The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

งานวิจัยชั้นเรียน ควบกล้ำบิงดก ป.3 ปี 65 ครูภา รวมเล่ม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by teacherpapa1234, 2022-09-17 13:35:20

งานวิจัยชั้นเรียน ควบกล้ำบิงดก ป.3 ปี 65 ครูภา รวมเล่ม

งานวิจัยชั้นเรียน ควบกล้ำบิงดก ป.3 ปี 65 ครูภา รวมเล่ม

1

2

รายงานการวิจัยในชนั้ เรียน
เร่อื ง

การพฒั นารปู แบบการสอนดว้ ยเกมบงิ โกเพ่ือพัฒนาทกั ษะการอา่ นและเขยี นคา
อกั ษรควบกลา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตามแนว Active learning

ชั้นประถมศึกษาปที ี่ ๓

โดย
นางสาวญรตั นภ์ วัน เลิศชนิ รัตน์
ตาแหนง่ ครู วิทยฐานะ ชานาญการ

โรงเรียนบา้ นหว้ ยคล้า
สานักงานเขตพื้นที่การศกึ ษาประถมศกึ ษาอ่างทอง

สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร

3



เรอื่ ง : การพฒั นารปู แบบการสอนด้วยการใช้กจิ กรรมเกมบงิ โกในการจดั กจิ กรรมการอา่ นและเขยี นคาอักษร
ควบกลากล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ตามแนว Active learning ชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3

ชือ่ ผวู้ ิจัย : นางสาวฉัฐนนั ท์ ช้อยชด

โรงเรยี นบา้ นหว้ ยคล้า สานักงานเขตพืนทก่ี ารศกึ ษาประถมศึกษาประถมศึกษาอ่างทอง

กลุ่มสาระการเรียนรู้ : กลุ่มสาระการเรยี นรู้วชิ าภาษาไทย

ปีการศกึ ษา : 2565

บทคัดย่อ

การวจิ ัยครังนีมีจดุ มุง่ หมายเพอื่ พัฒนารูปแบบการสอนดว้ ยการใชก้ ิจกรรมเกมบงิ โกในการจัดกจิ กรรมการ
อ่านและเขยี นคาอกั ษรควบกลากลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามแนว Active learning ชันประถมศึกษาปีท่ี 3
ท่มี ปี ระสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพ่ือหาคา่ ดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการสอนด้วยการใชก้ จิ กรรมเกมบงิ โก
ในการจัดกจิ กรรมการอ่านและเขียนคาอักษรควบกลากลุ่มสาระการเรียนรภู้ าษาไทย ตามแนว Active learning
ชนั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 และเพือ่ เปรยี บเทียบผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นหลงั เรยี นและกอ่ นเรยี นของนกั เรียนท่เี รยี นรู้
โดยใชพ้ ฒั นารปู แบบการสอนด้วยการใช้กิจกรรมเกมบิงโกในการจดั กิจกรรมการอา่ นและเขียนคาอักษรควบกลา
กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ตามแนว Active learning ชนั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 กลมุ่ ตัวอย่าง คือ เป็นนักเรียน
ชันประถมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนท่ี1 ปกี ารศกึ ษา 2565 โรงเรยี นบ้านห้วยคล้า มนี กั เรียนจานวน 19 คน ซงึ่
ไดม้ าจากการเลอื กตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เวลาในการทดลอง 8 ชัว่ โมงเรยี น เคร่ืองมือที่
ใช้ในการวิจัย คือ แบบฝกึ ทักษะการอา่ นและเขยี นคาอักษรควบ การวเิ คราะห์ขอ้ มูลใช้สถิติ คา่ เฉล่ีย และคา่
เบีย่ งเบนมาตรฐาน

ผลของการวิจัยพบว่าแบบฝึกทกั ษะการอ่านและเขียนคาอกั ษรควบ กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ตาม
แนว Active learning ชนั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ที่มปี ระสทิ ธิภาพ 87.70/84.13 ซ่ึงสูงกวา่ เกณฑ์ 80/80 ท่ีตงั ไว้ คา่
ดัชนีประสทิ ธิผลของแบบฝกึ ทักษะการอา่ นและเขียนคาอักษรควบ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชันประถมศึกษา
ปที ี่ 3 มีคา่ เท่ากับ คา่ เทา่ กบั .6391 แสดงวา่ นกั เรยี นมคี วามกา้ วหน้าทางการเรยี นเพ่ิมขนึ คดิ เปน็ ร้อยละ 63.91
และผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนหลงั เรียนและก่อนเรยี นของนักเรียนทเี่ รียนรู้ โดยใช้พัฒนารปู แบบการสอนดว้ ยการใช้
กจิ กรรมเกมบิงโกในการจัดกิจกรรมการอ่านและเขยี นคาอกั ษรควบกลากลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชนั
ประถมศึกษาปีที่ 3 สูงกวา่ กอ่ นเรยี น อยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01

ข4

กติ ติกรรมประกาศ

รายงานการวิจัยเร่อื ง การพฒั นารปู แบบการสอนดว้ ยการใชก้ จิ กรรมเกมบิงโกในการจัดกิจกรรม
การอ่านและเขยี นคาอกั ษรควบกลากลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย ตามแนว Active learning ชนั ประถมศึกษาปี
ที่ 3 โรงเรยี นบ้านหว้ ยคลา้ สาเรจ็ สมบูรณล์ งได้ด้วยความกรณุ าและความอนเุ คราะหอ์ ย่างสงู จากคณะครู และ
บุคคลท่ีเกยี่ วขอ้ งทใ่ี ห้ความอนุเคราะห์ ทใี่ ห้ความกรณุ าเปน็ ผ้เู ชี่ยวชาญ ให้คาปรกึ ษาแนะนา ตรวจสอบแกไ้ ข
เคร่อื งมอื ทใ่ี ช้ในการวจิ ัย เพอื่ เปน็ ประโยชนใ์ นการจดั ทาใหส้ มบูรณย์ ิง่ ขนึ ผวู้ จิ ยั ขอขอบคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ
โอกาสนี

ขอขอบคุณนางปรชั ญลักห์ เลิศลพบวรผล ผูอ้ านวยการโรงเรียนบ้านหว้ ยคลา้ ท่ใี หค้ วาม
อนเุ คราะหเ์ ปน็ ผูเ้ ช่ยี วชาญ ให้คาปรกึ ษา แนะนา ใหก้ าลงั ใจ สง่ เสริมสนบั สนุนในการจดั ทาวิจยั ในชันเรยี น และเอา
ใจใส่ดว้ ยดเี สมอมา ขอขอบคุณคณะครโู รงเรียนบา้ นห้วยคลา้ ทุกทา่ นทม่ี ีสว่ นเก่ยี วข้องและเป็นกาลังใจในการทา
วจิ ยั ครังนี ขอขอบใจนกั เรยี นชนั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ทุกคน ทเี่ ป็นเดก็ ดี ท่ีตังใจเรียน ตงั ใจทางาน ตลอดจนให้
ความร่วมมือในการทดลองเครอ่ื งมอื และเก็บรวบรวมขอ้ มูลอย่างครบถว้ น

ผู้จัดทา
นางสาวญรตั น์ภวนั เลิศชนิ รัตน์

5

บทที่ 1

บทนา

ความเปน็ มาและความสาคญั ของปัญหา

ภาษาไทยเปน็ เอกลักษณ์ของชาตเิ ปน็ สมบตั ิทางวฒั นธรรมอันกอ่ ให้เกิดความเป็นเอกภาพและเสรมิ สรา้ ง
บคุ ลกิ ภาพของคนในชาติให้มีความเปน็ ไทย เป็นเคร่อื งมือในการติดตอ่ ส่ือสารเพอื่ สร้างความเข้าใจและ
ความสมั พันธ์ทดี่ ีตอ่ กนั ทาให้สามารถประกอบกจิ ธรุ ะ การงาน และดารงชีวิตรว่ มกนั ในสังคมประชาธปิ ไตยได้
อยา่ งสนั ตสิ ขุ และเป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศตา่ งๆ เพอื่ พัฒนา
ความรู้ พัฒนากระบวนการคดิ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และสร้างสรรคใ์ หท้ นั ตอ่ การเปลี่ยนแปลงทางสงั คม และ
ความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาไปใช้ในการพฒั นาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
นอกจากนียงั เปน็ สือ่ แสดงภมู ิปญั ญาของบรรพบรุ ษุ ด้านวัฒนธรรม ประเพณี และสนุ ทรยี ภาพ เป็นสมบตั ลิ าคา่
ควรแกก่ ารเรยี นรู้ อนุรกั ษ์ และสืบสานให้คงอยคู่ ูช่ าติไทยตลอดไป (สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั
พนื ฐาน. 2551 : 1) ดว้ ยความสาคัญดงั กล่าว กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษไทย จงึ ได้ถูกบรรจลุ งในหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขันพนื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 (แกไ้ ขเพม่ิ เติม พ.ศ. 2545) มาตรา 22
กล่าวไว้ว่า การจดั การศกึ ษาต้องยดึ หลกั ว่า ผ้เู รียนทุกคนมคี วามสามารถเรยี นรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือวา่
ผเู้ รยี นมคี วามสาคญั ท่ีสุด กระบวนการจัดการศกึ ษาต้องสง่ เสริมให้ผูเ้ รียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็
ตามศักยภาพ นอกจากนมี าตรา 24 กลา่ ววา่ การจดั กระบวนการเรยี นรตู้ ้องจัดเนอื หาสาระและกจิ กรรมให้
สอดคลอ้ งกับความสนใจและความถนดั ของผู้เรียน โดยคานงึ ถงึ ความแตกต่างระหว่างบคุ คล จัดกิจกรรมให้
ผเู้ รยี นได้เรยี นรจู้ ากประสบการณ์จริง การฝึกปฏิบัตใิ หท้ าได้ คิดเป็น ทาเปน็ รกั การอา่ นและเกดิ การใฝ่รอู้ ยา่ ง
ตอ่ เนือ่ ง กระทรวงศึกษาธิการจึงประกาศใชห้ ลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาขันพนื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 ได้
กาหนดสาระและมาตรฐานการเรยี นร้กู ล่มุ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย คอื สาระที่ 1 การอา่ น มุง่ เนน้ ใหผ้ ู้เรยี น
สามารถใชก้ ระบวนการอา่ นสร้างความรูแ้ ละความคิดเพือ่ นาไปใชต้ ัดสินใจ แกป้ ัญหาในการดาเนินชีวติ และมี
นิสยั รกั การอ่าน สาระที่ 2 การเขยี น มุ่งเนน้ ให้ผู้เรยี นสามารถใช้กระบวนการเขยี นเขียนสื่อสาร เขียนเรียงความ
ย่อความ และเขียนเรอ่ื งราวในรปู แบบต่างๆ เขียนรายงานข้อมลู สารสนเทศและรายงานการวจิ ยั อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
สาระท่ี 3 การฟัง การดแู ละการพูด ม่งุ เนน้ ให้ผู้เรียนสามารถสามารถเลือกฟงั และดอู ยา่ งมวี จิ ารณญาณ และ
พดู แสดงความรู้ ความคิด และความรู้สึกในโอกาสตา่ งๆ อย่างมวี ิจารณญาณและสร้างสรรค์ สาระท่ี 4 หลักการ
ใชภ้ าษาไทย มุ่งเนน้ ใหผ้ เู้ รียนสามารถเข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลีย่ นแปลงของภาษาและ

6

พลงั ของภาษา ภมู ปิ ญั ญาทางภาษา และรกั ษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบัตขิ องชาติ และสาระท่ี 5 วรรณคดีและ
วรรณกรรม มุ่งเน้นใหผ้ ู้เรียนเข้าใจและแสดงความคดิ เหน็ วจิ ารณว์ รรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ งเหน็ คุณค่า
และนามาประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ จรงิ (สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั พืนฐาน. 2551 : 2-3)

การจดั การเรยี นรกู้ ลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในดา้ นการใชภ้ าษาท่ีเปน็ ทักษะที่ผู้เรยี นตอ้ งฝกึ ฝนให้
เกดิ ความชานาญ ไมว่ า่ จะเปน็ การอ่าน การเขียน การพดู การฟงั และการดสู อื่ ตา่ งๆ รวมทังต้องใช้ใหถ้ กู ตอ้ ง
ตามหลักเกณฑ์ทางภาษา และมีประสทิ ธภิ าพ (กรมวิชาการ. 2546 : 1) ซึ่งการอ่านและการเขียนคาเป็น
ทกั ษะพนื ฐานสาคญั ของการเรยี นรู้ภาษาทกุ ภาษาทงั ในการเรยี นในระดับพืนฐานและระดบั สงู การเรยี นใน
ระดับพนื ฐานจะเน้นด้านการอ่าน การเขยี นไดถ้ กู ต้อมคี วามแม่นยาในหลกั เกณฑท์ างภาษา ซึง่ มีความสาคญั และ
เป็นความจาเปน็ ของนักเรยี นทุกคน หลักเกณฑท์ างภาษาไดแ้ ก่ หลกั การสะกดคา ไตรยางค์ การผนั เสียง
วรรณยุกต์ อกั ษรควบ อักษรนา เปน็ ต้น ซ่ึงต้องใชห้ ลกั การสอนและเทคนิคท่ีหลากหลาย แทรกหลักภาษาไป
กบั การสอนอา่ นและการสอนเขยี น (กรมวชิ าการ. 2546 : 133) สาเหตุสาคญั ท่ีทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียนตา่ คือ นกั เรยี นขาดทกั ษะดา้ นการอา่ นและการเขียน ไม่ว่าจะเปน็ การอา่ นสะกดคา การเวน้ วรรค
ทาให้สอ่ื ความหมายไม่ตรงกัน สง่ ผลให้การเขยี นคาผดิ ไปด้วย เช่น ตวั สะกดผิด ตวั การันต์ผดิ คาควบกลาผดิ
เพราะขาดการฝกึ อา่ นและฝกึ เขยี น วธิ ีการสอนภาษาไทยชันประถมศึกษาปีท่ี 3 ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพนัน ครูต้อง
ฝึกฝนใหน้ กั เรยี นมโี อกาสฝึกอา่ นและฝกึ เขียนบ่อยๆ จัดกระบวนการเรยี นการสอนจากเรอ่ื งงา่ ยๆ ไปสู่เรือ่ งยาก
ใชเ้ ทคนคิ วิธีการสอนที่หลากหลาย ใช้ส่อื การสอนทเ่ี รา้ ความสนใจของนกั เรียน การแกป้ ญั หาโดยใชว้ ธิ กี ารจัด
กิจกรรมการเรียนรู้โดย ใชร้ ูปแบบเกมบิงโกมาพฒั นาของผกู้ ารศกึ ษาทกั ษะถอื เปน็ แนวทางอกี ทางหนึ่งทเ่ี หมาะสม
กับการจัดกิจกรรมการเรียนร้ใู นกลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทยทจ่ี ะทาให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ
และสง่ ผลใหน้ กั เรียนมผี ลสมั ฤทธิท์ างการเรียนสูงขึน

เกมบิงโกคาควบกลา คือ สอื่ /เอกสารประเภทหนึ่งประกอบแผนการสอนท่ีมเี นอื หาเปน็ การฝึกทักษะ
ความชานาญอย่างใดอยา่ งหน่ึง เปน็ สว่ นเสริมสาหรับใหน้ ักเรียนได้ฝึกปฏบิ ตั เิ พอ่ื ให้เกิดทักษะความรู้ ความเข้าใจ
และฝกึ ฝนความชานาญ กระบวนการคดิ จากประสบการณท์ ี่ได้จากกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีทกั ษะที่
เพม่ิ ขนึ ส่วนใหญจ่ ะมีแบบฝึกทกั ษะอยู่ทา้ ยบทเรียน หรือเป็นส่ิงฝึกท่ีครูสรา้ งขึน ซ่ึงแบบฝึกทีด่ ีและมี
ประสทิ ธิภาพ จะช่วยให้ผเู้ รยี นพฒั นากระบวนการคดิ ไดเ้ ป็นอยา่ งดี และชว่ ยใหผ้ ู้เรียนประสบความสาเรจ็ ในการ
ฝกึ ทกั ษะรวมทงั การพัฒนาการเรียนรูไ้ ด้เปน็ อย่างดี (วมิ ลรัตน์ สนุ ทรโรจน์ . 2553 : 128) ดงั รายงานการวิจยั
ของ ศักดา ชัยสงคราม (2552. 81-84) ได้ศึกษาผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรูแ้ บบกลุ่มรว่ มมอื (STAD) กลุ่ม
สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย เรื่อง อกั ษรควบ ชนั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 พบวา่ ดัชนปี ระสิทธผิ ล มีค่าเท่ากบั .73
ซ่งึ หมายความวา่ นกั เรียนมีความกา้ วหนา้ ทางการเรยี นเพิม่ ขึน คิดเป็นร้อยละ 73 และรายงานการวิจยั ของ
กฤติกา เจรญิ ยศ (2552 : 74-79) ได้ศกึ ษาการพฒั นาแผนการจัดกจิ กรรม การเรยี นรภู้ าษาไทย ด้วยกลุ่ม
ร่วมมือแบบ STAD โดใช้แบบฝึกทกั ษะ ดา้ นการอา่ นและการเขยี น คายาก ชันประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ดัชนี

7

ประสทิ ธผิ ล มีคา่ เท่ากับ .7095 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การวิจัยของวรรณภนา ไชยวนั (2549 : 70-73) พบวา่ การ
พัฒนาการอ่านและการเขยี นภาษาไทย เร่อื งอกั ษรควบและอกั ษรนา สาหรบั นักเรยี นชันประถมศึกษาปที ่ี 3
โดยใช้แบบฝึกทักษะ มีค่าดัชนีประสทิ ธิผล เทา่ กับ .7282 หมายความว่า ผูเ้ รียนมคี วามรูเ้ พ่ิมขึน คดิ เปน็ รอ้ ย
ละ 72.82

จากปัญหาการจดั การเรยี นการสอนกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทยดงั กลา่ วข้างต้น ผู้ศึกษาค้นควา้ ได้

ศกึ ษาหลักการ ความสาคญั หลกั สูตร วิธีการการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ รวมทงั งานวิจยั ทเ่ี กยี่ วขอ้ ง

กับการสรา้ งและการพฒั นาแบบฝึกทกั ษะแลว้ จึงสนใจทจี่ ะพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการอ่านและเขียนคาอกั ษรควบ

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชนั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3 เพอ่ื พฒั นาการจัดกิจกรรมการเรยี นการสอนใหม้ ี

ประสิทธภิ าพและบรรลผุ ลตามตัวชวี ัดของหลกั สตู รการศึกษาแกนกลางการศึกษาขนั พนื ฐาน พทุ ธศักราช 2551

ซึ่งจะสง่ ผลใหน้ กั เรยี นมผี ลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี นกลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทยสงู ขนึ และใช้เปน็ แนวทางสาหรบั

ครูผูส้ อนกล่มุ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทยและผู้ที่สนใจ ในการพัฒนาการเรยี นการสอนใหด้ าเนินไปอยา่ งมี

ประสทิ ธิภาพตอ่ ไป

ความมุ่งหมายของการวิจัย

1. เพื่อการพฒั นารปู แบบการสอนดว้ ยการใช้กิจกรรมเกมบิงโกในการจดั กิจกรรมการอ่านและเขียนคา
อักษรควบกลากลุม่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ตามแนว Active learning ชนั ประถมศึกษาปีท่ี 3 ที่มี
ประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80

2. เพือ่ หาค่าดชั นีประสทิ ธิผลของการพัฒนารูปแบบการสอนดว้ ยการใชก้ จิ กรรมเกมบิงโกในการจัด
กจิ กรรมการอ่านและเขยี นคาอักษรควบกลากลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามแนว Active learning ชัน
ประถมศกึ ษาปีที่ 3

3. เพ่ือเปรยี บเทยี บผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นหลงั เรยี นและก่อนเรียนของนกั เรียนท่ีเรยี นรู้ โดยใชก้ าร
พฒั นารปู แบบการสอนด้วยการใช้กจิ กรรมเกมบงิ โกในการจดั กิจกรรมการอ่านและเขยี นคาอกั ษรควบกลากลมุ่
สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ตามแนว Active learning ชันประถมศึกษาปที ี่ 3

สมมุติฐานของการวิจยั

ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี นหลงั เรียนและกอ่ นเรยี นของนกั เรยี นทเี่ รยี นรู้ โดยใชก้ ารพฒั นารูปแบบการสอน
ดว้ ยการใช้กิจกรรมเกมบงิ โกในการจดั กิจกรรมการอา่ นและเขียนคาอกั ษรควบกลากล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย
ตามแนว Active learning ชนั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 แตกต่างกนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิตทิ ่รี ะดบั .01

8

ประโยชนท์ ี่ได้รับ

1. ได้พฒั นารูปแบบการสอนดว้ ยการใช้กิจกรรมเกมบงิ โกในการจดั กิจกรรมการอา่ นและ
เขยี นคาอักษรควบกลา กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ตามแนว Active learning ชนั ประถมศึกษาปที ี่ 3 ท่มี ี
ประสทิ ธิภาพตามเกณฑ์ 80/80

2. ไดแ้ นวทางสาหรับครผู ู้สอนกลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทยและผู้ทีส่ นใจในการพัฒนา
รูปแบบการสอนด้วยการใช้กิจกรรมเกมบิงโกในการจดั กจิ กรรมการอ่านและเขยี นคาอักษรควบกลา กลุ่มสาระการ
เรียนรภู้ าษาไทย ตามแนว Active learning ในเรอ่ื งตา่ งๆและในระดบั ชนั อื่นๆอีกตอ่ ไป

ขอบเขตของการวิจยั

1. ประชากรและกลมุ่ ตวั อย่าง
ประชากร ไดแ้ ก่ นกั เรียนชันประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนบา้ นหว้ ยคล้า สานกั งานเขตพนื ท่ี

การศกึ ษาประถมศกึ ษาอา่ งทอง จานวน 19 คน
กลุ่มตัวอย่าง ไดแ้ ก่ นักเรียนชันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรยี นบ้านหว้ ยคล้า สานักงานเขตพืนท่ี

การศกึ ษาประถมศกึ ษาประถมศึกษาอ่างทอง ภาคเรยี นท่ี 3 ปกี ารศึกษา 2565 จานวน 19 คน ไดม้ าโดยการ
เลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

2. เนื้อหาทใ่ี ชใ้ นการวจิ ยั
เนอื ท่ใี ชใ้ นการวจิ ยั ครงั นปี ระกอบด้วย การพฒั นารูปแบบการสอนด้วยการใชก้ ิจกรรมเกมบิงโก

ในการจัดกจิ กรรมการอา่ นและเขียนคาอักษรควบกลา กลุ่มสาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ตามแนว Active
learning ชนั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 จานวน 8 เกม ดังนี

เกมบิงโกที่ 1 อกั ษรควบแท้ทม่ี ีพยญั ชนะตน้ เป็น ก ควบ ร ล ว
เกมบิงโกท่ี 2 อกั ษรควบแท้ทีม่ พี ยญั ชนะต้นเป็น ข ควบ ร ล ว
เกมบิงโกท่ี 3 อักษรควบแทท้ ม่ี ีพยญั ชนะต้นเปน็ ค ควบ ร ล ว
เกมบิงโกที่ 4 อกั ษรควบแท้ทมี่ พี ยัญชนะต้นเป็น พ ควบ ร ล
เกมบิงโกที่ 5 อักษรควบแท้ท่มี ีพยัญชนะตน้ เป็น ป ควบ ร ล

9

เกมบิงโกที่ 6 อักษรควบแท้ทม่ี ีพยัญชนะตน้ เปน็ ต ควบ ร และ ผ ควบ ล
เกมบิงโกที่ 7 อักษรควบไม่แทท้ มี่ พี ยญั ชนะต้นเปน็ จ ซ ศ ควบ ร แต่ไม่ออกเสียง ร
เกมบิงโกที่ 8 อักษรควบไม่แท้ที่มพี ยญั ชนะตน้ เปน็ ท ควบกับ ร ออกเสียงเป็น ซ

3. ตวั แปรที่ใช้ในการวจิ ัย

3.1 ตวั แปรต้น คือ การพัฒนารูปแบบการสอนดว้ ยการใชก้ ิจกรรมเกมบิงโกในการจัดกจิ กรรม
การอ่านและเขียนคาอักษรควบกลา กลมุ่ สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ตามแนว Active learning ชัน
ประถมศึกษาปที ่ี 3

3.2 ตัวแปรตาม คอื ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนหลังเรยี นของนักเรยี น

4. ระยะเวลาท่ีใชใ้ นการวิจัย คือ ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศกึ ษา 2565 จานวน 8
ชัว่ โมง (ไม่รวมทดสอบกอ่ นและหลังเรยี น)

5. รปู แบบการวจิ ัยเปน็ การวิจัยกึง่ ทดลอง (Quasi Experimental Research) โดยใช้แบบ
แผนการทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design

นิยามศัพท์เฉพาะ

1. รปู แบบการสอน หมายถงึ รปู แบบด้วยกิจกรรมการใช้เกมบิงโกในการพัฒนาการอ่านและการ
เขยี นคาอักษรควบกลา กล่มุ สาระการเรียนรภู้ าษาไทย ตามแนว Active learning ชนั ประถมศึกษาปที ี่ 3 ท่ีผู้
ศกึ ษาคน้ ควา้ สร้างและพัฒนาขึนเพื่อให้นกั เรียน ไดฝ้ ึกปฏิบตั ิ จานวน 8 เกม

2. ประสทิ ธภิ าพของรปู แบบการสอน หมายถงึ รปู แบบการสอนการอ่านและการเขยี นคา อักษร
ควบกลา กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ตามแนว Active learning ชันประถมศึกษาปที ี่ 3 ซง่ึ วดั และ
ประเมนิ ผลตามสภาพจริง ทีม่ ีประสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80

80 ตวั แรก หมายถงึ รอ้ ยละของคะแนนเฉลย่ี ของนักเรียนทุกคนท่ีทาได้ระหว่างเรยี น
จากการทากจิ กรรมตามรูปแบบการสอนด้วยเกมบิงโกในการพฒั นาการอ่านและการเขียนคาอักษรควบกลา และ
การทดสอบย่อยในแต่ละชุดและรวมทุกชุด โดยคะแนนเฉล่ียไมต่ า่ กว่าร้อยละ 80

10

80 ตัวหลงั หมายถงึ ร้อยละของคะแนนเฉลย่ี ของนักเรยี นทุกคนที่ได้จากการทาแบบทดสอบ
วัดผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียนหลงั เรยี น ไดค้ ะแนนเฉลีย่ ไม่ตา่ กว่าร้อยละ 80

3. ดชั นีประสิทธผิ ล หมายถงึ ค่าท่ีแสดงความก้าวหนา้ ในการเรียนรู้ของนักเรียนท่ีเรยี นด้วยการจดั
กิจกรรมการเรียนการรู้โดยใชร้ ปู แบบการสอนด้วยการใชก้ จิ กรรมเกมบงิ โกในการจัดกจิ กรรมการอา่ นและเขยี นคา
อกั ษรควบกลา กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตามแนว Active learning ชันประถมศึกษาปีท่ี 3 โดยเทียบ
คะแนนท่เี พ่ิมขึนจากคะแนนทดสอบกอ่ นเรยี น กบั คะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรยี น

4. ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี น หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ของนกั เรยี นที่เรยี นดว้ ยการจดั
กจิ กรรมการเรยี นรโู้ ดยใช้รปู แบบการสอนดว้ ยการใช้กิจกรรมเกมบงิ โกในการจดั กจิ กรรมการอ่านและเขยี นคา
อกั ษรควบกลา กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ตามแนว Active learning ชันประถมศกึ ษาปที ่ี 2 โดยวัดจาก
แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นที่ผูศ้ กึ ษาค้นคว้าสรา้ งและพฒั นาขนึ

5. แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิท์ างการเรยี น หมายถึง แบบทดสอบแบบปรนยั ชนดิ 3

ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ ท่ีผู้ศึกษาคน้ ควา้ สร้างขึนเพอ่ื ใชท้ ดสอบนกั เรยี นหลังเรียนด้วยการจดั กจิ กรรมการ

เรียนรู้โดยใช้รปู แบบการสอนดว้ ยการใช้กิจกรรมเกมบงิ โกในการจดั กจิ กรรมการอ่านและเขียนคาอักษรควบกลา

กลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ตามแนว Active learning ชันประถมศึกษาปีท่ี 3

6. อกั ษรควบ หมายถงึ พยญั ชนะทค่ี วบกบั ร ล ว ประสมดว้ ยสระเดยี วกัน ออกเสยี ง ควบกลาเปน็

พยางคเ์ ดียว โดยออกเสียงวรรณยกุ ต์ตามพยญั ชนะตน้ ประกอบด้วยอกั ษรควบแท้ และอักษรควบไม่

แท้

อักษรควบแท้ หมายถึงหมายถึง พยัญชนะต้นสองตวั ท่ีมี ร ล ว ประสมดว้ ยสระตัวเดยี วกนั
และอ่านออกเสยี งพยญั ชนะต้นทงั สองตัวพรอ้ มกนั

อกั ษรควบไมแ่ ท้ หมายถงึ พยัญชนะตน้ ควบกับ ร แตอ่ อกเสยี งพยญั ชนะตน้ ตัวหน้าเพียงตัว
เดยี วหรือออกเสียงเปลีย่ นไปเป็นพยญั ชนะตวั อ่นื

11

บทท่ี 2

เอกสารและงานวจิ ัยที่เกย่ี วข้อง

การวจิ ยั ในครงั นี ผู้ศึกษาคน้ ควา้ ได้ศกึ ษาเอกสารและงานวิจัยทเ่ี ก่ียวข้องสาหรบั เป็นข้อมูลในการวจิ ยั
ดังนี

1. หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั พนื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กลมุ่ สาระการเรยี นรภู้ าษาไทย

2. การอา่ นและการเขียน

3. อักษรควบกลา

4. เกมบงิ โก

5. แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน

6. การหาประสิทธิภาพของเครือ่ งมอื

7. การหาดชั นปี ระสิทธิผล

8. งานวจิ ัยที่เก่ียวข้อง

1. หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 กล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย

ทาไมต้องเรยี นภาษาไทย

ภาษาไทยเปน็ เอกลักษณข์ องชาติเปน็ สมบัติทางวัฒนธรรมอนั ก่อใหเ้ กิดความเปน็ เอกภาพและเสรมิ สรา้ ง
บุคลกิ ภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย เปน็ เคร่ืองมอื ในการตดิ ต่อสือ่ สารเพอื่ สรา้ งความเข้าใจและ
ความสัมพนั ธท์ ดี่ ตี อ่ กนั ทาให้สามารถประกอบกิจธุระ การงาน และดารงชวี ติ ร่วมกันในสงั คมประชาธิปไตยได้
อยา่ งสันติสขุ และเปน็ เคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ ประสบการณจ์ ากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพือ่ พัฒนา
ความรู้ พัฒนากระบวนการคดิ วเิ คราะห์ วจิ ารณ์ และสรา้ งสรรค์ใหท้ ันต่อการเปลยี่ นแปลงทางสังคม และ
ความก้าวหนา้ ทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนาไปใช้ในการพฒั นาอาชพี ใหม้ คี วามมัน่ คงทางเศรษฐกิจ
นอกจากนียังเปน็ ส่อื แสดงภูมิปญั ญาของบรรพบุรษุ ดา้ นวัฒนธรรม ประเพณี และสนุ ทรียภาพ เป็นสมบตั ิลาค่า
ควรแกก่ ารเรยี นรู้ อนุรกั ษ์ และสืบสานให้คงอยูค่ ่ชู าตไิ ทยตลอดไป

เรยี นรู้อะไรในภาษาไทย

12

ภาษาไทยเป็นทักษะทต่ี อ้ งฝกึ ฝนจนเกิดความชานาญในการใชภ้ าษาเพือ่ การสอ่ื สาร การเรียนรู้อย่างมี
ประสิทธิภาพ และเพอื่ นาไปใช้ในชีวิตจรงิ

1. การอ่าน การอา่ นออกเสยี งคา ประโยค การอ่านบทรอ้ ยแกว้ คาประพนั ธ์ชนิดต่างๆ การ
อา่ นในใจเพื่อสรา้ งความเข้าใจ และการคิดวเิ คราะห์ สังเคราะหค์ วามรจู้ ากส่งิ ทอี่ า่ น เพอื่ นาไป ปรบั ใช้ใน
ชีวติ ประจาวนั

2. การเขียน การเขียนสะกดตามอกั ขรวิธี การเขยี นส่อื สาร โดยใชถ้ ้อยคาและรูปแบบต่างๆ
ของการเขยี น ซ่งึ รวมถงึ การเขียนเรยี งความ ยอ่ ความ รายงานชนิดต่างๆ การเขียนตามจนิ ตนาการ วิเคราะห์
วิจารณ์ และเขยี นเชิงสร้างสรรค์

3. การฟัง การดู และการพูด การฟงั และดอู ย่างมีวจิ ารณญาณ การพูดแสดงความคิดเห็น
ความรูส้ กึ พูดลาดับเรื่องราวตา่ งๆ อยา่ งเป็นเหตเุ ป็นผล การพูดในโอกาสตา่ งๆ ทังเปน็ ทางการและไม่เป็น
ทางการ และการพูดเพ่อื โน้มน้าวใจ

4. หลักการใชภ้ าษาไทย ธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของภาษาไทย การใช้ภาษาใหถ้ กู ต้อง
เหมาะสมกบั โอกาสและบคุ คล การแตง่ บทประพันธ์ประเภทตา่ งๆ และอทิ ธิพลของภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย

5. วรรณคดแี ละวรรณกรรม วเิ คราะหว์ รรณคดแี ละวรรณกรรมเพอื่ ศึกษาข้อมลู แนวความคิด

คุณค่าของงานประพนั ธ์ และความเพลดิ เพลิน การเรียนรูแ้ ละทาความเข้าใจบทเห่ บทร้องเล่นของเดก็

เพลงพนื บา้ นที่เปน็ ภมู ปิ ญั ญาท่ีมีคณุ ค่าของไทย ซึ่งได้ถ่ายทอดความรสู้ ึกนึกคิด ค่านยิ ม ขนบธรรมเนียมประเพณี

เรอื่ งราวของสงั คมในอดีต และความงดงามของภาษา เพ่ือให้เกิด ความซาบซึงและภมู ิใจ ในบรรพบรุ ษุ ท่ีได้

ส่ังสมสบื ทอดมาจนถึงปัจจุบัน

สาระและมาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 1 การอา่ น
มาตรฐาน ท 1.1 ใชก้ ระบวนการอ่านสรา้ งความรแู้ ละความคิดเพือ่ นาไปใชต้ ัดสนิ ใจ แกป้ ญั หาใน
การดาเนินชวี ิตและมีนสิ ยั รักการอ่าน
สาระที่ 2 การเขียน
มาตรฐาน 2.1 ใช้กระบวนการเขยี นเขียนส่อื สาร เขียนเรียงความ ยอ่ ความ และเขียนเรอื่ งราวในรปู แบบต่างๆ
เขียนรายงานข้อมูลสารสนเทศและรายงานการวิจัยอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
สาระท่ี 3 การฟงั การดู และการพูด

13

มาตรฐาน ท 3.1 สามารถเลือกฟงั และดอู ย่างมวี จิ ารณญาณ และพูดแสดงความรู้ ความคิด และ

ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ อย่างมีวจิ ารณญาณและสร้างสรรค์

สาระท่ี 4 หลักการใช้ภาษาไทย

มาตรฐาน ท 4.1 เข้าใจธรรมชาติของภาษาและหลักภาษาไทย การเปลย่ี นแปลงของภาษาและ
พลังของภาษา ภูมิปญั ญาทางภาษา และรักษาภาษาไทยไว้เปน็ สมบตั ขิ องชาติ
สาระที่ 5 วรรณคดแี ละวรรณกรรม

มาตรฐาน ท 5.1 เข้าใจและแสดงความคดิ เห็น วจิ ารณ์วรรณคดีและวรรณกรรมไทยอยา่ ง
เหน็ คุณค่าและนามาประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ จรงิ

คณุ ภาพผู้เรียน

จบช้ันประถมศึกษาปีท่ี 3

1. อา่ นออกเสียงคา คาคล้องจอง ข้อความ เร่ืองสันๆ และบทรอ้ ยกรองงา่ ยๆ ได้ถูกตอ้ ง
คล่องแคล่ว เข้าใจความหมายของคาและข้อความท่อี า่ น ตังคาถามเชงิ เหตุผล ลาดับเหตกุ ารณ์ คาดคะเน
เหตุการณ์ สรปุ ความร้ขู ้อคิดจากเรื่องท่ีอ่าน ปฏิบัติตามคาส่งั คาอธบิ ายจากเรือ่ งทอี่ ่านได้ เขา้ ใจความหมาย
ของขอ้ มูลจากแผนภาพ แผนที่ และแผนภูมิ อ่านหนงั สืออยา่ งสม่าเสมอ และ มีมารยาทในการอา่ น

2. มที ักษะในการคัดลายมือตัวบรรจงเตม็ บรรทดั เขียนบรรยาย บันทกึ ประจาวัน เขยี นจดหมายลา
ครู เขยี นเรื่องเก่ยี วกับประสบการณ์ เขียนเรือ่ งตามจนิ ตนาการและมมี ารยาทในการเขยี น

3. เล่ารายละเอยี ดและบอกสาระสาคัญ ตังคาถาม ตอบคาถาม รวมทงั พูดแสดงความคิดความรสู้ ึก
เกี่ยวกับเรือ่ งทฟี่ ังและดู พดู สื่อสารเลา่ ประสบการณ์และพดู แนะนา หรือพดู เชิญชวนให้ผอู้ ืน่ ปฏบิ ัตติ าม และมี
มารยาทในการฟัง ดู และพูด

4. สะกดคาและเข้าใจความหมายของคา ความแตกต่างของคาและพยางค์ หนา้ ท่ีของคา ใน
ประโยค มที ักษะการใช้พจนานกุ รมในการค้นหาความหมายของคา แต่งประโยคงา่ ยๆ แตง่ คาคล้องจอง แต่งคา
ขวญั และเลือกใช้ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถ่นิ ได้เหมาะสมกบั กาลเทศะ

14

5. เข้าใจและสามารถสรปุ ข้อคดิ ท่ีไดจ้ ากการอา่ นวรรณคดแี ละวรรณกรรมเพื่อนาไปใชใ้ น
ชวี ติ ประจาวนั แสดงความคิดเห็นจากวรรณคดีท่ีอา่ น รจู้ กั เพลงพืนบา้ น เพลงกลอ่ มเด็ก ซึง่ เปน็ วฒั นธรรมของ
ท้องถน่ิ รอ้ งบทร้องเล่นสาหรับเดก็ ในทอ้ งถิ่น ทอ่ งจาบทอาขยานและบทร้อยกรองท่ีมคี ณุ คา่ ตามความสนใจได้

2. การอา่ นและการเขียน

2.1 ความหมายและความสาคญั ของการอ่าน

เรอื งอุไร อนิ ทรประเสริฐ และคณะ (2546 : 66) ได้ใหค้ วามหมายของการอา่ นวา่

การอ่าน หมายถงึ การทาความเข้าใจเรื่องราวจากตวั หนงั สอื ท่ีมีการเรยี บเรยี งไวแ้ ลว้ ทงั การอ่าน ออก

เสยี งและการอ่านจบั ใจความ ซึ่งตอ้ งอาศัยความเขา้ ใจและการพจิ ารณาเนือหาที่อา่ นนันให้ถกู ตอ้ งและชัดเจน

ชานะ บูชาสุข (2546 : 51) ให้ความหมายของการอ่านว่า การอ่านเป็นการแปลความหมายของ
ตวั อกั ษรออกมาเปน็ ถอ้ ยคาหรือความคิด แลว้ นาความคิดนนั ไปใชป้ ระโยชน์

ตวั อักษรเป็นเพียงเครื่องหมายแทนคาพดู และการพดู กเ็ ป็นเพียงเสยี งทใี่ ช้แทนของจรงิ อีกทอดหน่ึง เพราะฉะนัน
หัวใจของการอ่านจึงขนึ อย่ทู กี่ ารเข้าใจความหมายของคาที่ปรากฏในข้อความนนั

ศุภวรรณ มองเพชร (2547 : 22) กล่าวถึงการอา่ นวา่ การอา่ นคอื กระบวนการแห่งความคดิ ใน
การรับสารเข้าและสง่ สารออก ในขณะทอี่ ่าน สมองของผู้อ่านต้องคดิ ตามผเู้ ขยี นหรอื ตีความข้อความทอ่ี า่ นไป
ดว้ ยตลอดเวลา ผ้อู ่านทดี่ ีจะตอ้ งเขา้ ใจข้อความท่ีอ่านได้อยา่ งรวดเรว็ และถูกตอ้ ง ผู้อา่ นทอ่ี ่านชา้ และไมค่ ่อย
เขา้ ใจในส่ิงทตี่ นอ่าน จาเปน็ ต้องปรบั ปรงุ แก้ไขตนเองโดยรีบดว่ น

สวุ ัฒน์ วิวัฒนานนท์ (2551 : 29 – 88) ได้ให้ความหมายของการอ่าน หมายถงึ การแปล
ความหมายของตัวอกั ษรที่อา่ นออกมาเป็นความรู้ ความคิด และเกิดความเข้าใจเร่ืองราวที่อา่ นตรงกบั เรือ่ งราวท่ี
ผู้เขยี นเขยี น ผู้อ่านสามารถนาความรู้ ความคิด เรอ่ื งราวทอ่ี า่ นไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ความสาคญั และประโยชนข์ อง
การอา่ น มดี ังนี

1. การอา่ นเพอ่ื แสวงหาความรู้ ได้แก่ การอ่านหนังสอื จากหนังสอื ประเภทตารา

ทางวชิ าการ สารคดีทางวชิ าการ การวิจัยประเภทตา่ งๆ

2. การอา่ นเพอ่ื แสวงหาความบันเทิง พักผอ่ นหยอ่ นใจ ได้แก่ การอ่านหนงั สือ

15

ประเภทสารคดีทอ่ งเที่ยว นวนยิ าย เรอ่ื งสนั เร่ืองแปล
3. การอ่านเพอ่ื แสวงหาข่าวสารความคดิ ไดแ้ ก่ การอา่ นหนงั สอื ประเภทบทวจิ ารณ์ รายงาน

ตา่ งๆ เอกสาร วารสาร ส่อื อ่นื ๆ
4. การอ่านเพ่อื จุดประสงคเ์ ฉพาะทางแตล่ ะครงั ได้แก่ การอา่ นท่ีไมไ่ ด้เจาะจง แต่เป็นการอ่าน

เป็นบางครังบางคราวในเรอื่ งท่ตี นสนใจ เช่น การอ่านประกาศ การอา่ นโฆษณาตา่ งๆ
5. การอ่านเพอื่ ใชเ้ วลาว่างให้เกิดประโยชน์
6. การอา่ นเพอ่ื ปรับเปล่ียนบุคลกิ ภาพ เช่น หนังสอื การฝกึ การพูด การประกอบอาหาร การ

ประดิษฐส์ ง่ิ ตา่ งๆ
2.2 ประเภทของการอา่ น

วรรณี โสมประยูร (2542 : 127) ได้แบ่งประเภทการอ่านไว้ 2 ประเภท ดงั นี
1. การอา่ นออกเสียง แบง่ ได้ 3 แบบ ได้แก่
1.1 การอ่านร้อยแก้ว
1.2 การอา่ นร้อยกรอง
1.3 การอ่านทานองเสนาะ
2. การอ่านในใจ แบ่งได้ 7 แบบ ไดแ้ ก่
2.1 การอ่านแบบค้นคว้าหาความรู้ เชน่ อา่ นตารา
2.2 การอ่านแบบจบั ใจความสาคัญหรือหาสาระสาคญั ของเรื่อง เชน่ อ่านบทความ
2.3 การอา่ นแบบหารายละเอียดทุกขนั ตอน เช่น อ่านประวตั ิศาสตร์ อา่ นลาดับเหตกุ ารณ์
2.4 การอา่ นแบบหารายละเอียดทกุ คาเพ่ือการปฏบิ ัติ เช่น อ่านคมู่ อื การใชเ้ ครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ อ่าน
วิธีประกอบอาหาร
2.5 การอา่ นแบบวิเคราะหว์ จิ ารณ์เพื่อหาเหตุผล เช่น อ่านขา่ วเหตุการณ์สาคัญ
2.6 การอา่ นแบบไตร่ตรองโดยใช้วิจารณญาณเพ่ือหาขอ้ เท็จจริง ข้อดขี ้อเสยี สาหรบั แนวทาง
การปฏิบัติ เช่น อา่ นโฆษณา
2.7 การอ่านแบบครา่ วๆ เพื่อสังเกตและจดจา เชน่ อา่ นสถานท่ตี า่ งๆ เม่อื เวลานงั่ รถผา่ นไป

16

2.3 กจิ กรรมเพ่อื พัฒนาการอ่าน

กรมวิชาการ (2546 : 190-191) ไดเ้ สนอแนะขนั ตอนการอ่าน ดงั นี

1. ขนั กอ่ นการอา่ น ประกอบด้วย

1.1 การสรา้ งประสบการณพ์ ืนฐานเพอ่ื ให้เกิดความเขา้ ใจในการอา่ น โดยจัดกิจกรรมใด

กิจกรรมหนง่ึ หรอื หลายกิจกรรม เช่น สนทนาเกี่ยวกบั ช่อื เรือ่ งและแนวคิดของเรือ่ ง ดูภาพในหนงั สือ

แลว้ สนทนาเกย่ี วกบั ภาพ เป็นตน้

1.2 การอ่านคายาก เป็นการสอนอา่ นคายากในบทเรียนเพอ่ื ให้เข้าใจความหมายได้ดยี ิง่ ขึน

1.3 การตังจุดประสงคใ์ นการอ่าน เปน็ การบอกแนวทางการเรยี นให้แก่ผู้เรยี น

2. ขนั การอา่ น ประกอบด้วย

2.1 อ่านสารวจและตงั คาถามใหน้ ักเรียนอ่านเร็วๆ และตังคาถาม ช่วยกนั บอกคาถามทค่ี ิด
ขนึ แล้วครเู ขยี นบนกระดานดา

2.2 อ่านพินจิ พจิ ารณา แลว้ ตอบคาถาม เป็นการอ่านเรือ่ งอกี ครังอยา่ งพินิจพิจารณา เพ่ือ
หาคาตอบ จับประเด็นสาคญั หารายละเอยี ดของเรื่อง หาเหตุและผลของเหตุการณ์ เป็นต้น

2.3 ตอบคาถามและทบทวน ให้นกั เรยี นตอบคาถามแล้วตรวจสอบคาตอบจากเร่ืองทอ่ี า่ น
อีกครัง

3. ขันหลงั การอ่าน ฝึกให้นักเรียนทาแผนภาพโครงเร่ือง เพอ่ื สรา้ งความเขา้ ใจ ซึ่งจะนาไปสู่
ทักษะการพดู การฟัง และการเขยี น

2.4 ความหมายและความสาคัญของการเขยี น

กองเทพ เคลอื บพณิชกลุ (2542 : 123) ใหค้ วามหมายของการเขยี นไวว้ ่า การเขียน หมายถึง
ทกั ษะการใชภ้ าษาชนิดหนง่ึ เป็นการถา่ ยทอดความรู้ความคดิ จินตนาการ ประสบการณต์ ่างๆ รวมทงั อารมณ์
และความรสู้ ึกกับข่าวสาร เปน็ การสื่อสารหรอื ส่ือความหมาย โดยมตี ัวหนังสือตลอดจนเครอื่ งหมายต่างๆ เป็น
สัญลกั ษณ์แทนถ้อยคาในภาษาพูด เพอ่ื ให้ผู้อ่านเขา้ ใจไดต้ ามความมุ่งหมายของผู้เขียน

วรรณี โสมประยรู (2542 : 139) ไดใ้ ห้ความหมายของการเขยี นไว้ว่า การเขยี น หมายถึง การ
ถา่ ยทอดความรู้สกึ นึกคิด และความต้องกรของบุคคลออกมาเป็นสัญลักษณ์หรอื ตัวอกั ษรเพ่ือส่ือความหมายให้
ผูอ้ ื่นเขา้ ใจ

17

สุวัฒน์ วิวฒั นานนท์ (2551 : 69-74) ได้ให้ความหมายของการเขยี นไวว้ ่า การเขียน หมายถึง
วิธีการส่อื สารอย่างหนึง่ ของมนษุ ย์ทแ่ี สดงออกทางภาษา เป็นลายลกั ษณ์อกั ษร แสดงความรู้ ความคิด และ
ความรสู้ ึกทีม่ อี ยู่ในใจให้ผู้อื่นไดร้ ับความรู้ ความสาคัญของการเขยี น มดี ังตอ่ ไปนี

1. เปน็ เครอ่ื งแสดงออกถึงความรู้ ความคิด และความรูส้ ึกของมนุษย์
2. เป็นเครือ่ งมอื ในการวดั ความเจริญหรืออารยธรรมของมนษุ ย์ในแตล่ ะยคุ แตล่ ะสมัย
3. เป็นเครอ่ื งมือสือ่ สารทงั ในเร่อื งอดตี ปัจจุบนั และอนาคต
4. เป็นเคร่ืองทีใ่ ช้ถา่ ยทอดมรดกทางสตปิ ญั ญาของมนุษย์
5. เปน็ ส่ือท่ีช่วยกระจายความรู้
6. เปน็ ส่ือกลางทใี่ ห้ความรู้ ความคดิ และความเพลดิ เพลิน
7. เป็นงานอาชพี ที่สาคัญอย่างหนง่ึ ในปัจจุบัน
8. เป็นบนั ทกึ ทางสงั คมทใ่ี ห้คุณค่าแก่คนรนุ่ ใหมแ่ ละอนาคต
กองเทพ เคลอื บพณชิ กุล (2542 : 124-125) ได้สรุปความสาคญั ของการเขียนไว้ดงั นี
1. เป็นเครอ่ื งมอื สือ่ สารและสร้างความสัมพนั ธอ์ นั ดตี อ่ กนั ในสังคม
2. เปน็ เครื่องมอื วัดความเจริญทางด้านอารยธรรมทางภาษาของมนษุ ย์
3. เป็นเครอ่ื งถ่ายทอดทางมรดกทางสตปิ ัญญาของมนุษย์
4. เป็นอาชพี สุจรติ ที่สาคญั อยา่ งหนง่ึ ในปจั จุบัน
5. เป็นเครอ่ื งมอื ในการวิจยั ของนกั เรียนนักศกึ ษา
6. เป็นเครอ่ื งจรรโลงใจแก่สงั คมมนษุ ย์ทีจ่ ะใหค้ วามเพลิดเพลินทุกเพศทุกวัย
2.5 ประเภทของการเขยี น
สนิท สตั โยภาส (2539 : 5-7) ไดแ้ บ่งประเภทการเขียนไว้ 3 ประเภท ดงั นี
1. การคัดลายมือ มีจดุ ม่งุ หมายเพอ่ื ให้เดก็ เกิดทักษะการเขียน เขียนได้ถูกตอ้ ง สวยงาม
รวดเร็ว มีระเบียบ ประณตี และสะอาด

18

2. การเขียนไทย มีจุดมุ่งหมายเพอ่ื ใหเ้ ด็กเขยี นคาต่างๆ ไดถ้ กู ตอ้ งตามหลกั เกณฑท์ างภาษาและ
ความนิยม

3. การแต่งความ มีจดุ มงุ่ หมายเพือ่ ให้เด็กรจู้ กั ลาดับความคิดให้ต่อเน่ืองกัน พรอ้ มทังสง่ เสรมิ ใหม้ ี
ความคิดรเิ รมิ่ มจี ินตนาการ และสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาเขียนได้อย่างเป็นศลิ ปะ

วรรณี โสมประยูร (2542 : 139) ไดแ้ บ่งประเภทการเขียนไว้ ดงั นี
1. การเขียนเพือ่ แสดงความตอ้ งการ

2. การเขยี นเพอ่ื เล่าประสบการณ์
3. การเขียนเพือ่ บรรยายสง่ิ ท่ีพบเหน็
4. การเขยี นเพ่ือประโยชนใ์ นการติดตอ่ สื่อสาร
5. การเขยี นเพอื่ บนั ทึกสิง่ ที่ตอ้ งการจดจา
6. การเขยี นเพื่อรวบรวมผลการปฏบิ ัตงิ านและอ่ืนๆ
7. การเขยี นเพื่อประกาศเชิญชวนและโฆษณา
8. การเขียนบตั รเชิญและบัตรอวยพร
9. การเขียนแผนฝังและแผนที่
10. การเขียนตามความรู้สึกอย่างมีวจิ ารณญาณ

3. อักษรควบกลา้

3.1 ความสาคญั ของอกั ษรควบกล้า
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขนั พนื ฐาน (2548 : 5) กล่าวถงึ ความสาคญั ของ

อักษรควบกลา ไวว้ า่ คาที่ใชอ้ กั ษรควบกลามีลักษณะทาให้เสียงในภาษาไทยมคี วามไพเราะ และแสดงถึงความ
ประณีตของการออกเสยี งคา เพราะการออกเสียงคาควบกลาจะแตกต่างจากการออกเสยี งคาที่มพี ยัญชนะตน้ ตัว
เดยี ว เชน่ คาวา่ ฟนั กับคาวา่ ควัน หากผู้พูดไมร่ ะมัดระวงั ในการออกเสียงจะออกเสยี งผิด ทาใหค้ วามหมาย
ผดิ ไปดว้ ย และการออกเสยี งผดิ จะด้วยความพลงั เผลอหรือไม่ใส่ใจกต็ าม ย่อมแสดงถึงความไม่สนั ทดั ในการใช้
ภาษาพูด การไมร่ ะมดั ระวังการออกเสยี งอ่านหรือให้ชัดเจน นอกจากจะทาใหก้ ารส่อื ความหมายผดิ พลาดแล้ว
ยังทาให้เสยี บุคลกิ ภาพของผู้พดู หรอื ผูอ้ า่ นนนั ด้วย

19

อกั ษรควบหรอื คาควบกลา คือ พยัญชนะท่ีควบกับ ร ล ว ประสมสระเดียวกัน ออก
เสียงควบกลากันเปน็ พยางคเ์ ดยี ว โดยออกเสยี งวรรณยกุ ต์ตามพยัญชนะตวั หน้า แบ่งออกเปน็ 2 ชนดิ

1. อกั ษรควบแท้ ไดแ้ ก่ อักษรควบท่อี อกเสียงพยญั ชนะตน้ 2 ตัว ควบกลากนั ดังนี

1.1 พยญั ชนะตวั หนา้ ก ข ค ต ป พ ควบกับ ร เชน่ กราบ ขรึม ครัง เตรยี ม
โปรด พร้อม ฯลฯ

1.2 พยญั ชนะตัวหนา้ ก ข ค ผ พ ควบกับ ล เช่น กลอ้ ง ขลุย่ คล้าย เปลี่ยน
ผลกั เพลง ฯลฯ

1.3 พยัญชนะตัวหนา้ ก ข ค ควบกับ ว เช่น แกวง่ ไกว ขวักไขว่ เควง้ ควา้ ง ฯลฯ

2. อักษรควบไม่แท้ ได้แก่ อกั ษรควบท่ีออกเสียงพยัญชนะตัวหน้าเพียงตวั เดยี วหรอื ออก
เสียงเปน็ อย่างอน่ื ดงั นี

2.1 พยัญชนะตัวหน้าเปน็ จ ซ ส ศ ควบกบั ร ออกเสยี งพยัญชนะตัวหน้าไม่ ออกเสียง
ร กลา

2.2 พยญั ชนะตวั หนา้ เป็น ท ควบกับ ร ออกเสียงเป็น ซ เช่น ทรวง ทราบ
ทรดุ โทรม ฯลฯ

3.2 การอา่ นคาอักษรควบ

วเิ ชยี ร เกษประทุม (2545 : 9) กล่าวสรุปไวว้ า่ การออกเสียงพยัญชนะควบกลา ร ล ว
จะต้องรวู้ ิธอี อกเสยี งพยญั ชนะ ร ล ว แต่ละตัวใหถ้ กู ตอ้ งเสยี ก่อน ดังนี

1. เสยี ง/ร/หรอื เสียงรวั ลิน (Trill) ออกเสียงโดยการยกปลายลินขึนไปแตะปุม่ เหงอื กเบาๆ เม่ือ
กระแสลมผา่ นจดุ นี ทาให้ปลายลินสะบัดออกและกลับไปแตะปุ่มเหงือกสลบั กนั หลายๆ ครัง

2. เสยี ง/ล/หรอื เสยี งขา้ งลนิ (Laterall) เกดิ จากการกกั ลมไวต้ รงกลางของปาก คือ ยกส่วนของ
ลินแตะฐานบนให้สนทิ แล้วปลอ่ ยให้ลมผ่านออกมาดา้ นขา้ งของลนิ ขา้ งใดข้างหน่ึงหรอื ทังสองข้าง

3. เสียง/ว/หรือเสยี งริมฝีปาก-เพดานออ่ น ฐานทเ่ี กิดของเสียงนีเปน็ การเปลง่ เสยี ง

20

เมื่อออกเสียงพยัญชนะ ร ล ว แต่ละเสยี งคล่องแล้ว จึงออกเสยี งควบกลากบั พยัญชนะอืน่ เช่น กราบ ปลา
กวาง แตถ่ า้ ยังออกเสียงควบกลาไม่ได้ ใหอ้ อกเสียงโดยวิธตี ่อไปนี

1. ออกเสียงควบกลา โดยวธิ ีแยกเสยี งเป็น 2 พยางค์ เช่นคาว่า ปลา เป็น ปะ-ลา

2. ออกเสยี งควบกลาที่แยกเป็น 2 พยางค์ นันชา้ ๆ กอ่ นแล้วจงึ ทวีความเร็วขนึ จน
ออกเสียงเป็นคาควบกลาไดใ้ นท่ีสดุ เช่น

ปะ-ลา ปะ-ลา ปะ-ลา ปะลา...................ปลา

ตะ-รา ตะ-รา ตะ-รา ตะรา....................ตรา

กะ-หราบ กะ-หราบ กะ-หราบ กะหราบ..............กราบ

3.3 ปญั หาการออกเสยี งคาทีใ่ ช้ ร ล ว ควบกล้า

ปทุม หนมู า (2541 : 22) ได้กลา่ วถงึ ปัญหาการออกเสยี งควบกลาว่า เกิดขนึ ได้ทังในหมู่นักเรยี น
และผใู้ หญ่ การออกเสียงคาควบกลาไม่ชดั เจนทาใหภ้ าษาเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อใหเ้ กดิ ความสับสนทางภาษาทา
ใหส้ ่อื ความหมายไมต่ รงกัน นอกจากนยี ังทาให้ผู้พดู เสียบคุ ลิกภาพไปด้วย ความผิดพลาดในการออกเสยี งคาควบ
กลาดงั กลา่ วอาจมีสาเหตมุ าจากปญั หาดังนี

1. ปญั หาจากตัวครู ครูส่วนใหญไ่ มร่ ะมดั ระวงั ในการอ่านคาควบกลา หรือครูเหลา่ นนั อาจมา
จกครอบครวั หรอื ชุมชนทพี่ ูดภาษาอ่ืนท่อี อกเสยี งภาษาไทยไม่ชดั เจนจงึ ไมร่ ะมัดระวังในเรอื่ งนี

2. ปัญหาจากตัวเดก็ เดก็ ทีเ่ ขา้ รบั การศกึ ษาในโรงเรียนอาจมาจากครอบครัวหรือชุมชนท่ีพดู
ภาษาอ่ืนเปน็ จานวนมาก เมือ่ มาอยู่ร่วมกนั กจ็ ะมักพูดภาษาตามทอ้ งถ่นิ ของตนเอง ใช้ภาษาไทยผิดๆ เดก็ อนื่ ๆ
ก็มกั จะตามอยา่ งไปด้วย

3. ปัญหาทางสังคม เด็กทีม่ าจากครอบครัวทีย่ ากจน อยู่ในชุมชนที่พดู ภาษาไทยไมถ่ ูกต้อง
โอกาสท่จี ะใช้ภาษาอยา่ งถกู ตอ้ งกเ็ ฉพาะอยูใ่ นหอ้ งเรียนเทา่ นนั ดังนันก็มักจะพูดตามเดก็ สว่ นใหญ่

3.4 การสะกดคาอักษรควบกลา้
ศกั ดา ชยั สงคราม (2552 : 13-14) กลา่ วถงึ วธิ ีการสะกดคาอกั ษรควบ ไว้ 2 วิธกี าร ดงั นี

21

1. สะกดคาเพื่ออา่ นจะมุ่งที่เสยี งของคาดว้ ยการอ่านอกั ษรควบก่อน เช่น กร ออก

เสยี ง กรฺ อ ปฺล ออกเสียง ปฺลอ แลว้ นาเสยี ง กรอ ปลอ สะกดคา กฺรอ-ออ-งอ-กรอง ออกเสียงพยญั ชนะตน้

เป็นเสียงกลากอ่ น วิธนี ีนกั เรยี นจะออกเสียงกลาชดั เจน

2. เปน็ การสะกดคาแบบเรียงพยัญชนะตน้ จะใช้ในการสะกดคาเพื่อเขียน เชน่ กอ-รอ-อา-
บอ-กราบ ถ้าสะกดคาแบบเรยี งพยัญชนะตน้ นกั เรียนจะออกเสยี งเฉพาะพยัญชนะตัวแรก และทิงพยญั ชนะตัวท่ี
สอง ทาใหอ้ อกเสียงควบไมช่ ดั

4. เกมบิงโก

4.1 ความหมายของเกมบงิ โก

สมเดช เจรญิ ชนม์ (2541 : 6) ได้ให้ความหมายของเกมบงิ โกไว้ว่า เกมบิงโก เปน็ เครอ่ื งมือหรือ
อุปกรณส์ าคญั ในการเรยี นการสอน ท่ีช่วยให้ผเู้ รียนบรรลวุ ตั ถุประสงคไ์ ดอ้ ยา่ งถูกต้อง รวดเรว็ และมปี ระสทิ ธภิ าพ
ใชใ้ นการฝึกทกั ษะเพ่ิมเติมภายหลงั เรยี นเนือหาบางส่วน โดยสรา้ งแรงจงู ใจใหเ้ กดิ ขึนแก่ผูเ้ รียนในการพัฒนาทักษะ
ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ด้วยความสนกุ เร้าใจ

กิตตคิ ุณ รตั นเดชกาจาย (2542 : 41) ได้ให้ความหมายของเกมบงิ โกไวว้ ่า แบบฝึกท่ีสร้างขึน
ด้วยลกั ษณะและรปู แบบท่ีหลากหลาย โดยมีวัตถุประสงค์เพ่อื มงุ่ เสรมิ ทักษะตา่ งๆใหแ้ กผ่ เู้ รียนในขณะเรียนหรอื
หลังเรียนบทเรยี นจบแล้ว

กุศยา แสงเดช (2545 : 5) ไดใ้ ห้ความหมายของเกมบงิ โกไวว้ า่ เกมบิงโก คือ สอื่ การเรียน
การสอนอยา่ งหนงึ่ ท่ใี ชฝ้ กึ ทกั ษะให้กบั ผ้เู รียนหลงั จากจบเนอื หา เพือ่ ช่วยให้ผู้เรยี นเกิดการเรียนรู้ มที กั ษะ
สามารถเข้าใจบทเรียนไดด้ ียิ่งขึน

พนิ จิ จันทร์ซา้ ย (2546 : 90) ได้ให้ความหมายของเกมบงิ โกไวว้ า่ งานกิจกรรมหรือ
ประสบการณ์ท่ีผ้สู อนจดั ให้นักเรียนไดฝ้ กึ ปฏิบตั ิ เพื่อทบทวนความรูท้ เ่ี รียนมาแล้วให้สามารถนาความรทู้ ่ไี ด้ไป
ประยกุ ตใ์ ชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้

ปานดาว วาดโคกสูง (2547 : 16) ได้ใหค้ วามหมายของเกมบงิ โกไว้วา่ เกมบงิ โกหรือส่ือการ
สอนชนิดตา่ งๆ คอื เกมก็คอื สอื่ การเรยี นการสอนชนดิ หนง่ึ ทใ่ี ช้ฝกึ ทกั ษะใหก้ ับผู้เรียนหลังจากเรยี นจบเนอื หา
ในช่วงนนั ๆ เพ่อื ใหเ้ กดิ ความร้คู วามเข้าใจ รวมทังเกิดความชานาญในเร่ืองนนั ๆ อย่างกว้างขวางมากขึน

สมุ าลี กาญบรรจง (2548 : 34) แบบฝึกทกั ษะ หมายถึง เอกสารทจี่ ัดทาขนึ เพ่อื ประกอบการ
เรียนการสอน โดยใหน้ ักเรยี นฝกึ ทักษะหลังจากเรยี นเนอื หาบทเรยี นแล้ว

22

วิมลรัตน์ สนุ ทรโรจน์ (2553 : 128) ไดใ้ หค้ วามหมายของเกมบิงโกไวว้ า่ เกมบิงโก คือ สอ่ื /
เอกสารประเภทหนงึ่ ประกอบแผนการสอนท่มี เี นอื หาเป็นการฝึกทักษะความชานาญอย่างใดอย่างหนง่ึ เป็นสว่ น
เสรมิ สาหรับให้นักเรียนไดฝ้ กึ ปฏบิ ตั เิ พ่อื ให้เกิดทักษะความรู้ ความเข้าใจ และฝึกฝนความชานาญ กระบวนการ
คิด จากประสบการณ์ทไี่ ดจ้ ากกจิ กรรมการเรยี นการสอนใหม้ ที กั ษะทเี่ พมิ่ ขนึ สว่ นใหญ่จะมีเกมบิงโกจะใช้
ทบทวนเนอื หาทา้ ยบทเรียน หรอื เปน็ ส่ิงฝกึ ทค่ี รูสรา้ งขนึ ซ่งึ แบบฝึกที่ดแี ละมีประสิทธิภาพ จะชว่ ยให้ผ้เู รยี น
พฒั นากระบวนการคดิ ได้เป็นอยา่ งดี และชว่ ยให้ผ้เู รยี นประสบความสาเรจ็ ในการฝึกทกั ษะรวมทังการพัฒนาการ
เรยี นรไู้ ด้เป็นอย่างดี

สรุปได้วา่ เกมบิงโก หมายถึง ส่ือหรือเกมต่างๆทจ่ี ดั ทาขนึ เพอื่ ประกอบการเรียนการสอน
โดยใหน้ ักเรยี นฝกึ ทักษะหลงั จากเรยี นเนือหาบทเรยี นแลว้ เพือ่ ใหเ้ กิดความรูค้ วามเขา้ ใจ รวมทังเกดิ ความชานาญ
ในเรอื่ งนันๆ อย่างกวา้ งขวางมากขึน

4.2 ความสาคัญและประโยชน์ของเกมบิงโก

สุมาลี กาญบรรจง (2548 : 35) เกมบิงโกทดี่ แี ละมปี ระสทิ ธิภาพ ชว่ ยให้นกั เรียนประสบ
ผลสาเร็จในการฝึกทกั ษะไดเ้ ปน็ อย่างดี แบบฝกึ ท่ีดเี ปรยี บเสมือนผชู้ ่วยทด่ี ีของครู ทาให้ครูลดภาระการสอนลงได้
ทาให้ผเู้ รยี นสามารถพัฒนาตนเองไดอ้ ย่างเตม็ ที่ และเพ่ิมความม่ันใจในการเรียนได้เป็นอยา่ งดี

ปริศนา วงศ์อนิ (2549 : 54) ไดส้ รุปความสาคญั และประโยชน์ของเกมบิงโกไว้ว่า เกมบิงโกชว่ ย
ใหน้ ักเรียนประสบความสาเร็จในการฝึกทกั ษะได้เป็นอยา่ งดี นกั เรียนเกดความสนใจอยากทาแบบฝึกทักษะ มี
ประโยชน์ต่อครแู ละนกั เรยี น ดังนี

1. เปน็ สว่ นเพมิ่ เตมิ หรือเสริมหนงั สอื เรียน
2. ชว่ ยเสริมทกั ษะการใช้ภาษาใหด้ ขี ึน
3. ช่วยในเรอื่ งความแตกต่างระหว่างบุคคลเพราะการทน่ี กั เรียนได้ทบทวนเนอื ผา่ นเกม
บงิ โก ผู้เรยี นจะมคี วามสุขสนกุ สนานเหมาะสมตามความความสามารถของเขา จะชว่ ยใหน้ กั เรียนประสบ
ความสาเรจ็

4. เกมบิงโกช่วยเสริมทักษะให้เกิดความคงทนในการเรียน
5. ชว่ ยให้ครูมองเหน็ จุดเดน่ และจุดบกพร่องของนกั เรยี นอยา่ งชดั เจน ซง่ึ จะช่วยให้ครู
ปรบั ปรุงแกไ้ ขปัญหาได้ทนั ท่วงที

6. เกมบงิ โก จะทาให้ผเู้ รยี นมีความสุขในการเรียน แลว้ จะช่วยให้ครปู ระหยัดแรงงาน
และเวลาในการอธิบายหลายๆรอบ วมิ ลรัตน์ สุนทรโรจน์ (2553 : 128-129) ได้สรุปประโยชน์ของเกมบงิ โกไว้
ดังนี

23

1. ทาใหน้ กั เรียนเข้าใจบทเรียนไดด้ ียง่ิ ขนึ
2. ทาให้ครูทราบความเข้าใจของนักเรียนทม่ี ตี ่อการเรียน
3. ครูได้แนวทางในการพฒั นาการเรียนการสอนเพอื่ ชว่ ยให้นักเรยี นเรียนไดด้ ที ีส่ ุด
ตามความสามารถของตนเอง

4. ฝึกให้นักเรียนมคี วามเชื่อมั่น และสามารถประเมินผลงานของตนเองได้
5. ฝึกให้นกั เรียนได้ทางานด้วยตนเอง
6. ฝกึ ให้นกั เรียนมีความรับผดิ ชอบตอ่ งานทีไ่ ด้รบั มอบหมาย
7. คานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นได้ใชเ้ กมบิงโกในการ
พฒั นาตนเองโดยไมต่ อ้ งคานึงถึงเวลาหรือความกดดันอนื่ ๆ

8. เกมบิงโกชว่ ยเสรมิ ให้ทกั ษะทางภาษาคงทน ลักษณะการฝกึ ทชี่ ่วยให้เกิดผลดงั กล่าว
ไดแ้ ก่ ฝึกทันทหี ลงั จากเรยี นเนอื หา ฝึกซาๆในเร่ืองทเ่ี รียน

4.3 ลกั ษณะของเกมบงิ โกที่ดี

เกมบิงโกเป็นเครือ่ งมือสาคญั ท่ชี ่วยเสริมทางทักษะให้กบั ผู้เรียน ในการพัฒนาตนเองใหม้ ี
ประสทิ ธภิ าพจงึ จาเปน็ ตอ้ งศึกษาองค์ประกอบ และลักษณะของเกมบงิ โก เพอื่ เลอื กใช้ให้เหมาะสมกับระดับ
ความสามารถของนักเรยี น

สกุณา เปลี่ยนกลาง (2541 : 30) ได้กล่าวถึงลกั ษณะของเกมบงิ โกทด่ี ี ประกอบด้วย

1. เกมบิงโกต้องแจ่มแจง้ และแน่นอน
2. ใชภ้ าษางา่ ยเหมาะสมกับวัย
3. ควรเป็นเรอื่ งท่ีนักเรยี นไดเ้ รยี นไปแล้ว
4. ชีแจงใหน้ ักเรียนเห็นความสาคัญของเกมบงิ โก
5. ใช้เวลาท่ีเหมาะสม
6. เรา้ ความสนใจผูเ้ รยี น
7. ปัญหาในแบบฝกึ ไม่ยากเกนิ ความสนใจของผ้เู รยี น
8. นกั เรยี นรู้เคา้ โครง
9. มีให้เลอื กทงั เลือกตอบแบบจากัดและเลอื กตอบอยา่ งเสรี
10. สนองความแตกตา่ งระหว่างบคุ คล

บงั อร แก่นจันทร์ (2544 : 86) ได้อธิบายถึงลักษณะทด่ี ีของเกมบิงโกไว้ว่าจะตอ้ งคานงึ ถึง
องคป์ ระกอบหลายๆ ด้าน ตรงตามเนอื หา เหมาะสมกับวัย ความสามารถ เวลา ความสนใจและสภาพปญั หา
ของนกั เรยี น ซึ่งลกั ษณะของเกมบงิ โกที่ดีจะตอ้ งมคี ณุ สมบตั ิ ดงั นี

24

1. เกยี่ วขอ้ งกบั เร่อื งทเี่ รยี นมาแลว้
2. เหมาะกับระดับวัยหรือความสามารถของนกั เรียน
3. มีคาชีแจงสันๆ ท่ที าให้นักเรียนเขา้ ใจวิธีทาไดง้ ่ายๆ
4. ใช้เวลาทีเ่ หมาะสม
5. มีสงิ่ ท่ีนา่ สนใจและท้าทายให้แสดงความสามารถ
6. ควรมขี ้อเสนอแนะในการใช้
7. มใี ห้เลอื กตอบทังแบบจากดั และแบบเสรี
8. ควรใช้สานวนภาษางา่ ยๆ ฝกึ ให้คิดไดเ้ รว็ และสนกุ
9. ปลกุ ความสนใจและใช้หลกั จิตวิทยา
วมิ ลรตั น์ สนุ ทรโรจน์ (2553 : 129) ไดก้ ล่าวถงึ ลักษณะของเกมบงิ โกทด่ี ีควรประกอบด้วยส่งิ
ตอ่ ไปนี

1. เป็นส่ิงทนี่ ักเรียนเรียนมาแล้ว

2. เหมาะสมกบั ระดบั วัยหรอื ความสามารถของนักเรยี น

3. มีคาชแี จงสนั ๆ ที่ชว่ ยให้นกั เรยี นเขา้ ใจวธิ ที าไดง้ ่าย

4. ใชเ้ วลาที่เหมาะสม คอื ไม่นานเกนิ ไป

5. เป็นส่ิงท่นี ่าสนใจและทา้ ทายใหน้ ักเรยี นแสดงความสามารถ

6. เปิดโอกาสให้นักเรียนเลอื กทังตอบแบบจากัดและตอบอย่างเสรี

7. มคี าสงั่ หรือตัวอย่างเกมบิงโกท่ีไม่ยาวเกินไป และไม่ยากแกก่ ารเข้าใจ

8. ควรมหี ลายรปู แบบ มีความหมายแกน่ ักเรยี นทีท่ าแบบฝกึ

9. ใช้หลักจิตวทิ ยา

10. ใช้สานวนภาษาทเี่ ขา้ ใจงา่ ย

11. ฝกึ ใหค้ ิดไดเ้ ร็วและสนกุ สนาน

12. ปลกุ ความสนใจหรอื เร้าความสนใจ

13. เหมาะสมกบั วยั และความสามารถ

14. สามารถศกึ ษาไดด้ ้วยตนเอง

25

4.4 รูปแบบการสรา้ งเกม
การสรา้ งเกมรปู แบบก็เป็นสง่ิ สาคญั ในการที่จะจูงใจให้ผู้เรยี น ได้ทดลองปฏิบัตแิ บบฝึกจงึ ควรมี

รูปแบบทห่ี ลากหลาย การปรบั เปลี่ยนรปู แบบของแบบฝึกแลว้ แต่เทคนิคของแต่ละคน ซง่ึ จะเรยี งจากงา่ ยไปหา
ยากดงั นี (สนุ ันทา สนุ ทรประเสรฐิ . 2534 : 11-12 ; อ้างอิงมาจาก ปานดาว วาดโคกสงู . 2547 : 20)

1. แบบจบั คภู าพกับคา
2. แบบจับคู่ภาพกับภาพ
3. แบบอ่านคา
4. แบบจบั ฉลาก
ประทปี แสงเปยี่ มสุข (2538 : 55-56 ; อ้างอิงมาจาก สมุ าลี กาญจบรรจง. 2548 : 36-37) ได้
เสนอลกั ษณะของแบบฝึกดงั นี
1. แบบจบั คภู าพกับคา
1.1 เลือกระบายสีคาพวกเดยี วกัน
1.2 เลือกคาท่ีมีความหมายตรงกบั ข้อความ
1.3 เลอื กพยัญชนะใส่ในกลุม่ คา
1.4 เลอื กคาท่ีสะกดตวั การันต์ได้ถูกต้อง
1.5 เลือกคาพวกเดยี วกนั
1.6 ขีดเสน้ ใต้คาพวกเดยี วกนั
2. ประเภทเตมิ คา
2.1 เตมิ พยญั ชนะในคาทีก่ าหนดให้
2.2 เตมิ คาลงในขอ้ ความที่กาหนดให้
2.3 เตมิ ส่วนประกอบของคาใหเ้ ปน็ คาที่มีความหมาย
2.4 เติมคาให้มคี วามหมายตรงกับภาพ
2.5 เติมอกั ษรในชอ่ งว่างใหเ้ ปน็ คา ซงึ่ ตรงกับคาอา่ นท่ีกาหนดให้

26

3. ประเภทจับคู่
3.1 จับคู่พยางค์ของคาทีอ่ ่านตรงกนั
3.2 จับคูค่ ากับขอ้ ความท่ีมคี วามหมายตรงกัน
3.3 จับคู่คาพวกเดียวกนั

4. ประเภทสร้างคา
4.1 สร้างคาจากภาพ
4.2 สร้างคาจากภาพและส่ือความท่ีกาหนดให้
4.3 สร้างคาโดยเรียงตัวอักษรที่กาหนดให้
4.4 สร้างคาโดยกาหนดส่วนประกอบของคาบางสว่ นให้
4.5 นาคามาผสมให้เกิดคาใหม่
4.6 สร้างคาจากตัวอักษรท่สี ลับกนั อยู่

5. ประเภทสรา้ งประโยค
5.1 สร้างประโยคจากคาทกี่ าหนดให้
5.2 เลอื กคาเติมลงในประโยคใหไ้ ด้ใจความ
5.3 สร้างประโยคจากภาพทกี่ าหนดให้

6. ประเภทของคา
6.1 เขยี นคาอ่านจากคาที่กาหนดให้
6.2 เขยี นคาจากคาอ่านและความหมายท่ีกาหนดให้
6.3 แกค้ าทีเ่ ขียนสะกดผิด

7. ประเภทแยกส่วนประกอบของคา
8. ประเภทหาความหมายของคา

27

4.5 จติ วทิ ยาเกี่ยวกบั การสรา้ งแบบฝึกทักษะ

ทฤษฎที างจิตวิทยาเกย่ี วกับการเรยี นรู้ท่ีสัมพันธ์กบั การสร้างเกมบงิ โกทางการเรยี นภาษาไทยสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาประถมศึกษาแห่งชาติ (2540 : 99-101) กลา่ วถึงทฤษฎีทางจติ วิทยาที่เกย่ี วกับการ
สร้างเกมบงิ โกทีส่ าคัญ 2 ทฤษฎี คอื

1. ทฤษฎสี มั พันธเ์ ชอื่ มโยงของธอรน์ ไดค์ (Thorndike)

ธอรน์ ไดค์ (Edward L. Thorndike) เปน็ นักจิตวทิ ยาชาวอเมริกัน ได้ศกึ ษาเรือ่ งการ
เรยี นรูโ้ ดยอาศัยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ จนกาหนดเปน็ ทฤษฎีเชือ่ มโยงท่เี ปน็ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิง่ เรา้
(Stimulus) กบั การตอบสนอง (Respones) เรียกกนั ว่า ทฤษฎเี ชอ่ื มโยงระหว่างส่ิงเร้ากบั การตอบสนอง (S-R
Bend Theory) ซ่งึ กล่าวถงึ กฎการเรยี นรทู้ ีส่ าคัญ 3 ประการ

1.1 กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) เปน็ ความสาคัญของการตงั ใจ และจูงใจ
ในการเรยี นรู้ เชน่ การเตรียมตัวผู้เรยี น การเตรียมบทเรยี น มนุษย์จะทางานไดด้ เี มอื่ มี ความพรอ้ ม

1.2 กฎแห่งการฝกึ หดั (Law of Exercise) การกระทาซาๆ หรอื กระทาบอ่ ยๆ จนเกดิ

ความชานาญ

1.3 กฎแหง่ ผล (Law of Effect) รางวลั หรอื ความสมหวังทจี่ ะช่วยสง่ เสรมิ ใหผ้ เู้ รียนมี
กาลังใจในการเรยี นมากขึน

2. ทฤษฎขี องสกนิ เนอร์ (Skinner)

สกินเนอร์ (B.F.Skinner) สนใจศึกษาเร่ืองราวพฤตกิ รรมโดยอาศัยพืนฐานของธรรมชาติและ
ลักษณะของมนษุ ย์ ซึ่งมสี ิทธทิ ่เี ปน็ พืนฐานในการสรา้ งแบบฝึกเสรมิ ตอ่ จากทฤษฎี S-R ของธอรน์ ไดค์ ดังนี

2.1 เงอื่ นไขของการตอบสนอง (Operant Conditioning) พฤติกรรมของมนุษยท์ ่ี
แสดงออกจะเกิดขนึ บ่อยแค่ไหน ขึนอย่กู ับการตอบสนองอตั ราการแสดงออกของพฤติกรรม

2.2 การเสรมิ แรง (Reinforcement) เป็นส่ิงเรา้ ที่ทาให้อัตราการแสดงออกของพฤติกรรม
เปลีย่ นแปลงไปในทางที่ต้องการและพฤติกรรมบางอยา่ งออกไป

2.3 ความแตกต่างระหวา่ งบคุ คล ผู้เรียนมีความแตกตา่ งมโี อกาสแสวงหาความร้ไู ดด้ ว้ ย
ตนเอง จะช้าหรอื เรว็ ตามความสามารถของแต่ละคน

4.6 แนวคิดการสร้างเกมบิงโก

กรมวชิ าการ (2545 : 139) กล่าวถงึ แนวทางการสร้างเกมบิงโกว่า ควรดาเนินการ ดงั นี

28

1. กาหนดจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ว่าตอ้ งการให้ผู้เรยี นเกดิ การเรียนรู้และได้รบั
ประสบการณ์อะไรบา้ งจากเกมบงิ โก หรือเกมการศึกษา

2. ศึกษาผเู้ รียน โดยพิจารณาถงึ วยั และระดับชนั ความรู้ ประสบการณ์และความ
แตกต่างระหวา่ งบคุ คลเพอ่ื เปน็ ขอ้ มูลในการสรา้ งแบบฝกึ ให้เหมาะสมกบั ผ้เู รียน

3. ศกึ ษาธรรมชาติของเนือหาสาระทต่ี อ้ งการให้ผเู้ รียนเกดิ การเรียนรู้ บางเรื่องอาจมี
ลักษณะเฉพาะ บางเรอ่ื งตอ้ งเรียนร้โู ดยการปฏิบตั ใิ หเ้ รียนรไู้ ด้จริง

4. พิจารณาประโยชนแ์ ละความคุ้มคา่ ของส่อื การเรียนการสอนว่าสามารถกระตุ้นความ
สนใจ สื่อความหมาย และสร้างประสบการณ์แก่ผู้เรียนได้อย่างไร

5. หาประสิทธิภาพและปรบั ปรุงพฒั นาสอื่ ทจ่ี ดั ทาไว้ เพ่อื เป็นการประกนั คุณภาพของสอื่
ว่ามีความเหมาะสมทีจ่ ะนาไปใชพ้ ฒั นาผูเ้ รียนไดจ้ รงิ

4.7 ขน้ั ตอนการสรา้ งเกมบงิ โก

สานักคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแหง่ ชาติ (2537 : 145-146 ; อ้างอิงมาจาก วมิ ล
รัตน์ สุนทรโรจน์. 2553 : 129-130) กล่าวถึงขันตอนการสร้างเกมบิงโก ดงั นี

1. ศึกษาปญั หาและความตอ้ งการ โดยศึกษาจากการผา่ นจดุ ประสงคก์ ารเรยี นรแู้ ละผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน หากเปน็ ไปไดค้ วรศกึ ษาความต่อเนือ่ งของปญั หาในทกุ ระดับชัน

2. วเิ คราะห์เนือหาหรอื ทกั ษะที่เปน็ ปัญหาออกเป็นเนือหาหรือทักษะยอ่ ยๆ เพื่อใช้ในการสรา้ ง
แบบทดสอบและเกมบิงโกเพอ่ื ฝึกทักษะ

3. พจิ ารณาวัตถปุ ระสงค์ รูปแบบ และขันตอนการสร้างเกมบิงโก เช่น จะนาเกมบงิ โก ไปใช้
อยา่ งไร ในแต่ละชดุ จะประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง

4. สรา้ งแบบทดสอบ ซึง่ อาจมแี บบทดสอบเชงิ สารวจ แบบทดสอบเพอ่ื วนิ จิ ฉยั ขอ้ บกพร่อง
แบบทดสอบความกา้ วหนา้ เฉพาะเร่ือง เฉพาะตอน แบบทดสอบท่สี รา้ งขนึ จะตอ้ งสอดคล้องกบั เนอื หาหรือทกั ษะ
ทว่ี ิเคราะหไ์ ว้ในตอนท่ี 2

5. สรา้ งเกมบงิ โก เพอ่ื ใช้พฒั นาทักษะในแตล่ ะทกั ษะยอ่ มแตกตา่ งกนั ไป ในแต่ละเกมจะมีคาถาม
ใหน้ ักเรยี นตอบ การกาหนดรูปแบบ ขนาดของเกม เพือ่ พิจารณาตามความเหมาะสม

6. สร้างเกมบงิ โกอ้างอิงตามเนือหากจิ กรรม เพอื่ ใชอ้ ธิบายคาตอบหรือแนวทางการตอบแต่ละเร่ือง
การสรา้ งเกมบิงโกนอี าจทาเพมิ่ เติมเมอื่ ได้นาเกมบิงโกไปทดลองใชแ้ ล้ว

29

7. สรา้ งแบบบนั ทึกความก้าวหนา้ เพอื่ ใช้บันทกึ ผลการทดสอบหรือผลการเรียน โดย

จัดทาเป็นตอนเป็นเรอ่ื ง เพื่อให้เห็นความก้าวหน้าเปน็ ระยะๆ สอดคลอ้ งกบั แบบทดสอบความก้าวหนา้

8. นาเกมบิงโกไปทดลองใช้ เพื่อหาขอ้ บกพร่อง คุณภาพของเกมบิงโก และคณุ ภาพ ของ
แบบทดสอบ

9. ปรบั ปรงุ แก้ไข

10. รวบรวมเปน็ ชุด จัดทาคาชีแจง คู่มอื การใช้ สารบญั เพ่อื ใชป้ ระโยชนต์ ่อไป

4.8 หลกั ในการใชเ้ กมบิงโก

สานักคณะกรรมการการประถมศกึ ษาแห่งชาติ (2531 : 167 ; อา้ งองิ มาจาก วมิ ลรตั น์ สุนทรโรจน์.
2553 : 130-131) กลา่ วถงึ หลกั ในการใช้แบบฝึกไว้ ดงั นี

1. กอ่ นการเกมบงิ โกควรสอนให้ผู้เรียนเข้าใจเสียก่อน เพราะจะช่วยให้ผเู้ รียนเขา้ ใจและทราบ
เหตผุ ลทต่ี อ้ งใชเ้ กม การใชเ้ กมจะใช้อย่างไม่เข้าใจความหมายอาจทาใหไ้ มเ่ กิดทักษะตามเป้าหมาย

2. การเกมบงิ โกควรใหผ้ ู้เรยี นได้รับการฝึกตามขันตอนทถี่ ูกตอ้ ง ภายใตก้ ารแนะนาทีด่ ี ถ้าใช้ผิดๆ
จะทาให้เสยี เวลาเปน็ อยา่ งมากในการแก้ไข

3. ชว่ งเวลาการฝกึ สนั ๆ บอ่ ยๆ ด้วยแบบฝึกทค่ี ัดเลอื กแลว้ เป็นอยา่ งดี จะมีประสิทธิภาพกวา่ การ
ฝกึ ชว่ งยาวๆ ซ่งึ ผ้เู รียนจะเบือ่ หน่าย ไมส่ นใจ

4. กจิ กรรมการฝกึ ควรจะหลากหลาย นอกจากแบบฝกึ หดั ต่างๆ อาจใช้เกมปัญหาหรือกิจกรรม
อน่ื ๆ บ้าง

5. การฝึกอย่างมคี วามมงุ่ หมายจะเกดิ ประโยชน์มาก ถา้ ผเู้ รียนเห็นคณุ ค่าและความจาเป็นของส่ิงที่
เรียนหรอื ฝกึ โดยอาจใช้การทดสอบหรอื วธิ ีการอื่นๆ เพอื่ ชีให้เห็นผลท่ีเกดิ ขึนภายหลังการฝกึ

6. การฝึกควรสัมพนั ธ์กบั ความมีเหตุผล ขณะฝึกควรใหผ้ ู้เรยี นใช้ความคิดหาเหตุผลควบคูไ่ ปด้วย

5. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น

5.1 ความหมายของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี น

บุญชม ศรสี ะอาด (2540 : ไมม่ เี ลขหนา้ ) ได้กล่าววา่ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทาง การ
เรยี นเป็นแบบทดสอบวัดความร้ใู นวชิ าตา่ งๆ ในโรงเรยี นหรือสถานศึกษา แบบทดสอบทจ่ี ะสรา้ งหรอื พัฒนาขนึ

30

อาจใช้ประชากร เป้าหมาย ระดบั ชัน วชิ า สถานทีต่ า่ งๆ กัน เพอื่ วัดผลให้ครอบคลุมหลกั สตู รทงั หมดของวชิ า
นนั หรือเลือกวัดเนอื หาบางสว่ น

วิเชียร เกตุสิงห์ (2541 : ไม่มเี ลขหน้า) ไดก้ ล่าวว่า แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ทิ าง การเรยี น
เป็นแบบทดสอบท่ีใชว้ ดั พฤติกรรมประเภทความรู้ หรือคุณลักษณะท่ีระบุไดว้ า่ ผลการวดั ที่ไดน้ ันถกู หรือ
ผิด สามารถให้คะแนนไดต้ ามปรมิ าตรความถกู ต้องของคาตอบ

สมนกึ ภทั ทยิ ธนี (2546 : ไม่มเี ลขหนา้ ) ไดก้ ล่าววา่ แบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธท์ิ าง การ
เรียน หมายถงึ แบบทดสอบทว่ี ดั สมรรถภาพทางสมองดา้ นต่างๆ ทีน่ ักเรยี นไดร้ บั การเรยี นรู้ ท่ีผา่ นมา

5.2 คณุ ลกั ษณะทด่ี ีของแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน

บญุ ชม ศรีสะอาด (2545 : 120-122) กล่าวถึงลกั ษณะของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน
ทดี่ ีไว้ ดังนี

1. ต้องเทีย่ งตรง (Validity) หมายถงึ คุณสมบัติทจี่ ะทาให้ผู้ใชบ้ รรลุถึงวัตถุประสงค์
แบบทดสอบทมี่ ีความเที่ยงตรงสูง คอื แบบทดสอบทส่ี ามารถทาหนา้ ที่วัดในส่ิงทีเ่ ราตอ้ งการจะวัดได้อย่างถูกต้อง
ตามความมุง่ หมาย

2. ตอ้ งยุตธิ รรม (Fair) คอื โจทย์คาถามทงั หลายไมม่ ชี ่องทางแนะให้เด็กเดาคาตอบได้ ไม่เปดิ
โอกาสใหเ้ ด็กเกียจคร้านท่ีจะดตู าราแต่ตอบไดด้ ี

3. ต้องถามลกึ (Searching) วัดความลึกซึงของวิทยาการตามแนวดงิ่ มากกว่าทจ่ี ะวัดตามแนว
กว้างวา่ รู้มากนอ้ ยเพียงใด

4. ตอ้ งยว่ั ยเุ ปน็ เยี่ยงอยา่ ง (Exemplary) คาถามมลี กั ษณะทา้ ทายชักชวนให้คดิ เดก็ สอบแลว้ มี
ความอยากรเู้ พยี งใด

5. ต้องจาเพาะเจาะจง (Definite) เด็กอา่ นคาถามแลว้ ตอ้ งเข้าใจแจ่มชัดวา่ ครถู ามถงึ อะไรหรือ
ใหค้ ิดอะไร ไมถ่ ามคลมุ เครือ

6. ต้องเป็นปรนัย (Objective) หมายถึงคณุ สมบตั ิ 3 ประการ คือ

6.1 แจม่ ชดั ในความหมายของคาถาม

6.2 แจม่ ชดั ในวิธตี รวจและมาตรฐานการให้คะแนน

6.3 แจ่มชดั ในการแปลความหมายของคะแนน

31

7. ต้องมปี ระสทิ ธภิ าพ (Efficiency) คือ สามารถให้คะแนนทเี่ ทย่ี งตรง และเชือ่ ถือไดม้ ากที่สดุ
ภายในเวลา แรงงานและเงินน้อยท่สี ุดด้วย

8. ตอ้ งยากพอเหมาะ (Difficulty)

9. ต้องมีอานาจจาแนก (Discrimination) คอื สามารถแยกเด็กออกเปน็ ประเภทๆ ไดท้ ุก
ระดับ ตังแตอ่ ่อนสดุ จนถึงเก่งสดุ

10. ตอ้ งเชื่อมั่นได้ (Reliability) คอื ขอ้ สอบนนั สามารถให้คะแนนได้คงทแ่ี น่นอน ไม่แปรผัน

สถาบันพฒั นาผู้บรหิ ารสถานศึกษา (2548 : ไมม่ เี ลขหนา้ ) กลา่ วถึงลักษณะที่ดีของแบบทดสอบ
วดั ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น ดงั นี

1. มีความเท่ียงตรง คือ วัดได้ตรงประเดน็ ทตี่ ้องการ

2. มคี วามเชอ่ื ถือได้ หมายความวา่ ขอ้ สอบนันเม่อื ใชแ้ ล้วผลท่ีได้เหมือนกนั หรือใกลเ้ คยี งกนั
ทุกๆ ครังท่ใี ชส้ อบ

3. มคี วามยากง่ายพอเหมาะ คือ มีคนทาถูกและทาผดิ พอๆ กัน ขอ้ สอบทีด่ ีจะต้องไม่ยาก
หรอื งา่ ยจนเกนิ ไป

4. มีอานาจจาแนก ข้อสอบท่ดี ีจะต้องแยกนักเรียนท่เี กง่ และไม่เกง่ ออกจากกันได้ นกั เรียนเก่ง
จะต้องตอบขอ้ สอบนนั ๆ ได้มากกว่านกั เรยี นท่ไี มเ่ ก่ง

5. สามารถนาไปใชไ้ ดด้ ี คอื ดาเนนิ การสอบไดง้ ่าย ไมย่ ่งุ ยาก ซบั ซ้อน ใชเ้ วลาทดสอบพอดี
ให้คะแนนไดง้ า่ ยและรวดเรว็ มีความยุติธรรมและแปลผลไดส้ ะดวก

6. มคี วามเปน็ ปรนัย หมายความวา่ ถกู ต้องตามหลักวิชาการ มีเกณฑ์การตรวจให้คะแนน
แน่นอน นักเรยี นทกุ คนอา่ นขอ้ สอบไดเ้ ขา้ ใจความหมายตรงกนั

5.3 ขั้นตอนการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน

พชิ ิต ฤทธ์ิจรูญ (2544 : ไมม่ เี ลขหน้า) ได้กล่าวถงึ ขันตอนการสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรียน พอสรุปได้ดงั นี

32

1. การวิเคราะหห์ ลักสูตรและสร้างตารางวิเคราะหห์ ลกั สูตร

การสรา้ งแบบทดสอบ ควรเรมิ่ ตน้ ดว้ ยการวิเคราะห์หลกั สูตรและสร้างตารางวเิ คราะหห์ ลกั สูตร
เพือ่ วเิ คราะหเ์ นอื หาสาระ และพฤตกิ รรมทีต่ อ้ งการวัดซึ่งเป็นการระบจุ านวนขอ้ สอบและพฤติกรรมทต่ี ้องการวดั
ไว้

2. กาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้

จุดประสงคก์ ารเรียนรู้เปน็ พฤตกิ รรมท่เี ป็นผลการเรียนรู้ทผี่ ้สู อนม่งุ หวังจะให้เกิดกบั ผ้เู รียน ซ่งึ
ครูผูส้ อนจะตอ้ งกาหนดไว้ล่วงหน้าสาหรับเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนและสรา้ งขอ้ สอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียน

3. กาหนดชนิดของขอ้ สอบและศกึ ษาวธิ ีสร้าง

โดยการศกึ ษาตารางวเิ คราะหห์ ลักสตู รและจุดประสงคก์ ารเรยี น ผู้ออกขอ้ สอบจะตอ้ งพจิ ารณาและ
ตดั สนิ ใจเลอื กใช้ชนดิ ของข้อสอบทีจ่ ะใช้วดั ว่าจะใชแ้ บบใด โดยตอ้ งเลือกให้สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องการ
เรียนรู้ เหมาะสมกบั วัยของผ้เู รยี นแล้วศกึ ษาวธิ ีเขียนข้อสอบชนิดนันใหม้ ีความรู้ ความเข้าใจในหลักและวิธีการ
เขยี นข้อสอบ

4. เขียนข้อสอบ

ผอู้ อกข้อสอบลงมอื เขยี นข้อสอบตามรายละเอียดท่เี ขยี นไว้ในตารางวิเคราะห์หลักสูตรและให้
สอดคลอ้ งกับวตั ถุประสงค์ของการเรยี นรู้ โดยอาศัยหลกั และวธิ กี ารเขยี นขอ้ สอบทไ่ี ด้ศึกษาแล้วในขันท่ี 3

5. ตรวจทานข้อสอบ

เพือ่ ใหข้ อ้ สอบทเี่ ขียนไวใ้ นขนั ที่ 4 มีความถูกต้องตามหลักวชิ า มีความสมบรู ณ์ครบถ้วนตาม
รายละเอยี ดท่ีกาหนดไวใ้ นตารางวิเคราะห์หลกั สตู ร ผูอ้ อกขอ้ สอบตอ้ งพจิ ารณาทบทวนตรวจทานข้อสอบอีกครงั
กอ่ นท่จี ะพิมพ์และนาไปใชต้ ่อไป

6. จัดพิมพแ์ บบทดสอบฉบบั ทดลอง

เม่อื ตรวจทานข้อสอบเสร็จใหพ้ ิมพข์ ้อสอบทังหมดจัดทาเป็นแบบทดสอบฉบับทดลอง โดยมคี าชีแจง
หรอื คาอธิบายวิธตี อบแบบทดสอบ (Direction) และจดั วางรปู แบบการพมิ พ์ใหเ้ หมาะสม

7. ทดสอบและวิเคราะหข์ อ้ สอบ

การทดลองสอบและวิเคราะหข์ ้อสอบเปน็ วธิ กี ารตรวจคุณภาพของแบบทดสอบกอ่ นนาไปใช้จริง โดย
นาแบบทดสอบไปทดสอบกับกลุ่มท่ีมีลกั ษณะคล้ายคลงึ กนั กบั กลมุ่ ทีต่ อ้ งการสอนจรงิ แลว้ นาผลการสอบมา

33

วิเคราะห์และปรบั ปรงุ ข้อสอบใหม้ คี ุณภาพ โดยสภาพการปฏิบตั ิจรงิ ของการทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิในโรงเรียนมกั
ไม่คอ่ ยมกี ารทดลองสอบและวิเคราะหข์ อ้ สอบ ส่วนใหญ่นาแบบทดสอบไปใช้ทดสอบแล้วจงึ วิเคราะหข์ ้อสอบเพ่ือ
ปรบั ปรุงข้อสอบและนาไปใช้ในครงั ต่อๆไป

8. จดั ทาแบบทดสอบจริง

จากผลการวเิ คราะหข์ ้อสอบหากพบวา่ ขอ้ สอบใดไมม่ คี ุณภาพหรอื คุณภาพไม่ดอี าจจะต้องตัดทิงหรือ
ปรบั ปรงุ แก้ไขข้อสอบให้มีคุณภาพดขี นึ แลว้ จงึ จัดทาเปน็ แบบทดสอบฉบับจริงท่ีจะนาไปทดสอบกับ
กลมุ่ เปา้ หมายตอ่ ไป

บญุ ชม ศรีสะอาด (2545 : 59-61) ได้กล่าวถึงการสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธทิ์ างการเรียนแบบ
องิ เกณฑ์ไวด้ ังนี

1. การวเิ คราะหจ์ ุดประสงค์

เนอื หาขนั แรกจะตอ้ งทาการวเิ คราะหว์ า่ มีหัวขอ้ เนือหาใดบ้างท่ีตอ้ งการใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้
และที่จะตอ้ งวดั แต่ละหวั ขอ้ เหลา่ นันตอ้ งการให้ผู้เรียนเกดิ พฤตกิ รรมหรอื สมรรถภาพอะไรกาหนดออกมาให้ชดั เจน

2. กาหนดจุดประสงค์

จากขันแรกพิจารณาตอ่ ไปวา่ จะวดั พฤติกรรมยอ่ ยอะไรบ้าง อย่างละกข่ี อ้ พฤตกิ รรมดังกลา่ ว คอื
จุดประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมนน่ั เอง เม่อื กาหนดจานวนข้อทตี่ ้องการจรงิ เสร็จแล้ว ต่อมาพิจารณาวา่ จะต้องออก
ขอ้ สอบเกนิ ไว้หวั ข้อละกขี่ ้อ ควรออกเกินไวไ้ ม่ตา่ กวา่ 25 % ทังนหี ลงั จากนาไปทดลองใชแ้ ละวเิ คราะห์หา
คณุ ภาพข้อสอบรายข้อแลว้ จะตัดขอ้ ท่มี ีคณุ ภาพไม่เข้าเกณฑ์ออกขอ้ สอบทเี่ หลือจะไดไ้ มน่ อ้ ยกวา่ ข้อสอบที่
ตอ้ งการจรงิ

3. กาหนดรปู แบบของขอ้ คาถามและศึกษาวิธกี ารเขียนข้อสอบ

ขนั ตอนนีจะเหมอื นขนั ตอนที่ 2 ของการวางแผนสรา้ งข้อสอบแบบองิ กลุ่มทกุ ประการ คอื ตัดสนิ
ว่าจะใช้ข้อคาถามรูปแบบใด และศกึ ษาวิธเี ขียนข้อสอบ เช่น ศึกษาหลกั การเขียนคาถามรปู แบบนันๆ ศกึ ษาวิธี
เขยี นข้อสอบเพ่อื วดั จุดประสงคป์ ระเภทตา่ งๆ ศึกษาเทคโนโลยีในการเขียนขอ้ สอบของตน

4. เขยี นข้อสอบ

ผ้ลู งมือเขยี นข้อสอบของแตล่ ะจุดประสงค์เชิงพฤตกิ รรมตามตารางที่กาหนด จานวนขอ้ สอบของ
แต่ละจดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรมและรูปแบบเทคนิคการเขียนตามท่ีศกึ ษาในขันตอนท่ี 3

34

5. ตรวจทานขอ้ สอบ

นาขอ้ สอบที่เขยี นไว้แล้วในขันที่ 4 มาพจิ ารณาทบทวนอีกครงั โดยพิจารณาตามความถกู ต้องตาม
หลักวชิ าการแต่ละขอ้ วดั พฤตกิ รรมยอ่ ยหรอื จดุ ประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรมท่ีตอ้ งการหรอื ไม่ ตัวถกู ตวั ลวงเหมาะสม
เขา้ เกณฑ์หรอื ไม่ ทาการปรบั ปรุงให้เหมาะสมย่ิงขึน

6. ใหผ้ ้เู ช่ียวชาญพิจารณาความเท่ยี งตรงตามเนือ้ หา

นาจดุ ประสงคเ์ ชงิ พฤติกรรมและขอ้ สอบท่วี ดั แตล่ ะจุดประสงค์ไปให้ผ้เู ช่ยี วชาญด้านการวัดและด้าน
เนอื หาด้านละไม่น้อยกวา่ 3 คน พิจารณาวา่ ขอ้ สอบแต่ละข้อวัดตามจุดประสงค์ท่ีระบไุ วน้ ่นั หรือไม่ ถา้ มขี อ้ ไม่
เขา้ เกณฑ์ควรพจิ ารณาปรบั ปรุงใหเ้ หมาะสม เวน้ แต่จะไมส่ ามารถปรับปรุงใหด้ ีขึนได้อย่างชดั เจน

7. พิมพแ์ บบทดสอบฉบบั ทดลอง

นาขอ้ สอบทงั หมดท่ผี ่านการพิจารณาว่าเหมาะสมเข้าเกณฑ์ในขนั ท่ี 6 มาพิมพเ์ ปน็ แบบทดสอบมี
คาชีแจงเกยี่ วกับแบบทดสอบ วิธีตอบ จัดวางรปู แบบการพมิ พใ์ หเ้ หมาะสม

8. ทดลองใช้ วิเคราะห์คณุ ภาพและปรบั ปรงุ

9. พมิ พแ์ บบทดสอบฉบับจริง

นาแบบทดสอบที่มีอานาจจาแนกเขา้ เกณฑจ์ ากผลการวิเคราะหใ์ นขนั ที่ 8 มาพมิ พ์เปน็
แบบทดสอบฉบับจริงตอ่ ไป โดยเน้นการพมิ พ์ที่ประณีต มคี วามถูกตอ้ ง มีคาชีแจงท่ีละเอียด แจม่ ชัด ผอู้ ่าน
เข้าใจงา่ ย

6. การหาประสิทธิภาพของเครื่องมือ

เผชญิ กจิ ระการ (2544 : 49-51) ไดอ้ ธิบายไว้วา่ โดยแสดงเปน็ ค่าตัวอย่าง 80/80 ดงั นี

1. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 1 ตวั เลข 80 ตัวแรก (E1) คือ นักเรียนทงั หมดทา
แบบฝกึ หัดหรือแบบทดสอบย่อยได้คะแนนเฉล่ยี ร้อยละ 80 ถอื เปน็ ประสิทธภิ าพของกระบวนการส่วนตัวเลข 80
ตัวหลงั (E 2 ) คอื นักเรียนทงั หมดท่ที าแบบทดสอบหลงั เรียน (Posttest)ได้คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละ 80 ส่วนมากหาค่า
E1 และ E 2 ใช้สตู รดงั นี

35

 X x 100

N

E=
1
A

เมอ่ื E แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
1
 X แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบก่อนเรยี น
A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบกอ่ นเรียน
N แทน จานวนนักเรียนทังหมด

และ

E2 =  X x 100

N

B

เมอ่ื E 2 แทน ประสิทธภิ าพของกระบวนการ

 X แทน คะแนนรวมของแบบทดสอบหลงั เรยี น

B แทน คะแนนเตม็ ของแบบทดสอบหลังเรยี น
N แทน จานวนนักเรียนทังหมด

2. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายที่ 2 ตวั เลข 80 ตัวแรก (E1) คือ จานวนนกั เรยี นรอ้ ย
ละ 80 ทาแบบทดสอบหลังเรียน (Posttest) ได้คะแนนรอ้ ยละ 80 ทุกคน สว่ นตวั เลข 80 ตวั หลัง (E ) คือ

2

นักเรียนทงั หมดทาแบบทดสอบหลังเรยี นครังนนั ไดค้ ะแนนเฉลย่ี รอ้ ยละ 80

36

เช่น มนี ักเรยี น 40 คน ร้อยละ 80 ของนกั เรียนทงั หมดคอื 32 คน แตล่ ะคนไดค้ ะแนน
จากการทดสอบหลังเรยี นถงึ รอ้ ยละ 80 (E ) สว่ น 80 ตวั แรก (E ) คือผลการสอบหลังเรียนของนักเรยี นทังหมด

12

(40) คน ไดค้ ะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 80

3. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 3 ตวั เลข 80 ตัวแรก (E1) คอื จานวนนกั เรยี น
ทงั หมดทาแบบทดสอบหลงั เรยี น (Posttest) ไดค้ ะแนนเฉล่ียรอ้ ยละ 80 ส่วนตวั เลข 80 ตวั หลัง(E 2 ) คอื คะแนน
เฉลี่ยรอ้ ยละ 80 ท่นี กั เรยี นทาเพิ่มขนึ จากแบบทดสอบหลงั เรียน (Post-test)โดยเทียบกบั คะแนนท่ีทาได้ก่อนเรยี น
(Pre-test)

เฉพาะตัวเลข 80 ตวั หลงั (E ) สมมตนิ ักเรยี นทงั หมดทาแบบทดสอบก่อนเรียน(Pretest) ได้
2

คะแนนเฉล่ียรอ้ ยละ 10 แสดงว่า แตกต่างจากคะแนนเต็ม (รอ้ ยละ 100) เทา่ กับ 90 ถ้านักเรียนทังหมดทาแบบ
สอบทดหลงั เรยี น (Pro-test) ได้คะแนนเฉลยี่ ร้อยละ 85 แสดงวา่ ความแตกต่างของการสอบ 2 ครังนี (ก่อนเรียน
กับหลังเรยี น) เทา่ กับ 85-10= 75

ดังนนั ค่าของ E1 = (75/90) × 100 = 88.33% ถือว่าสูงกว่าเกณฑท์ ี่กาหนดไว้

(E 2 = 80)

4. เกณฑ์ 80/80 ในความหมายท่ี 4 ตวั เลข 80 ตัวแรก (E ) คือ นกั เรียนทังหมดทา
1

แบบทดสอบหลงั เรยี นได้คะแนนเฉลี่ยรอ้ ยละ 80 สว่ นตัวเลข 80 ตัวหลงั (E 2 ) หมายถึง นกั เรียนทังหมดทา
แบบทดสอบหลังเรียนแต่ละข้อถกู เป็นจานวนร้อยละ 80 ถา้ นกั เรยี นทาข้อสอบข้อใดถกู มจี านวนนักเรยี นไม่ถึงร้อย

ละ 80 แสดงว่า ส่ือไมม่ ีประสิทธิภาพและชีใหเ้ หน็ ว่าจุดประสงค์ทต่ี รงกับ

ขอ้ นนั มีความบกพร่อง

กลา่ วโดยสรุปว่าเกณฑ์ในการหาประสทิ ธิภาพของส่ือการเรียนรู้จะนิยมตงั เป็นตัวเลข 3
ลักษณะ คือ 80/80 85/85 90/90 ทงั นีขึนอยกู่ บั ธรรมชาติของวชิ าและเนือหาท่ีนามาสรา้ งสอ่ื นัน ถ้าเป็นวชิ าที่
ค่อนขา้ งยากกอ็ าจตังเกณฑไ์ ว้ 80/80 หรอื 85/85 สาหรบั วิชาทีม่ ีเนอื หางา่ ยกอ็ าจตังเกณฑไ์ ว้ 90/90 เป็นตน้
นอกจากนยี ังตังเกณฑเ์ ปน็ ค่าความคลาดเคล่อื นไว้เทา่ กับรอ้ ยละ 2.50 น่นั คอื ถา้ ตังเกณฑไ์ วท้ ่ี 90/90 เม่ือ
คานวณแลว้ ค่าทีถ่ อื ว่าใช้ไดค้ อื 87.5 / 87.5 หรือ 87.5 /90 เปน็ ตน้

7. การหาดัชนีประสทิ ธิผล

ดัชนีประสทิ ธิผล (Effectivemess Indeex) หมายถงึ ตัวเลขท่ีแสดงถึงความก้าวหน้าในการเรยี น
ของผเู้ รียน โดยเปรยี บเทียบคะแนนท่เี พิ่มขนึ จากคะแนนการทดสอบกอ่ นเรียนกับคะแนน

ทไ่ี ดจ้ ากการทดสอบหลงั เรียนและคะแนนเต็มหรอื คะแนนสูงสุดกบั คะแนนท่ีไดจ้ ากการทดสอบ

37

กอ่ นเรียน

เผชิญ กิจระการ (2542 : 1-6) ได้สรปุ การประเมนิ แผนการเรียนรไู้ วว้ า่ เมอ่ื มกี ารประเมนิ
แผนการเรยี นรู้และสอื่ หรือเทคโนโลยีการเรยี นรู้ที่พฒั นาขนึ มาเรามกั จะดถู งึ ประสิทธผิ ลทางด้านการสอนและการ
วัดประเมนิ ผลทางส่ือนัน ตามปกติแล้วจะเปน็ การประเมินความแตกต่างของค่าคะแนนใน 2 ลักษณะกอ็ าจจะยงั
ไมเ่ ปน็ การเพียงพอ เช่น ในกรณีการทดลองการใช้ส่ือในการเรียนการสอนครังหนง่ึ ปรากฏว่า กลมุ่ ที่ 1 การทดสอบ
กอ่ นเรยี นได้คะแนน 18% การทดสอบหลังเรียนไดค้ ะแนน 67% และกลุ่มที่ 2 การทดสอบก่อนเรียนได้คะแนน
27% การทดสอบหลงั เรียนได้คะแนน 67% ซ่ึงเม่อื นาผลการวเิ คราะหท์ างสถิตปิ รากฏวา่ คะแนนทดสอบก่อนเรยี น
และหลงั เรยี นแตกตา่ งกนั อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติ ทงั 2 กลุ่ม แตเ่ มือ่ เปรยี บเทยี บคะแนนการทดสอบหลงั เรียน
ระหวา่ งกลมุ่ ทังสองปรากฏวา่ ไมม่ คี วามแตกตา่ งกนั ซ่งึ ไม่สามารถระบไุ ดว้ ่าเกดิ ขนึ เพราะตวั แปรทดลอง
(Treatment) นัน หรอื ไม่เน่ืองจากการทดสอบทังสองกรณีนัน มีคะแนนพนื ฐาน (คะแนนทดสอบก่อนเรยี น)
แตกตา่ งกนั ซึง่ จะส่งผลถึงคะแนนการทดสอบหลังเรยี นทีจ่ ะเพม่ิ ขนึ ได้ Hovland เสนอว่า ความสัมพันธ์ของ
การทดลองจะสามารถกระทาไดอ้ ย่างถูกต้อง แน่นอนจะตอ้ งคานึงถงึ ความแตกต่างของคะแนนพนื ฐาน (คะแนน
ทดสอบก่อนเรยี น) และคะแนนที่สามารถทาไดส้ งู สุด ดัชนีประสทิ ธผิ ลจะเปน็ ตวั ชถี งึ ขอบเขตและประสทิ ธภิ าพ
สงู สุดของส่อื หรอื กล่าวอกี นัยหนึ่งได้ว่าดชั นปี ระสทิ ธิผลเป็นคา่ แสดงความก้าวหน้าในการเรียนรู้ของผูเ้ รยี น
หลงั จากไดศ้ กึ ษาตามกระบวนการเรียนรู้ที่กาหนดไวใ้ นส่ือเทคโนโลยหี รอื นวตั กรรมนนั่ เอง

สมนกึ ภทั ทยิ ธนี (2548 : 102) การหาคา่ ดัชนปี ระสิทธผิ ล นยิ มใชว้ ิธีการของ กูดแมน
(Goodman) เฟรสเซอร์ (Flecthers) และ ซไนเดอร์ (Schneider) ดงั นี

ดชั นีประสิทธิผล = ผลรวมของคะแนนหลังเรียนทุกคน – ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทกุ คน
(จานวนนักเรียน X คะแนนเตม็ ) - ผลรวมของคะแนนก่อนเรียนทุกคน

8. งานวจิ ัยท่ีเกีย่ วข้อง

นพิ าพร วงษ์ศลิ า (2545 : บทคดั ย่อ) ไดศ้ กึ ษาเกยี่ วกบั การพัฒนาแบบฝกึ ทักษะการสะกดคายากวชิ า
ภาษาไทยสาหรบั นกั เรยี นชันประถมศกึ ษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอยา่ ง คอื นักเรยี นชนั ประถมศึกษาปีท่ี 3 โรงเรยี น
บา้ นนาโปใหญ่-โคกสวุ รรณ สานกั งานการประถมศกึ ษาอาเภอเมืองมุกดาหาร จังหวัดมุกดาหาร ภาคเรียนที่ 2

38

ปกี ารศกึ ษา 2544 จานวน 30 คน เครื่องมือท่ใี ช้ คอื แบบฝกึ ทกั ษะสะกดคายาก แบบทดสอบทา้ ยแบบฝกึ
ทักษะ และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน ผลการวจิ ัยพบว่า แบบฝกึ ทักษะการสะกดคายากวชิ า
ภาษาไทยมีประสทิ ธภิ าพ 89.17/83.89 ซ่ึงสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ทีต่ ังไว้ และมคี ่าดชั นีประสิทธิผล เทา่ กบั
0.68 ซ่งึ หมายความวา่ ผู้เรยี นมคี วามก้าวหน้าทางการเรยี นเพิ่มขึนร้อยละ 68

ปยิ าภรณ์ สร้อยระย้า (2545 : บทคัดยอ่ ) ไดศ้ ึกษาค้นควา้ เร่ืองการพฒั นาแผนการจัดกจิ กรรมการ
เรียนร้โู ดยใช้แบบฝกึ ทักษะการสะกดคายากวชิ าภาษาไทย ชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ผลการวจิ ยั พบวา่ แผนการ
จดั การเรยี นรโู้ ดยใช้แบบฝึกทกั ษะการเขียนสะกดคาท่ีไม่ตรงตามมาตราตัวสะกดท่ีสร้างขนึ มปี ระสิทธิภาพ
87.70/84.13 ซ่ึงสงู กวา่ เกณฑ์ 80/80 ท่ีตังไว้ และมคี ่าดชั นปี ระสิทธิผล เท่ากบั 0.7104 ซ่งึ หมายความว่า
ผ้เู รียนมีความรูเ้ พิม่ มากขึนร้อยละ 71.04 และนกั เรียนมผี ลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนหลังเรยี นเพม่ิ ขนึ จากก่อนเรียน
อยา่ งมีนัยสาคญั ทางสถติ ิที่ระดบั .01

ชนาธิป ผลแวววาว (2548 : 73-82) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการพฒั นากิจกรรมการเรยี นรู้ โดยใช้แบบฝกึ
เสริมทกั ษะการอ่านและการเขียนสะกดคาภาษาไทย สาหรบั ชันประถมศกึ ษาปที ี่ 6 มคี วามมงุ่ หมายเพือ่ พฒั นา
กิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกเสรมิ ทักษะการอา่ นและการเขียนสะกดคาภาษาไทย สาหรบั ชันประถมศึกษา
ปที ี่ 6 ทีม่ ีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 และเพือ่ หาดชั นปี ระสิทธผิ ลของการจัดการเรียนร้ดู ้วยแบบฝึกเสริม
ทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคาภาษาไทย สาหรบั ชันประถมศึกษาปที ี่ 6 กลมุ่ ตัวอย่างที่ใช้ คือ นกั เรยี น
ชนั ประถมศึกษาปที ี่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2548 โรงเรียนบา้ นไพรพะยอม ตาบลกล้วยกวา้ ง อาเภอ
หว้ ยทบั ทัน จงั หวดั ศรสี ะเกษ จานวน 18 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ แบบฝกึ เสรมิ ทกั ษะการอา่ นและการเขยี น
สะกดคาภาษาไทย สาหรบั ชันประถมศึกษาปีท่ี 6 ท่มี ีประสิทธภิ าพ 86.67/88.33 ซงึ่ สงู กว่าเกณฑ์ท่ีตังไว้
และค่าดัชนปี ระสิทธผิ ลของแบบฝกึ เสริมทกั ษะการอ่านและการเขยี นสะกดคาภาษาไทย สาหรับชันประถมศึกษา
ปที ่ี 6 เท่ากบั 0.83

วรรณภา ไชยวัน (2549 : 69-75) ไดศ้ ึกษาเกี่ยวกบั การพัฒนาการอ่านและการเขียนภาษาไทย เรือ่ ง
อักษรควบและอักษรนา สาหรับนักเรียนชันประถมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใช้แบบฝกึ ทักษะ มคี วามมงุ่ หมายเพ่อื
พัฒนาการอา่ นและการเขียนภาษาไทย เรื่อง อกั ษรควบและอักษรนา สาหรบั นกั เรียนชันประถมศึกษาปีที่ 3
โดยใช้แบบฝึกทักษะ ตามเกณฑ์ 80/80 กลมุ่ ตัวอยา่ งทีใ่ ชใ้ นการวจิ ัย คอื นกั เรยี น ชนั ประถมศกึ ษาปที ่ี 3
โรงเรยี นผาสามยอด สานกั งานเขตพืนท่ีการศกึ ษาเลย เขต 2 ภาคเรียนที่ 2 ปกี ารศึกษา 2548 จานวน 20
คน โดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จาการวจิ ัยพบว่า แผนพฒั นาการอา่ นและการเขียน
ภาษาไทย เร่อื ง อักษรควบและอักษรนา สาหรับนกั เรียนชันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยใช้แบบฝึกทักษะ โดย
ภาพรวมและรายดา้ น คือ สาระสาคญั ผลการเรียนรูท้ ค่ี าดหวงั สาระการเรยี นรู้ กระบวนการเรยี นรู้สอื่ และ
แหลง่ การเรียนรู้ การวัดและประเมินผล มีความเหมาะสมอยใู่ นระดับมาก มปี ระสิทธิประสทิ ธภิ าพเทา่ กบั

39

85.30/87.13 และมีดัชนีประสิทธิผลของแผนการเรยี นรู้เทา่ กับ 0.7282 ซง่ึ หมายถงึ ผ้เู รียนมีความร้เู พ่ิมขนึ
คดิ เป็นร้อยละ 72.82

วลิ าวณั ย์ ธรรมชัย (2550 : บทคัดย่อ) ไดศ้ ึกษาคน้ คว้าเกย่ี วกบั การจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ภาษาไทย โดยใชแ้ ผนผังความคดิ และแบบฝกึ ทักษะด้านการอา่ นและการคดิ วเิ คราะห์ เรอื่ ง กระตา่ ยไม่ต่ืนตมู ชัน
ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 มคี วามมุง่ หมายเพอ่ื (1) เพ่อื พัฒนาแผนการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ภาษาไทยโดยใชแ้ ผนผงั
ความคิดและแบบฝกึ ทักษะ เร่ือง กระตา่ ยไม่ตน่ื ตูม ชนั ประถมศกึ ษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 (2)
เพอ่ื หาดชั นีประสิทธผิ ลการจัดกิจกรรมการเรยี นรภู้ าษาไทย โดยใช้แผนผังความคิดและแบบฝกึ ทักษะด้านการอา่ น
และการคิดวิเคราะห์ เรอื่ ง กระตา่ ยไม่ต่นื ตมู ชนั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 (3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ความสามารถด้านการอ่านจับใจความและการคิดวิเคราะห์ของนกั เรยี นชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ระหวา่ งก่อนเรียน
และหลังเรยี น กลุม่ ตวั อย่างเป็นนกั เรียนชันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2550 โรงเรยี นบา้ น
ซองแมว

สังกัดสานกั งานเขตพืนทก่ี ารศึกษาอา่ งทอง จานวน 19 คน ได้มาโดยการเลอื กแบบเจาะจง

(Purposive Sampling) ผลการวิจยั พบว่า แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ภาษาไทยโดยใชแ้ ผนผังความคิดและ
แบบฝึกทักษะดา้ นการอ่านและการคิดวเิ คราะห์ เรอ่ื ง กระต่ายไมต่ ่นื ตมู ชนั ประถมศึกษาปที ่ี 3 มีประสทิ ธิภาพ
เท่ากบั 85.47/84.73 ซึง่ สูงกว่าเกณฑท์ กี่ าหนด ดัชนีประสิทธผิ ลของแผนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรภู้ าษาไทยโดย
ใช้แผนผงั ความคดิ และแบบฝกึ ทกั ษะด้านการอ่านและการคดิ วเิ คราะห์ เร่อื ง กระต่ายไม่ต่ืนตูม ชันประถมศกึ ษาปี
ที่ 3 มคี า่ เทา่ กบั 0.6250 แสดงวา่ ผ้เู รยี นมคี วามกา้ วหนา้ ในการเรียนขนึ ร้อยละ 62.50 และนักเรยี นท่จี ัด
กจิ กรรมการเรยี นรู้โดยใช้แผนผังความคดิ และแบบฝึกทักษะด้านการอ่านและการคิดวิเคราะห์ เรอ่ื ง กระต่ายไมต่ น่ื
ตูม มีผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรียน ความสามารถด้านการอา่ นจบั ใจความและการคิดวเิ คราะหห์ ลงั เรียนเพมิ่ ขึนจาก
ก่อนเรียนอยา่ งมนี ยั สาคญั ทางสถติ ิทร่ี ะดับ .01

สาวิณี นนดะบุตร (2551 : 87-99) ได้ศกึ ษาเกี่ยวกบั ผลการจัดการเรยี นรู้ภาษาไทย
ด้านการอ่านเชิงวเิ คราะห์ของนกั เรียน ชนั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใชแ้ บบฝึกทักษะประกอบการจัดกจิ กรรมด้วย
กลมุ่ ร่วมมือแบบ STAD โดยมีความมงุ่ หมายเพือ่ หาประสทิ ธภิ าพของแผนการจัดการเรยี นรู้ภาษาไทย ดา้ น
การอ่านเชงิ วิเคราะห์ของนักเรียน ชนั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 โดยใชแ้ บบฝึกทักษะประกอบการจดั กิจกรรมด้วยกลุ่ม
ร่วมมอื แบบ STAD หาคา่ ดัชนปี ระสิทธผิ ลของแผนการจดั การเรยี นรู้ภาษาไทย ด้านการอ่านเชิงวเิ คราะห์ของ
นักเรยี น ชันมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะประกอบการจดั กจิ กรรมดว้ ยกลมุ่ รว่ มมือแบบ STAD กลมุ่
ตวั อยา่ งไดแ้ ก่ นักเรยี นชนั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3/2 โรงเรยี นท่าขอนยางพิทยาคม อาเภอกันทรวิชยั จงั หวัด
มหาสารคาม ภาคเรียนท่ี 1 ปกี ารศึกษา 2551 จานวน 36 คน โดยการสมุ่ แบบกลมุ่ ใช้หนว่ ยการสุ่มเปน็
ห้องเรียน ผลการวิจัยพบว่า แผนการจัดการเรียนรภู้ าษาไทย ดา้ นการอา่ นเชิงวิเคราะหข์ องนักเรยี น ชนั

40

มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะประกอบการจดั กจิ กรรมดว้ ยกลุ่มรว่ มมอื แบบ STAD มปี ระสิทธภิ าพ
เทา่ กบั 82.86/81/94 ซง่ึ เปน็ ไปตามเกณฑท์ ต่ี งั ไว้ และมีค่าดชั นปี ระสทิ ธิผลเท่ากบั 0.7344 แสดงว่านักเรียนมี
คะแนนหลงั เรยี นสูงกว่าก่อนเรียน คดิ เป็นร้อยละ 73.44

ศักดา ชยั สงคราม (2552 : 73-78) ไดศ้ ึกษาเกย่ี วกบั ผลการจดั กิจกรรมการเรียนร้แู บบกลมุ่
ร่วมมอื (STAD) กลุม่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย เรือ่ ง อกั ษรควบ ชันประถมศกึ ษาปที ่ี 5 โดยมีความมุ่งหมาย
เพอ่ื หาประสิทธิภาพของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบกลมุ่ ร่วมมอื (STAD) กล่มุ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย
เรอื่ ง อกั ษรควบ ชนั ประถมศึกษาปีท่ี 5 ทีม่ ปี ระสทิ ธภิ าพตามเกณฑ์ 80/80 และเพือ่ หาคา่ ดัชนีประสทิ ธิผล
ของผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบกลมุ่ รว่ มมอื (STAD) กลุ่มสาระการเรยี นรู้ภาษาไทย เรือ่ ง อกั ษรควบ
ชนั ประถมศึกษาปีที่ 5 กลมุ่ ตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจัยเป็นนักเรยี น ชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 5 โรงเรียนบ้านโพนงาม
อาเภอประทุมรัตน์ สานกั งานเขตพืนท่ีการศึกษาร้อยเอ็ด เขต 2 ภาคเรยี นที่ 2 ปีการศึกษา 2551 จานวน
20 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ผลการวจิ ยั พบว่า แผนการจัดกิจกรรม
การเรยี นรู้แบบกลมุ่ รว่ มมือ (STAD) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่ืองอกั ษรควบ ชนั ประถมศึกษาปีที่ 5 มี
ประสิทธิภาพ (E1/E2) เทา่ กบั 86.11/84.66 ซึ่งเปน็ ไปตามเกณฑ์ 80/80 ทตี่ ังไว้ และมีคา่ ดัชนีประสทิ ธิผลของ
การจดั กจิ กรรมการเรยี นรแู้ บบกลมุ่ รว่ มมือ (STAD) กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย เร่อื งอักษรควบ ชนั
ประถมศกึ ษาปีที่ 5 มคี า่ เทา่ กับ 0.73 แสดงว่า นกั เรียนมคี วามกา้ วหน้าทางการเรียนรู้เพิ่มขนึ คิดเปน็ รอ้ ยละ 73

กฤติกา เจริญยศ (2552 : 67-73) ได้ศึกษาเกีย่ วกบั การพัฒนาแผนการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

ภาษาไทย ดว้ ยกลุ่มรว่ มมือแบบ STAD โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ ดา้ นการอา่ นและการเขียนคายาก ชนั

ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 โดยมคี วามมุ่งหมาย เพ่อื หาประสิทธิภาพของแผนการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ภาษาไทย ดว้ ย

กลุ่มร่วมมือแบบ STAD โดยใชแ้ บบฝึกทกั ษะด้านการอา่ นและการเขียนคายาก ชันประถมศึกษาปีท่ี 4 ตามเกณฑ์

80/80 เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรภู้ าษาไทย ดว้ ยกลมุ่ รว่ มมอื แบบ STAD โดยใช้

แบบฝึกทกั ษะและเพอื่ ศกึ ษาความพึงพอใจของนักเรียนชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 4 ท่ีมีตอ่ การเรียนรดู้ ว้ ยการจดั

กิจกรรมการเรียนรูภ้ าษาไทย ดว้ ยกลุ่มรว่ มมือแบบ STAD โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะ กลมุ่ ตัวอย่างท่ใี ช้คือ นักเรยี นชนั

ประถมศึกษาปที ่ี 4 ภาคเรยี นที่ 2 ปกี ารศกึ ษา 2551 โรงเรยี นกดุ บากราษฎรบ์ ารุง สานักงานเขต

พืนทีก่ ารศกึ ษาสกลนคร เขต 2 จานวน 27 คน จาก 1 หอ้ งเรียน ซึ่งไดม้ าโดยการเลือกแบบเจาะจง

(Purposive Sampling) เคร่ืองมือทีใ่ ชม้ ี 3 ชนิด คอื แผนการจัดการเรยี นรู้ ภาษาไทย ด้วยกลุ่มร่วมมอื

แบบ STAD โดยใชแ้ บบฝกึ ทกั ษะ ดา้ นการอ่านและการเขียนคายาก ชันประถมศึกษาปที ี่ 4 จานวน 10 แผน ทา

การสอนแผนละ 1 ชว่ั โมง แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนภาษาไทย ชนั ประถมศึกษาปีที่ 4 ชนิด

เลือกตอบ 4 ตวั เลอื ก จานวน 30 ขอ้ มีคา่ อานาจจาแนกรายขอ้ ตงั แต่ 0.25 ถึง 0.80 มีค่าความเช่ือมนั่ ทงั ฉบบั

เทา่ กบั 0.94 และแบบวัดความพึงพอใจ แบบมาตราสว่ นประมาณคา่ 5 ระดบั จานวน 10 ข้อ มคี า่ อานาจ

จาแนกรายข้อ (rxy) ตังแต่ 0.29 ถงึ 0.84 ค่าความเชอ่ื ม่นั ทงั ฉบับเท่ากับ 0.86 สถติ ิที่ใช้ในการวิเคราะห์

41

ข้อมูล คอื ร้อยละ คา่ เฉลย่ี และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบวา่ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ภาษาไทย ด้วยกลมุ่ ร่วมมือแบบ STAD โดยใชแ้ บบฝกึ ทักษะ ด้านการอ่านและการเขียนคายาก ชนั ประถมศึกษา
ปที ่ี 4 มีประสิทธภิ าพเทา่ กบั 88.04/86.05 ซ่งึ สงู กว่าเกณฑ์ ท่ีตงั ไว้ แผนการจัดกิจกรรมการเรยี นรภู้ าษาไทย
ด้วยกลมุ่ ร่วมมือแบบ STAD โดยใช้แบบฝึกทักษะด้านการอ่านและการเขยี นคายาก มคี า่ ดัชนีประสิทธิผล เท่ากบั
0.7095 หมายถึง นกั เรยี นมคี วามก้าวหนา้ ทางการเรียนคิดเป็นรอ้ ยละ 70.95 และนักเรยี นชันประถมศึกษาปีท่ี
4 มีความพึงพอใจตอ่ การเรียนรู้ด้วยการจดั กจิ กรรมการเรียนร้ภู าษาไทย ด้วยกล่มุ ร่วมมือแบบ STAD โดยใช้แบบ
ฝึกทักษะด้านการอา่ นและการเขียนคายาก โดยรวมและรายขอ้ ทุกขอ้ อยใู่ นระดบั มาก

42

บทที่ 3

วิธีดาเนินการวิจัย

การวจิ ัยเรือ่ งการพัฒนารูปแบบการสอนด้วยการใช้กจิ กรรมเกมบิงโกในการจดั กิจกรรมการอา่ นและเขยี นคาอักษร
ควบกลากลมุ่ สาระการเรยี นร้ภู าษาไทย ตามแนว Active learning ชนั ประถมศกึ ษาปที ี่ 3 ในครังนี ผศู้ กึ ษา
ค้นคว้าได้ดาเนนิ การตามลาดบั ดงั นี

1. ประชากรและกลมุ่ ตัวอย่าง

2. เคร่ืองมือทีใ่ ชใ้ นการวิจัย

3. การสรา้ งและหาคณุ ภาพเครอื่ งมอื

4. แบบแผนการทดลองและขนั ตอนการดาเนนิ การทดลอง

5. การจัดกระทาขอ้ มลู และการวเิ คราะห์ข้อมลู

6. สถติ ิท่ีใช้ในการวิเคราะหข์ อ้ มลู

1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

ประชากร ได้แก่ นกั เรยี นชันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 โรงเรียนบ้านห้วยคล้า สานักงานเขตพืนท่ี
การศกึ ษาประถมศึกษาอา่ งทอง จานวน 19 คน

กลุม่ ตัวอยา่ ง ได้แก่ นกั เรยี นชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 โรงเรยี นบา้ นห้วยคล้า สานกั งานเขตพืนที่
การศึกษาประถมศึกษาอา่ งทอง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศกึ ษา 2565 จานวน 19 คน ได้มาโดยการเลอื กแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling)

2. เครื่องมอื ท่ใี ช้ในการวิจยั

2.1 เกมบงิ โกทกั ษะการอา่ นและเขยี นคาอักษรควบ กลุม่ สาระการเรียนร้ภู าษาไทย ชนั ประถมศกึ ษาปี
ท่ี 2 จานวน 8 ชุด

43

2.2 แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน เรอ่ื งการอ่านและเขียนคาอักษรควบ กล่มุ สาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชันประถมศกึ ษาปที ี่ 3 แบบปรนยั ชนดิ เลอื กตอบ 3 ตัวเลอื ก จานวน 20 ข้อ

3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือท่ใี ชใ้ นการวิจยั

3.1 การสรา้ งเกมบิงโก

3.1.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระและมาตรฐานการ
เรยี นรู้ ตวั ชีวดั คมู่ ือครู แบบเรยี น เนอื หาสาระ และหลักสูตรสถานศึกษาโรงเรยี นบา้ นหนองไศล กลุ่มสาระ
การเรียนร้ภู าษาไทย ชันประถมศกึ ษาปีที่ 3

3.1.2 ศึกษารายละเอยี ดการสร้างเกมบงิ โกฝึกทกั ษะการอา่ นและเขียนคาอักษรควบกลาจากเอกสาร
และงานวจิ ยั ท่เี กี่ยวขอ้ ง เพ่อื นามาเปน็ แนวทางในการสร้าง

3.1.3 วิเคราะหห์ ลักสูตร เนอื หา จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ จากคมู่ อื ครู กลมุ่ สาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชันประถมศกึ ษาปีที 3 เพ่ือหาความสมั พันธร์ ะหวา่ งเนือหาและจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

3.1.4 ดาเนนิ การสร้างเกมบิงโกเพอื่ ฝกึ ทักษะการอ่านและการเขียนคาอักษรควบกลา กลุม่ สาระการ
เรียนรู้ภาษาไทย ชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 จานวน 8 เร่ือง ดังนี

เกมบงิ โกท่ี 1 อกั ษรควบแทท้ ่ีมีพยญั ชนะต้นเปน็ ก ควบ ร ล ว

เกมบิงโกที่ 2 อักษรควบแทท้ ีม่ ีพยัญชนะต้นเปน็ ข ควบ ร ล ว

เกมบงิ โกท่ี 3 อกั ษรควบแท้ทม่ี พี ยัญชนะตน้ เปน็ ค ควบ ร ล ว

เกมบิงโกที่ 4 อกั ษรควบแทท้ ี่มพี ยญั ชนะตน้ เป็น พ ควบ ร ล

เกมบงิ โกที่ 5 อกั ษรควบแท้ทม่ี ีพยญั ชนะต้นเปน็ ป ควบ ร ล

เกมบงิ โกท่ี 6 อกั ษรควบแท้ทีม่ พี ยญั ชนะต้นเปน็ ต ควบ ร และ ผ ควบ ล

เกมบงิ โกท่ี 7 อักษรควบไม่แท้ทีม่ พี ยญั ชนะตน้ เปน็ จ ซ ศ ควบ ร แตไ่ ม่ออกเสยี ง ร

เกมบงิ โกที่ 8 อกั ษรควบไมแ่ ทท้ ม่ี พี ยัญชนะตน้ เป็น ท ควบกับ ร ออกเสียงเปน็ ซ

3.1.5 สร้างแบบประเมินเกมบงิ โก โดยใช้แบบสอบถามชนดิ มาตราสว่ นประมาณค่า 5
ระดับ (Rating Scale) ใหค้ รอบคลมุ เนือหาองค์ประกอบของแบบฝกึ ทกั ษะ โดยมีเกณฑ์ดังนี

44

เกณฑ์ ความหมาย
4.50-5.00 ความเหมาะสมอยู่ในระดบั มากท่ีสดุ
3.50-4.49 ความเหมาะสมอยู่ในระดับ มาก
2.50-3.49 ความเหมาะสมอยู่ในระดบั ปานกลาง
1.50-2.49 ความเหมาะสมอยู่ในระดบั น้อย
1.00-1.49 ความเหมาะสมอยู่ในระดบั นอ้ ยทสี่ ุด

3.1.6 นาเกมบิงโกฝึกทักษะการอ่านและเขยี นคาอกั ษรควบกลา กลุ่มสาระการเรยี นรภู้ าษาไทย ชนั
ประถมศึกษาปที ี่ 3 ท่ผี ู้วจิ ัยสรา้ งขนึ เสนอผ้เู ชี่ยวชาญ เพอ่ื ตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ความเหมาะสม ลาดับ
ขนั ตอน การนาเสนอเนือหา ภาษา ภาพประกอบ ตัวหนังสือและรูปเลม่

3.1.7 ผลการประเมินของผเู้ ชีย่ วชาญ ปรากฏว่า เกมบิงโกได้รบั ความคิดเห็นตงั แตค่ ่าเฉลีย่ 4.81 ถงึ
5.00 โดยไดค้ ่าเฉลยี่ รวมเท่ากบั 4.92 อยใู่ นระดบั เหมาะสมมากที่สดุ

3.1.8 นาแบบฝึกทักษะการอา่ นและเขียนคาอักษรควบ กลุม่ สาระการเรยี นรู้ภาษาไทย ชนั
ประถมศกึ ษาปีที่ 3 มาปรับปรงุ แก้ไขตามคาแนะนาและขอ้ เสนอแนะของผู้เช่ยี วชาญ

3.1.9 จดั พิมพ์เกมบิงโกการอา่ นและเขยี นคาอกั ษรควบกลา ท่ีปรบั ปรุงแก้ไขแลว้ เปน็ รปู เล่ม

3.1.10 นาเกมบงิ โกการอา่ นและเขียนคาอักษรควบกลา ไปทดลองใช้ (Try Out) กับ นกั เรยี นชนั
ประถมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนที่1 ปกี ารศกึ ษา 2565 โรงเรียนในกลมุ่ เครือขา่ ย ทไ่ี ม่ใชก่ ล่มุ ตัวอย่าง จานวน 15
คน เพอื่ หาประสิทธิภาพ และปรบั ปรงุ แก้ไข กอ่ นนาไปใชก้ บั กลุม่ ตวั อย่าง

3.1.11 จัดพิมพ์เกมบงิ โกฝึกทกั ษะการอ่านและเขียนคาอกั ษรควบกลา ที่ปรบั ปรุงแก้ไขแล้วเป็นฉบับ
สมบูรณเ์ พื่อนาไปใช้สอนจรงิ กับนกั เรียนชันประถมศกึ ษาปีที่ 3 โรงเรียนบา้ นหว้ ยคลา้ สานกั งานเขตพนื ท่ี
การศกึ ษาประถมศกึ ษาอา่ งทอง ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2565 จานวน 19 คน ไดม้ าโดยการเลือกแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling)

45

3.2 การสรา้ งแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรียน

การสรา้ งแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรอ่ื ง การอา่ นและเขียนคาอกั ษรควบกลา
กลุ่มสาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ชันประถมศกึ ษาปีที่ 3 ซึ่งผู้ศกึ ษาคน้ คว้าได้สร้างขันและหาคุณภาพแบบทดสอบ
ตามลาดบั ขนั ตอนดังนี

3.2.1 ศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั พืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระและมาตรฐาน
การเรียนรู้ ตัวชีวดั คู่มือครู แบบเรยี น เนอื หาสาระ และหลกั สตู รสถานศกึ ษาโรงเรียนบา้ นนาชมุ แสง กลุ่ม
สาระการเรยี นรูภ้ าษาไทย ชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3

3.2.2 ศกึ ษาทฤษฎี วิธกี ารสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน การสร้างแบบทดสอบ
แบบองิ เกณฑ์ (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 59-61)

3.2.3 กาหนดจุดประสงค์การเรยี นรแู้ ละเนือหาของเกมบิงโกฝึกทกั ษะการอ่านและเขยี นคาอักษร
ควบกลา เพอื่ นาไปสร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรยี น

3.2.4 สร้างแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรยี นเกมบงิ โกฝกึ ทักษะการอ่านและเขียนคาอักษร
ควบกลา กลมุ่ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชันประถมศึกษาปีที่ 3 เป็นแบบปรนยั ชนิดเลอื กตอบ 3 ตวั เลอื ก
จานวน 20 ข้อ

3.2.5 สร้างแบบประเมินความสอดคล้องระหวา่ งข้อสอบกบั ผลการเรยี นรทู้ ่ีคาดหวงั (IOC
= Item Objective Congruence) โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี

ให้คะแนน +1 เมอ่ื แน่ใจว่าข้อสอบนันวัดตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ให้คะแนน 0 เม่ือไม่แน่ใจวา่ ข้อสอบนันวดั ตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้

ให้คะแนน -1 เมื่อแนใ่ จวา่ ข้อสอบนนั ไม่วดั ตามจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

3.2.6 นาแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนเกมบิงโกฝึกทกั ษะการอ่านและเขยี นคา
อักษรควบกลา กลมุ่ สาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ชันประถมศึกษาปที ่ี 3 ทผ่ี วู้ ิจัยสร้างขึน จานวน 20 ขอ้ เสนอ
ตอ่ ผู้เช่ยี วชาญชุดเดมิ เพ่อื ตรวจสอบความถูกตอ้ งเหมาะสม

3.2.7 นาแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนมาปรบั ปรุงแก้ไขตามคาแนะนาและขอ้ เสนอแนะ
ของผู้เช่ยี วชาญ เลอื กข้อสอบที่มีคา่ IOC ตังแต่ 0.50-1.00 ซ่ึงเปน็ ข้อสอบท่ีอยูใ่ นเกณฑ์ความเท่ียงตรงเชงิ
เนอื หาทีใ่ ชไ้ ดไ้ ปใช้ในการทดลองตอ่ ไป

46

3.2.8 นาแบบทดสอบท่ผี ่านการพิจารณาจากผเู้ ช่ยี วชาญแล้วมาจัดพิมพ์ทกุ ขอ้ ท่เี ข้าเกณฑ์ แลว้
นาไปทดลองใช้ (Try out) กบั นกั เรียนชนั ประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศกึ ษา 2565 โรงเรียนใน
กลมุ่ เครือขา่ ย ทไี่ ม่ใชก่ ลุม่ ตัวอย่าง จานวน 15 คน เพอ่ื หาประสิทธภิ าพ และปรับปรงุ แกไ้ ข ก่อนนาไปใชก้ ับ
กลุ่มตวั อย่าง

3.2.9 วเิ คราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบ โดยหาค่าความยาก (P) และหาคา่ อานาจจาแนก
(B) เป็นรายขอ้ โดยวธิ ขี อง Brenan (สมนกึ ภัททิยธน.ี 2548 : 77-78) เลือกขอ้ สอบท่มี ีค่าอานาจจาแนก
ระหวา่ ง 0.20 ถึง 0.93 ค่าความยากตงั แต่ 0.36 ถงึ 0.72

3.2.10 นาขอ้ สอบท่เี ลอื กไวแ้ ล้ว จานวน 20 ขอ้ มาวเิ คราะหห์ าค่าความเชื่อม่ันของแบบทดสอบ
ทงั ฉบับตามวิธีของโลเวทท์ (Lovett ) (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 96) ได้ค่าความเช่ือมัน่ เทา่ กบั 0.94

3.2.11 จดั พมิ พแ์ บบทดสอบที่ผา่ นการตรวจสอบคุณภาพแล้วเป็นฉบบั สมบรู ณ์ เพอื่ เตรียมไปใชใ้ น
การทดลองจริงกบั นักเรยี นกลุ่มตวั อยา่ งตอ่ ไป

4. แบบแผนการทดลองและขน้ั ตอนการดาเนินการทดลอง

ผู้วจิ ยั ดาเนนิ การทดลองกบั นกั เรียน ซ่ึงเปน็ นกั เรยี นชนั ประถมศึกษาปที ่ี 3 โรงเรียนบ้านหว้ ยคลา้
สานกั งานเขตพืนทีก่ ารศกึ ษาประถมศึกษาอ่างทอง ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศกึ ษา 255 จานวน 15 คน ไดม้ าโดย
การเลอื กแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ตามลาดบั ขนั ตอนดังนี

4.1 แบบแผนการทดลอง

การวจิ ยั ครงั นผี ู้วจิ ัยใชก้ ระบวนการวิจยั แบบกึ่งทดลอง (Quasi Experimental Research) โดยใช้
แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ.
2538 : 248-249) ดังตาราง 1

ตาราง 1 แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design

กลุ่ม Pre-test Treatment Post-test

ทดลอง T1 X T2

T1 หมายถึง การสอบก่อนการทดลอง (Pre-test)
X หมายถงึ การสอนด้วยแผนการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้และแบบฝึกทกั ษะการอ่านและ

47

เขียนคาอักษรควบ
T2 หมายถึง การสอบหลงั เรยี น (Post-test)

4.2 ข้นั ตอนการดาเนนิ การทดลอง
4.2.1 ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ดว้ ยแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธทิ์ างการเรียน จานวน 20 ข้อ

ท่ผี ู้ศกึ ษาค้นควา้ สรา้ งขนึ ตรวจคะแนนและเก็บบันทกึ คะแนนไว้
4.2.2 ดาเนินการทดลอง โดยใช้แบบฝกึ ทกั ษะการอ่านและเขียนคาอักษรควบกลา จานวน 8 ชดุ

เกบ็ คะแนนระหว่างเรียน บันทึกคะแนนจนครบทุกเกมบิงโกฝกึ ทกั ษะ
4.2.3 ทดสอบหลงั เรียน (Post-test) ดว้ ยแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธทิ์ างการเรยี นชุดเดียวกับทท่ี ดสอบ

ก่อนเรียน จานวน 20 ข้อ ตรวจให้คะแนนและเก็บบันทกึ คะแนนไว้

5. การจดั กระทาขอ้ มลู และการวเิ คราะหข์ ้อมูล
ในการวิจัยในครังนผี ้ศู ึกษาคน้ ควา้ ไดด้ าเนินการวิเคราะห์ขอ้ มูล โดยดาเนินการจดั กระทาขอ้ มลู และ

วเิ คราะห์ข้อมลู ตามลาดับขันตอน ดงั นี
5.1 วเิ คราะห์หาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นโดยดาเนนิ การ
1. หาความเที่ยงตรงเชิงเนือหา โดยหาคา่ เฉล่ยี เพอ่ื ดดู ัชนีความสอคลอ้ ง (IOC) ระหว่าง

ข้อสอบกับจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
2. หาค่าความยาก (P) และหาคา่ อานาจจาแนก (B) เปน็ รายข้อโดยวธิ ีของ Brenan (สมนึก

ภทั ทิยธน.ี 2548 : 78)
3. หาคา่ ความเชอ่ื ม่นั ของแบบทดสอบทังฉบับโดยวธิ ีของโลเวทท์ (Lovett) (บญุ ชม

ศรสี ะอาด. 2545 : 96)
5.2 วเิ คราะห์หาประสิทธภิ าพของเกมบงิ โกฝกึ ทกั ษะการอ่านและเขียนคาอกั ษรควบกลา กลมุ่ สาระ

การเรยี นร้ภู าษาไทย ชันประถมศกึ ษาปีท่ี 3 ตามเกณฑ์ 80/80 (วาโร เพ็งสวัสด์ิ. 2546 : 43-46)

48

5.3 วเิ คราะหห์ าดชั นปี ระสิทธิผลของเกมบิงโกฝึกทักษะการอ่านและเขยี นคาอกั ษรควบกลา
กลุ่มสาระการเรียนร้ภู าษาไทย ชนั ประถมศกึ ษาปีท่ี 3 เพอื่ ดคู วามกา้ วหนา้ ของผู้เรียนโดยวิธีของ กูดแมน เฟ
รสเซอร์ และ ซไนเดอร์ (สมนึก ภทั ทิยธนี. 2548 : 102) ดงั นี

ผลรวมของคะแนนทดสอบหลังเรยี น - ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรียน
E.I. =

(จานวนนักเรียน x คะแนนเตม็ ) - ผลรวมของคะแนนทดสอบก่อนเรยี น

5.4 วิเคราะห์เปรยี บเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชันประถมศกึ ษาปที ่ี 3 โดยใชเ้ กมบงิ โก
ฝกึ ทักษะการอา่ นและเขียนคาอกั ษรควบกลา เปรียบเทยี บคะแนนก่อนเรยี นและหลงั เรียน โดยใช้ t-test
(Dependent Samples)

6. สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์ข้อมลู

6.1 สถิตทิ ีใ่ ช้ในการวิเคราะห์หาคณุ ภาพเคร่ืองมือ

6.1.1 การหาค่าความเทย่ี งตรง (Validity) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้
สูตรดชั นีค่าความสอดคลอ้ ง IOC ( วาโร เพ็งสวัสด.ิ์ 2551 : 245 )

IOC =  R

N

เมอ่ื IOC แทน ดรรชนคี วามสอดคล้องระหวา่ งจดุ ประสงคก์ ับเนอื หา

หรอื ระหว่างขอ้ สอบกบั จดุ ประสงค์

∑R แทน ผลรวมของคะแนนความคดิ เห็นของผูเ้ ช่ียวชาญ

N แทน จานวนผู้เช่ยี วชาญ

49

6.1.2 การหาค่าความยาก (Difficulty) ของแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน โดยใช้สตู ร P
(สมนึก ภทั ทยิ ธนี. 2548 : 78)

P= R
N

เมื่อ P แทน คา่ ความยากของข้อสอบ
R แทน จานวนคนตอบถกู
N แทน จานวนคนทังหมด

6.1.3 การหาค่าอานาจจาแนก (Discrimination) ของแบบทดสอบผลสัมฤทธท์ิ างการเรียน โดย
ใช้สูตร Brenan Index (สมนึก ภัททยิ ธนี. 2548 : 77)

B= U -L

N1 N2

เม่ือ B แทน คา่ อานาจจาแนก
U แทน จานวนผู้รอบรู้หรอื สอบผา่ นเกณฑ์ทต่ี อบถูก
L แทน จานวนผู้ไมร่ อบรหู้ รอื สอบไม่ผา่ นเกณฑท์ ี่ตอบถูก
N1 แทน จานวนผู้รอบรหู้ รอื สอบผา่ นเกณฑ์
N2 แทน จานวนผไู้ ม่รอบร้หู รอื สอบไมผ่ ่านเกณฑ์

6.1.4 การหาค่าความเช่อื มัน่ (Reliability) ของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรียน โดยใช้
สตู รของโลเวทท์ (Lovett) (บญุ ชม ศรีสะอาด. 2545 : 96)

50

 K 2
rcc = 1- X1  X 1

(K 1) (X1  C)2

เมื่อ rcc แทน ความเชือ่ มัน่ ของแบบทดสอบ

K แทน จานวนข้อสอบ

 X1 แทน คะแนนของนักเรยี นแตล่ ะคน

X 2 แทน ผลรวมทงั หมดของคะแนนแตล่ ะคนยกกาลงั สอง
1

C แทน คะแนนของจุดตัดแบบทดสอบ โดยใชเ้ กณฑ์

รอ้ ยละ 80 ของคะแนนเต็ม

6.2 สถิตพิ ้นื ฐาน
6.2.1 ร้อยละ (Percentage) มสี ูตร ดังนี (บญุ ชม ศรสี ะอาด. 2545 : 104)

P = Fx 100
N

เมอื่ P แทน ร้อยละ
F แทน ความถท่ี ี่ตอ้ งการแปลงใหเ้ ปน็ รอ้ ยละ
N แทน จานวนความถี่ทังหมด

6.2.2 คา่ เฉลี่ย (Mean) ของคะแนน มสี ูตร ดงั นี (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 102)

X = X

N

เม่อื X แทน ค่าเฉลี่ย


Click to View FlipBook Version