกิ รรมทเ่ี ก่ยี วของกบั การเลอื กแนวทางความเช่ือท่มี เี หตุผล การ แสดงความพอใจ
กบั คากลาวทมี่ เี หตุผล การแสดงความพอใจกับการยดึ ถือ และยอมรบั ความจริงการแสดง ความพอใจกับการแสวงหา
ความจริง การซักถาม คนควา เพื่อตอบขอสงสัย การซักถาม คนควา เพอ่ื หา ความรูคาอธบิ ายเพมิ่ เตมิ 2) การใชป
ญญาแกปญหา ไดแก พฤติกรรมทางดานการเลือกแนวทางแกปญหา หรือ ดาเนินงานอยางมเี หตุผล การวเิ คราะหตาม
กระบวนการวทิ ยาศาสตรได การพอใจแนวทางแกปญหา หรือ แนวปฏบิ ตั ทิ ม่ี เี หตุผล การปฏิบัติงานแกปญหา เชน ทา
แบบฝกหัด ทารายงาน คนควา สาเร็จเปนทน่ี าพอใจ การตอบคาถามท่ีข้ึนตนดวยคาวา “ทาไม” “เราควรทาอยางไร”
ไดอยางมเี หตผุ ล

4.4 สานกั คณะกรรมการการประถมศึกษาแหงชาติ (2541 : 34) ไดกาหนดขอบขายของ คณุ ธรรม
จริยธรรม ทีจ่ าเปนการดารงชวี ติ ไววา คุณธรรม จรยิ ธรรม ทจ่ี าเปนในการดารงชวี ติ ของคนไทย ไดแก ความมีเมตตา
กรณุ า ความมรี ะเบียบวินัย ความรบั ผิดชอบ ความซ่ือสตั ย ความเสียสละไมเหน็ แกตัว ความประหยัด และความกตัญ

กู ตเวที ซงึ่ จดั หมวดหมูได 2 ประการ คือ 1. ความไมเห็นแกตวั ซงึ่ ไดแก การแบงปน ความปรารถนาดี เห็นแกประ
โยชนสวนรวม มากกวาสวนตวั ความเมตตากรณุ า และความกตญั กู ตเวที 2. ความรบั ผิดชอบ ซ่ึงไดแก ความมงุ มน่ั
ตงั้ ใจปฏบิ ตั ิหนาท่ีดวยความผกู พัน พากเพียรละเอยี ด รอบคอบ ความซอ่ื สตั ยตอหนาท่ี เคารพกฎระเบียบ มีวินยั ใน
ตนเอง ความตรงตอเวลา และการยอมรับผล การกระทาของตนเองเสมอ

4.5 กระทรวงศึกษาธิการไดประกาศนโยบายทีจ่ ะเรงรัดการปฏริ ปู การศึกษา โดยยดึ คุณธรรม นา
ความรูสรางความตระหนักสานกึ คณุ คาของความสมานฉนั ท สันตวิ ิธี วิถปี ระชาธิปไตย โดยการพัฒนา คนใหเปนคนดี
มคี วามรู และอยูดีมีสุข ดังนี้ 1) ขยัน คือ ความเพยี รพยายามทาหนาท่กี ารงาน สูงานไมทอถอย ต้งั ใจอยางจรงิ จัง 2)
ประหยดั คอื อยูอยางเรียบงาย พอเพยี ง ไมฟุมเฟอย ระมดั ระวงั รายจายของตนทจ่ี าเปน 3) ซ่ือสตั ย คือ มคี วาม

ประพฤติตรงตอหนาที่ จริงใจ ไมคดโกง 4) มวี นิ ยั คอื ปฏิบัตติ นอยูในกฎระเบียบแบบแผนขอบงั คบั รวมถึงตอตนเอง
และสงั คม 5) สุภาพ คอื ออนนอมถอมตน มีสมั มาคารวะ เรยี บรอยทัง้ กาย วาจา ใจ และมีมารยาท 6) สะอาด คือ
รกั ษารางกาย ท่อี ยูอาศยั และส่งิ แวดลอม ทาจติ ใจใหแจมใส สวยงาม 7) สามัคคี คือ ชวยเหลอื รับฟง เกอื้ กลู ทั้งความ
คดิ เห็นของผูอ่ืนและตนเองอยางมีเหตผุ ล 8) มีนา้ ใจ คือ อาสาชวยเหลือสงั คม รูจกั แบงปน เสียสละ เหน็ อกเหน็ ใจผู
อื่น เหน็ คุณคาของ เพ่อื นมนุษย เออ้ื อาทรตอเพ่ือนมนุษยดวยแรงกายและสตปิ ญญา รวมสรางสรรคสิง่ ดีงามแกสังคม
และ ชมุ ชน

4.6 คุณธรรมที่ใชในการแกปญหาชีวิต คุณธรรมท่ีใชในการแกปญหาชีวติ ไดแก อรยิ สัจ 4 หมายถึง
ความจริงอนั ประเสริฐ 4 ประการ ในการดาเนิน ชวี ิตของบคุ คลหรอื การทางานในกิจการตางๆ มกั จะประสบกบั ปญหา
และอปุ สรรคนานาประการ ซง่ึ ถามี หลกั ธรรมตางๆ ดังท่ีกลาวมาแลวเปนหลักยดึ เพ่ือการประพฤติปฏิบตั ิ บุคคลผูนนั้
ก็ยอมจะผานอุปสรรค ตางๆ ไปได และประสบความสาเร็จในทายที่สุด สาระสาคัญยิง่ ของอรยิ สจั 4 มีดังน้ี 1) ทกุ ข
คอื ความไมสบายกายไมสบายใจท่เี กิดข้ึน เนอื่ งจากสาเหตนุ านาประการ 2) สมุทัย คอื เหตทุ ี่ทาใหเกิดทกุ ข ซ่งึ เกดิ
จากตัณหาท้งั หลาย 3) นิโรธ คือ ความดับทกุ ข โดยการดบั ตัณหาใหหมดจะเปนภาวะทีป่ ลอดทุกข 4) มรรค คอื
วิถที างในการดบั ทุกข ไดแก ขอปฏบิ ัติตางๆ ที่ทาใหทกุ ขหมดไป นน่ั คอื อริยมรรค 8 ประการ สาหรับนกั ศกึ ษา
สามารถนาหลกั ธรรมดังกลาวไปใชแกปญหา ดังนี้ ทกุ ข คือ สภาพท่ีเราขาดความสุขทนไมได มันทาใหเราวาวุน ทกุ ข
จงึ เปนปญหา สมุทยั คอื สาเหตขุ องปญหา อะไรทาใหเราวาวุนใจ อะไรทาใหเราวติ กกังวล นิโรธ คือ แนวทางแกไข
ลองน่ังนกึ วาจะแกไขเรื่องที่วาวุนไดอยางไร หาหลายๆ แนวทางลองนัง่ เขียนเปนขอๆ แยกแยะขอดีขอเสีย มรรค คือ
แนวทางปฏิบตั ใิ นเชิงพฤติกรรมทเี่ ปนไปไดทจ่ี ะไมใหเกิดปญหาอีก
5. แนวทางการพฒั นาบคุ ลากรดานคณุ ธรรมจรยิ ธรรม เพ่ือใหการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรม เปนไปในทิศทางเดยี วกัน
จงึ ไดมีการกาหนดคณุ ลักษณะของผู มีคุณธรรมจรยิ ธรรมไว ดงั นี้

1. เปนผูท่ีมีความเพียรพยายามประกอบความดี ละอายตอการปฏิบัตชิ ว่ั
2. เปนผูมีความซอ่ื สัตยสุจรติ ยตุ ธิ รรม และมีเมตตากรุณา
3. เปนผูมสี ติปญญา รูตวั อยูเสมอ ไมประมาท
4. เปนผูใฝหาความรู ความสามารถในการประกอบอาชพี เพือ่ ความมน่ั คง
5. เปนผูที่รัฐสามารถอาศัยเปนแกนหรอื ฐานใหกับสงั คม สาหรบั การพัฒนาใดๆ ได แนวทางการพฒั นา
คณุ ภาพและจรยิ ธรรมทีก่ าหนดโดยรัฐบาล จากคุณสมบัติของผูมีจริยธรรม ดังกลาว แสดงถงึ ความเปนคนมคี ุณภาพ มี
ภาวะความเปนผูนา อันเปนท่ีตองการขององคการและสงั คมทุก ระดับ รฐั บาลไทยไดเห็นความสาคัญของการพฒั นา
คณุ ภาพของประชาชนในดานจรยิ ธรรมและคุณธรรมใน สังคม จงึ ไดบรรจุไวในแผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสงั คมแหงชาติ
โดยเนนการพฒั นาจิตใจในลกั ษณะท่ี สอดคลองและเหมาะสมกบั สภาพทางเศรษฐกจิ และสงั คมปจจุบัน ซง่ึ ผลท่ี
ปรากฏในปจจุบนั ก็คอื มีการเผยแพรธรรมะทางสื่อตางๆ มากมาย วัดวาอารามกไ็ ดเขามามีสวนรวมสวนชวยในการ
อบรมสง่ั สอนดวย จริยธรรมเปนจรยิ สมบตั ิ หนวยงานตางๆ ก็ใหการสนับสนุนเปนอยางดี คนไทยวัยหนุมสาว และ
เยาวชนได ใหความสนใจเปนจานวนมาก จากที่เห็นไดจากส่อื และขาวตางๆ เนื่องจากจริยธรรมเปนคุณสมบัติท่ี ทา
หนาท่ีเปนเครอ่ื งมอื ในการวัดคณุ ภาพของคน ซ่ึงมีความสาคญั ตอการดารงชีวติ ของประชากรทงั้ ประเทศ รฐั บาลจงึ ได
กาหนดแนวทางการพัฒนาคณุ ธรรมและจริยธรรมไวดงั นี้

1. พัฒนาจิตใจประชากรกลุมเปาหมาย โดยใหผูนาแตละกลุมเปนผูบริหารเปลีย่ นแปลง
2. ใหสถาบนั ของสังคมและครอบครวั ทาหนาที่อนั ถกู ตองชอบธรรมของตนเอง แกไข ขอบกพรองโดยรีบดวน
3. บรรจุการพฒั นาจติ ใจในหลกั สูตร การฝกอบรมทกุ หลกั สูตร และใหดาเนินการพฒั นา ตอเนอื่ งตอไป
4. ใหมีการพฒั นาวิธปี ลูกฝง อบรม ส่งั สอนศีลธรรม จรยิ ธรรม ตามความเหมาะสมของกลุมเปาหมาใหเปน
ทนี่ าสนใจ
5. สรางสรรคสิ่งแวดลอมของสังคมอนั ไดแก ศลิ ปะ วฒั นธรรม จริยธรรม และคานยิ มที่ ถูกตองดงี ามตาม
หลักศลี ธรรมและจรยิ ธรรม
นอกจากการพัฒนาของรัฐบาลดังกลาว องคกรควรไดสงเสริมและพัฒนาบคุ ลากรในวิธเี ดยี วกัน เพอ่ื ให
บุคลากรขององคกรเปนทรัพยากรมนุษยทพ่ี งึ ประสงคโดยแทจรงิ การพัฒนาทรพั ยากรมนษุ ยโดยวิธี ดังกลาวอาจเป
นสวนหน่ึงสาหรับการพัฒนาองคกร ทีส่ าคัญกค็ อื องคกรควรใหมกี ารสรางบรรยากาศหรอื สภาวะแวดลอมในการ
ทางานใหดีดวย ดังเชนไมใหคนมงี านทามากเกินไปหรือนอยเกนิ ไป การพจิ ารณา ความดีความชอบใหมคี วามยตุ ิธรรม
มธี รรมาภิบาลและสงเสรมิ ดวยมนุษยสมั พันธภายในองคกรดวย ซงึ่ บรรยากาศที่ดจี ะชวยการพัฒนาจิตใจ ในดานสถา
บันการศกึ ษาก็ควรไดมีการบรรจุหลกั คุณธรรมไวใน หลกั สตู ร เพือ่ เปนการพัฒนาและใหการศกึ ษากบั คนท้งั ชาติ เพื่อ
การพัฒนาจติ ใจของคนในชาติใหมคี ุณภาพ การพฒั นาบคุ คลดวยคณุ ธรรมตองฝกฝนใหมีความรูสึกตระหนกั วาอะไรดี
อะไรควร อะไรไมควร อะไรไมดี และปฏิบตั ิแตในทางทถ่ี กู ที่ควรใหเปนปกติวิสยั การพฒั นาในสิ่งดังกลาวควรใชส่งิ โน
มนาใหมี คณุ ธรรมสงู มคี วามระลึกไดวาอะไรไมควร และความรูสึกตวั วากาลังทาอะไรอยู ผูหวงั ความสงบสขุ ความ
เจรญิ และความม่นั คงแกตนเองและประเทศชาติ ตองฝกฝนตนเองใหมคี ณุ ธรรม คุณธรรมเปนสงิ่ ทส่ี าคญั และจาเป
นมากสาหรับบุคลากรควรใหการสงเสรมิ สนบั สนุนและชกั จงู ใหบุคลากรขององคกรสนใจ คุณธรรมและพรอมนามา
ปฏิบัตกิ ับชีวติ การทางานของตนเอง บทสรุป คนเราเม่ือเกดิ มามชี วี ติ มีการทางาน สัมพนั ธติดตอกับคนอืน่ ๆ ในสังคม
ที่มีความแตกตางกนั อยาง หลากหลาย การเผชญิ กบั ปญหากเ็ ปนธรรมชาติหนไี มพน คนจึงตองมีสติ มสี มาธิ เพื่อให
เกดิ ปญญาในการ แสวงหาขอมูลท่หี ลากหลายและเพียงพอมาใชประกอบการคดิ การแกปญหาเหลานนั้ ใหลุลวงไป
สภาพ สังคมไทยปจจุบนั เปนยุคโลกาภิวตั น ความเจรญิ ทางดานเทคโนโลยกี ารส่อื สารถึงกันท่วั โลกในระยะเวลาอนั สัน้
สงผลใหเยาวชนและประชาชนเกดิ การรับรูขาวสาร ศลิ ปวัฒนธรรม รูปแบบการดารงชวี ิตของเพือ่ น รวมโลก และ
รบั มาเปนตวั แบบในการดารงชีวติ ของตน โดยไมมกี ารไตรตรองปรบั แตงใหสอดคลองกับ วฒั นธรรม ประเพณแี ละ
ความเช่อื ของไทยเราเอง ขาดการวิเคราะหถงึ ความเปนมา และแนวปฏิบตั ิท่แี ทจรงิ ของเขา สงผลใหเกดิ ปญหาดาน
วฒั นธรรมและวิถชี ีวิต กระทบตอคณุ ภาพชวี ติ ของประชาชนเปนอันมาก เชน ปญหาการทางานที่ไมโปรงใสของผูมี
อานาจ การทุจรติ คอรปั ชั่นเชงิ นโยบายในวงราชการ ปญหาขาย บริการทางเพศของนกั ศกึ ษา ปญหาการพนันบอล ป
ญหาติดยา ปญหาหน้ีนอกระบบ ครอบครวั แตกแยก ปญหาการแตงงานกอนวยั อนั ควร ปญหาการหยารางบอยคร้ัง ป
ญหาเดก็ ซิ่ง เด็กแวน ปญหาโรคเอดส ฯลฯ ปญหาเหลาน้ีแสดงใหเห็นถึงการยอหยอนทางดานคุณธรรม จรยิ ธรรมของ
ประชาชนในชาติที่ตองแกไข อยางรีบดวน คณุ ธรรมจรยิ ธรรมหลายเร่อื ง จงึ มีความสาคัญตองนามาเปนขอมูลประก
อบการคดิ การ ตัดสนิ ใจของคนคดิ เปนมากขนึ้ ทั้งการนามาเรียนรู นามาฝกพฒั นาบคุ ลากร นามาปฏบิ ัตเิ พื่อปองกนั
และ แกไขปญหา อยางไรกต็ าม คณุ ธรรมและจริยธรรมก็เปนเรือ่ งของบรบิ ทของแตละชุมชนที่ไมเหมอื นกนั การ นา
คุณธรรมจริยธรรมไปใชในการคดิ การแกปญหาของคนคดิ เปนจงึ ตองใชวิจารญาณไตรตรอง พัฒนาให เหมาะสมกับ

บรบิ ทของชมุ ชนและวัฒนธรรมของชุมชนดวย ตวั อยางคณุ ธรรม จรยิ ธรรมที่ใชประกอบการคิดการแกปญหาแบบคน
คิดเปน สังคหวตั ถุ 4

1. ทาน ไดแก การใหปน ซง่ึ มีทง้ั อามิสทาน ธรรมทาน และอภยั ทาน
2. ปยวาจา ไดแก การพูดจาออนหวาน ออนนอม ถอมตนใหเกยี รตผิ อู ื่น
3. อัตถจริยา การรูจกั ชวยเหลือเจอื จุน ไมนงิ่ ดดู ายทาตนใหเปนประโยชน
4. สมานตั ตตา ไดแก การวางตนใหสม่าเสมอ เหมาะสมเสมอตนเสมอปลาย
ธรรมเพื่อการบรหิ าร
1. ปญญาพละ ไดแก กาลงั ความรู
2. วริ ยิ พละ ไดแก กาลงั ความเพียน
3. อนวชั ชพละ ไดแก กาลงั ความดี ความซ่อื สัตย
4. สงั คหพละ ไดแก กาลังสงเคราะห ชวยเหลือ
ธรรมสุภาษิตสาหรับชาวบาน เปนคุณธรรมจริยธรรมทคี่ นในสมัยโบราณใชอบรมส่ังสอนลูกหลาน ในรปู ของ
สุภาษติ สอนใจ สวนใหญจะเนนคารอยกรอง เพราะคนไทยมกั จะเปนคนเจาบทเจากลอน เปนภาษางายๆ แตลึกซง้ึ ใน
ความงามและความหมาย ตวั อยางเชน

1. ถาแคบนกั มักขยับยาก
ถากวางมากไมมอี ะไรจะใสสม
ถาสงู นกั มกั จะลอยไปตามลม

ถาต่านกั มกั จะจมธรณี
2. เลี้ยงชางอยากินเนื้อชาง
เบกิ ทรพั ยวันละบาทซื้อ มงั สา
นายหนึ่งเล้ยี งพยัคฆา ไปอวน
สองสามส่ีนายมา กากบั กันแฮ
บังทรพั ยส่ีสวนถวน บาทสน้ิ เสอื ตาย

3. รูจกั โงใหเปน
โงไมเปนเปนใหญยากฝากใหคดิ

ทางชีวิตจะรุงโรจนโสตถิผล
ตองรูโงรฉู ลาดปราดเปร่ืองตน
โงสิบหนดกี วาเบงเกงเด๋ียวเดียว

ใบความรู้ที่ 4
เรอื่ ง การวิจยั อยา่ งง่าย

เร่อื งท่ี1 ความหมาย ความสาคัญองการวิจยั เมอื่ ไดย้ นิ คาวา่ “การวิจยั คนสว่ นใหญจ่ ะรู้สกึ ว่าเป็นเร่ืองท่ที า
ยาก มขี น้ั ตอนมาก ต้องใช้เวลานาน ต้องมคี วามร้ใู นการสร้างเครื่องมือการวิจยั และการใช้สถิตติ ่าง ๆ ทาให้หลายคน
ไม่อยากทาวจิ ยั ข้อเท็จจริงคือ การวิจัยมีหลายระดับต้ังแตร่ ะดบั ยาก ๆ ซบั ซ้อน ท่ตี อ้ งใช้ความรู้ทางวิชาการด้าน
ตา่ งๆ และใชเ้ วลาเปน็ ปี ในการทา วิจยั แต่ละเรื่อง จนถงึ การวจิ ัยทงี่ ่าย แมแ้ ตเ่ ด็กอนุบาลหรือเด็กประถมใน เมอื งนอก
ก็มกี ารท าวจิ ัยหรอื ทีเ่ รียกเป็นภาษาองั กฤษว่า Research เปน็ วา่ เล่น ดงั นั้นการวิจัยจงึ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งยาก อยา่ งทค่ี ิดเสมอ
ไป คาถามคอื การวจิ ยั คืออะไร ทาไมต้องทาวจิ ยั ทาแล้วได้ประโยชนอ์ ยา่ งไร การวิจยั เปน็ การหาคาตอบทอี่ ยากรู้ ท่ี
สงสัย ที่เป็นปัญหาข้อข้องใจ แตค่ าตอบนนั้ ต้องเชื่อถือได้ ไม่ใช่การคาดเดา หรอื คดิ สรุปไปเองโดยใช้ความรู้สกึ วธิ ีการ
หาคาตอบจงึ ตอ้ งเป็นกระบวนการข้ันตอน อยา่ งเปน็ ระบบ ตัวอย่าง เชน่ ถ้าต้องการทราบว่านกั รอ้ งในดวงใจของ
นักศกึ ษามธั ยมศึกษาตอนปลาย ใน ศรช. วัดแจง้ เปน็ ใคร จะคาดเดาเองหรือไปสอบถามนกั ศึกษาเพียงคน สองคน
แล้วมาสรุปว่านักร้องในดวงใจของ นักศกึ ษาตอนปลายใน ศรช. วดั แจ้ง เปน็ คนน้ัน คนน้ไี มไ่ ด้ แต่ตอ้ งทาแบบสอบถาม
ไปใหก้ ลมุ่ ตวั อยา่ งท่ีเป็น ตวั แทนของนักศกึ ษามัธยมศกึ ษาตอนปลายใน ศรช. วดั แจง้ เปน็ ผตูอ้ บ แล้วนา มาสรปุ คา
ตอบขอ้ คน้ พบทไ่ี ด้ เปน็ ตน้ ผลทีไ่ ด้จากการทาวิจัย นอกจากจะไดร้ บั คาตอบทต่ี อ้ งการรแู้ ลว้ ผวู้ ิจัยเองกไ็ ดป้ ระโยชน์
จากการทา วิจัย คือ การเป็นคนชา่ งคิด ช่างสงั เกต ศึกษาค้นควา้ หาความรแู้ ละเขียนเรียบเรียงอยา่ งเป็นระบบ
นอกจากน้นั การวจิ ัยจะเกดิ ประโยชนใ์ นภาพรวม ดงั น้ี

1. การวิจยั ทาให้เกดิ ความรู้ทางวิชาการใหม่ ๆ
2. การวิจัยชว่ ยใหเ้ กิดนวตั กรรม สิ่งประดษิ ฐ์ แนวคิดใหม่ ๆ
3. การวจิ ัยชว่ ยตอบคาถามที่อยากรู้ ให้เขา้ ใจปัญหาและชว่ ยในการแกไ้ ขปญั หา
4. การวิจัยช่วยในการวางแผนและการตัดสินใจ
5. การวิจัยช่วยให้ทราบผลและขอ้ บกพร่องจากการดาเนนิ งาน
เรื่องท่ี 2 กระบวนการและขัน้ ตอนการทา วจิ ัยอยา่ งง่าย การทา วจิ ยั ดาเนินการเป็นข้ันตอน ดงั นี้ ขั้นตอน
แรก มักจะเรมิ่ ตน้ จากผ้วู ิจัยอยากรอู้ ะไร มปี ญั หาขอ้ สงสยั อะไร เปน็ ขนั้ ตอนการกาหนด คาถามวิจัยปัญหาวิจัย
ตวั อยา่ งคาถามการวิจยั เชน่ นักร้องในดวงใจวัยรนุ่ คือใคร นกั การเมืองในดวงใจวัยรนุ่ คือใคร วยั รนุ่ ใช้เวลาว่างทา
อะไร เป็นต้น ตัวอย่างปัญหาวิจัย เช่น ปญั หาการตดิ เกมส์ของวัยรุน่ ปญั หาการใช้เวลาว่างของวัยรุน่ ฯลฯ เปน็ ต้น
เมื่อกาหนดคาถามการวิจัย/ปญั หาวจิ ยั แล้ว ขน้ั ตอนทส่ี อง คือ การเขียนโครงการวจิ ัย ซ่ึงตอ้ งเขยี นกอ่ นการทาวจิ ัยจริง
โดยเขียนให้ ครอบคลุมว่า จะทาวิจัยเร่อื งอะไร (ช่ือโครงการวจิ ยั ) ทาไมจึงทาเรอื่ งน้ี (ความเป็นมาและความสาคญั )
อยาก รอู้ ะไรบ้างจากการวิจยั (วัตถปุ ระสงคข์ องการวิจัย) มีแนวทางขั้นตอนการดาเนนิ งานวจิ ยั อยา่ งไร (วิธีดาเนินการ
วิจัย) ระยะเวลาการวจิ ยั และแผนการดาเนินงาน (ปฏทิ ินปฏบิ ตั งิ าน) การวิจัยนีจ้ ะเป็น ประโยชน์อยา่ งไร (ประโยชน์
ของการวจิ ยั หรือผลทคี่ าดวา่ จะได้รับ) ขน้ั ตอนทสี่ าม คือ การดาเนินงานวิจยั ตามแผนทก่ี าหนดไวใ้ นโครงการวิจยั
ข้ันตอนที่ส่ี คอื การเขยี นรายงานการวจิ ยั ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหัวข้อ คอื

1. ชอื่ เรื่อง
2. ชอ่ื ผู้วิจัย
3. ความเปน็ มาของการววิจัย
4. วัตถปุ ระสงค์ของการวิจยั
5. วธิ ดี าเนินการวจิ ัย
6. ผลการวจิ ยั
7. ขอเ้ สนอแนะ
8. เอกสารอา้ งองิ (ถ้ามี) ขน้ั ตอนสุดท้าย คอื การเผยแพรผ่ ลงานวิจัย เพอ่ื ให้บุคคลหรอื หน่วยงานทเี่ ก่ยี วขอ้ ง
นาผลงานวิจยั นี้ ไปใช้ประโยชนต์ อ่ ไป

สถติ งิ า่ ยๆ เพือ่ การวจิ ัย ขัน้ ตอนในการดาเนนิ การวิจัย
ข้ันตอนในการดาเนินการวจิ ยั

- กาหนดปัญหาท่จี ะดาเนนิ การวิจยั
- กาหนดวัตถปุ ระสงคก์ ารวิจัย
- ทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กยี่ วขอ้ ง (ทฤษฎี เอกสาร งานวิจัย)
- กาหนดกรอบแนวคิดและต้ังสมมติฐาน นิยามศัพท์
- กาหนดแบบการวจิ ยั
- กาหนดประชากรและวธิ ีการสมุ่ ตัวอยา่ ง
- สรา้ งเครอื่ งมือและหาประสทิ ธิภาพของเครือ่ งมือ
- การรวมรวมข้อมลู (แหลง่ ปฐมภูมิ, แหลง่ ทุติยภูม)ิ
- การวิเคราะหข์ อ้ มลู
- การนาเสนอผล (การเสนอรายงานการวจิ ยั )
- กาหนดปญั หาท่จี ะดาเนนิ การวจิ ัย
เป็นการกาหนดปญั หาของการวิจยั และเป็นสิ่งที่มีความสาคัญมากในการวจิ ยั และในการเลือกปญั หาในการ
วจิ ัยต้องพจิ ารณาจากความรู้ ทัศนคติ ความสามารถของผวู้ ิจยั แหลง่ ความรู้ท่จี ะเปน็ สว่ นเสรมิ ให้งานวจิ ัยสาเรจ็
ประชากรและวิธกี ารสุม่ ตัวอยา่ งการรวบรวมขอ้ มลู รวมทง้ั เงนิ ทนุ เวลาทจี่ ะทาใหง้ านวิจัยสาเร็จ ซ่ึงมขี ้อควรพิจารณา
ในการเลือกปญั หาคือ
- ต้องเป็นปญั หาที่มคี วามสาคญั
- สามารถแกป้ ญั หาด้วยวธิ ีการที่มีเหตุผล
- มีข้อมลู ท่เี ทย่ี งตรงและเช่ือถือสนบั สนนุ
- เปน็ ปัญหาท่ีแสดงถึงการริเร่ิม ซึ่งการกาหนดปญั หาดงั กลา่ วจะเป็นกรอบในการชว่ ยชี้แนวทางให้ผู้วจิ ัย
กาหนดวัตถุประสงค์
- เป็นกรอบในการศึกษาคน้ คว้าทฤษฎี งานวจิ ัย

- เป็นแนวทางกาหนดตวั แปรและสมมตุ ฐิ าน ช่วยกาหนดรูปแบบและวิธีดาเนินการวิจยั
การสรา้ งเคร่ืองมือวิจัย
กาหนดวตั ถุประสงคก์ ารวจิ ัย

การกาหนดวตั ถปุ ระสงค์ในการวิจยั (Statement of research objectives) เม่อื ผู้วจิ ยั ตัดสนิ ใจเก่ยี วกบั ส่ิงท่ี
จะทาการวิจัยแล้ว ผู้วิจัยต้องกาหนดขอ้ ความท่เี ป็นปญั หาและวตั ถุประสงคใ์ นการวิจัยใหช้ ัดเจน การกาหนด
วัตถุประสงคใ์ นการวิจัยเป็นการคน้ หาคาตอบที่ต้องการจากงานวิจัย วิธกี ารกาหนดวตั ถุประสงคท์ ่นี ิยมใช้ที่สุดคือการ
ตงั้ สมมตฐิ านในการวจิ ัย

ทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ( ทฤษฎี เอกสาร งานวจิ ยั ) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
- มงุ่ แสวงหาพื้นฐานทางทฤษฎีและแนวคดิ ต่างๆ
- มุง่ แสวงหาสถานภาพทางการวจิ ยั (อะไร เมอ่ื ไร ทไี่ หน ใคร อยา่ งไร)
- มุง่ วางแนวทางการวจิ ยั ท่เี หมาะสม (กาหนดกรอบแนวคดิ สมมตฐิ านการวิจยั )
โดยจะศึกษาจาก การประมวลเอกสารที่เกยี่ วข้อง การตรวจสอบเอกสาร การทบทวนวรรณกรรมทเี่ ก่ียวข้อง วรรณคดี
ทเี่ ก่ียวข้อง ทฤษฎี เอกสาร และงานวิจัยที่เกยี่ วข้อง ซ่งึ การ ประมวลเอกสารท่ีเกีย่ วมปี ระโยชนเ์ พ่ือ
- ทาใหท้ ราบว่าการวิจยั ที่ใกล้เคียงกับการวัยของตนน้นั นกั วิจยั คนอ่ืนได้จดั การแกป้ ญั หาของเขาอยา่ งไร
- ทาให้นักวิจยั ไดเ้ รยี นรู้การแกป้ ญั หาตา่ งๆ ซ่งึ จะเปน็ แนวทางแกป้ ญั หาทีต่ นอาจประสบตอ่ ไป
- ทาใหน้ ักวจิ ยั ทราบถงึ แหล่งข้อมลู ตา่ งๆ ทไ่ี ม่เคยทราบมาก่อน
- ชว่ ยใหน้ กั วิจยั มองเหน็ การวิจัยของตนวา่ มสี ว่ นเกีย่ วข้องกับการวิจัยอน่ื ๆ อย่างไร
- ชว่ ยใหผ้ วู้ จิ ยั มีความคิดใหม่ๆ และวิธีการใหมๆ่ ในการทาวจิ ยั
- ชว่ ยให้นักวจิ ัยประเมนิ ความพยายามของตนโดยเปรียบเทยี บกบั ความพยายามของผอู้ นื่ ในเร่ืองทใ่ี กลเ้ คียง
กัน
- กาหนดกรอบแนวคิดและตัง้ สมมตฐิ าน นิยามศัพท์
กรอบแนวคดิ ในการวิจยั (Conceptual framework ) หมายถงึ แนวคิดของผู้วจิ ัยทแ่ี สดงให้เห็นถงึ ความสมั พันธ์
ระหว่างตัวแปรตน้ และตัวแปร ตาม ที่ใชศ้ ึกษาในการวจิ ัยคร้งั นน้ั ๆ โดยมที ่ีมาจากการทบทวนเอกสารวรรณกรรม
แนวคิดทฤษฎี ตลอดจนผลงานวจิ ยั ทเ่ี ก่ยี วขอ้ ง แล้วนามาเขยี นเป็นแผนภาพเช่ือมโยงเพอื่ แสดงให้เห็นถงึ ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ ง ตัวแปรทศี่ กึ ษาในงานวจิ ัย ประโยชนข์ องกรอบความคดิ ในการวิจัย
1. ช่วยชใ้ี ห้เห็นทิศทางของการวิจยั และประเภทของตวั แปรต้นตวั แปรตาม
2. ชว่ ยชีค้ วามสัมพนั ธ์ของตัวแปรตน้ และตัวแปรตาม
3. บอกแนวทางในการออกแบบการวิจัย
4. บอกแนวทางการกาหนดวัตถปุ ระสงคแ์ ละสมมตฐิ านการวจิ ัย
5. บอกแนวทางการเลอื กใช้เคร่ืองมือในการวจิ ัย
6. บอกแนวทางการเลอื กใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูล
7. บอกกรอบการแปรผลและอภิปรายผลการวิจยั

การกาหนดสมมตุ ฐิ าน หมายถึง การเขยี นข้อความทเ่ี ปน็ ขอ้ คาดหวังเกยี่ วกับความ แตกตา่ งทีอ่ าจเป็นไปได้ ระหวา่ งตวั
แปรต่าง ๆ ซง่ึ สมมตุ ฐิ านน้นั ไมจ่ าเป็นว่าจะตอ้ งเป็นจริงเสมอไป
คานิยามศพั ท์ หลักการให้คานิยามตัวแปรที่ใช้ในการวจิ ัยทุกตัวเป็นการให้คานิยามเชิงปฏิบัตกิ าร ท่ีใชใ้ นการวิจยั เร่ือง
น้ัน ๆ ทงั้ นี้เนื่องจากคาศัพทบ์ างคามีความหมายไดห้ ลายคาจะให้เฉพาะความหมายท่ใี ช้ ในการวิจัยครั้งน้ีเท่านั้น
ความหมายท่ีให้จะเป็นความหมายเชงิ ปฏบิ ัติการ เป็นคาจากดั ความที่ให้ไวเ้ พอ่ื ให้ผอู้ า่ นเข้าใจตรงกนั กบั ผ้วู จิ ัย การให้
ความหมายต้องทาอย่างระมัดระวงั ไม่ให้คา้ นกับแนวคดิ ทฤษฎี และมีความหมายที่แนน่ อนชดั เจน วัดได้เปน็ อยา่
เดยี วกันไม่ว่าใครวัด การใหค้ านิยามศัพท์ มวี ัตถุประสงค์ 2 ประการ

1. เพ่ือให้เกดิ ความคงที่ของตวั แปรท่ีศึกษา ตลอดระยะเวลาของการวิจัย
2. เพ่ือนาไปส่กู ารสรา้ งเครือ่ งมือวดั และวธิ กี ารวดั ตัวแปรนัน้ ๆ ได้อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม
กาหนดแบบการวิจัย
ลักษณะของแบบการวจิ ัย
แบบการวจิ ยั ท่มี กี ารทดลอง การออกแบบเป็นการกาหนดรายละเอยี ดตา่ ง ๆ เกย่ี วกับการทดลองท่ีจาเป็นดงั น้ี
- การกาหนดกลุ่มทดลองและกลุม่ ควบคุม
- กาหนดตวั แปรในการทดลอง
- เลือกแบบแผนแบบการทดลอง
- สร้างเครอื่ งมืออุปกรณ์ทใ่ี ช้ในการทดลอง
- ดาเนนิ การทดลองตามแผนแบบ
แบบการวจิ ยั เชงิ สารวจ เป็น การวจิ ัยท่ไี ม่มีการสร้างสถานการณ์เช่อื มโยงใด ๆ กบั ขอ้ มูลที่เกิดข้นึ ตามธรรมชาติเปน็
การค้นหาความจริงตามสภาพการณ์ปัจจุบัน ท่ีปรากฏอยูห่ รือใหเ้ หน็ วา่ มีขอ้ เท็จจรงิ อย่างไรทปี่ รากฏอยูม่ ี
ความสมั พันธก์ นั อยา่ งไร โดยไม่มีการจดั กระทาเพือ่ ควบคุมตวั แปรใด ๆ รูปแบบการวจิ ยั แบบสารวจจาแนกไดด้ งั นี้
การสารวจเชิงบรรยาย การสารวจเชิงเปรียบเทยี บ การสารวจเชงิ สหสัมพนั ธ์ การสารวจเชิงสาเหตุ
การออกแบบการวจิ ยั ในการวิจยั เชงิ สารวจที่สาคัญคือ
- ออกแบบการเลอื กตัวอยา่ ง
- ออกแบบการวดั ค่าตวั แปร
- ออกแบบการวิเคราะหข์ ้อมลู
แบบการวิจยั เชิงพัฒนา
เปน็ การวิจยั ทม่ี ุ่งเน้นทจี่ ะนาผลการวิจยั มาเพอ่ื ปรับปรุง เปล่ียนแปลง เพ่ิม
คณุ ภาพ ประสิทธิภาพ การทางานปกติในองค์กรหรอื หน่วยงานต่าง ๆ โดยอาศัยยุทธศาสตร์ วธิ ีการหรือเทคนคิ ตา่ ง ๆ
ทง้ั นข้ี นึ้ อยู่กับลกั ษณะธรรมชาตขิ องงานหรอื หนว่ ยงานนน้ั ๆ
แบบการวจิ ัยเชิงประเมนิ ( Evaluation Research )
การวิจยั เชงิ ประเมินผล ( Evaluation Research ) เป็นรปู แบบการวจิ ยั ชนดิ หน่งึ เหมือนการวจิ ยั เชิงสารวจ แตก่ าร
วิจยั เชิงประเมนิ ผล เปน็ วธิ ีการวจิ ัยที่มุ่งหาความรู้+ความจรงิ มาหาคุณค่า ของสิง่ ทีว่ จิ ยั นั้นเพือ่ ใหผ้ บู้ ริหารคดิ สนใจว่า
ความยุตโิ ครงการหรือให้ดาเนนิ การต่อไป ในการวจิ ยั เชิงประเมินผลนน้ั สามารถดาเนินการประเมินไดใ้ น 3 ระดบั

1. กอ่ นการดาเนินงาน
2 . ระหว่างดาเนินงาน
3. สิน้ สดุ โครงการ
กระบวนการและขั้นตอนการทาวิจัยเชงิ ประเมินผล
ขน้ั ท่ี 1 เลอื กโครงการและตัง้ หัวขอ้ วจิ ยั
ข้นั ที่ 2 ทบทวนวรรณกรรมทเี่ กย่ี วข้อง
ขั้นที่ 3 กาหนดปญั หา เป้าหมายและวัตถุประสงค์ของการประเมนิ
ขน้ั ท่ี 4 ออกแบบวิจยั วางแผนวจิ ัยประเมนิ
ข้นั ท่ี 5 เกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
ขน้ั ที่ 6 วเิ คราะห์ข้อมลู และแปรผล
ขั้นที่ 7 การเสนอรายงานวิจัยเชิงประเมินผล
การนาทฤษฎีมากาหนดกรอบแนวคิดในการวิจยั เชงิ ประเมินผล ในการวิจยั เชิงประเมนิ โครงการนน้ั ทฤษฎีที่
นยิ ม นามาใช้มากท่ีสดุ คือทฤษฎี CIPP Model ของ Stufflebeanc หรือ CIPPO Model ของ นายธเนศ ต่วนชะเอม
CIPPO
C = Contexts บรบิ ท ไดแ้ ก่ สภาพเศรษฐกจิ สังคม การเมอื ง สิ่งแวดล้อม ปัญหาของพนื้ ท่ี ความต้องการและความ
พรอ้ มของประชาชน
I = Input คือ โครงการ นัน้ คือ เมอื่ ประเมินบรบิ ทว่ามีความพรอ้ มและต้องการแลว้ จงึ นาโครงการส่ชู มุ ชน แล้วจึง
ประเมินโครงการนน้ั วา่ มีความเปน็ ไดม้ ากน้อยเพยี งใด เป้าหมายเป็นอย่างไร
P= Process คือกระบวนการในการดาเนนิ งานตามโครงการทกี่ าหนดไว้ นน้ั คอื นัก วิจัยเชงิ ประเมินให้ทาการประเมนิ
ในหัวข้อต่อไปน้ี หลกั การ/การวางแผน ,กจิ กรรมและวิธีการข้นั ตอนการดาเนินงาน, การร่วมมือ, วสั ดอุ ปุ กรณ์,
งบประมาณ
P= Product คอื ผลผลิต เชน่ จานวนคน, เป้าหมายท่ีกาหนดไว้, ผลท่ไี ด้รบั , มนี วตั กรรมใหม่ ๆ
O= Outcome คือ ผลลัพธท์ ตี่ ามมาจากโครงการนั้น เชน่ ความสบายใจ, ความค้มุ คา่ , การขยายเครอื ข่าย,
ผลประโยชนท์ ่ีตามมาในภายหลัง ซึ่งอาจมีทัง้ ผลบวกและผลลบ กาหนดประชากรและวิธีการสุม่ ตวั อยา่ งประชากร ใน
การวิจัยหมายถึง จานวนทง้ั หมดของกลุ่มบุคคล สตั ว์ ส่ิงตา่ งๆ ท่อี ยใู่ นขอบขา่ ยการวิจัย โดยบ่างออกเป็น 2 ประเภท
- ประชากรท่ีมีจานวนจากดั
- ประชากรทีม่ จี านวนไม่จากดั
ตวั อย่าง หมายถึง ประชากรบางส่วนหรอื ท้ังหมดที่ใชเ้ ปน็ ตัวแทนในการศกึ ษาวิจัย วิธกี ารเลอื กตวั อย่างแบง่ ออกเปน็
2 วิธี
1. การเลอื กตวั อยา่ งแบบไม่อาศัยความนา่ จะเปน็ เป็นการเลอื กตามความเหมาะสมกบั สถานการณ์ สะดวก
ปลอดภัยเชน่
- การเลอื กตวั อย่างแบบเจาะจง
- การเลอื กตัวอย่างแบบกาหนดโควตา

- การเลือกตัวอย่างตามโอกาส
- การเลือกตวั อย่างตามสะดวก
การที่เลอื กตัวอย่างโดยไม่ทราบค่าความน่าจะเป็นนีไ้ มเ่ หมาะสมท่ีจะใชก้ ารคานวณค่าสถิตอิ นมุ าน ในการวเิ คราะห์
ขอ้ มูล เพราะไม่ทราบค่า Sampling error จึงเหมาะสมท่จี ะใช้กับสถิตบิ รรยายตา่ ง ๆ
2. การเลือกตัวอยา่ งแบบทราบค่าความนา่ จะเป็นการเลือกโดยการสุม่ (Random) ทีแ่ ตล่ ะหนว่ ยของ
ประชากรมีโอกาสได้รบั การเลือกตัวอยา่ งเทา่ เทยี มกัน การเลอื กตัวอย่างแบบนีแ้ บ่งออกเปน็ 5 วธิ ี คือ
- การเลือกตัวอย่างโดยการสุ่ม เปน็ วิธีการทงี่ ่าย ๆ แตป่ ระชากรตอ้ งไมใ่ หญม่ ากนกั
- การเลือกตัวอยา่ งเปน็ ระบบ เป็นวธิ ใี ช้ไดด้ ีในกรณีท่ีประชากรมขี นาดใหญ่ทีม่ ีการจัดระบบอยา่ งใดอย่างหนึ่ง
- การเลือกตวั อยา่ งแบบการจัดช้นั เป็นวิธีการเลือกตวั อยา่ งทมี่ กี ารจัดขั้นกอ่ น เพื่อให้ตัวอย่างท่ไี ด้มาจากทุก
ช้นั
- การเลอื กตัวอย่างแบบกลมุ่ เป็นวธิ ีการเลอื กตัวอย่างท่ีมีการแบง่ ประชากรออกเป็นกลุ่ม เชน่ เดยี วกับการจัด
ชนั้ แต่ลกั ษณะจะไม่เหมอื นกัน โดยการแบ่งแบบน้ีลักษณะภายในของประชากรแตล่ ะกลุ่มจะมีความแตกตา่ งกนั และ
แต่ละกลุ่มจะมคี วามคล้ายคลึงกัน แลว้ จึงเลือกโดยการสุ่มจากกลมุ่ เลก็ ๆ โดยใช้ทกุ หนว่ ยของกลมุ่ ย่อยมาเป็นตัวอย่าง
- การเลือกตัวอย่างแบบหลายข้ันตอน จะใช้เมื่อประชากรท่ศี กึ ษามีขนาดใหญ่ ประกอบดว้ ยกลุม่ ยอ่ ย ๆ โดย
ในกลุ่มยอ่ ย ๆ ประกอบดว้ ยหน่วยต่าง ๆ ทม่ี ีลักษณะตามที่สนใจคลา้ ย ๆ กนั
สร้างเคร่อื งมอื และหาประสทิ ธภิ าพของเคร่ืองมือ
การตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือการวจิ ัย
ความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง ความสามารถวัดได้ตรงกบั สิง่ ทีต่ ้องการจะวัด และ วัดไดค้ รอบคลมุ พฤตกิ รรม
ลกั ษณะทต่ี ้องการการกาหนดความเทย่ี งตรงตามเนอื้ หา นัน้ จะต้องกาหนดนยิ ามตามทฤษฎีและแปลงเป็นนยิ ามเชงิ
ปฏิบตั ิการ เพ่อื หาตัวชีว้ ดั
ความเช่ือม่นั (Reliability) หมายถงึ ความคงที่ในการวัดเมอื่ วดั ซ้า ๆ กันหลายครั้งจะใหค้ า่ เหมือนเดมิ หรอื ใกล้เคยี งกนั
การหาค่าความเชื่อมนั่ มหี ลายวธิ ีการดงั น้ี
1. วิธีการสอบซา้
2. วิธีใชฟ้ อรม์ คูข่ นาน
3. วธิ ีหาความสอดคลอ้ งภายใน

3.1 วธิ แี บง่ ครึง่
3.2 วิธขี องคเู ดอร์ ริชาร์ดสัน
3.3 วธิ สี มั ประสิทธแิ์ อลฟ่า
อานาจจาแนก (Discrimination) เครือ่ งมอื การวิจยั ทด่ี ตี ้องสามารถจาแนกสิ่งตา่ ง ๆ ออกตามคุณลกั ษณะท่ีตอ้ งได้
ประสทิ ธิภาพ (Effciency) เคร่อื งมือการวจิ ัยทีม่ ีประสทิ ธิภาพ หมายถึงมปี ระสิทธิภาพในการใชไ้ ด้ง่ายสะดวก รวดเรว็
และประหยดั คา่ ใชจ้ า่ ยการสร้างเคร่อื งมือให้มีประสทิ ธิภาพในการใชง้ านจงึ ตอ้ งพจิ ารณากลุ่มเป้าหมายวา่ จะใช้
เครือ่ งมือกับกลมุ่ ใด ธรรมชาติหรือลักษณะพื้นฐานของกลมุ่ เปา้ หมายเป็นเชน่ ไร
การรวมรวมขอ้ มูล ( แหล่งปฐมภูมิ, แหล่งทุติยภมู ิ)

ในการดาเนนิ การเก็บรวบรวมข้อมลู ผูว้ ิจัยจะต้องทราบว่าในการทาการวิจัยนน้ั สามารถจะรวบรวมข้อมูลจากกลุม่
ประชากรทั้งหมด หรือ สุ่มตวั อย่าง ซ่ึงในการส่มุ ตัวอย่างนน้ั ก็ต้องทราบว่าจะตอ้ งสุม่ ตัวอยา่ งโดยวิธีการใดทจี่ ะใหไ้ ด้
กลมุ่ ตวั อยา่ งทีเ่ ปน็ ตัวแทนที่ดีของ กลมุ่ ประชากร ขอ้ มูลท่ีผวู้ ิจยั จะทาการรวบรวมนน้ั มาจากไหน ปฐมภมู ิ (Primary
Source) ทตุ ิยภูมิ (Secondary Source)
ข้อมลู ทุติยภมู ิ (Secondary data)

เปน็ ขอ้ มูลสถิติซึ่งเก็บรวบรวมมาก่อนแล้วเพ่อื จดุ มงุ่ หมายอืน่ ซง่ึ อาจจะเอามาใชป้ ระกอบในงานวจิ ัยได้
(Churchill. 1996 : 54) หรือหมายถงึ ขอ้ มลู ทไี่ ด้นัดพมิ พม์ าแล้วเพ่ือจดุ มุ่งหมายอนื่ ไม่ใชเ่ พอ่ื จุดมุ่งหมายในการศึกษา
ปัจจุบนั (Kinnear and Tailor. 1996 : 856) ขอ้ มูลทตุ ยิ ภมู ิอาจจะอยใู่ นระบบข้อมลู ภายในธรุ กิจ เช่น รายงานสารวจ
การขายจากใบสัง่ ซอื้ ของลูกค้า อาจจะตอ้ งอาศยั จากภายนอก เช่น ห้องสมุดธรุ กิจ ข้อมูลสถิติของรัฐบาล รายงานจาก
สมาคมการคา้ ฯลฯ

ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ (Primary data)
เป็นขอ้ มูลทีเ่ ก็บรวบรวมจากแหล่งข้อมูลเบื้องตน้ ซึ่งอาจจะเปน็ ขอ้ มลู ทเ่ี กิดจากคาถามในการวิจยั (Churchill. 1996 :
55) วิธีการในการวบรวมขอ้ มลู ปฐมภูมจิ ะเกี่ยวข้องกบั คาถามต่อไปนี้

(1) ควรรวบรวมโดยการสังเกตหรอื การออกแบบแบบสอบถาม
(2) ควรจะมีวธิ กี ารสงั เกตอย่างไร
(3) การสารวจด้วยตวั เองหรอื ใชเ้ คร่อื ง อิเลก็ ทรอนกิ ส์
(4) คาถามควรจะมีการบริหารโดยบุคคล โทรศพั ท์ หรอื ใช้จดหมาย
การวเิ คราะห์ข้อมลู การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล (Analysis Design)
การวิเคราะห์ขอ้ มลู (Analysis of data) เปน็ การจาแนกขอ้ มลู ออกเป็นสว่ นย่อย ๆ เพื่อจัดขอ้ มลู ตา่ ง ๆ ใหเ้ ป็นระบบ
หมวดหมู่ แล้วใช้ค่าสถิติชว่ ยในการสรุปลกั ษณะของขอ้ มลู นั้น ๆ ตามลกั ษณะของตวั แปรที่ศึกษา ในกรณที เี่ ป็นข้อมูล
เชงิ ปริมาณ จะ แตกต่างกับการวเิ คราะหข์ ้อมูลในงานวจิ ยั เชงิ คุณภาพทใ่ี ช้การวเิ คราะหโ์ ดยการ จาแนกชนดิ และการ
เปรยี บเทียบลกั ษณะของข้อมลู เพอ่ื หาความสัมพันธ์เกยี่ วโยงกัน ของปรากฏการณต์ า่ งๆ โดยอาศยั กรอบแนวคดิ และ
ทฤษฎชี ่วยในการสร้างขอ้ สรปุ นน้ั การเลอื กใช้สถิติจะพจิ ารณาจาก
1. วตั ถปุ ระสงค์การวิจัย (เพ่อื การบรรยาย, เพื่อเปรียบเทยี บ, เพื่อหาความสัมพนั ธ์, เพ่อื สร้างตัวแบบ)
2. หนว่ ยการวิเคราะห์ (เอกบุคคล, แบบกลุ่ม)
3. ระดบั การวัดค่าตัวแปร (ระดับกลมุ่ , ระดับอนั ดับ, ระดบั วง, ระดบั อัตราส่วน)
4. การเลือกตวั อย่าง (ใช้การสมุ่ , ไมม่ ีการสมุ่ )
ดังนั้นเทคนิคการวิเคราะห์และแปลผลข้นึ อยู่กับลักษณะของขอ้ มูลทีน่ ามาวเิ คราะห์ดงั นี้
1. การวิเคราะหข์ ้อมลู เชิงปริมาณ ใช้วิธีการทางสถิติเปน็ วธิ ีการในการวเิ คราะห์ ซงึ่ แบง่ ได้เปน็ 2 ประเภทคือ
a. สถิตบิ รรยาย (Descriptive Statistics)การวจิ ยั ที่มุ่งหมายเพ่อื การบรรยายข้อมูลตัวอยา่ งหรอื ประชากรโดยไม่
อา้ งองิ ไปถึงประชากรใด สามารถเลอื กใชส้ ถิตบิ รรยายไดด้ ังนี้

1. การแจกแจงความถี่
2. การจดั ตาแหน่งเปรียบเทยี บ (Proportion, Rate, Ratio, Percentage)

3. การวดั แนวโน้มเขา้ สูส่ ว่ นกลาง (Mean, Median, Mode)
4. การวดั การกระจาย (S.D., Q.D., C.V., Range)
5. การวัดความสัมพันธ์ (rxy , rt , rbis)
6. การวัดการถดถอย
b. สถติ อิ นุมาน (Inferential Statistics) หรือสถิตวิ ิเคราะหซ์ ่ึงแยกย่อยออกเปน็ 2 กลุ่มคอื
1. Non-Parametric Statistics
2. Parametric Statistics
2. การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงคณุ ภาพ ใช้เทคนิควธิ กี ารท่ีเรียกวา่ การจาแนกกลุม่ ข้อมูลเชิงคุณภาพ
การวางแผนการวิเคราะห์ข้อมูล
ในขั้นตอนของการวิเคราะหข์ ้อมูลนัน้ ผูว้ จิ ยั ควรจะมกี ารวางแผนก่อนโดยพิจารณาจากวัตถปุ ระสงคข์ องการ
วิจยั ว่า ในแต่ละวตั ถุประสงค์ของการวิจยั จะทาการวิเคราะห์อย่างไร ควรจะจดั กระทาขอ้ มูลอยา่ งไร และใช้คา่ สถติ ิใด
ช่วยในการหาคาตอบตามวัตถปุ ระสงค์นั้น
การนาเสนอผล ( การเสนอรายงานการวจิ ัย)
บทที่ 1 บทนา
ความเปน็ มาและความสาคญั ของปญั หา
วตั ถุประสงคก์ ารวิจยั
ขอบเขตการวิจยั
ขอ้ ตกลงเบือ้ งต้น
ประโยชน์ทีไ่ ด้รบั จากการวิจยั
บทท่ี 2 วรรณกรรมทเ่ี กยี่ วข้อง
ทฤษฎี แนวคิด และงานวิจัยทเี่ กี่ยวขอ้ ง
กรอบแนวคดิ
สมมตุ ฐิ านการวิจัย
นิยามศพั ท์เฉพาะ
บทท่ี 3 วธิ ีดาเนนิ การวิจัย
รูปแบบการวจิ ัย
ประชากรและกลุ่มตัวอยา่ ง
เคร่อื งมอื ทีใ่ ช้ในการวจิ ยั
การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู
การวิเคราะห์ขอ้ มูลและสถิติที่ใช้
บทที่ 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มลู ( เสนอตามวัตถุประสงคแ์ ละสมมุตฐิ าน)
บทที่ 5 สรปุ อภปิ รายผล ขอ้ เสนอแนะ
สรุปผลการวิจัย

อภปิ รายผล
ขอ้ เสนอแนะ( ตอ่ หนว่ ยงาน เพื่อการวิจยั ครั้งตอ่ ไป)


Click to View FlipBook Version