ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง โ ข น ก า ร แ ต่ ง ก า ร / เ ค รื่ อ ง โ ข น ตั ว ล ะ ค ร เ พ ล ง ป ร ะ ก อ บ โ ข น วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง โ ข น ลั ก ษ ณ ะ ส า คั ญ ข อ ง โ ข น บ ท พ า ก ย์ โ ขน ด น ต รี ที่ ใ ช้ บ ร ร เ ลง
วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง โ ข น
สันนิษฐานกันว่าโขนพัฒนามาจากการละเล่น ๓ อย่าง คือ วิ วั ฒ น า ก า ร ข อ ง โ ข น ชัคนาคดึกด าบรรพ์ วิธีการเล่น ท่าเต้น การแต่งกาย กระบี่กระบอง ท่าร า ท่าต่อสู้ ท่าเต้น กระบี่กระบอง เจรจา ศิลปะการพากย์ เพลง หนังใหญ่ เครื่องดนตรีที่ใช้ประกอบ
ลั ก ษ ณ ะ ส า คั ญ ข อ ง โ ข น
ผู้แสดงจะต้องสวม หัวโขน ซึ่งเป็นเครื่องสวมศีรษะและแสดง อารมณ์ผ่านท่วงท่าในการร่ายร า ตามลักษณะของตัวละครนั้นๆ เช่น ยักษ์ลิง หรือเทวดา โดยมีผู้พูดแทนเรียกว่า “ผู้พากย์เจรจา” ลั ก ษ ณ ะ ส า คั ญ ข อ ง โ ข น
ประวัติความเป็นมา
โขนเป็นนาฏศิลป์ชั้นสูงที่เก่าแก่ของไทย มีมานานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตามหลักฐาน จากจดหมายเหตุของลาลูแบร์ราชทูตฝรั่งเศสสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้กล่าวถึงการ เล่นโขนว่า เป็นการเต้นออกท่าทางเข้ากับเสียงซอและเครื่องดนตรีอื่นๆ ผู้เต้นสวมหน้ากากและ ถืออาวุธ โขนเป็นที่รวมของศิลปะหลายแขนงคือ โขนน าวิธีเล่นและวิธีแต่งตัวบางอย่างมาจาก การเล่นชักนาคดึกด าบรรพ์โขนน าท่าต่อสู้โลดโผน ท่าร าท่าเต้นมาจากกระบี่กระบอง และโขนน า ศิลปะการพากย์การเจรจา หน้าพาทย์เพลงดนตรี การแสดงโขน ผู้แสดงสวมศีรษะคือหัวโขน ปิดหน้าหมด ยกเว้น เทวดา มนุษย์และมเหสีธิดาพระยายักษ์ มีต้นเสียงและลูกคู่ร้องบทให้ และมีคนพากย์และเจรจาให้ด้วย เรื่องที่แสดงนิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์และอุณรุฑ ดนตรีที่ใช้ ประกอบการแสดงโขนใช้วงปี่พาทย์ ป ร ะ วั ติ ค ว า ม เ ป็ น ม า
ป ร ะ เ ภ ท ข อ ง โ ข น
โ ข น ก ล า ง แ ป ล ง เป็นการแสดงโขนกลางสนามบนพื้นดิน การแสดงโขนแบบนี้มีแต่ การยกทัพและการรบกันดนตรีที่บรรเลงประกอบ ก็จะบรรเลงเฉพาะ เพลงหน้าพาทย์ประกอบการยกทัพและรบกันเท่านั้น บทโขนใช้แต่ค า พาทย์ ค าเจรจา เน้นการด าเนินเรื่อง การแสดงโขนกลางแปลงนี้ เคยมีแสดงครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๙ ในงานฉลองอัฐิสมเด็จพระ ปฐมบรมชนกาธิราช โดยโขนวังหลวงเป็นกองทัพพระราม และโขนวัง หน้าเป็นทัพทศกัณฐ์ยกทัพมาบรรจบกันที่ท้องสนามหลวงประสม โรงเล่นกันตอนสิบขุนสิบรถ ปรากฏว่าโขนวังหน้าซึ่งเป็นทัพ ทศกัณฐ์ไม่ยอมแพ้ จึงเกิดรบกันขึ้นจริงๆ เสร้จจากงานสมโภชพระ อัฐิแล้ว ความบาดหมางระหว่างวังหลวงกับวังหน้าก็เกิดขึ่นจน ถึงกับเตรียมท าสงครามกัน สมเด็จพระพี่นางเธอทั้งสองพระองค์ คือ สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยาเทพสุดาวดี และสมเด็จฯเจ้าฟ้ากรม พระศรีสุดารักษ์ต้องทรงเป็นผู้ไกล่เกลี่ย จึงคืนดีเป็นปกติสืบมา
โ ข น นั่ ง ร า ว ห รื อ โ ข น โ ร ง น อ ก เป็นการแสดงบนโรงมีหลังคา ไม่มีเตียงส าหรับตัวโขนนั่ง แต่มีราว พาดตามส่วนยาวของโรงตรงหน้าฉาก (ม่าน) มีช่องทางให้ผู้แสดง เดินได้รอบราวแทนเตียง มีการพากย์และเจรจา แต่ไม่มีการร้อง ปี่พาทย์ บรรเลงเพลงหน้าพาทย์มีปี่พาทย์๒ วง เพราะต้องบรรเลงมาก ตั้งหัว โรงท้ายโรง จึงเรียกว่าวงหัวและวงท้าย หรือวงซ้ายและวงขวา วันก่อน แสดงโขนนั่งราวจะมีการโหมโรง และให้พวกโขนออกมากระทุ้งเส้าตาม จังหวะเพลง พอจบโหมโรงก็แสดงตอนพิราพออกเที่ยวป่า จับสัตว์กิน เป็นอาหาร พระรามหลงเข้าสวนพวาทองของพราพ แล้วก็หยุดแสดง พัก นอนค้างคืนที่โรงโขน รุ่งขึ้นจึงแสดงตามเรื่องที่เตรียมไว้ จึงเรียกว่า "โขนนอนโรง"
โ ข น ห น้ า จ อ คือโขนที่เล่นตรงหน้าจอ ซึ่งเดิมเขาขึงไว้ส าหรับเล่นหนัง ใหญ่ ในการเล่นหนังใหญ่นั้น มีการเชิดหนังใหญ่อยู่หน้าจอ ผ้าขาว การแสดงหนังใหญ่มีศิลปะส าคัญ คือการพากย์และ เจรจา มีดนตรีปี่พาทย์ประกอบการแสดง ผู้เชิดตัวหนังต้อง เต้นตามลีลาและจังหวะดนตรี นิยมแสดงเรื่องรามเกียรติ์ ต่อมามีการปล่อยตัวแสดงออกมาแสดงหนังจอ แทนการเชิด หนังในบางตอน เรียกว่า "หนังติดตัวโขน" มีผู้นิยมมากขึ้น เลยปล่อยตัวโขนออกมาแสดงหน้าจอตลอด ไม่มีการเชิด หนังเลย จึงกลายเป็นโขนหน้าจอ และต้องแขวะจอเป็นประตู ออก ๒ ข้าง เรียกว่า "จอแขวะ"
โ ข น โ ร ง ใ น คือ โขนที่น าศิลปะของละครในเข้ามาผสม โขนโรงในมีปี่พาทย์บรรเลง ๒ วงผลัดกัน การแสดงก็มีทั้งออกท่าร าเต้น ทีพากย์และเจรจาตาม แบบโขน กับน าเพลงขับร้องและเพลงประกอบกิริยาอาการ ของดนตรี แบบละครใน และมีการน าระบ าร าฟ้อนผสมเข้าด้วย เป็นการปรับปรุงให้ วิวัฒนาการขึ้นอีก การผสมผสานระหว่างโขนกับละครในสมัยรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ ทั้งมีราชกวีภายในราชส านักช่วยปรับปรุงขัดเกลา และ ประพันธ์บทพากย์บทเจรจาให้ไพเราะสละสลวยขึ้นอีก โขนที่กรมศิลปากรน าออกแสดงในปัจจุบันนี้ก็ใช้ศิลปะการแสดง แบบโขนโรงใน ไม่ว่าจะแสดงกลางแจ้งหรือแสดงหน้าจอก็ตาม
โ ข น ฉ า ก เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีผู้คิดสร้างฉากประกอบเรื่อง เมื่อแสดงโขนบนเวที คล้ายกับละครดึกด าบรรพ์ ส่วนวิธี แสดงด าเนินเช่นเดียวกับโขนโรงใน แต่มีการแบ่งเป็นชุดเป็น ตอน เป็นฉาก และจัดฉากประกอบตามท้องเรื่อง จึงมีการ ตัดต่อเรื่องใหม่ไม่ให้ย้อนไปย้อนมา เพื่อสะดวกในการจัด ฉาก กรมศิลปากรได้ท าบทเป็นชุดๆ ไว้หลายชุด เช่น ชุด ปราบกากนาสูร ชุดมัยราพณ์สะกดทัพ ชุดชุดนางลอย ชุด นาคบาศ ชุดพรหมาสตร์ชุดศึกวิรุญจ าบัง ชุดท าลายพิธีหุง น้ าทิพย์ชุดสีดาลุยไฟและปราบบรรลัยกัลป์ชุดหนุมานอาสา ชุดพระรามเดินดง ชุดพระรามครองเมือง
ก า ร แ ต่ ง ก า ร / เ ค รื่ อ ง โ ข น
ตัวพระ : สวมเสื้อแขนยาวปักดิ้น และเลื่อม มีอินทรธนูที่ไหล่ส่วนล่างสวมสนับเพลา ไว้ข้างใน นุ่งผ้ายกจีบโจงไว้หางหงส์ทับสนับเพลา ด้านหน้ามีชายไหวชายแครงห้อยอยู่ ศีรษะสวมชฎา สวมเครื่องประดับต่างๆ เช่น กรองคอ ทับทรวง ตาบทิศ ปั้นเหน่ง ทองกร ก าไลเท้าเป็นต้น แต่เดิมตัวพระจะสวมหัวโขน แต่ภายหลัง ไม่นิยม เพียงแต่แต่งหน้าและสวมชฎาแบบละครใน เท่านั้น ทั้งเทวดาและมนุษย์แต่งกายเหมือนกันหมดคือ แต่งยืนเครื่องอย่างพระผิดกันแต่สี เสื้อเปลี่ยนไปตามสีกายประจ าตัวละคร เช่น พระอินทร์สีเขียวพระพรหมสีขาว ท้าวมาลีวราชสี ขาว พระราม สีเขียว พระลักษมณ์สีทอง พระพรตสีแดงชาดและพระสัตรุดสีม่วงอ่อน เป็นต้น เข้าใจว่าในสมัยโบราณตัวพระจะสวมหน้าด้วยเครื่องประดับศีรษะจึงมีหลายลักษณะ ของ เทวดาเป็นมงกุฎยอดต่างๆ เช่นพระอินทร์เป็นมงกุฎเดินหนท้าวมาลีวราชเป็นมงกุฎยอดชัย หรือมงกุฎน้ าเต้าของมนุษย์เป็นมงกุฎชัย หรือชฎาพระ
ตัวนาง : สวมเสื้อแขนสั้นเป็นชั้นในแล้วห่มสไบทับ ทิ้งชายไปด้านหลังยาวลงไปถึงน่อง ส่วนล่างนุ่งผ้ายกจีบหน้า ศีรษะสวมมงกุฎ รัดเกล้าหรือกระบังหน้าตามแต่ฐานะของตัว ละคร ตามตัวสวมเครื่องประดับต่างๆ เช่น กรองคอสังวาล พาหุรัด เป็นต้น แต่เดิมตัวนาง ที่เป็นตัวยักษ์เช่น นางส ามนักขา นางกากนาสูรจะสวมหัวโขน แต่ภายหลังมีการแต่งหน้าไป ตามลักษณะของ ตัวละครนั้นๆโดยไม่สวมหัวโขนบ้าง ตัวนางจะแต่งยืนเครื่องนางหมดทุก ตัว ผิดกันแต่เครื่อง สวมศีรษะ คือ พระชนนีทั้งสามของพระราม นางสีดา มเหสีพระอินทร์ นางมณโฑนางเทพอัปสร นาง วานริน นางบุษมาลีตลอดจนนางสุพรรณมัจฉานางสุวรรณ กันยุมา นางตรีชฎาสวมรัดกล้ายอด นางเบญกายสวมรัดเกล้าเปลว ส่วนนางกาลอัคคีสวม มงกุฎยอดนาคนางก านัลสวม กระบังหน้านางสุพรรณมัจฉามีหางปลาติดไว้ที่ส่วนหลังใต้ เข็มขัดด้วยเพราะมีสัญชาติเป็นปลา
ตัวยักษ์ : แบ่งออกเป็นระดับต่างๆ คือ พญายักษ์ เสนายักษ์ และเขนยักษ์ พญายักษ์ เช่น ทศกัณฐ์อินทรชิต ไมยราพ พิเภก สหัสเดชะ แสงอาทิตย์ จะนุ่งผ้าเยียรบับทับสนับเพลา เช่นเดียวกันกับตัวพระแต่ไม่ไว้โจงหางหงส์แต่จะมีผ้าปิดก้นห้อยลงมาจากเอว เครื่องประดับ ส่วนใหญ่เช่นเดียวกันกับตัวพระ เพียงแต่มีเพิ่มขึ้นอีกอย่างหนึ่ง คือตัวพญายักษ์ชั้นผู้ใหญ่ เช่น ทศกัณฐ์มักจะมีรัดอกคาดอยู่ด้วย เสนายักษ์นุ่งผ้าเกี้ยว นอกนั้นก็เหมือนพญายักษ์เพียงแต่ ไม่มีรัดอก เขนยักษ์สวมเสื้อผ้าธรรมดา นุ่งผ้าลาบทับสนับเพลา ผ้าปิดก้นไม่มีคาดเอวด้วยผ้า มีกรองคอท าด้วยผ้าธรรมดาสวมศีรษะเขียนลาย พญายักษ์และเสนายักษ์แต่ละตัวมีสีกายและสี หน้าประจ าตัวมีหัวโขนเฉพาะของตัว มียอดของส่วนมงกุฎแต่งต่างกันออกไป บางพวกก็ไม่มี มงกุฎเรียกว่า “ยักษ์โล้น” นางอดูลปิศาจ เครื่องแต่งตัวบางทีไม่ใช้ยืนเครื่องอย่างนางแต่รวบ ชายล่างขึ้นโจงกระเบน ดูก็เหมือนยักษ์อื่นๆ คาดเข็มขัดแต่ไม่มีห้อยหน้าเจียระบาดอย่างพญา ยักษ์สวมเสื้อแขนยาวอย่างยักษ์ผู้ชายแต่มีห่มนางทับบนเสื้อ เครื่องประดับอื่นๆ คล้ายตัวนาง ทั่วๆไปส่วนนางยักษ์ที่เป็นมเหสีหรือธิดาของพญายักษ์ แต่งกายยืนเครื่องนางสวมมงกุฎหรือ รัดเกล้า ไม่สวมหัวโขน
ตัวลิง : แบ่งออกเป็นพวกๆ ได้แก่ พญาวานร เช่น หนุมาน สุครีพ องคต ฯลฯ พวกสิบแปดมงกุฎ เช่น มายูร เกยูร เกสรมาลา ฯลฯ พวกเตียวเพชร เช่น โชติมุก พวกจังเกียงและพวกเขนลิง พวกพญา วานรและพวกอื่นๆ ยกเว้นเขนลิง แต่งตัวยืนเครื่องและสวมเสื้อตามสีประจ าตัวในเรื่องรามเกียรติ์ แต่ไม่มีอินทรธนูนุ่งผ้าไม่จีบโจงหางหงส์ มีผ้าปิดก้นห้อยเอวลงจากด้านหลังเช่นเดียวกับยักษ์ และมีหางห้อยอยู่ข้างใต้ผ้าปิดก้น เฉพาะตัวมัจฉานุมีหางเป็นปลาผิดจากลิงอื่นๆลิงเหล่านี้แต่ ละตัวมีหัวโขนเฉพาะของตัว ทั้งที่เป็นมงกุฎยอดต่างๆและทั้งที่ไม่มีมงกุฎเรียกว่า “ ลิงโล้น ” เสื้อ ลิงนั้นใช้ดิ้นและเลื่อมปักท าเป็นเส้นขด สมมติว่าเป็นขนตามตัวของลิง ไม่ท าเป็นลายดอกอย่าง เสื้อตัวพระหรือยักษ์ และไม่มีอินทรธนู เขนลิงสวมเสื้อแขนยาวผ้าธรรมดา กรองคอก็เป็นผ้า ธรรมดา นุ่งกางเกงคาดเข็มขัดมีหางและผ้าปิดก้น สวมศีรษะเขนลิง
ตัวเบ็ดเตล็ด : ตัวละครอื่นๆ เป็นต้นว่าฤาษีต่างๆ เช่น พระวสิษฐ์พระสวามิตร พระโคบุตร เป็นต้น ล้วนแต่งกายแบบฤาษีเช่นเดียวกับเรื่องอิเหนาแต่ศีรษะคงสวมหัวโขน เป็นประจ าช้างเอราวัณ สวม ศีรษะช้างสามเศียร สีขาวมงกุฎยอดน้ าเต้า ส่วนช้างธรรมดาก็ใช้เช่นเดียวกับในเรื่องอิเหนาม้าอุป การสวมหน้าม้าสีด า ปากแดง ส่วนมากลากราชรถอื่นๆ มีศีรษะ ม้าสวม มีหลายสีครอบไว้เหนือ กระหม่อมหรืออาจใช้มาแผงห้อยไว้ที่ข้างล าตัว อย่างเรื่องอิเหนาก็ได้ นอกจากนี้ก็มีตัวเบ็ดเตล็ด อื่นๆซึ่งล้วนแต่สวมศีรษะสัตว์โดยได้จ าลองเลียนแบบลักษณะของจริงมาหรือประดิษฐ์ให้ตรงกับใน บท เช่น กวางทอง พญาครุฑเหยี่ยว ปลา พญานาค มหิงสา เป็นต้น
ตั ว ล ะ ค ร
พระอิศวร พระพิฆเณศวร พระวิศนุกรรม หรือวิศวกรรม หรือวิษณุกรรม พระพรหมธาดา พระอินทร์ พระมาตุลี พระนารายณ์ พระปัญจสีขร พระปรคนธรรพ(ประโคนธรรพ์) ฝ่ายเทพ
ทศกัณฐ์ กุเปรัน ทัพนาสูรหรือเทพาสูร กุมภกรรณ พิเภก ตรีเศียร อินทรชิต หรือ รณพักตร์ แสงอาทิตย์ ทศพิน (ไพนาสุริยวงศ์) ฝ่ายยักษ์
พระท้าวทศรถ พระราม พระพรต พระลักษณ์ พระสัตรุด ฝ่ายพระ
ชามพูวราช(ชมพูหมี) หรือนิลเกสร หนุมาน มัจฉานุ สุครีพ องคต ท้าวมหาชมพู นิลพัท นิลนนท์ ฝ่ายลิง
หิรันตยักษ์ รามสูร พิราพหรือวิราช หรันต์หรือเหรันตทูต ตัวละครเพิ่มเติม อสูรเทพบุตร
ตรีบูรัม อนุราช หรืออุณาราช(กกกะหนาก) ตรีปักกัน อสูรวายุภักษ์ ตัวละครเพิ่มเติม อสูรกษัตริย์ ท้าวคนธรรพ์นุราช
สัทธาสูร มูลพลัม สหัสสเดชะ(สหัสเดชะ) ไวยตาล ตัวละครเพิ่มเติม อสูรพันธมิตร ไพจิตราสูร
เ พ ล ง ป ร ะ ก อ บ โ ข น
หรือหน้าพาทย์เบื้องต้น เป็นเพลงบรรเลงที่ใช้ในการแสดงทั่วไป หรือใช้ประกอบกิริยาอาการของตัวละครธรรมดาสามัญ เป็นเพลง หน้าพาทย์ที่ไม่บังคับความยาว เมื่อจะหยุดหรือจบเพลง นักดนตรีปี่พาทย์จะดูท่าร าของผู้แสดงเป็นหลัก มักใช้ในการแสดง ละคร ได้แก่ เพลงช้า เพลงเร็ว เพลงเชิด เพลงเสมอ เพลงรัว เพลงโอด เป็นต้น เ พ ล ง ที่ใช้ ปร ะ ก อ บก าร แสดง โ ข น เ พ ล ง ห น้ า พ า ท ย์ ธ ร ร ม ด า เ พ ล ง ห น้ า พ า ท ย์ ชั้ น สู ง เป็นเพลงหน้าพาทย์ที่ใช้ประกอบอากัปกิริยาของตัวละครสูงศักดิ์หรือเทพเจ้า เป็นเพลงที่บังคับ ความยาว จะตัดท านองให้สั้นหรือเติมให้ยาวตามใจชอบไม่ได้อผู้น าจะต้องฟังจังหวะของเพลง เป็นส าคัญ หน้าพาทย์ชนิดนี้จะใช้ในการแสดงโขน ละคร และใช้ในพิธีไหว้ครู ครอบครูโขน ละคร เช่น เพลงตระนิมิต ตระบองกัน บาทสกุณีเป็นต้น
ด น ต รี ที่ ใ ช้ บ ร ร เ ลง
ได้แก่ วงปี่พาทย์(บางทีก็เรียก“พิณพาทย์”) ซึงประกอบไปด้วย ปี่ ระนาด ฆ้อง กลอง ตะโพน บางสมัยก็จัดเป็นวงเครื่องห้า ตามแต่ฐานะของผู้เป็นเจ้าของงาน ว ง ด น ต รี ที่ ใ ช้ ป ร ะ ก อ บ ก า ร แ ส ด ง โ ข น โขนกลางแปลง เป็นการแสดงบนพื้นดินกลางสนาม ไม่มีฉาก มีบทพากย์ และเจรจาส าหรับบรรยายเรื่อง วงปี่พาทย์ที่บรรเลงประกอบการแสดงใน สมัยกรุงศรีอยุธยามีเพียงวงปี่พาทย์เครื่องห้า มีเครื่องบรรเลงคือ ปี่กลาง ฆ้องวงใหญ่ ตะโพน กลองทัด (แต่เดิมใช้เพียง 1 ลูก ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 1 จึงเพิ่มเป็น 2 ลูก) และฉิ่ง โดยจะมี2 วงเป็นอย่างน้อย ตั้งใกล้ฝ่ายมนุษย์ วงหนึ่ง และใกล้ฝ่ายยักษ์อีกวงหนึ่ง เพื่อที่เวลาบรรเลงจะได้ยินทั่วกันทั่ง 2 ฝ่าย เพลงที่ใช้บรรเลงนั้นมีแต่เพลงหน้าพาทย์
โขนนั่งราว เป็นการแสดงบนโรงที่ปลูกสร้างขึ้น วิธีการแสดงและวงปี่พาทย์จะเหมือนกันกับโขนกลางแปลง แต่วงปี่พาทย์จะตั้งบนร้านที่ยก สูงขึ้น โดยวงหนึ่งจะตั้งหัวโรง อีกวงหนึ่งตั้งไว้ท้ายโรงหรือจะตั้งทางซ้าย และขวาของโรง แต่เดิมใช้ปี่พาทย์เครื่องห้า เพิ่งมาเพิ่มระนาดทุ้มกับ ฆ้องวงเล็กเป็นวงเครื่องคู่ในสมัยหลังนี้เอง ปี่พาทย์ทั้งสองวงนี้จะบรรเลงเป็นระเบียบมากขึ้นกว่าโขนกลางแปลง ส่วนเพลงที่ใช้บรรเลงนั้นมี แต่เพลงหน้าพาทย์เช่นเดียวกับโขนกลางแปลง โขนหน้าจอ โขนหน้าจอจะมีลักษณะโรงแบบโรงหนังใหญ่ การบรรเลงของ วงปี่พาทย์ยังคงเหมือนโขนโรงใน แต่ลดวงปี่พาทย์เหลือเพียงวงเดียว โดย ตั้งหันหน้าเข้าหาโรงเช่นเดียวกับการแสดงหนังใหญ่ ภายหลังได้มีการ เปลี่ยนแปลงให้วงปี่พาทย์มาตั้งอยู่ข้างต้นเสียง และลูกคู่ด้านหลังจอเพื่อมิ ให้บังสายตาคนดูโขนหน้าจอจะมีการร้องรับตามแบบการแสดงหนังใหญ่
โขนโรงใน เป็นการแสดงโขนผสมผสานกับละครใน มีทั้งการพากย์และเจรจาอย่างโขน กับมีต้นเสียง และ ลุกคู่อย่างละครใน การบรรเลงปี่พาทย์จึงต้องบรรเลงอย่างละครใน โขนประเภทนี้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ตอนปลายมาจนถึงสมัยรัชกาลที่3 คงเป็นวงเครื่องห้า จึงมีการเพิ่มเติมเป็นวงเครื่องคู่ และสมัยรัชกาลที่ 4 วงปี่พาทย์ก็พัฒนาขึ้นเป็นวงเครื่องใหญ่ คือ มีปี่ใน ปี่นอก ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทุ้มเหล็ก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ตะโพน กลองทัด ฉิ่ง ฉาบ และโหม่ง เวลาร้องหรือปี่พาทย์รับจะใช้ กรับอย่างละครในตีเป็นจังหวะ เวลาบรรเลงรับเพลงที่ต้นเสียง และลูกคู่ร้อง ก็ผลัดกันรับคนละค าขึ้นอยู่ กับเพลงนั้นมีกี่ท่อน วงหนึ่งจะต้องรับไปทุกท่อนจนจบเพลงจึงจะเปลี่ยนวง เพื่อผลัดกันบรรเลงต่อไป โขนฉาก การบรรเลงของวงปี่พาทย์เป็นเช่นเดียวกับโขนโรงใน เพียงแต่เปลี่ยนสถานที่แสดงเท่านั้น และมีการมีการร้องรับแบบ ละครใน
บ ท พ า ก ย์ โ ข น
ใช้ส าหรับพากย์เวลาผู้แสดงเอ่ยชมพาหนะและการจัดกระบวนทัพเช่น รถ ม้า ช้าง หรือสิ่งอื่นใดที่เป็นพาหนะ หรือใช้พากย์เวลาผู้ แสดงตัวเองทรงพาหนะตลอดจนชมไพร่พล ก า ร พ า ก ย์ ร ถ ห รื อ พ า ก ย์ พ า ห น ะ เสด็จทรงรถเพชรเพชรพราย พรายแสงแสงฉาย จ ารูญจ ารัสรัศมี อ าไพไพโรจน์รูจี สีหราชราชสีห์ ชักรชรถรถทรง ดุมหันหันเวียนวง กึกก้องก้องดง เสทือนทั้งไพรไพรวัน ยักษาสารถีโลทัน เหยียบยืนยืนยัน ก่งศรจะแผลแผลงผลาญ"
ใช้ส าหรับพากย์เวลาผู้แสดงมีอาการเศร้าโศกเสียใจ ร าพันคร่ าครวญถึงคนรัก เริ่มท านองตอนต้นเป็นการพากย์ตอนท้ายเป็น ท านองการร้องเพลงโอ้ปี่ ซึ่งการพากย์ประเภทนี้จะให้ปี่พาทย์เป็นผู้รับเมื่อสิ้นสุดการพากย์หนึ่งบท มีความแตกต่างจากการ พากย์ประเภทอื่นตรงที่มีเครื่องดนตรีรับ ก่อนที่ลูกคู่จะร้องรับว่าเพ้ย ก า ร พ า ก ย์ โ อ้ ห รื อ ก า ร พ า ก ย์ ร า พั น "อนิจจาเจ้าเพื่อนไร้ มาบรรลัยอยู่เอองค์ พี่จะได้สิ่งใดปอง พระศพน้องในหิมวา จะเชิญศพพระเยาวเรศ เข้ายังนิเวศน์อยุธยา ทั้งพระญาติวงศา จะพิโรธพิไรเรียม ว่าพี่พามาเสียชนม์ ในกมลให้ตรมเกรียม จะเกลี่ยทรายขึ้นท าเทียม ต่างแท่นทิพบรรทม จะอุ้มองค์ขึ้นต่างโกศ เอาพระโอษฐ์มาระงม ต่างเสียงพระสนม อันร่ าร้องประจ าเวร"
ใช้ส าหรับพากย์เวลาผู้แสดงชมสภาพภูมิประเทศ ป่าเขา ล าเนาไพรและสัตว์ป่าน้อยใหญ่ เริ่มท านองตอนต้นเป็นท านองร้องเพลง ชมดงใน ตอนท้ายเป็นท านองการพากย์ธรรมดา ก า ร พ า ก ย์ ช ม ด ง เค้าโมงจับโมงมองเมียง คู่เค้าโมงเคียง เคียงคู่อยู่ปลายไม้โมง ลางลิงลิงเหนี่ยวลดาโยง ค่อยยุดฉุดโชลง โลดไล่ในกลางลางลิง ชิงชังนกชิงกันสิง รังใครใครชิง ชิงกันจับต้นชิงชัน นกยูงจับพยูงยืนยัน แผ่หางเหียนหัน หันเหยีบเลียบไต่ไม้พยูง"
ใช้ส าหรับพากย์เวลาบรรยายความเป็นมาของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เป็นบริบทการขยายความเป็นมาเป็นไปของสิ่งของนั้น ๆ หรือใช้ ส าหรับพากย์ร าพึงร าพันใด ๆ ก า ร พ า ก ย์ บ ร ร ย า ย "เดิมทีธนูรัตน วรฤทธิเกรียงไกร องค์วิศวกรรมไซร้ ประดิษฐะสองถวาย คันหนึ่งพระวิษณุ สุรราชะนารายณ์ คันหนึ่งน าทูลถวาย ศิวะเทวะเทวัน ครั้นเมื่อมุนีทัก- ษะประชาบดีนั้น กอบกิจจะการยัญ- ญะพลีสุเทวา ไม่เชิญมหาเทพ ธ ก็แสนจะโกรธา กุมแสงธนูคลา ณ พิธีพลีกรณ์"
ใช้ส าหรับพากย์ใช้ในโอกาสทั่ว ๆ ไปในการแสดง เป็นการพากย์เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่จัดอยู่ในการพากย์ประเภทใด รวมทั้งการ เอ่ยกล่าวถึงใคร ท าอะไร อยู่ที่ไหนหรือพูดกับใคร ก า ร พ า ก ย์ เ บ็ ด เ ต ล็ ด ภูวกวักเรียกหนุมานมา ตรัสสั่งกิจจา ให้แจ้งประจักษ์ใจจง แล้วถอดจักรรัตน์ธ ามรงค์ กับผ้าร้อยองค์ ยุพินทรให้น าไป ผิวนางยังแหนงน้ าใจ จงแนะความใน มิถิลราชพารา อันปรากฏจริงใจมา เมื่อตาต่อตา ประจวบบนบัญชรไชย"
สมาชิกในกลุ่ม น า ย ถิ ร ภ า พ ป ร ะ ทุ ม วั ล ย์ เ ล ข ที่ 5 น า ย ย ศ ภั ท ร รั ก ษ า ย ศ เ ล ข ที่ 8 น า ง ส า ว ป นิ ต า ค ง ก ะ พั น ธ์ เ ล ข ที่ 2 0 น า ง ส า ว ศิ ริ น ธ า ร แ ก้ ว กู ล เ ล ข ที่ 2 7 ชั้ น มั ธ ย ม ศึ ก ษ า ปี ที่ 5/5