The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เนื้อหาการผสมดินปลูก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chaiyaporn608, 2019-09-21 03:27:13

เนื้อหาการผสมดินปลูก

เนื้อหาการผสมดินปลูก

หน่วยท่ี 1

ดนิ และคณุ สมบตั ขิ องดนิ

การผสมดนิ ปลูก รหสั วิชา ง 20266

แผนผังความคิด
หน่วยที่ 1 ดนิ และคณุ สมบตั ิของดนิ

ความหมายของดนิ

ความสาคัญของดิน กาเนิดของดิน

คณุ สมบตั ขิ องดนิ

องค์ประกอบของดิน สมบตั ขิ องดนิ

คณุ สมบตั ิของดิน
ทเ่ี หมาะสาหรบั การเพาะปลกู

การผสมดนิ ปลกู รหสั วชิ า ง 20266

หนว่ ยที่ 1
ดิน และคณุ สมบตั ขิ องดิน

หัวขอ้ เร่ือง
1. ความหมายของดนิ
2. ความสาคัญของดนิ
3. กาเนดิ ของดิน
4. องค์ประกอบของดิน
5. สมบัติของดิน
6. คณุ สมบตั ขิ องดนิ ทเี่ หมาะสาหรบั การเพาะปลูก

สาระสาคัญ

ในการปลูกพชื “ดนิ ” หมายถงึ วัตถตุ ามธรรมชาติที่มาจากผลของการผุพังสลายตัวของหิน
และแร่ต่างๆ ผสมรวมกับอินทรียวัตถุที่ได้มาจากการสลายตัวของเศษซากพืชและสัตว์จนเป็นเน้ือ
เดยี วกนั มลี ักษณะร่วนไม่เกาะกันแข็งเป็นหนิ เกดิ ข้ึนปกคลมุ พน้ื ผิวโลกอยูเ่ ปน็ ชัน้ บางๆ มคี วามสาคัญ
ของดินในแง่เป็นท่ียึดเหนี่ยวรากพืชและเป็นแหล่งสารอาหารสาหรับการเจริญเติบโตของพืช เป็น
แหลง่ ท่เี ก็บกักนา้ หรอื ความชื้นในดิน และเป็นแหล่งท่ใี ห้อากาศในดิน ท่ีรากพืชใช้เพ่ือการหายใจ ดิน
ประกอบดว้ ย อนนิ ทรียวัตถุ อนิ ทรียวตั ถุ น้า และอากาศ สมบัติท่ีสาคัญของดินแบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม
ใหญ่ๆ ได้แก่ สมบัติทางกายภาพ สมบัติทางเคมี สมบัติทางชีวภาพ และสมบัติด้านธาตุอาหารพืช
ส่วนคุณสมบัติของดินที่เหมาะสาหรับการเพาะปลูกนั้นควรมีสัดส่วนของ อนินทรียวัตถุ :
อินทรยี วตั ถุ : นา้ : อากาศ เท่ากับ 45 : 5 : 25 : 25

จุดประสงค์การเรยี นรู้
2.1 จุดประสงคป์ ลายทาง
2.1.1 นักเรียนสามารถบอกความหมายของดินได้
2.1.2 นกั เรยี นสามารถอธบิ ายความสาคญั ของดินได้
2.1.3 นกั เรียนสามารถอธิบายกาเนิดของดนิ ได้
2.1.4 นักเรยี นสามารถจาแนกองคป์ ระกอบของดินได้
2.1.5 นกั เรียนสามารถอธบิ ายสมบตั ขิ องดินได้

การผสมดนิ ปลกู รหสั วิชา ง 20266

2.1.6 นกั เรยี นสามารถอธิบายคณุ สมบัติของดนิ ทีเ่ หมาะสาหรบั การเพาะปลูกได้
2.2 จุดประสงค์นาทาง

2.2.1 นักเรียนมคี วามร้เู รือ่ งความหมายของดิน
2.1.2 นกั เรียนมคี วามรู้เร่ืองความสาคญั ของดนิ
2.1.3 นักเรยี นมคี วามรู้เรื่องกาเนิดดิน
2.1.4 นักเรยี นมคี วามรู้ความเข้าใจเร่ืององค์ประกอบของดนิ
2.1.5 นกั เรียนมีความรคู้ วามเข้าใจเร่อื งสมบัตขิ องดนิ
2.1.6 นักเรยี นมคี วามรู้ความเขา้ ใจเรื่องคุณสมบตั ิของดินทเี่ หมาะสาหรบั การเพาะปลูก

1. ความหมายของดนิ และคณุ สมบัตขิ องดิน

NECTEC's Lexitron Dictionary (2557) ให้ความหมาย ดิน ในภาษาอังกฤษว่า soil คือ ช่ือ
ธาตอุ ย่างหนึง่ ในธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้า ไฟ ลม วัตถุธาตุของพื้นโลกท่ีใช้สาหรับปลูกพืชผลหรือปั้นสิ่ง
ต่างๆ เป็นตน้

วิสันต์ ท้าวสูงโนน (มปป.) ให้ความหมายว่า ดิน คือ วัสดุธรรมชาติท่ีเกิดข้ึนจากการผสม
คลกุ เคลา้ กนั ของอินทรยี วตั ถทุ ีเ่ กิดจากการสลายตวั ผุพังตามธรรมชาตใิ นสภาพภมู อิ ากาศ สภาพพื้นที่
และระยะเวลาในการเกิดที่แตกต่างกัน ทาให้เกิดดินที่คล้ายคลึงหรือแตกต่างกันหลายชนิดปกคลุม
พื้นผิวโดยอยูเ่ ป็นชน้ั บาง ๆ เป็นที่ยึดเหนี่ยวเจริญเติบโตและให้ผลผลิตของพืช รวมถึงเป็นแหล่งน้า
อาหาร และอากาศแกส่ ่งิ ท่มี ีชวี ติ อ่ืน ๆ ท่อี าศยั อยู่ในดินและบนดิน

ทิพวรรณ สิทธิรังสรรค์ (2551) ให้ความหมายว่า ดิน คือ เทหวัตถุธรรมชาติ (natural
body) ท่ีปกคลุมผิวโลกอยู่บางๆ เกิดจากผลของการแปรสภาพหรือผุพังของหินและแร่ และ
อินทรียวตั ถุผสมคลุกเคลา้ กัน

สรุปได้ว่า ดิน หมายถึง วตั ถุตามธรรมชาติท่ีมาจากผลของการผุพังสลายตัวของหินและแร่
ต่างๆ ผสมรวมกับอินทรียวตั ถทุ ไี่ ด้มาจากการสลายตวั ของเศษซากพชื และสัตว์จนเป็นเน้ือเดียวกัน มี
ลกั ษณะรว่ นไมเ่ กาะกันแข็งเปน็ หนิ เกดิ ขึ้นปกคลมุ พน้ื ผิวโลกอยู่เป็นช้นั บางๆ และเปน็ ทย่ี ดึ เหนย่ี วราก
พืช และเป็นแหลง่ สารอาหารสาหรบั การเจริญเตบิ โตของพืช

2. ความสาคัญของของดิน

ส่ิงมีชีวิตทั้งหลายต้องอาศัยดินในการยังชีพและเจริญเติบโต สาหรับมนุษย์แล้วดินเป็น
แหล่งทม่ี าของปจั จยั สเี่ พ่อื การดารงชพี เพราะเราไดอ้ าศยั ดนิ สาหรบั ปลกู พืชที่เป็นอาหาร เครอ่ื งนงุ่ หม่

การผสมดินปลูก รหสั วชิ า ง 20266

ทอ่ี ยอู่ าศัย และยารักษาโรค หน้าท่ีและความสาคัญของดินท่ีมีต่อการเจริญเติบโตของพืช แสดงดัง
ภาพท่ี 1.1 สรุปไดด้ ังนี้

ภาพที่ 1.1 หนา้ ทแ่ี ละความสาคญั ของดินท่มี ีตอ่ การเจริญเตบิ โตของพชื
ท่มี า : สานกั สารวจดินและวางแผนการใชท้ ี่ดิน กรมพัฒนาทดี่ ิน (มปป.)

2.1 ดินทาหน้าท่ีเป็นที่ให้รากพืชได้เกาะยึดเหนี่ยวเพ่ือให้ลาต้นของพืชยืนต้นได้อย่าง
มัน่ คง แข็งแรง ขณะทพ่ี ืชเจริญเติบโต รากของพืชจะเติบโตชอนไชหย่ังลึกแพร่กระจายลงไปในดิน
อยา่ งกวา้ งขวางท้งั แนวลกึ และแนวราบ ดินท่ีร่วนซุยและมีชั้นดินลึก รากพืชจะเจริญเติบโตแข็งแรง
สามารถเกาะยดึ ดิน ตา้ นทานตอ่ ลมพายุไมท่ าใหต้ ้นพืชลม้ หรือถอนโคนได้

2.2 ดินเป็นแหล่งให้ธาตุอาหารท่ีจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช ทั้งน้ีเนื่องจากธาตุ
อาหารพืชจะถกู ปลดปลอ่ ยออกจากอนิ ทรียวัตถุ และแร่ตา่ งๆ ท่เี ป็นองค์ประกอบของดิน ให้อยู่ในรูป
ทร่ี ากพชื สามารถดงึ ดดู ไปใช้ประโยชน์ไดง้ ่าย

2.3 ดนิ เปน็ แหล่งทเ่ี กบ็ กกั นา้ หรอื ความช้ืนในดนิ ให้อยู่ในรูปท่ีรากพืชสามารถดึงดูดได้ง่าย
เพ่อื นาไปหล่อเลี้ยงลาต้นและสร้างการเจริญเตบิ โต น้าในดินจะตอ้ งอยใู่ นสภาพที่เหมาะสมเท่าน้ัน ท่ี
รากพชื สามารถดงึ ดดู ข้นึ มาใชป้ ระโยชนไ์ ด้ การรดนา้ พชื จนขังแฉะรากพชื ไมส่ ามารถดึงดูดน้าขึ้นไปใช้
ประโยชนไ์ ด้ จะทาให้พืชเหยี่ วเฉาและตายในที่สุด

2.4 ดนิ เปน็ แหลง่ ท่ีใหอ้ ากาศในดนิ ทร่ี ากพืชใชเ้ พื่อการหายใจ รากพชื ประกอบด้วยเซลล์ที่
มีชวี ติ ตอ้ งการออกซิเจนสาหรับการหายใจทาให้เกิดพลังงานเพื่อการดึงดูดน้า ธาตุอาหารและการ

การผสมดินปลกู รหสั วิชา ง 20266

เจริญเตบิ โต ดินทมี่ กี ารถา่ ยเทอากาศดี รากพืชจะเจริญเติบโตแข็งแรง ดูดน้าและ ธาตุอาหารได้มาก
ทาใหต้ ้นพืชเจริญเติบโตแขง็ แรงและให้ผลิตผลสูง

3. กาเนิดของดนิ

สานกั สารวจดนิ และวางแผนการใช้ที่ดิน กรมพัฒนาท่ีดิน (มปป.) รายงานว่า โลกของเรามี
อายปุ ระมาณ 4,600 ล้านปีนับจากท่ีโลกเร่มิ กอ่ ตัวข้นึ และเย็นตัวลง มีพื้นผิวภายนอกเป็นหินแข็งแต่
ภายในเป็นของเหลวรอ้ นจัด มบี รรยากาศซง่ึ ประกอบดว้ ยกา๊ ซหลายชนิดห่อหุ้มโลกอยู่โดยรอบอย่าง
เบาบาง ตอ่ มาจงึ มีวิวัฒนาการมากข้นึ จนเกดิ มนี า้ และส่ิงมชี วิ ติ ขึน้ บนโลก พชื บกรุ่นแรกสุดเกิดขึ้นมา
บนโลก เม่ือประมาณ 590 ล้านปีมาแล้ว พืชบกรุ่นแรกน้ีมีแต่ลาต้น ไม่มีใบ ไม่มีราก อาศัยเกิดและ
เกาะติดอยู่บนสาหร่ายทะเลท่ีถูกคลื่นซัดขึ้นมาค้างอยู่บนหินและเติบโตอยู่บนน้ัน เชื่อกันว่า
วิวัฒนาการของพืชบกรุ่นแรกน้เี องที่เปน็ สาเหตทุ าใหก้ อ้ นหนิ เกดิ การผพุ งั แตกแยกออกเป็นช้นิ เลก็ ชนิ้
น้อย และเกิดพัฒนาการต่อจนกลายเป็นดินในที่สุด ทั้งนี้เพราะการที่พืชมีวิวัฒนาการมากข้ึนจนมี
สว่ นประกอบของราก ลาต้น ใบ กจิ กรรมของรากของพืชทีช่ อนไชไปตามรอ่ งรอยแตกของหินและชั้น
ของหนิ ผเุ พื่อหาอาหารไปเล้ยี งลาต้นและใบ รวมทง้ั เกาะยดึ กบั ส่ิงตา่ งๆ เพ่ือค้าจุนลาต้นน้ัน ก็จะช่วย
เร่งให้หิน แร่ เกิดการสลายตวั เป็นชิ้นเล็กช้ินน้อยได้รวดเร็วยิ่งขึ้น นอกเหนือไปจากการผุกร่อนตาม
ธรรมชาติ ที่เป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ท้ังอุณหภูมิ ปริมาณน้าฝน น้าค้าง
หรือหมิ ะ ในช่วงเวลาตา่ ง ในขณะเดียวกบั ที่พืชเจรญิ เติบโตข้ึนกย็ อ่ มมสี ่วนของ ราก ลาต้น ใบ ที่หลุด
ร่วงตายลงและทับถมกันอยู่ท้ังบนดินและใต้ดิน นอกจากน้ียังมีมูลสัตว์และเศษซากส่ิงมีชีวิตอ่ืนๆ
รวมอยูด่ ว้ ย ซ่ึงเม่อื วัสดเุ หล่านเ้ี กิดการเน่าเปื่อยโดยการย่อยสลายของจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในดิน จน
กลายเป็นสารสีดาท่ีมีเนื้อละเอียดนุ่ม เรียกว่า “ฮิวมัส” (humus) และต่อมาเม่ือฮิวมัสได้ผสม
คลุกเคล้าเข้ากับช้นิ สว่ นของหนิ แร่ ท่ผี พุ ังเป็นชน้ิ เล็กชนิ้ น้อยจนเขา้ กันเป็นเนอ้ื เดียว จึงกลายเปน็ สง่ิ ท่ี
เรยี กว่า “ดิน” สืบมาจนทกุ วันนี้ ประมาณกันวา่ ตอ้ งใชเ้ วลาถึง 500 ปี ในการทหี่ ินจะผุพังย่อยสลาย
เกิดการทับถมของซากพชื และสัตว์ และเกิดกระบวนการตา่ งๆ ในดิน แสดงดงั ภาพที่ 1.2 จนเกิดเป็น
ดินท่ีมีความหนาเพียง 1 น้ิว และอาจต้องใช้เวลานาน 3,000 ถึง 12,000 ปี ท่ีดินจะมีความลึกพอ
สาหรบั เกษตรกรรม

การผสมดนิ ปลูก รหสั วชิ า ง 20266

1. การผุพังสลายตวั ของหนิ แร่
2. เรมิ่ มีพืชพรรณธรรมชาตแิ ละมีการสะสมอนิ ทรียวตั ถุ

3. มกี ารผสมคลุกเคลา้ และเกิดพฒั นาการของชัน้ ดนิ ตา่ งๆ

ภาพท่ี 1.2 การกาเนิดของดนิ
ทีม่ า : สานักสารวจดนิ และวางแผนการใช้ทด่ี นิ กรมพฒั นาทด่ี ิน (มปป.)

4. องค์ประกอบของดิน (สานกั สารวจดินและวางแผนการใชท้ ่ดี ิน กรมพฒั นาที่ดิน, มปป. ; วสิ ันต์
ทา้ วสูงโนน, มปป.)

4.1 อนินทรียวตั ถุ
อนนิ ทรียวัตถุ หรอื แร่ธาตุ มีปรมิ าณมากที่สุดใน ดินท่ัวไป (ยกเว้นดินอินทรีย์) ได้จาก

การผุพังสลายตัวของหนิ และแร่ อนนิ ทรียวัตถุ อยใู่ นดนิ ในลกั ษณะของชิ้นส่วนท่ีเรียกว่า “อนุภาคดิน”
ซึ่งมีหลายรูปทรงและมีขนาดแตกต่างกันไป แบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มอนุภาคขนาดทราย
(เส้นผ่าศนู ย์กลาง 2.00-0.05 ม.ม.) 2) กลุม่ อนุภาคขนาดทรายแป้ง (เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.05-0.002 ม.ม.)
และ 3)กลุ่มอนภุ าคขนาดดินเหนียว (เส้นผ่าศูนย์กลาง < 0.002 ม.ม) อนินทรียวัตถุ หรือ แร่ธาตุใน
ดินนี้ เป็นส่วนทสี่ าคญั ในการควบคมุ ลักษณะของเนอ้ื ดิน เปน็ แหลง่ กาเนิดของธาตุอาหารพชื และเปน็
แหลง่ อาหารของจุลนิ ทรยี ์ดิน นอกจากนอ้ี นุภาคท่ีอยใู่ นกลมุ่ ขนาดดินเหนียวยังเป็นส่วนที่สาคัญที่สุด
ในการเกดิ กระบวนการทางเคมตี า่ งๆ ในดินดว้ ย

4.2 อินทรียวตั ถุ
อนิ ทรยี วตั ถุในดิน ในทน่ี มี้ ีความหมายครอบคลุมต้ังแต่ส่วนของซากพืชซากสัตว์ท่ีกาลัง

สลายตวั เซลล์จุลนิ ทรีย์ ท้งั ที่มชี วี ิตอยูแ่ ละในสว่ นทต่ี ายแลว้ ตลอดจนสารอินทรยี ท์ ีไ่ ดจ้ ากการย่อยสลาย
หรอื สว่ นที่ถูกสังเคราะห์ข้ึนมาใหม่ แต่ไม่รวมถงึ รากพืช หรือเศษซากพชื หรอื สัตว์ทย่ี ังไมม่ ีการยอ่ ยสลาย

การผสมดินปลกู รหสั วชิ า ง 20266

อินทรียวัตถุในดินน้ี เป็นแหล่งสาคัญของธาตุอาหารพืช และเป็นแหล่งอาหารและพลังงานของ
จุลินทรีย์ดินโดยเฉพาะอย่างย่ิง ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และกามะถัน อีกท้ังยังเป็นส่วนที่มีอิทธิพล
อยา่ งมากต่อสมบัตติ ่างๆ ของดินท้ังทางกายภาพ เคมี และชีวภาพ เช่น โครงสร้างดิน ความร่วนซุย
การระบายนา้ การถ่ายเทอากาศ การดูดซบั น้าและธาตอุ าหารของดิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึง
ระดับความอุดมสมบูรณ์ของดนิ และความสามารถในการใหผ้ ลผลิตของดินอกี ดว้ ย

4.3 นา้ ในดนิ
น้าในดิน หมายถึง ส่วนของน้าท่ีพบอยู่ในช่องว่างระหว่างอนุภาคดินหรือเม็ดดิน มี

ความสาคัญมากต่อการปลูก และการเจริญเติบโตของพืช เน่ืองจากเป็นตัวช่วยในการละลายธาตุ
อาหารต่างๆ ในดนิ และเปน็ สว่ นสาคญั ในการเคล่ือนยา้ ยอาหารพืชจากรากไปสู่ส่วนต่างๆ ของพืช

4.4 อากาศในดิน
อากาศในดนิ หมายถงึ สว่ นของกา๊ ซตา่ งๆ ท่แี ทรกอยู่ในช่องว่างระหว่างเม็ดดินในส่วนที่

ไมม่ ีน้าอยู่ กา๊ ซทีพ่ บโดยท่ัวไปในดิน คือ ก๊าซไนโตรเจน (N2) ออกซเิ จน (O2) และคาร์บอนไดออกไซด์
(CO2) ซงึ่ รากพชื และจุลนิ ทรียด์ นิ ใช้ในการหายใจ และสรา้ งพลงั งานในการดารงชวี ิต

5. คุณสมบัติของดิน (อัญชลี สุทธิประการ, 2534 ; สานักสารวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน กรม
พัฒนาท่ดี นิ , มปป. ; โครงการสารานุกรมไทยสาหรบั เยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จ
พระเจา้ อย่หู วั , 2556 ; Ophardt, 2003)

สมบตั ิทสี่ าคัญของดนิ แบง่ ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ สมบัติทางกายภาพ สมบัติทางเคมี
สมบตั ทิ างชีวภาพ และสมบตั ิด้านธาตุอาหารพชื

5.1 สมบตั ิทางกายภาพ
5.1.1 หน้าตัดดนิ และช้นั ดิน
1) หนา้ ตดั ดิน
เม่อื เรายืนอยพู่ ืน้ ดนิ นั้น เราจะมองเห็นดินเป็นเพียงแผ่นดินหรือพื้นผิวทีมี 2

มิติ คอื มคี วามกวา้ งและความยาว แต่หากว่าเราขดุ ดินลงไปจนเปน็ หลมุ ขนาดใหญ่ จะเห็นว่าดินมีมิติ
ที่ 3 คอื มีความลึกหรอื ความหนา และเม่อื มองตามความลึกลงไปตามแนวดง่ิ จะเห็นวา่ ดินน้ันมีการทับถม
กนั เปน็ ชน้ั ๆ โดยทีแ่ ต่ละชัน้ จะแสดงให้เหน็ ถงึ ความแตกตา่ งของสิง่ ที่มอี ย่ภู ายในดิน เชน่ สีดิน เนื้อดิน
ชนิดของวัสดุหรือส่ิงที่ปะปนอยู่ในดิน เป็นต้น นักวิทยาศาสตร์ทางดินหรือนักปฐพีวิทยา เรียกผิว
ด้านข้างของหลุมดินที่ตัดลงไปจากผิวหน้าดินตามแนวดิ่งซึ่งปรากฏให้เห็นช้ันต่างๆ ภายในดินนี้ว่า
หน้าตัดดิน (soil profile) และเรียกช้ันต่างๆ ในดินที่วางตัวขนานกับผิวหน้าดินว่า ช้ันดิน (soil
horizon) การศึกษาหน้าตัดดินมักจะทากันในช่วงความลึกตั้งแต่ผิวหน้าดินลงไปประมาณ 2 เมตร

การผสมดนิ ปลูก รหัสวชิ า ง 20266
ขอ้ มลู ที่ไดจ้ ากการศกึ ษาลกั ษณะทปี่ รากฏอยใู่ นหน้าตัดดินบริเวณใดบรเิ วณหนึง่ ประกอบกบั ขอ้ มลู ผล
การตรวจสอบสมบตั ทิ างกายภาพและเคมขี องดินบนและดนิ ลา่ ง จะทาใหเ้ ราสามารถแบง่ ชนิดของดิน
ออกเปน็ กลมุ่ และจัดหมวดหมู่ดนิ ได้

2) ชน้ั ดิน หรือชน้ั กาเนิดดนิ
ในหนา้ ตดั ของดินหน่ึงๆ น้ัน ประกอบด้วยชัน้ ตา่ งๆ มากมาย โดยท่ีช้ันเหล่านี้

อาจเปน็ ช้นั ท่ีเกิดจากกระบวนการทางดิน หรือเปน็ ชนั้ ของวัสดุต่างๆ ก็ได้ ชั้นดินหลักๆ มีอยู่ด้วยกัน
5 ชั้น คือ ชั้น O, A, E, B และ C แต่ในบางหน้าตัดดินอาจพบ ช้ัน R ซ่ึงเป็นช้ันหินพ้ืนท่ีอาจจะมี
ความเก่ยี วขอ้ งกับชั้นดนิ หลกั ตอนบนหรอื ไม่ก็ได้ การสงั เกตความแตกต่างของลกั ษณะท่ีปรากฏอยู่ใน
แต่ละชั้นดิน และการเรยี งตวั ของชนั้ ดินท่ใี นหนา้ ตัดดนิ น้เี อง ทที่ าให้นักปฐพีวิทยาสามารถจัดแบ่งดิน
ที่พบออกเป็นชนิดต่างๆ ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการให้คาแนะนาแก่เกษตรกรในการใช้
ประโยชน์ที่ดินไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั ดินในพื้นทนี่ นั้ ๆ แสดงดังภาพที่ 1.3

ภาพท่ี 1.3 ชน้ั ดินสมบูรณ์
ทีม่ า : Jakkaphan Nuntawong (2556)
“ชั้น O” หรือเรียกว่า ช้ันดินอินทรีย์ คือ ชั้นที่มีการสะสมอินทรียวัตถุทั้ง
ท่มี าจากพืชและสตั ว์ ซงึ่ สว่ นใหญ่มกั จะมาจากพชื เช่น ใบไม้ กิ่งไม้ หญ้า และพืชอื่นๆ ทั้งพวกท่ีมีการ

การผสมดินปลูก รหัสวิชา ง 20266

สลายตัวเพียงเล็กน้อย สลายตัวปานกลาง หรือสลายตัวมากจนไม่สามารถสังเกตเห็นลักษณะของ
ชิ้นสว่ นด้ังเดิม

“ช้ัน A” หรือ ช้ันดินบน ช้ันดินท่ีประกอบด้วยอินทรียวัตถุท่ีสลายตัวแล้ว
ผสมคลกุ เคลา้ อยกู่ ับแรธ่ าตุในดิน มกั มีสคี ลา้

“ช้ัน E” หรือ ชั้นชะล้างเป็นช้ันดินที่มีสีซีดจาง มีปริมาณอินทรียวัตถุน้อย
กว่ากวา่ ชั้น A และมกั จะมเี นอ้ื ดนิ หยาบกวา่ ชนั้ B ทอี่ ยตู่ อนลา่ งลงไป

“ชั้น B” หรือ ช้นั ดนิ ล่างเป็นชน้ั ท่ีแสดงถึงการเคล่ือนย้ายมาสะสมของวัสดุ
ตา่ งๆ เช่น อนุภาคดนิ เหนยี ว

“ช้ัน C” หรือ ช้นั วตั ถุตน้ กาเนิดดิน เป็นช้นั ของวัสดทุ ีเ่ กาะตัวกันอยู่หลวมๆ
อยูใ่ ต้ชัน้ ที่เปน็ ดิน ประกอบดว้ ยหนิ และแรท่ ี่กาลงั ผุพงั สลายตัวีชัน้ หินพนื้ ฐาน หรอื ท่ีเรียกกันว่า ช้ัน R
ซ่ึงเป็นชั้นของหนิ แขง็ ชนดิ ต่างๆ ที่ยงั ไม่มกี ารผุพงั สลายตวั อยูใ่ นหนา้ ตัดดินด้วย

“ชั้น R” หรอื ช้นั หินพน้ื เปน็ ชัน้ หนิ แข็งทีย่ ังไม่ผพุ ังสลายตัว อาจจะมีหรือไม่
มีในหนา้ ตัดดินก็ได้

ชัน้ ตา่ งๆ ในดนิ ท่เี ราใช้เพาะปลูกพืช อาจจะแบ่งอย่างงา่ ยๆ ดงั นี้
(1) ช้ันดินบน หรือเรียกว่า “ชั้นไถพรวน” โดยทั่วไปมีความหนาประมาณ
15-30 ซม. จากผิวหน้าดิน ชั้นดินบนน้ีเป็นช้ันที่เหมาะสมต่อการเพาะปลูก เพราะเป็นช้ันที่มี
อินทรียวัตถุหรือฮิวมัส สงู กว่าชัน้ ดินอน่ื ๆ โดยปกตจิ ะมสี คี ลา้ หรือดากว่าช้ันอื่นๆ รากพืชส่วนใหญ่จะ
ชอนไชหาอาหารอยู่ในช่วงช้นั
(2) ชน้ั ดนิ ล่างเป็นชนั้ ทม่ี ีอินทรียวัตถนุ อ้ ยกว่า รากพืชท่ีชอนไชลงมาถึงช้ันนี้
ส่วนใหญจ่ ะเป็นรากของไมผ้ ลหรอื ไมย้ ืนต้นทมี่ ีขนาดใหญ่ ทง้ั นี้เพอื่ ยึดเกาะดินไว้ให้พชื ทรงตวั อยูไ่ ด้ ไม่
โค่นลม้ ลงไดง้ ่ายเมื่อมีลมพดั แรงโดยท่ัวไปรากพืชเจริญเติบโตและดูดธาตุอาหารเฉพาะในส่วนท่ีเป็น
ดนิ บนและดินลา่ ง ซ่งึ ดนิ แต่ละชนิดมีความลึกไม่เท่ากัน ดินที่ลึกจะมีพ้ืนที่ให้พืชหย่ังรากและดูดธาตุ
อาหารไดม้ ากกว่าดนิ ทต่ี ื้น การปลูกพชื ให้ได้ผลดีจงึ ควรคานงึ ถึงความลกึ ของดินด้วย
5.1.2 สขี องดิน (color)
สีดิน เป็นสมบัติของดินที่มองเห็นได้ชัดเจน เป็นคุณสมบัติท่ีสะท้อนถึง
สภาพแวดลอ้ ม กระบวนการเกดิ ดิน แร่ทีเ่ ป็นองคป์ ระกอบของดนิ หรือวัสดอุ ่ืนๆ ท่ีอยใู่ นดนิ สีของดนิ
มีหลายสี สว่ นใหญอ่ ยใู่ นช่วงสดี า นา้ ตาล แดง เหลอื ง เหลืองแดง เหลืองเทา หรือสีเทา การสังเกตสี
ของดิน ทาให้เราสามารถประเมินสมบัติทางกายภาพและเคมีบางอย่างของดินได้ เช่น สภาพการ
ระบายนา้ ของดิน ระดับนา้ ใตด้ ิน หรือ ความอดุ มสมบูรณ์ของดิน
ดนิ สีนา้ ตาลเข้มหรอื สีดา แสดงดังภาพที่ 1.4 แสดงวา่ ดนิ นนั้ มีอนิ ทรียวตั ถุอยใู่ น
ดนิ มาก หรือ เปน็ ดนิ ทีเ่ กดิ จากการผพุ งั สลายตัวของหิน-แร่ ทม่ี ีสีเข้ม เชน่ หินภูเขาไฟพวกบะซอลท์ แกบ

การผสมดินปลูก รหสั วิชา ง 20266
โบร มกั มีความอุดมสมบูรณ์สงู เนือ่ งจากมอี ินทรยี วัตถุมาก ถ้าเป็นดินท่ีลุ่มต่าหน้าดินมีสีคล้าและดิน
ชั้นลา่ งมีสเี ทา เน่อื งจากสภาพอบั อากาศ จะตอ้ งเตรยี มการระบายนา้

ภาพท่ี 1.4 ดนิ สีนา้ ตาลเขม้ หรอื สีดา
ท่ีมา : สานกั สารวจดนิ และวางแผนการใชท้ ่ีดิน กรมพฒั นาทีด่ นิ (มปป.)

ดินสีขาวหรอื สเี ทาออ่ น แสดงดังภาพที่ 1.5 แสดงว่า อาจเกดิ จากวัตถุต้นกาเนิด
ดนิ มาจากหินทม่ี สี ีจาง หรอื เปท็ รายมาก หรอื บริเวณที่มสี ีจางนัน้ เกิดกระบวนการทางดินที่ทาใหธ้ าตุ
ตา่ งๆ ถูกชะล้างออกไปจากชัน้ ดนิ จนหมด เชน่ ชั้นดิน E หรือเกิดจากการสะสมของปูน (lime) หรือ
ยปิ ซมั (gypsum) หรือเกลอื ชนิดต่างๆ กไ็ ดh มกั เป็นดนิ ทมี่ คี วามอดุ มสมบรู ณ์ต่า มีการระบายน้าดี

ภาพท่ี 1.5 ดินสขี าวหรือสเี ทาอ่อน
ที่มา : สานักสารวจดนิ และวางแผนการใชท้ ่ดี นิ กรมพฒั นาทด่ี ิน (มปป.)

การผสมดนิ ปลกู รหัสวชิ า ง 20266
ดินสีเหลืองหรือสีแดง แสดงดังภาพที่ 1.6 แสดงว่า เป็นดินท่ีมีอัตราการผุพัง

สลายตัวสูง เนอื่ งจาก มีพวกออกไซด์ของเหลก็ เคลือบผวิ อนุภาคมาก มักเกดิ ในในบรเิ วณทส่ี งู ตามเนนิ
เขาหรอื ท่รี าบไหลเ่ ขา ดินเหล่าน้ีมีการระบายน้าดีถึงดีมาก ถ้าดินมีการระบายน้าในหน้าตัดดินดีอยู่
เสมอ ส่วนใหญจ่ ะมสี แี ดง แต่ถ้าการระบายน้าของดนิ ไมด่ เี ทา่ กรณีแรก ดนิ จะมีสีเหลอื ง

ภาพที่ 1.6 ดินสเี หลอื งหรอื สีแดง
ท่ีมา : สานักสารวจดนิ และวางแผนการใชท้ ีด่ ิน กรมพัฒนาท่ีดนิ (มปป.)

ดนิ สีเทาปนน้าเงิน แสดงดังภาพที่ 1.7 แสดงว่า ดินบริเวณน้ันอยู่ในสภาวะท่ีมี
นา้ ขังตลอด มกี ารระบายนา้ ไมเ่ พยี งพอ ทาใหส้ ารประกอบของเหล็กอยู่ในรปู ท่มี ีสเี ทา

ภาพท่ี 1.7 ดินสีเทาปนน้าเงนิ
ทมี่ า : สานกั สารวจดินและวางแผนการใช้ทด่ี ิน กรมพัฒนาทีด่ ิน (มปป.)

การผสมดนิ ปลูก รหัสวชิ า ง 20266

ดินสีประ (mottle color) หรือดินที่มีหลายสีผสมกัน แสดงดังภาพท่ี 1.8
แสดงว่า ดนิ บริเวณนั้น อยู่ในสภาพท่ีมีนา้ แชข่ ังสลับสภาพทดี่ ินแห้งโดยทั่วไปมักปรากฏเป็นจุดประสี
เหลืองหรอื สีแดงบนวสั ดพุ น้ื สีเทา เป็นผลมาจาก การเปลี่ยนแปลงของสารประกอบของเหล็ก ที่จะ
แสดงสีเทาเม่ืออยู่ในสภาวะที่มีน้าขัง (ขาดออกซิเจน) และเปลี่ยนรูปเป็นสารท่ีให้สีแดงเมื่ออยู่ใน
สภาวะดินแหง้ (มอี อกซเิ จนมาก) มักจะพบในดินนาซึ่งมคี วามสูงจากระดับน้าทะเลพอสมควร ซ่ึงน้า
ระบายจากหนา้ ตัดจนแหง้ ไดใ้ นฤดแู ล้งหลังการเกบ็ เกย่ี ว

ภาพท่ี 1.8 ดินสีประ
ท่ีมา : สานกั สารวจดนิ และวางแผนการใชท้ ี่ดิน กรมพัฒนาท่ดี นิ (มปป.)

5.1.3 เนือ้ ดิน (texture)
เน้ือดนิ เปน็ สมบตั ิท่ีบอกถงึ ความหยาบหรอื ละเอยี ดของชน้ิ สว่ นเล็กๆ ของดิน ท่ี

เราเรียกว่า “อนุภาคของดิน” ซ่ึงอนุภาคเหล่านี้จะมีขนาดไม่ท่ากัน แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ขนาด
ใหญ่เรียกว่าอนุภาคขนาดทราย (2.0-0.05 มิลลิเมตร) ขนาดกลางเรียกว่าอนุภาคขนาดทรายแป้ง
(0.05-0.002 มลิ ลิเมตร) และขนาดเลก็ ทสี่ ดุ คอื อนภุ าคดินเหนียว (< 0.002 มลิ ลเิ มตร) การรวมตวั กัน
ของอนภุ าคขนาดทราย ทรายแปง้ และดนิ เหนยี ว ในสดั ส่วนที่แตกต่างกัน ทาให้เกิดเป็นเน้ือดินชนิด
ต่างๆขน้ึ มา ในการจาแนกประเภทของเน้ือดินน้นั จะถอื เอาเปอรเ์ ซ็นต์ของอนุภาคขนาดเหล่านี้ท่ีมีอยู่
ในดนิ น้ันๆ เป็นหลัก โดยทั่วไปเนอื้ ดินอาจแบง่ เปน็ กลมุ่ ใหญๆ่ ได้ 3 กล่มุ ดงั นี้

1) ดินทราย
เป็นดินท่ีมีอนุภาคขนาดทรายเป็นองค์ประกอบอยู่มากกว่าร้อยละ 85

ลักษณะโดยทัว่ ไปจะเกาะตัวกันหลวมๆ และมองเห็นเป็นเมด็ เด่ียวๆ ได้ ถา้ สมั ผสั ดนิ ท่ีอยู่ในสภาพแหง้
จะรสู้ กึ สากมือ เมือ่ ลองกาดินทแี่ หง้ นีไ้ วใ้ นองุ้ มอื แล้วคลายมือออกดนิ ก็จะแตกออกจากกันได้ แต่ถา้ กา

การผสมดนิ ปลกู รหสั วชิ า ง 20266

ดินทีอ่ ยู่ในสภาพชน้ื จะสามารถทาให้เป็นกอ้ นหลวมๆ ได้ แตพ่ อสัมผัสจะแตกออกจากกันทันที ดินทราย
เป็นดินทีม่ กี ารระบายน้าและอากาศดมี าก แต่มีความสามารถในการอ้มุ นา้ ตา่ มีความอุดมสมบูรณ์
ต่า เพราะความสามารถในการดูดยึดธาตุอาหารพืชมีน้อย พืชที่ขึ้นบนดินทรายจึงมักขาดทั้งธาตุ
อาหารและน้า เน้ือดินท่ีจัดอยู่ในกลุ่มน้ี ไดแ้ ก่ ดนิ ทราย ดินทรายปนดนิ ร่วน และดนิ ร่วนปนทราย

2) ดนิ ร่วน
โดยท่ัวไปจะประกอบด้วยอนุภาคขนาดทราย ทรายแป้ง และดินเหนียวใน

ปริมาณใกล้เคียงกัน (อนุภาคขนาดดินเหนียวร้อยละ 7-27 อนุภาคขนาดทรายแป้งร้อยละ 28-50
และมีอนุภาคขนาดทรายน้อยกว่าร้อยละ 52) ดินร่วน เป็นดินท่ีเน้ือดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือใน
สภาพดินแหง้ จะจับกนั เปน็ ก้อนแข็งพอประมาณ ในสภาพดินชื้นจะยืดหย่นุ ไดบ้ า้ ง เมอื่ สัมผสั หรือคลึง
ดินจะรู้สกึ นมุ่ มือแต่อาจจะรู้สึกสากมืออยู่บ้างเล็กน้อย เม่ือกาดินให้แน่นในฝ่ามือแล้วคลายมือออก
ดนิ จะจับกันเป็นกอ้ นไม่แตกออกจากกัน เป็นดินที่มีการระบายน้าได้ดีปานกลาง จัดเป็นเน้ือดินที่มี
ความเหมาะสมสาหรบั การเพาะปลกู เนอื้ ดนิ ท่ีอยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินร่วน
ปนทรายแปง้ ดินร่วนเหนยี ว ดินรว่ นเหนยี วปนทราย ดนิ รว่ นเหนียวปนทรายแป้ง

3) ดนิ เหนยี ว
เนื้อดินประกอบดว้ ยอนุภาคขนาดดินเหนียวตัง้ แตร่ อ้ ยละ 40 ข้ึนไป มีอนุภาค

ขนาดทราย ร้อยละ 45 หรือน้อยกว่า และมีอนุภาคขนาดทรายแป้งน้อยกว่าร้อยละ 40 ดินเหนียว
เป็นดินท่ีมีเนื้อละเอียด ในสภาพดินแห้งจะแตกออกเป็นก้อนแข็งมาก เมื่อเปียกน้าแล้วจะมีความ
ยดื หยนุ่ สามารถปน้ั เป็นก้อนหรอื คลงึ เป็นเส้นยาวได้ เหนยี วเหนอะหนะติดมอื เป็นดินท่ีมีการระบาย
น้าและอากาศไมด่ ี แตส่ ามารถอมุ้ นา้ ดดู ยึด และแลกเปล่ียนธาตุอาหารพืชได้ดี เหมาะที่จะใช้ทานา
ปลกู ข้าวเพราะเกบ็ น้าไดน้ าน เนอ้ื ดินทอ่ี ยูใ่ นกลมุ่ น้ี ไดแ้ ก่ ดนิ เหนียว ดินเหนียวปนทราย ดินเหนียว
ปนทรายแป้ง

เนื้อดนิ เป็นสมบตั ิดนิ ตามธรรมชาติที่มคี วามสาคัญย่งิ ต่อการเจริญเตบิ โตของพืช
เพราะมีผลต่อคุณภาพของดิน สภาพการระบายน้า ระบบนิเวศ ปริมาณธาตุอาหารรวมท้ังความ
หลากหลายทางชวี ภาพในดนิ ในดินทเ่ี ปน็ ดนิ ทราย มักจะมีการระบายน้าดจี นถงึ ดเี กินไป อมุ้ น้าได้ไม่ดี
ดนิ จะแหง้ ง่าย และมธี าตุอาหารอยนู่ ้อยกวา่ ดินชนิดอนื่ สว่ นดินเหนียวนั้นจะอุ้มน้าได้มาก และมีธาตุ
อาหารอยมู่ าก แต่ก็มีขอ้ เสยี ท่กี ารระบายน้าไมด่ ี มักจะมนี า้ ขงั ทาให้มอี ากาศไมพ่ อสาหรับรากพืชใช้ใน
การหายใจ นอกจากน้ยี งั ทาการไถพรวนลาบากเพราะดนิ แห้งจะแข็งมากและดินเหนียวจัดเมื่อเปียก
ดนิ รว่ นจงึ นบั เปน็ ดนิ ทเี่ หมาะสมกบั การเจรญิ เตบิ โตของพืชมากกวา่ ดนิ เหนียวและดินทราย เน่ืองจาก
ไถพรวนง่าย อ้มุ นา้ ได้ปานกลาง มกี ารระบายนา้ ดี และมคี วามอุดมสมบรู ณ์

การผสมดินปลกู รหสั วชิ า ง 20266

5.1.4 โครงสรา้ งของดิน (soil structure)
โครงสร้างของดิน เป็นสมบัติของดินท่ีเกิดขึ้นจากการเกาะจับกันของอนุภาคท่ี

เป็นของแข็งในดิน (ส่วนท่ีเปน็ แรธ่ าตหุ รอื อนินทรียสารและอินทรยี วัตถุ) เกดิ เปน็ เมด็ ดินหรอื เป็นก้อน
ดินทีม่ ีขนาด รปู ร่าง และความคงทนแขง็ แรงในการยึดตัวต่างๆกัน โครงสร้างของดินมีผลต่อการซึม
ผ่านของน้าที่ผิวดนิ การอุ้มน้า ระบายน้า และการถ่ายเทอากาศในดิน รวมถึงการแพร่กระจายของ
รากพชื ด้วย โครงสร้างดินอาจเกิดจากแรงเกาะยึดกันระหว่างอนุภาคในดิน การที่ดินแห้งและเปียก
การแขง็ ตัวเมือ่ มอี ากาศหนาวจดั หรอื การละลายของหิมะ นอกจากน้ี รากพืช กิจกรรมของสัตว์ที่อาศัย
อยูใ่ นดนิ อินทรียวัตถุ และสารอ่ืนๆ ท่ีมีในดิน สามารถท่ีจะเป็นตัวเช่ือมให้เกิดโครงสร้างดินได้เช่นกัน
ดินทราย แมว้ ่าจะโปร่งและซุยก็จริง แต่เมด็ ทรายกระจายอยู่เปน็ เม็ดเด่ียวๆ (single grain) ไม่มกี ารเกาะ
กนั เป็นโครงสร้างแบบก้อนกลม จึงไม่มีสมบัติทางด้านการอุ้มน้าที่ดี เม่ือฝนตกดินอุ้มน้าได้น้อยจึงเกิด
สภาพแห้งแล้งได้ง่าย พืชที่ปลูกจะขาดน้าง่าย ส่วนดินเหนียว อนุภาคเกาะกันแน่นเป็นก้อนทึบ
(massive) อุ้มน้าได้มากเมื่อฝนตก แต่จะแน่นทึบไม่โปร่งซุยเหมือนดินทราย ไถพรวนยาก การถ่ายเท
และการระบายน้าไม่ดี เกดิ นา้ ท่วมขงั รากพชื ไมส่ ามารถเจริญเตบิ โตดดู นา้ และธาตุอาหารได้ ดงั นั้น ดนิ ทราย
และดนิ เหนยี ว เป็นดินท่ไี ม่มีโครงสร้าง โครงสร้างของดนิ มีได้หลายลักษณะ แบง่ ไดเ้ ป็น 5 ประเภท คือ

1) แบบกอ้ นกลม (granular)
มีรปู รา่ งคลา้ ยทรงกลม เมด็ ดินมขี นาดเล็กประมาณ 1-10 มลิ ลเิ มตร มกั พบใน

ดนิ ชั้น A มีรากพืชปนอยู่มาก เนอ้ื ดนิ มีความพรุนมาก ระบายนา้ และอากาศไดด้ ี แสดงดงั ภาพท่ี 1.9

ภาพท่ี 1.9 โครงสร้างของดินแบบก้อนกลม
ท่ีมา : สานกั สารวจดินและวางแผนการใช้ท่ีดนิ กรมพฒั นาทด่ี ิน (มปป.)

2) แบบกอ้ นเหลี่ยม (blocky)
มีรปู ร่างคลา้ ยกลอ่ ง เมด็ ดนิ มีขนาดประมาณ1-5 เซนติเมตร มักพบในช้ันดิน

B มกี ารกระจายของรากพืชปานกลาง น้าและอากาศซึมผา่ นได้ แสดงดังภาพท่ี 1.10

การผสมดนิ ปลูก รหสั วิชา ง 20266

ภาพที่ 1.10 โครงสรา้ งของดินแบบกอ้ นเหลย่ี ม
ทม่ี า : สานักสารวจดนิ และวางแผนการใชท้ ี่ดนิ กรมพฒั นาท่ดี ิน (มปป.)

3) แบบแผน่ (platy)
ก้อนดนิ แบนวางตวั ในแนวราบ และซ้อนเหลื่อมกันเป็นชั้น ขัดขวางการชอนไช

ของรากพืช น้าและอากาศซึมผ่านได้ยาก มกั เปน็ ดนิ ชน้ั A ที่ถูกบีบอัดจากการบดไถของเครื่องจักรกล
แสดงดงั ภาพที่ 1.11

ภาพท่ี 1.11 โครงสร้างของดินแบบแผน่
ท่ีมา : สานกั สารวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน กรมพฒั นาทดี่ นิ (มปป.)

4) แบบแท่งหวั เหลีย่ ม (prismatic)
มีผิวหนา้ แบนและเรียบ เป็นแทง่ หวั เหลยี่ มคลา้ ยปริซมึ สว่ นบนของปลายแทง่

มักมีรปู รา่ งแบน เม็ดดินมีขนาด 1-10 เซนติเมตร มักพบในดินช้ัน B น้าและอากาศซึมได้ปานกลาง
แสดงดังภาพท่ี 1.12

การผสมดินปลกู รหัสวชิ า ง 20266

ภาพที่ 1.12 โครงสร้างของดินแบบแทง่ หวั เหลยี่ ม
ท่ีมา : สานักสารวจดนิ และวางแผนการใช้ที่ดนิ กรมพฒั นาที่ดนิ (มปป.)

5) แบบแท่งหัวมน (columnar)
สว่ นบนของปลายแทง่ มลี กั ษณะกลมมน ปกคลมุ ดว้ ยเกลือ เมด็ ดนิ มีขนาด 1-10

เซนตเิ มตร มักพบในดนิ ชัน้ B และเกิดในเขตแห้งแล้ง มกี ารสะสมของโซเดียมสงู แสดงดงั ภาพท่ี 1.13

ภาพที่ 1.13 โครงสรา้ งของดินแบบแทง่ หัวมน
ท่ีมา : สานักสารวจดนิ และวางแผนการใช้ที่ดิน กรมพัฒนาท่ดี ิน (มปป.)
โครงสร้างดิน เป็นสมบัติท่ีเปล่ียนแปลงสภาพได้ง่าย ในดินท่ีมีการใช้ปลูกพืชมานาน
โครงสร้างดินย่อมเสื่อมลง เน่ืองมาจากปริมาณอินทรียวัตถุในดินท่ีลดลง หรือเกิดความแน่นทึบ
เน่ืองจากการไถพรวนบ่อยๆ ด้วยเคร่ืองจักรขนาดใหญ่ รวมท้ังการเสียดสีกับเคร่ืองมือเกษตรกรรม
และการปะทะของเม็ดฝนที่ตกลงมาด้วย
5.2 สมบัตทิ างเคมี
เปน็ ลกั ษณะภายในของดนิ ท่ีเราไม่สามารถจะมองเห็นหรือสัมผสั ได้โดยตรง ได้แก่
5.2.1 ความเปน็ กรดเปน็ ดา่ งของดิน

ความเปน็ กรดเปน็ ด่างของดนิ หรือที่เรียกกันว่า “พีเอช” (pH) เป็นค่าปฏิกิริยา
ดิน วดั ได้จากความเขม้ ข้นของปรมิ าณไฮโดรเจนไอออน (H+) ในดิน โดยทั่วไปคา่ พเี อชของดิน จะบอก
เป็นค่าตัวเลขตง้ั แต่ 1 ถึง 14 ถ้าดนิ มคี า่ พเี อชนอ้ ยกว่า 7 แสดงว่าดินน้ันเป็นดินกรด ยิ่งมีค่าน้อยกว่า

การผสมดนิ ปลูก รหสั วิชา ง 20266

7 มาก กจ็ ะเป็นกรดมาก แตถ่ ้าดนิ มีพเี อชมากกว่า 7 จะเป็นดินด่าง ส่วนดินท่ีมีพีเอชเท่ากับ 7 พอดี
แสดงวา่ ดนิ เป็นกลาง แต่โดยปกตแิ ล้วพีเอชของดินทวั่ ไปจะมคี า่ อยใู่ ช่วง 5 ถงึ 8

ภาพที่ 1.14 การวัดค่าพีเอชของดิน
ทม่ี า : Burke (2012)

พีเอชของดนิ มคี วามสาคญั ตอ่ การปลูกพืชมาก.เพราะเป็นตัวควบคุมการละลาย
ธาตอุ าหารในดินออกมาอยู่ในสารละลายหรือน้าในดิน ถ้าดินมีพีเอชไม่เหมาะสม ธาตุอาหารในดิน
อาจจะละลายออกมาไดน้ อ้ ย ไมเ่ พยี งพอตอ่ ความต้องการของพืช หรือในทางตรงกันข้ามธาตุอาหาร
บางชนดิ อาจจะละลายออกมามากเกนิ ไปจนเปน็ พิษต่อพืชได้ พืชแต่ละชนิดชอบท่ีจะเจริญเติบโตใน
ดินท่ีมีช่วงพีเอชต่างๆ กัน ในภาคสนามสามารถใช้ชุดตรวจสอบชนิดใช้น้ายาเปลี่ยนสีตรวจสอบ
เรียกว่า pH Test Kit หรือชุดตรวจสอบพีเอชความเป็นกรด-ด่างของดิน (ดังภาพท่ี 1.14) มีผลทั้ง
โดยตรง และโดยอ้อมต่อการเจริญเติบโตของพืชที่ปลูกอยู่ในดิน ความเป็นกรดของดินจะมีสภาพ
เหมือนกับกรดอย่างอ่อน เช่น กรดน้าสม้ สายชู ตัวท่แี สดงความเป็นกรดคอื ไฮโดรเจนไอออน (H+) ซ่ึง
มีอิทธิพลอย่างมากในการทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงที่สาคัญทางเคมีของดิน กล่าวคือ ทาให้มีการ
ละลายตวั ของธาตุหรือสารตา่ งๆ ในดนิ ออกมา บา้ งกเ็ ป็นประโยชน์ บ้างก็อาจเป็นพิษต่อพืช เช่น ถ้า
ดนิ เปน็ กรดรุนแรง จะทาให้มธี าตพุ วกอะลมู ิเนียม แมงกานีส และเหลก็ ละลายออกมาอยู่ในน้า ในดนิ
มากเกนิ ไป จนเกิดเปน็ พษิ ขึ้นแก่พืชท่ีปลูกได้ แมงกานีสและเหล็ก แม้จะเป็นธาตุอาหารพืชที่สาคัญ
แตพ่ ชื ต้องการในปรมิ าณนอ้ ย ถ้ามสี ะสมอยู่ในดินมากจนเกินไป ก็จะเกิดเป็นพิษข้ึนกับพืชได้ ดินที่มี
คา่ พเี อชตา่ กว่า 4.5 ลงไปเรามกั พบปัญหาดังกล่าวข้างต้น ความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหารต่างๆ
ในดินทพี่ ืชจะดงึ ดดู เอาไปใชไ้ ดง้ า่ ยและมากน้อยแคไ่ หน ขึ้นอยู่กับสภาพหรือระดับพีเอชของดิน เป็น

การผสมดนิ ปลกู รหสั วชิ า ง 20266

อย่างมาก ธาตอุ าหารพืชท่มี ีอยู่ในดินจะคงสภาพทเ่ี ป็นประโยชน์ต่อพืชได้ง่าย และมีปริมาณมากท่ีพี
เอชช่วงหนึง่ ถา้ ดินมีพีเอชสงู หรือต่ากว่าชว่ งนั้นๆ กเ็ ปลย่ี นสภาพเป็นรูปที่ยากที่พืชจะดึงดูดเอาไปใช้
เปน็ ประโยชน์ได้ เช่น ธาตุฟอสฟอรัส จะอยู่ในรูปของสารละลายท่ีพืชดึงดูดไปใช้ได้ง่าย เมื่อดินมีพี
เอชอยู่ระหว่าง 6.0-7.0 ถา้ ดนิ มีพีเอชสูง หรือต่ากวา่ ชว่ งนี้ ความเปน็ ประโยชนข์ องธาตุ ฟอสฟอรัสใน
ดินก็ลดน้อยลง เพราะไปทาปฏิกิริยากับแร่ธาตุต่างๆ ในดินได้ง่ายขึ้น และแปร สภาพเป็น
สารประกอบทล่ี ะลายนา้ ยาก ปยุ๋ ฟอสเฟต ท่ีเราใส่ลงไปในดินจะเป็นประโยชน์ต่อพืชที่ปลูก ได้มาก
ท่สี ดุ ก็เมื่อดินมีพีเอชอยู่ในช่วงดงั กลา่ ว ปยุ๋ ฟอสเฟตท่ใี ส่ลงไปในดนิ จะไม่เปน็ ประโยชน์ต่อ พืชทั้งหมด
แต่จะสูญเสยี ไปโดยทาปฏิกิริยากับแร่ธาตุต่างๆ ในดิน แปรสภาพเป็นสารประกอบที่ละลายน้ายาก
เสยี กวา่ รอ้ ยละ 80 ซ่งึ เราเรยี กว่า ฟอสเฟตถูกตรึง ปุ๋ยฟอสเฟตจะถกู ตรึงได้ง่ายและมากขน้ึ ไปกว่าน้ีได้
อีก ถ้าดนิ มีพีเอชสงู หรือต่ากว่าช่วงพีเอชดงั กลา่ วข้างต้นธาตอุ าหารพชื พวกจุลธาตุ (micronutrients)
เชน่ สังกะสี เหลก็ แมงกานีส โบรอน เปน็ ต้น จะละลายออกมาอยู่ในสภาพที่เป็นประโยชน์ต่อพืชได้
ง่าย และมอี ยูใ่ นดนิ อย่างพอเพยี งกบั ความตอ้ งการของพืช เมื่อดินมีพีเอชเป็นกรดอย่างอ่อน ถึงกรด
ปานกลางมากกวา่ เม่ือดินมีพีเอชเปน็ กลาง หรือเป็นด่าง แต่ในทางตรงกันข้ามธาตุอาหารโมลิบดินัม
จะเป็นประโยชนต์ ่อพชื ได้ดขี ้ึน ถ้าดินมีพีเอชเป็นกลางถึงด่างอย่างอ่อน อย่างไรก็ตามเมื่อสรุปความ
เสยี เปรียบ และได้เปรยี บ ระหวา่ งความเปน็ กรด และเป็นดา่ งของดินแลว้ ดนิ ทีเ่ หมาะสาหรับปลกู พืช
ควรจะมีพีเอชอยู่ในช่วงเป็นกรดอย่างอ่อน ถึงเป็นกรดปานกลางความสาคัญของพีเอชองดินยัง
เก่ียวขอ้ งอย่กู ับการทางานที่เป็นประโยชน์ของจุลินทรีย์ต่างๆ ในดินด้วย ปกติสารประกอบอินทรีย์
ตา่ งๆ ในดินจะเน่าเป่อื ยผพุ งั ไดก้ ็โดยทมี่ ีจุลินทรีย์ตา่ งๆ เข้ายอ่ ยทาลาย ขณะทส่ี ารอนิ ทรีย์พวกนี้กาลัง
สลายตัว ก็จะปลดปล่อยธาตอุ าหารต่างๆ ออกมา ซ่ึงรากพืชสามารถดึงดูดไปใช้ได้ พวกปุ๋ยคอก ปุ๋ย
หมกั เมอื่ ใส่ลงไปในดนิ แลว้ ทาให้พชื งอกงามดีขึ้นนั้น ก็เน่ืองจากจุลินทรีย์พวกนี้เข้าย่อย และทาให้
ปยุ๋ คอกสลายตวั และปลดปลอ่ ยธาตอุ าหาร ออกมาเป็นประโยชนต์ อ่ พชื อกี ทีหนง่ึ การท่ปี ยุ๋ คอกมีผล
ต่อการเจริญเติบโตของพืชได้ช้ากว่าปุ๋ยเคมี ก็เนื่องด้วยเหตุที่ปุ๋ยคอกต้องรอให้จุลินทรีย์เข้า ย่อยให้
สลายตัวเสียก่อน ซึ่งผิดกับปุ๋ยเคมี เม่ือละลายน้าแล้ว พืชก็สามารถดึงดูดเอาธาตุอาหารจากปุ๋ยไป
ใช้ไดท้ นั ที จลุ นิ ทรยี ต์ า่ งๆ ที่เขา้ ย่อยสลายปุ๋ยคอก และสารอนิ ทรีย์ต่างๆ ตลอดจนฮิวมัสในดินนั้น จะ
ทางานไดเ้ ต็มท่ี และมีประสทิ ธภิ าพ เมอ่ื พีเอชของดินอยู่ระหว่างพีเอช 6-7 ถ้าดินเป็นกรดรุนแรง ถึง
กรดรนุ แรงมาก จลุ ินทรีย์ในดนิ จะทางานไดช้ า้ ลง ปยุ๋ คอก และสารอนิ ทรยี ใ์ นดินจะสลายตัว และเป็น
ประโยชน์ต่อพืชได้ช้ามากเมื่อดินเป็นกรดรุนแรง และกรดรุนแรงมากนั้น มักจะพบว่า พืชท่ีปลูกไม่
เจรญิ เตบิ โต และงอกงามเท่าท่คี วร เราสามารถแก้ไขดินทเ่ี ป็นกรดมากจนเกนิ ไปนี้ (พีเอชตา่ กว่า 5.0)
ใหม้ ีระดับพีเอชสูงข้ึนได้ โดยการใสส่ ารประกอบพวกปูนขาว (Ca(OH2)) หินปูนที่บดละเอียดเป็นฝุ่น
(CaCO3) และปนู มาร์ล (marl) ซ่ึงเปน็ สารประเภทเดียวกันกบั หินปูน สารประกอบพวกนี้ เมอ่ื ใสล่ งไป

การผสมดินปลูก รหสั วิชา ง 20266

ในดนิ จะมีฤทธ์เิ ปน็ ดา่ ง และจะเข้าไปทาปฏกิ ริ ิยากับกรด ทาให้สารพวกกรดในดินลดน้อยลง และมี
สารพวกดา่ งสูงขนึ้

5.2.2 ความสามารถในการดูดซับธาตุอาหารพืชและแลกเปล่ียนประจุ
ดินประกอบดว้ ยของแขง็ ทีม่ ขี นาดอนุภาคตา่ งๆ กนั ตัง้ แต่อนุภาคขนาดทราย ซึ่ง

มเี สน้ ผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 มิลลเิ มตร จนถึงขนาดดินเหนียว ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 0.002
มลิ ลิเมตร จากการศึกษาพบวา่ อนภุ าคท่ีมมี ากที่สุดในกลุ่มอนุภาคขนาดดินเหนียวนี้ก็คือ แร่ดินเหนียว
(clay minerals) ซ่งึ ถอื กันวา่ เปน็ ส่วนสาคญั ทีเ่ ก่ียวข้องกับการเกิดปฏกิ ริ ยิ าทางเคมตี ่างๆ ในดนิ

ภาพที่ 1.15 แรใ่ นกลุ่มเคโอลิน
ทม่ี า : สานักสารวจดินและวางแผนการใชท้ ่ีดิน กรมพฒั นาทีด่ นิ (มปป.)

แร่ดินเหนียว จัดเป็นแร่ที่มีขนาดเล็กมากมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น มีโครงสร้าง
พน้ื ฐานเปน็ ช้ันทมี่ รี ูปร่างแบนบางเหมือนแผน่ กระดาษ และมีการเช่ือมโยงระหว่างกันในลักษณะของ
การเรยี งซ้อนทับกันเป็นช้ันๆ จนเกิดเป็นผลึกท่ีมีรูปทรงต่างๆ กัน เช่น เป็นแผ่นบาง เป็นเส้น เป็น
หลอดหรือเป็นท่อ แร่ดินเหนียวมีหลายกลุ่ม เช่น กลุ่มเคโอลิน (แสดงดังภาพท่ี 1.15) เสมกไทต์
อลิ ไลต์ คลอไรต์ และอ่ืนๆ นักวิทยาศาสตร์สามารถแยกชนิดของแร่ดินเหนียวได้โดยการศึกษาด้วย
กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน การทดสอบการเล้ียวเบนของรังสีเอ็กซ์ หรือใช้การวิเคราะห์ทางเคมี
บางอย่าง เนื่องจากท่ีพื้นผิวของแรด่ ินเหนียวน้ีมีประจุไฟฟ้าลบ จึงทาให้เกิดปฏิกิริยาการดูดยึดและ
และเปลี่ยนธาตุอาหารต่างๆ ท่ีละลายอยู่ในดินซึ่งมีประจุไฟฟ้าเป็นบวกได้ เช่น ประจุบวกจาก
แคลเซียม ฟอสฟอรัส และโพแทสเซยี ม เปน็ ตน้ แสดงดังภาพท่ี 1.16

การผสมดินปลกู รหัสวชิ า ง 20266

ประจลุ บจากดินเหนียว ประจุบวกจากแร่ธาตุตา่ งๆ

ภาพที่ 1.16
ทมี่ า : ดดั แปลงจาก Ophardt (2003)

ดังน้ันถ้าในดินมีแร่ดินเหนียวมากก็จะมีประจุลบมาก จึงสามารถดูดยึดธาตุ
อาหารทม่ี ีประจบุ วกไดไ้ ด้มากด้วย แร่ดนิ เหนียวจงึ เป็นส่วนสาคัญในการควบคุมความเป็นประโยชน์
ของธาตุอาหารพืช ความรุนแรงของสภาพความเป็นกรด นอกจากน้ียังมีส่วนควบคุมหรือต้านทาน
การเปลี่ยนแปลงของดินต่อสภาพแวดล้อมอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการดูดซับและ
แลกเปลยี่ นประจบุ วกในดนิ ยงั ขึ้นอยู่กบั ชนิดของแร่ดินเหนียวอีกด้วย โดยท่ีแร่ในกลุ่มเคโอลิน จะมี
ความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจนุ ้อยกวา่ แร่ดินเหนยี วในกลุม่ สเม็กไทต์ และอลิ ไลต์ เปน็ ตน้

5.3 สมบตั ิทางชีวภาพ
ดินเปน็ วตั ถุท่ีสาคัญ และจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และ

จลุ ินทรีย์ ในทางกลบั กนั พชื สัตว์ และจลุ ินทรีย์ จะช่วยใหห้ นิ แรผ่ ุพัง รวมทั้งช่วยเพ่ิมอินทรียวัตถุลง
ในดนิ ทาใหด้ นิ มีความอดุ มสมบูรณ์ยิง่ ขนึ้

5.4 สมบตั ิดา้ นธาตุอาหารพืช
ในจานวนธาตอุ าหารท่พี ืชจาเป็นต้องใช้เพื่อการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซึ่งมีอยู่

16 ธาตนุ ั้น มี 3 ธาตุ ท่ีพืชได้มาจากอากาศและน้า คือ คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน
(O) สว่ นอีก 13 ธาตุนัน้ พืชต้องดดู ดึงขึน้ มาจากดนิ ซ่งึ ธาตเุ หลา่ นีไ้ ดม้ าจากการผพุ งสลายตัวของส่วน
ทเี่ ปน็ อนินทรียวตั ถแุ ละอนิ ทรยี วัตถุหรือฮวิ มสั ในดิน สามารถแบง่ ตามปริมาณท่ีพืชต้องการใช้ได้ เป็น
2 กลมุ่ คอื มหธาตุ และจลุ ธาตุ แสดงดังภาพที่ 1.17

การผสมดินปลูก รหัสวิชา ง 20266

ภาพท่ี 1.17 แรธ่ าตใุ นดินท่พี ชื ตอ้ งการ
ท่ีมา : สานักสารวจดนิ และวางแผนการใชท้ ดี่ นิ กรมพฒั นาที่ดนิ (มปป.)

5.4.1 มหธาตุ (macronutrients)
มหธาตุหรอื ธาตุอาหารที่พชื ต้องการใช้ในปริมาณมาก ทไ่ี ด้มาจากดินมีอยู่ 6 ธาตุ

ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรสั (P) โพแทสเซยี ม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนีเซยี ม (Mg) และกามะถนั
(S) แบง่ ได้เป็น 2 กลุ่ม ดงั นี้

1) ธาตุอาหารหลัก หรือ ธาตุปุ๋ย ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P)
โพแทสเซียม (K) เน่ืองจากสามธาตุน้ีพืชต้องการใช้ในปริมาณมาก แต่มักจะได้รับจากดินไม่ค่อย
เพยี งพอกบั ความต้องการ ตอ้ งชว่ ยเหลือโดยใส่ปุย๋ อยเู่ สมอ

2) ธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกามะถัน (S)
เป็นกลุ่มทีพ่ ชื ต้องการใชใ้ นปริมาณทีน่ ้อยกวา่ และไม่ค่อยมีปญั หาขาดแคลนในดนิ ท่ัวๆ ไปเหมอื นสาม
ธาตุแรก

5.4.2 จุลธาตุ หรอื ธาตอุ าหารเสรมิ (micronutrients)
ธาตอุ าหารพืชแตล่ ะชนิดมีความสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกันไป

และถ้าพืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็จะแสดงอาการท่ีแตกต่างกันตามแต่ชนิด
ของธาตอุ าหารที่ขาดแคลนน้ัน

6. คุณสมบตั ขิ องดินที่เหมาะสาหรบั การเพาะปลูก
พืชจะเจริญงอกงามได้ดีแค่ไหน ย่อมขึ้นอยู่กับดินท่ีปลูกพืชน้ันเป็นประการสาคัญ แต่

เนือ่ งจากดินแตล่ ะแหง่ แตล่ ะท้องถน่ิ ทีม่ สี ว่ นประกอบของเนื้อดินไม่เหมือนกันจึงทาให้ดินจากแต่ละ

การผสมดนิ ปลกู รหัสวชิ า ง 20266

แหง่ แต่ละท้องท่ีมีคุณสมบัติในการปลูกต่างกัน เราจึงจาเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติของดิน เพื่อจะได้
วิเคราะห์ตรวจสอบดินอยา่ งครา่ วๆ และปรบั ปรุงดนิ ให้เหมาะต่อการปลูกพืช คุณสมบัติของดินที่เรา
มองเห็นได้หรือสมั ผสั ได้ เชน่ ความหยาบ ความละเอียด สี เป็นต้น นอกจากน้ีในการปลูกพืชอินทรีวัตถุ
จะช่วยทาให้คณุ สมบตั ิของดินดขี น้ึ คนไทยโบราณเรยี กอินทรวี ัตถุในดินวา่ ยางดนิ ส่วนใหญเ่ รารู้จักใน
ลกั ษณะของปุ๋ยหมกั อันทจ่ี ริงแล้วสารที่ไดจ้ ากสิง่ มีชีวิตเราเรียกเป็น อินทรีวัตถุทั้งนั้นเม่ือใส่ลงในดิน
มันจะละลายตัวโดยจลุ ินทรยี ใ์ นดิน ถา้ เราใสอ่ นิ ทรยี วตั ถุลงในดนิ ทรายหรอื ดินร่วนมันจะช่วยทาใหเ้ นอ้ื
ดนิ เกาะกนั ดขี น้ึ อุ้มนา้ ได้ดีขน้ึ กวา่ เดมิ

ดนิ ท่ีเหมาะสาหรับการเพาะปลูก เรยี กว่า “ดนิ ด”ี หมายถงึ ดนิ ที่มแี ร่ธาตุปยุ๋ พอเพียงแก่การ
ปลูกพืชมีเน้ือดินร่วนซุยพอสมควรให้รากพืชเจริญเติบโตได้ดีซึ้งส่วนใหญ่แล้วเกิดจากการมี
อินทรียวัตถุอยใู่ นดินซ้งึ ควรจะมีถึงร้อยละ 5 ดนิ มีความอุดมสมบูรณ์ หมายถึง ปริมาณและชนิดของ
ธาตุอาหารพชื ทจ่ี าเปน็ ท่มี อี ยใู่ นดิน มมี ากน้อย และเปน็ สดั สว่ นกันอย่างไร มากพอ หรือขาดแคลนสกั
เทา่ ใด พชื สามารถดงึ ดดู ไปใช้เป็นประโยชน์ไดย้ ากหรือง่าย ประเมินความเหมาะสมของคณุ สมบัติด้าน
น้ีของดิน เราสามารถตรวจสอบได้โดยวิธีการต่างๆ การที่เราปลูกพืชในดิน ก็เน่ืองจากดินเป็น
แหล่งที่มาของธาตุอาหารพืชท่ีสาคัญถึง 13 ธาตุ ด้วยกัน นักวิชาการกล่าวว่า ธาตุอาหารที่จาเป็น
สาหรับการเจริญเติบโตของพืชอย่างน้อยที่สุดมีอยู่ 16 ธาตุด้วยกัน เพียง 3 ธาตุเท่าน้ันคือ
คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน และออกซิเจนท่ีพืชได้ มาจากน้าและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน
อากาศ สว่ นธาตทุ ่เี หลือพชื จะไดม้ าจากดิน ดินที่อุดมสมบูรณ์ควรมีคุณสมบัติ ดังนี้

1) ดนิ ตอ้ งมีแร่ธาตจุ าเป็นตอ่ การเจริญเตบิ โตของพชื
2) ดนิ ควรมีสภาวะเปน็ กรดเปน็ ดา่ งดว้ ยคา่ พเี อชมากกวา่ 7 เลก็ น้อย
3) ดินต้องไม่แข็งแน่น เนื้อดนิ ร่วนซุย โปร่ง เหมาะแก่การระบายน้า การถ่ายเทอากาศและ
แสงแดดสอ่ งผ่านได้ แตไ่ ม่รว่ นซุยมากเกนิ ไป
4) ส่วนมากจะมีสีคลา้ เพราะมีพวกอินทรยี วตั ถุปนอย่มู าก
5) จะมพี วกจลุ ินทรยี ์ที่เปน็ ประโยชนต์ อ่ พืชอยจู่ านวนมากและยังเป็นตวั ชว่ ยทาให้เกดิ การเนา่
เปือ่ ยของพวกอินทรียวตั ถใุ หเ้ ปน็ อาหารของพชื ได้เร็วขึ้น
5) มีอนิ ทรียวตั ถเุ พยี งพอสาหรบั พชื
6) มกี ารปลูกพืชตระกลู ถั่วบารุงดนิ
ในทางตรงกันขา้ มดนิ เลว มีลักษณะดงั นี้
1) ทาให้พชื นั้นงอกไมด่ ีอตั ราการเจริญเตบิ โตช้าพชื แคระแกรน
2) ลกั ษณะของเน้ือดินเกาะกันแน่นยากแกก่ ารเขตกรรม
3) มกั จะมมี ีค่อนขา้ งจางเพราะมพี วกอินทรยี วัตถอุ ยู่น้อยหรอื แทบไม่มอี ยู่เลย
4) การถ่ายเทอากาศไมส่ ะดวก

การผสมดนิ ปลกู รหัสวิชา ง 20266

5) มีจุลินทรียอ์ ยู่น้อยมากทีอ่ ยบู่ ้างส่วนมากจะไมเ่ น้นประโยชนต์ ่อพืช
พืชส่วนใหญ่มักจะเจริญเติบโตได้ดีในดินที่มีความร่วนซุย มีปริมาณน้า อากาศ และธาตุ
อาหารทเี่ ป็นประโยชน์ต่อพชื อยา่ งเพียงพอ ดังนั้นดินที่เหมาะสาหรับการปลูกพืชโดยทั่วไปจึงควรมี
สัดส่วนขององคป์ ระกอบที่เปน็ ของแข็ง หรอื อนินทรีย์วตั ถซุ ่ึงไดม้ าจากการสลายตัวของหินและแร่ อัน
เป็นแหลง่ ท่มี าของธาตุอาหารพชื และอินทรียวัตถุท่ีได้มาจากการสลายตัวของเศษซากส่ิงมีชีวิต อยู่
รวมกนั ประมาณคร่งึ หน่ึงของปริมาตรทง้ั หมด สาหรบั ส่วนทเ่ี หลอื อกี คร่งึ หน่ึงน้ันควรจะเป็นท่ีอยู่ของ
น้าและอากาศ ซ่ึงจะแทรกอยู่ตามชอ่ งวา่ งเล็กๆ ในดิน โดยช่องว่างเหล่าน้ีเกิดขึ้นมาจากการเรียงตัว
เกาะยึดกันของอนุภาคขนาดต่างๆ ในดิน ดังน้ันจะเห็นได้ว่าปริมาณน้าและอากาศในดินจะมีอยู่
ไดม้ ากน้อยเพียงใด กข็ ึน้ อย่กู ับปรมิ าณของชอ่ งว่างที่มอี ย่ใู นดินน้ันน่ันเอง อย่างไรก็ตามในสภาพของ
ดนิ ท่ีเหมาะสมตอ่ การเจรญิ เติบโตของพชื น้นั จาเป็นต้องมีน้าและอากาศในดินในปริมาณที่สมดุลกัน
เพราะถา้ ชอ่ งว่างในดินมีอากาศอยู่มากก็จะมีท่ีให้น้าเข้ามาแทรกอยู่ได้น้อย พืชที่ปลูกก็จะเหี่ยวเฉา
เพราะขาดน้า แตถ่ า้ ในช่องวา่ งมนี ้ามากเกินไป รากพืชก็จะขาดอากาศหายใจ ทาให้การเจริญเติบโต
หยุดชะงักได้.ดนิ ทม่ี คี วามเหมาะสมตอ่ การเพาะปลกู น้นั ในดินท้ังหมด 100 ส่วน ควรจะมีส่วนที่เป็น
ของแข็ง 50 สว่ น แบง่ เป็น อนินทรียวตั ถปุ ระมาณ 45 สว่ น อนิ ทรยี วัตถุ 5 สว่ น และส่วนของช่องว่าง
50 ส่วน ซ่ึงประกอบด้วยน้า 25 ส่วน และอากาศอีก 25 ส่วน หรือ มีสัดส่วนของ อนินทรียวัตถุ :
อินทรยี วตั ถุ : นา้ : อากาศ เทา่ กับ 45 : 5 : 25 : 25 (ทพิ วรรณ สิทธริ ังสรรค์, 2551) แสดงดังภาพท่ี
1.18

อนินทรยี วัตถุ 45%
อนิ ทรยี วตั ถุ 5%
น้า 25%
อากาศ 25%

ภาพที่ 1.18 สัดสว่ นขององค์ประกอบในดนิ ทีม่ คี วามเหมาะสมตอ่ การเพาะปลูก
ที่มา : โดยผู้เรียบเรยี ง

นอกจากนดี้ ินควรมีธาตอุ าหารพชื ทส่ี าคญั 13 ธาตุ (สานักสารวจดินและวางแผนการใช้ที่ดิน
กรมพฒั นาท่ีดิน, มปป.) ดงั น้ี

การผสมดินปลกู รหัสวชิ า ง 20266

ไนโตรเจน มีหนา้ ท่ีเป็นสว่ นประกอบของโปรตนี ช่วยใหพ้ ืชมีสเี ขียว เร่งการเจรญิ เตบิ โตทาง
ใบ หากพืชขาดธาตนุ ีจ้ ะแสดงอาการใบเหลือง ใบมีขนาดเลก็ ลง ลาตน้ แคระแกรน็ และให้ผลผลิตต่า

ฟอสฟอรสั มีหน้าท่ชี ว่ ยเร่งการเจริญเติบโตและการแพร่กระจายของราก ควบคุมการออก
ดอก ออกผล และการสรา้ งเมล็ด ถ้าพืชขาดธาตนุ ีร้ ะบบรากจะไม่เจริญเติบโต ใบแก่จะเปล่ียนจากสี
เขียวเปน็ สีมว่ งแล้วกลายเปน็ สีนา้ ตาลและหลุดร่วง ลาตน้ แกรน็ ไมผ่ ลดิ อกออกผล

โพแทสเซียม เป็นธาตุท่ีช่วยในการสังเคราะห์น้าตาล แป้ง และโปรตีน ส่งเสริมการ
เคล่อื นยา้ ยนา้ ตาลจากใบไปสู่ผล ชว่ ยใหผ้ ลเติบโตเร็วและมีคณุ ภาพดี ชว่ ยให้พชื แข็งแรง ต้านทานต่อ
โรคและแมลงบางชนิด ถ้าขาดธาตนุ ้ีพชื จะไมแ่ ข็งแรง ลาตน้ อ่อนแอ ผลผลิตไม่เติบโต มีคุณภาพต่า สี
ไม่สวย รสชาตไิ ม่ดี

แคลเซยี ม เป็นองค์ประกอบทีช่ ่วยในการแบง่ เซลล์ การผสมเกสร การงอกของเมล็ด พชื ขาด
ธาตนุ ้ใี บท่ีเจริญใหมจ่ ะหงกิ งอ ตายอดไมเ่ จริญ อาจมีจุดดาที่เสน้ ใบ รากสน้ั ผลแตก และมีคุณภาพไมด่ ี

แมกนีเซียม เป็นองค์ประกอบสาคัญของคลอโรฟิลล์ ช่วยสังเคราะห์กรดอะมิโน วิตามิน
ไขมนั และน้าตาล ทาให้สภาพกรดดา่ งในเซลลพ์ อเหมาะและช่วยในการงอกของเมล็ด ถ้าขาดธาตุนี้
ใบแกจ่ ะเหลือง ยกเวน้ เสน้ ใบ และใบจะรว่ งหล่นเรว็

กามะถัน เปน็ องคป์ ระกอบสาคญั ของกรดอะมโิ น โปรตนี และวติ ามนิ ถา้ ขาดธาตุนี้ท้ังใบบน
และใบล่างจะมีสีเหลืองซีด และต้นออ่ นแอ

โบรอน ช่วยในการออกดอกและการผสมเกสร มีบทบาทสาคัญในการติดผลและการ
เคล่ือนย้ายน้าตาลมาสูผ่ ล การเคลอ่ื นย้ายของฮอร์โมน การใช้ประโยชน์จากไนโตรเจนและการแบ่ง
เซลล์ ถ้าพชื ขาดธาตุนี้ ตายอดจะตายแล้วเริ่มมีตาข้าง แต่ตาข้างก็จะตายอีก ลาต้นไม่ค่อยยืดตัว กิ่ง
และใบจึงชิดกนั ใบเล็ก หนา โค้งและเปราะ

ทองแดง ช่วยในการสงั เคราะห์คลอโรฟิลล์ การหายใจ การใช้โปรตีนและแป้ง กระตุ้นการ
ทางานของเอนไซม์บางชนิด ถา้ พชื ขาดธาตนุ ้ี ตายอดจะชะงักการเจริญเติบโตและกลายเป็นสีดา ใบ
อ่อนเหลอื ง และพชื ทง้ั ตน้ จะชะงกั การเจรญิ เตบิ โต

คลอรีน มีบทบาทบางประการเกี่ยวกับฮอร์โมนในพืช ถ้าขาดธาตุน้ีพืชจะเหี่ยวง่าย ใบสีซีด
และบางสว่ นแห้งตาย

เหล็ก ช่วยในการสงั เคราะห์คลอโรฟิลล์ มีบทบาทสาคัญในการสงั เคราะหแ์ สงและหายใจ ถา้
ขาดธาตนุ ้ใี บออ่ นจะมีสีขาวซดี ในขณะทีใ่ บแก่ยงั เขยี วสด

แมงกานีส ช่วยในการสังเคราะห์แสงและการทางานของเอนไซม์บางชนิด ถ้าขาดธาตุนี้ใบ
ออ่ นจะมีสีเหลอื งในขณะทเ่ี ส้นใบยงั เขยี ว ตอ่ มาใบทมี่ ีอาการดงั กล่าวจะเห่ียวแลว้ ร่วงหลน่

การผสมดนิ ปลูก รหสั วชิ า ง 20266

โมลบิ ดนิ ัม ชว่ ยให้พืชใช้ไนโตรเจนให้เป็นประโยชน์และเกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีน
ถ้าขาดธาตนุ ้พี ืชจะมีอาการคล้ายขาดไนโตรเจน ใบมีลักษณะโค้งคล้ายถ้วย ปรากฏจุดเหลืองๆ ตาม
แผน่ ใบ

สังกะสี ช่วยในการสังเคราะห์ฮอร์โมนออกซนิ คลอโรฟิลล์ และแปง้ ถ้าขาดธาตนุ ีใ้ บออ่ นจะมี
สเี หลืองซีดและปรากฏสีขาวๆ ประปรายตามแผน่ ใบ โดยเส้นใบยงั เขยี ว รากส้ันไม่เจรญิ ตามปกติ

เม่ือมีการปลูกพชื ลงบนดนิ ย่อมมีการเปลย่ี นแปลงปรมิ าณของธาตอุ าหารตา่ งๆ ทมี่ ีอยู่ในดิน
เนื่องจากในขณะท่ีพืชมีการเจริญเติบโต พืชจะดูดดึงธาตุอาหารในดินไปใช้และเก็บสะสมไว้ในส่วน
ต่างๆ ได้แก่ ใบ ลาต้น ดอก ผล จนถึงเวลาเก็บเกี่ยวผลผลิตและนาออกไปจากพ้ืนที่ ธาตุอาหารที่
สะสมอยูเ่ หล่านน้ั ยอ่ มถกู นาออกไปจากพื้นทด่ี ้วย นอกจากน้ธี าตุอาหารบางสว่ นยังเกดิ การสูญหายไป
ในรูปกา๊ ซ ถกู ดินหรือสารประกอบในดินจับยึดไว้ บางส่วนถูกชะล้างออกไปจากบริเวณรากพืช หรือ
สูญเสยี ไปกบั การชะลา้ งพังทลายของดนิ ดังน้ันการเพาะปลูกพืชติดตอ่ กันเป็นระยะเวลายาวนาน โดย
ไม่มีการเติมธาตุอาหารลงไปในดิน ย่อมทาให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินลดลง และในท่ีสุดดินจะ
กลายเปน็ ดนิ เลวปลูกพชื ไมเ่ จริญเติบโตอกี ตอ่ ไป ในการปลูกพืชจึงต้องมีการใส่ปุ๋ยเพื่อบารุงดิน ช่วย
เพิม่ ธาตุอาหารพชื และคงระดับความอดุ มสมบูรณข์ องดนิ ไวอ้ ยเู่ สมอ

สรุป

ดิน คอื วตั ถุตามธรรมชาตทิ ่ีมาจากผลของการผุพงั สลายตัวของหนิ และแร่ ตา่ งๆ ผสมรวมกับ
อนิ ทรยี วัตถทุ ี่ไดม้ าจากการสลายตัวของเศษซากพืชและสัตว์ เป็นท่ียึดเหน่ียวรากพืชและเป็นแหล่ง
สารอาหาร น้า และอากาศสาหรบั การเจรญิ เติบโตของพืช สมบตั ขิ องดินที่เกีย่ วขอ้ งกบั การเพาะปลูก
ได้แก่ สมบตั ิทางกายภาพ สมบตั ทิ างเคมี สมบตั ทิ างชวี ภาพ และสมบัติด้านธาตุอาหารพืช โดยควรมี
สดั ส่วนของ อนนิ ทรยี วัตถุ : อนิ ทรียวัตถุ : น้า : อากาศ เท่ากับ 45 : 5 : 25 : 25 ทั้งน้ีคุณสมบัติของ
ดนิ ทีด่ ี เหมาะสมต่อการปลกู พืชควรมีแรธ่ าตุจาเป็นตอ่ การเจรญิ เติบโตของพืช มีสภาวะเป็นกรดเป็น
ด่างด้วยค่าพีเอชอยู่ในช่วง 6-7 เน้ือดินต้องไม่แข็งแน่น ร่วนซุย โปร่ง เหมาะแก่การระบายน้า
การถา่ ยเทอากาศและแสงแดดส่องผ่านได้ แต่ไม่ร่วนซุยมากเกินไป ส่วนมากจะมีสีคล้าเพราะมีพวก
อนิ ทรยี วตั ถุปนอยมู่ าก และมพี วกจลุ นิ ทรีย์ทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อพืชอยู่จานวนมาก ซ่ึงเป็นตัวช่วยทาให้
เกิดการเน่าเป่อื ยของพวกอินทรียวตั ถุใหเ้ ป็นอาหารของพืชได้เร็วขน้ึ

การผสมดินปลูก รหัสวิชา ง 20266

เอกสารอ้างอิง

โครงการสารานุกรมไทยสาหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ วั . 2556.
เลม่ ท่ี 18 เร่ืองท่ี 8 ดนิ และปยุ๋ . [ออนไลน]์ เข้าถึงได้จาก
http://guru.sanook.com/encyclopedia/sara18/ [5 มกราคม 2556].

ทพิ วรรณ สิทธิรงั สรรค์. 2551. เกษตรธรรมชาติ. กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์.

วสิ นั ต์ ท้าวสงู โนน. มปป. คูม่ ือปรับปรุงดิน 4 ภาค. นนทบรุ ี : วี.ที.เอส. บุ๊คเซ็นเตอร์.

สานกั สารวจดินและวางแผนการใช้ทดี่ นิ กรมพฒั นาที่ดนิ . มปป. ความรู้เร่อื งดนิ สาหรับเยาวชน.
[ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ได้จาก http://osl101.ldd.go.th/easysoils/s_meaning.htm
[5 มกราคม 2556].

อัญชลี สทุ ธปิ ระการ. 2534. แรใ่ นดิน เล่มท่ี 2 แร่ดนิ เหนียวและเทคนิคการวิเคราะห์.
กรุงเทพมหานคร : ภาควิชาปฐพวี ิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.

Burke, C. 2012. Testing soil for pH …it’s easy. [Online] Available from:
http://bloomsandfood.com/tag/how-to-do-a-soil-ph-test/ [5 มกราคม 2556].

Jakkaphan Nuntawong. 2556. ช้นั ของดิน. [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก
http://jakkaphampii.blogspot.com/2013/02/blog-post.html [10 มกราคม 2556].

NECTEC's Lexitron Dictionary. 2557. พจนานกุ รมแปล ไทย-องั กฤษ. [ออนไลน]์ เขา้ ถึงได้
จาก. http://dictionary.sanook.com/search/dict-th-en-lexitron/ดนิ
[3 กันยายน 2557].

Ophardt, C.E. 2003. Acid Rain - Soil Interactions. [Online] Available from:
http://www.elmhurst.edu/~chm/vchembook/196soil.html [5 มกราคม 2556].

การผสมดนิ ปลกู รหัสวชิ า ง 20266

แบบฝกึ หดั หนว่ ยที่ 1
ดนิ และคณุ สมบตั ขิ องดนิ

จงตอบคาถามดังตอ่ ไปน้ี
1. ดิน หมายถึงอะไร
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
2. จงอธบิ ายถึงความสาคัญของดิน มาพอสงั เขป
............................................................................................................................. ..............................
...........................................................................................................................................................
3. จงสรปุ กาเนดิ ของดิน มาพอสังเขป
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
4. จงสรปุ องคป์ ระกอบของดนิ มีอะไรบา้ ง มาพอสงั เขป
............................................................................................................................. ..............................
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. .............................
...........................................................................................................................................................
5. จงอธบิ ายสมบัตขิ องดนิ มอี ะไรบา้ ง มาพอสงั เขป
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
............................................................................................................................. ..............................
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................
6. จงสรปุ คณุ สมบัติของดนิ ทเ่ี หมาะสาหรบั การเพาะปลกู มาพอสงั เขป
............................................................................................................................. ..............................
...........................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ..............................

การผสมดนิ ปลูก รหสั วิชา ง 20266

แบบทดสอบกอ่ นเรยี น-หลังเรียน
หน่วยที่ 1 ดนิ และคณุ สมบัติของดนิ

คาชี้แจง จงทาเครอ่ื งหมาย X ทับขอ้ ก. ข. ค. หรือ ง. ทถ่ี ูกที่สุดเพยี งขอ้ เดียว

1. ขอ้ ใดเก่ยี วข้องกับความหมายของดินเพ่อื การเพาะปลกู
ก. เป็นวตั ถุธรรมชาติ
ข. ชว่ ยให้อากาศบรสิ ุทธ์ิ
ค. เปน็ อาหารของจลุ นิ ทรียท์ ุกชนดิ
ง. มนษุ ยส์ ังเคราะห์ดินขึ้นมาเองได้เหมอื นธรรมชาติ

2. ข้อใดไม่ใช่ความสาคญั ของดนิ
ก. เปน็ ทยี่ ึดเหนี่ยวของรากพชื
ข. เป็นแหลง่ ธาตุอาหารพชื
ค. เปน็ แหลง่ นา้ ให้แก่พชื
ง. เป็นต้นกาเนดิ พชื พันธใุ์ หมๆ่

3. ข้อใดไม่ใชอ่ งคป์ ระกอบของดิน
ก. อินทรียวตั ถุ
ข. อนินทรียวตั ถุ
ค. ความชนื้
ง. นา้ มันปโิ ตรเลยี ม

4. ขอ้ ใดไม่เก่ยี วข้องกับกาเนิดของดนิ
ก. ดนิ ผพุ ังมาจากหิน
ข. ดินมาจากส่วนผสมของอินทรยี วตั ถุ และอนนิ ทรียวัตถุ
ค. จุลินทรยี ์ช่วยยอ่ ยสลายอนิ ทรียวตั ถุในดนิ
ง. ดนิ ควรไดร้ ับการปรบั ปรงุ เพ่ือใหเ้ หมาะสมกบั การปลกู พชื

5. ขอ้ ใดไมใ่ ชส่ มบัตดิ ินทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั การเพาะปลูก
ก. สมบัติทางกายภาพ
ข. สมบัติทางเคมี
ค. สมบัตทิ างคณติ ศาสตร์
ง. สมบตั ทิ างชวี ภาพ

การผสมดนิ ปลูก รหัสวิชา ง 20266

6. สัดสว่ นของอนินทรยี วตั ถุ : อินทรียวัตถุ : นา้ : อากาศ .ในดนิ ท่ดี คี วรเทา่ กบั
ก. 25 : 5 : 45 : 25
ข. 5 : 45 : 25 : 25
ค. 45 : 5 : 25 : 25
ง. 52 : 5 : 25 : 45

7. ข้อใดผดิ เกี่ยวกับดนิ
ก. ดินดคี วรมสี ีเหลอื งอ่อน
ข. ดินเหนยี วไม่มีโครงสรา้ ง
ค. ดนิ ทรายไมม่ โี ครงสร้าง
ง. ดินเหนียวมีประจเุ ปน็ ลบ

8. ดนิ ทม่ี สี ่วนประกอบของดินเหนยี วมาก เหมาะกบั การปลกู พืชชนดิ ใด
ก. มนั สาปะหลงั
ข. ข้าว
ค. ไม้ผล
ง. ไม้ดอก

9. ดนิ ทด่ี ี ควรมคี ุณสมบตั ิใด
ก. มพี เี อชต่ากว่า 5
ข. มีจลุ นิ ทรยี ท์ ีเ่ ปน็ ประโยชน์ต่อพชื หลากหลายชนดิ
ค. ร่วนซุยมากๆ เพอื่ ให้ระบายอากาศได้ดีทสี่ ุด
ง. มสี ว่ นประกอบของดินเหนียวมากๆ เพอื่ ใหอ้ ุม้ นา้ ได้ดี

10. แร่ธาตุใดมหี น้าทเี่ ปน็ สว่ นประกอบของโปรตีน ช่วยให้พืชมีสเี ขียว เรง่ การเจรญิ เติบโตทางใบ
ก. ไนโตรเจน
ข. ฟอสฟอรสั
ค. โพแทสเซียม
ง. กามะถนั

..........................................................................................

การผสมดินปลกู รหัสวชิ า ง 20266

เฉลยแบบฝึกหดั หนว่ ยท่ี 1
ดนิ และคณุ สมบตั ิของดนิ

1. ดนิ หมายถึงอะไร
ดิน หมายถึง วัตถุตามธรรมชาติท่ีมาจากผลของการผพุ ังสลายตวั ของหินและแร่ ต่างๆ ผสม

รวมกับอนิ ทรยี วัตถุทไี่ ด้มาจากการสลายตัวของเศษซากพืชและสัตวจ์ นเป็นเน้ือเดยี วกัน มลี ักษณะร่วน
ไม่เกาะกนั แข็งเป็นหนิ เกดิ ขึ้นปกคลุมพนื้ ผวิ โลกอยเู่ ปน็ ชนั้ บางๆ และเป็นทีย่ ดึ เหนย่ี วรากพืช และเปน็
แหลง่ สารอาหารสาหรบั การเจรญิ เตบิ โตของพืช

2. จงอธบิ ายถงึ ความสาคญั ของดิน มาพอสงั เขป
ดินมคี วามสาคญั ดงั นี้
1) ดินทาหน้าที่เป็นท่ีให้รากพืชได้เกาะยึดเหน่ียวเพื่อให้ลาต้นของพืชยืนต้นได้อย่างมั่นคง

แขง็ แรง ขณะที่พชื เจรญิ เติบโต
2) ดนิ เปน็ แหลง่ ให้ธาตุอาหารทจ่ี าเปน็ ต่อการเจริญเตบิ โตของพืช
3) ดินเป็นแหล่งที่เก็บกักน้าหรือความชื้นในดิน ให้อยู่ในรูปที่รากพืชสามารถดึงดูดได้ง่าย

เพอื่ นาไปหลอ่ เลย้ี งลาต้นและสร้างการเจริญเตบิ โต
4) ดินเป็นแหลง่ ที่ให้อากาศในดิน ทร่ี ากพืชใช้เพื่อการหายใจ รากพืชประกอบด้วยเซลล์ที่มี

ชีวิต ต้องการออกซิเจนสาหรับการหายใจทาให้เกิดพลังงานเพ่ือการดึงดูดน้า ธาตุอาหารและ
การเจริญเติบโต

3. จงสรปุ กาเนิดของดิน มาพอสังเขป
เมือ่ โลกเริ่มกอ่ ตัวข้ึนและเย็นตัวลง มพี ้ืนผวิ ภายนอกเป็นหนิ แข็งแตภ่ ายในเป็นของเหลวร้อน

จัด มีบรรยากาศซึ่งประกอบด้วยก๊าซหลายชนิดห่อหุ้มโลกอยู่โดยรอบอย่างเบาบาง ต่อมาจึงมี
วิวัฒนาการมากขึ้น จนเกิดมีน้าและสิ่งมีชิวิตขึ้นบนโลก พืชบกรุ่นแรกสุดเกิดขึ้นมาบนโลก เม่ือ
ประมาณ 590 ลา้ นปมี าแลว้ พืชบกร่นุ แรกนม้ี แี ต่ลาต้น ไม่มีใบ ไม่มรี าก อาศยั เกิดและเกาะติดอยู่บน
สาหร่ายทะเลท่ถี ูกคล่นื ซดั ข้ึนมาคา้ งอยู่บนหนิ และเติบโตอยบู่ นน้นั เชอื่ กนั วา่ ววิ ฒั นาการของพืชบกรนุ่
แรกน้เี องทเ่ี ป็นสาเหตุทาให้ก้อนหินเกดิ การผุพงั แตกแยกออกเปน็ ชิน้ เลก็ ชิ้นนอ้ ย และเกิดพฒั นาการ
ต่อจนกลายเป็นดินในที่สุด นอกเหนือไปจากการผุกร่อนตามธรรมชาติ ที่เป็นผลมาจาก
การเปล่ียนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ท้ังอุณหภูมิ ปริมาณน้าฝน น้าค้าง หรือหิมะ ในช่วงเวลาต่าง
ในขณะเดยี วกับทีพ่ ชื เจริญเตบิ โตข้นึ กย็ ่อมมีสว่ นของ ราก ลาต้น ใบ ท่ีหลุดร่วงตายลงและทับถมกัน

การผสมดนิ ปลูก รหัสวชิ า ง 20266

อยู่ท้ังบนดินและใต้ดิน นอกจากนี้ยังมีมูลสัตว์และเศษซากสิ่งมีชีวิตอ่ืนๆ รวมอยู่ด้วย ซึ่งเม่ือวัสดุ
เหล่าน้เี กดิ การเนา่ เปือ่ ยโดยการย่อยสลายของจลุ นิ ทรยี ์ที่อาศยั อยู่ในดนิ จนกลายเปน็ สารสดี าที่มีเน้ือ
ละเอยี ดนมุ่ เรียกวา่ “ฮิวมัส” (humus) และต่อมาเม่ือฮิวมัสได้ผสมคลุกเคล้าเข้ากับชิ้นส่วนของหิน
แร่ ทีผ่ ุพังเป็นชนิ้ เล็กช้ินนอ้ ยจนเข้ากันเป็นเน้ือเดียว จึงกลายเป็นสงิ่ ท่เี รยี กว่า “ดิน” สืบมาจนทกุ วนั นี้

4. จงสรปุ องคป์ ระกอบของดินมีอะไรบา้ ง มาพอสงั เขป
องคป์ ระกอบของดินมีดงั นี้
1) อนนิ ทรยี วตั ถุ
2) อินทรียวตั ถุ
3) นา้ ในดิน
4) อากาศในดนิ

5. จงอธิบายสมบตั ขิ องดินมีอะไรบา้ ง มาพอสงั เขป
สมบตั ทิ สี่ าคญั ของดินแบง่ ออกเป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่ สมบัติทางกายภาพ สมบัติ

ทางเคมี สมบัติทางชวี ภาพ และสมบัติด้านธาตอุ าหารพืช
5.1 สมบัติทางกายภาพ
5.1.1 หน้าตดั ดนิ และชน้ั ดิน
1) หน้าตัดดนิ
เม่อื มองตามความลกึ ลงไปตามแนวดิ่งจะเห็นว่าดินน้ันมีการทับถมกันเป็นชั้นๆ

โดยทแี่ ต่ละชั้นจะแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของส่ิงที่มีอยู่ภายในดิน เช่น สีดิน เนื้อดิน ชนิดของ
วสั ดุหรอื สิ่งที่ปะปนอยใู่ นดนิ เปน็ ต้น นกั วทิ ยาศาสตรท์ างดนิ หรอื นักปฐพีวิทยา เรียกผิวด้านข้างของ
หลุมดินที่ตัดลงไปจากผิวหน้าดินตามแนวด่ิงซ่ึงปรากฏให้เห็นช้ันต่างๆ ภายในดินนี้ว่า หน้าตัดดิน
(soil profile) และเรยี กชนั้ ต่างๆ ในดินท่วี างตัวขนานกบั ผวิ หนา้ ดนิ ว่า ชน้ั ดนิ (soil horizon)

2) ชัน้ ดนิ หรอื ช้นั กาเนิดดิน
ในหน้าตัดของดนิ หนง่ึ ๆ นัน้ ประกอบด้วยช้ันตา่ งๆ มากมาย โดยท่ีช้ันเหล่าน้ี

อาจเป็นช้ันที่เกิดจากกระบวนการทางดิน หรอื เปน็ ชน้ั ของวสั ดตุ ่างๆ ก็ได้ ชัน้ ดินหลกั ๆ มอี ยู่ด้วยกัน 5
ชั้น คือ ชั้น O, A, E, B และ C แต่ในบางหน้าตัดดินอาจพบ ช้ัน R ซ่ึงเป็นช้ันหินพื้นท่ีอาจจะมี
ความเกีย่ วข้องกบั ชัน้ ดนิ หลกั ตอนบนหรือไม่ก็ได้ การสังเกตความแตกต่างของลกั ษณะที่ปรากฏอยู่ใน
แต่ละชน้ั ดิน และการเรยี งตัวของชนั้ ดนิ ทใ่ี นหน้าตัดดนิ นเ้ี อง ทที่ าใหน้ ักปฐพีวิทยาสามารถจัดแบ่งดิน
ท่ีพบออกเป็นชนิดต่างๆ ได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการให้คาแนะนาแก่เกษตรกรในการใช้
ประโยชน์ทด่ี ินได้อยา่ งเหมาะสมกบั ดินในพืน้ ท่นี ้นั ๆ

การผสมดินปลกู รหัสวชิ า ง 20266

5.1.2 สีของดนิ
สีดิน เป็นสมบัติของดินท่ีมองเห็นได้ชัดเจน เป็นคุณสมบัติท่ีสะท้อนถึง

สภาพแวดลอ้ ม กระบวนการเกิดดิน แร่ที่เปน็ องค์ประกอบของดนิ หรือวสั ดอุ ืน่ ๆ ทอ่ี ยใู่ นดิน สขี องดิน
มหี ลายสี ส่วนใหญอ่ ยูใ่ นชว่ งสีดา น้าตาล แดง เหลือง เหลืองแดง เหลืองเทา หรือสีเทา การสังเกตสี
ของดิน ทาให้เราสามารถประเมินสมบัติทางกายภาพและเคมีบางอย่างของดินได้ เช่น สภาพ
การระบายน้าของดิน ระดับน้าใต้ดนิ หรอื ความอดุ มสมบูรณข์ องดนิ

ดนิ สีน้าตาลเข้มหรือสีดา แสดงว่า ดินน้ันมีอินทรียวัตถุอยู่ในดินมาก หรือ เป็น
ดินท่ีเกิดจากการผพุ ังสลายตวั ของหิน-แร่ ท่ีมีสีเข้ม เช่น หินภูเขาไฟพวกบะซอลท์ แกบโบร มักมีความ
อดุ มสมบูรณส์ ูง เนอ่ื งจากมีอินทรียวัตถุมาก ถ้าเป็นดินท่ีลุ่มต่าหน้าดินมีสีคล้าและดินชั้นล่างมีสีเทา
เนือ่ งจากสภาพอบั อากาศ จะตอ้ งเตรียมการระบายนา้

ดนิ สขี าวหรือสีเทาอ่อน แสดงวา่ อาจเกิดจากวัตถตุ ้นกาเนิดดิน มาจากหินท่ีมีสี
จาง หรือเป็ทรายมาก หรอื บริเวณที่มีสีจางนั้นเกิดกระบวนการทางดินท่ีทาให้ธาตุต่างๆ ถูกชะล้าง
ออกไปจากชั้นดินจนหมด เชน่ ช้นั ดนิ E หรอื เกดิ จากการสะสมของปนู (lime) หรอื ยิปซัม (gypsum)
หรอื เกลือชนิดตา่ งๆ กไ็ ดh มักเป็นดนิ ท่ีมีความอุดมสมบรู ณต์ ่า มีการระบายน้าดี

ดนิ สีเหลอื งหรอื สีแดง แสดงว่า เปน็ ดินทมี่ อี ัตราการผพุ งั สลายตัวสงู เนอ่ื งจาก มี
พวกออกไซดข์ องเหล็กเคลอื บผวิ อนภุ าคมาก มกั เกิดในในบริเวณที่สูงตามเนินเขาหรือที่ราบไหล่เขา
ดนิ เหลา่ น้ีมกี ารระบายน้าดีถงึ ดีมาก ถ้าดินมีการระบายนา้ ในหน้าตัดดนิ ดอี ยูเ่ สมอ สว่ นใหญจ่ ะมสี ีแดง
แต่ถา้ การระบายนา้ ของดินไม่ดเี ทา่ กรณีแรก ดินจะมสี เี หลือง

ดินสีเทาปนน้าเงิน แสดงว่า ดินบริเวณนั้นอยู่ในสภาวะท่ีมีน้าขังตลอด มีการ
ระบายน้าไมเ่ พยี งพอ ทาให้สารประกอบของเหลก็ อยใู่ นรูปท่ีมสี ีเทา

ดนิ สปี ระ หรอื ดินที่มีหลายสีผสมกัน แสดงว่า ดินบริเวณนั้น อยู่ในสภาพท่ีมีน้า
แชข่ ังสลับสภาพท่ดี นิ แหง้ โดยทว่ั ไปมกั ปรากฏเป็นจุดประสเี หลอื งหรือสีแดงบนวัสดุพื้นสีเทา เป็นผล
มาจาก การเปล่ยี นแปลงของสารประกอบของเหล็ก ทีจ่ ะแสดงสีเทาเมื่ออยู่ในสภาวะท่ีมีน้าขัง (ขาด
ออกซิเจน) และเปล่ียนรปู เป็นสารทีใ่ หส้ ีแดงเมื่ออยใู่ นสภาวะดินแห้ง (มีออกซิเจนมาก) มักจะพบใน
ดินนาซ่ึงมีความสูงจากระดับน้าทะเลพอสมควร ซ่ึงน้าระบายจากหน้าตัดจนแห้งได้ในฤดูแล้งหลัง
การเก็บเก่ยี ว

5.1.3 เนอื้ ดิน (texture)
เนื้อดนิ เปน็ สมบตั ทิ บี่ อกถงึ ความหยาบหรือละเอยี ดของชิ้นส่วนเล็กๆ ของดิน ท่ี

เราเรียกว่า “อนุภาคของดิน” ซ่ึงอนุภาคเหล่าน้ีจะมีขนาดไม่ท่ากัน แบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ขนาด
ใหญ่เรียกว่าอนุภาคขนาดทราย (2.0-0.05 มิลลิเมตร) ขนาดกลางเรียกว่าอนุภาคขนาดทรายแป้ง
(0.05-0.002 มิลลิเมตร) และขนาดเลก็ ที่สดุ คืออนภุ าคดนิ เหนียว (< 0.002 มิลลเิ มตร) การรวมตัวกนั

การผสมดนิ ปลูก รหสั วิชา ง 20266

ของอนภุ าคขนาดทราย ทรายแปง้ และดนิ เหนียว ในสัดสว่ นที่แตกต่างกัน ทาให้เกิดเป็นเนื้อดินชนิด
ต่างๆขน้ึ มา ในการจาแนกประเภทของเนอื้ ดินนัน้ จะถือเอาเปอรเ์ ซน็ ต์ของอนุภาคขนาดเหล่านี้ที่มีอยู่
ในดินนั้นๆ เปน็ หลัก โดยทัว่ ไปเนือ้ ดนิ อาจแบ่งเป็นกลมุ่ ใหญ่ๆ ได้ 3 กลุม่ ดงั นี้

1) ดินทราย
เป็นดินที่มีอนุภาคขนาดทรายเป็นองค์ประกอบอยู่มากกว่าร้อยละ 85

ลักษณะโดยทวั่ ไปจะเกาะตัวกันหลวมๆ และมองเหน็ เปน็ เม็ดเด่ียวๆ ได้ ถา้ สมั ผัสดนิ ท่ีอยูใ่ นสภาพแห้ง
จะรูส้ กึ สากมอื เมอ่ื ลองกาดินทแ่ี หง้ นไ้ี วใ้ นองุ้ มอื แล้วคลายมอื ออกดินกจ็ ะแตกออกจากกันได้ แตถ่ า้ กา
ดนิ ทอ่ี ยู่ในสภาพชืน้ จะสามารถทาให้เปน็ ก้อนหลวมๆ ได้ แต่พอสมั ผัสจะแตกออกจากกันทันที ดินทราย
เปน็ ดนิ ท่มี ีการระบายน้าและอากาศดีมาก แตม่ ีความสามารถในการอุ้มนา้ ตา่ มคี วามอดุ มสมบูรณ์
ต่า เพราะความสามารถในการดูดยึดธาตุอาหารพืชมีน้อย พืชที่ขึ้นบนดินทรายจึงมักขาดท้ังธาตุ
อาหารและนา้ เนอ้ื ดนิ ท่จี ัดอยใู่ นกลุม่ น้ี ได้แก่ ดินทราย ดินทรายปนดินร่วน และดนิ ร่วนปนทราย

2) ดนิ ร่วน
โดยทั่วไปจะประกอบด้วยอนุภาคขนาดทราย ทรายแป้ง และดินเหนียวใน

ปริมาณใกล้เคียงกัน (อนุภาคขนาดดินเหนียวร้อยละ 7-27 อนุภาคขนาดทรายแป้งร้อยละ 28-50
และมีอนุภาคขนาดทรายน้อยกว่าร้อยละ 52) ดินร่วน เป็นดินที่เนื้อดินค่อนข้างละเอียดนุ่มมือใน
สภาพดนิ แห้งจะจับกนั เป็นก้อนแขง็ พอประมาณ ในสภาพดนิ ช้ืนจะยืดหยุ่นได้บ้าง เมอ่ื สัมผสั หรือคลึง
ดินจะรู้สกึ นุ่มมือแต่อาจจะรู้สึกสากมืออยู่บ้างเล็กน้อย เมื่อกาดินให้แน่นในฝ่ามือแล้วคลายมือออก
ดนิ จะจับกันเป็นก้อนไม่แตกออกจากกัน เป็นดินท่ีมีการระบายน้าได้ดีปานกลาง จัดเป็นเน้ือดินที่มี
ความเหมาะสมสาหรับการเพาะปลูก เนอื้ ดนิ ทอ่ี ยใู่ นกลุ่มนี้ ได้แก่ ดินร่วน ดินร่วนปนทราย ดินร่วน
ปนทรายแปง้ ดนิ รว่ นเหนียว ดนิ ร่วนเหนยี วปนทราย ดินร่วนเหนยี วปนทรายแป้ง

3) ดนิ เหนยี ว
เน้อื ดนิ ประกอบด้วยอนภุ าคขนาดดินเหนียวต้งั แตร่ อ้ ยละ 40 ขน้ึ ไป มีอนุภาค

ขนาดทราย ร้อยละ 45 หรือน้อยกว่า และมีอนุภาคขนาดทรายแป้งน้อยกว่าร้อยละ 40 ดินเหนียว
เป็นดินที่มีเนื้อละเอียด ในสภาพดินแห้งจะแตกออกเป็นก้อนแข็งมาก เม่ือเปียกน้าแล้วจะมี
ความยืดหยุ่น สามารถป้ันเป็นก้อนหรือคลึงเป็นเส้นยาวได้ เหนียวเหนอะหนะติดมือ เป็นดินท่ีมี
การระบายน้าและอากาศไมด่ ี แตส่ ามารถอุ้มน้า ดูดยึด และแลกเปลี่ยนธาตุอาหารพืชได้ดี เหมาะท่ี
จะใชท้ านาปลกู ขา้ วเพราะเก็บนา้ ได้นาน เนอ้ื ดนิ ทอ่ี ยู่ในกลุ่มนี้ ได้แก่ ดนิ เหนยี ว ดินเหนียวปนทราย
ดินเหนยี วปนทรายแป้ง

เนื้อดิน เป็นสมบัติดนิ ตามธรรมชาติท่ีมคี วามสาคญั ยงิ่ ตอ่ การเจริญเตบิ โตของพืช
เพราะมีผลต่อคุณภาพของดิน สภาพการระบายน้า ระบบนิเวศ ปริมาณธาตุอาหารรวมทั้ง
ความหลากหลายทางชีวภาพในดิน ในดินทีเ่ ป็นดินทราย มกั จะมกี ารระบายนา้ ดจี นถึงดีเกินไป อุ้มน้า

การผสมดินปลูก รหัสวิชา ง 20266

ได้ไมด่ ี ดินจะแห้งง่าย และมีธาตอุ าหารอยนู่ ้อยกว่าดนิ ชนดิ อน่ื ส่วนดินเหนยี วนน้ั จะอุ้มน้าไดม้ าก และ
มีธาตอุ าหารอยมู่ าก แต่ก็มขี อ้ เสยี ที่การระบายน้าไมด่ ี มกั จะมนี ้าขงั ทาใหม้ อี ากาศไมพ่ อสาหรับรากพชื
ใชใ้ นการหายใจ นอกจากนยี้ งั ทาการไถพรวนลาบากเพราะดินแห้งจะแข็งมากและดินเหนียวจัดเมื่อ
เปียก ดินร่วนจึงนับเป็นดินท่ีเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพืชมากกว่าดินเหนียวและดินทราย
เนื่องจากไถพรวนง่าย อ้มุ นา้ ได้ปานกลาง มกี ารระบายนา้ ดี และมคี วามอดุ มสมบูรณ์

5.1.4 โครงสร้างของดนิ
โครงสร้างของดิน เป็นสมบัติของดินท่ีเกิดข้ึนจากการเกาะจับกันของอนุภาคที่

เป็นของแข็งในดนิ (สว่ นทเ่ี ปน็ แร่ธาตุหรืออนินทรยี สารและอนิ ทรียวัตถุ) เกดิ เป็นเม็ดดินหรือเป็นก้อน
ดินทมี่ ขี นาด รูปร่าง และความคงทนแข็งแรงในการยึดตัวต่างๆกัน โครงสร้างของดินมีผลต่อการซึม
ผา่ นของน้าทผ่ี ิวดิน การอุ้มน้า ระบายน้า และการถ่ายเทอากาศในดิน รวมถึงการแพร่กระจายของ
รากพชื ดว้ ย โครงสร้างดนิ อาจเกิดจากแรงเกาะยึดกันระหว่างอนุภาคในดิน การท่ีดินแห้งและเปียก
การแข็งตวั เมื่อมีอากาศหนาวจัด หรอื การละลายของหิมะ นอกจากนี้ รากพืช กิจกรรมของสัตว์ที่อาศัย
อยูใ่ นดนิ อินทรียวัตถุ และสารอื่นๆ ที่มีในดิน สามารถท่ีจะเป็นตัวเชื่อมให้เกิดโครงสร้างดินได้เช่นกัน
ดนิ ทราย แม้ว่าจะโปรง่ และซุยก็จริง แต่เม็ดทรายกระจายอยู่เปน็ เมด็ เดี่ยวๆ (single grain) ไม่มกี ารเกาะ
กันเป็นโครงสรา้ งแบบก้อนกลม จึงไม่มีสมบัติทางด้านการอุ้มน้าท่ีดี เมื่อฝนตกดินอุ้มน้าได้น้อยจึงเกิด
สภาพแห้งแล้งได้ง่าย พืชท่ีปลูกจะขาดน้าง่าย ส่วนดินเหนียว อนุภาคเกาะกันแน่นเป็นก้อนทึบ
(massive) อุ้มน้าได้มากเม่ือฝนตก แต่จะแน่นทึบไม่โปร่งซุยเหมือนดินทราย ไถพรวนยาก การถ่ายเท
และการระบายน้าไมด่ ี เกิดน้าท่วมขงั รากพชื ไม่สามารถเจริญเติบโตดูดนา้ และธาตอุ าหารได้ ดงั นัน้ ดนิ ทราย
และดนิ เหนียว เปน็ ดินทไี่ มม่ ีโครงสร้าง โครงสร้างของดินมีไดห้ ลายลักษณะ แบ่งได้เป็น 5 ประเภท คือ

1) แบบก้อนกลม (granular)
มีรูปรา่ งคล้ายทรงกลม เม็ดดินมขี นาดเลก็ ประมาณ 1-10 มิลลเิ มตร มกั พบใน

ดนิ ชนั้ A มีรากพืชปนอยมู่ าก เนอื้ ดนิ มคี วามพรุนมาก ระบายนา้ และอากาศได้ดี
2) แบบก้อนเหลี่ยม (blocky)
มีรูปร่างคลา้ ยกลอ่ ง เมด็ ดินมขี นาดประมาณ1-5 เซนติเมตร มักพบในชั้นดิน

B มกี ารกระจายของรากพชื ปานกลาง นา้ และอากาศซึมผ่านได้
3) แบบแผน่ (platy)
ก้อนดนิ แบนวางตวั ในแนวราบ และซ้อนเหลื่อมกันเป็นช้ัน ขัดขวางการชอนไช

ของรากพชื นา้ และอากาศซึมผ่านไดย้ าก มกั เปน็ ดินชนั้ A ทีถ่ ูกบีบอดั จากการบดไถของเครือ่ งจกั รกล
4) แบบแทง่ หัวเหลย่ี ม (prismatic)
มีผิวหน้าแบนและเรียบ เป็นแท่งหัวเหลี่ยมคลา้ ยปริซึม ส่วนบนของปลายแทง่

มักมีรูปรา่ งแบน เม็ดดนิ มีขนาด 1-10 เซนตเิ มตร มักพบในดนิ ชน้ั B นา้ และอากาศซมึ ไดป้ านกลาง

การผสมดินปลูก รหสั วิชา ง 20266

5) แบบแท่งหวั มน (columnar)
ส่วนบนของปลายแทง่ มีลกั ษณะกลมมน ปกคลุมด้วยเกลือ เม็ดดินมขี นาด 1-10

เซนตเิ มตร มกั พบในดนิ ชัน้ B และเกิดในเขตแห้งแลง้ มกี ารสะสมของโซเดยี มสงู
5.2 สมบัตทิ างเคมี
เปน็ ลกั ษณะภายในของดินทีเ่ ราไม่สามารถจะมองเห็นหรือสมั ผสั ได้โดยตรง ไดแ้ ก่
5.2.1 ความเปน็ กรดเป็นด่างของดนิ
ความเป็นกรดเปน็ ดา่ งของดนิ หรือท่ีเรียกกันว่า “พีเอช” (pH) เป็นค่าปฏิกิริยา

ดนิ วัดได้จากความเข้มขน้ ของปรมิ าณไฮโดรเจนไอออน (H+) ในดนิ โดยทัว่ ไปค่าพีเอชของดิน จะบอก
เปน็ ค่าตัวเลขตั้งแต่ 1 ถึง 14 ถา้ ดนิ มีค่าพีเอชน้อยกว่า 7 แสดงว่าดินนั้นเป็นดินกรด ยิ่งมีค่าน้อยกว่า
7 มาก ก็จะเป็นกรดมาก แต่ถ้าดินมีพเี อชมากกว่า 7 จะเป็นดินด่าง ส่วนดินท่ีมีพีเอชเท่ากับ 7 พอดี
แสดงว่าดนิ เปน็ กลาง แต่โดยปกติแล้วพเี อชของดินท่ัวไปจะมีคา่ อยใู่ ชว่ ง 5 ถึง 8

5.2.2 ความสามารถในการดดู ซับธาตอุ าหารพชื และแลกเปลีย่ นประจุ
ดนิ ประกอบดว้ ยของแขง็ ทมี่ ขี นาดอนุภาคต่างๆ กนั ตั้งแตอ่ นุภาคขนาดทราย ซ่ึง

มเี ส้นผา่ ศนู ย์กลางประมาณ 2 มิลลิเมตร จนถึงขนาดดินเหนียว ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางน้อยกว่า 0.002
มลิ ลเิ มตร จากการศึกษาพบวา่ อนภุ าคทมี่ มี ากท่ีสุดในกลุ่มอนุภาคขนาดดินเหนียวน้ีก็คือ แร่ดินเหนียว
(clay minerals) ซ่ึงถือกันว่าเป็นส่วนสาคัญท่ีเก่ียวข้องกับการเกิดปฏิกิริยาทางเคมีต่างๆ ในดิน
เน่อื งจากที่พื้นผิวของแร่ดนิ เหนียวนม้ี ปี ระจไุ ฟฟา้ ลบ จึงทาใหเ้ กดิ ปฏิกิริยาการดูดยึดและและเปลี่ยน
ธาตุอาหารต่างๆ ที่ละลายอยู่ในดินซ่ึงมีประจุไฟฟ้าเป็นบวกได้ เช่น ประจุบวกจาก แคลเซียม
ฟอสฟอรสั และโพแทสเซยี ม เปน็ ตน้

5.3 สมบตั ทิ างชีวภาพ
ดินเปน็ วตั ถุท่ีสาคัญ และจาเป็นต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ พืช สัตว์ และ

จุลินทรีย์ ในทางกลบั กัน พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ จะชว่ ยให้หินแรผ่ ุพัง รวมทั้งช่วยเพ่ิมอินทรียวัตถุลง
ในดิน ทาใหด้ นิ มีความอุดมสมบูรณย์ ิง่ ขึ้น

5.4 สมบตั ดิ ้านธาตุอาหารพชื
ในจานวนธาตอุ าหารทพี่ ชื จาเป็นต้องใช้เพ่ือการเจริญเติบโตออกดอก ออกผล ซ่ึงมีอยู่

16 ธาตนุ ้ัน มี 3 ธาตุ ท่ีพืชได้มาจากอากาศและน้า คือ คาร์บอน (C) ไฮโดรเจน (H) และออกซิเจน
(O) ส่วนอกี 13 ธาตนุ ั้น พืชต้องดดู ดึงข้ึนมาจากดนิ ซง่ึ ธาตุเหล่านไี้ ดม้ าจากการผพุ งสลายตัวของส่วน
ท่ีเปน็ อนนิ ทรยี วตั ถุและอินทรยี วตั ถหุ รอื ฮวิ มสั ในดิน สามารถแบง่ ตามปริมาณทพี่ ืชต้องการใช้ได้ เป็น
2 กลุ่มคือ มหธาตุ และจลุ ธาตุ

การผสมดินปลกู รหสั วชิ า ง 20266

5.4.1 มหธาตุ (macronutrients)
มหธาตุหรอื ธาตุอาหารทีพ่ ชื ตอ้ งการใชใ้ นปรมิ าณมาก ท่ีไดม้ าจากดินมีอยู่ 6 ธาตุ

ไดแ้ ก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P) โพแทสเซยี ม (K) แคลเซียม (Ca) แมกนเี ซียม (Mg) และกามะถัน
(S) แบ่งได้เปน็ 2 กลมุ่ ดังนี้

1) ธาตุอาหารหลัก หรือ ธาตุปุ๋ย ได้แก่ ไนโตรเจน (N) ฟอสฟอรัส (P)
โพแทสเซียม (K) เนื่องจากสามธาตุน้ีพืชต้องการใช้ในปริมาณมาก แต่มักจะได้รับจากดินไม่ค่อย
เพียงพอกับความตอ้ งการ ต้องช่วยเหลอื โดยใส่ปุ๋ยอยเู่ สมอ

2) ธาตุอาหารรอง ได้แก่ แคลเซียม (Ca) แมกนีเซียม (Mg) และกามะถัน (S)
เป็นกลุ่มทพี่ ชื ต้องการใช้ในปริมาณท่นี อ้ ยกว่า และไมค่ ่อยมีปญั หาขาดแคลนในดินทว่ั ๆ ไปเหมอื นสาม
ธาตุแรก

5.4.2 จุลธาตุ หรือ ธาตุอาหารเสรมิ (micronutrients)
ธาตอุ าหารพชื แตล่ ะชนิดมคี วามสาคัญต่อการเจริญเติบโตของพืชแตกต่างกันไป

และถา้ พืชได้รับธาตุอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการ ก็จะแสดงอาการที่แตกต่างกันตามแต่ชนิด
ของธาตอุ าหารทข่ี าดแคลนนนั้

6. จงสรปุ คุณสมบัติของดินทเี่ หมาะสาหรับการเพาะปลูก มาพอสงั เขป
ดินท่ีเหมาะสาหรับการเพาะปลูก เรียกว่า “ดินดี” หมายถึง ดินที่มีแร่ธาตุปุ๋ย

พอเพียงแก่การปลกู พชื มเี นอื้ ดินรว่ นซยุ พอสมควรใหร้ ากพชื เจรญิ เติบโตได้ดีซ้ึงส่วนใหญ่แล้วเกิดจาก
การมอี นิ ทรียวตั ถุอย่ใู นดินซึ้งควรจะมถี ึงรอ้ ยละ 5 ดินมีความอุดมสมบรู ณ์ หมายถึง ปริมาณและชนิด
ของธาตุอาหารพืช ท่ีจาเป็นท่ีมีอยู่ในดิน มีมากน้อย และเป็นสัดส่วนกันอย่างไร มากพอ หรือขาด
แคลนสักเท่าใด พืชสามารถดึงดูดไปใช้เป็นประโยชน์ได้ยากหรือง่าย ประเมินความเหมาะสมของ
คณุ สมบตั ดิ ้านน้ขี องดนิ เราสามารถตรวจสอบได้โดยวิธกี ารตา่ งๆ การที่เราปลูกพืชในดิน ก็เนื่องจาก
ดนิ เปน็ แหล่งท่ีมาของธาตุอาหารพืชที่สาคัญถึง 13 ธาตุ ด้วยกัน นักวิชาการกล่าวว่า ธาตุอาหารท่ี
จาเป็น สาหรับการเจริญเติบโตของพืชอย่างน้อยท่ีสุดมีอยู่ 16 ธาตุด้วยกัน เพียง 3 ธาตุเท่าน้ันคือ
คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน และออกซิเจนท่ีพืชได้ มาจากน้าและก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ใน
อากาศ สว่ นธาตุทเี่ หลอื พืชจะได้มาจากดิน ในดินท้ังหมด 100 ส่วน ควรจะมีส่วนที่เป็นของแข็ง 50
ส่วน แบ่งเป็น อนินทรยี วตั ถุประมาณ 45 สว่ น อนิ ทรียวัตถุ 5 ส่วน และส่วนของชอ่ งว่าง 50 ส่วน ซึ่ง
ประกอบด้วยนา้ 25 สว่ น และอากาศอีก 25 ส่วน หรือ มีสัดส่วนของ อนินทรียวัตถุ : อินทรียวัตถุ :
น้า : อากาศ เท่ากบั 45 : 5 : 25 : 25 ดินที่อุดมสมบรู ณ์ควรมีคุณสมบัติ ดงั น้ี

1) ดินตอ้ งมแี รธ่ าตจุ าเป็นตอ่ การเจรญิ เตบิ โตของพชื
2) ดนิ ควรมีสภาวะเปน็ กรดเป็นดา่ งด้วยค่าพเี อชมากกว่า 7 เลก็ นอ้ ย

การผสมดนิ ปลูก รหัสวิชา ง 20266

3) ดินตอ้ งไม่แขง็ แนน่ เนอื้ ดินรว่ นซยุ โปร่ง เหมาะแก่การระบายน้า การถ่ายเทอากาศและ
แสงแดดส่องผา่ นได้ แต่ไม่ร่วนซุยมากเกนิ ไป

4) ส่วนมากจะมสี ีคล้าเพราะมีพวกอินทรยี วตั ถุปนอยมู่ าก
5) จะมพี วกจุลินทรยี ท์ ี่เปน็ ประโยชนต์ อ่ พชื อยูจ่ านวนมากและยังเป็นตวั ช่วยทาให้เกิดการเนา่
เป่ือยของพวกอนิ ทรยี วัตถใุ หเ้ ป็นอาหารของพืชได้เรว็ ขน้ึ
5) มอี นิ ทรยี วตั ถุเพยี งพอสาหรบั พชื
6) มกี ารปลูกพืชตระกลู ถัว่ บารุงดิน

เฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลงั เรียน
หน่วยท่ี 1 ดนิ และคณุ สมบตั ขิ องดนิ

ข้อ 1 ก ข้อ 2 ง ข้อ 3 ง ขอ้ 4 ง ขอ้ 5 ค
ขอ้ 6 ค ขอ้ 7 ก ข้อ 8 ข ขอ้ 9 ข ขอ้ 10 ก


Click to View FlipBook Version