The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by doungta juancharoen, 2021-01-25 21:32:24

ใบและโครงสร้างของใบ

หน่วยที่ 5 ใบ

ใบ
(LEAF)

ใบ (LEAF)

ใบ เป็ นส่วนของพืชท่ีเจริ ญออกมา
ทางดา้ นขา้ ง อาจจะติดอยู่กบั ลาตน้ หรือกบั กิ่ง
ก้าน ใบของพืชส่วนมากจะมีสีเขียว ซ่ึงทา
หนา้ ท่ีผลิตอาหาร โดยคลอโรฟิ ลลท์ ่ีอยภู่ ายใน
เซลล์ของใบจะทาหน้าที่จบั พลงั งานแสงแลว้
เปลี่ยนเป็นพลงั งานเคมี

ชนิดของใบ (LEAF)

➢ ใบแท้ (Foliage Leaf)
➢ ใบเล้ียง (Cotyledon)
➢ ใบดอก (Floral Leaf)
➢ ใบเกลด็ (Sclae Leaf)

หน้าท่ขี องใบ

➢ หน้าทห่ี ลกั ของใบ
- สร้างอาหาร โดยวธิ ีการสงั เคราะห์แสง
- แลกเปลี่ยนก๊าซ
- คายน้า

หน้าท่ีของใบ

➢ หน้าทเ่ี ศษของใบ

- ใบสะสมอาหาร (Storage Leaf) - ใบขยายพนั ธุ์ (Reproductive Leaf)

- ใบยดึ เกาะ (Leaf Tendril) - ใบกบั ดกั แมลง (Carnivorous)

- ใบหนาม (Leaf Spinal) - ใบล่อตา (Bract)

- ใบเกลด็ (Scale Leaf)

- เกลด็ หุม้ ตา (Bud Scale)

- ใบกา้ น (Phyllode)

- ใบทุ่น (Buoyancy Leaf)

ใบสะสมอาหาร (Storage Leaf)

ใบสะสมอาหาร (Storage Leaf)
เป็ นใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปเป็ นท่ีสาหรับ
เก็บอาหารและน้ า ใบลักษณะน้ี มี
ลกั ษณะอวบใหญ่ เช่น ใบหางจระเข้
ใบเล้ียงของพืชพวกน้ีบางชนิดก็ไม่มีสี
เขียวของคลอโรฟิ ลล์ เช่น หวั หอม

ใบยดึ เกาะ (Leaf Tendril)

ใบยดึ เกาะ (Leaf Tendril) เป็น
ใบที่เปล่ียนแปลงไปทาหน้าท่ียึดเกาะ
และพยงุ ลาตน้ ให้ไต่ข้ึนที่สูงหรือไต่ไป
ตามร้ัวได้ ใบชนิดน้ีมีลกั ษณะเป็ นเส้น
เลก็ ๆ เรียกวา่ มือเกาะ (Tendril)

ใบหนาม (Leaf Spinal)

ใบหนาม (Leaf Spinal) เป็น
ใบท่ีเปลี่ยนแปลงเป็ นหนาม เพ่ือทา
หน้าท่ีป้องกนั อนั ตรายจากศตั รูที่จะ
ม า กั ด กิ น แ ล ะ ป้ อ ง กั น มิ ใ ห้ มี
การระเหยของน้ามากเกินไป

ใบเกลด็ (Scale Leaf)

ใบเกลด็ (Scale Leaf)
เป็ นใบที่เปล่ียนเป็ นเกล็ดเล็ก
เช่น ใบเกล็ดของสนปฏิพทั ธ์
หรือบางชนิดใบเกล็ดน้ี จะมี
ขนาดใหญ่เพ่อื สะสมอาหาร

เกลด็ หุ้มตา (Bud Scale)

เกลด็ หุม้ ตา (Bud Scale) เป็น
ใบท่ีเปลี่ยนแปลงไปเป็ นเกลด็ หุ้มตา
ไว้ เมื่อตาเจริญเติบโตเตม็ ท่ี เกลด็ หุม้
ตากจ็ ะหลุดร่วงไป

ใบก้าน (Phyllode)

ใบกา้ น (Phyllode) เป็นกา้ นใบ
ท่ีเปลี่ยนแปลงมีลกั ษณะแผ่แบนคลา้ ย
ใบมีสีเขียว และทาหนา้ ที่คลา้ ยใบ พืช
ชนิดน้ีใบแทจ้ ะมีขนาดเล็กและจุหลุด
ร่วงไปเหลือแต่กา้ นใบทาหน้าท่ีแทน
ใบ

ใบทุ่น (Buoyancy Leaf)

ใบทุ่น (Buoyancy Leaf) เป็น
ใบท่ีมีกา้ นใบเปลี่ยนเป็ นทุ่นลอยน้า
โดยกา้ นใบจะพองโต ภายในมีช่อง
อากาศขนาดใหญ่ ช่วงพยงุ ให้ลาตน้
ลอยน้าได้

ใบขยายพนั ธุ์
(Reproductive Leaf)

ใบขยายพนั ธุ์ (Reproductive
Leaf) เป็ นใบที่เปลี่ยนแปลงไป
เพอ่ื ทาหนา้ ที่ขยายพนั ธุ์

ใบกบั ดักแมลง (Carnivorous)

ใบกบั ดกั แมลง (Carnivorous) เป็ นใบท่ี
เปลี่ยนแปลงไปเป็นกบั ดกั แมลง

ใบล่อตา (Bract)

ใ บ ล่ อ ต า ( Bract) เ ป็ น ใ บ ที่
เปลี่ยนแปลงไปทาหน้าที่รองรับดอก
และช่อดอก อาจจะมีสีเขียวหรือสีอื่นๆ
เพื่อช่วยล่อแมลง

ลกั ษณะทัว่ ไป
ของใบ

ส่ วนประกอบของใบแท้

ใบมีส่วนประกอบที่สาคญั 3 ส่วน คือ แผน่ ใบ กา้ นใบ และหูใบ

แผ่นใบ
(BLADE OR LAMINA)

เป็ นส่ วนประกอบที่สาคัญ
มากของใบ ซ่ึงใบพืชส่วนมากจะมี
ลกั ษณะแผเ่ ป็ นแผ่นบาง ๆ เพ่ือให้
ไ ด้ รั บ แ ส ง ม า ก ท่ี สุ ด แ ผ่ น ใ บ
ประกอบดว้ ย ปลายใบ (Apex) ขอบ
ใบ (Margin) และฐานใบ (Base) ท้งั
ปลายใบ ขอบใบ และฐานใบมีรูปร่าง
แตกต่างกนั มากหลายชนิด

ก้านใบ
(PETIOLE OR STALK)

เป็ นส่วนของใบท่ีเชื่อม
ระหวา่ งตวั ใบกบั ลาตน้ หรือกิ่ง
กา้ น มีหนา้ ที่ในการลาเลียงน้า
และเกลือแร่จากราก ลาตน้ ผา่ น
กา้ นใบไปยงั แผน่ ใบและลาเลียง
อาหารท่ีแผน่ ใบผลิตข้ึนมา โดย
ผา่ นเส้นใบ เส้นกลางใบมายงั
กา้ นใบและส่วนอ่ืน ๆ ของพืช

หูใบ
(STIPLUE)

มีลกั ษณะคลา้ ยใบขนาดเลก็ มีสีเขียว
ยนื่ ออกมาท่ีโคนของกา้ นใบ อาจจะมี 1 หรือ
2 หูใบ

*** ใบท่ีมีส่ วนประกอบครบทุกส่ วน
เรียกวา่ ใบสมบูรณ์ (Complete Leaf)***

การจดั ระเบยี บของเส้นใบ
(VENATION)

❑ แบบร่างแห (NETTED VENATION)
- (PINNATELY NETTED VENATION)
- (PLAMATELY NETTED VENATION)

❑ แบบขนาน (PARALLEL VENATION)
- (BASEL PARALLEL VENATION)
- (COSTAL PARALLEL VENATION)

❑ (OPENED VENATION)

แบบร่างแห
(NETTED VENATION)

• แบบร่ างแหรู ปขนนก (PINNATELY
NETTED VENATION)

การจดั ระเบียบของเส้นใบแบบน้ี
เส้นกลางใบจะมีขนาดใหญ่ที่สุด มีเส้นใบ
ขนาดรองลงมาแยกออกไป และจะมีเส้น
ใบเลก็ ๆ แยกออกจากเสน้ ใบไปอีก

แบบร่างแห
(NETTED VENATION)

• แบบร่างแหรูปฝ่ ามือ (PALMATELY
NETTED VENATION)

การจดั ระเบียบของเส้นใบแบบน้ี
เส้นกลางใบจะมีหลายเส้น ขนาดเท่ากนั
แยกออกจากปลายของก้านใบตรง
รอยต่อกบั แผน่ ใบที่จุดเดียวกนั แลว้ จึงจะ
มีเส้นใบแยกออกไปอีก

แบบขนาน
(PARALLEL) VENATION)

• แ บ บ ข น า น จ า ก ฐ า น ใ บ ถึ ง ป ล า ย ใ บ
(BASEL PARALLEL VENATION)

เส้นใบขนานกนั ต้งั แต่ฐานใบจนถึง
ปลายใบ

แบบขนาน
(PARALLEL VENATION)

• แบบขนานต้งั แต่เส้นกลางใบถึงขอบใบ
(COSTAL PARALLEL VENATION)

เส้นกลางใบขนาดใหญ่เส้นเดียว
และเส้นใบจะแตกแยกออกจากเส้นกลาง
ใบไปจนถึงขอบใบ เส้นใบแต่ละเส้นท่ี
ออกจากเส้นกลางใบน้ีจะขนานกนั ตลอด

แบบปลายแยก
ออกเป็ น 2 แฉก

(OPENED
VENATION)

การจัดระเบียบของใบ
(LEAF ARRANGEMENT)

• แบบสลบั (ALTERNATE)
ข้อแต่ละของกิ่ งหรื อลาต้น

จะมีใบติดอยู่ใบเดียวโดยใบในข้อ
หน่ึง จะอยตู่ รงขา้ มกบั ใบของอีกขอ้
หน่ึง สลบั กนั เช่นน้ีเร่ือยไป

การจดั ระเบียบของใบ
(LEAF ARRANGEMENT)

• แบบเกลียว (SPIRAL)
การจดั ระเบียบของใบน้ีคลา้ ย

กบั แบบสลบั แต่ตาแหน่งของใบในแต่
ละขอ้ จะเย้ืองกนั เล็กน้อย ไม่ถึงกบั อยู่
ตรงกันขา้ มเหมือนแบบสลบั ทาให้ดู
คลา้ ยลกั ษณะเกลียว

การจัดระเบยี บของใบ
(LEAF ARRANGEMENT)

• แบบตรงกนั ขา้ ม (OPPOSITE)
ขอ้ แต่ละขอ้ จะมีใบติดอยู่

2 ใบ ในทิศทางตรงกนั ขา้ ม และ
ทุก ๆ ขอ้ กจ็ ะมีใบอยแู่ นวเดียวกนั
ท้งั หมด

การจดั ระเบยี บของใบ
(LEAF ARRANGEMENT)

• แบบวง (Whorled)
ข้อ แ ต่ ล ะ ข้อ จ ะ มี ใ บ ติ ด อ ยู่

มากกวา่ 2 ใบข้ึนไป

การจดั ระเบยี บของใบ
(LEAF ARRANGEMENT)

• แบบกระจุกที่ฐาน (Basel)
เป็ นใบท่ีติดอยู่กับลาต้นเป็ น

กระจุกที่บริเวณผวิ ดิน

การจดั ระเบียบของใบ
(LEAF ARRANGEMENT)

• แบบกระจุก (Fasicled)
ในขอ้ หน่ึง ๆ ของก่ิง หรือลาตน้ จะมี

ใบติดเป็นกระจุกและมีเยอื่ บาง ๆ หุ้มอยทู่ ี่
โคนกระจุกน้ี

การจาแนกประเภทของใบ

• ใบเดย่ี ว (SIMPLE LEAF)
• ใบประกอบ (COMPOUND LEAF)

- ใบประกอบแบบขนนก (PINNATELY COMPOUND LEAVES)
- ใบประกอบแบบฝ่ ามือ (PALMATELY COMPOUND LEAVES)

ใบเดย่ี ว
(SIMPLE LEAF)

ใบที่เกิดบนกา้ นใบที่แตกออก
จากลาตน้ หรือกิ่งเพียงใบเดียว ถึงแม้
จะแหว่งเวา้ อย่างไรก็ตาม แต่ถ้าไม่
แหว่งเว้าจนกลายเป็ น 2 ใบ หรื อ
มากกวา่ น้นั กจ็ ดั วา่ เป็นใบเด่ียว

ใบประกอบ
(COMPOUND LEAF)

ใบที่ติดอยบู่ นกา้ นใบมากกวา่ 1
ใบข้ึนไป ใบแต่ละใบ เรียกวา่ ใบย่อย
(Leaflet) กา้ นของใบย่อย เรียกว่า
ก้านใบย่อย (Petiolule) และกา้ นใบที่อยู่
ระหว่างกา้ นใบย่อยของใบย่อยของแต่
ละใบ เรียกวา่ ราคิส (Rachis)

ใบประกอบแบบขนนก
(PINNATELY COMPOUND LEAVES)

ใบประกอบที่มีใบย่อยเกิดท้งั สอง
ขา้ งของราคิส ถ้าปลายสุดของราคิสมีใบ
ยอ่ ยเพียงใบเดียว เรียกว่า ใบประกอบแบบ
ขนนกค่ี ถ้าปลายสุดของราคิสมีใบย่อย
เพียงสองใบ เรียกว่า ใบประกอบแบบขน
นกคู่

ใบประกอบแบบฝ่ ามือ
(PALMATELY COMPOUND LEAVES)

ใบประกอบที่มีใบยอ่ ยหลายใบแตก
ออกจากกา้ นใบท่ีจุดเดียวกนั ถา้ มีใบยอ่ ย 2
ใบ เรียกวา่ ไบฟอริเอต (Bifoliate) ถา้ ใบ
ยอ่ ย 3 ใบ เรียกวา่ ไทรฟอริเอต (Trifoliate)
มีใบยอ่ ยออกจากจุดเดียวกนั 4 ใบ เรียกวา่
ควอท ดริฟอริเอต (Quadrifoliate) ถา้ มีใบ
ย่อยมากกว่าน้ี เรี ยกว่า พอลิฟอริ เอต
(Polyfoliate)

รูปร่างของใบ
(LEAF SHAPE)

รูปร่างของตัวใบว่ามีลกั ษณะอย่าง
ไน คล้ายหรือเหมือนกับอะไรบ้าง ซ่ึงมัก
เรี ยกตามลักษณะของสิ่ งที่เหมือน โดย
ส่วนมากจะเป็ นใบเดี่ยว ส่วนใบประกอบ
มกั เป็นรูปร่างธรรมดา

LINEAR

เป็ นใบเล็ก ๆ แคบ ๆ แต่ยาวมาก
(เมื่อเปรียบเทียบกบั ความกวา้ ง) ขอบใบท้งั
2 ขา้ งเกือบขนานกนั

FILIFORM

มีลักษณะเป็ นเส้น ๆ (แคบกว่า
LINEAR มาก) อ่อนแต่ยาวมาก อาจจะกลวง
ดว้ ย

ACICULAR

คล้าย Filiform แต่แข็งกว่า ซ่ึ งมี
ลกั ษณะเป็นใบยาว รูปเขม็

LENCEOLATE

รูปร่างเหมือนใบหอก ค่อนขา้ ง
ยาว ส่วนใกล้โคนใบกว้างหรื อป่ อง
มากกวา่ ส่วนอื่น ๆ คือ ค่อย ๆ เรียวไป
ทางปลายใบ

รูปร่างคลา้ ย Lenceolate ส่วนที่กวา้ งที่สุดแทนท่ีจะ

OBLANCEOLATE เป็นบริเวณใกลโ้ คนใบกลบั เป็นบริเวณใกล้ ๆ ปลายใบ

แลว้ คอ่ ย ๆ เรียวมาทางโคนใบ

OVAL

มีรู ปร่ างเหมือนไข่ และส่วนท่ี
กวา้ งที่สุดอยบู่ ริเวณกลางใบ

OVATE

มีรูปร่างเหมือนรูปไข่เช่นกนั
แต่ส่วนท่ีกวา้ งท่ีสุดอยู่ค่อนไปทาง
โคนใบ

OBOVATE

มีรูปร่างกลบั กบั Ovate

ELLIPTICAL

มีรูปร่างกลมรีคล้าย Oval แต่ค่อนขา้ ง
ยาวและแคบกวา่

OBLONG

รูปร่างคลา้ ยรูปส่ีเหล่ียมผืนผา้
แต่โคนและปลายมนขอบใบท้งั 2 ขา้ ง
เกือบขนานกนั

RENIFORM

มีลักษณะเป็ นรูปไต หรื อรูปถั่ว
แขก

SPATULATE

มีลกั ษณะคลา้ ยช้อนสังกะสี หรือช้อน
กระเบ้ือง ซ่ึงตรงท่ีเป็ นด้ามช้อนค่อนขา้ งยาว
กวา่ โคน


Click to View FlipBook Version