ประเภทของละครไทย บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น นำ เสนอโดย จารย์เพชร and จารย์แมน
บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร ไ ท ย ละครไทย แต่เดิมละครไทยหมายถึงละครรำ แต่ต่อมาภายหลังหลังใน รัชกาลที่ 5 ได้เกิดละครร้อง และละครพูดขึ้น ปัจจุบันจึงแบ่งละครไทยออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ 1.ละครรำ แบบดั้งเดิม 2.ละครรำ ที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่
ละครรำ
ละครรำ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ละครรำ แบบดั้งเดิม และ ละครรำ ที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ 1.ละครชาตรี 2.ละครนอก 3.ละครใน ละครรำ แบบดั้งเดิม ละครรำ ที่ปรับปรุงขึ้นมาใหม่ 1.ละครดึกดำ บรรพ์ 2.ละครพันทาง 3.ละครเสภา 4.ละครร้อ ร้ ง 5.ละครพูด 6.ละครสังคีต
ละครรำ แบบดั้งเดิม
บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร ช า ต รี ละครชาตรี ถือว่าเป็นละครแบบแรกของไทย โดยสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นในสมัยอยุธยา ซึ่ง ซึ่ ละครชาตรีมีรี มีความคล้ายคลึงกับละคร “ยาตรา” ของประเทศอินเดีย ลักษณะของการแสดงละครชาตรี ในการแสดงละครชาตรีจรีะต้องมีการรำ ซัด ซั ไหว้ครูประกอบการแสดง เรื่อรื่งที่นิยม นำ มาแสดงจะเป็น เรื่อรื่ง จักรๆ วงๆ เช่น ช่ แก้วหน้าม้า ตะเพียนทอง สังข์ทอง ตอนกำ เนิดพระสังข์ เป็นต้น ตัวละครที่ใช้ในการแสดงละครชาตรีปรีระกอบไปด้วย นายโรง ตัวนาง และจำ อวด โดยใช้ช ช้ ายล้วน ซึ่ง ซึ่ ในปัจจุบันได้เปลี่ยนมาใช้เ ช้ป็นทั้ง ชาย และหญิง และเพิ่มตัวละครต่างๆ เข้าไป ลักษณะการแต่งกายละครชาตรี ตัวนายโรง/ตัวพระ ใส่สนับเพลาเชิงชิกรอมถึงข้อเท้า นุ่งผ้าจับจีบหางหงส์ ไม่ สวมเสื้อ ศรีษรีะสวมเทริดริตัวนาง ใช้ผ้ ช้ ผ้ าพาดหลัง ซึ่ง ซึ่ ในปัจจุบันใส่ชุดยืนเครื่อ รื่ ง
ละครนอก มีการสันนิษฐานว่าเป็นละครที่กำ เนิดเมื่อสมัย อยุธยา ซึ่ง ซึ่ เป็นละครที่พัฒนามาจากการละเล่น พื้นเมือง โดยละครนอกจะเล่นเฉพาะนอกวัง เท่านั้น เป็นการเล่นละคร ที่มีจุดมุ่งหมายเน้นเพื่อสร้า ร้ งความสนุก สร้า ร้ งความบันเทิงให้แ ห้ ก่ผู้ดูเป็นหลัก ดำ เนินเรื่อ รื่ งอย่างรวดเร็ว ร็ สามารถเล่นได้ทุกเรื่อรื่ง ยกเว้น อุณรุท อิเหนา และรามเกียรติ์ ใช้ผู้ ช้ ผู้แสดงเป็นชายล้วน ซึ่ง ซึ่ ต่อมา รัชรักาลที่4 จึงให้ผู้ ห้ ผู้หญิงร่ว ร่ ม แสดงได้ ลักษณะของการแสดงละครนอก ลักษณะการแต่งกายละครนอก การแต่งกายในสมัยก่อนจะแต่งกายตามสามัญชนธรรมดา ถ้าแสดงบทยักษ์ก็ใช้ก ช้ ารเขียนหน้า ซึ่ง ซึ่ ต่อมา รัช รั กาลที่2 ทรง มีการเปลี่ยนแปลงโดยให้ผู้ ห้ ผู้แสดงแต่งกายแบบชุดยืนเครื่อ รื่ ง บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ระวั งเมื่ อ ย แ ข น |ละค ร น อ ก
บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร ใ น ละครใน มีการสันนิษฐานว่าเป็นละครที่กำ เนิดเมื่อสมัยอยุธยา และเป็นช่ว ช่ งที่มี ความรุ่ง รุ่ เรื่อรื่งมาก โดยละครในจะเล่นเฉพาะในวังเท่านั้น นั้ ลักษณะของการแสดงละครใน การแสดงมีความประณีตสวยงาม เน้นท่าทีในการรำ นุ่มนวม ดำ เนินเรื่อรื่งอย่างเชื่อชื่งช้า ช้ เรื่อ รื่ งที่นำ มาเล่นจะมีเพียง 3 เรื่อ รื่ ง อุณรุท อิเหนา และรามเกียรติ์ ใช้ผู้แสดงเป็นหญิงล้วน ลักษณะการแต่งกายละครใน ผู้แสดงจะแต่งกายด้วยชุดยืนเครื่อ รื่ ง
ละครรำ ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่ เป็นการนำ ละครรำ แบบดั้ง ดั้ เดิมมาเป็นพื้นฐานในการปรับรั ปรุงพัฒนาการแสดง โดยละครที่ปรับรั ปรุงขึ้นมาใหม่ ออกเป็น 6 ประเภท ได้แก่ ละครดึกดำ บรรพ์ ละครพันทาง ละครเสภา ละครร้อ ร้ ง ละครพูด และละครสังคีต
บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร ดึ ก ดำ บ ร ร พ์ ละครดึกดำ บรรพ์ เป็นละครที่เกิดขึ้นในสมัย รัช รั กาลที่ 5 ที่นำ แบบอย่าง ของการแสดงละครตะวันตก(โอเปร่า ร่ ) เข้ามาผสมผสาน แต่ยังยึดหลังการแสดงละครในอยู่ ลักษณะการแสดงละครดึกดำ บรรพ์ มีการแบ่งฉากออกเป็นตอนๆ ไม่มีการบรรยายเรื่อรื่ง ผู้แสดงจะต้องร้อ ร้ งเองรำ เอง เรื่อรื่งที่แสดงส่วนมากเป็น เรื่อ รื่ งเดียวกับละครนอก โดยการดำ เนินเรื่อรื่งมีความ กระชับ รวดเร็ว ร็ โดยใช้ผู้แสดงหญิงล้วน ลักษณะการแต่งกายละครดึกดำ บรรพ์ ผู้แสดงจะแต่งกายด้วยชุดยืนเครื่อ รื่ ง
ละครพันทาง เป็นละครที่เกิดขึ้นในสมัย รัช รั กาลที่ 5 ที่นำ แบบ อย่างของการแสดงละครตะวันตก เป็นละครที่ ดัดแปลงมาจากพงศาวดารชาติต่างๆ หรือรื เป็นการแสดงที่มีการผสมผสานระหว่างชาติ ต่างๆ เป็นการแสดงละครแบบผสม โดยมีทั้งท่ารำ ดนตรี สำ เนียงภาษาลักษณะของชาติต่างๆ ผสมผสานกับ ละครนอก แต่ยังคงยึดรูปแบบท่ารำ ของนาฏศิลป์ไป์ทย เป็นหลัก ลักษณะของการแสดงละครพันทาง ลักษณะการแต่งกายละครพันทาง ผู้แสดงแต่งกายตามเชื้อชาติ บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ระวั งเมื่ อ ย แ ข น |ละค ร พั น ท า ง
บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร เ ส ภ า ละครเสภา เป็นละครที่เกิดขึ้นในสมัย รัช รั กาลที่ 5 โดยมีต้นกำ เนิดมาจาก การเล่านิทาน โดยช่วงนั้นเป็นช่วงที่การเล่านิทานมีความนิยม จึงได้นำ ทำ นองมาปรับรั ใช้ในการเล่าเรื่อรื่ง ใช้กรับรัเป็นเครื่อรื่ง ประกอบจังหวะ จนพัฒนามาเป็นการขับเสภา จึงได้นำ การขับ เสภามาผสมผสานกับการแสดง ลักษณะการแสดงละครเสภา ดำ เนินเรื่อ รื่ งด้วยการขับเสภา โดยใช้กรับรั ประกอบบทเสภา และบทร้อ ร้ งมีตัวละครรำ ประกอบ เรื่อรื่งที่นิยมแสดง คือ ขุนข้าง ขุนแผน ไกรทอง กากี ลักษณะเด่นของละครเสภา คือ ในวรรค ต้นของกลอนจะขึ้นด้วยคำ ว่า”ปางนั้น นั้ ”หรือ รื ”ครานั้น นั้ ” ลักษณะการแต่งกายละครเสภา ผู้แสดงจะแต่งกายตามเชื้อชาติ
ละครร้อง เป็นละครร้อ ร้ งเกิดขึ้นในสมัย รัช รั กาลที่ 5 โดยมีต้นกำ เนิดจากชาวมาลายู นอกจากนี้ รัช รั กาลที่ 6 ยังให้กำ ห้ กำ เนิด ละครร้อ ร้ งอีกรูปแบบหนึ่งโดยดัดแปลงมาจากละครของตะวันตกจากการแสดง”โอเปอเรติก ลิเบรตโต” ละครร้อ ร้ งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ ละครร้อ ร้ งล้วนๆ ละครร้อ ร้ งสลับพูด
เป็นละครที่ รัช รั กาลที่ 6 เป็นผู้ให้กำ เนิด ใช้บทร้อ ร้ งในการดำ เนินเรื่อ รื่ งและสื่อความหมายเพียง อย่างเดียว หรือรือาจมีการรำ แทรกอยู่บ้าง มีการ เปลี่ยนฉากไปตามเนื้อเรื่อรื่ง ตัวละครแสดงท่าทางอย่างสามัญชน แต่งกายตามเชื้อชาติ ละครร้องล้วนๆ ใช้เพลงร้อ ร้ งที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ในการดำ เนินเรื่อ รื่ ง ไม่มีบทพูด ใช้เพียงการพูดในการทวนเนื้อเพลง หรือรืพูดแทรกเพื่อความตลกขบขัน ตัวละครแสดงท่าทางอย่างสามัญชน แต่งกายแบบสามัญชน ละครร้องสลับพูด บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร ร้ อ ง
ละครพูด เป็นละครร้อ ร้ งเกิดขึ้นในสมัย รัช รั กาลที่ 5 ดัดแปลงมาจากละครรำ ต่อมาเมื่อพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวหั (รัชรักาลที่ 6) สำ เร็จ ร็ การศึกษาจึงจัดตั้ง ตั้ ทวีปัญญาสโมสร และ สามัคยาจารย์สโมสร เป็นที่สำ หรับรัการแสดงละครพูด ในช่ว ช่ ง แรกของแสดงละครพูดจะใช้ผู้ ช้ ผู้แสดงเป็นชายล้วน ต่อมาจึงได้เปลี่ยนเป็นผู้แสดง ชาย และหญิง ละครพูดแบ่ง ออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ ละครพูดล้วนๆ หรือรืละครพูดแบบร้อ ร้ ยแก้ว ละครพูดสลับลำ ละครพูดคำ ฉันท์
ละครพูดล้วนๆ หรือ รื ละครพูดแบบร้อยแก้ว บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร พู ด ดำ เนินเรื่อรื่งด้วยการพูดเพียงอย่างเดียว ตัวละครแสดงท่าทางตามธรรมชาติตาม บทบาทของเนื้อเรื่อรื่ง ผู้แสดงแต่งกายตามฐานะตัวละคร ดำ เนินเรื่อรื่งโดยการพูดเป็นหลัก ใช้บ ช้ ทร้อ ร้ ง เป็นองค์ประกอบเสริมริ โดยหากบทร้อ ร้ งหาย ไปเนื้อเรื่อรื่งจะยังคงสมบูรณ์ ผู้แสดงแต่งกายตามฐานะตัวละคร ดำ เนินเรื่อรื่งด้วยการพูดบทร้อ ร้ ยกรอง ผู้แสดงแต่งกายตามฐานะตัวละคร ละครพูดสลับลำ ละครพูดคำ ฉันท์
ละครสังคีต
บ้ า น ไ ท ย ตำ น า น ร ะ วั ง เ มื่ อ ย แ ข น | ล ะ ค ร สั ง คี ต เกิดขึ้นเมื่อสมัย รัช รั กาลที่ 6 โดยวิวัฒนาการมาจากละครพูดสลับลำ ซึ่งมีความแตกต่างกัน คือ มีบทพูด และบทร้อ ร้ งเท่าๆกัน โดยบทร้อ ร้ งและบทพูดจะเป็นหลักสำ คัญของการดำ เนินเรื่อ รื่ ง ในการแสดงจะใช้ ชายจริงริหญิงแท้ ตัวละครจะต้องร้อ ร้ งเอง ผู้แสดงแต่งกายตามยุคสมัยโดยคำ นึงถึงความสมจริงริ ละครสังคีต
ละครไทย 1.ละครแบบแรกของไทย เกิดในสมัยอยุธยา 2.ต้องมีการรำ ซัดไหว้ครู 3.นายโรง ตัวนาง และจำ อวด 4.ผู้แสดงแต่งกายชุดยืนเครื่อรื่ง ละครชาตรี 1.เกิดในสมัยรัชรักาลที่ 5 2.นำ แบบอย่างมาจากละครตะวันตก (โอเปรา) 3.ร้อร้งเองรำ เอง 4.ผู้แสดงแต่งกายชุดยืนเครื่อรื่ง ละครดึกดำ บรรพ์ 1.เกิดในสมัยอยุธยา 2.เล่นเฉพาะนอกวัง 3.เน้นสร้าร้งความบันเทิง 4.เล่นได้ทุกเรื่อรื่ง ยกเว้น อุณรุท อิเหนา รามเกียรติ์ 5.ผู้แสดงแต่งตามสามัญชนธรรมดา เปลี่ยนเป็น ชุดยืนเครื่อรื่ง รัชรักาลที่ 2 ละครนอก 1.เกิดในสมัยรัชรักาลที่ 5 2.นำ แบบอย่างมาจากละครตะวันตก 3.มีการผสมผสานระหว่างชาติต่างๆ 4.ผู้แสดงแต่งกายตามเชื้อชาติ ละครพันทาง 1.เกิดในสมัยอยุธยา 2.เล่นเฉพาะในวัง 3.เน้นความสวยงาม 4.เล่นเรื่อรื่ง อุณรุท อิเหนา และรามเกียรติ์ 5.ผู้แสดงแต่งกายชุดยืนเครื่อรื่ง ละครใน 1.เกิดขึ้นในสมัย รัชรักาลที่ 5 2.กำ เนิดมาจากการเล่านิทาน 3.ดำ เนินเรื่อรื่งด้วยการขับเสภา 4.ผู้แสดงแต่งกายตามเชื้อชาติ ละครเสภา
ละครไทย 1.เป็นละครที่ รัชรักาลที่ 6 เป็นผู้ให้กำ เนิด 2.ใช้บทร้อร้งในการดำ เนินเรื่อรื่ง 3.แต่งกายตามเชื้อชาติ ละครร้อ ร้ งล้วนๆ 1.ดำ เนินเรื่อรื่งโดยการพูดเป็นหลัก ใช้บทร้อร้ง เป็นองค์ประกอบเสริมริ 2.แต่งกายตามฐานะตัวละคร ละครพูดสลับลำ 1.เกิดในสมัยรัชรักาลที่ 5 2.ใช้บทร้อร้งในการดำ เนินเรื่อรื่ง 3.ไม่มีบทพูด ใช้เพียงการพูดในการทวนเนื้อเพลง หรือรืพูดแทรกเพื่อความตลกขบขัน 4.แต่งกายแบบสามัญชน ละครร้อ ร้ งสลับพูด 1.ดำ เนินเรื่อรื่งด้วยการพูดบทร้อร้ยกรอง 2.แต่งกายตามฐานะตัวละคร ละครพูดคำ ฉันท์ 1.ดำ เนินเรื่อรื่งด้วยการพูดเพียงอย่างเดียว 2.แต่งกายตามฐานะตัวละคร ละครพูดล้วนๆ หรือรืละครพูดแบบร้อ ร้ ยแก้ว 1.เกิดขึ้นเมื่อสมัย รัชรักาลที่ 6 2.วิวัฒนาการมาจากละครพูดสลับลำ 3.บทร้อร้งและบทพูดดำ เนินเรื่อรื่ง 4.ชายจริงริหญิงแท้ 5.แต่งกายตามยุคสมัยโดยคำ นึงถึงความสมจริงริ ละครสังคีต