1
หลกั สตู รเพอ่ื ชีวิตและสังคม
(Social process and life function curriculum)
พทุ ธศักราช ๒๕๖๔
ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน
พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑
สานกั งานเขตพืน้ ทกี่ ารศกึ ษามัธยมศึกษา
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
กระทรวงศกึ ษาธิการ
2
ประกาศการใช้หลกั สูตร
เรอ่ื ง ให้ใชห้ ลักสูตรเพอ่ื ชวี ิตและสงั คม พุทธศักราช ๒๕๖๔
ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช ๒๕๕๑
……………………………….
ตามที่โรงเรียนมัธยมหนองเขียด ได้ประกาศใช้หลักสูตรโรงเรียนมัธยมหนองเขียด พุทธศักราช ๒๕๖๑
โดยเร่ิมใช้หลักสูตรดังกล่าวกับนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายในปีการศึกษา ๒๕๖๔ เพ่ือให้สอดคล้องรับ
กบั นโยบายเรง่ ดว่ นของรัฐมนตรวี ่าการกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อใหผ้ ูเ้ รียนพัฒนาทักษะกระบวนการคิด วเิ คราะห์ มี
เวลาในการทากิจกรรมเพื่อพัฒนาความรู้ ความสามารถและทักษะ การปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรม การสร้างวินัย
การมจี ิตสานกึ รบั ผดิ ชอบต่อสังคม ยึดมนั่ ในสถาบันชาตศิ าสนา พระมหากษตั ริย์ และมคี วามภาคภมู ิใจในความเป็น
ไทย ตลอดจนการเรียนการสอนในวิชาเศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนมัธยมหนองเขียด ได้ดาเนินการจัดทาหลักสูตร
โรงเรียนมัธยมหนองเขียด พุทธศักราช ๒๕๖๔ สอดคล้องตามประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เร่ือง การบริหาร
จัดการเวลาเรียน และปรับมาตรฐานและตัวช้ีวัด สอดคล้องกับ คาสั่งสพฐ. ท่ี ๑๒๓๙/๖๐ และประกาศ สพฐ.ลง
วนั ท่ี ๘ มกราคม ๒๕๖๑ เปน็ ที่เรียบร้อยแลว้
ท้ังนี้หลักสูตรโรงเรียนได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพ้ืนฐาน เม่ือวันท่ี ๒๐
เมษายน ๒๕๖๑ จงึ ประกาศใหใ้ ช้หลกั สูตรโรงเรียนต้งั แตบ่ ัดนเี้ ปน็ ตน้ ไป
ประกาศ ณ วันที่ ......... เดือน กนั ยายน พ.ศ. ๒๕๖๔
ลงชื่อ ลงช่อื
( ..................................................... ) ( ..................................................... )
ประธานคณะกรรมการสถานศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน ผู้อานวยการโรงเรียนมัธยมหนองเขียด
โรงเรียนมัธยมหนองเขียด
ก
คานา
หลักสูตรเพ่ือชีวิตและสังคม (Process and Life Function Curriculum) (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2564) ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 เป็นแผนหรือแนวทาง หรือข้อกาหนดของการจัด
การศึกษาของโรงเรียนท่ีจะใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาผู้เรี ยนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กาหนด มุ่ง
พัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพที่สุจริต ตลอดจนการ
รู้จักอนุรักษ์วัฒนธรรม ประเพณีท้องถ่ิน โดยมุ่งหวังให้มีความสมบูรณ์ท้ังด้านร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา อีกท้ังมี
ความรู้และทักษะท่จี าเป็นสาหรับการดารงชวี ติ และมีคุณภาพได้มาตรฐานสากลเพ่ือการแข่งขันในยุคปจั จบุ นั ดังน้ัน
หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม (ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2564) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน
พุทธศักราช 2551 จึงประกอบด้วยสาระสาคัญของหลักสูตรแกนกลาง สาระความรู้ท่ีเกี่ยวข้องกับหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ ชุมชน ท้องถ่ิน และสาระสาคัญที่พัฒนาเพ่ิมเติม โดยจัดเป็นสาระการ
เรียนรู้รายวิชาพื้นฐานตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด และสาระการเรียนรู้เพ่ิมเติม จัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
เป็นรายภาคเรียนในระดับมัธยมศึกษา และกาหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตรหลักสูตรเพ่ือชีวิตและ
สังคม (ฉบับปรบั ปรุง พทุ ธศกั ราช 2564) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
สารบญั ข
เร่ือง หน้า
ประกาศการใช้หลกั สูตร ก
คานา ข
สารบญั
ส่วนที่ 1 การสร้างหลกั สูตร 1
ความเป็นมา 2
วิสยั ทศั น์ตามยุทธศาสตรช์ าติในศตวรรษท่ี 21 2
วิสยั ทัศนข์ องหลักสูตรเพ่ือชีวติ และสงั คม 2
พนั ธกจิ ของหลกั สตู ร 2
เปา้ หมายของหลักสูตร 3
ปรัชญา 3
อตั ลกั ษณ์/ เอกลกั ษณ์ 3
หลกั การของหลักสูตร 3
จุดมุ่งหมาย 4
คุณภาพของผู้เรียน 4
คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 4
สมรรถนะสาคัญของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21 4
จุดประสงคข์ องหลักสูตรเพ่ือชวี ติ และสังคม 5
คาอธิบายรายวชิ าเพิ่มเตมิ 8
กระบวนการจัดการเรยี นรู้ 8
ส่ือและแหลง่ การเรยี นรู้ 9
การวดั และประเมนิ ผล 9
การจบหลักสตู ร 10
อภิธานศัพท์ 12
สว่ นที่ 2 การนาหลักสตู รไปใช้ 14
สว่ นที่ 3 การประเมนิ หลักสูตร 22
คณะผจู้ ดั ทา 23
ภาคผนวก 44
เอกสารอ้างอิง
1
ความเป็นมา
“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดาริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ที่พระราชทานมานานกว่า 40
ปี เป็นแนวคิดที่ต้ังอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพ้ืนฐานของทางสายกลาง และ
ความไม่ประมาท คานึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และ
คณุ ธรรม เปน็ พน้ื ฐานในการดารงชีวติ ทส่ี าคญั จะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซ่ึงจะนาไปสู่ “ความสขุ ” ใน
การดาเนนิ ชวี ิตอยา่ งแท้จริง
เศรษฐกิจพอเพียง เป็นปรัชญาช้ีถึงแนวการดารงอยู่ และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับต้ังแต่ระดับ
ครอบครัว ระดับชุมชนจนถงึ ระดบั รัฐ ทัง้ ในการพฒั นา และบรหิ ารประเทศใหด้ าเนินไปใน ทางสายกลาง โดยเฉพาะ
การพฒั นาเศรษฐกิจเพื่อใหก้ า้ วทนั ตอ่ โลกยคุ โลกาภวิ ัตน์
ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจาเปน็ ที่จะตอ้ งมีระบบภมู ิคุ้มกันใน
ตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอก และภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัย
ความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างย่ิง ในการนาวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการวางแผน และการ
ดาเนินการทุกขนั้ ตอน และขณะเดียวกนั จะตอ้ งเสริมสร้างพืน้ ฐานจติ ใจของคนในชาติโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรฐั นัก
ทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับให้มีสานึกในคุณธรรม ความซ่ือสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดาเนิน
ชีวิต ด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการ
เปลีย่ นแปลงอยา่ งรวดเร็ว และกว้างขวางทั้งดา้ นวตั ถุ ส่ิงแวดล้อม และวฒั นธรรมจากโลกภายนอกไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
การนาปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้ เป็นกรอบแนวความคิดและทิศทางการพัฒนาระบบเศรษฐกิจมห
ภาคของไทย ซึ่งบรรจุอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560-2564)ได้น้อมนาหลัก
“ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพยี ง” มาเป็นปรัชญานาทางในการพัฒนาประเทศอยา่ งตอ่ เนื่องจากแผนพฒั นาเศรษฐกิจและ
สงั คม ฉบบั ท่ี 9-11 เพ่ือเสริมสร้างภูมคิ ุ้มกันและช่วยให้สังคมไทยสามารถยืดหยดั อยู่ได้อย่างมนั่ คงเกิดภูมิคุ้มกนั และ
มีการบริหารจัดการความเส่ียงอย่างเหมาะสม ส่งผลให้การพัฒนาประเทศสู่ความสมดุลและย่ังยืน และมีภูมิคุ้มกัน
เพ่ือความอยู่ดีมีสุข มุ่งสู่สังคมที่มีความสุขอย่างย่ังยืน หรือที่เรียกว่า สังคมสีเขียว (Green Society) ด้วยหลักการ
ดังกล่าว การพัฒนาประเทศในช่วงแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 12 จาเป็นต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อวางรากฐานของ
ประเทศในระยะยาวให้มุ่งต่อยอดผลสัมฤทธิ์ของแผนทสี่ อดคล้องเชื่อมโยงและรองรบั การพฒั นาอย่างต่อเนือ่ งกัน ไป
ตลอด 20 ปี ตามกรอบยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2560-2579) ฉบับนี้ ยดึ วสิ ยั ทัศของกรอบยุทธศาสตรช์ าติท่ีกาหนดว่า
“ประเทศไทยมีความมั่นคง มั่งคั่ง ย่ังยืน เป็นประเทศพัฒนาแล้ว ด้วยการพัฒนาตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจ
พอเพียง” การขับเคลื่อนแผนพัฒนาฯ ฉบับท่ี 12 สู่การปฏิบัติมีหลักการและแนวทางดาเนินงาน สรุปได้ ดังน้ี
กระจายการพัฒนาลงส่พู ้ืนที่ โดยยึดหลักการพัฒนาพื้นที่ ภารกิจ และการมีส่วนร่วม ให้จังหวัดเปน็ พ้ืนท่ีดาเนินการ
ขับเคล่ือนการพัฒนา และเป็นจุดเช่ือมโยงการพัฒนาจากชุมชนสู่ประเทศ และประเทศสู่ชุมชน เพ่ิมการใช้องค์
ความรู้ เทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นเคร่ืองมือหลักในการขับเคล่ือนการพัฒนาในทุกภาค
ส่วนในระดับพืน้ ท่ี ท้องถ่นิ และชมุ ชน
เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่สามารถ ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ภาค
บริการและภาคเกษตรมีผลิตภาพการผลิตในระดับต่า ขาดการนาเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต
2
ประกอบกับแรงงานไทยยงั มีปัญหาเรื่องคุณภาพ และสมรรถนะทไ่ี ม่สอดคล้องกับความต้องการในการขับเคลื่อนการ
พัฒนาของประเทศ ในขณะเดียวกัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรทีม่ ีสดั สว่ นประชากรวัยแรงงานและวัยเด็ก
ที่ลดลงและประชากรสูงอายุที่เพ่ิมขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยเส่ียงสาคัญที่จะทาให้การพัฒนาประเทศ ในมิติ
ตา่ งๆ มีความท้าทายมากข้นึ คณะผจู้ ัดทาหลกั สตู รจงึ เล็งเหน็ ความสาคัญจึงพฒั นาหลักสตู รเพื่อชวี ิตและสังคมฉบับนี้
มาโดยมีความสอดคล้องกับจุดเน้นของหลักสูตรที่ยึดกระบวนการทางทักษะหรือประสบการณ์เป็นหลัก (process
skill or experience curriculum) การจัดหลกั สูตรจึงเป็นการเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ให้กับผู้เรียน และ
ให้ผูเ้ รียนไดร้ จู้ ักการแก้ปัญหา โดยจะม่งุ เนน้ การพฒั นาทักษะกระบวนการเรียนรขู้ องผเู้ รียน
วิสยั ทัศนต์ ามยทุ ธศาสตรช์ าติในศตวรรษที่ 21
“คนไทยทุกคนได้รับการศึกษาและเรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ดารงชีวิตอย่างเป็นสุข สอดคล้องกับ
หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง และการเปลย่ี นแปลงของโลกศตวรรษท่ี ๒๑”
วิสยั ทัศนข์ องหลกั สูตรเพอ่ื ชีวติ และสังคม
เรียนรูจ้ ากประสบการณ์ ผ่านการลงมอื ทา นาสู่การเรยี นร้ใู นศตวรรษที่ 21
พนั ธกิจของหลักสตู ร
1. พัฒนาศักยภาพผู้เรียนเพ่ือเพิ่มขีดความสามารถในการดารงชีวิตโดยพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ให้มีความรู้
ทกั ษะวชิ าการ ทกั ษะชีวิต ทกั ษะวชิ าชีพ คุณลักษณะในศตวรรษท่ี 21
2. สง่ เสรมิ การนอ้ มนาศาสตร์พระราชาและพระราชดาริดา้ นการศึกษาเพ่ือการเสรมิ สรา้ งคุณภาพชีวติ ที่เป็น
มติ รกับสิง่ แวดลอ้ ม
3. ส่งเสรมิ ใหท้ ุกภาคสว่ นมสี ว่ นร่วมในการจดั การศกึ ษา โดยใชเ้ ทคโนโลยีดิจทิ ลั (Digital Technology)
เป้าหมายของหลกั สตู ร
1. มีหลักสูตรท่ีเหมาะสมกับผู้เรียนและท้องถ่ิน พัฒนาตามการเปล่ียนแปลงและการเจริญก้าวหน้าทาง
วิทยาการตา่ งๆ โดยสอดคลอ้ งกบั ยุทธศาสตร์ดา้ นการศึกษาของชาติ
2. ผูเ้ รียนสามารถใชเ้ ทคโนโลยเี พอื่ การศกึ ษาได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
3. ผเู้ รียนมีทกั ษะและสมรรถนะในการทางานโดยการใช้กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์
4. ผูเ้ รียนสามารถนาแนวคดิ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปประยุกตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวัน
5. บุคลากรมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานวชิ าชพี มีคุณธรรม จริยธรรม มีจรรยาบรรณ และมีทักษะ
ในการใช้เทคโนโลยีอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
6. สถานศกึ ษา ผูป้ กครอง และชมุ ชน มีความสัมพันธ์ท่ดี ีและมีส่วนรว่ มในการพฒั นาการศกึ ษา
7. คณะกรรมการสถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน ปฏิบตั ิงานตามบทบาทหน้าที่อย่างมีประสิทธภิ าพและ
เกิดประสทิ ธิผล
3
ปรัชญา
“ชีวิตต้องมีการเปลีย่ นแปลง ความรู้ท่แี ท้จรงิ จะไดม้ านัน้ จะต้องลงมอื กระทาเพื่อให้เกิดประสบการณ์”
ซ่ึงได้รับอิทธิพลมาจากหลักปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยม (progressivism) และปฏิรูปนิยม
(reconstructionism)
อตั ลักษณ์/ เอกลักษณ์
“ส่งเสรมิ วถิ ีชวี ติ ตามแนวคิดเศรษฐกจิ พอเพยี ง”
หลักการของหลักสตู ร
หลักสตู รเพ่ือชวี ติ และสังคมมีหลักการที่สาคญั ดงั นี้
1. เป็นหลักสตู รการศกึ ษาทมี่ ุ่งแกไ้ ขขอ้ บกพร่อง โดยยึดกจิ กรรมเป็นหลกั
2. เป็นหลกั สูตรการศกึ ษาเพ่อื ผู้เรียนจะได้นาความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้
3. เปน็ หลกั สูตรการศึกษาที่เชอื่ มโยงความสมั พนั ธ์ระหว่างชวี ิตจรงิ ของผู้เรยี นหรือภาวะทางสงั คมท่กี าลัง
ประสบปัญหาอยู่
4. เป็นหลกั สตู รการศึกษาทเ่ี นน้ ผูเ้ รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง
5. เป็นหลกั สูตรการศึกษาสาหรบั การศึกษาในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศยั ครอบคลุมทกุ
กลมุ่ เปา้ หมาย สามารถเทียบโอนผลการเรยี นรู้และประสบการณ์
จดุ มุ่งหมาย
1. การใช้ชีวิตบนพนื้ ฐานของการรู้จักตนเอง และทาสิ่งต่าง ๆ ตามความสามารถของตนเอง
2. สามารถพ่งึ พาตนเองในการดาเนินชีวติ ประจาวนั มีการปรึกษาหารอื ช่วยเหลอื ซึง่ กนั และกนั โดยจะต้อง
ยดึ หลักการพงึ่ ตนเองในครอบครัวก่อนทจ่ี ะพ่ึงพาคนอ่นื
3. ใชช้ ีวติ อย่างพอเพยี ง ยดึ ทางสายกลางในการดาเนินชวี ิตใหต้ นเองอย่อู ยา่ งสมดลุ เพ่ือการมีความสขุ อย่าง
แทจ้ รงิ
4. สามารถแลกเปลีย่ นความรู้ รวมกันสบื ทอดภมู ปิ ัญญาและร่วมกันพฒั นาตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพียง
เพอื่ สร้างเป็นเครือข่ายทง้ั ในและนอกสงั คม
4
คุณภาพของผู้เรียน
นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจในหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและนา ไปใช้ในการดาเนินชีวิตประจาวัน
สามารถคดิ วิเคราะห์ สงั เคราะห์ มีวจิ ารณญาณ มคี วามคิดสร้างสรรค์ ไตร่ตรองและมีวสิ ัยทศั น์ เหน็ คณุ ค่าภมู ิปญั ญา
ไทย มจี ติ สานกึ ทีเ่ ห็นแกป่ ระโยชน์สว่ นรวม มคี ุณธรรมและจรยิ ธรรมสามารถอยู่ร่วมกับผอู้ ืน่ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
คุณลักษณะอันพึงประสงคข์ องผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21
1. เปน็ นกั คดิ วิเคราะห์
2. เป็นนักแกป้ ญั หา
3. เปน็ นกั สรา้ งสรรค์
4. เปน็ นักประสานความร่วมมือ
5. รจู้ ักใชข้ อ้ มลู และข่าวสาร
6. เปน็ ผู้เรียนรู้ด้วยตนเอง
7. เปน็ นักสือ่ สาร ครูพดู น้อยและเดก็ พดู มาก
8. ตระหนกั รับรู้สภาวะของโลก
9. เป็นพลเมืองทรงคุณค่า
10. มีพืน้ ฐานความรู้เศรษฐกจิ และการคลัง
สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี นในศตวรรษที่ 21
1. ความสามารถในการสอ่ื สาร
2. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
3. ความสามารถในการคดิ
4. ความสามารถในการแกป้ ัญหา
5. ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต
จดุ ประสงค์ของหลกั สตู รเพ่อื ชวี ติ และสังคม
1. เพื่อให้ผู้เรียนมคี วามรู้ ความเขา้ ใจท่ีถูกต้อง ในเร่ือง หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี งและเกษตร
ทฤษฎใี หม่ การทาบญั ชคี รัวเรอื น การทานา้ หมกั ชวี ภาพ การปลูกพืช เลีย้ งสัตว์ และการแปรรูปผลผลิต
ทางการเกษตร (K)
2. เพ่ือใหผ้ เู้ รียนเกดิ กระบวนการสรา้ งองคค์ วามรู้ดว้ ยการสืบค้น รวบรวมขอ้ มูลจากแหล่งเรียนรูใ้ นทอ้ งถิ่น
ทักษะกระบวนการปฏิบตั ิ และกระบวนการเผชญิ สถานการณ์ (P)
3. เพอื่ ใหผ้ ้เู รียนสามารถอยู่ร่วมกันในสงั คมได้อยา่ งมคี วามสขุ และสามารถนาหลกั ปรัชญาเศรษฐกจิ พอเพียง
มาประยุกตใ์ ช้ในชีวติ ประจาวัน โดยให้สอดคลอ้ งกับคุณลักษณะพึ่งประสงค์ของผู้เรียนในศตวรรษท่ี 21
ไดอ้ ย่างถูกต้อง (A)
5
คาอธิบายรายวิชาเพ่มิ เติม
รายวชิ า เศรษฐกจิ พอเพยี ง1 รหสั วิชา ง31101 กลมุ่ สาระการเรียนรู้การงานอาชพี
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4-6 ภาคเรียนท่ี 1 เวลาเรยี น 40 ชวั่ โมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ
ศึกษา อธบิ ายแนวคดิ ทฤษฎี ความหมาย ความสาคญั ของหลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งและเกษตรทฤษฎี
ใหม่ การทาบัญชีครวั เรอื น การทานา้ หมกั ชวี ภาพ การปลูกพชื เลยี้ งสัตว์ การแปรรูปผลผลติ ทางการเกษตร และการ
ประยุกต์ใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในรูปแบบต่างๆ ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตในระดับบุคคล ชุมชน องค์กร และ
ประเทศ รวมท้ังการศึกษาดูงานนอกห้องเรียนให้สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการดารงชีวิตประจาวันได้อย่าง
เหมาะสม และปลูกฝังปรับเปล่ียนวิถีชีวิตให้อยู่บนพ้ืนฐานเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎี โดยใช้ภูมิปัญญา
ทอ้ งถน่ิ นาไปส่กู ารพฒั นาทีย่ งั่ ยืน
โดยใช้กระบวนการเรียนการแบบโครงการ (Project Approach) และ การเรยี นรูโ้ ดยใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (Project-
Based Learning ) โดยเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ (สืบเสาะแสวงหาความรู้ ทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์) และ PLC การ
อธิบาย สาธติ ลงมอื ปฏบิ ัติ และศกึ ษาดูงานในโครงการทีเ่ กย่ี วข้องกับเศรษฐกจิ พอเพยี งและเกษตรทฤษฎใี หม่
ผู้เรียนเกิดสมรรถนะ ด้านการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้ทักษะชีวิต และการใช้เทคโนโลยี รู้จัก
ตน มีจิตสานึกในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ภูมิใจในความเป็นไทย รักท้องถิ่น และมีคุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ของ
ผ้เู รียนในศตวรรษที่ 21 (3Rs8Cs)
ผลการเรียนรู้
1. มีความรู้ ความเข้าใจ หลกั ปรชั ญาเศรษฐกจิ พอเพยี งและเกษตรทฤษฎใี หม่ (K)
2. มีทกั ษะ กระบวนการ สืบเสาะแสวงหาความรู้ โดยใช้วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ในการทานา้ หมักชีวภาพโดยใช้
หลักฐานแหล่งขอ้ มูลในทอ้ งถ่ิน (P)
3. มีเจตคติทีด่ ใี นการดารงชวี ิต นาไปสู่สมรรถนะของผ้เู รยี นในศตวรรษที่21 อย่างมดี ลุ ยภาพตามหลักเศรษฐกิจ
พอเพียง (A)
รวม 3 ผลการเรียนรู้
6
โครงสร้างรายวิชา
กลุ่มสาระการเรยี นรูก้ ารงานอาชีพ รายวชิ าเศรษฐกิจพอเพียง รหสั ง31101
ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 1 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ
หนว่ ยที่ ชอื่ หนว่ ย ผลการเรยี นรู้ สาระการเรยี นรู้ กระบวนการ วดั และประเมนิ ผล เวลา น้าหนกั
1 การเรยี นรู้ (ชว่ั โมง) คะแนน
ปรชั ญา 1.มีความรู้ ความ จัดการเรียน
เศรษฐกิจ เข้าใจ หลกั ปรัชญา 4 5
พอเพยี งและ เศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกิจพอเพยี งคือพระ สืบเสาะแสวงหา แผนผังความคดิ 6 5
เกษตร และเกษตรทฤษฎี 6 10
ทฤษฎีใหม่ ใหม่ ราชปรชั ญาซึง่ ร.9 ทรง ความรู้ (mind mapping)
3 10
พระกรณุ าพระราชทานแก่
พสกนกิ รชาวไทยเพื่อให้
สงั คมไทยมีชวี ิตดารงชวี ิต
อยไู่ ด้อย่างมั่นคงและ
ย่ังยนื
2 ขนั้ ท่ี 1 การ สงั เกตและสร้างความ การบอกเล่าของ แบบบันทึก
เริม่ ตน้
โครงงาน สนใจใหเ้ กดิ ขึน้ บนตวั ผู้รู้ เอกสาร และ พฤตกิ รรมและการ
ผเู้ รยี นและตกลงรว่ มกันใน ส่อื ตา่ งๆ จาก ทางานเปน็ กลุ่ม
การเลือกเร่ืองทีต่ อ้ งการ ความคดิ ทเี่ กดิ ขนึ้
ศึกษาอย่างละเอียด หรอื ตัวอยา่ ง
โครงงานทผ่ี ้อู ื่นทา
ไว้แล้ว
3 ขน้ั ที่ 2 การ ผเู้ รยี นกาหนดหัวข้อ การสบื ค้นคาตอบ แบบตรวจสอบ
พฒั นา
โครงงาน คาถามหรอื ประเด็นปัญหา ดว้ ยตนเองตามขน้ึ โครงงาน
(ข้นั ทดลอง)
ท่ีสนใจอยากรแู้ ละ ตอนดังน้ี
ตั้งสมมตฐิ านเพอ่ื ตอบ 1. ผ้เู รยี นกาหนด
คาถาม ปัญหาท่ีจะศกึ ษา
2.ผู้เรียน
ต้งั สมมติฐาน
เบ้อื งต้น
3. ผู้เรยี น
ตรวจสอบ
สมมติฐานเบอื้ งต้น
4. ผู้เรียนสรุป
ความรจู้ ากผลการ
ตรวจสอบ
สมมตฐิ าน
4 ขั้นที่ 3 สรุป เปน็ ระยะสดุ ทา้ ยของ ผเู้ รยี นเขยี น การนาเสนอผลงาน
โครงงานทผ่ี ูเ้ รยี นค้นพบ รูปแบบงานวจิ ัย (แสดงเป็นแผน
7
คาตอบของปัญหา ผสู้ อน เล็กๆ (Baby โครงงานให้ผูท้ สี่ นใจ
และผเู้ รยี นจะได้แบง่ ปัน thesis) รบั รู้ สรุปและ
ประสบการณจ์ ากการทา นาไปใช้ใน
โครงงาน ชีวิตประจาวัน)
สอบกลางภาคเรียน
5 โครงงานท่ี ชือ่ โครงงานเศรษฐกิจ ผูเ้ รยี นเลอื กศกึ ษา กระบวนการทาง 1 20
ผ้เู รยี นสนใจ พอเพียง 19 30
1. เล้ียงปนู าในบอ่ ดิน โครงงานจากสง่ิ ท่ี วทิ ยาศาสตร์ 10
2. ผกั สวนครวั รัวกนิ ได้ 1 20
3. ปุย๋ นา้ หมกั ชีวภาพสูตร สนใจอยากรทู้ ี่มีอยู่ ขนั้ 40 100
ไข่ไก่
4. การแปรรปู ผลผลติ ทาง ในชีวติ ประจาวนั 1. ตรวจสอบ
การเกษตร
ส่ิงแวดลอ้ มใน วเิ คราะห์ พจิ ารณา
สอบปลายภาคเรยี น
รวม สงั คม หรือจาก รวบรวมความสนใจ
ประสบการณ์ ของผู้เรยี น
ตา่ งๆ ที่ยัง 2. กาหนดประเด็น
ตอ้ งการคาตอบ ปญั หา/หัวข้อเร่อื ง
และข้อสรุป 3. กาหนด
วัตถปุ ระสงค์
4. ต้ังสมมติฐาน
5. กาหนดวธิ กี าร
ศึกษาและแหลง่
ความรู้
6. กาหนดเคา้ โครง
ของโครงงาน
7. ตรวจสอบ
สมมติฐาน
8. สรปุ ผลการศึกษา
และการนาไปใช้
9. เรียนรายงานวจิ ยั
แบบงา่ ยๆ
10. จัดแสดงผลงาน
(นทิ รรศการ)
8
กระบวนการจัดการเรียนรู้
การจัดการเรียนรู้และการจัดการชั้นเรียน (learning and classroom management) เป็นบทบาทสาคัญ
ของครูทุกคนเริ่มจากการศึกษาวิเคราะห์หลักสูตรเอกสารที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์ผู้เรียนนามาวางแผนออกแบบ
กิจกรรมการเรียนรู้ การจัดหาหรือเลือกใชส้ ่ือ/แหล่งเรียนรู้ การวัดและประเมินผลและดาเนินการจัดการเรียนรู้และ
จัดการช้ันเรียน ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 ตามมาตรา 22 และมาตรา
24 เพอื่ ใหบ้ รรลตุ ามเปา้ หมายดงั กลา่ ว หนา้ ท่หี ลักของครูในการจดั กจิ กรรมการเรยี นรูท้ ่ีเนน้ ผ้เู รยี นเปน็ สาคญั โดยใน
หลักสตู รเพ่อื ชวี ิตและสังคม (Social process and life function curriculum) ฉบบั น้ไี ด้จัดกิจกรรมการเรยี นรู้เพื่อ
นามาใช้ให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ อย่างมีประสิทธิภาพ ตามเป้าหมาย วัตถุประสงค์ และผลการเรียนรู้ท่ีกาหนดไวใ้ น
หลักสูตร ได้แก่ สืบเสาะแสวงหาความรู้ การบอกเล่าของผู้รู้ เอกสาร และสื่อต่างๆ จากความคิดท่ีเกิดขึ้นหรือ
ตัวอย่างโครงงานทผ่ี ู้อน่ื ทาไว้แลว้ การสบื คน้ คาตอบดว้ ยตนเองตามข้นึ ตอนดังน้ี 1) ผู้เรียนกาหนดปญั หาทีจ่ ะศึกษา
2) ผู้เรียนต้ังสมมติฐานเบื้องต้น 3) ผู้เรียนตรวจสอบสมมติฐานเบ้ืองต้น 4) ผู้เรียนสรุปความรู้จากผลการตรวจสอบ
สมมตฐิ าน ผเู้ รียนเขยี นรูปแบบงานวิจยั เล็กๆ (Baby thesis) และผูเ้ รยี นเลือกศกึ ษาโครงงานจากสงิ่ ทส่ี นใจอยากรู้ท่ี
มอี ยู่ในชีวิตประจาวนั สง่ิ แวดลอ้ มในสงั คม หรอื จากประสบการณ์ต่างๆ ทยี่ งั ตอ้ งการคาตอบและข้อสรปุ
ส่อื
1. สอ่ื บคุ คล/ วทิ ยากร
2. คูม่ อื การทานา้ หมักชวี ภาพสูตรพอเพยี ง
3. สื่อออนไลน์ เช่น YouTube สารานุกรมเสรี TikTok Facebook และเพจตา่ งๆ ทีเ่ ก่ียวข้อง
แหล่งการเรียนรู้
4. หอ้ งสมุด งานวิจยั
5. ตัวอย่างช้นิ งาน
6. แหลง่ เรยี นร้ใู นชมุ ชน/ทอ้ งถ่นิ
9
การวัดและประเมินผล
ในหลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคมจะประกอบด้วยกระบวนการย่อย ได้แก่ การวัด (measurement) และการ
ประเมินผล (assessment) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือพัฒนาผ้เู รียนให้บรรลุผลการเรยี นรู้โดยให้ผูส้ อนพัฒนาคุณภาพผเู้ รยี น
เพ่ือพัฒนาผู้เรียน ส่งเสริมให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรอู้ ย่างเต็มศักยภาพ โดยหลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคมจะแบ่งการวัด
และประเมินผลออกเปน็ 4 ด้านดังนี้ 1) ดา้ นผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน 3 ดา้ น คือ ความรู้ ทกั ษะ และเจตคติ 2) ด้าน
การอ่าน คิด วิเคราะห์ และเขียน 3) ด้านคุณลักษณะอันพึ่งประสงค์ 4) ด้านกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน บนหลักการ
พ้ืนฐาน 2 ประการ คือ การประเมินเพ่ือพัฒนาผู้เรียนและเพื่อตัดสินผลการเรียน ในหลักสูตรน้ีจะใช้การประเมิน
ระดับชั้นเรียนในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลายและเครื่องมือวัดตามสภาพจริง
เช่น การประเมินโครงงาน การประเมินช้ินงานภาระงาน และการใช้แบบทดสอบโดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเอง หรือ
เปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เป็นการตรวจสอบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้อันเป็นผล
มาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่และมากน้อยเพียงใด มีส่ิงที่จะต้องได้รับการพัฒนา ปรับปรุง และ
ส่งเสริมในด้านใด ในระดับช้ันมัธยมศึกษาตอนปลายตัดสินผลการเรียนเป็นรายวิชา ผู้เรียนเรียนต้องมีเวลาเรียน
ตลอดภาคเรียนไม่น้อยกว่ารอ้ ยละ 80 ของเวลาเรียนทงั้ หมด ผูเ้ รียนเรียนรายวชิ าพ้นื ฐานและเพม่ิ เติมไม่นอ้ ยกวา่ 81
หน่วยกิต ผู้เรียนต้องได้หน่วยกิต ตลอดหลักสูตรไม่น้อยกว่า 77 หน่วยกิต โดยเป็นรายวิชาพ้ืนฐาน 39 หน่วยกิต
และรายวชิ าเพิ่มเตมิ ไม่น้อยกวา่ 38 หนว่ ยกติ ตามท่สี ถานศกึ ษากาหนด
การจบหลกั สตู ร
1. ผู้เรยี นเรียนรายวิชาพ้ืนฐานและเพิ่มเตมิ ไม่น้อยกวา่ 81 หนว่ ยกติ
2. ผูเ้ รียนต้องได้หนว่ ยกิตตลอดหลกั สูตร ไม่นอ้ ยกวา่ 77 หน่วยกติ
3. ผเู้ รียนมผี ลการประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขียน ในระดับผา่ นเกณฑ์การประเมินตามที่
สถานศกึ ษากาหนด
10
อภธิ านศัพท์
ปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy) หมายถึง การยึดหลักทางสายกลางและความไม่
ประมาทคานึงถงึ ความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล การสร้างภูมคิ ุม้ กนั ท่ดี ีในตวั ตลอดจนการใช้ความรดู้ ้วยความรอบ
ครอบระมดั ระวังและมีคณุ ธรรมเป็นพน้ื ฐานในการตัดสนิ ใจและการกระทา
นา้ หมกั ชีวภาพ หมายถงึ น้าหมกั ท่ีได้จากการหมักเศษซากพชื ซากสตั ว์ หรอื สารอินทรีย์ชนดิ ตา่ งๆ ที่หาได้
ในท้องถ่ินด้วยจุลินทรยี จ์ าเพาะ ซึง่ อาจหมกั ร่วมกับกากนา้ ตาลหรอื น้าตาลทรายแดง กระบวนการหมกั ของนา้ หมกั
ชีวภาพจะเกดิ จากการย่อยสลายสารอนิ ทรีย์ดว้ ยจลุ ินทรีย์ โดยใช้กากน้าตาลและนา้ ตาลจากสารอนิ ทรียเ์ ปน็ แหลง่
พลังงาน
การเล้ียงสัตว์ หมายถึง การปฏิบัติเกี่ยวกับการเลี้ยงดู การให้อาหาร การทา ความสะอาดท่ีอยู่อาศัย การ
ปอ้ งกันและรักษาโรคของสัตว์ เพ่อื ใหส้ ัตว์เจริญเตบิ โต สมบรู ณ์ แขง็ แรง และใหผ้ ลผลติ ตอบแทนสงู สุด
เกษตรผสมผสาน (Integrated Farming System) หมายถึง ระบบการเกษตรที่มีการปลูกพืชและการ
เล้ียงสัตว์ มีสัตว์หลายชนิดในพื้นท่ีเดยี วกัน โดยท่ีกิจกรรมการผลิตแต่ละชนิดจะต้องสามารถเกื้อกูลประโยชนต์ ่อกนั
ไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธิภาพเป็นการใช้ทรัพยากรทม่ี ีอยภู่ ายในไรน่ าอยา่ งเหมาะสมเพื่อก่อใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสดุ
เกษตรทฤษฎีใหม่ หมายถึง ระบบเกษตรที่เน้นการจัดการแหล่งน้า และการจัดสรรแบ่งส่วนพ้ืนท่ีทา
การเกษตรอย่างเหมาะสม ซึ่งจะทาให้เกษตรกรมีข้าวปลาอาหารไว้บริโภคอย่างพอเพียงตาม อัตตภาพ อันจะเป็น
การแกป้ ัญหาในเรื่องชวี ิตความเป็นอยู่ของเกษตรกรแล้ว ยงั กอ่ ใหเ้ กิดความม่นั คงทางเศรษฐกจิ โดยรวมของประเทศ
ยุทธศาสตรช์ าติ หมายถงึ กรอบการพฒั นาระยะยาว เพื่อให้ประเทศบรรลวุ ิสยั ทัศน์ท่ีต้ังเป้าหมายเอาไว้ มี
การรา่ งกรอบยทุ ธศาสตรช์ าติ 20 ปี ครอบคลุมตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2560-2579
ชุมชน (community) หมายถึง กลุ่มคนท่ีมาอยู่รวมกันในเขต หรือบริเวณเดียวกันที่แน่นอน มีวิถีการ
ดาเนินชีวิตคล้ายกัน มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน และกันอยู่ภายใต้กฎระเบียบกฎเกณฑ์
เดยี วกนั
ผู้เรียน (learner) หมายถึง เป็นคาท่ีมีความหมายกว้างรวม นักเรียน นิสิต นักศึกษา และผู้รับการศึกษา
อบรมนอกระบบสถานศึกษาตามปกติ มักใชใ้ นบริบทของการเรียนรู้
หลักสูตร (Curriculum) หมายถึง มวลประสบการณ์ทางการเรียนรู้ท่ีกาหนดไว้ในรายวิชา กลุ่มวิชา
เน้ือหาสาระ รวมท้ังกิจกรรมต่างๆ ท่ีได้ดาเนินจัดการเรียนการสอน จัดกิจกรรมให้แกผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ
(วิชัย วงษ์ใหญ่, 2537)
หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม (Social process and life function curriculum) หมายถึง หลักสูตรท่ี
มุ่งแก้ไขร ว บ ร ว มคว ามรู้ โ ด ย ยึ ด กิจ กร ร มต่ า งๆ ข อง คน ใ น สั ง คม เ ป็ น ห ลั กเ พ่ื อจ ะ ได้ น า คว าม รู้ ไ ป ป ร ะยุ กต์ ใ ช้ ใ น
ชีวิตประจาวันได้เนื่องจากมีการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างเน้ือหาสาระวิชากับชีวิตจริงของผู้เรียนหรือสภาพ
สงั คมทีเ่ ปน็ อยใู่ นขณะนัน้
บัญชีครัวเรือน หมายถึง การทาบัญชีเพ่ือบันทึกข้อมูลรายรับรายจ่ายประจาวันหรือบันทึกข้อมูลอ่ืน ๆ ใน
ชีวิตและในครอบครัว เช่น บัญชีทรัพย์สิน พันธ์ุพืช พันธุ์ไม้ บัญชีความรู้ความคิดของเรา บัญชีผู้ทรงคุณ บัญชีเด็ก
11
และเยาชนของเรา หรอื จะเป็นบญั ชีภูมิปัญญาดา้ นต่างๆ ซ่ึงเราสามารถจดบนั ทึกเรื่องราว สิ่งหรอื เร่ืองราวในชีวิตได้
เช่นกัน
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร หมายถึง การนาผลผลิตจากการปลูกพืชและเล้ยี งสัตวม์ าเปล่ยี น สภาพ
ดว้ ยวธิ ีการตา่ ง ๆ ให้เป็นผลติ ภณั ฑ์ที่มรี ปู รา่ งลักษณะแตกต่างไปจากเดมิ เช่น ข่าวสามารถแปรรูป เป็น แปง้ เส้น
กว๋ ยเตยี๋ ว , พืชตระกูลถ่วั แปรรูปเป็น นา้ มันพชื นมถ่ัวเหลอื ง ครีมเทียม แปง้ เปน็ ต้น
ปรชั ญาการศึกษาพิพัฒนาการนยิ ม (Progressivism) หมายถงึ การเปลีย่ นแปลงไม่หยุดนงิ่ การจดั การ
ศกึ ษาต้องปรับปรุงให้สอดคล้องกับความเปล่ยี นแปลง
ปรัชญาการศกึ ษาปฏิรปู นิยม (Reconstruct) หมายถึง การบูรณะหรอื การสรา้ งข้ึนใหม่ ปฏริ ูปนยิ มจงึ มุ่ง
การปฏิรูปสังคม ข้ึนมาใหม่ เพราะถือว่าสังคมในปัจจุบันมีปัญหา ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และ
ศิลปวฒั นธรรมเปน็ เหตุตอ้ งแกป้ ัญหาอยเู่ รื่อย ๆ จงึ ตอ้ งหาทางสร้างคา่ นิยมและแบบแผนของสงั คมขึ้นใหม่
ผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย (Stakeholders) หมายถึง ผูท้ เ่ี ก่ียวข้องและได้รบั ผลกระทบโดยตรงหรือโดยอ้อมจาก
ผลลัพธอ์ นั เกิดจากการดาเนนิ การจัดการศึกษา ผ้มู ีสว่ นไดส้ ่วนเสียทส่ี าคัญ ได้แก่ นักเรยี น ครู ผปู้ กครอง ผบู้ รหิ าร
โรงเรียน ชมุ ชน องค์กรต่างๆในชมุ ชน เจา้ ของธรุ กจิ หรือกิจการต่างๆทีร่ องรับแรงงานจากผทู้ ี่สาเร็จการศึกษา
คณะกรรมการสถานศึกษา (School council) หมายถึง คณะบุคคล ประกอบดว้ ย ผแู้ ทนผูป้ กครอง
ผ้แู ทนครู ผแู้ ทนองค์กรชมุ ชน ผูแ้ ทนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้แทนศิษยเ์ กา่ ผู้แทนพระภิกษุ และ/หรือผแู้ ทน
องค์กรศาสนาอืน่ ในพื้นที่และผ้ทู รงคณุ วุฒทิ าหน้าทก่ี ากบั และสงเสริมสนับสนุนการพัฒนาหลักสูตรการเรียนการ
สอนและกจิ การของสถานศึกษาให้เปน็ ไปอยา่ งมคี ุณภาพและประสทิ ธิภาพ
12
สว่ นที่ 2
การนาหลกั สตู รไปใช้
การนาหลักสูตรไปใช้เป็นขั้นตอนสาคัญของการพัฒนาหลักสูตร เป็นกระบวนการดาเนินงานและกิจกรรม
ตา่ งๆในการนาหลกั สูตรไปสโู่ รงเรียนและจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้บรรลุจดุ มงุ่ หมายของหลกั สูตร การนาหลกั สตู ร
ไปใช้เปน็ งานเก่ียวขอ้ งกับบคุ คลหลายฝา่ ย ตัง้ แตร่ ะดับกระทรวงศึกษาธิการ แต่ละฝ่ายมีความเกย่ี วขอ้ งในแต่ละส่วน
ของการนาหลกั สตู รไปใช้ เชน่ หนว่ ยงานส่วนกลางเกย่ี วขอ้ งในดา้ นการบรหิ ารและบริหารหลกั สูตรกบั การนเิ ทศและ
ตดิ ตามผลการใช้หลกั สูตร
การนาหลักสูตรไปใช้จาต้องเป็นข้ันตอนตามลาดับ นับแต่ข้ันการวางแผน และเตรียมการในการ
ประชาสัมพันธ์หลักสูตร และการเตรียมบุคลากรที่เก่ียวข้อง ข้ันต่อมาคือการดาเนินการนาหลักสูตรไปใช้อย่างมี
ระบบ นับแตก่ ารจัดครูเข้าสอนตามหลักสูตร การบรกิ ารวสั ดหุ ลักสูตรและสิ่งอานวยความสะดวกในการนาหลักสูตร
ไปใช้ และดาเนนิ การเรียนการสอนตามหลกั สตู ร
สว่ นขัน้ สุดท้ายต้องติดตามประเมินผลการนาหลักสูตรไปใช้ นับแต่การนเิ ทศติดตามผลการใชห้ ลักสูตร
การติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตร การนาหลักสูตรไปใช้ถือเป็นกระบวนการท่ีสาคัญ ที่จะทาให้หลักสูตรที่
สร้างขึ้นบรรลุผลตามจุดหมาย และเป็นกระบวนการที่ต้องได้รับความร่วมมือจากบุคคลท่ีเกี่ยวข้องหลาย ๆ ฝ่าย
และท่สี าคัญที่สุดคือครูผูส้ อน
ความหมายของการนาหลักสตู รไปใช้
การนาหลักสูตรไปใช้ซ่ึงเป็นข้ันตอนท่ีนาหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติงานท่ีมีขอบเขตกว้างขวาง ทาให้การให้
ความหมายของคาว่าการนาหลักสูตรไปใช้แตกต่างกันออกไป นักการศึกษาหลายท่านได้แสดงความคิดเห็นหรือให้
คานิยามของคาว่าการนาหลักสตู รไปใช้ ดังนี้
โบแชมป์ (Beauchamp,1975:164) ได้ให้ความหมายของการนาหลักสูตรไปใช้ว่า การนาหลักสูตรไปใช้
หมายถงึ การนาหลกั สูตรไปปฏิบัติ โดยการะบวนการทสี่ าคัญทสี่ ุด คือการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน การจัดสภาพ
สิง่ แวดล้อมในโรงเรียนใหค้ รูได้มีพัฒนาการเรยี นการสอน
จันทรา (Chandra, 1977:1) ได้ให้ความหมายของการนาหลักสูตรไปใช้ว่าเป็นการทดลองใช้เน้ือหาวิชา
วิธีการสอน เทคนิคการประเมิน การใช้อุปกรณ์การสอน แบบเรียนและทรัพยากรต่างๆให้เกิดประโยชน์แก่นักเรยี น
โดยมีครแู ละผรู้ ่างหลักสตู รเป็นผปู้ ัญหาแล้วหาคาตอบให้ไดจ้ ากการประเมนิ ผล
สรปุ ได้วา่ การนาหลักสูตรไปใช้หมายถึง ข้นั ตอนที่สาคัญนาไปสกู่ ารปฏบิ ตั งิ านโดยการะบวนการทส่ี าคัญคือ
การแปลงหลักสตู รไปสกู่ ารเรียนการสอนซึ่งหัวใจในการนาหลักสตู รไปใช้คือ ครผู สู้ อน
บทบาทของหน่วยงานส่วนกลางและสว่ นท้องถิ่นในการนาหลกั สูตรไปใช้
1. การใช้หลกั สตู รโดยหน่วยงานส่วนกลางท่มี ีบทบาทเตม็ ที่
2. การใช้หลกั สูตรโดยใหโ้ รงเรียนมบี ทบาทเต็มท่ี
13
3. การใชห้ ลักสตู รโดยใหห้ นว่ ยงานส่วนกลางมีบทบาทเปน็ สว่ นใหญ่ และมีหน่วยงานท้องถิ่นเปน็ ผู้ใหค้ วาม
ช่วยเหลือ
4. ใช้หลักสตู รโดยใหห้ นว่ ยงานสว่ นทอ้ งถน่ิ มีบทบาทสาคญั และหนว่ ยงานส่วนกลางเป็นผู้ใหก้ ารสนบั สนุน
บทบาทของบคุ คลท่เี กีย่ วข้อง
1. ผ้บู รหิ ารโรงเรียน
2. หวั หนา้ หมวดวิชาหรือสาขาวิชา
3. ครผู ูส้ อน
หลักการในการนาหลกั สตู รไปใช้งาน
สงัด อุทรานนั ท์ (2532 : 263-271) กล่าววา่ การนาหลักสตู รไปใช้มีงานหลกั 3 ประการ คือ
1. งานบริหารและบรกิ ารหลักสตู ร จะเกี่ยวข้องกบั งานเตรยี มบุคลากร การจัดครูเขา้ สอนตามหลกั สูตร
การบริหารและบริการวสั ดหุ ลักสูตร การบริการหลกั สตู รภายในโรงเรยี น
2. งานดาเนินการเรยี นการสอนตามหลกั สตู รประกอบดว้ ย การปรับปรงุ หลกั สูตรใหส้ อดคล้องกับสภาพ
ท้องถนิ่ การจดั ทาแผนการสอน การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน
3. งานสนบั สนุนและส่งเสรมิ การใช้หลักสตู รประกอบด้วย การนิเทศและติดตามผลการใชห้ ลักสตู รและการ
ตงั้ ศูนย์บรกิ ารเพ่ือสนับสนนุ และสง่ เสรมิ การใชห้ ลกั สตู ร
ปัญหาที่เก่ียวข้องกบั การนาหลกั สูตรไปใช้
ผลการวิเคราะห์การนาหลกั สูตรไปใช้มดี ังน้ี
1. ด้านหลกั สตู ร
- องค์ประกอบของหลักสตู รมีไมค่ รบถว้ น การจัดทาหลักสูตรขาดการวเิ คราะห์ ผู้มสี ว่ นได้ส่วนเสยี ไม่มีสว่ น
ในการจดั ทาหลักสูตร
2. ดา้ นครผู ้สู อน
- ครขู าดความตระหนัก เจตคติ ขาดความทาความเข้าใจเกี่ยวกับจดุ มุ่งหมายและโครงสร้างของหลกั สตู ร
- ขาดเทคนคิ วธิ กี ารกระตนุ้ ให้ผู้เรยี นมคี วามพร้อมและสนใจในการเรยี น
- ขาดการเตรียมการสอนด้วยการเขยี นแผน
3. ดา้ นส่ือการเรยี นการสอน
- ขาดสื่อและเทคโนโลยที ใี่ ชใ้ นการเรยี นการสอนที่ทนั สมยั
- ขาดวสั ดุอุปกรณ์ท่ีใชใ้ นการเรยี นการสอน เช่น อาคารสาหรับทากจิ กรรม
4. ดา้ นการจัดการเรยี นการสอน
- ขาดการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนและวธิ ีการท่ีหลากหลาย เชน่ การเรียนรแู้ บบปฏบิ ตั จิ รงิ การเรียนรู้
จากธรรมชาติ และการเรยี นรู้จากโครงงาน
14
1. การประเมินหลักสตู ร ส่วนที่ 3
ความหมาย
จดุ มุ่งหมาย การประเมนิ หลักสตู ร
ระยะของการประเมนิ การประเมนิ หลกั สูตร
หลกั สตู ร กระบวนการการเก็บรวบรวมข้อมูลและการประมวลผลข้อมูลเพ่ือนามา
สิ่งท่ีต้องประเมนิ ในเร่ือง ตดั สนิ ใจเก่ยี วกบั คณุ ภาพทง้ั ประสิทธิภาพและประเมินผลของหลักสตู รรวมถึง
หลักสูตร สิ่งท่จี ะเกดิ ข้ึนจากการใช้หลักสตู รนัน้ ในอนาคต
1.เพ่ือหาคุณค่าของหลักสูตรนั้น โดยดูว่าหลักสูตรที่จัดทาข้ึนน้ันสามารถ
สนองวัตถุประสงค์ที่หลักสูตรนั้นต้องการหรือไม่ สนองความต้องการของ
ผเู้ รียน และสังคมอย่างไร
2. เพ่ืออธิบายและพิจารณาว่าลักษณะของส่วนประกอบต่างๆ ของหลักสูตร
ในแง่ต่างๆ เช่น หลักการ จุดมุ่งหมาย เนื้อหาสาระ การเรียนรู้ กิจกรรมการ
เรียนการสอน สอื่ การเรียน การสอนและวัดผลว่าสอดคลอ้ งตอ้ งการหรือไม่
3. เพื่อตัดสินว่าหลักสูตรมีคุณภาพดีหรือไม่ เหมาะหรือไม่เหมาะสมกับการ
นาไปใช้ มีข้อบกพรอ่ งในการทจ่ี ะต้องปรบั ปรุงแก้ไขอะไรบา้ ง การประเมนิ ผล
ในลักษณะนี้มักจะดาเนินไปในช่วงที่การพัฒนาหลักสูตรยังคงดาเนินการอยู่
เพ่อื ทีจ่ ะพิจารณาว่าองคป์ ระกอบต่างๆของหลักสูตรมีคุณภาพอย่างไร
4. เพื่อตัดสินว่า การบริหารงานด้านวิชาการและบริหารงานด้านหลักสูตร
เป็นไปในทางที่ถูกต้องหรือไม่ เพ่ือหาทางแก้ไขระบบการบริหารหลักสูตร
การนาหลกั สตู รนาไปใช้ให้มีประสทิ ธภิ าพ
การวิเคราะห์จาแนกตามช่วงเวลาการประเมินหลักสูตร 3 ระยะ ได้แก่ การ
ประเมินก่อนการใช้หลักสูตร การประเมินระหว่างการใช้หลักสูตรและการ
ประเมนิ หลงั การใชห้ ลกั สตู ร แตล่ ะระยะมคี วามสาคญั
ในการประเมินหลักสูตรจะต้องประเมินให้ครบทั้งระบบของหลักสูตร ซ่ึง
ประกอบด้วย การประเมินเอกสารหลักสูตร ตรวจสอบความสอดคล้อง
ระหว่างหลกั การ จุดมงุ่ หมาย โครงสร้าง เนอ้ื หา ประสบการณ์การเรียนรู้ กิจ
กรรรมการเรียนการสอน การวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน และเกณฑ์การจบ
หลักสูตร ตรวจสอบการใช้ภาษาในเอกสารหลักสูตรว่าส่ือสารได้ตรงกัน
หรือไม่ ข้อกาหนดหรือแนวทางการใช้หลักสูตรมีความชัดเจนเพียงใด วาง
แผนการจัดการศึกษาตามหลักสูตรน้ีเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและระดับ
การศกึ ษาเพยี งใด
การประเมินผลระบบของหลักสูตร
ขัน้ ตอน 15
2.1 ประเมนิ จุดมงุ่ หมายในระดับต่าง ๆ
2.2 ประเมินการจดั เนอ้ื หาหลักสตู ร
2.3 ประเมนิ การสอนของผสู้ อน
2.4 ประเมินระบบการบรหิ ารและการจัดการหลักสตู ร
2.5 ประเมนิ โปรแกรมการประเมินผลสมั ฤทธิข์ องผเู้ รียน
2.6 การประเมนิ ผลผลติ
ขน้ั ตอนในการประเมินหลักสูตร
1. ขั้นกาหนดวตั ถุประสงค์หรือจดุ มุ่งหมายในการประเมินการกาหนด
จุดมงุ่ หมายในการประเมนิ เป็นข้ันตอนแรกของกระบวนการในการ
ดาเนนิ การประเมนิ หลักสตู ร ผปู้ ระเมินต้องกาหนดวตั ถุประสงค์และ
เปา้ หมายของการประเมินให้ชัดเจนวา่ จะประเมนิ อะไร จะทาใหเ้ ราสามารถ
กาหนดวธิ ีการ เครื่องมือ และขั้นตอนในการประเมนิ ได้อย่างถูกต้อง
2. ขน้ั กาหนดหลกั เกณฑว์ ิธกี ารท่จี ะใชใ้ นการประเมินผล การกาหนดเกณฑ์
และวธิ กี ารประเมินเปรยี บเสมอื นเข็มทิศทจ่ี ะนาไปส่เู ป้าหมายของการ
ประเมนิ เกณฑ์การประเมนิ จะเป็นเคร่ืองบ่งชค้ี ุณภาพในส่วนของหลักสูตรท่ี
ถกู ประเมิน การกาหนดวธิ กี ารทจ่ี ะใชใ้ นการประเมินผลทาใหเ้ ราสามารถ
ดาเนินงานไปตามขั้นตอนไดอ้ ย่างราบร่ืน
3. ข้นั การสร้างเครื่องมือและวธิ กี ารเก็บรวบรวมขอ้ มลู เคร่ืองมือทใี่ ช้ในการ
ประเมินหรอื เกบ็ รวบรวมข้อมูลเป็นสิ่งที่มคี วามสาคัญทจ่ี ะมีผลทาใหก้ าร
ประเมินนน้ั น่าเช่ือถือมากน้อยแคไ่ หน ซึง่ ผู้ประเมนิ จะต้องเลือกใชแ้ ละสรา้ ง
อย่างมีคณุ ภาพ มีความเชื่อถือได้และมีความเที่ยงตรงสงู
4. ขน้ั เก็บรวบรวมขอ้ มลู ในขั้นการรวบรวมข้อมูลนัน้ ผปู้ ระเมนิ ต้องเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลตามขอบเขตและระยะเวลาท่ีกาหนดไว้ ผูเ้ ก็บรวบรวมขอ้ มลู มี
ส่วนช่วยใหข้ อ้ มูลที่รวบรวมได้มคี วามเท่ยี งตรงและน่าเช่อื ถือ
5. ขน้ั วเิ คราะห์ข้อมลู ในข้นั นี้ผู้ประเมนิ จะต้องกาหนดวธิ กี ารจัดระบบข้อมูล
พิจารณาเลือกใชส้ ถติ ิในการวิเคราะหท์ เี่ หมาะสม แลว้ จึงวเิ คราะห์ สงั เคราะห์
ข้อมลู เหล่านน้ั โดยเปรียบเทียบกบั เกณฑ์ที่ได้กาหนดไว้
6. ข้ันสรปุ ผลการวเิ คราะห์ข้อมูลและรายงานผลการประเมิน ในขน้ั นี้ผู้
ประเมนิ จะสรุปและรายงานผลการวิเคราะหข์ ้อมูลในขนั้ ต้น ผปู้ ระเมินจะต้อง
พิจารณารปู แบบของการรายงานผลว่าควรจะเป็นรูปแบบใด และการรายงาน
ผลจะมุง่ เสนอข้อมูลทบ่ี ง่ ช้ใี ห้เห็นวา่ หลักสูตรมคี ณุ ภาพหรือไม่ เพยี งใด มีส่วน
ใดบ้างท่ีควรแกไ้ ข ปรับปรุงหรอื ยกเลกิ
16
เกณฑ์ 7. ขนั้ นาผลทีไ่ ดจ้ ากการประเมินไปพัฒนาหลักสูตรในโอกาสต่อไป
หลกั เกณฑก์ ารประเมินหลักสูตร
ประโยชน์ และปัญหาใน 1. มจี ุดประสงค์ในการประเมินท่แี น่นอน การประเมินผลหลักสตู รจะตอ้ ง
การประเมินหลกั สูตร กาหนดลงไปให้แนน่ อนชัดเจนว่าประเมนิ อะไร
2. มกี ารวดั ท่เี ชอ่ื ถือได้ โดยมเี คร่อื งมือและเกณฑ์การวัดซึ่งเปน็ ท่ียอมรบั
3. ขอ้ มลู เป็นจรงิ จาเปน็ อยา่ งย่ิงสาหรับการประเมนิ ผล ดังนั้น ขอ้ มูลจะต้อง
ไดม้ าอย่างถูกต้องเชอื่ ถือไดแ้ ละมากพอทจี่ ะใช้เป็นตัวประเมนิ คา่ หลกั สตู รได้
4. มีขอบเขตที่แนน่ อนชดั เจนว่าเราตอ้ งการประเมนิ ในเร่อื งใดแค่ไหน
5. ประเดน็ ของเรื่องท่ีจะประเมินอยู่ในช่วงเวลาของความสนใจ
6. การรวบรวมขอ้ มลู มาเพื่อกาหนดกฎเกณฑ์ และกาหนดเครอื่ งมือในการ
ประเมินผล จะต้องพจิ ารณาอยา่ งรอบคอบ
7. การวเิ คราะห์ผลการประเมินตอ้ งทาอย่างระมัดระวังรอบคอบ และใหม้ ี
ความเทยี่ งตรงในการพจิ ารณา
8. การประเมนิ ผลหลักสตู รควรใชว้ ิธกี ารหลายๆวิธี
9. มเี อกภาพในการตัดสนิ ผลการประเมนิ
10. ผลต่างๆที่ได้จากการประเมนิ ควรนาไปใช้ในการพฒั นาหลักสูตรท้ังใน
ด้านการปรบั ปรุงเปลย่ี นแปลงในโอกาสต่อไป เพื่อให้ไดห้ ลกั สูตรท่ดี แี ละมี
คุณค่าสูงสุดตามทตี่ ้องการ
ประโยชน์ของการประเมนิ หลกั สตู ร
1. ทาใหท้ ราบหลกั สตู รท่ีสรา้ งหรือพัฒนาขึน้ น้นั มจี ดุ ดหี รือจุดเสยี ตรงไหน ซ่งึ
จะเปน็ ประโยชน์ในการวางแผนปรบั ปรุงไดถ้ ูกจดุ ส่งผลให้หลกั สตู รมคี ณุ ภาพ
ดยี ิง่ ขน้ึ
2. สรา้ งความน่าเชือ่ ถือ ความมั่นใจ และค่านยิ มท่ีมตี อ่ โรงเรียนให้เกิดขึน้ ใน
หมูป่ ระชาชน
3. ชว่ ยในการบริหารทางดา้ นวชิ าการ ผู้บรหิ ารจะไดร้ ้วู ่าควรจะตัดสนิ ใจและ
สนบั สนนุ ช่วยเหลอื หรอื บรหิ ารทางดา้ นใดบ้าง
4. ส่งเสริมใหป้ ระชาชนมคี วามเข้าใจในความสาคัญของการศึกษา
5. ส่งเสริมใหผ้ ้ปู กครองมคี วามสมั พันธ์ใกลช้ ิดกับโรงเรยี นมากยิง่ ขน้ึ ทั้งนี้
เพือ่ ให้การเรียนการสอนนกั เรียนไดผ้ ลดี ด้วยความร่วมมือกันทง้ั ทางโรงเรยี น
และทางบ้าน
6. ให้ผู้ปกครองทราบความเป็นไปอยา่ งสมา่ เสมอ เพ่ือหาทางสง่ เสรมิ และ
ปรับปรุงแก้ไขร่วมกันระหว่างผ้ปู กครองนักเรียนกับทางโรงเรยี น
17
7. ช่วยให้การประเมนิ ผลเปน็ ระบบระเบียบ เพราะมเี ครื่องมือ และ
หลักเกณฑ์ทาใหเ้ ป็นเหตผุ ลในทางวทิ ยาศาสตร์มากขน้ึ
8. ชว่ ยชใ้ี ห้เหน็ ถึงคุณค่าของหลกั สตู ร
9. ชว่ ยใหส้ ามารถวางแผนการเรยี นในอนาคตได้ ข้อมลู ของการประเมนิ ผล
หลกั สตู ร ทาใหท้ ราบเปา้ หมายแนวทางและขอบเขตในการดาเนินการจดั
การศกึ ษาของโรงเรยี น
ปญั หาในการประเมนิ หลักสูตร
1. ปัญหาด้านการวางแผนการประเมนิ หลกั สูตร การประเมนิ หลกั สูตรมักไม่มี
การวางแผนล่วงหน้า ทาให้ขาดความละเอียดรอบคอบในการประเมินผล
และไมค่ รอบคลมุ สิ่งที่ตอ้ งการประเมนิ
2. ปัญหาด้านเวลา การกาหนดเวลาไม่เหมาะสมการประเมินหลักสูตร ไม่
เสร็จตามเวลาท่ีกาหนด ทาให้ได้ข้อมูลเนิ่นช้าไม่ทันต่อการนามาปรับปรุง
หลกั สตู ร
3. ปัญหาด้านความเชี่ยวชาญของคณะกรรมการประเมินหลักสูตร
คณะกรรมการประเมินหลักสูตรไม่มีความรู้ความเข้าใจเร่ืองหลักสูตรที่จะ
ประเมนิ หรือไมม่ คี วามเชย่ี วชาญในการประเมินผล ทาให้ผลการประเมนิ ที่ได้
ไม่น่าเช่ือถือ ขาดความละเอียดรอบคอบ ซึ่งมีผลทาให้การแก้ไขปรับปรุง
ปญั หาของหลักสตู รไม่ตรงประเด็น
4. ปัญหาด้านความเที่ยงตรงของข้อมูล ข้อมูลท่ีไม่ใช้ในการประเมินไม่
เท่ียงตรงเน่ืองจากผู้ประเมินมีความกลัวเก่ียวกับผลการประเมิน จึงทาให้
ไม่ได้เสนอข้อมูลตามสภาพความเป็นจริงหรือผู้ถูกประเมินกลัวว่าผลการ
ประเมนิ ออกมาไม่ดี จึงให้ข้อมูลท่ีไมต่ รงกบั สภาพความเปน็ จรงิ
5.ปัญหาด้านวิธีการประเมิน การประเมินหลักสูตรส่วนมากมาจากการ
ประเมินในเชิงปริมาณ ทาให้ได้ข้อค้นพบที่ผิวเผินไม่ลึกซึ้ง จึงควรมีการ
ประเมินผลที่ใช้วิธีการประเมินเชิงปริมาณและเชิงคุณภาพควบคู่กัน เพื่อให้
ไดผ้ ลสมบูรณแ์ ละมองเห็นภาพท่ชี ัดเจนย่งิ ข้นึ
6.ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรทั้งระบบ การประเมินหลักสูตรท้ังระบบมี
การดาเนินงานน้อยมาก ส่วนมากมักจะประเมินผลเฉพาะด้าน เช่น ด้าน
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในด้านวิชาการ (Academic Achievement) เป็น
หลัก ทาใหไ้ มท่ ราบสาเหตุที่แน่ชัด
7.ปัญหาด้านการประเมินหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง คณะกรรมการประเมิน
หลกั สตู รหรอื ผทู้ ่ีเกี่ยวข้องมกั ไม่ประเมนิ หลักสตู รอย่างต่อเนื่อง
18
8.ปัญหาด้านเกณฑ์การประเมิน เกณฑ์การประเมินหลักสูตรไม่ชัดเจน ทา
ให้ผลการประเมินไม่เป็นที่ยอมรับ และไม่ได้นาผลไปใช้ในการปรับปรุง
หลกั สตู รอยา่ งจรงิ จงั
2. รปู แบบการประเมนิ หลกั สตู ร
รูปแบบการประเมินหลกั สูตร
การประเมนิ หลกั สูตรแบบของ การใช้เทคนิควิเคราะห์แบบปุยแซงค์ (อังกฤษ: Puissance Analysis
ปยุ แซงค์ Puissance Technique) เป็นการประเมินหลักสูตรที่ใช้สาหรับหลักสูตรท่ีมีการจัดทาข้ึน
ใหม่โดยเน้นวิเคราะห์องค์ประกอบหลักสูตร 3 ประการคือ จุดมุ่งหมาย
กระบวนการเรียนรู้และการประเมินผลการเรียนรู้การวิเคราะห์คุณภาพของ
หลักสูตรตามเทคนิคการวิเคราะห์ของปุยแซงคน์ ้ันจะนาองค์ประกอบย่อยใน
ส่วนต่างๆมาคานวณในตารางวิเคราะห์ปุยแซงค์ แล้วคานวณค่า Puissance
Measurement (P.M.) ขึ้นมา ซึ่งเมื่อวิเคราะห์แล้วพบว่าค่า P.M. มีค่า
เทา่ กบั 10 ข้ึนไป หลักสูตรน้นั จะถอื ไดว้ ่าเป็นหลกั สูตรทมี่ ีคณุ ภาพ
การประเมนิ หลกั สูตรแบบของ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์ หรือ รูปแบบวัตถุประสงค์เป็น
ไทเลอร์ Ralph W.Tyler ศูนยก์ ลาง (องั กฤษ: Tyler’s Objectives-Centered Model) คิดข้ึนขึ้นโดย
ราล์ฟ ไทเลอร์โดยเป็นรูปแบบการประเมินหลกั สูตรที่พิจารณาเป้าหมายเปน็
หลัก สาหรับการประเมินหลักสูตรตามจะพิจารณาจากความสัมพันธ์ของ
จุดมงุ่ หมาย ประสบการณ์เรียนรูแ้ ละผลสัมฤทธ์ิ นอกจากนย้ี งั เน้นประเมินถึง
ศักยภาพและจุดเด่นจุดด้อยของตัวหลักสูตรเป็นหลักมากกว่าที่จะเน้น
ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน เพ่ือดูว่าหลักสูตรน้ันสามารถบรรลุจุดมุ่งหมายทาง
การศึกษาทตี่ งั้ ไว้ได้หรอื ไม่
การประเมินหลกั สตู รแบบของ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์ (อังกฤษ: Hammond’s
แฮมมอนด์ Robert Model) ได้รับการคิดค้นข้ึนโดยโรเบิร์ด แอล. แฮมมอนด์ โดยรูปแบบการ
L.Hammond ประเมนิ หลักสตู รนี้เป็นรูปแบบทเ่ี น้นพจิ ารณาเปา้ หมายเป็นหลักการประเมิน
ในรูปแบบนี้จะใช้สิ่งท่ีเรียกว่าลูกบาศก์ 3 มิติในการประเมิน ซ่ึงประกอบไป
ด้วยมิติด้านการเรียนการสอน มิติด้านสถาบันและมิติด้านพฤติกรรม โดย
นิยมใช้รูปแบบนี้ประเมินในช่วงที่กาลังใช้หลักสูตรอยู่ เพ่ือหาทิศทางการ
พัฒนาและกาหนดทศิ ทางในอนาคต
การประเมินหลกั สูตรแบบของ รูปแบบการประเมินหลกั สูตรของสคริฟเวน (อังกฤษ: Scriven’s Goal-Free
สคฟิเวน Michael Scriven Model) ได้รับการคิดค้นข้ึนโดยไมเคิล สคริฟเวน โดยเป็นรูปแบบการ
ประเมินผลหลกั สูตรที่ไม่ยึดเปา้ หมายเป็นสาคัญ โดยผู้ประเมินจะต้องไม่เป็น
19
การประเมินหลกั สูตรแบบของ ผู้ที่มีสองมาตรฐาน โดยการประเมินนั้นจะประเมินผลท่ีเกิดข้ึนทั้งหมดทั้งที่
สเตค Robert E. Stake คาดหวังและไม่คาดหวัง อย่างไรก็ตามสคริฟเวนได้เสนอว่าการประเมินใน
รปู แบบนีค้ วรใชเ้ ป็นการประเมนิ เสริมไม่ใชก้ ารประเมินหลัก
การประเมนิ หลกั สูตรแบบของ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตค (อังกฤษ: Stake’s Responsive
โพรวสั Malclom Provus Model) ได้รับการคิดค้นข้ึนโดยโรเบิร์ต สเตค เป็นรูปแบบการประเมิน
หลักสูตรท่ีเน้นเกณฑ์เป็นหลัก โดยในการประเมินหลักสูตรตามรูปแบบน้ีจะ
การประเมินหลักสตู รแบบของ เน้นการใช้ผู้เช่ียวชาญเป็นหลัก ซึ่งจะเน้นการประเมินใน 3 องค์ประกอบ
สตฟั เฟลิ บีม Danial L. หลักซึ่งมีความสัมพันธ์กันคือ การประเมินสิ่งที่มีอยู่ก่อน การประเมินการ
Stuffebeam ดาเนินการและการประเมินผลผลิต โดยใช้ทักษะการประเมินเชิงคุณภาพใน
การประเมิน
การประเมนิ หลกั สูตรแบบของ รูปแบบการประเมินหลักสูตรของโพรวัส (อังกฤษ: Provus’s Discrepancy
Doris T.Gow Evaluation Model) ได้รบั การคดิ คน้ ข้ึนโดยมลั คอม โพรวสั ในปี ค.ศ. 1969
โดยเป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการรวบรวมข้อมูล ซ่ึงมีขั้นตอนในการ
ประเมินหลักๆอยู่ 5 ข้ันตอนคือการต้ังเกณฑ์มาตรฐาน รวบรวมผลการ
ปฏิบัติ เปรียบเทียบกับเกณฑ์ จาแนกความแตกต่าง และตัดสินใจ ส่งผลให้
ช่วยในการตัดสินใจได้ว่าหลักสูตรท่ีใช้แล้วนั้นควรปรับปรุงใหม่หรือยกเลิก
หลกั สตู รนัน้
รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีมหรือซีไอพีพีโมเดล (อังกฤษ:
Stufflebeam’s Context, Input, Process, Product Model) ได้รับการ
คิดค้นข้ึนโดยดานิเอล สตัฟเฟิลบีม เป็นรูปแบบการประเมินที่เน้นการ
รวบรวมข้อมูลสาหรับรูปแบบการประเมินรูปแบบน้ีเป็นการประเมิน
หลักสูตรแบบครบวงจรและครบทุกด้านเพ่ือตัดสินใจเก่ียวกับการพัฒนา
หลักสูตรในคร้ังต่อไป โดยการประเมินตามแนวของสตัฟเฟิลบีมน้ันจะ
ประเมนิ สภาวะแวดลอ้ ม ปจั จัยนาเขา้ กระบวนการและผลผลิต
โดยเสนอกระบวนการประเมินหลกั สูตรเป็น 2 ขั้นตอน คือ
ขน้ั ท่ี 1 การวิเคราะหห์ ลกั สูตร โดยพิจารณาองค์ประกอบ 4 ด้าน คือ
1. โอกาสการเรยี นรู้
2. ส่งิ เร้า
3. โครงสร้างของหลักสูตร
4. สภาพการเรยี นการสอน
ข้นั ท่ี 2 การตดั สนิ คณุ ภาพของหลักสตู ร
20
นาข้อมลู ในขนั้ ท่ี 1 มาพจิ ารณาเปรียบเทียบกบั หลักการทฤษฎีทางการศึกษา
และทางจิตวทิ ยา
จดุ เดน่ เปน็ การตัดสนิ คุณภาพหลกั สตู รโดยใชห้ ลักการทฤษฎที างการศึกษา
และทางจิตวิทยาเปน็ หลกั ไม่ใช้ความคดิ เห็นของผู้วเิ คราะห์
การประเมินหลักสูตรแบบของ
วิชยั วงษใ์ หญ่
การประเมนิ หลกั สตู รแบบของ
สงดั อุทรานันท์
การประเมนิ หลักสูตรแบบของ ธารง บัวศรี (2542:152) ได้กล่าวถึงกระบวนการพฒั นาหลักสูตรไวด้ งั น้ี
ธารง บัวศรี ขน้ั ที่ 1 การวเิ คราะหข์ ้อมูลพืน้ ฐาน
ขัน้ ที่ 2 การกาหนดจดุ หมายของหลกั สูตร
21
ขน้ั ที่ 3 การกาหนดรูปแบบและโครงสรา้ งของหลกั สูตร
ข้ันที่ 4 การกาหนดจดุ ประสงค์ของวชิ า
ข้ันที่ 5 การเลอื กเน้ือหา
ขั้นท่ี 6 การกาหนดจุดประสงค์การเรยี นรู้
ขั้นท่ี 7 การกาหนดประสบการณก์ ารเรยี นรู้
ขั้นที่ 8 การกาหนดยทุ ธศาสตรก์ ารเรยี นการสอน
ขน้ั ที่ 9 การประเมนิ ผลการเรียนรู้
ขน้ั ที่ 10 การจดั ทาวัสดุหลักสูตรและส่ือการเรียนการสอน
22
ผ้ชู ว่ ยศาสตราจารยส์ มหวัง นลิ พันธ์
ทปี่ รกึ ษาในการจัดทาหลักสตู ร
คณะผู้จัดทาหลักสตู รเพื่อชีวิตและสังคม
นายอาทินนั ท์ ไพรแก่น นางสาวภัทรีภรณ์ ธงเงนิ นางสุจติ รา ภกู ง่ิ เงิน
รหสั 6480110175 รหสั 6480110156 รหัส 6480110169
หวั หน้าคณะผู้จัดทาหลักสตู ร เลขานุการหลกั สตู ร
ฝ่ายบริหารจัดการหลกั สตู ร
นางสาวอรวรรณ กงเพชร นางสาวกนกกรานต์ บญุ ป้อง
รหสั 6480110172 รหสั 6480110152
ฝา่ ยสืบคน้ ข้อมลู /ICT ฝ่ายสบื ค้นข้อมลู /ICT
หลกั สูตรประกาศนียบัตรบณั ฑติ วชิ าชีพครู ร่นุ ท่ี 8 Section 6
คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวิทยาลยั ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื
23
ภาคผนวก
24
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1
รหสั ง31101 รายวชิ าเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มสาระการเรยี นรกู้ ารงานอาชีพ
เวลา 1 ชว่ั โมง
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 หลักปรชั ญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่
เร่ือง หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 4 ภาคเรียนท่ี 1
สาระสาคัญ
เศรษฐกจิ พอเพียงคอื พระราชปรัชญาซึ่ง ร.9 ทรงพระกรณุ าพระราชทานแก่พสกนิกรชาวไทยเพ่ือให้สงั คมไทย
มชี วี ติ ดารงชีวติ อยู่ไดอ้ ยา่ งม่นั คงและยั่งยืนทกุ คนจึงควรปฏบิ ัตใิ ห้เกิดความสมดุลตามภูมิสังคมของแตล่ ะชุมชน
มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ง 3.1 เข้าใจและสามารถบริหารจดั การทรัพยากรในการผลิตและการบรโิ ภคการใชท้ รัพยากรท่ีมีอยู่
อย่างจากัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ารวมท้ังเข้าใจหลักการของเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการดารงชีวิตอย่างมี
ดุลยภาพ
ตวั ช้วี ดั
ม.3/2 มสี ่วนรว่ มในการแกป้ ญั หาและพัฒนาทอ้ งถิน่ ตามหลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
จุดประสงค์การเรียนรู้
1. ตระหนักถงึ ถงึ ความสาคัญตามแนวคิดหลักของเศรษฐกิจพอเพียง (K)
2. อธบิ ายแนวคิดในการประยุกตใ์ ชใ้ ห้เกิดประโยชน์ตอ่ ตนเอง ครอบครวั และชุมชนได้ (P)
3. ผู้เรียนมีเจคตทิ ี่ดี มีทักษะและสมรรถนะในศตวรรษที่ 21 (A)
สาระการเรียนรู้
1. ความหมาย หลักการ เปา้ หมายและแนวคิดหลักของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
2. การประยุกต์ใช้แนวคดิ ตามปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงใหเ้ กิดประโยชน์ต่อตนเอง ครอบครวั และชมุ ชนได้
สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น
1.ความสามารถในการส่ือสาร
2.ความสามารถในการคิด
2.1.ทกั ษะการวิเคราะห์
2.2.ทกั ษะการประยุกต์ใช้ความรู้
3.ความสามารถในการใชท้ ักษะชีวิต
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
1. แสวงหาความรู้
2. อยอู่ ย่างพอเพียง
3. รกั ความเปน็ ไทย
25
การบูรณาการกบั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
1. ความพอประมาณ
1.1 นักเรยี นได้สารวจความรขู้ องตนเองเกย่ี วกับพระราชกรณยี กจิ ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อย่หู วั
ในการพฒั นาทอ้ งถ่นิ และพสกนกิ รใหย้ ่ังยนื และสมดลุ
1.2 นกั เรยี นได้เข้าใจสภาพการใชท้ รพั ยากรของตนเอง ครอบครวั และชุมชน เพื่อประมาณตนได้
ถูกต้อง
2. ความมเี หตุผล
การปฏิบัติตนตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงจะทาให้รู้จักใช้เหตุผลในการวางแผนและการปฏิบัติตน ใช้
ความรู้ทางหลักวชิ าการดว้ ยความรู้จรงิ รอบคอบ ไมเ่ บียดเบียนผูอ้ นื่ และสง่ิ แวดลอ้ ม
3. การมภี ูมคิ ุ้มกนั ในตัวที่ดี
ตระหนักถึงความเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในชีวิตประจาวันจะได้ไม่ประมาท ไม่ดาเนินชีวิต
ด้วยความเสี่ยง มีการเรียนรู้อย่างต่อเน่ือง เพ่ือให้รู้เท่าทันการเปลยี่ นแปลงและพัฒนาตนเองให้มีความพอเพียงย่งิ
ๆ ขน้ึ
4. เง่ือนไขความรู้
4.1 เข้าใจความหมายและหลกั คดิ ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งอย่างถูกต้อง
4.2 รอบรู้ เก่ยี วกบั ความสาคญั ของทรัพยากรและสง่ิ แวดลอ้ ม
4.3 รอบคอบในการใช้ รักษา ทรพั ยากรและสิ่งแวดล้อม อย่างมปี ระสิทธิภาพ
5. เง่อื นไขคุณธรรม
ความอดทน ความเพยี ร ความประหยัดและอดออม ความจงรักภกั ดี การรักษาสิง่ แวดล้อม
กิจกรรมการเรียนรู้
1. นักเรียนทาแบบทดสอบกอ่ นเรียน เรอ่ื ง พอ่ หลวงทรงหว่ งใย ช้นั มัธยมศึกษาปีท่ี 4 จานวน 10 ข้อ
2. นักเรียนดูภาพ หรือชมวีดีทัศน์พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วร่วมกันอภิปรายถึงการ
ทรงงานของพระองคท์ ่าน ประโยชน์ที่ราษฎรไดร้ บั
3. นักเรียนแบง่ กลมุ่ ศกึ ษาใบความรู้ที่ 1 แล้วอภิปรายตามประเด็นต่อไปนี้
3.1 ความหมายของเศรษฐกจิ พอเพียง
3.2 ความพอประมาณในการใช้จ่ายของนกั เรยี น
3.3 การสรา้ งภมู คิ ้มุ กนั ในการใชจ้ า่ ยของนักเรียน
3.4 ความหมายของความมเี หตุผล
3.5 ผลทไี่ ดร้ ับจากการเรียนร้ปู รชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
4. นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายความสาคัญปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง พร้อมยกตัวอย่างการปฏิบัติของ
บุคคลในชุมชน
5. นกั เรยี นทาแบบฝกึ หดั ทบทวนเร่ือง เศรษฐกิจพอเพียง
26
สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้
1. ใบความรู้ที่ 1 เรอื่ ง ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ใบงานท่ี 1
3. หอสมุดโรงเรยี น
4. อินเตอร์เน็ต
5. บุคคลในชุมชน
การวัดผล / ประเมินผล
วิธีการ
1. สงั เกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่
2. ทาแบบทดสอบ
เครื่องมือ
1. แบบบันทกึ สังเกตพฤติกรรม
2. แบบทดสอบ
เกณฑก์ ารใหค้ ะแนนแบบสงั เกตพฤตกิ รรม
ที่ รายการประเมนิ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน
4 3 21
1 ตั้งใจศึกษาหลกั ของ ตง้ั ใจศกึ ษาหลกั ของ เรียนรหู้ ลักของ รับรูห้ ลักของ ฟงั หลกั ของ
เศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพียง เศรษฐกจิ พอเพียง เศรษฐกจิ พอเพยี ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง
และนามาใชร้ ่วมกบั และนามาใชเ้ ปน็ ปฏบิ ตั ิกิจกรรม ได้
การวเิ คราะหไ์ ด้ มี แนวคิดได้ สนใจใน ระดบั พอใช้
ความกระตอื รือรน้ ใน การร่วมกจิ กรรม
การรว่ มกจิ กรรม
2 การวิเคราะห์ สืบคน้ ข้อมูลจาก สืบค้นขอ้ มลู จาก ค้นควา้ ข้อมลู จาก ไมส่ ามารถคน้ คว้า
แหล่งเรียนรู้ เพอ่ื ใช้ แหลง่ เรียนรู้ เพือ่ ใช้ เอกสารได้บ้าง ไดเ้ อง ตอบ
วินจิ ฉยั ประกอบการ ประกอบการ เพ่ือใช้สาหรับ คาถามสั้น ๆ ได้
วเิ คราะห์ นาเสนอ วิเคราะห์ สามารถ การนาเสนอขอ้ มูล
ขอ้ มูลพรอ้ มการ นาเสนอข้อมูลได้
อา้ งองิ ที่ตรงประเดน็ ชดั เจน
3 การปฏบิ ัตงิ านกล่มุ จัดแบ่งหนา้ ท่ี รับผิดชอบต่อหนา้ ที่ ปฏิบัติงานตามที่ ตอ้ งมอบหมายจงึ
รับผดิ ชอบ วางแผน ปฏิบตั ติ ามแผนงานได้ กาหนด แก้ปญั หา จะปฏิบัตงิ าน
งานรว่ มกนั ปฏบิ ตั ิ แก้ไขปญั หาได้บา้ ง ไดบ้ างครง้ั ทางาน
ตามแผนงานไดด้ ี และทางานตรงเวลา ไมต่ รงเวลา
รว่ มกันแกไ้ ขปญั หา
และทางานตรงเวลา
27
ใบความรู้ท่ี 1
เรื่อง ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
คาชี้แจง ให้นกั เรียนศึกษาใบความรแู้ ล้วอภิปรายรว่ มกัน
เศรษฐกจิ พอเพียง
“เศรษฐกิจพอเพียง” เปน็ ปรัชญาท่พี ระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ ัวทรงมีพระราชดารสั ชีแ้ นะแนวทาง
การดาเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า 30 ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และ
เมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้าแนวทางแก้ไขเพื่อให้รอดพ้นและสามารถดารงอยู่ได้อย่างม่ันคงและยั่งยืนภายใต้กระแส
โลกาภิวตั น์ และความเปลย่ี นแปลงตา่ ง ๆ
ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพียง
แนวคิดหลัก
เป็นปรัชญาท่ีชี้แนวทางการดารงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับ
ชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดาเนินไปในทางสายกลางโดยเฉพาะการพัฒนา
เศรษฐกิจเพอ่ื ให้กา้ วทนั ต่อโลกยุคโลกาภวิ ตั น์
เป้าหมาย
มุ่งให้เกิดความสมดุลพร้อมรับต่อการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวางท้ังทางเศรษฐกิจ สังคม
ส่ิงแวดลอ้ ม และวัฒนธรรม จากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
หลักการ
ความพอเพยี ง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตผุ ล การสร้างภมู คิ มุ้ กันที่ดใี นตวั พอสมควรต่อการ
มีผลกระทบใด ๆ อันเกดิ จากการเปล่ียนแปลงทง้ั ภายนอกและภายใน
เงื่อนไขพน้ื ฐาน
- จะต้องอาศัยความรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างย่ิงในการนาวิชาการต่าง ๆ มาใช้ในการ
วางแผนและการดาเนินการทุกขั้นตอน
- การเสริมสร้างจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าท่ีของรัฐนักทฤษฎีและนักธุรกิจในทุกระดับให้
สานกึ คณุ ธรรม ความซ่ือสัตย์ สจุ ริต และให้มคี วามรอบรู้ท่เี หมาะสม ดาเนนิ ชีวิตด้วยความอดทน ความเพยี ร มี
สตปิ ญั ญา และความรอบคอบ
นยิ ามของความพอเพียง
ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดที ี่ไมน่ ้อยเกินไป และไม่มากเกนิ ไป โดยไมเ่ บียดเบียนตนเองและ
ผู้อน่ื เช่น การผลิต และการบรโิ ภคท่อี ยู่ในระดับพอประมาณ
ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเก่ียวกับความพอเพียงนั้นจะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดย
พจิ ารณาจากเหตปุ ัจจัยที่เกีย่ วข้อง ตลอดจนคานึงถงึ ผลทค่ี าดวา่ จะเกิดจากการกระทานนั้ ๆ อย่างรอบคอบ
28
การมีภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบ และความเสี่ยงจากการ
เปลี่ยนแปลงดา้ นต่าง ๆ ทคี่ าดว่าจะเกดิ ขนึ้ ในอนาคตทัง้ ใกลแ้ ละไกล
เง่อื นไขเพอื่ ใหเ้ กิดความพอเพียง
การตัดสนิ ใจและการดาเนนิ กจิ กรรมต่าง ๆ ใหพ้ อเพยี งตอ้ งอาศยั ท้ังความรแู้ ละคุณธรรมพนื้ ฐาน
เง่ือนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่าง ๆ ท่ีเก่ียวข้องอย่างรอบด้าน ความ
รอบคอบที่จะนาความรู้เหล่าน้ันมาพิจารณาให้เช่ือมโยงกัน เพ่ือประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในข้ัน
ปฏบิ ตั ิ
เงื่อนไขคุณธรรม ท่ีจะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วยมีความตระหนักในคุณธรรม เช่น มีความซ่ือสัตย์
สจุ ริต ความอดทน ความเพียร ใช้สตปิ ัญญาในการดาเนินชวี ติ
ทมี่ า : สานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแหง่ ชาติ , หนงั สอื เศรษฐกิจพอเพยี งคืออะไร 2549.
29
แบบฝกึ หัดทบทวน เรอื่ ง เศรษฐกจิ พอเพยี ง
คาชแี้ จง จงตอบคาถามต่อไปนี้
1. เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึงอะไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. นักเรยี นตอบคาถามต่อไปน้ี
2.1 ความพอประมาณเก่ียวกับการใช้ทรัพย์ของตน จะเป็นเชน่ ไร
…………………………………………………………………………………………………………………..……………………………….……………
1.2 ถา้ ไม่มเี หตผุ ลจะเปน็ คนอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………….………………………………
1.3 ทาไมคนเราต้องมีภมู ิคมุ้ กันที่ดีในตัว
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
1.4 ถ้าเราไมม่ ีความรจู้ ะเกิดผลกระทบต่อตนเองและสงั คมอย่างไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….………
1.5 หากคนท่ีอยใู่ นสังคมไม่มีคณุ ธรรมสังคมน้ันจะเป็นเชน่ ไร
……………………………………………………………………………………………………………………………………….………………………
3. แนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี งมีอะไรบา้ ง
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..…………
4. นักเรียนอยู่ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3 ควรมคี วามพอประมาณในด้านใด
4.1................................................................................................................
4.2................................................................................................................
4.3................................................................................................................
5. ถา้ นักเรียนอยใู่ นสงั คมท่ีขาดระเบยี บจะสรา้ งภมู ิคุ้มกนั ตวั เองอย่างไร
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. สิ่งท่ีนักเรียนคดิ วา่ ได้ทาตามแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพียงอย่แู ล้วคืออะไร
6.1................................................................................................................
6.2................................................................................................................
30
6.3................................................................................................................
7. ยกตัวอยา่ งปญั หาในสังคมทีน่ าแนวคดิ ของเศรษฐกจิ พอเพยี งมาใช้ในการแก้ปญั หาได้แก่
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
8. นกั เรียนคิดวา่ คณุ ธรรมที่ควรนามาใช้ในการดาเนินชีวิตตามแนวคดิ ของเศรษฐกิจพอเพยี งมีอะไรบา้ ง
จงบอกเหตผุ ล
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
31
แบบทดสอบก่อนเรยี น
เรื่องหลักปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 4
คาชแี้ จง ใหน้ ักเรียนอา่ นข้อความตอ่ ไปน้ี แลว้ ขดี เครื่องหมาย ทับตัวอักษรหน้าข้อท่ีถูกต้องที่สดุ
1. ความพอเพียง หมายถึงข้อใด
ก. ความพอประมาณ
ข. ความมีเหตผุ ล
ค. ความมีภูมคิ ุม้ กันทดี่ ี
ง. ถกู ทุกข้อ
2. ความมีภมู คิ ุ้มกนั ในตัวที่ดี ข้อใดสาคัญทสี่ ุด
ก. มคี วามรเู้ ท่าทนั ต่อเหตุการณ์
ข. มคี วามรู้เกยี่ วกบั กฎหมายเบอ้ื งต้น
ค. มีความรบั ผิดชอบต่อสังคม
ง. เห็นความสาคญั ของการออม
3. ใครควรนาปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงไปใชม้ ากท่ีสุด
ก. เกษตรกร
ข. นกั ธุรกิจ
ค. ขา้ ราชการ
ง. ประชาชนทกุ คน
4. ขอ้ ใดกล่าวถึง “ความพอประมาณ” ได้ถูกต้องทีส่ ุด
ก. ประหยดั มธั ยัสถ์ ไม่ใช้เงิน
ข. พอใจในส่งิ ทมี่ ี ไม่อยากได้ใครม่ ตี ามผู้อน่ื
ค. อยู่อย่างสงบ สันโดษ ไม่เบียดเบียนผู้อนื่
ง. ความพอดี ไม่มากไม่นอ้ ยจนเกนิ ไป โดยไม่เบยี ดเบียนตนเองและผอู้ น่ื
5. หลักสาคญั ของ “ทฤษฎใี หม่” คือขอ้ ใด
ก. มีความพอเพยี งเลีย้ งตวั เองได้
ข. มอี าหารเพยี งพอแกก่ ารบริโภคตลอดปี
ค. มีการผลิตข้าวบรโิ ภคเพียงพอตลอดปี
ง. ถกู ทุกข้อ
32
6. ใครท่ีไม่ได้ใชป้ รัชญาเศรษฐกิจพอเพียงในการดาเนนิ ชวี ิต
ก. นดิ ชอบเปน็ คนที่ชอบจบั จา่ ยซื้อของเทา่ ที่จาเป็น
ข. น้อย ไมห่ ลงใหลไปตามกระแสนิยม
ค. หนอ่ ย รบั ประทานอาหารเพียงแค่ 2 มอ้ื เพื่อเป็นการประหยัดเงิน
ง. ก้อย ชอบปลกู ผกั ไว้รบั ประทานเอง
7. การประยกุ ตใ์ ช้กบั ภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ กับหลกั ของเศรษฐกิจพอเพียง ทาใหเ้ กดิ ข้อใด
ก. โครงการหนง่ึ ตาบลหนง่ึ ผลิตภณั ฑ์
ข. โครงการธนาคารประชาชน
ค. โครงการรักบ้านเกิด
ง. โครงการอนุรักษส์ ่งิ แวดลอ้ ม
8. “ทฤษฎใี หม่” มคี วามสัมพันธก์ ับข้อใด
ก. ขุดบ่อ – เลี้ยงปลา
ข. ปลูกไมผ้ ล – สวนผกั
ค. แบง่ ทดี่ นิ เปน็ ส่วน ๆ
ง. จดั แบ่งพน้ื ทใ่ี ชป้ ระโยชนไ์ ด้อยา่ งเหมาะสม
9. ภมู ปิ ัญญาท้องถ่นิ หมายถึงข้อใด
ก. ชา่ งฝมี อื สานตะกรา้ ลายดอกพกิ ุล
ข. ผลิตภณั ฑค์ รมี สมนุ ไพร
ค. ผา้ ทอโบราณ
ง. ลิเกเงนิ ล้าน
10. การเรียนปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เป็นประโยชนอ์ ยา่ งไร
ก. รคู้ วามหมายของปรัชญา
ข. เข้าใจความเป็นมาของปรัชญา
ค. ศกึ ษาและฝึกปฏิบัติใหเ้ ปน็ นสิ ัย
ง. เปน็ บุคคลที่ทนั ต่อเหตุการณ์
33
เฉลยแบบทดสอบก่อนเรยี น
เรื่อง หลักปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง
ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 4
1. ง 2. ค 3. ก 4. ง
5. ง 6. ค 7. ก 8. ง
9. ก 10. ค
34
น้าหมักชีวภาพสตู รพอเพียง (สตู รไขไ่ ก)่
น้าหมักชีวภาพ คือ น้าหมักท่ีได้จากการหมักเศษซากพืช ซากสัตว์ หรือสารอินทรีย์ชนิดต่างๆ ที่หาได้ใน
ท้องถิ่นด้วยจุลินทรีย์จาเพาะ ซ่ึงอาจหมักร่วมกับกากน้าตาลหรือน้าตาลทรายแดง กระบวนการหมักของน้าหมัก
ชีวภาพจะเกิดจากการย่อยสลายสารอินทรีย์ด้วยจุลินทรีย์ โดยใช้กากน้าตาลและน้าตาลจากสารอินทรีย์เป็นแหล่ง
พลังงาน
ประโยชนข์ องน้าหมักชวี ภาพด้านการเกษตร ใชฉ้ ดี พน่ หรอื เติมในดินหรือนา้ ช่วยปรับสภาพความเป็นกรด-
ด่าง ในดินและน้า ช่วยปรับสภาพโครงสร้างของดินทาใหด้ ินร่วนซุย อุ้มน้าได้ดี ช่วยเพิ่มจานวนจุลินทรีย์ในดิน ช่วย
เพิ่มอัตราการย่อยสลายสารอินทรีย์ในดินและน้า ใช้รดต้นพืชหรือแช่เมล็ดพันธุ์ ท่อนพันธ์ุเพื่อเร่งการเกิดราก และ
การเจริญเติบโตของพืช เป็นสารท่ีทาหน้าที่เหมือนฮอร์โมนพืชกระตุ้นการเกิดราก ใช้ฉีดพ่นในแปลงเกษตรช่วย
กระตุ้นการเจริญเติบโตของพืช ช่วยในการแตกตาดอก เพิ่มความแข็งแรง ช่วยต้านแมลงศัตรูพืช และลดจานวน
แมลงศตั รพู ชื ทาใหผ้ ลผลติ และคุณภาพสูงขึน้ ปจั จบุ นั น้าหมักชวี ภาพท่ีใชก้ ันอย่างแพรห่ ลายและได้รบั ความนิยมใน
การปลูกผกั อนิ ทรยี ์
น้าหมักชีวภาพจากไข่ไก่ ซง่ึ มีสว่ นประกอบ และวธิ ีการทา ดงั น้ี
สว่ นประกอบ:
ไขไ่ ก่ 5 กโิ ลกรมั
กากนา้ ตาล 5 กิโลกรัม
แป้งขา้ วหมาก 1 ก้อน
ยาคูลท์ 1 ขวด
วธิ ที า:
1. ชัง่ ไขไ่ ก่ 5 กิโลกรมั
2. ใชเ้ ครอื่ งปนั่ นา้ ผลไม้ ปั่นไข่ไกใ่ หล้ ะเอียด (ปน่ั พร้อมเปลือก)
3. ชงั่ กากน้าตาล 5 กโิ ลกรมั
5. นาไข่ไก่ และกากนา้ ตาลผสมให้เขา้ กัน
6. เทยาคลู ทล์ งไปผสม
7. บแี้ ป้งข้าวหมากลงไปผสม
8. คนให้เข้ากัน ปิดฝา แลว้ เก็บไว้ในท่ีรม่ นาน 14 วนั
35
รปู แบบการจดั การเรียนรู้แบบโครงการ (Project Approach)
การสอนแบบโครงการ (Project Approach) หมายถึง การจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งซึ่งให้
ความสาคัญกับเดก็ ส่งเสรมิ ใหเ้ ด็กแสวงหาคาตอบจากการเรยี นเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงอยา่ งลุ่มลึกเพอ่ื สรา้ งองค์ความรู้ด้วย
ตนเอง โดยท่ีเด็กหรือครูร่วมกันกาหนดเร่ืองท่ีต้องการเรียนรู้ แล้วดาเนินการแสวงหาความรู้ด้วยกระบวนการ
แก้ปัญหา โดยครเู ปน็ ผอู้ านวยความสะดวกใหเ้ ด็กเรยี นร้จู ากประสบการณต์ รงและจากแหลง่ เรียนรู้
การสอนแบบโครงการมที ี่มาอยา่ งไร
การจดั การเรียนการสอนแบบโครงการไดเ้ ริ่มในประเทศสหรัฐอเมริกา ช่วงศตวรรษที่ 19-20 เป็น
ความคิดรเิ รม่ิ ของ William Heard Kilpatrick นกั การศกึ ษาอเมริกัน ซง่ึ พฒั นามาจากแนวคิดของ John Dewey ท่ี
สนับสนุนให้สร้างประสบการณ์ทางการศึกษาเพื่อช่วยให้เด็กเกิดความตระหนักในชุมชน นามาประยุกต์ สอนเด็กถึง
วิธกี ารใชโ้ ครงการที่เกี่ยวกับประสบการณจ์ ริงให้เป็นรากฐานสาคญั ของการศึกษามากกว่าการเตรียมเดก็ เพ่ืออนาคต
ในชว่ งปี ค.ศ. 1934 Lucy Sprague Mitchell นักการศกึ ษาจาก The Bank Street College Of Education นคร
นิวยอร์ก ออกศึกษาส่ิงแวดล้อมและสอนครูให้รู้จักวิธีการใช้โครงการ ซ่ึงเป็นวิธีสอนที่พัฒนาโดยวิทยาลัยการศึกษา
แบงก์สตรีทมีส่วนคล้ายคลึงอย่างมากกับการสอนแบบโครงการ ผลการทดลองใช้พบว่า เด็กเรียนรู้ได้ดีจากการ
วางแผนทางานร่วมกัน ได้ตัดสินใจและเรียนรู้ในส่ิงที่ต้องการเรียน ผลการเรียนรู้ส่งเสริมศักยภาพของเด็กทุกด้าน
ต่อมาในปี ค.ศ.1945 หลังสงครามโลกคร้ังที่ 2 ใน Villa Cella ซ่ึงเป็นหมู่บ้านเล็กๆ ท่ีอยู่ห่างจากตัวเมือง Reggio
Emilia 2-3 ไมล์ แม่บา้ นกล่มุ หนงึ่ ร่วมมอื กับ Malaguzzi นักการศึกษา และกลุ่มผู้ปกครองจดั การศกึ ษาให้เหมาะกับ
เด็กท่ีมีชีวิตอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนปรักหักพังเพราะผลจากสงครามโลก และทาการศึกษาค้นคว้าทฤษฎี บทความ
งานวิจัย ข้อคิดเห็นจากศาสตร์สาขาต่างๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการศึกษา ทดลองปฏิบัติ แล้ววิเคราะห์ สะท้อนผลการ
ปฏิบตั ิ ทาการปรับปรุงจนไดแ้ นวคดิ และการปฏบิ ัตใิ นการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้สาหรับเดก็ ปฐมวัย และประสบ
ผลสาเร็จจนเป็นท่ีรู้จักในกลุ่มยุโรปอเมริกาเหนือ และอเมริกา ต้ังแต่ปี ค.ศ.1980 Reggio Emilia ได้กลายเป็นชื่อ
ของแนวคดิ ในการจัดการศึกษาสาหรบั เด็กปฐมวยั และ การเรียนรอู้ ยา่ งลุม่ ลกึ จากงานของโครงการ (Projects) เป็น
กิจกรรมการสอนท่ี โดดเด่นในโรงเรียนตามแนวคิด Reggio Emilia การจัดประสบการณ์แบบโครงการได้รับการ
พัฒนารูปแบบให้ชัดเจนขึ้นโดย Katz ชาวอเมริกา และ Chard ชาวแคนาดา ที่ได้ไปศึกษาดูงานการเรียนการสอน
Project Approach จากโรงเรียนก่อนประถมศึกษาในเมือง Reggio Emilia ซ่ึงอยู่ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี
และทง้ั สองก็ไดพ้ มิ พ์เผยแพร่หนงั สือช่ือว่า Engaging Children , s Mind : The Project Approach ซ่ึงหนงั สอื เลม่
น้ี ได้เป็นแนวทางในการจัดประสบการณ์แบบโครงการในระยะต่อมา สาหรับประเทศไทยมหาวิทยาลัยที่เปิดสอน
ทางการศึกษาได้จัดหลักสูตรท่ีกาหนดรายวิชา นวัตกรรมการศึกษา โดยให้นักศึกษาเรียนและทดลองจัดการสอน
แบบโครงการให้แก่เด็กปฐมวัยเป็นนวัตกรรมหน่ึงที่ต้องฝึกปฏิบัติ ตลอดจนศึกษาวิจัยในหลักสูตรระดับปริญญาโท
และปรญิ ญาเอก สว่ นสถานศกึ ษาระดับปฐม วัยทง้ั ภาครฐั และเอกชนสนใจนานวัตกรรมการสอนแบบโครงการไปใช้
อย่างแพร่หลายในปัจจุบนั
36
การสอนแบบโครงการมีลกั ษณะอยา่ งไร?
การสอนแบบโครงการเป็นการจดั การเรียนการสอนที่มีลกั ษณะสาคญั ดงั นี้
ความคิดพื้นฐานเช่ือว่า การเรียนรู้ของเด็กมาจากการกระทา เด็กเป็นผู้ที่ต้องพัฒนา มีความคิด มีความมุ่ง
หมาย ความต้องการที่จะเรียนรู้ทาอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นของตนเองต้องพึ่งตนเอง การสอนแบบโครงการมุ่ง
พัฒนาทางร่างกายและจติ ใจของเด็กไปพร้อมกนั
วธิ จี ดั การเรียนการสอนมี 4 ระยะ คอื
ระยะที่ 1 เริม่ ต้นโครงการ เดก็ จะรว่ มกนั คดิ เรื่องท่สี นใจ
ระยะท่ี 2 ระยะวางแผนโครงการ เป็นชว่ งเวลาท่กี าหนดจดุ ประสงค์วา่ ตอ้ งการเรยี นรู้อะไร กาหนดขอบเขต
เนอื้ หา ระยะเวลาและวธิ กี ารศึกษา
ระยะที่ 3 ดาเนินโครงการตามท่ีกาหนดไว้ ท่ีเน้นระบวนการแก้ปัญหา จัดเป็นหัวใจของการสอนแบบ
โครงการ เพราะเดก็ จะได้รบั ขอ้ มูลใหม่จากประสบการณ์ตรงหรือเป็นแหล่งข้อมลู พน้ื ฐานเพราะเดก็ ไดส้ นทนา พดู คุย
กับบุคคล และสืบค้นจากแหล่งเรียนรู้ ขณะเดียวกันเด็กสามารถค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลรอง (Secondary
Sources) เชน่ การดูวดี ีทัศน์ การอ่านหนังสือ เป็นต้น
ระยะที่ 4 สรุปโครงการ ครูและเด็กร่วมวางแผนสรุปโครงการ เป็นขั้นตอนการประเมินโครงการ ทบทวน
การปฏิบัติ และวางแผนโครงการใหม่ วิธีการสรุปโครงการอาจจะให้เด็กนาผลงานท่ีได้รับมอบหมายมาแสดงต่อครู
แล้วอภิปรายประเดน็ ปญั หา หรือให้เดก็ นาเสนอผลงาน ในรปู ของการจดั แสดง จดั เป็นนิทรรศการ หรือสาธิตผลงาน
มีกิจกรรมหลักในโครงการ 4 กิจกรรมคือ กิจกรรมสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในชั้นเรียน กิจกรรม
ทศั นศึกษา กจิ กรรมสบื ค้น และกจิ กรรมนาเสนอผลงาน
กิจกรรมสืบค้นมีหลากหลายได้แก่ การรวบรวมข้อมูลท่ีได้จากการสังเกต การสัมภาษณ์ การปฏิบัติทดลอง
การรวบรวมเอกสาร การรายงาน การจดั แสดงผลงานท่ไี ดจ้ ากโครงการ เป็นต้น
เร่ืองที่จะเรียนมาจากความสนใจของเด็กที่ต้องการเรียนอย่างลุ่มลึก เด็กจึงเป็นผู้วางแผนและร่วมคิด
รว่ มมอื สืบค้นกบั ผ้อู ืน่ ครูเปน็ ผสู้ นบั สนนุ สังเกตและอานวยความสะดวก หากเรือ่ งน้นั มคี วามเปน็ ไปได้ มแี หลง่ ข้อมูล
เพียงพอ พ่อแม่และชุมชนมคี วามพร้อมทจ่ี ะร่วมมือ
ทักษะการเรียนรู้หนังสือจานวน ให้บูรณาการในหัวเรื่องโครงการ รวมท้ังวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และ
ภาษา ดังน้ัน หัวเร่อื งหนึง่ ทีเ่ ดก็ สนใจเรียนร้นู นั้ ตอ้ งมีเวลาอย่างน้อย 1 สปั ดาห์และควรสารวจทโ่ี รงเรียนเหมาะกว่าท่ี
บ้าน
การสอนแบบโครงการมีประโยชนต์ อ่ เดก็ ปฐมวัยอย่างไร?
การจัดการสอนแบบโครงการเป็นที่สนใจของนักการศึกษาจึงไดน้ าไปใช้และวิจยั สรปุ ถึงประโยชนท์ ี่มตี ่อเด็ก
ดังนี้
เดก็ จะเหน็ คณุ คา่ ของตนเอง เป็นแนวทางให้เด็กพง่ึ พาตนเองได้
สง่ เสรมิ ใหเ้ ดก็ มโี อกาสที่จะประยกุ ต์ใชท้ กั ษะที่มีอยู่
เดก็ เกดิ แรงจูงใจภายในและความสามารถท่ีเกิดจากตวั เด็กเองในงานและกจิ กรรมที่ทา
เด็กรู้จกั ตดั สนิ ใจวา่ ควรทาอะไร และผู้ใหญ่ยอมรบั ในความต้องการของเด็ก
37
เด็กสามารถเรียนรู้ด้วยตนเอง อย่างมีความสุข สนุกสนานเพราะเด็กได้เรียนในสิ่งที่ตนเองสนใจ รู้จัก
ประยกุ ตใ์ ช้ความรู้
ส่งเสรมิ ให้เด็กมวี ิธีการทางานอยา่ งมแี บบแผน
สามารถนารปู แบบการสบื ค้นความรู้ไปใช้ได้ในชีวติ จรงิ
สร้างความสัมพันธ์ระหว่างโรงเรียนและครอบครัว เนื่องจากการสอนแบบโครงการ พ่อแม่ ผู้ปกครอง
จะตอ้ งร่วมมือกับครสู นับสนนุ การเรียนรูข้ องเด็กทุกรูปแบบ
พ่อแม่ ผู้ปกครองจะนาการสอนแบบโครงการมาประยกุ ตใ์ ชก้ บั ลูกได้อยา่ งไร?
การจัดการสอนแบบโครงการนามาประยุกต์ใช้ในครอบครัวได้เป็นอย่างดี โดยให้ลูกได้เรียนรู้เร่ืองท่ีเขา
สนใจทั้งในแนวกว้างและแนวลุ่มลึกที่เขาสามารถเรียนได้ สนับสนุนลูกให้สืบหาคาตอบด้วยตนเองโดยพ่อแม่หรือพี่
น้องวัยใกล้เคียงกันเป็นเพ่ือนร่วมเรียน ด้วยวิธีการอ่านหนังสือ การวาดภาพ การสร้างเรื่อง การสังเกต การเขียน
และรวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์ผู้รู้ ผู้เช่ียวชาญซึ่งอาจจะเป็นญาติผู้ใหญ่ เช่น ย่า ยาย เพื่อนบ้าน นาลูกไป
เรียนรู้ที่แหล่งเรียนรู้ท่ีเกี่ยวข้อง และให้ลูกประมวลความรู้ท่ีค้นพบ สิ่งสาคัญ พ่อแม่จะต้องเข้าใจว่าการสอนแบบ
โครงการจะต้องอาศัยเวลา บางคร้ังลูกอาจจะประมวลสรุปความรู้ไม่ได้ ต้องค้นหาสาเหตุ บางครั้งอาจจะเกิดจาก
เรื่องท่ีสนใจน้ันใช้เวลาศึกษายาวนาน หรือการรับรู้เรื่องราวขาดการเชื่อมโยงประสบการณ์เดิม เม่ือลู กได้รับการ
ส่งเสริมให้สืบค้นความรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา พ่อแม่จะสังเกตพบว่า ลูกได้ใช้ภาษา ได้พัฒนาทักษะสังคม ได้
พัฒนาความคิดผ่านการใชค้ าถาม การแก้ปญั หา และไดท้ ักษะการสงั เกต
การจดั การเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน (PROJECT-BASED LEARNING)
ความหมาย
การจัดการเรียนรแู้ บบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน หมายถงึ การจดั การเรียนรูท้ ม่ี ีครเู ป็นผู้กระตุ้นเพ่ือนาความสนใจ
ทีเ่ กดิ จากตัวนักเรียนมาใช้ในการทากิจกรรมค้นควา้ หาความรู้ดว้ ยตวั นักเรียนเอง นาไปสกู่ ารเพิ่มความรู้ที่ไดจ้ ากการ
ลงมือปฏิบัติ การฟังและการสังเกตจุ ากผู้เชี่ยวชาญ โดยนักเรยี นมีการเรียนรู้ผา่ นกระบวนการทางานเป็นกลุ่ม ท่ีจะ
นามาสูก่ ารสรุปความรู้ใหม่ มีการเขยี นกระบวนการจัดทาโครงงานและไดผ้ ลการจัดกิจกรรมเปน็ ผลงานแบบรปู ธรรม
(ดษุ ฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 19-20
ลกั ษณะเด่น
การเรยี นรู้แบบโครงงาน เปน็ อกี รูปแบบหนง่ึ ท่ีมีผูใ้ ห้ความสนใจมากในปัจจุบนั McDonell (2007) ได้กลา่ ว
ว่า การเรียนรู้แบบโครงงานเป็นรูปแบบหนึ่งของ Child- centered Approach ท่ีเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ทางาน
ตามระดับทักษะท่ีตนเองมีอยู่ เป็นเร่ืองท่ีสนใจและรู้สึกสบายใจที่จะทา นักเรียนได้รับสิทธิในการเลือกว่าจะต้ัง
คาถามอะไร และต้องการผลผลิตอะไรจากการทางานชิ้นนี้ โดยครูทาหน้าท่ีเป็นผู้สนับสนุนอุปกรณ์และจัดประสบ
การณ์ให้แก่นักเรียน สนับสนุนการแก้ไขปัญหา และสร้างแรงจูงใจให้แก่นักเรียน โดยลักษณะของการเรียนรู้แบบ
โครงงาน มีดังน้ี
-นกั เรียนกาหนดการเรียนรู้ของตนเอง
-เชอื่ มโยงกับชีวิตจรงิ สิ่งแวดล้อมจรงิ
38
-มฐี านจากการวจิ ยั หรือ องคค์ วามรทู้ ่ีเคยมี
-ใช้แหลง่ ขอ้ มลู หลายแหล่ง
-ฝงั ตรงึ ด้วยความรูแ้ ละทกั ษะบางอยา่ ง (embedded with knowledge and skills)
-ใชเ้ วลามากพอในการสรา้ งผลงาน
-มีผลผลติ
แนวคดิ สาคัญ
การเรียนรู้แบบโครงงานนัน้ มแี นวคดิ สอดคล้องกับ John Dewey เรือ่ ง “learning by doing” ซงึ่ ได้กล่าว
ว่า “Education is a process of living and not a preparation for future living.” (Dewey John, 1897: 79
cite in Douladeli Efstratia, 2014) ซึ่งเป็นการเน้นการจัดการเรียนรู้ที่ให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ชีวิตขณะท่ี
เรียน เพ่ือให้นักเรียนได้พัฒนาทักษะต่างๆ ซ่ึงสอดคล้องกับหลักพัฒนาการคิดของ Bloom ทั้ง 6 ขั้น คือ ความรู้
ความจา (Remembering) ความเข้าใจ (understanding) การประยุกต์ใช้ (Applying) การวิเคราะห์ (Analyzing)
การประเมนิ ค่า (Evaluating) และ การคดิ สร้างสรรค์ (Creating) ซึง่ การจดั การเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน นั้น
จึงเป็นเป็นอีกรูปแบบหน่ึง ท่ีถือได้ว่าเป็น การจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ เน่ืองจากผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ
เพ่ือฝกึ ทกั ษะต่างๆด้วยตนเองทุกขั้นตอน โดยมคี รเู ปน็ ผ้จู ดั ประสบการณ์การเรยี นรู้
การเตรียมตวั ของครกู อ่ นการจดั การเรียนรู้
ในการจัดการเรียนรู้แต่ละครั้ง ครูจะต้องเป็นผู้ที่มีความพร้อมและมีความแม่นยาในเนื้อหาเพ่ือให้การ
จัดการเรียนรู้เป็นไปอย่างราบรื่น และสามารถอานวยความสะดวกให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ขณะกิจกรรม ซึ่งการ
จัดกิจกรรมการเรียนรู้ดังกล่าว มีแนวทางในการจัดการเรียนรู้ 2 รูปแบบ คือ การจัดกิจกรรมตามความสนใจของ
ผู้เรียน และการจดั กิจกรรมตามสาระการเรียนรู้
การจัดกิจกรรมตามความสนใจของผู้เรียน เป็นการจัดกิจกรรมท่ีให้ผู้เรียนเลือกศึกษาโครงงานจากสิ่งที่
สนใจอยากรู้ท่ีมีอยู่ในชีวิตประจาวัน สิ่งแวดล้อมในสังคม หรือจากประสบการณ์ต่างๆที่ยังต้องการคาตอบ ข้อสรุป
ซง่ึ อาจจะอยู่นอกเหนอื จากสาระการเรยี นรู้ในบทเรยี นของหลักสตู ร มขี ัน้ ตอนดังน้ี
– ตรวจสอบ วเิ คราะห์ พิจารณา รวบรวม ความสนใจ ของผู้เรยี น
– กาหนดประเดน็ ปัญหา/ หัวขอ้ เรือ่ ง
– กาหนดวตั ถปุ ระสงค์
– ตงั้ สมมตฐิ าน
– กาหนดวธิ กี ารศกึ ษาและแหล่งความรู้
– กาหนดเคา้ โครงของโครงงาน
– ตรวจสอบสมมตฐิ าน
– สรุปผลการศึกษาและการนาไปใช้
– เขยี นรายงานวจิ ัยแบบงา่ ยๆ
– จัดแสดงผลงาน
39
การจัดกิจกรรมตามสาระการเรียนรู้ เป็นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยยึดเนื้อหาสาระตามท่ีหลักสูตร
กาหนด ผเู้ รยี นเลอื กทาโครงงานตามท่ีสาระการเรียนรู้ จากหน่วยเนื้อหาท่ีเรยี นในช้ันเรยี น นามาเป็นหัวข้อโครงงาน
มขี ้ันตอนท่ผี ู้สอนดาเนินการดงั ต่อไปนี้
– ศึกษาเอกสาร หลักสตู ร คูม่ อื ครู
– วเิ คราะหห์ ลกั สตู ร
– วเิ คราะห์คาอบิ ายรายวชิ า เพื่อแยกเนอ้ื หา จดุ ประสงคแ์ ละจัดกจิ กรรมใหเ้ ดน่ ชัด
– จัดทากาหนดการสอน
– เขียนแผนการจัดการเรียนรู้
– ผลติ สือ่ จดั หาแหลง่ เรยี นรูแ้ ละภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ
– จัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยเร่ิมต้ังแต่ แจ้งวัตถุประสงค์ กรระตุ้นความสนใจของผู้เรียน จัดกลุ่มผู้เรียน
ตามความสนใจ การใช้คาถามกระต้นุ การมสี ว่ นรว่ มของผเู้ รยี น ซ่ึงจะกลา่ วถงึ รายละเอยี ดในหวั ข้อ บทบาทของครูใน
ฐานะผ้กู ระต้นุ การเรยี นรู้
– จดั แหลง่ เรียนรู้เพมิ่ เติม
– บันทึกผลการจดั การเรยี นรู้
ขนั้ ตอนการจดั การเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน
การจดั การเรยี นรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐานนั้น มีกระบวนการและขั้นตอนแตกตา่ งกันไปตามแตล่ ะทฤษฎี ซึ่ง
ในคมู่ อื การจัดการเรยี นรแู้ บบใช้โครงงานเป็นฐานฉบับนี้ ขอนาเสนอ 3 แนวคิดทถ่ี ูกพจิ ารณาแล้วเหมาะสมกบั บริบท
ของเมืองไทย คือ 1. การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงาน ของ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษ าและ
กระทรวงศึกษาธิการ (2550) 2. ข้ันการจัดการเรียนรู้ ตาม โมเดล จักรยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL ของ วิจารณ์
พาณิช(2555) และ 3. การจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน ที่ได้จากโครงการสร้างชุดความรู้เพ่ือสร้างเสริม
ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของเด็กและเยาวชน: จากประสบการณ์ความสาเร็จของโรงเรียนไทย ของ ดุษฎี โยเหลา
และคณะ (2557) ดงั นี้
แนวคิดที่ 1 ขน้ั ตอนการจดั การเรียนรูแ้ บบโครงงาน ของ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษาและ
กระทรวงศึกษาธกิ าร ซึ่งไดน้ าเสนอขัน้ ตอนการจัดการเรียนรแู้ บบโครงงาน ไว้ 4 ขน้ั ตอน ดงั น้ี
ภาพ 1 ข้นั ตอนการจัดการเรียนรูแ้ บบโครงงาน สานกั งานเลขาธกิ ารสภาการศึกษาและกระทรวงศึกษาธกิ าร
40
1. ข้ันนาเสนอ หมายถึง ข้ันท่ีผู้สอนให้ผู้เรียนศึกษาใบความรู้ กาหนดสถานการณ์ ศึกษาสถานการณ์ เล่น
เกม ดูรูปภาพ หรือผู้สอนใช้เทคนิคการตั้งคาถามเกี่ยวกับสาระการเรียนรู้ท่ีกาหนดในแผนการจัดการเรียนรู้แต่ละ
แผน เช่น สาระการเรยี นรตู้ ามหลกั สุตรและสาระการเรยี นรู้ท่เี ปน็ ขนั้ ตอนของโครงงานเพื่อใช้เป็นแนวทางในการวาง
แผนการเรยี นรู้
2. ข้ันวางแผน หมายถึง ขั้นที่ผู้เรียนร่วมกันวางแผน โดยการระดมความคิด อภิปรายหารือข้อสรุปของ
กลมุ่ เพ่ือใชเ้ ป็นแนวทางในการปฏิบัติ
3. ข้นั ปฏิบัติ หมายถงึ ข้ันทผ่ี ู้เรยี นปฏิบตั ิกจิ กรรม เขียนสรุปรายงานผลทีเ่ กิดขน้ึ จากการวางแผนร่วมกนั
4. ข้ันประเมินผล หมายถึง ขั้นการวัดและประเมินผลตามสภาพจริง โดยให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ที่
กาหนดไว้ในแผนการจัดการเรียนรู้ โดยมีผูส้ อน ผู้เรียนและเพ่ือนรว่ มกันประเมิน
แนวคดิ ที่ 2 ข้นั การจดั การเรยี นรู้ ตาม โมเดล จักรยานแหง่ การเรยี นรู้แบบ PBL ของ วิจารณ์ พาณชิ
(2555:71-75) ซงึ่ แนวคิดนี้ มีความเชื่อว่า หากต้องการให้การเรียนรูม้ พี ลังและฝงั ในตัวผ้เู รยี นได้ ตอ้ งเป็นการ
เรยี นรทู้ ่ีเรยี นโดยการลงมือทาเปน็ โครงการ (Project) ร่วมมือกนั ทาเปน็ ทีม และทากบั ปัญหาที่มีอยใู่ นชีวิตจรงิ
ซ่งึ สว่ นของ วงลอ้ แต่ละช้ิน ไดแ้ ก่ Define, Plan, Do, Review และ Presentation
ภาพ 2 โมเดล จักรยานแหง่ การเรียนรู้แบบ PBL
1. Define คือ ขน้ั ตอนการทาให้สมาชิกของทีมงาน รว่ มทง้ั ครดู ้วยมคี วามชัดเจนร่วมกนั วา่ คาถาม ปญั หา ประเด็น
ความท้าทายของโครงการคอื อะไร และเพอื่ ใหเ้ กดิ การเรียนรู้อะไร
2. Plan คือ การวางแผนการทางานในโครงการ ครูก็ต้องวางแผน กาหนดทางหนีทีไล่ในการทาหน้าที่โค้ช รวมทั้ง
เตรียมเคร่ืองอานวยความสะดวกในการทาโครงการของนักเรียน และที่สาคัญ เตรียมคาถามไว้ถามทีมงานเพ่ือ
กระตุ้นให้คิดถึงประเด็นสาคัญบางประเด็นท่ีนักเรียนมองข้าม โดยถือหลักว่า ครูต้องไม่เข้าไปช่วยเหลือจนทีมงาน
ขาดโอกาสคิดเองแก้ปัญหาเอง นักเรียนท่ีเป็นทีมงานก็ต้องวางแผนงานของตน แบ่งหน้าท่ีกัรับผิดชอบ การประชุม
พบปะระหว่างทีมงาน การแลกเปล่ียนข้อค้นพบแลกเปลี่ยนคาถาม แลกเปลี่ยนวิธีการ ยิ่งทาความเข้าใจร่วมกันไว้
ชดั เจนเพยี งใด งานในขั้น Do ก็จะสะดวกเลอ่ื นไหลดีเพียงน้นั
41
3. Do คือ การลงมือทา มักจะพบปัญหาท่ีไม่คาดคิดเสมอ นักเรียนจึงจะได้เรียนรู้ทักษะในการแก้ปัญหา การ
ประสานงาน การทางานร่วมกันเป็นทีม การจัดการความขัดแย้ง ทักษะในการทางานภายใต้ทรพั ยากรจากัด ทักษะ
ในการค้นหาความรู้เพ่ิมเติมทักษะในการทางานในสภาพท่ีทีมงานมีความแตกต่างหลากหลาย ทักษะการทางานใน
สภาพกดดนั ทักษะในการบนั ทกึ ผลงาน ทักษะในการวิเคราะหผ์ ล และแลกเปล่ียนข้อวิเคราะหก์ บั เพ่ือนรว่ มทมี เป็น
ตน้
ในข้ันตอน Do น้ี ครูเพื่อศิษย์จะได้มีโอกาสสังเกตทาความรู้จักและเข้าใจศิษย์เป็นรายคน และเรียนรู้หรือฝึกทา
หนา้ ทเ่ี ป็น “วาทยากร” และโคช้ ด้วย
4. Review คือ การท่ีทีมนักเรียนจะทบทวนการเรียนรู้ ที่ไม่ใช่แค่ทบทวนว่า โครงการได้ผลตามความมุ่งหมาย
หรือไม่ แต่จะต้องเน้นทบทวนว่างานหรือกิจกรรม หรือพฤติกรรมแต่ละข้ันตอนได้ให้บทเรียนอะไรบ้าง เอาท้ัง
ขั้นตอนที่เป็นความสาเร็จและความล้มเหลวมาทาความเข้าใจ และกาหนดวิธีทางานใหม่ที่ถูกต้องเหมาะสมรวมทั้ง
เอาเหตุการณ์ระทึกใจ หรือเหตุการณ์ที่ภาคภมู ิใจ ประทับใจ มาแลกเปล่ียนเรียนรู้กัน ขั้นตอนนี้เป็นการเรียนรู้แบบ
ทบทวนไตรต่ รอง (reflection) หรือในภาษา KM เรยี กวา่ AAR (After Action Review)
5. Presentation คือ การนาเสนอโครงการต่อช้ันเรียน เป็นข้ันตอนท่ีให้การเรียนรู้ทักษะอีกชุดหนึ่ง ต่อเนื่องกับ
ข้ันตอน Review เป็นขั้นตอนที่ทาให้เกิดการทบทวนข้ันตอนของงานและการเรียนรู้ท่ีเกิดขึ้นอย่างเข้มข้น แล้วเอา
มานาเสนอในรูปแบบที่เร้าใจ ให้อารมณ์และให้ความรู้ (ปัญญา) ทีมงานของนักเรียนอาจสร้างนวัตกรรมในการ
นาเสนอก็ได้ โดยอาจเขียนเป็นรายงาน และนาเสนอเป็นการรายงานหน้าชั้น มี เพาเวอร์พอยท์ (PowerPoint)
ประกอบ หรอื จัดทาวีดทิ ศั น์นาเสนอ หรอื นาเสนอเป็นละคร เป็นต้น
“Project-Based Learning increases long-term retention, improves problem-solving and
collaboration skills, and improves students’ attitudes towards learning.”
(Strobel , 2009)
แนวคดิ ที่ 3 การจดั การเรยี นรแู้ บบใชโ้ ครงงานเปน็ ฐาน ท่ปี รบั จากการศกึ ษาการจดั การเรียนรูแ้ บบ PBL ทีไ่ ด้
จากโครงการสรา้ งชุดความรู้เพ่ือสร้างเสรมิ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของเดก็ และเยาวชน: จากประสบการณ์
ความสาเรจ็ ของโรงเรยี นไทย ของ ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557) โดยมีทั้งหมด 6 ขน้ั ตอน ดังน้ี
ภาพ 3 ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐาน
(ปรบั ปรุงจาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ, 2557: 20-23)
42
ในการจัดการเรียนรู้แบบใช้โครงงานเป็นฐานคร้ังน้ี ไดน้ าแนวคดิ ทีป่ รับปรงุ จาก ดุษฎี โยเหลาและคณะ (2557: 20-
23) ซึง่ เป็นแนวทางการจดั การเรียนรทู้ ส่ี ร้างขน้ึ มาจากการศึกษาโรงเรยี นในประเทศไทย โดยมีขัน้ ตอนดังนี้
1. ขน้ั ใหค้ วามรพู้ น้ื ฐาน ครูใหค้ วามรู้พืน้ ฐานเกีย่ วกบั การทาโครงงานก่อนการเรียนรู้ เนอื่ งจากการทา
โครงงานมีรูปแบบและข้นั ตอนท่ชี ัดเจนและรัดกลุม ดังน้นั นกั เรียนจึงมีความจาเป็นอย่างยิง่ ท่จี ะต้องมคี วามรู้
เก่ียวกบั โครงงานไว้เปน็ พื้นฐาน เพื่อใชใ้ นการปฏบิ ัตขิ ณะทางานโครงงานจรงิ ในขน้ั แสวงหาความรู้
2. ขั้นกระตุน้ ความสนใจ ครเู ตรยี มกิจกรรมทีจ่ ะกระตนุ้ ความสนใจของนกั เรยี น โดยต้องคิดหรอื เตรยี ม
กจิ กรรมท่ีดงึ ดดู ใหน้ ักเรียนสนใจ ใครร่ ู้ ถงึ ความสนุกสนานในการทาโครงงานหรอื กิจกรรมรว่ มกัน โดยกจิ กรรมนนั้
อาจเปน็ กิจกรรมที่ครูกาหนดขน้ึ หรืออาจเป็นกจิ กรรมทน่ี ักเรยี นมีความสนใจตอ้ งการจะทาอยู่แลว้ ทงั้ น้ีในการ
กระตนุ้ ของครจู ะต้องเปดิ โอกาสให้นักเรียนเสนอจากกจิ กรรมทไ่ี ด้เรียนรผู้ า่ นการจดั การเรียนรู้ของครูทีเ่ ก่ียวข้องกบั
ชมุ ชนทีน่ กั เรียนอาศัยอยหู่ รือเปน็ เรือ่ งใกลต้ ัวทสี่ ามารถเรยี นรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเอง
3. ขนั้ จัดกลมุ่ ร่วมมือ ครูให้นักเรยี นแบ่งกลุ่มกันแสวงหาความรู้ ใชก้ ระบวนการกล่มุ ในการวางแผนดาเนิน
กิจกรรม โดยนักเรียนเป็นผู้ร่วมกันวางแผนกจิ กรรมการเรียนของตนเอง โดยระดมความคดิ และหารือ แบ่งหน้าท่ี
เพ่อื เปน็ แนวทางปฏิบัติร่วมกัน หลังจากทไ่ี ด้ทราบหวั ขอ้ สิง่ ท่ีตนเองต้องเรยี นรู้ในภาคเรยี นนนั้ ๆเรียบร้อยแล้ว
4. ขั้นแสวงหาความรู้ ในข้ันแสวงหาความรู้มีแนวทางปฏิบัติสาหรับนักเรยี นในการทากิจกรรม ดังน้ี
นกั เรียนลงมอื ปฏบิ ัติกิจกรรมโครงงาน ตามหวั ข้อท่กี ลุ่มสนใจ
นกั เรียนปฏิบัตหิ นา้ ท่ีของตนตามข้อตกลงของกล่มุ พร้อมทงั้ รว่ มมอื กนั ปฏบิ ตั ิกิจกรรม โดยขอคาปรกึ ษาจากครเู ปน็
ระยะเมือ่ มีขอ้ สงสัยหรือปญั หาเกิดข้นึ
นกั เรียนรว่ มกนั เขยี นรปู เล่ม สรปุ รายงานจากโครงงานทตี่ นปฏบิ ัติ
5. ขั้นสรุปส่ิงที่เรยี นรู้ ครูให้นกั เรยี นสรปุ สง่ิ ทีเ่ รยี นรูจ้ ากการทากจิ กรรม โดยครใู ช้คาถาม ถามนักเรียน
นาไปสู่การสรปุ ส่งิ ทเ่ี รียนรู้
6. ขน้ั นาเสนอผลงาน ครใู ห้นักเรยี นนาเสนอผลการเรยี นรู้ โดยครอู อกแบบกจิ กรรมหรือจดั เวลาให้
นกั เรยี นไดเ้ สนอสง่ิ ท่ตี นเองได้เรียนรู้ เพื่อใหเ้ พ่ือนรว่ มช้ัน และนักเรียนอน่ื ๆในโรงเรียนได้ชมผลงานและเรียนรู้
กจิ กรรมทนี่ ักเรียนปฏิบัติในการทาโครงงาน
43
เกณฑก์ ารวดั และประเมนิ ผล
1. กาหนดการวัดและประเมินผล มดี ังน้ี
1.1 อัตราสว่ นคะแนนวัดผล
คะแนนเก็บระหวา่ งภาค : คะแนนปลายภาค = 80 : 20
รวม 100 คะแนน
1.2 คะแนนวัดผลระหวา่ งภาค 80 คะแนน มีรายละเอียดดงั น้ี
1.2.1 คะแนนเก็บก่อนสอบกลางภาค (คะแนนตัวช้ีวดั ) = 30 คะแนน
1.2.2 คะแนนสอบกลางภาคเรียน = 20 คะแนน
1.2.3 คะแนนประเมนิ ดา้ นคุณลักษณะ = - คะแนน
1.2.4 คะแนนเกบ็ หลงั สอบกลางภาค (คะแนนตัวชวี้ ดั ) = 30 คะแนน
1.2.5 คะแนนวัดผลปลายภาคเรียน = 20 คะแนน
รวมท้ังสิ้น 100 คะแนน
2. การตัดสินผลการเรียน
น้าหนกั คะแนนระหว่างภาคเรยี น / คะแนนสอบปลายภาคเรียน มาแปรเป็นระดบั ผลการเรียน ดังน้ี
ระดับผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนน
4 ผลการเรียนดีเย่ียม 80 - 100
3.5 ผลการเรียนดีมาก 75 - 79
3 ผลการเรยี นดี 70 – 74
2.5 ผลการเรียนค่อนข้างดี 69 - 65
2 ผลการเรียนนา่ พอใจ 60 – 64
1.5 ผลการเรียนพอใช้ 54 - 59
1 ผลการเรยี นผา่ นเกณฑ์ 50 - 54
0 ผลการเรยี นตา่ กวา่ เกณฑ์ 0 – 49
ร หมายถงึ รอการตัดสนิ หรือยงั ตดั สนิ ไมไ่ ด้
มส หมายถึง ไม่มีสิทธเ์ิ ขา้ รับการประเมนิ ผลปลายภาคเนอ่ื งจากเวลาเรยี นของผู้เรยี นไม่ถึง 80 % ของเวลา
เรยี นท้งั หมด
44
เอกสารอา้ งอิง
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2554. แนวทางการนาปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งไปจดั การศึกษาใน สถานศึกษา.
กรุงเทพมหานคร : ม.ป.พ.
. 2553. หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551. พิมพค์ รงั้ ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร : โรง
พมิ พ์ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด.
. 2551. หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาข้ันพ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม
สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย จากดั .
ปราโมทย์ ขจรภัย และคณะ, ผูแ้ ปล. 2549. คณิตศาสตร์ ช้ันประถมศกึ ษาปที ี่ 1 เลม่ 1.
กรงุ เทพมหานคร : บริษัทแปลนพร้ินท์ติ้ง จากัด.
. 2550. คณิตศาสตร์ ชนั้ ประถมศึกษาปีที่ 1 เลม่ 2. พมิ พ์ครัง้ ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร : บริษทั แปลนพริ้นท์
ต้งิ จากัด.
. 2553. คณติ ศาสตรช์ ั้นประถมศกึ ษาปีที่ 1. กรุงเทพมหานคร : บริษัทแปลนพริน้ ท์ติ้ง จากัด.
. 2553. คู่มอื ครูคณิตศาสตร์ ออกแบบการเรยี นรูด้ ว้ ย Backward Design.
กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทแปลนพร้ินท์ตงิ้ จากัด.
สถาบนั ศลิ ปวัฒนธรรมเพ่อื การพัฒนา (มายา). ม.ป.ป. หลกั สูตรทอ้ งถิน่ เด็กใต้สมองใส Southern Bright Child
Curriculum. กรงุ เทพมหานคร : บริษทั แปลนพร้นิ ท์ติ้ง จากัด.
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2553. คมู่ ือครูรายวชิ าพ้นื ฐาน
คณิตศาสตร์ ชนั้ ประถมศกึ ษาปีท่ี 1 กลุ่มสาระการเรยี นรคู้ ณติ ศาสตร์ ตามหลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.
สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้ันพ้ืนฐาน กระทรวงศึกษาธกิ าร. 2554. หนงั สือเรียนรายวชิ าพืน้ ฐาน ภาษาไทย
ชุดภาษาเพ่อื ชีวติ วรรณคดีลานา ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.
. 2553. หนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐานภาษาไทย ชดุ ภาษาเพ่ือชวี ิต ภาษาพาที
ชน้ั ประถมศึกษาปีที่ 1. กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.
. 2552. คู่มอื การจัดกจิ กรรมการเรียนรูป้ ระชาธปิ ไตยสาหรบั ครผู ูส้ อนชัน้ ประถมศกึ ษา ปีท่ี 1-3. พิมพ์ครงั้ ท่ี
2. กรุงเทพมหานคร : หา้ งหุ้นสว่ นจากัด สหายบล็อกและการพมิ พ์. สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกจิ
และสังคมแหง่ ชาติ. ม.ป.ป. พอเพียงตามแนวคิดของพ่อ
สารคดโี ทรทศั น์ขับเคลอื่ นเศรษฐกจิ พอเพยี ง (CD-ROM). กรุงเทพมหานคร. สานักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร. 2553. ตัวช้วี ัดและสาระการเรยี นรู้
กลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาต่างประเทศ ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551. พมิ พ์คร้ังที่
2. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตร แห่งประเทศไทยจากัด.
45
. 2553. ตัวช้ีวัดและสาระการเรยี นรกู้ ล่มุ สาระการเรียนรู้ศิลปะ ตามหลกั สูตรแกนกลาง การศึกษาขนั้
พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551. พมิ พค์ รง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พช์ ุมนุม สหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย
จากดั .
. 2553. ตัวชีว้ ัดและสาระการเรียนรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรู้สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา
ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551. พิมพ์คร้ังที่ 2. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชมุ นุม
สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด.
. 2553. ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรู้กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์ ตามหลักสูตร แกนกลางการศกึ ษา
ข้ันพืน้ ฐาน พุทธศกั ราช2551. พิมพ์ครง้ั ท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พช์ ุมนมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย
จากดั .
. 2553. ตวั ชี้วดั และสาระการเรยี นรู้กลุ่มสาระการเรยี นรู้คณิตศาสตร์ ตามหลักสตู ร แกนกลางการศึกษาขั้น
พนื้ ฐาน พุทธศักราช2551. พิมพ์ครงั้ ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร :
โรงพมิ พช์ ุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทยจากดั .
. 2553. ตัวชี้วัดและสาระการเรยี นรกู้ ลุม่ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ตามหลกั สูตร แกนกลางการศึกษาขั้น
พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช2551. พิมพ์คร้งั ท่ี 2. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย
จากดั .
. 2553. ตวั ชว้ี ัดและสาระการเรยี นรกู้ ลมุ่ สาระการเรียนรู้สงั คมศึกษา ศาสนาและ วฒั นธรรมตามหลกั สตู ร
แกนกลางการศึกษาขน้ั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551.
พิมพ์ครงั้ ที่ 2. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พช์ มุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจากดั .
. 2553. ตัวชวี้ ดั และสาระการเรยี นรูก้ ลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551. พมิ พ์คร้ังท่ี 2. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชมุ นุม
สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทยจากัด.
. 2552. สอนภาษาไทยตามแนวคิด Brain-Based Learning. กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ ชมุ นุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทยจากดั .
. 2551. คมู่ ือการจัดกิจกรรมส่อื นวัตกรรมแหง่ การเรียนรเู้ พ่ือชีวติ ตามหลกั ปรัชญาของ เศรษฐกิจพอเพียง.
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ สกสค. ลาดพรา้ ว.
Ashok Manoharan. 2010. Mathematics Connection Workbook. Panpac Education Private Limited
Grade 1A. Singapore by Times Printers Pte Ltd.
. 2010. Mathematics Connection Workbook. Panpac Education Private Limited Grade 1B.
Singapore by Times Printers Pte Ltd.
46
Hari Narayan Upadhyaya. 2011. Creative Mathematics Book 1. Napal India : Monaj Printing Press
Pvt. Ltd.