The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การปลูกฝังมโนสำนึกทางจริยธรรม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by PK.JITTICHAI MATWONG, Asst. prof., 2021-06-17 00:35:41

บทที่ 4 การปลูกฝังมโนสำนึก

การปลูกฝังมโนสำนึกทางจริยธรรม

บทที่ 4
การปลกู ฝังมโนสานกึ ทางจริยธรรม

สาระสาคัญ
การปลูกฝังมโนสานึกทางจริยธรรม ประกอบดว้ ยคาสองคารวมกนั คือ คุณธรรมและจริยธรรม ซ่ึงมี

ความสาคญั ตอ่ การพฒั นามนุษย์ เพอื่ ใหม้ ีคณุ ภาพลกั ษณะอนั นามาซ่ึงความเป็นพลเมืองท่ีดี ความประพฤติปฏิบตั ิ
ในส่ิงที่ดีงามตามคาส่ังสอนในศาสนา หรือการประพฤติตามเกณฑท์ ี่ถูกตอ้ งท้งั กาย วาจา และใจ อนั ก่อให้เกิด
ประโยชน์และความสุขท้งั ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม นามาซ่ึงความเจริญกา้ วหนา้ ของสังคม เพราะฉะน้นั จึง
จาเป็นอยา่ งยงิ่ ที่จะตอ้ งสร้างคณุ ธรรมและจริยธรรมใหเ้ กิดมีในตวั บคุ คลมากที่สุด

สาระการเรียนรู้
1. แนวคดิ เก่ียวกบั มโนสานึกทางจริยธรรม
2. ปัจจยั ท่ีมีผลตอ่ การปลกู ฝังมโนสานึกทางจริยธรรม
3. การปลกู ฝังมโนสานึกทางจริยธรรม
4. แนวทางส่งเสริมพฒั นามโนสานึกทางจริยธรรม

1. แนวคดิ เกย่ี วกบั มโนสานึกทางจริยธรรม
1.1 ความหมายของคณุ ธรรมและจริยธรรม
คนส่วนใหญ่จะเขา้ ใจว่า “คุณธรรมจริยธรรม” คาท้งั สองมีความหมายเป็ นอนั เดียว หรือมีความหมาย

เหมือนกัน ในความเป็ นจริงคาว่า คุณธรรม กับคาว่า จริยธรรม เป็ นคาท่ีแยกออกจากกันเป็ น 2 คา และมี
ความหมายที่แตกต่างกนั ออกไป

ความหมายของคุณธรรม
อุทิศ ทาหอม (2554 ) สรุปว่า คุณธรรม คือ คุณงามความดีที่อยู่ภายในจิตใจของมนุษย์ท่ี เป็นแนวทาง
ในการประพฤติปฏิบตั ิในทางที่ดีในทางท่ีชอบ เป็ นประโยชน์ต่อตนเองและสงั คม รู้จกั ผดิ ชอบชว่ั ดี ตามทานอง
คลองธรรม ไม่ทาผิดศีลธรรมอนั ดีงาม เช่น การไม่ฆ่าสัตว์ การไม่ลกั ทรัพย์ การไม่ประพฤติผิด ในกาม การไม่
พูดเทจ็ การไม่เสพสิ่งเสพติด เป็นตน คุณธรรมเป็ นเครื่องที่จะประกอบคุณงามความดีของมนุษย์ เป็นนามธรรม
ไม่ใช่เป็ นรูปธรรม เพราะเน่ืองจากมนั อยู่ในสภาพของจิตใจ ไม่ได้แสดงออกมาเป็ นการประพฤติปฏิบตั ิ แต่

93

ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ หากเราจะแสดงออกมา เรียกว่า จริยธรรม เพราะตวั จริยธรรมเป็ นการประพฤติออกมาให้
เป็นรูปธรรม ซ่ึงท้งั คุณธรรมและจริยธรรมมี ความหมายใกล้เคียงกนั แต่คนละความหมาย คุณธรรมเป็ นเรื่อง
ของความ ดีงามภายในจิตใจ แต่จริยธรรม เป็นการประพฤติหรือแสดงออกมาใหเ้ ห็น

พระครูประโชติจนั ทวิมล (นาม จนฺทโชโต) (2555) สรุปว่า คุณธรรม หมายถึง ความรู้สึก นึกคิดท่ีจะ
ประพฤติปฏิบตั ิในสิ่งที่ดีที่จะก่อใหเ้ กิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม คณุ ธรรม คือ ความดีงามในจิตใจที่ ทา
ใหบ้ ุคคลประพฤติดี ผมู้ ีคุณธรรมเป็นผมู้ ีความเคยชินในการประพฤติดี ดว้ ยความรู้สึกในทางดีงาม คณุ ธรรมเป็ น
ส่ิงท่ีตรงกนั ขา้ มกบั กิเลสซ่ึงเป็ นความไม่ดีในจิตใจ ผูม้ ี คุณธรรม จึงเป็ นผูท้ ี่ไม่มากดว้ ยกิเลสซ่ึงจะได้รับการยก
ยอ่ งวา่ เป็นคนดี

ไชยพร เรืองแหล่ (2556) ไดส้ รุปความหมายของคาว่าคุณธรรมว่า คุณธรรม หมายถึง หลกั ของความดี
งามแห่งการประพฤติตน และลกั ษณะอุปนิสัยอนั ดีงามที่สั่งสมอยู่ในจิตใจของบุคคลมาเป็ นเวลานาน มี
คุณค่าก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผยู้ ดึ ถือและปฏิบตั ิตาม อนั นามาซ่ึงความเจริญของตนเองและสังคม ซ่ึงคุณธรรมที่
เกิดข้นึ ในจิตใจน้นั เกิดจากการอบรมและปลกู ฝัง

ดรุณี โอวจริยาพิทกั ษ์ และคณะ (2557) สรุปว่า คุณธรรม หมายถึง คุณงามความดีท่ีบริสุทธ์ิ ในการคิด
ในการกระทาท่ีเป็นหลกั พ้นื ฐานประจาใจในการประพฤติปฏิบตั ิเพอื่ ความสุข ท้งั ของ ตนเองและสังคม

กล่าวโดยสรุป คุณธรรม หมายถึง สภาพหรือคุณลกั ษณะของคุณงามความดี ซ่ึงอยู่ในจิตสานึกของ
บุคคล เป็ นแรงกระตุน้ ผลกั ดนั ให้เกิดความรู้สึกผิดชอบในการประพฤติปฏิบตั ิอยู่ใน กรอบท่ีดีงามของสังคม
อีกนยั หน่ึง คือ สามารถเห็นได้จากพฤติกรรมท่ีแสดงออกทางกาย วาจา และจิตใจ เมื่อบุคคลใดประพฤติปฏิบตั ิ
ตนโดยยดึ หลกั คณุ ธรรมแลว้ ยอ่ มเกิดคณุ ค่าแก่บคุ คลน้นั ตลอดจนเป็นที่ยอมรับของสงั คมและบคุ คลทว่ั ไป

ความหมายของจริยธรรม
คาว่า จริยธรรม เป็ นคาที่มีความหมายกวา้ ง มีนักปรัชญา นักการศึกษาได้ให้ คาจากัดความ เกี่ยวกบั
จริยธรรมไว้ หลายความหมาย ดงั ต่อไปน้ี
รัตนากร วงค์ศรี และคณะ (2550) สรุปความหมายของจริยธรรม คือ การประพฤติปฏิบตั ิ ของบุคคลที่
แสดงออกถึงความดีงามท้งั ต่อตนเอง ต่อผูอ้ ่ืน และต่อสังคม เพื่อให้เกิดความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง เป็ น
ประโยชนต็ ่อสังคมและการพฒั นาประเทศชาติ
ประทีป มากมิตร (2550) ไดส้ รุปว่า จริยธรรม ก็คือ หลกั การท่ีมนุษย์ในสังคม ยอมรับว่าดีงามและเห็น
ควรยดึ ถือปฏิบตั ิ เพื่อการอยู่ร่วมกนั อยา่ งเป็นสุขในสงั คมนนั่ เอง และเมื่อนาไปใชก้ บั การประกอบอาชีพหรือการ
ทางาน ซ่ึงเป็ นกิจกรรมที่มีความสาคญั ที่สุดอย่างหน่ึงของมนุษย์ และสังคม ก็ย่อม หมายความ ว่า มนุษย์
ย่อมจะตอ้ งมีจริยธรรมในการทางานหรือการประกอบวิชาชีพ เพราะในการทางานมนุษย์ย่อมตอ้ งมีสังคมซ่ึง

94

ประกอบดว้ ยคนหลายคน มีความเช่ือและความ คิดเห็นที่ต่างกนั ดงั น้นั จึงมีความจาเป็นตอ้ งมีการวางกรอบให้
มนุษยป์ ระพฤติปฏิบตั ิไปในทิศทาง เดียวกนั เพื่อการทางานร่วมกนั อยา่ งสงบสุขและบรรลุเป้าหมายในงานน้นั ๆ

นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ (2551) ได้สรุปความหมายของจริยธรรม คือ การแสดงออก ทางการ
ประพฤติปฏิบตั ิ หรือพฤติกรรมของบุคคลในลกั ษณะท่ีดีงามถูกต้องเหมาะสม โดย สอดคลอ้ งกบั กฎเกณฑ์และ
มาตรฐานของการประพฤติปฏิบตั ิในทางสงั คม ซ่ึงบุคคลใชใ้ นการแยกการกระทาที่ถกู ตอ้ ง ออกจากการกระทา
ที่ผิด

กล่าวโดยสรุป คุณธรรมและจริยธรรมก่อให้เกิดประโยชน์ท้งั ต่อตนเอง คอื ทาให้ตนเอง มีชีวติ ที่สงบ มี
ความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตส่วนตวั และการงานอาชีพ มีความมนั่ คงกา้ วหน้า ไดร้ ับการ ยกย่องจากบุคคลทวั่ ไป
ครอบครัวอบอุ่น มีความสุข ฐานะทางเศรษฐกิจมั่นคง ประโยชน์ต่อสังคม และประเทศชาติ คือ สถาบัน
ครอบครัวได้รับการยกย่อง สถาบนั การศึกษา หรือสถาบนั อ่ืนๆ มี ช่ือเสียง ทาให้บุคคลอ่ืนศรัทธาเลื่อมใส
สถาบันหรือหน่วยงานท่ีตนเองสังกัดมีความเจริญก้าวหน้า สังคมได้รับความสงบสุขและได้รับการพฒั นา
สถาบนั ชาติ ศาสนา และพระมหากษตั ริย์ มีความ มนั่ คง ขนบธรรมเนียม ประเพณี และวฒั นธรรมอนั ดีงามของ
ชาติมีความมน่ั คงถาวร เพราะทุกคนมี ความรู้ความเขา้ ใจและเตม็ ใจยดึ ถือปฏิบตั ิตาม

ความหมายของคุณธรรมและจริยธรรม
คุณธรรมจริยธรรมเป็ นเสมือนบทบญั ญตั ิของความดีและความงามของจิตใจท่ีส่งผลให้บุคคล

ประพฤติดีประพฤติชอบดา้ นคุณธรรมจริยธรรม จึงเป็นองคป์ ระกอบท่ีมีความสาคญั ต่อการดารงชีวิต การที่จะ
ใหค้ นในสังคมมีคณุ ลกั ษณะคุณธรรมจริยธรรม อนั จะส่งผลใหค้ นในสงั คมอยรู่ ่วมกนั อยา่ งมีความสุข

คาว่า คุณธรรม ตรงกบั ภาษาองั กฤษว่า Virtue จากการศึกษาค้นควา้ เอกสาร คาว่า คุณธรรม
จริยธรรม มกั จะใช้ควบคู่กนั เสมอ คาว่า “คุณธรรม”กับคาว่า “จริยธรรม” เป็ นคาที่มีความหมาย แตกต่างกนั
คาว่า “คุณธรรม”แปลว่า ความดี มีประโยชน์ เป็ นคาที่มีความหมายเป็ นนามธรรม ส่วน คาว่า “จริย” แปลว่า
กิริยาที่ควรประพฤติ เป็ นคาท่ีมีความหมายเป็ นรูปธรรม ส่วนคาว่า “ธรรม” มี ความหมายหลายประการ เช่น
ความดี หลกั คาสอนของศาสนา หลกั ปฏิบตั ิ เมื่อนาคาท้งั สองมา รวมกนั จะไดเ้ ป็นคุณธรรมและจริยธรรม ซ่ึงมี
ผูใ้ ห้ความหมายต่าง ๆ คาว่า คุณธรรม จริยธรรม มี ความหมายใกล้เคียงกันมาก จึงมกั มีผูใ้ ช้คาสองคาน้ีไป
ดว้ ยกนั เป็ นคุณธรรมและจริยธรรม แต่คาสองคาน้ีมีความแตกต่างกนั ซ่ึงมีนกั จิตวิทยา นกั ปรัชญา และนกั การ
ศึกษา ใหค้ วามหมายไว้ ดงั น้ี

ดวงพร อุทยั สุริ (2548) ไดส้ รุปความหมายของคุณธรรมจริยธรรมว่า เป็ นการปฏิบตั ิในส่ิงท่ี ถูกตอ้ งดี
งามท่ีพึงปฏิบตั ิต่อตนเอง ต่อผูอ้ ่ืน และต่อสังคม เพื่อก่อให้เกิดความสงบสุข ความเจริญรุ่งเรือง เป็ นประโยชน์
ต่อการพฒั นาประเทศชาติ

95

นงลกั ษณ์ วิรัชชยั และคณะ (2551) ไดส้ รุปความหมายของคุณธรรมจริยธรรม คือ คุณลกั ษณะสภาวะ
หรือสภาพของคุณงามความดีท่ีบุคคลมีอยู่และแสดงออกทางความประพฤติ ปฏิบตั ิในลกั ษณะที่ดีงามถูกต้อง
เหมาะสม โดยสอดคลอ้ งกบั กฎเกณฑ์ และมาตรฐานของการ ประพฤติปฏิบตั ิในทางสังคม

สุภาพร สุขสวสั ด์ิ (2552) สรุปวา่ คณุ ธรรมจริยธรรม หมายถึง หลกั แห่งความประพฤติดี เป็นพฤติกรรม
การแสดงออกอนั เน่ืองมาจากคุณงามความดีในจิตใจ ตามหลักศีลธรรม ปรัชญา ค่านิยม ขนบธรรมเนียม
ประเพณี และวฒั นธรรม พฤติกรรมท่ีแสดงออกเป็ นไปตามความสานึก ใน จิตใจ กระทาเพราะเป็ นสิ่งที่ดีงาม
ถูกตอ้ ง ไม่ใช่เพราะมีกฎระเบียบหรือสภาพบงั คบั ให้ตอ้ งกระทา ถา้ ผูใ้ ดมีคุณธรรมในจิตใจแลว้ แสดงออกมาให้
เห็นเป็ นรูปธรรม ก็จะไดช้ ื่อว่าเป็นผูม้ ีจริยธรรมอนั งดงาม ดงั น้นั คาว่า “คุณธรรมจริยธรรม” เป็นคาที่คนส่วน
ใหญจ่ ะกล่าวควบคู่กนั อยเู่ สมอ

พระบารุง ปญฺญาพโล (โพธ์ิศรี) (2554 ) ไดป้ ระมวลคาว่า “คุณธรรม” และ “จริยธรรม” เขา้ ดว้ ยกนั ได้
เป็น “คณุ ธรรมจริยธรรม” (Moral Virtues) มีความหมายว่า เป็นการประพฤติปฏิบตั ิที่เป็ น สิ่งท่ีดีงามถูกตอ้ งตาม
มาตรฐานและเป็ นท่ียอมรับของสังคม หรืออาจจะให้ความหมายไดว้ ่า “คุณธรรมตามกรอบจริยธรรม”คณุ ธรรม
และจริยธรรมมีความสาคญั ต่อการพฒั นามนุษย์ เพ่ือให้มีคุณภาพลกั ษณะอนั นามาซ่ึงคุณธรรมจริยธรรมที่ดี
ความประพฤติปฏิบตั ิในสิ่งท่ีดีงามตามคาสั่งสอนในศาสนา หรือการประพฤติตามเกณฑ์ ที่ถูกตอ้ งท้งั กาย วาจา
และใจ อนั ก่อให้เกิดประโยชน์และความสุข ท้งั ต่อตนเองและสังคมส่วนรวม นามาซ่ึงความเจริญก้าวหน้าของ
สังคม เพราะฉะน้นั จึงจาเป็นอยา่ งยงิ่ ท่ีจะตอ้ งสร้างคุณธรรมและจริยธรรมให้เกิดในตวั บคุ คลมากท่ีสุด

ท้งั น้ี ความแตกต่างของคุณธรรมกบั จริยธรรม สรุปได้ว่า คุณธรรมมีลกั ษณะเปนนามธรรม (Abstract)
ส่วนจริยธรรมมีลกั ษณะเป็ นรูปธรรม (Concrete) แต่ท้งั 2 อย่างเสริมให้มนุษยม์ ี คุณสมบตั ิท่ีงดงามสง่า มีเสน่ห์
ในตวั ซ่ึงสิ่งเหลา่ น้ีส่วนใหญ่เป็นคณุ สมบตั ิท่ีสัมผสั ไดท้ ้งั สิ้น

กล่าวโดยสรุป “คณุ ธรรมจริยธรรม” หมายถึง หลกั แห่งความประพฤติดี เป็นพฤติกรรม การแสดงออก
อนั เน่ืองมาจากสภาพคุณงามความดีในจิตใจ ตามหลกั ศีลธรรม ปรัชญา ค่านิยม ขนบธรรมเนียม ประเพณีและ
วฒั นธรรม พฤติกรรมที่แสดงออกเป็ นไปตามความสานึกในจิตใจ กระทา เพราะเป็ นส่ิงที่ดีงามถูกตอ้ ง ไม่ใช่
เพราะมีกฎระเบียบหรือสภาพบงั คบั ให้ตอ้ งกระทา ถ้าผูใ้ ด มีคุณธรรมในจิตใจแล้วแสดงออกมาให้เห็นเป็ น
รูปธรรม ก็จะไดช้ ่ือเป็นผมู้ ีจริยธรรมอนั งดงาม ดงั น้นั คาวา่ “คณุ ธรรมจริยธรรม” เป็นคาท่ีคนส่วนใหญ่ จะกล่าว
ควบคู่กนั อยเู่ สมอ

1.2 ความสาคัญของคุณธรรมจริยธรรม
ผทู้ รงคุณวฒุ ิหลายท่านไดก้ ล่าวถึงความสาคญั ของคุณธรรมจริยธรรม ดงั น้ี

96

ปราณี ปริยวาที (2551) ไดส้ รุปว่า จริยธรรมช้วยปูพ้ืนฐาน ความรู้ ความเขา้ ใจและ ความรู้สึกท่ีดีให้กบั
เด็ก นอกจากน้ี ยงั เป็นแนวทางให้เด็กเลือกปฏิบตั ิไดถ้ ูกตอ้ ง จริยธรรมมี ความสาคญั สาหรับเด็กปฐมวยั ในการปู
พ้ืนฐานลกั ษณะอนั ดีงามใหก้ บั เดก็ ควรใหเ้ ดก็ เกิดความรู้ ความเขา้ ใจท่ีจะนาไปปฏิบตั ิใหเ้ กิดเป็นนิสยั

ธีราพร กุลนานนั ท์ (2554 อา้ งถึงใน ปราณี ปริยวาที ,2551) ไดก้ ล่าวถึง การพฒั นาเดก็ มี 3 ดา้ น คอื
1. ด้านพุทธิปัญญา (Cognitive Domain) ได้แก่ การเกิดความรู้ ความเข้าใจว่าสิ่งใดดี ส่ิงใด

ถูกตอ้ ง สิ่งใดควรทา สิ่งใดควรยกเวน้
2. ดา้ นจิตพิสัย (Affective Domain) ไดแ้ ก่ การเกิดความรู้สึกโน้มเอียงทางอารมณ์ ท่ีสะทอ้ น

ออกมาในลกั ษณะทางการชอบ ไม่ชอบ อย่างเห็นความสาคญั เต็มใจรับค่านิยมเป็ นแนวทางประพฤติปฏิบตั ิจน
เป็ นนิสยั

3. ดา้ นทกั ษะพิสัย (Psychomotor Domain) ไดแ้ ก่ ความสามารถท่ีจะลงมือปฏิบตั ิด้วยกาย หรือ
วาจา ในลกั ษณะนิสยั ทางจริยธรรม

พระมหาณัฐพล ดอนตะโก (2551) กล่าวว่า คุณธรรมเป็ นพ้ืนฐานของการเกิดจริยธรรม ค่านิยมท่ี
เหมาะสม ตลอดจนความสุขความพอใจ คุณธรรมสร้างคนดีและความดี เป็ นปัจจัย ส่งเสริมวินัยของคน
เช่นเดียวกบั ท่ีธรรมเป็นเครื่องส่งเสริมศีลในทางศาสนา วนิ ยั น้นั เป็นมาตรการ บงั คบั ภายนอก ไม่มีอานาจบงั คบั
ภายในจิตใจ ส่วนคุณธรรมเป็ นคุณลกั ษณะท่ีเกิดข้ึนภายในจิตใจ จึงจาเป็ นตอ้ งสร้างคุณธรรมให้มีในจิตใจ
ขา้ ราชการโดยเหมาะสมแก่การเป็นขา้ ราชการ การบริหาร ราชการและ การส่งเสริมวินยั ขา้ ราชการ

กล่าวโดยสรุป ความสาคญั ของคุณธรรมจริยธรรม คือ เป็ นพ้ืนฐานที่สาคญั ของมนุษย์ โดย ควรปลูกฝัง
ดา้ นจริยธรรมเพื่อให้เขาเหล่าน้นั เป็นมนุษยท์ ่ีสมบูรณ์ท้งั ร่างกายและจิตใจ มีความรู้ ความสามารถ พร้อมที่จะ
ประพฤติปฏิบตั ิตนในการประกอบอาชีพ

ลกั ษณะของจริยธรรม
จริยธรรมส่วนใหญ่จะเป็นคาสอนที่เก่ียวกบั ศาสนา หรือเป็ นกฎเกณฑ์ทางสังคม ซ่ึงข้ึนอยู่กบั เง่ือนไข
และองคป์ ระกอบหลายประการ มีลกั ษณะดงั น้ี
ธนเศรษฐ์ จาปางาม (2542 อา้ งถึงใน ไชยพร เร่ืองแหล่,2556) ไดแ้ บ่งลกั ษณะต่างๆของมนุษยท์ ี่เก่ียวขอ้ ง
กบั จริยธรรม คือ

1. ความรู้เชิงจริยธรรม หมายถึง การท่ีบุคคลมีความรู้ว่าในสังคมตนน้นั ถือว่าการกระทา ชนิด
ใดดี ควรกระทาการกระทาใดเลว ควรงดเว้น และรู้ลักษณะและพฤติกรรมประเภทใดเหมาะสมหรือไม่
เหมาะสมมากน้อยเพียงใด ปริมาณความรู้เชิงจริยธรรมข้ึนอยู่กับอายุ ระดับ การศึกษา และพฒั นาการทาง
สติปัญญาของบคุ คลดว้ ย

97

2. ทศั นคติเชิงจริยธรรม หมายถึง ความรู้สึกของบุคคลเกี่ยวกบั ลกั ษณะหรือพฤติกรรม เชิง
จริยธรรมต่าง ๆ ว่าตนชอบหรือไม่ชอบลกั ษณะน้ัน ๆ เพียงใด ทศั นคติเชิงจริยธรรมของบุคคล ส่วนมากจะ
สอดคลอ้ งกบั ค่านิยมของสงั คมน้นั แต่บุคคลในสถานการณ์ปกติอาจมีทศั นคติต่างไปจากค่านิยมของสงั คมกไ็ ด้
ทศั นคติเชิงจริยธรรมน้ันจะรวมท้งั ความรู้และความรู้สึกในเร่ืองน้นั ในช่วงเวลาหน่ึง อาจเปล่ียนแปลงไปจาก
เดิมได้

3. เหตผุ ลเชิงจริยธรรม หมายถึง การท่ีบุคคลใหเ้ หตุผลในการเลือกท่ีจะไม่กระทาหรือ เลือกท่ี
จะกระทาพฤติกรรมอย่างใดอย่างหน่ึงในสถานการณ์น้ัน ๆ เหตุผลดังกล่าวจะช่วยให้ทราบ เหตุจูงใจที่อยู่
เบ้ืองหลงั การกระทาของบุคคล ซ่ึงการกระทาบางอย่างอาจขดั กบั ความรู้สึกของบุคคลส่วนใหญ่ ท้งั น้ี ข้ึนอยกู่ บั
เหตผุ ลและสถานการณ์เป็นลาดบั

4. พฤติกรรมเชิงจริยธรรม หมายถึง การท่ีบุคคลแสดงพฤติกรรมท่ีสังคมยอมรับ เช่น การให้
ทาน การเสียสละ การช่วยเหลือผูอ้ ่ืน เป็ นตน้ ส่วนพฤติกรรมเชิงจริยธรรมซ่ึงเกิดข้ึนในสภาพท่ีบุคคลถูกยว่ั ยใุ ห้
กระทาผิดกฎเกณฑ์ เพ่ือประโยชน์ส่วนตน เช่น การโกง การกล่าวเท็จ ซ่ึงเป็ น พฤติกรรมท่ีจะไม่เกิดข้ึนในผทู้ ่ีมี
จริยธรรมสูง พฤติกรรมเชิงจริยธรรมเป็ นสิ่งที่สังคมให้ความสาคญั มากกว่าจริยธรรมประเภทอ่ืน ๆ เพราะการ
กระทาในทางท่ีดีและเลวของบคุ คลย่อมส่งผลโดยตรงต่อความผาสุกและความทกุ ขร์ ้อนของสังคม

รณชยั บุญลือ (2548) ไดแ้ บ่งจริยธรรมออกเป็น 2 ลกั ษณะ คือ
1.ดา้ นความรู้ความคิด ไดแ้ ก่ ความรู้ เจตคติ และเหตุผลเชิงจริยธรรม โดยสิ่งเหล่าน้ีเป็นสิ่ง ท่ีอยู่

ในตวั ของบุคคล ซ่ึงไม่สามารถมองเห็น ตอ้ งใชเ้ ครื่องมือวดั วา่ บุคคลน้นั มีส่ิงเหล่าน้นั มากนอ้ ยเพียงใด
2.ดา้ นพฤติกรรมหรือการกระทาเป็ นการแสดงพฤติกรรมซ่ึงเป็ นสิ่งท่ีสังคมให้ความสาคัญ

มากกว่าดา้ นความรู้ความคิด เพราะสามารถสังเกตการณ์กระทาเหล่าน้นั ได้ โดยตรงและสามารถบอกได้อย่าง
มนั่ ใจวา่ บคุ คลน้นั มีพฤติกรรมหรือการกระทาเชิงจริยธรรมดา้ นน้นั ๆ มากนอ้ ยเพียงใด

คณะกรรมการโครงการการศึกษาจริยธรรมไทย (อ้างถึงใน ชยั นนท์ นิลพฒั น์,2555) ไดส้ รุปโครงสร้าง
ของคณุ ลกั ษณะของจริยธรรมไวด้ งั น้ี

1. ความรับผดิ ชอบ หมายถึง ความมุ่งมน่ั ต้งั ใจท่ีจะทาการปฏิบตั ิหนา้ ที่ดว้ ยความผกู พนั ดว้ ย
ความพากเพียรและความละเอียดรอบคอบ ยอมรับผลการกระทาในการปฏิบตั ิหน้าที่เพ่ือให้บรรลุผลสาเร็จตาม
ความมุ่งหมาย ท้งั พยายามท่ีจะปรับปรุงการปฏิบตั ิหนา้ ที่ใหด้ ียง่ิ ข้นึ

2. ความซ่ือสัตย์ หมายถึง การประพฤติปฏิบัติอย่างเหมาะสม และตรงต่อความเป็ นจริง
ประพฤติปฏิบตั ิอยา่ งตรงไปตรงมา ท้งั กาย วาจา ใจ ต่อตนเองและผอู้ ื่น

98

3. ความมีเหตุผล หมายถึง ความสามารถในการใช้ปัญญาในการประพฤติปฏิบัติ รู้จัก
ไตร่ตรอง พิสูจน์ให้ประจกั ษ์ ไม่หลงงมงาย มีความยบั ย้งั ชงั่ ใจ โดยไมผ้ ูกพนั กบั อารมณ์และความ ยึดมน่ั ของ
ตนเองที่มีอยเู่ ดิม ซ่ึงอาจผดิ ได้

4. ความกตญั ญกู ตเวที กตญั ญู หมายถึง ความสานึกในการอปุ การคณุ หรือบุญคุณท่ีผูอ้ ่ืน หรือ
ส่ิงอื่นมีต่อเรา กตเวที หมายถึง การแสดงออกและการตอบแทนบญุ คณุ ดงั น้นั ความกตญั ญู กตเวที จึงหมายถึง
ความรู้ บญุ คุณและตอบแทนบญุ คุณต่อคนอ่ืน และสิ่งอ่ืนที่มีบญุ คุณ

5. การรักษาระเบียบวินยั หมายถึง การควบคุมความประพฤติปฏิบตั ิให้ถูกตอ้ งและ เหมาะสม
กบั จรรยามารยาท ขอ้ บงั คบั ขอ้ ตกลง กฎหมาย และศีลธรรม

6. ความเสียสละ หมายถึง การละความเห็นแก่ตวั การให้แก่คนที่ควรให้ดว้ ยกาลงั กาย กาลงั
ทรัพย์ กาลงั สติปัญญา รวมท้งั การรู้จกั สลดั อารมณ์ร้ายในตนเองดว้ ย

7. ความสามัคคี หมายถึง ความพร้อมเพรียงเป็ นหน้าหน่ึงใจเดียวกัน ร่ วมมือกันกระทา
กิจการใหส้ าเร็จลุล่วงดว้ ยดี โดยเห็นแก่ประโยชนส์ ่วนรวมมากกวา่ ส่วนตน

8. การประหยดั หมายถึง การใช้สิ่งท้งั หลายพอเหมาะพอควรให้ไดป้ ระโยชน์มากที่สุดไม่ยอม
ใหม้ ีส่วนเกินมากนกั รวมท้งั การรู้จกั ระมดั ระวงั รู้จกั ยบั ย้งั ความตอ้ งการให้อยใู่ นกรอบและ ขอบเขตที่พอเหมาะ
พอควร

9. ความยุติธรรม หมายถึง การปฏิบัติด้วยความเท่ียงตรงสอดคล้องกับความเป็ นจริง และ
เหตุผลที่พอเหมาะพอควร

10.ความอตุ สาหะ หมายถึง ความพยายามอย่างเขม้ แขง็ เพ่ือใหเ้ กิดความสาเร็จในการงาน
11. ความเมตตา-กรุณา เมตตา คือ ความรักใคร่ ปรารถนาจะให้ผูอ้ ่ืนเป็ นสุข กรุณา คือ ความ
สงสารคิดจะช่วยใหผ้ อู้ ื่นพน้ ทกุ ข์
กล่าวโดยสรุป ลกั ษณะของจริยธรรม คือ การประพฤติปฏิบตั ิของตนเองในด้านความรับผิดชอบ ความ
ซื่อสัตย์ ความมีเหตุผล ความกตญั ญูกตเวที การรักษาระเบียบวินัย ความเสียสละ ความสามคั คี การประหยดั
ความยุติธรรม ความอุตสาหะ และความเมตตากรุณา เพ่ือให้เกิดความ เจริญแก่ตนเองและส่วนรวม ส่งเสริม
ความสัมพนั ธ์อนั ดีระหวา่ งเพอื่ นมนุษยใ์ นสังคมเดียวกนั

1.3 ทฤษฎีทเี่ กย่ี วข้องกบั คณุ ธรรมจริยธรรม
ทฤษฎีพฒั นาการทางคุณธรรมจริยธรรมของเพยี เจต์ (Piaget)
ดวงเดือน พันธุมนาวิน (2524 อ้างถึงใน ดวงพร อุทัยสุริ ,2548) ได้กล่าวถึงทฤษฎีพฒั นาการ ทาง
คณุ ธรรมจริยธรรมของเพยี เจต(์ Piaget) พบวา่ พฒั นาการทางคุณธรรมจริยธรรมของมนุษย์ ข้ึนอยกู่ บั ความฉลาด

99

ในการรับรู้ กฎเกณฑ์ และลกั ษณะต่าง ๆ คือ พฒั นาการทางคุณธรรมจริยธรรม ของมนุษย์ ข้ึนอยู่กบั พฒั นาการ
ทางสติปัญญาของบคุ คลนน่ั เอง ซ่ึงเพยี เจต์ ไดแ้ บ่ง พฒั นาการทาง สติปัญญาไว้ 4 ข้นั คือ

1. ข้นั รับรู้จากประสาทสัมผสั และการเคลื่อนไหว (sensor motor Operation) เป็ นระยะ ต้งั แต่
แรกเกิด-2 ปี เด็กจะรับรู้ทางประสาทสัมผสั อย่างง่ายๆ ทาให้เกิดการพฒั นาการทางสติปัญญา และความนึกคิด
เดก็ จะมีโครงสร้างทางความคดิ จากส่ิงที่พบเห็นและจากสิ่งที่สมั ผสั

2.ข้นั ความคิดก่อนปฏิบตั ิการ (pre - operational thinking) ช่วงอายุ 2 - 7 ปี เด็กเร่ิมใชภ้ าพ แทน
วตั ถุและเหตุการณ์ สามารถเลียนแบบคนอื่นได้ และพฒั นาอย่างรวดเร็ว สามารถใช้ภาษา ติดต่อทางสังคมได้
อย่างกวา้ งขวาง และเร่ิมพฒั นาความคิดเชิงตรรกศาสตร์ ความคิดส่วนใหญ่ตอ้ ง เกิดจากการรับรู้จากประสาท
สัมผสั

3. ข้ันปฏิบัติการด้วยรู ปธรรม (concrete operational thinking) ช่วงอายุ 7 - 11 ปี เด็กจะมี
ความคิดเชิงตรรกศาสตร์ ในส่ิงท่ีมองเห็นและจบั ต้องได้และคน้ หาความจริงเกี่ยวกับวตั ถุและสิ่งแวดลอ้ ม
เป็ นแบบแผน

4.ข้นั ปฏิบตั ิการดว้ ยนามธรรม (formal prepositional think or formal operational thinking) ช่วง
อายุ 11 - 15 ปี พฒั นาการทางสติปัญญาและความคิดของเดก็ ข้นั สูงสุด สามารถคดิ เห็นเหตุผล นอกเหนือขอ้ มูลท่ี
มีอยไู่ ด้ สามารถแก่ปัญหาดว้ ยวธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์

ซ่ึงเพียเจต์ พบว่า การ ตดั สินทางคุณธรรมจริยธรรมมีส่วนสัมพนั ธ์กบั หลกั การทางสติปัญญาดว้ ย และ
การพฒั นาการทาง คณุ ธรรมจริยธรรมสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระดบั คือ

4.1 ข้นั ก่อนคุณธรรมจริยธรรม อายแุ รกเกิด - 3 ปี เป็นข้นั ท่ียดึ ถือตนเองเป็นส่วน ใหญ่
เอาแต่ใจตนเอง ไม่เขา้ ใจและไม่รับรู้สภาพแวดลอ้ มและกฎเกณฑใ์ ด ๆ ท้งั สิ้น การประพฤติ ปฏิบตั ิกระทาอย่าง
อิสระ เพือ่ สนองความตอ้ งการทางร่างกายของตน

4.2 ข้ันยึดคาสั่ง หรือความจริงที่เห็นได้ชัด ช่วงอายุ 4 - 11 ปี เร่ิมพัฒนาคุณธรรม
จริยธรรม สามารถเขา้ ใจบทบาทของตนเอง ประพฤติโดยยดึ คาสั่งเป็นเกณฑ์ เป็นระยะวา่ นอนสอนง่าย เช่ือฟัง
อยู่ในโอวาท ไม่เขา้ ใจเหตุผลในทางนามธรรม ยึดปริมาณทางกายภาพท่ีเห็นได้ชดั เช่น ขนาดความเสียหายเกิด
จากการกระทาเป็นระยะที่สามารถปลกู ฝังคุณธรรมจริยธรรมไดง้ ่าย

4.3 ข้นั ยึดหลกั การแห่งตน เร่ิมอายุ12 ปี ข้ึนไป การพฒั นาพฤติกรรมในวยั น้ีเป็น ระยะ
ค่อนขา้ งยาก เพราะเดก็ จะใชส้ ติปัญญาหาเหตผุ ลเป็นระยะแสวงหาค่านิยมของตนเอง เพ่ือนาไปสู่การดาเนินชีวิต
เม่ือเป็นผใู้ หญเ่ ด็กจะใชส้ ติปัญญาในการตดั สินคุณธรรมจริยธรรมต่าง ๆ เพ่อื เป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบตั ิ

ทฤษฎพี ฒั นาการทางคณุ ธรรมจริยธรรมของโคลเบอร์ก (Kohlberg)

100

ดวงเดือน พนั ธุมนาวิน (2524 อ่างถึงใน ดวงพร อุทัยสุริ ,2548) ได้กล่าวถึง ทฤษฎีพฒั นาการ ทาง
คุณธรรมจริยธรรมของโคลเบอร์ก (Kohlberg) ซ่ึงไดท้ าการศึกษาคน้ ควา้ โดยอาศยั แนวคิด ของเพียเจต์(Piaget)
เป็นพ้ืนฐาน โคลเบอร์ก เช่ือว่าพฒั นาการทางการใช้เหตุผลเชิงคุณธรรมจริยธรรมของมนุษย์เป็ นไปตามลาดบั
ข้นั บคุ คลจะพฒั นาขา้ มข้นั ไม่ได้ เพราะการใชเ้ หตุผลใน ระดบั ที่สูงข้นึ ไปจะเกิดข้ึนได้ ดว้ ยการมีความสามารถ
ในการใช้เหตุผลในข้ันต่าอยู่ก่อนแล้ว และต่อมาบุคคลจะได้รับประสบการณ์ทางสังคมใหม่ ๆ หรือเข้าใจ
ความหมายของประสบการณ์เกา้ ข้นั สูงต่อไปมีมากข้ึนตามลาดบั ส่วนเหตุผลในข้นั ท่ีต่ากวา่ กจ็ ะถกู ใชน้ อ้ ยลงจน
ถกู ละทิ้งไปในท่ีสุด โคลเบอร์กไดแ้ บ่งพฒั นาการออกเป็น 3 ระดบั แต่ละระดบั แบ่งออกเป็น 2 ข้นั ดงั น้ี

1.ระดบั ก่อนกฎเกณฑ์ เป็ นพฒั นาการของเด็กอายุ 2-10 ปี เด็กจะใช้การลงโทษและ รางวลั เป็ นการ
ตดั สินการถูกผิดเป็ นวยั เช่ือถือผูใ้ หญ่ ความสนใจจะอยู่ท่ีตนเองไม่เขา้ ใจระเบียบแบบแผน หรือกฎเกณฑ์ ทาง
สังคม พฒั นาการของเดก็ วยั น้ีมี 2 ข้นั คือ

1.1 ข้นั ที่ 1 เป็ นข้นั การใชก้ ารลงโทษเป็ นเหตุผลของการตดั สิน เป็ นวยั ที่มีอายรุ ะหว่าง 2 - 7 ปี
เป็นข้นั หลบหลีกการลงโทษ เด็กจะทาตามกฎเกณฑห์ รือคาสัง่ ของผใู้ หญ่ เพราะกลวั การลงโทษ

1.2 ข้นั ที่ 2 เป็ นข้นั ใชก้ ารตอบสนองความต้องการของตนเป็ นเหตุผลในการตดั สิน เป็นวยั ท่ีมี
อายุระหว่าง 7 - 10 ปี เป็นข้นั แสวงหารางวลั เด็กจะทาดีทาตามคาส่ังกฎระเบียบต่าง ๆ เพื่อให้ไดม้ าซ่ึงส่ิงท่ีตน
ตอ้ งการรางวลั เป็นส่ิงตอบแทนมาตดั สินใจในการประพฤติปฏิบตั ิ

2. ระดบั ตามกฎเกณฑ์ เป็นพฒั นาการของเด็กอายุ10 - 16 ปี พฒั นาการทางคุณธรรม จริยธรรมระดบั น้ี
จะยึดถือกฎเกณฑ์ ของสังคมหรือกลุ่ม ไม่อยากทาความผิด เพราะตอ้ งการให้กลุ่มหรือสังคมยอมรับตน หรือให้
ตนเป็ นท่ียอมรับของกลุ่ม เป็นวยั ที่ยึดถือบุคคลท่ีตนรักเป็ นแบบฉบบั หรือระเบียบของกลุ่มเป็ นเกณฑ์ แบ่งเป็น
2 ข้นั ตอ่ เน่ืองจาก 2 ข้นั แรก คือ

2.1 ข้นั ท่ี 3 ข้นั ให้การยอมรับของสังคมเป็ นเหตุผลในการตดั สิน ช่วงอายุ10 - 13 ปี ข้นั น้ีเด็กจะ
ทาตามความเห็นของกลุ่ม ทาตามกฎเกณฑห์ รือแบบฉบบั ของสังคม เพอื่ ใหเ้ ป็นที่ยอมรับของกลุ่ม หรือสงั คม ทา
ตามผอู้ ่ืนที่เห็นชอบ

2.2 ข้นั ท่ี 4 ข้นั ใชร้ ะเบียบแบบแผน หรือกฎเกณฑข์ องสงั คมเป็ นเหตผุ ลในการตดั สิน ช่วง
อายุ13 - 16 ปี เป็นข้นั ทาหนา้ ท่ีของสังคมเด็กจะใช้กฎเกณฑร์ ะเบียบแบบแผนของสังคมมาเป็ นกฎเกณฑใ์ นการ
ดาเนินชีวิต และจะปฏิบตั ิหน้าท่ีตามค่านิยมและกฎเกณฑ์กลุ่มและ สังคม เพ่ือเป่ นสมาชิกของกลุ่มหรือสังคม
เป็นวยั ท่ีทาหนา้ ที่เพอ่ื ประโยชน์ของกลุ่ม

3. ระดบั เหนือกฎเกณฑ์ ช่วงอาย1ุ 6 ปี ข้นึ ไป ระดบั น้ีจะเข่าใจค่านิยม คณุ ค่าทางคณุ ธรรม จริยธรรมและ
หลกั เกณฑ์ ท่ีนามาใช้ในสังคมในสภาพการณ์ ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างถูกตอ้ งเหมาะสม ไม่ยึดถือตวั บุคคลหรือค่านิยม

101

เฉพาะกลุ่ม เป็นคณุ ธรรมจริยธรรมท่ีแยกออกจากกฎเกณฑต์ ายตวั และการคาดหวงั ของคนอื่นแต่ใช่ความคิดตรึก
ตรองชง่ั ใจเป็นแนวทางเลือกประพฤติปฏิบตั ิ แบ่ง ออกเป็น 2 ข้นั ตอน ตอ่ เนื่องจาก 4 ข้นั ตอนแรก ตามลาดบั

3.1 ข้ันท่ี 5 ข้ันใช้สัญญาทางสังคมเป็ นเหตุผลในการตัดสินเลือกกระทา โดยมีเหตุผลนา
ค่านิยมของสังคม สภาพการณ์ สิทธิหนา้ ท่ีตลอดจนกฎเกณฑ์ท่ีเป็นเหตุผลที่คนส่วนใหญ่ ยอมรับมาเป็ นเหตุผล
ในการตดั สินการกระทาโดยไม่ขดั ต่อสิทธิอนั พงึ มีพึงไดข้ องคนส่วนใหญ่เพราะเห็นความสาคญั ของคนหมู่มาก
สามารถบงั คบั ใจตนเองได้ ยอมรับฟังความคิดเห็นของผอู้ ื่นการกระทาจะคานึงถึงสิทธิเสรีภาพของผูอ้ ่ืนเป็ นช่วง
อายุ 16 ปี ข้ึนไป

3.2 ข้นั ท่ี 6 ข้นั ท่ีใช้คุณธรรมจริยธรรมเป็ นเหตุผลในการตดั สินเป็ นระดบั พฒั นาการท่ีเห็นใน
ผูใ้ หญ่ที่มีความร็และประสบการณ์อย่างกวา้ งขวาง มีวฒั นธรรมดีงาม มีความ เจริญทางสติปัญญา ข้นั น้ีเป็นข้นั
สูงสุดของเหตุผลเชิงคุณธรรมจริยธรรม คานึงถึงความถูกต้องเป็ นเกณฑ์ การตดั สินใจ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ
ความสงบสุขของส่วนรวมเป็ นข้นั ท่ีบุคคลมีความละอายต่อการทาความชว่ั ไม่ทาผิดท้งั ในที่ลบั และที่แจง้ เป็ น
ข้นั ท่ียอมรับคุณค่าของมนุษย์ พฒั นาการของ เหตุผลเชิงคุณธรรมจริยธรรม ท้งั 6 ข้นั น้ี จดั เป็ น 3 ระดับ ใน
รายละเอียดตารางดงั น้ี

ระดับคณุ ธรรมจริยธรรม ข้นั การใช้เหตุผลเชิงจริยธรรม
ระดบั ก่อนกฎเกณฑ์ (pre-conventional level) ข้นั ที่ 1 ข้นั การหลบหลีกการถกู ลงโทษ (อาย2ุ - 7ปี )
อายุ 2 - 10 ปี ข้นั ท่ี 2 ข้นั แสวงหารางวลั (อาย7ุ - 10 ปี )
ระดบั ตามเกณฑ์ (convention level) ข้นั ที่ 3 ข้นั ทาตามท่ีผอู้ ่ืนเห็นชอบ (อาย1ุ 0 - 13 ปี )
อายุ 10 - 16 ปี
ระดบั หลงั กฎเกณฑ์ (post-conventional level) ข้นั ท่ี 4 ข้นั ทาตามหนา้ ที่ของสงั คม (อาย1ุ 3 - 16 ปี )
อายุ 16 ปี ข้นึ ไป
ข้นั ท่ี 5 ข้นั ใชส้ ัญญาสังคม (อาย1ุ 6 ปี ข้ึนไป)
ข้นั ท่ี 6 ข้นั ใชห้ ลกั การคุณธรรมจริยธรรมสากล
(วยั ผใู้ หญ)่

102

ทฤษฎีลาดบั ความต้องการ (Hierachy of Needs Theory) โดย อบั ราฮัม มาสโลว์ ( Abrahum Maslow)
นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลยั แบรนดีส์ เป็ นทฤษฎีที่ รู้จกั กันมากท่ีสุดทฤษฎีหน่ึง ซ่ึงระบุว่าบุคคลมี

ความตอ้ งการเรียงลาดับจากระดบั พ้ืนฐานที่สุดไปยงั ระดับสูงสุด โดยแบ่งลาดบั ข้นั ความตอ้ งการของมนุษย์
ออกเป็น 5 ข้นั ดงั น้ี

1. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) เป็ นความตอ้ งการลาดับต่าสุดและเป็ น
พ้ืนฐานของชีวิต เป็ นแรงผลกั ดนั ทางชีวภาพ เช่น ความตอ้ งการอาหาร น้า อากาศ ท่ีอยู่อาศยั หากพนกั งานมี
รายไดจ้ ากการปฏิบตั ิงานเพียงพอ ก็ จะสามารถดารงชีวิตอยไู่ ดโ้ ดยมีอาหารและที่พกั อาศยั เขาจะมีกาลงั ท่ีจะ
ทางานต่อไป และการมีสภาพแวดลอ้ มการทางานที่เหมาะสม เช่น ความสะอาด ความสวา่ ง การระบายอากาศที่ดี
การบริการสุขภาพ เป็นการสนองความตอ้ งการในลาดบั น้ีได้

2. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) เป็นความตอ้ งการที่จะเกิดข้ึนหลงั จากท่ีความ
ตอ้ งการทางร่างกายไดร้ ับการตอบสนอง อย่างไม่ขาดแคลนแลว้ หมายถึงความตอ้ งการสภาพแวดลอ้ มท่ีปลอด
จากอนั ตรายท้งั ทางกาย และจิตใจ ความมน่ั คงในงานในชีวติ และสุขภาพ การสนองความตอ้ งการน้ีต่อพนกั งาน
ทาได้ หลายอย่าง เช่น การประกนั ชีวิตและสุขภาพ กฎระเบียบขอ้ บงั คบั ท่ียุติธรรม การให้มีสหภาพ แรงงาน
ความปลอดภยั ในการปฏิบตั ิงาน เป็นตน้

3. ความต้องการทางสังคม (Social Needs) เม่ือมีความปลอดภยั ในชีวิตและมนั่ คงในการงาน
แลว้ คนเราจะตอ้ งการความรัก มิตรภาพ ความใกลช้ ิดผูกพนั ตอ้ งการเพื่อน การมีโอกาสเขา้ สมาคมสังสรรคก์ บั
ผอู้ ่ืน ไดร้ ับการ ยอมรับเป็นสมาชิกในกลมุ่ ใดกลมุ่ หน่ึงหรือหลายกลมุ่

4. ความต้องการเกียรติยศช่ือเสียง (Esteem Needs) เม่ือความต้องการทางสังคมได้รับการ
ตอบสนองแลว้ คนเราจะตอ้ งการสร้างสถานภาพของตวั เองใหส้ ูงเด่น มีความภูมิใจและสร้างการนบั ถือตนเอง
ช่ืนชมในความสาเร็จของงานที่ทาความรู้สึกมน่ั ใจในตวั เองแลเกียรติยศ ความตอ้ งการเหลา่ น้ี ไดแ้ ก่ ยศ ตาแหน่ง
ระดับเงินเดือนท่ีสูง งานท่ีทา้ ทาย ไดร้ ับการยกย่องจากผูอ้ ่ืน มีส่วนร่วมในการตดั สินใจในงาน โอกาสแห่ง
ความกา้ วหนา้ ในงานอาชีพ เป็นตน้

5. ความต้องการเติมความสมบูรณ์ให้ชีวติ (Self-actualization Needs) เป็นความตอ้ งการระดบั
สูงสุด คือตอ้ งการจะเติมเต็มศกั ยภาพของตนเอง ตอ้ งการความสาเร็จในส่ิงท่ีปรารถนาสูงสุดของตวั เอง ความ
เจริญกา้ วหน้า การพฒั นาทกั ษะ ความสามารถให้ถึงขีดสุดยอด มีความเป็ นอิสระในการตดั สินใจและการคิด
สร้างสรรคส์ ิ่งต่างๆ การกา้ วสู่ตาแหน่งที่สูงข้นึ ในอาชีพและการงาน เป็นตน้

103

ทฤษฎที างพุทธศาสตร์
พระพุทธศาสนาเกิดข้ึนและดารงอยมู่ ากกวา่ 2,500 ปี โดยมีพระสมณโคดมเป็นศาสดาผปู้ ระกาศปรัชญา
ในแนวคิดน้ี โดยเนน้ ท่ีหลกั สจั ธรรมวธิ ีการสอน การเผยแผ่ การสืบถอดหลกั ธรรมสู่การปฏิบตั ิ เนน้ คณุ ธรรมใน
การใชป้ ัญญาพจิ ารณาหาเหตผุ ล ดงั น้นั หลกั ธรรมที่เป็นหวั ใจของพระพุทธศาสนามี 3 ประการ ดงั น้ี

1. ใหล้ ะเวน้ จากความชว่ั ท้งั ปวง
2. ใหท้ าความดี
3. ใหช้ าระจิตใหส้ ะอาดบริสุทธ์ิ
หลกั ธรรมที่พระพุทธศาสนานามาประกาศเป็นคณุ ธรรมท่ีสอดคลอ้ งเช่ือมโยงกนั ท้งั หมด คือ การปฏิบตั ิ
ตามหลกั ธรรมขอ้ ใดขอ้ หน่ึง ยอ่ มเก่ียวโยงกบั หลกั ธรรมขอ้ อ่ืนๆ อนั เป็นหลกั แนวคิดทางจริยศาสตร์ท่ีกาหนดขอ้
ประพฤติปฏิบตั ิทางกายและทางจิตใจ เร่ิมต้งั แต่สิ่งท่ีเป็นขอ้ ประพฤติปฏิบตั ิข้นั พ้ืนฐานทางการกระทาทางกาย
เป็นลาดบั ไปสู่ขอ้ ประพฤติขอ้ สูงที่เป็นแนวคิดที่มุง่ สู่ความบริสุทธ์ิ ความหลดุ พน้ ทางจิตใจ
บุญกริยาวัตถุ 3 ซ่ึงไดแ้ ก่ ทาน ศีล และภาวนา ปุญญกิริยาวตั ถุสูตร [126] ดูกรภิกษุท้งั หลาย บญุ กิริยา
วตั ถุ 3 ประการน้ี 3 ประการเป็นไฉน คอื
บุญกิริยาวตั ถสุ าเร็จดว้ ยทาน 1
บุญกิริยาวตั ถสุ าเร็จดว้ ยศีล 1
บญุ กิริยาวตั ถุสาเร็จดว้ ยภาวนา 1
ดูกรภิกษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ีทาบุญกิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยทานนิดหน่อย ทาบุญกิริยาวตั ถทุ ่ี
สาเร็จดว้ ยศีลนิดหน่อย ไมเ่ จริญบญุ กิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เม่ือตายไปเขาเขา้ ถึงความเป็นผมู้ ีส่วนชวั่ ใน
มนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ทาบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยทานพอประมาณ ทาบุญกิริยา
วตั ถุสาเร็จดว้ ยศีลพอประมาณ ไม่เจริญบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาเขา้ ถึงความเป็ นผูม้ ี
ส่วนดีในมนุษย์ ฯ
ดูกรภิกษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ทาบุญกิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยทานมีประมาณยงิ่ ทาบุญกิริยา
วตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยศีลมีประมาณย่ิง ไม่เจริญบุญกิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เม่ือตายไป เขาเขา้ ถึงความเป็น
สหายแห่งเทวดาช้นั จาตุมมหาราช
ดูกรภิกษุท้งั หลาย มหาราชท้งั 4 ในช้นั น้นั ทาบญุ กิริยาวตั ถทุ ่ีสาเร็จดว้ ยทานเป็นอดิเรก ทาบญุ กิริยาวตั ถุ
ที่สาเร็จดว้ ยศีลเป็นอดิเรกยอ่ มกา้ วลว่ งเทวดาช้นั จาตุมมหาราชโดยฐานะ 10 ประการ คอื อายทุ ิพย์ วรรณทิพย์ สุข
ทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กลิ่นทิพย์ รสทิพย์ โผฏฐพั พทิพย์ ฯ

104

ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี ทาบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยทานมีประมาณย่ิง ทาบญุ กิริยา
วตั ถทุ ี่สาเร็จดว้ ยศีลมีประมาณยงิ่ ไมเ่ จริญบญุ กิริยาวตั ถทุ ี่สาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เม่ือตายไป เขาเขา้ ถึงความเป็น
สหายแห่งเทวดาช้นั ดาวดึงส์

ดูกรภิกษุท้งั หลาย ทา้ วสกั กะจอมเทพในช้นั ดาวดึงส์น้นั กระทาบญุ กิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยทานเป็น
อดิเรก ทาบญุ กิริยาวตั ถทุ ่ีสาเร็จดว้ ยศีลเป็นอดิเรกย่อมกา้ วลว่ งพวกเทวดาช้นั ดาวดึงส์โดยฐานะ 10 ประการ คือ
อายทุ ิพย์ ฯลฯ โผฏฐพั พทิพย์ ฯ

ดูกรภิกษุท้งั หลาย บคุ คลบางคนในโลกน้ี ทาบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยทานมีประมาณยง่ิ ทาบุญกิริยา
วตั ถทุ ่ีสาเร็จดว้ ยศีลมีประมาณยง่ิ ไม่เจริญบญุ กิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาเขา้ ถึงความเป็น
สหายแห่งเทวดาช้นั ยามา

ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย ทา้ วสยามเทพบุตรในช้นั ยามาน้นั ทาบุญกิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยทานเป็นอดิเรก ทาบุญ
กิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยศีลเป็นอดิเรก ยอ่ มกา้ วลว่ งเทวดาช้นั ยามาโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ อายทุ ิพย์ ฯลฯ
โผฏฐพั พทิพย์ ฯ

ดูกรภิกษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ทาบุญกิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยทานมีประมาณยิ่ง ทาบญุ กิริยา
วตั ถทุ ่ีสาเร็จดว้ ยศีลมีประมาณยง่ิ ไมเ่ จริญบญุ กิริยาวตั ถทุ ่ีสาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เม่ือตายไป เขาเขา้ ถึงความเป็น
สหายแห่งเทวดาช้นั ดุสิต

ดูกรภิกษุท้งั หลาย ทา้ วสนั ดุสิตเทพบตุ รในช้นั ดุสิตน้นั ทาบญุ กิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยทานเป็นอดิเรก
ทาบุญกิริยาวตั ถทุ ี่สาเร็จดว้ ยศีลเป็น
อดิเรก ยอ่ มกา้ วล่วงเทวดาช้นั ดุสิตโดยฐานะ 10ประการ คือ อายทุ ิพย์ ฯลฯ โผฏฐพั พทิพย์ ฯ

ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ทาบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยทานเป็นอดิเรก ทาบุญกิริยาวตั ถุ
ท่ีสาเร็จดว้ ยศีลเป็นอดิเรก ไม่เจริญบุญกิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เมื่อตายไป เขาเขา้ ถึงความเป็นสหายแห่ง
เทวดาช้นั นิมมานรดี

ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย ทา้ วสุนิมมิตเทพบุตรในช้นั นิมมานรดีน้นั ทาบญุ กิริยาวตั ถทุ ี่สาเร็จดว้ ยทานเป็น
อดิเรก ทาบุญกิริยาวตั ถุท่ีสาเร็จดว้ ยศีลเป็นอดิเรกยอ่ มกา้ วลว่ งเทวดาช้นั นิมมานรดีโดยฐานะ ๑๐ ประการ คือ
อายทุ ิพย์ ฯลฯโผฏฐพั พทิพย์ ฯ

ดูกรภิกษุท้งั หลาย บุคคลบางคนในโลกน้ี ทาบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยทานมีประมาณยิ่ง ทาบุญกิริยา
วตั ถทุ ี่สาเร็จดว้ ยศีลมีประมาณยง่ิ ไม่เจริญบญุ กิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยภาวนาเลย เม่ือตายไป เขาเขา้ ถึงความเป็น
สหายแห่งเทวดาช้นั ปรนิมมิตวสวตั ตี

ดูกรภิกษุท้งั หลาย ทา้ วปรนิมมิตวสวตั ตีเทพบุตรในช้นั ปรนิมมิส-วสวตั ตีน้นั ทาบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จ
ดว้ ยทานเป็นอดิเรก ทาบุญกิริยาวตั ถุที่สาเร็จดว้ ยศีลเป็นอดิเรก ยอ่ มกา้ วล่วงเทวดาช้นั ปรนิมมิตวสวตั ตีโดยฐานะ

105

10 ประการ คอื อายทุ ิพย์ วรรณทิพย์ สุขทิพย์ ยศทิพย์ อธิปไตยทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ กล่ินทิพย์ รสทิพย์
โผฏฐพั พ-ทิพย์

ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย บญุ กิริยาวตั ถุ 3 ประการน้ีแล ฯ
(พระไตรปิ ฎก ฉบบั บาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ 23 พระสุตตนั ตปิ ฎก เล่มที่ 15 องั คตุ ตรนิกาย สัต
ตก-อฏั ฐก-นวกนิบาต) ขอ้ ท่ี 127 หนา้ ท่ี 187-189

2. ปัจจยั ทมี่ ผี ลต่อการปลกู ฝังมโนสานกึ ทางจริยธรรม
2.1 ความเมตตา
ความหมาย
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ไดใ้ ห้ความหมายของคาว่า “เมตตา” ว่า หมายถึงความ

รักและความเอ็นดู ความปรารถนาจะให้ผูอ้ ่ืนเป็ นสุข เป็ นขอ้ หน่ึงใน พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา
อเุ บกขา

พระธรรมสิงหบุราจารย์ ไดใ้ หค้ วามหมายไวว้ า่ เมตตา-มิตร-ไมตรี คาท้งั สามน้ีเป็นอนั หน่ึงอนั เดียวกนั
คือ เมตตา หมายถึง ความรักใคร่ ปรารถนาจะใหเ้ ป็นสุข

มิตร หมายถึง ผมู้ ีเมตตาปรารถนาสุขประโยชน์ต่อกนั
ไมตรี หมายถึง ความมีเมตตาปรารถนาดีตอ่ กนั
จึงสรุปไดว้ า่ เมตตา หมายถึง ความเป็นมิตรที่ดีดว้ ยความบริสุทธ์ิใจมีความปรารถนาใหต้ นเองและผูอ้ ่ืน
เป็นสุข ปราศจากความทกุ ข์ พร้อมใหอ้ ภยั กบั ทกุ คนและความเมตตาเป็นส่ิงที่เกิดจากจิตใจโดยไมต่ อ้ งแกลง้ ทา
ความสาคัญของความเมตตา
อภิญวฒั น์ โพธ์ิสาน (2553) ไดใ้ ห้ความสาคญั ของการมีเมตตาไวว้ ่า บุคคลท่ีเจริญเมตตาอยู่เป็ นนิตย์
ยอ่ มไดร้ ับคณุ ประโยชน์ คือ

1. นอนหลกั สนิทอยา่ งเป็นสุข
2. ขณะต่ืนก็ใชช้ ีวติ อยเู่ ป็นสุข ไมต่ อ้ งเดือดร้อนใจ
3. ไมน่ อนหลบั ฝันร้าย
4. เป็นที่รักใคร่พอใจของผอู้ ื่น
5. เป็นที่รักใคร่พอใจของมนุษย์
6. เทวดาคมุ้ ครอง
7. ไฟ ยาพษิ อาวุธ ไม่กล้ากรายทาร้ายได้
8. มีจิตใจเป็นสมาธิเร็ว

106

9. มีหนา้ ตาผอ่ งใส ชื่นบาน
10. ตายสงบ
11. ยงั ไม่บรรลธุ รรม ตายไปสู่พรหมโลก
ว.วชิรเมธี (2553) ไดก้ ล่าวถึงความสาคญั ของการมีเมตตาว่า หากบุคคลผูม้ ีความเมตตาจากหัวใจอนั
บริสุทธ์ิต่อเพ่ือนมนุษยอ์ ย่างแทจ้ ริงแลว้ จะส่งผลให้เป็ นบุคคลทีมีผิวพรรณผ่องใส ใบหน้าผุดผาด มีความสุข
โปร่งเบา สงบเยน็ จิตเป็นสมาธิ มีความคดิ ที่แหลมคม ไปท่ีใดกจ็ ะไดร้ ับมิตรไมตรีตอบแทน
ดงั น้นั สรุปไดว้ า่ ความเมตตาน้นั เมื่อบคุ คลใดมีความเมตตาจะส่งผลให้เป็นบุคคลช่ืนชอบของคนทวั่ ไป
มีจิตใจเยอื กเยน็ ไม่เป็นผทู้ ่ีคิดอาฆาตพยาบาล เป็นผมู้ ีผิวพรรณผอ่ งใส ไม่วา่ จะอยทู่ ี่ใดก็สงบสุข เม่ือละจากโลก
น้ีไปแลว้ ก็ไปสู่สุคติภพ

ประโยชน์ของการมีเมตตากรุณา

1. ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน เมื่อตื่นก็เป็นสุข เมื่อหลบั ก็เป็นสุขและไม่ฝันร้าย คือผปู้ ฏิบตั ิ
เมตตาภาวนาต่ืนข้ึนมาทาธุรกิจต่างๆ ดว้ ยจิตใจเบิกบาน และเวลานอนก็นอนอยา่ งคนที่มีความสุขสดชื่น ฝันเห็น
แต่ส่ิงดีๆ ไม่มีความลามกหรือส่ิงท่ีจะนาไปสู่เหตุร้ายเป็นท่ีรักของมนุษย์ อมนุษย์ และเทวดาท้งั หลาย คือ เม่ือ
บุคคลเจริญเมตตาภาวนาจะเป็ นคน มีความรักให้แก่คน สัตว์ และเทวดาท้งั หลาย ไม่ว่าจะคิดทา หรือพูดก็
ประกอบไปดว้ ยความเมตตา ความบริสุทธ์ิ และความหวงั ในการยงั ประโยชน์แก่ผูอ้ ื่น ดงั น้นั ผทู้ ่ีพบเห็นตา่ งก็จะ
เห็นคุณค่าและรักใคร่พอใจ แมแ้ ต่สัตว์เดรัจฉาน เปรต หรืออสุรกายก็รักใคร่ไม่ทาร้าย อีกท้งั เทวดาจะช่วย
คุม้ ครองป้องกนั ให้พน้ จากอนั ตราย และใหพ้ บความสาเร็จในชีวิต ไฟ ยาพิษ หรืออาวุธไม่สามารถทาอนั ตราย
ได้ คือ บุคคลซ่ึงเจริญด้วยเมตตาภาวนาจะมีพลังแห่งเมตตาคุ้มครองตัวอยู่ ดังน้ัน ก็จะไม่มีศัตรูมุ่งทาร้าย
อนั ตรายที่จะเกิดจากไฟ อาวธุ และยาพษิ ก็ไมม่ ีไปดว้ ย

2. ประโยชน์ต่อตนเอง ผเู้ จริญเมตตา ยอ่ มมีผิวหนา้ สดใส จิตต้งั มนั่ เป็นสมาธิไดเ้ ร็ว และเม่ือ
ถึงเวลาตายก็จะมีสติสัมปชญั ญะดี คือ เม่ือเป็ นผูม้ ีจิตใจดี ผิวหน้าก็จะผ่องใส ผิวพรรณทวั่ ไปก็เปล่งปลง่ั ความ
สงบต้งั มน่ั เป็ นสมาธิได้รวดเร็ว ไม่ฟุ้งซ่านไม่เฉ่ือยชา เป็ นจิตใจท่ีสะอาด ไม่ขุ่นมวั ไม่มวั หลงใหลในกิเลสมี
ความน่ารักน่าเขา้ ใกล้ เมื่อถึงเวลาเสียชีวิตก็จะมีสติสัมปชญั ญะดี ไม่หลงฟั่นเฟื อน เน่ืองจากไดก้ ระทาความดีมี
เมตตามามาก

3. ประโยชน์ต่อตนเองกับสังคม ประโยชน์จากการมีความเมตตาต่อสังคมน้ัน คือ เมื่อคน
ส่วนมากในสังคมมีความเมตตาในจิตใจ จะไม่มีการทาร้ายกนั ไม่มีการทุจริตฉ้อโกง ไม่มีการผิดประเวณี ไม่มี
การพูดเทจ็ และไม่เสพสิ่งเสพยต์ ิดให้โทษ เป็นตน้ เม่ือเป็นเช่นน้ี คนในสังคมจะเตม็ ไปดว้ ยความสุข ไม่มีศตั รู

107

มีแตค่ วามเป็นเพื่อน มีความรักทุกๆคนเสมอเหมือนกนั โดยไม่เลือกท่ีรักมกั ท่ีชงั อนั จะทาใหส้ งั คมประเทศชาติมี
แต่ความเจริญกา้ วหนา้ ไปดว้ ย

การปลกู ฝังความมเี มตตากรุณา

1. ให้ความคิดรวบยอดทถี่ กู ต้องเกย่ี วกบั ความเมตตากรุณา ความคิดรวบยอดของความเมตตา
กรุณา เป็นความคิดรวบยอดที่มีลกั ษณะเป็นนามธรรมมาก เพอ่ื ที่จะใหเ้ กิดความคดิ รวบยอดท่ีถูกตอ้ ง จะตอ้ งหา
ตวั อยา่ งท่ีเป็นรูปธรรม หลาย ๆ อยา่ งท่ีทาใหน้ กั เรียนเกิดความคิดรวบยอดตรงกนั อาจจะใชน้ ิทาน ชาดก หรือ
เหตุการณ์ในชีวิตประจาวนั มาเล่า อาจเลา่ เองหรือใชเ้ ทปบนั ทึกเสียง หรือหาภาพยนตร์เก่ียวกบั ความเมตตากรุณา
มาฉาย เพอื่ ใหเ้ กิดความ เขา้ ใจ และสรุปวา่ ความเมตตาคืออะไร และความกรุณาใหไ้ ด้ จะตอ้ งมีการทดสอบดว้ ย
การเสนอตวั อยา่ งที่เป็นรูปธรรมสามารถบอกให้ ถูกตอ้ งวา่ อนั ใดเป็นตวั อยา่ งของความเมตตา อนั ใดเป็น
ตวั อยา่ งของความกรุณาหรือมิใช่ความเมตตากรุณา

2. สร้างทัศคติที่ดีต่อความเมตตากรุณา เมื่อมีความคิดรวบยอดเกี่ยวกบั ความเมตตากรุณาแลว้
กต็ อ้ งสร้างทศั นคติที่ดีตอ่ ความเมตตากรุณา เพราะทศั นคติจะเป็นแรงหนุน และกาหนดทิศทางของพฤติกรรม
สกั แต่วา่ รู้เท่าน้นั ไมเ่ ป็น เคร่ืองกาหนดที่แน่นอนวา่ คนจะประพฤติปฏิบตั ิ บุคคลตอ้ งเห็นประโยชน์ เห็นความ
จาเป็นและมีความรู้สึกที่ดีหรือมีทศั นคติท่ีดีต่อส่ิงน้นั บคุ คลจึงจะเกิดการกระทาการปลกู ฝังทศั นคติน้นั จะทาให้
ดว้ ยการใหเ้ ขาอภิปรายไดแ้ สดงไดร้ ับบทบาทมากๆ ดงั น้นั การสอนตอ้ งเสนอตวั อยา่ งท่ีเป็นรูปธรรมมาก ๆ อาจ
ดว้ ยรูปภาพ ดว้ ยภาพยนตร์ เสนอกรณีตวั อยา่ ง แลว้ อภิปรายอยา่ งกวา้ งขวางใหเ้ ห็นประโยชน์ของความเมตตา
กรุณาใน ชีวติ ประจาวนั การรับบทบาทสมมติกจ็ ะเป็นวิธีการสอนที่ดีอยา่ งหน่ึงในการสร้างทศั นคติที่ดี ต่อความ
เมตตากรุณา จะใชว้ ิธีการสอนแบบใด มากนอ้ ยเพียงใดน้นั ข้นึ อยกู่ บั วุฒิภาวะอีกดว้ ย

3. ปฏบิ ตั ิให้เกดิ ทกั ษะ การปฏิบตั ิใหเ้ กิดทกั ษะ เป็นการใหน้ กั เรียนไดม้ ีโอกาสรับบทบาท
สมมติในเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ ท่ีแสดงใหเ้ ห็นความเมตตากรุณา โดยสร้างสถานการณ์จาลองท่ีเป็นปัญหาข้ึนมา แลว้
ใหแ้ สดงบทบาทเพือ่ แกป้ ัญหาน้นั ๆ นอกจากการสอนในช้นั แลว้ การจดั กิจกรรมตา่ งๆ หรือเปิ ดโอกาสใหไ้ ด้
ปฏิบตั ิกิจกรรมต่าง ๆ นอกเหนือจากการเรียนในช้นั เพ่ือส่งเสริมใหเ้ กิดคุณธรรมเร่ืองเมตตากรุณาน้นั มีอยู่
มากมาย

2.2 ความซ่ือสัตย์
ความหมาย
ธีระพร อุวรรณโณ (ธีระพร อวุ รรณโณ 2526 อา้ งในปวีณา ทิมทอง 2544: 32) ไดใ้ หค้ วามหมายของ
ความซ่ือสัตย์สุจริตว่า หมายถึง ประพฤติตรง และ จริงต่อผู้อื่น การไม่คดโกงและหลอกลวงผู้อ่ืน
ประกอบดว้ ย พฤติกรรมจาเพาะ เช่น การพดู ความจริง การไม่พูดปด การตรงต่อเวลา การจริงใจตอ่ ผอู้ ่ืน การ
ไม่หยบิ ฉวยลกั ขโมย ไม่หลอกใหผ้ อู้ ่ืนหลงเชื่อในส่ิงท่ีไมจ่ าเป็น

108

พระครูพุทธศาสน์โศภณ, อภิชยั ชารีรักษ์, และมนูญ จนั ทร์นวล (2530: 36-45) ไดใ้ หค้ วามหมายว่า
ความซ่ือสัตยเ์ ป็นคุณธรรมเบ้ืองตน้ และสุดทา้ ยแห่งความดีท้งั หลาย เป็นสิ่งควรปลูกฝัง และการให้ อบรมส่ัง
สอนถึง 6 ประการคือ ซื่อสัตยต์ ่อตนเอง ซื่อสัตยต์ อ่ วาจา ซื่อสตั ยต์ อ่ การงาน ซ่ือสตั ยต์ อ่ หนา้ ที่ ซื่อสัตยต์ ่อบุคคล
ซื่อสัตยต์ ่อคณะ และความสุจริต คือคารวมแห่งความดี หมายถึง การทาดี พูดดี คิดดี มีความกรุณา ละอายแก่ใจ
เกรงกลวั ในความผดิ พลาด มีความรู้สึกผดิ ชอบเป็นหลกั

พระธรรมปิ ฎก (ป.อ.ปยุตโต) (พระธรรมปิ ฎก 2538อา้ งใน พิศมยั เทียนทอง 2553: 11 ) ได้ให้
ความหมายคาวา่ สุจริต หมายถึง ความประพฤติดีความประพฤติชอบ มี 3 ประการ คือ ความประพฤติชอบ
ดว้ ยกาย ความประพฤติชอบดว้ ยวาจาและความประพฤติชอบดว้ ยใจ

รองศาตราจารยด์ นยั ไชยโยธ (ดนยั ไชยโยธา 2543 อา้ งในพิสมยั เทียนทอง 2553: 12) ไดใ้ ห้ความหมาย
คาวา่ สุจริต หมายถึง ความประพฤติดีความประพฤติงาม หมายถึง ความประพฤติที่เป็ นเหตุให้บุคคลเป็ นคนดี
เป็ นคนงาม ง่ายต่อการปกครอง มีความหมายครอบคลุมถึงพฤติกรรมต่างๆที่แสดงออกทางกายและทางวาจา
ในทางที่ดีรวมถึงความรู้สึกนึกคิดที่ดี อนั เป็ นเหตุแห่งพฤติกรรมต่างๆเหล่าน้นั ดว้ ย ความประพฤติดีท่าน
แบง่ ไว้ 3 ดงั น้ี ทางกายสุจริต ทางวจีสุจริต และมโนสุจริต

ประเภทของความซ่ือสัตย์
กรมวชิ าการ กระทรวงศึกษาธิการ (2523: 147-148) ไดจ้ าแนกความซื่อสตั ยส์ ุจริตออกเป็น 4 ลกั ษณะ
ดงั น้ี
1. ความซื่อสัตยต์ ่อตนเอง คือ มีความรู้สึกผิดชอบชวั่ ดี การมีความละอายเกรงกลวั ต่อการการกระทาผิด
การไม่พูดปด ไม่พูดสับปลบั หลอกลวง การไม่คิดโลภในของผอู้ ่ืน ไม่คลอ้ ยตามพวกที่ชกั จูงไปในทางท่ี เสื่อม
เสีย มน่ั คงตอ่ การทาดีของตน ไม่คดโกง มีความต้งั ใจทาจริง ประพฤติตรงตามท่ีพูดและคิด ในกรณีของนกั เรียน
จะเห็นความซื่อสัตยต์ ่อตนเอง คือเรียนจริง มาโรงเรียนตรงต่อเวลา ทาการบา้ นไม่คดั ลอกคนอื่น เวลาสอบก็
ต้งั ใจสอบ ไม่ทจุ ริตในหอ้ งสอบ
2. ความซื่อสัตยส์ ุจริตต่อบุคคล คอื มีความซื่อสัตยต์ ่อผอู้ ่ืน ตอ่ มิตร ตอ่ หวั หนา้ งาน ต่อผมู้ ีพระคณุ ลกั ษณะ
สาคญั คือ มีความจริงใจต่อผูอ้ ื่น ไม่ชักชวนผูอ้ ่ืนไปในทางเสื่อมเสีย ไม่สอพลอเพื่อหาประโยชน์ส่วนตน
เตือนสติแนะนาในส่ิงที่เป็นประโยชน์ ยินดีในความสาเร็จของผูอ้ ื่นไม่ริษยากนั่ แกลง้ ไม่ถือเอาของผอู้ ื่นมาเป็ น
ของตน โดยการลกั ขโมย ฉ้อโกง ไม่ละเมิดของรักของผูอ้ ื่น ยอมรับผิดหากตนเป็ นผูท้ าผิดต่อผูอ้ ื่น ไม่ผิดนัด
รู้จกั เคารพสิทธ์ิของผอู้ ่ืน ไมห่ ยบิ ของผอู้ ่ืนไปโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต มีความประพฤติดีท้งั ต่อหนา้ และลบั หลงั ผอู้ ื่น
3. ความซ่ือสัตยต์ ่อหน้าท่ี คือ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ที่ตนทา หรือไดร้ ับมอบหมายและให้ทาให้ดี
ท่ีสุด ไมท่ อดทิ้งหนา้ ที่ ไมท่ จุ ริตคดโกง ไมใ่ ชอ้ านาจหนา้ ท่ีทาประโยชน์ส่วนตน รักษาระเบียบกฎเกณฑ์ ตรงต่อ
เวลา ไมเ่ อาเวลาทางานในหนา้ ท่ีไปใชป้ ระโยชนส์ ่วนตน

109

4. ความซื่อสัตยต์ ่อหมูค่ ณะสงั คมประเทศชาติ คือ การรักษาคามนั่ สัญญา ไม่คิดประทุษร้ายต่อหมู่คณะ
รักษาความสามคั คี ไม่นาความลบั ของหมู่คณะ สังคม ประเทศชาติไปเปิ ดเผยไม่เป็ นตน้ เหตุให้คนภายนอกมา
ทาลายหมูคณะ ไม่คิดทรยศทาลายสถาบนั หลกั ของชาติ ไม่ร่วมมือกนั ทางานใดๆที่ผิดกฎหมายหรือระเบียบ
ขอ้ บงั คบั สานึกวา่ ตนเองเป็นพลเมืองของประเทศจะตอ้ งปฏิบตั ิตนเป็นพลเมืองดี ช่วยกนั รักษาความสงบ สิ่งใด
ท่ีสร้างข้นึ เป็นสาธารณสมบตั ิจะตอ้ งช่วยกนั รักษาและรู้จกั ใชอ้ ยา่ งทะนุถนอม

กรมวชิ าการ (2548: 129-131) ไดจ้ าแนกความซื่อสัตยอ์ อกเป็น 4 ลกั ษณะ ดงั น้ี
1. ความซ่ือสตั ยต์ ่อตนเอง คอื ความรู้สึกผิดชอบชว่ั ดี มีความละอาย และเกรงกลวั ตอ่ การกระทาความผิด
พฤติกรรมท่ีแสดงออก ไดแ้ ก่

1) ไมส่ ับปลบั กลบั กลอก
2) ไม่คลอ้ ยตามพวกท่ีลากหรือชกั จูงไปในทางที่เสื่อมเสีย
3) มน่ั คงต่อการกระทาความดี
4) ไมค่ ดโกงมีความต้งั ใจจริง
5) ประพฤติตรงตามที่คิด
2. ความซื่อสตั ยต์ ่อหนา้ ที่การงาน พฤติกรรมท่ีแสดงออก ไดแ้ ก่
1) ไมเ่ อาเวลาทางานในหนา้ ที่ไปใชป้ ระโยชนส์ ่วนตวั
2) ไมใ่ ชอ้ านาจหนา้ ท่ีทาประโยชน์ส่วนตวั
3. ความซ่ือสัตยต์ ่อบุคคล คือ มีความซ่ือสัตยต์ ่อบุคคลอื่น ต่อมิตร ต่อหัวหน้างานต่อผูม้ ีพระคุณ
พฤติกรรมที่แสดงออก ไดแ้ ก่
1) ประพฤติตรงไปตรงมา ไมค่ ดิ คดตอ่ ผอู้ ่ืน
2) ไมช่ กั ชวนไปในทางเสื่อมเสีย
3) ไมส่ อพลอเพื่อหาผลประโยชน์ส่วนตน
4) ยนิ ดีในความสาเร็จของผอู้ ื่น ไมค่ ิดริษยาหรือกลน่ั แกลง้
4. ความซื่อสัตยต์ ่อคณะ สังคม และประเทศชาติ พฤติกรรมที่แสดงออก ไดแ้ ก่
1) ร่วมมือร่วมใจกนั ทางานดว้ ยความบริสุทธ์ิใจ
2) ไมเ่ ห็นแก่ประโยชน์ของตน หรือเอาดีเขา้ ตน
3) ไม่ร่วมมือกนั ทางานใดๆท่ีผิดกฎหมาย หรือผิดจากที่กล่าวมาขา้ งตน้
สรุปไดว้ า่ ประเภทของความซื่อสัตยส์ ุจริตแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1) ซ่ือสัตยส์ ุจริตต่อตนเอง
2) ซ่ือสตั ยส์ ุจริตตอ่ ผอู้ ่ืน 3) ซื่อสตั ยส์ ุจริตตอ่ หนา้ ที่

2.3 ความมีวินัย

110

ความหมาย
พิชิต บุญสาร (2550, หนา้ 18) กลา่ ววา่ วนิ ยั หมายถึง ระเบียบแบบแผนขอ้ บงั คบั ท่ีสงั คมกาหนดข้นึ เพื่อ
เป็ นแนวทางปฏิบตั ิสาหรับบุคคลในสังคม เป็ นส่ิงควบคุมให้บุคคลอยู่ในระเบียบแบบแผนเดียวกนั ท้งั น้ีเพื่อ
ความเป็นระเบียบ ความสงบสุขของสังคม
พชั รินทร์ จนั ทร์ดาประดิษฐ์ (2553, หน้า 23) สรุปไดว้ ่า วินยั หมายถึง ระเบียบกฎเกณฑ์ ขอ้ ตกลงที่
กาหนดข้ึน เพ่ือให้บุคคลประพฤติ ปฏิบตั ิในการดารงชีวิตร่วมกนั เพ่ือให้อยอู่ ย่างราบร่ืน มีความสุข และความ
เป็ นระเบียบในสังคม วินัยจึงเป็ นส่ิงจาเป็นท่ีใชค้ วบคุมให้คนเราใช้ความรู้ ความสามารถไปในทางที่ถูกท่ีควร
คือทาคนใหเ้ ป็นคนนน่ั เอง
ชูชยั อาจวิชยั (2553, หนา้ 18) สรุปความหมายของวนิ ยั ไดว้ า่ หมายถึง การควบคุมพฤติกรรมของตนเอง
ให้เป็นไปในทางท่ีพึงปรารถนา เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และบุคลิกภาพใหเ้ ป็นท่ีน่าปรารถนาของสังคม วินยั ที่ดี
คอื การท่ีบุคคลรู้จกั การ ปกครองตนเอง และการกระทาตามระเบียบ ขอ้ บงั คบั ต่างๆ ดว้ ยความสมคั รใจ เพราะได้
เห็นคณุ ค่าวา่ การปฏิบตั ิตามระเบียบน้นั จะนามาซ่ึงความมีระเบียบและความสงบสุขใน สังคม ส า นั ก ง า น
วิชาการและมาตรฐานการศึกษา (2553, หนา้ 19) ใหค้ วามหมาย การมีวินยั หมายถึง คุณลกั ษณะท่ีแสดงออกถึง
การยึดมนั่ ในขอ้ ตกลง กฎเกณฑแ์ ละระเบียบ ขอ้ บังคบั ของครอบครัว โรงเรียน และสังคม และผูม้ ีวินยั คือ ผู้
ปฏิบตั ิตนตามขอ้ ตกลง กฎเกณฑ์ และระเบียบ ขอ้ บงั คบั ของครอบครัว โรงเรียน และ สังคมเป็ นปกติวิสัย ไม่
ละเมิดสิทธิของผอู้ ื่น
จากความหมายของวินยั ท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ สรุปไดว้ ่า วินยั หมายถึง การ ควบคุมพฤติกรรมตนเองให้
ประพฤติปฏิบตั ิ ตามกฎเกณฑ์ ระเบียบ แบบแผน ขอ้ บงั คบั หรือขอ้ ตกลงของสังคมท่ีกาหนดข้ึนเป็ นขอ้ ปฏิบตั ิ
ร่วมกัน เพ่ือความสงบสุขของตนเองและ ความเป็ นระเบียบเรียบร้อยของสังคม ดังน้ันการเสริมสร้างวินัย
นักเรียนจึงครอบคลุมถึง การเสริมสร้างให้นักเรียนมีความประพฤติ ปฏิบตั ิตนอยู่ในกฎระเบียบ แบบแผน
ขอ้ บงั คบั ของโรงเรียนและสังคมไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งเหมาะสม เพ่ือให้การปฏิบตั ิงานและการจดั กิจกรรม การเรียน
การสอนบรรลุเป้าหมายอยา่ งมีคณุ ภาพ

ความสาคัญของความมวี ินยั
จนั จิรา อินต๊ะยะ (ออนไลน์, 2548, ไม่ปรากฎเลขหนา้ ) กล่าวว่า วินยั มีความสาคญั สาหรับการดารงชีวติ
อยทู่ ่ามกลางยุคกระแสบริโภคนิยม คนท่ีมีวินยั ในตนเองจะเป็นคนท่ีรู้จกั ตนเอง สามารถควบคุมตนเองมิให้ทา
ผิดกฎ ระเบียบ ท่ีสงั คมได้ กาหนดไว้ กลายเป็นบุคคลท่ีสงั คมยอมรับ และที่สาคญั เป็นคนที่ไม่สร้างปัญหาให้กบั
สังคม ไดอ้ ีกดว้ ยวินยั ท่ีดีจะตอ้ งมาจากจิตสานึกของแต่ละคน ให้อยู่ในระเบียบแบบแผนอนั ดีงาม โดยมิตอ้ งมี
กฎเกณฑใ์ ดๆ มาบงั คบั

111

อรุณี ถนดั คา้ (2551, หนา้ 11) กล่าวว่าความสาคญั ของวินยั คือ วินยั ช่วยเสริมสร้างให้ผปู้ ฏิบตั ิตามเกิด
ความรู้สึกสานึกและความเคยชินที่จะประพฤติ ปฏิบตั ิตนไปในทางท่ีดีงาม เป็นมาตรฐานระหวา่ งความประพฤติ
ของกล่มุ บุคคล ผปู้ ฏิบตั ิงานในองคก์ าร

ปัทมา ผาดจนั ทึก (ออนไลน์, 2553, หนา้ 6) ไดอ้ ธิบายถึง ความสาคญั ของการมีวินยั การสร้างวินัยใน
ชีวิตและการทางานมีความจาเป็ นและสาคญั เพราะการมีวินยั เป็นรากฐานของพฤติกรรมท่ีถูกตอ้ ง สิ่งที่ช่วยให้
คนเรามีวินยั ที่ดีงามมี หลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ระเบียบ กาหนด ขอ้ ปฏิบตั ิ ขอ้ บงั คบั ตลอดจนกฎหมายและศีลธรรม
สิ่งเหล่าน้ีมี วตั ถุประสงค์ท่ีจะควบคุมพฤติกรรมของมนุษยใ์ ห้เป็ นไปในแนวทางท่ี พึงประสงคใ์ นทางท่ีดีงาม
ดงั น้นั ทุกคนจึงควรตระหนกั ในความสาคญั และความจาเป็นของ การมีวินยั โดยถือปฏิบตั ิตามดว้ ยความเต็มใจ
ถือวา่ เป็นหวั ใจของการแสดงออกทางคุณธรรมที่สาคญั

โดยสรุปแลว้ วินยั มีความสาคญั เน่ืองจากการสร้างวินยั ในชีวิตและการทางานมีความจาเป็นและสาคญั
เพราะการมีวินัยเป็ นรากฐานของพฤติกรรมท่ีถูกตอ้ งสิ่งที่ ช่วยให้คนเรามีวินัยที่ดีงามมีหลายลกั ษณะ ไดแ้ ก่
ระเบียบ กาหนด ขอ้ ปฏิบตั ิ ขอ้ บงั คบั ตลอดจนกฎหมายและศีลธรรม ส่ิงเหล่าน้ีมีวตั ถุประสงค์ที่จะควบคุม
พฤติกรรมของมนุษย์ ให้เป็ นไปในแนวทางท่ีพึงประสงค์ในทางท่ีดีงาม ดังน้ันทุกคนจึงควรตระหนักใน
ความสาคัญ และความจาเป็ นของการมีวินัย โดยถือปฏิบัติตามด้วยความเต็มใจ ถือว่าเป็ นหัวใจของการ
แสดงออกทางคณุ ธรรมท่ีสาคญั

ประเภทของวินัย
พนสั หนั นาคินทร์ (2542, หนา้ 153 - 154) ไดจ้ ดั แบ่งประเภทวินยั ไว้ 3 ประเภท คอื

1. วินัยเฉียบขาดแบบทหาร คือ การใช้ความกลวั เป็ นเครื่องมือนักเรียนทาดีเพราะกลัวโดน
ลงโทษ วินยั ชนิดน้ี ตรงกบั คาสุภาษิตวา่ “รักววั ใหผ้ กู รักลกู ใหต้ ี” ซ่ึงเม่ือนกั เรียนทาดีจนเป็นนิสยั แลว้ ต่อไปใน
ภายหนา้ จะติดนิสยั ไมท่ าชวั่ แต่กไ็ มม่ ี ผเู้ ห็นดว้ ยอา้ งวา่ ผิดหลกั ประชาธิปไตย

2. วินยั แบบดาเนินการให้สอดคลอ้ งกบั ความสนใจของนกั เรียน แนวคิดน้ีถือวา่ เมื่อนกั เรียนได้
ทาส่ิงท่ีตนสนใจแลว้ ปัญหาเรื่องวินัยก็จะไม่เกิดข้ึน ซ่ึงเป็ น วิธีการหน่ึงท่ีโรงเรียนจะใช้เพ่ือแกป้ ัญหาทางวินยั
ของนกั เรียน

3. วินยั ที่เกิดจากความรับผดิ ชอบและเกียรติของคน มีจุดมงุ่ หมาย ใหน้ กั เรียนมีความประพฤติดี
โดยพยายามใหน้ กั เรียนนบั ถือในเกียรติของตนและรู้จกั รับผดิ ชอบตอ่ การรักษาเกียรติน้นั

ธิติมา จกั รเพชร (2544, หนา้ 9) แบง่ วินยั เป็น 2 ประเภท คอื
1. วินัยในตนเอง (Self – discipline) หมายถึง กระบวนการ หรือ วิธีการที่ปฏิบัติ เพ่ือบงั คบั

ตนเองให้ปฏิบตั ิตาม ถา้ นักเรียนมีวินัยในตนเองแลว้ ก็จะลดปัญหาในด้านการปกครองนักเรียนได้อย่างมาก
โรงเรียนไม่จาเป็นตอ้ งออกขอ้ บงั คบั ระเบียบ การควบคุม ใหม้ ากมายและการปกครองก็จะสะดวกสบาย เพราะ

112

ตนเองจะตอ้ ง รู้จกั ควบคุมพฤติกรรมของตนเอง ให้บรรลุจุดมุ่งหมายปลายทางได้อย่างสุขสบาย รู้จกั ความ
รับผดิ ชอบ ปฏิบตั ิหนา้ ท่ีท่ีตนรับผิดชอบ

2.วินยั เพ่ือส่วนรวมหรือวินยั สาหรับหมู่คณะ (Exothermal Authority Discipline) หมายถึง วินยั
ที่ออกมาจากอานาจภายนอก เพ่ือบงั คบั ให้ส่วนรวม ปฏิบตั ิตาม ให้เกิดความเป็ นระเบียบเรียบร้อยข้ึน วินัย
ส่วนรวมน้ี จะตอ้ งต้งั เกณฑเ์ ป็น แนวทางกลางๆ ใหท้ ุกคนสามารถปฏิบตั ิตามได้ เช่น วินยั ในการแต่งกาย วินยั
ในการทา ความเคารพ ซ่ึงมีขอ้ ดี คอื

2.1 สามารถรักษาความสัมพนั ธ์ท่ีดีซ่ึงกนั และกนั ใหอ้ ยูใ่ น ระดบั ที่ดีและควรส่งเสริม
ใหด้ ียง่ิ ข้นึ

2.2 รู้จกั ดาเนินงานอยา่ งไดผ้ ลแก่ส่วนรวม
2.3 สามารถควบคุมตนเองไดเ้ ป็นไปตามความตอ้ งการ และขอ้ ตกลงของสังคม
2.4 สามารถดาเนินงานเป็ นหมู่คณะ โดยมีคณะดาเนินงาน ซ่ึงคณะกรรมการจะตอ้ ง
เป็นผมู้ ีวินยั ท่ีดี จึงจะทางานของหมคู่ ณะไดส้ าเร็จ
สรุปไดว้ า่ วินยั แบ่งเป็น 2 ประเภท คอื
1. วินยั ในตนเอง ซ่ึงเป็นจิตสานึกภายในของตนเองทาให้สามารถคุม จิตใจและพฤติกรรมของ
ตนเองได้ วินยั ในตนเองเป็นความสามารถของแต่ละบุคคลในการ ควบคุมตนเองท้งั ดา้ นอารมณ์และพฤติกรรม
ใหส้ ามารถประพฤติปฏิบตั ิตนไดใ้ นทางที่ ถูกตอ้ ง โดยไม่มีใครบงั คบั และไม่ไดเ้ กิดจากกฎเกณฑห์ รือขอ้ บงั คบั
ของสังคม แต่เกิดจาก ตนเองท่ีเห็นคุณค่าในการกระทาและไม่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ตนเองและสังคม
บคุ คลท่ีมีวินยั ในตนเองยอ่ มเป็นประโยชน์ต่อตนเองท้งั ในปัจจุบนั และในอนาคต
2. วินัยทางสังคม ซ่ึงเป็ นวินัยที่เกิดจากการควบคุมของอานาจจาก ภายนอกส่งผลต่อการ
ควบคุมจิตใจ และพฤติกรรมของบุคคลซ่ึงกระทบต่อสังคมที่อาศยั เช่น การประพฤติปฏิบตั ิตามกฎ ระเบียบ
ขอ้ บงั คบั และกฎหมาย เป็นตน้

คณุ ลกั ษณะของผู้มวี นิ ัย
วินยั เป็นขอ้ ใชป้ ฏิบตั ิควบคุมประพฤติของคน เพื่อให้เกิดความเป็น ระเบียบของสังคม ดงั น้นั ระเบียบ
วนิ ยั จึงเป็นส่ิงสาคญั มีผเู้ สนอถึงลกั ษณะของผมู้ ีวินยั ในตนเองไวห้ ลายทา่ นพอสรุปไดด้ งั น้ี
นอคูณ กนั ยาสนธ์ิ (2548, หนา้ 11) ไดส้ รุปคุณลกั ษณะของผมู้ ีวินยั ดงั น้ี
1. สามารถควบคมุ ตนเองทางกาย วาจา ใจ รักความจริงไม่พดู ปด
2. สามารถพ่ึงตนเอง เช่น การรับผิดชอบในกิจวตั รประจาวนั
3. สามารถทากิจกรรมหรืองานท่ีทาใหส้ าเร็จไดด้ ว้ ยตนเอง
4. สามารถจดั เก็บส่ิงของใหเ้ ป็นระเบียบเรียบร้อย

113

5. รู้จกั รักษาส่ิงของตนเองและผอู้ ่ืน
6. มีระเบียบวินยั และตรงต่อเวลา
7. ปฏิบตั ิตามขอ้ ตกลงและกติกาไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
8. แสดงความคิดเห็นของตนเอง อีกท้งั ฟังความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน
9. เคารพในสิทธิและหนา้ ท่ีของกนั และกนั
สรุปไดว้ า่ คุณลกั ษณะผมู้ ีวินยั ในตนเองมี พฤติกรรมการแสดงออกดงั น้ี มีความตรงต่อเวลา เคารพสิทธิ
ของผอู้ ่ืน มีระเบียบปฏิบตั ิ ตามกฎเกณฑข์ องสังคม ท่ีมีลกั ษณะมุ่งอนาคต กลา้ คิด กลา้ ทาไม่กงั วลใจ มีความ
ขยนั หมน่ั เพยี รรู้จกั เสียสละเห็นอกเห็นใจผอู้ ื่น และยอมรับการกระทาของตนเอง

3. การปลูกฝังมโนสานึกทางจริยธรรม
สุทธิวรรณ ตนั ติรจนาวงศ์ รศ.ดร. และศศิกาญจน์ ทวิสุวรรณ รศ.ดร. ได้อธิบายถึงการ ส่งเสริมการ

ปลูกฝังคุณธรรม และจริยธรรมของกระทรวงศึกษาธิการไวว้ า่ กระทรวงศึกษาธิการได้ ประกาศนโยบายเร่งรัด
การปฏิรูปการศึกษา โดยยดึ คุณธรรมนาความรู้โดยใชค้ ุณธรรมเป็ นพ้ืนฐาน ของกระบวนการเรียนรู้ที่เชื่อมโยง
ความร่วมมือของสถาบนั ต่าง ๆ เพ่ือพฒั นาเยาวชนให้เป็ นคนดีมี ความรู้และอยู่ดีมีสุขโดยคุณธรรมพ้ืนฐาน
ประกอบดว้ ย

1) ประหยดั คือ ดาเนินชีวิตด้วยความเป็ นอยู่ท่ีเรียบง่าย รู้จกั ฐานะทางการเงิน ของตน รู้จกั เก็บออม
2) ซื่อสัตยค์ ือ ประพฤติตนใหต้ รงตอ่ เวลา ต่อหนา้ ที่ ตอ่ วชิ าชีพ มีความจริงใจ
3) มีวินยั คือ ปฏิบตั ิตนในขอบเขต กฎระเบียบของสถานศึกษา องคก์ ร ประเทศชาติ รวมถึงการมีวินยั
ตอ่ ตนเอง
4) สุภาพ คือ มีความออ่ นนอ้ มถอ่ มตนตามสถานภาพและกาลเทศะ
5) สะอาด คือ รักษาร่างกาย ท่ีอยอู่ าศยั และส่ิงแวดลอ้ มไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งตาม สุขลกั ษณะ
6) สามคั คีคือเปิ ดใจกวา้ งรับฟังความคิดเห็นของบุคคลรอบขา้ งท้งั ที่เป็นเพื่อน เป็นพห่ี รือเป็นนอ้ ง และรู้
บทบาทของตนเอง
7) มีน้าใจ คือรู้จกั แบง่ ปัน เสียสละความสุขส่วนตนเพ่อื ประโยชนข์ องส่วนรวม หรือผอู้ ื่นบา้ ง
8) ขยนั คือ มีความต้งั ใจเพียรพยายามทาหน้าท่ีการงานอย่างจริงจัง และต่อเน่ือง สู้งานกลา้ เผชิญ
อุปสรรค
กญั จน์คหฐั ปิ ยะกาญจน์ ไดอ้ ธิบายถึงการปลูกฝังคณุ ธรรม และจริยธรรมโดย ครอบครัวไวว้ า่ ผปู้ กครอง
ในครอบครัวของเยาวชน ไดใ้ ช้ วธิ ีการปลกู ฝังคณุ ธรรมแต่เยาวชนภายใน การดูแลของตน ดงั น้ี

114

1) โดยการส่ังสอนโดยตรงคือการบอกใหก้ ระทา หรือหา้ มไม่ให้กระทาส่ิงใด ๆ จะใชว้ ิธีการช้ีแนะ ส่ัง
สอนอบรมโดยตรงในเหตกุ ารณ์ที่เกิดข้ึนเฉพาะหนา้

2) การเป็นตน้ แบบ โดยมีตวั แบบ 3 ประเภท คอื
1. ตวั แบบจริง ไดแ้ ก่ ผปู้ กครองแสดงใหเ้ ห็นจริง
2. ตวั แบบสัญลกั ษณ์ไดแ้ ก่ ตวั แบบในโทรทศั น์ ภาพยนต์โดยการดูละคร หนังหรือรายการ

โทรทศั น์ร่วมกนั ระหวา่ งเยาวชนกบั ผู้ ปกครอง
3. ตวั แบบคาบอกเลา่ ไดแ้ ก่ การเลา่ ใหฟ้ ัง นาหนงั สือมาใหอ้ ่าน เช่น นิทาน เป็นตน้

3) สอดแทรกขณะทากิจกรรมยามวา่ งร่วมกนั
4) ใชห้ ลกั ศาสนา ไดแ้ ก่ การชวนบตุ รหลานเขา้ วดั ทาบุญ ฝึกใหส้ วดมนตก์ ่อน นอน เป็นตน้
ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม ได้นาเสนอข้ันตอนของการปลูกฝัง คุณธรรม
จริยธรรม ของสถานศึกษาไวด้ งั น้ี
1) มีคุณธรรมนาเป็ นนิจคือวิสัยทศั น์ปรัชญาและคาขวญั ของโรงเรียนจะตอ้ งมีแนวโน้มไปในทิศทาง
ของการส่งเสริมคณุ ธรรมจริยธรรมแก่นกั เรียน
2) ตน้ แบบคิด พูด ทาดี คือ ผบู้ ริหารจะตอ้ งเป็นผทู้ ี่มีความคิดดีไม่ย่อทอ้ ต่อ อุปสรรค มีภาวะความเป็ น
ผนู้ า เป็นกลั ยาณมิตรต่อผใู้ ต้ บงั คบั บญั ชาและลูกศิษยป์ ระพฤติตนอยใู่ นศีลธรรม ปัจจยั ตา่ ง ๆ น้ีเป็นเครื่องยนื ยนั
วา่ การปลกู ฝังคุณธรรมจริยธรรมในนกั เรียนก็มีโอกาส ประสบความสาเร็จ
3) สามคั คีพร้อมร่วมใจ คือ ครูบุคลากรของสถานศึกษา ตอ้ งเป็นหน่ึงในการ ผลกั ดนั โครงการต่าง ๆ ท่ี
เก่ียวของกบั คณุ ธรรมจริยธรรมดาเนินไปจนประสบความสาเร็จ
4) สร้างวนิ ยั ใจชุ่มชื่น คอื บรรยากาศในสถานศึกษาตอ้ งเอ้ือตอ่ การดาเนินชีวิต อยา่ งมีคณุ ธรรม

4. แนวทางการส่งเสริมพฒั นามโนสานกึ ทางจริยธรรม
สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษาได้กาหนดคุณลกั ษณะของคนไทยที่พึง

ประสงคเ์ ป็นคนเก่ง คนดีและมีความสุขโดยมีการพฒั นาที่เหมาะสมกบั วยั เพื่อเป็นกรอบ แนวทางในการส่งเสริม
คุณธรรม และจริยธรรมในนักเรียน ซ่ึงในมาตรฐานการจดั การศึกษาข้นั พ้ืนฐานไดก้ าหนดคุณธรรมจริยธรรม
และคา่ นิยมท่ีพึงประสงคข์ องผเู้ รียนไว้ 6 ประการคือ

1) ผเู้ รียนมีวินยั มีความรับผดิ ชอบ
2) ผเู้ รียนมีความซื่อสตั ยส์ ุจริต
3) ผเู้ รียนมีความกตญั ญกู ตเวที
4) ผเู้ รียนมีเมตตากรุณาโอบออ้ มอารี เอ้ือเฟ้ื อเผ่ือแผ่ ไมเ่ ห็นแก่ตวั

115

5) ผเู้ รียนมีความประหยดั และใชท้ รัพยากรอยา่ งคุม้ คา่
6) ผเู้ รียนปฏิบตั ิตนเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม
ประเวศ วะสี ไดก้ ลา่ วถึงระบบการศึกษาท่ีคณุ ธรรมนาความรู้วา่ อุปสรรคของการ พฒั นาคณุ ธรรม และ
จริยธรรมคือระบบการศึกษาที่เอาวิชาเป็ นตวั ต้งั มุ่งเน้นว่าเรียนวิชาอะไร ไดใ้ ชต้ าราอะไร สอบวิชาอะไรและ
สาเร็จวชิ าอะไร ในเรื่องน้ีท่านเจา้ คุณพรหมคุณาภรณ์ พูดมา ๒๐ – ๓๐ปี วา่ เป็นการศึกษาแยกส่วนแยกการศึกษา
จากชีวติ เดก็ ไม่อยากคยุ กบั พ่อแม่ป่ ูยา่ ตายายเพราะคยุ แลว้ ไม่ไดค้ ะแนนเพราะคะแนนไปอยู่ ในการทอ่ งตาราอนั
ท่ีแทจ้ ริงพ่อแม่ป่ ูย่าตายายมีความรู้ในตวั น่าจะ เรียนรู้หากนาจริยธรรมไปทาเป็นวิชาจริยธรรมก็จะไม่เกิดเพราะ
จริยธรรมไม่ใช่วชิ าเหมือนกบั ที่ท่านอาจารยพ์ ทุ ธทาสจะย้าวา่ การเรียนรู้ท่ีสาคญั ท่ีสุดคือการปฏิบตั ิและการไดผ้ ล
จากการปฏิบตั ิที่ เรียกวา่ ปฏิเวธคอื ผลจากการปฏิบตั ิ
ภณิชญา ชมสุวรรณ ไดก้ ล่าวถึง พระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ใน เรื่องเก่ียวกบั
คณุ ธรรมที่พึงประสงคอ์ นั เป็นแนวทางในการส่งเสริมคุณธรรม และจริยธรรมใหก้ บั คนไทย ไดแ้ ก่
1) พากเพียร หมายถึง พลงั ในการปฏิบตั ิตน ปฏิบตั ิงานโดยไม่ย่อทอ้ ต่อความ เหนื่อยยากลาบากและ
อุปสรรคจนสามารถทางานไดบ้ รรลุเป้าหมาย
2) เสริมสร้างคนดี หมายถึง การต้งั กฎเกณฑ์ระเบียบขอ้ บงั คบั ให้กบั ตนเอง โดย ใชป้ ัญญาพิจารณา
และวินิจฉยั การกระทา และความประพฤติมิใหผ้ ิดพลาดและเสื่อมเสีย
3) รู้รักสามคั คี หมายถึง การมีความรับผิดชอบในอนั ท่ีจะใช้ความรู้ความคิด ความสามารถในการ
เก้ือกลู สร้างสรรคร์ ่วมกบั ผอู้ ่ืนเพือ่ ประโยชนข์ องส่วนรวม
4) มีน้าใจ หมายถึง ความเอ้ือเฟ้ื อเผ่ือแผ่ให้ความช่วยเหลือแก่ผอู้ ื่น การให้อภยั ให้กาลงั ใจ ตลอดจน
รู้จกั การวางตวั อยา่ งเหมาะสมกบั กาลเทศะ
5) ใฝ่ ประหยดั หมายถึง การรู้จกั คิด วิเคราะห์พิจารณาในการใช้ทรัพยากรต่าง ๆ ให้เกิดประโยชน์
สูงสุดดว้ ยความประหยดั
6) ซื่อสัตยส์ ุจริต หมายถึง การใช้สติปัญญาในการกระทาให้เกิดประโยชน์อย่างใดอย่างหน่ึง ด้วย
ความบริสุทธ์ิใจระลึกถึงความถกู ตอ้ ง จนกระทงั่ ไดร้ ับความเช่ือมนั่ และงาน ประสบความสาเร็จ
7) เศรษฐกิจพอเพยี ง หมายถึง การยอมรับตนเองท้งั ในดา้ นความเป็นอยู่ ดา้ นความรู้ความสามารถเพ่ือ
เรียนรู้พฒั นาตนเองในการปฏิบตั ิงาน ยอมรับความคิดของผอู้ ื่น ไม่กา้ วก่ายในหนา้ ที่ของผอู้ ื่น
8) เรียงร้อยไมตรี หมายถึงการ มีวิสัยทศั น์ที่กวา้ งขวาง มีเหตุผล มีจิตใจมนั่ คง ไม่มีอคติรู้จกั ประสาน
สัมพนั ธก์ บั บคุ คลเพ่อื ใหบ้ รรลุเป้าหมายของงาน
9) หวงั ดีมีเมตตา หมายถึง การมีความคิดและจิตใจท่ีเปิ ดกวา้ ง หนกั แน่น มี เหตุผลไม่เห็นแก่ตวั ร่วม
แรงร่วมใจกบั ผอู้ ่ืน โดยถือเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลกั

116

ดวงเดือน พนั ธุมนาวิน กล่าวอธิบายถึงการพฒั นาคุณธรรมจริยธรรมของนกั ศึกษาใน ระดบั อุดมศึกษา
ไวว้ ่าจิตลกั ษณะดา้ นคุณธรรมจริยธรรมของนิสิตนักศึกษา เป็นส่ิงสาคญั ต่อ พฤติกรรมของบุคคลและมีบทบาท
ต่อคุณภาพชีวิตของบุคคลเหล่าน้ีต่อไปในอนาคต สถาบนั การศึกษาจึงควรมุ่งท่ีจะจดั การเรียนการสอนและ
กิจกรรมต่าง ๆ ท่ีจะช่วยพฒั นาจิตลกั ษณะสาคญั 10 ประการในนิสิตนกั ศึกษาไทย ประกอบดว้ ย
จิตลกั ษณะ 8 ดา้ น ไดแ้ ก่

1) การมีสติปัญญาข้นั นามธรรม
2) สุขภาพจิตดีและการปรับตวั ไดท้ างจิตสงั คม
3) การหยง่ั ลึกทางสงั คมสูง
4) ค่านิยมทางการศึกษาและการใฝ่รู้สูง
5) แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธ์ิสูง
6) เหตุผลเชิงจริยธรรมข้นั กฎเกณฑแ์ ละเหนือกฎ
7) มุ่งอนาคต ควบคมุ ตนเองสูง
8) เช่ืออานาจในตนเองมาก
ส่วนจิตลกั ษณะท่ีสาคญั ตอ่ นิสิตนกั ศึกษาโดยเฉพาะมี 2 ประการ
9) ทศั นคติคุณธรรม และค่านิยมของคนเก่ง ดี มีความสุข
10) จรรยาบรรณวิชาชีพ ซ่ึงหมายถึงคุณธรรม ค่านิยม และการเคารพกฎ ระเบียบ มีจริยธรรมตามท่ี
วชิ าการและวชิ าชีพของตนกาหนดไว้ เพ่อื การเป็นคนดีคนเก่ง และมีสุขในงาน อาชีพของตน
สรุปไดว้ า่ การท่ีจะส่งเสริมใหน้ กั ศึกษามีคุณธรรม และจริยธรรมน้นั สาคญั ท่ีสุดคือ สถาบนั การศึกษา
ท่ีจะจดั ระบบการเรียนการสอน รวมถึงวิชาที่เรียนใหเ้ ก้ือกูลสนบั สนุนให้ นกั ศึกษาตระหนกั ถึงความสาคญั ของ
คุณธรรม และจริยธรรม โดยจะตอ้ งปลูกฝังใหน้ กั ศึกษามี คุณธรรมในดา้ นต่าง ๆ อาทิความซื่อสัตยค์ วามมีน้าใจ
การมีความสามคั คีและเศรษฐกิจพอเพียง

117

แบบฝึ กหดั ท้าย บทท่ี 4

คาส่ัง จงเลือกคาตอบท่ีถกู ที่สุดแลว้ กากบาทลงในกระดาษคาตอบ ก ข ค ง

1. การที่ไม่พูดเทจ็ เป็นคนมีคุณลกั ษณะขอ้ ใด
ก. มีคุณธรรม
ข. มีจริยธรรม
ค. มีความซ่ือสตั ย์
ง. มีปิ ยวาจา

2. ความขยนั หมน่ั เพียร เป็นจริยธรรมดา้ นใด
ก. ดา้ นพุทธิพสิ ัย (Cognitive Domain)
ข. ดา้ นพุทธิปัญญา (Cognitive Domain)
ค. ดา้ นจิตพิสัย (Affective Domain)
ง. ดา้ นทกั ษะพสิ ัย (Psychomotor Domain)

3. ความเสียสละ เป็นคนมีคณุ ลกั ษณะขอ้ ใด
ก. มีคณุ ธรรม
ข. มีจริยธรรม
ค. ดา้ นจิตพสิ ัย (Affective Domain)
ง. ดา้ นทกั ษะพิสยั (Psychomotor Domain)

4. แนวคิดที่ว่า พฒั นาการทางคุณธรรมจริยธรรมของมนุษย์ ข้ึนอยู่กบั ความฉลาดในการรับรู้กฎเกณฑ์และ
ลกั ษณะตา่ ง ๆ เป็นแนวคิดของนกั คิดทา่ นใด
ก. อบั ราฮมั มาสโลว์ (Abraham Maslow)
ข. เพลโต (Plato)
ค. โคลเบอร์ก (Kohlberg)
ง. เพียเจต์ (Piaget)

5. ตามทฤษฎีพฒั นาการทางคณุ ธรรมจริยธรรมของโคลเบอร์ก (Kohlberg) การใชเ้ หตผุ ลเชิงจริยธรรม
ข้นั แสวงหารางวลั เป็นระดบั คุณธรรมจริยธรรมระดบั ใด
ก. ระดบั ปฐมวยั (pre-kindergarten)

118

ข. ระดบั ก่อนกฎเกณฑ์ (pre-conventional level)
ค. ระดบั ตามเกณฑ์ (convention level)
ง. ระดบั หลงั กฎเกณฑ์ (post-conventional level)

6. แนวคิดที่วา่ ดว้ ย บคุ คลมีความตอ้ งการเรียงลาดบั จากระดบั พ้ืนฐานที่สุดไปยงั ระดบั สูงสุด โดยแบง่ ลาดบั
ข้นั ความตอ้ งการของมนุษยอ์ อกเป็น 5 ข้นั เป็นแนวคดิ ของทา่ นใด
ก. อบั ราฮมั มาสโลว์ (Abraham Maslow)
ข. เพลโต (Plato)
ค. โคลเบอร์ก (Kohlberg)
ง. เพียเจต์ (Piaget)

7. เมตตา หมายความวา่ อยา่ งไร
ก. ความเป็นมิตรท่ีดีดว้ ยความบริสุทธ์ิใจมีความปรารถนาใหต้ นเองและผอู้ ื่นเป็นสุข ปราศจากความ

ทุกข์
ข. ความสงสาร คิดช่วยใหพ้ น้ ทกุ ข์ ใฝ่ใจในอนั จะปลดเปล้ืองบาบดั ความทกุ ขย์ ากเดือดร้อน
ค. ความยนิ ดี ในเมื่อผอู้ ื่นอยดู่ ีมีสุข มีจิตผอ่ งใสบนั เทิง
ง. ความวางใจเป็นกลาง

8. “ไม่คลอ้ ยตามพวกท่ีลากหรือชกั จูงไปในทางท่ีเสื่อมเสีย” เป็นความซื่อสตั ยล์ กั ษณะใด
ก. ความซ่ือสัตยต์ ่อตนเอง
ข. ความซ่ือสัตยต์ ่อหนา้ ที่การงาน
ค. ความซ่ือสตั ยต์ อ่ บุคคล
ง. ความซื่อสัตยต์ ่อคณะ สงั คม และประเทศชาติ

9. วนิ ยั แบ่งออกเป็นก่ีประเภท
ก. 1 ประเภท
ข. 2 ประเภท
ค. 3 ประเภท
ง. 4 ประเภท

10. ตามพระราชดารัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ในเร่ืองเกี่ยวกับคุณธรรมท่ีพึงประสงค์อันเป็ น
แนวทางในการส่งเสริมคณุ ธรรม และจริยธรรมใหก้ บั คนไทย ยกเวน้ ขอ้ ใด

119

ก. พากเพียร
ข. รู้รักสามคั คี
ค. มีน้าใจ
ง. ออ่ นนอ้ มถอ่ มตน

เฉลยแบบฝึ กหดั ท้ายบทท่ี 4
1. ก 2. ค 3. ข 4. ง 5. ข 6. ก 7. ก 8. ก 9. ข 10. ง

120

เอกสารอ้างองิ บทที่ 4

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2523: 147-148)
กรมวิชาการ (2548: 129-131)
กัญจน์คหัฐ ปิ ยะกาญจน์, “วิธีการปลูกฝังคุณธรรมจริยธรรมแก่เยาวชน”, วิทยานิพนธ์ ศึกษาศาสตร์

มหาบณั ฑิต, (บณั ฑิตวิทยาลยั : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2553), หนา้ 101-102.
ชูชัย อาจวิชัย. (2553). การวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่ วนร่ วมเพื่อพัฒนาการดาเนินงานเสริมสร้ างวินัย

นักเรียน. โรงเรียนร่มเกลา้ พิทยาสรรค์ สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามุกดาหาร. วิทยานิพนธ์
ค.ม. สกลนคร: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สกลนคร.
ชยั นนท์ นิลพฒั น์. (2555). จริยธรรมในการบริหารงานบุคคลของคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและ บคุ ลากร
ทางการศึกษา เขตพืน้ ที่การศึกษา. ดุษฎีนิพนธป์ ริญญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑิตสาขาวชิ าการ บริหารการศึกษา
มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.
ไชยพร เรืองแหล้. (2556). บทบาทของสถานศึกษาในการส่ งเสริมคุณธรรมจริยธรรมแก่นักเรียน,สังกัด
สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 1.วิทยานิพนธ์ปริ ญญาพุทธศาสตร
มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราช-วทิ ยาลยั .
ดวงพร อุทยั สุริ. (2548). ศึกษาพฤติกรรมเชิงคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษาวิทยาลัยการอาชีพในจังหวัด
สงขลา. วิทยานิพนธ์ปริญญาการศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ.
ดรุณี โอวจริยาพิทกั ษ์ และคณะ. (2557). การศึกษาคุณธรรมจริยธรรมของนักศึกษา กรณีศึกษานักศึกษา
คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลยั เทคโนโลยีราชมงคลพระนคร.มหาวิทยาลยั เทคโนโลยี
ราชมงคลพระนคร.
นงลักษณ์ วิรัชชัย และคณะ (2551). การวิจัยนาร่องการใช้ตัวบ่งชี้คุณธรรมจริยธรรมเพ่ือพัฒนาคุณธรรม
จริยธรรมในสถานศึกษา. ศูนยส์ ่งเสริมและพฒั นาพลงั แผน่ ดินเชิงคุณธรรม(ศูนยค์ ุณธรรม) สานกั งาน
บริหารและพฒั นาองคค์ วามรู้ (องคก์ ารมหาชน).
ปราณี ปริยวาที. (2551). การพัฒนาจริยธรรมของเด็กปฐมวัยโดยการเล่านิทานและการติดตามผล.ปริญญา
นิพนธก์ ารศึกษามหาบณั ฑิต สาขาวิชาการศึกษาปฐมวยั มหาวิทยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.

121

ประทีป มากมิตร. (2550). จริยธรรมของผ้บู ริหารสถาบนั อดุ มศึกษาเอกชน. ดุษฎีนิพนธน์ ้ีปรัชญาดุษฎีบัณ ฑิ ต
สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร.
ประเวศ วะสี, ระบบการศึกษาที่คุณธรรมนาความรู้, (กรุงเทพมหานคร : โรงเพิมพ์และทาปกเจริญ ผล

นนทบรุ ี, 2550), หนา้ 3-5.
ปวีณา ทิมทอง. 2544. ผลของโปรแกรมการจัดประสบการณ์ตรงที่มีต่อพฤติกรรมด้าน ความซ่ือสัตย์ของ

เด็กปัญญาอ่อน. วทิ ยานิพนธป์ ริญญามหาบณั ฑิต มหาวิทยาลยั เชียงใหม่.
พนสั หนั นาคินทร์ และคณะ. (2542). สร้างเสริมลกั ษณะนิสัย 6. กรุงเทพฯ: แมค็ .
พิศมัย เทียนทอง. (2553). การดาเนินการพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมด้านความซ่ือสัตย์. สุจริตของนักเรียน

โรงเรียนบา้ นเขามะกา สังกดั สานกั งานเขตพ้ืนที่การศึกษา. สระแกว้ เขต 1.
พิชิต บุญสาร. (2550). การพัฒนาการดาเนินงานเสริมสร้างวินัยนักเรียนด้านความรับผิดชอบของนักเรียน.

โรงเรียนนานกชุมวิทยาคม อาเภอวงั สามหมอ จังหวดั อุดรธานี. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม.
มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
พชั รินทร์ จนั ทร์ดาประดิษฐ์. (2553). การพัฒนาการจัดกิจกรรมเสริมสร้างวินัยนักเรียนด้านการทาความ
สะอาดและด้านการแต่งกาย. โรงเรียน ที โอ เอ วทิ ยา (เทศบาล 1 วดั คาสายทอง)สังกดั เทศบาล เ มื อ ง
มกุ ดาหาร. วิทยานิพนธ์ ค.ม.สกลนคร : มหาวิทยาลยั ราชภฏั สกลนคร.
พระไตรปิ ฎก ฉบบั บาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เลม่ ที่ 23 พระสุตตนั ตปิ ฎก เล่มที่ 15 องั คตุ ตรนิกาย สตั ตก-อฏั ฐก-
นวกนิบาต) ขอ้ ที่ 126 หนา้ ท่ี 187-189
พระบารุง ปญฺญาพโล (โพธ์ิศรี). (2554). ปัจจัยท่ีมีผลต่อการปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมของนักศึกษา,
วิทยาลยั เทคโนโลยีสยาม เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์การศึกษาพุทธศาสตร
มหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั มหาจุฬา-ลงกรณราชวิทยาลยั .
พระครูประโชติจนั ทวมิ ล (นาม จนฺทโชโต). (2555). การส่งเสริมคณุ ธรรมและจริยธรรมนักเรียน,
โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวงั นนทบุรี อาเภอปากเกร็ด จงั หวดั นนทบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธ
ศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง-กรณราชวทิ ยาลยั .
พระครูพุทธศาสนโ์ ศภณ, อภิชยั ชารีรักษ,์ และมนูญ จนั ทร์นวล (2530: 36-45)

122

พระมหาณัฐพล ดอนตะโก. (2551). คุณธรรมของผู้บริหารกับการปฏิบัติตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครู
ของครูในสถานศึกษาข้ันพื้นฐาน. สังกดั สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษากาญจนบุรี เขต 1.วิทยานิพนธ์
ปริญญาศึกษาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา มหาวิทยาลยั ศิลปากร.

ภณิชญา ชมสุวรรณ, “คุณธรรมท่ีพึงประสงค์ของนักศึกษาอาชีวะตามความต้องการของ ตลาดแรงงาน”,
รายงานการวิจัย, (ทุนสนับสนุนจากศูนย์ส่งเสริมและพฒั นาพลังแผ่นดินเชิงคุณธรรม: สานักงาน
จดั การองคค์ วามรู้, 2548), หนา้ 3.

รัตนากร วงค์ศรี และคณะ. (2550). การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมนักเรียนนักศึกษาโรงเรียนลาปาง
พาณิชยการและเทคโนโลยี. โรงเรียนลาปางพาณิชยการและเทคโนโลยี จงั หวดั ลาปาง.

รณชัย บุญลือ. (2548). การพัฒนาพฤติกรรมเชิงจริยธรรมด้านความรับผิดชอบ โดยใช้กิจกรรมที่มีการ
ประเมินผลตามสภาพจริงกับกิจกรรมที่มีการประเมินผลปกติ. ศูนยส์ ่งเสริมและพฒั นาพลงั แผ่นดิน
เชิงคณุ ธรรม สานกั งานบริหารและพฒั นาองคค์ วามรู้(องคก์ ารมหาชน).

ศูนยส่งเสริมและพฒั นาพลงั แผ่นดินเชิงคุณธรรม, สังคมคุณธรรม :คู่มือ การปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมใน
สถาบนั การศึกษา หน่วยงานของรัฐและเอกชน, หนา้ 36-44.

สุทธิวรรณ ตนั ติรจนาวงศ์รศ.ดร. และศศิกาญจน์ ทวิสุวรรณ รศ.ดร., รายงานการวิจัยการ ส่งเสริมคุณธรรมที่
มีประสิทธิภาพ กรณศี ึกษากลุ่มเดก็ /เยาวชนและข้าราชการภาครัฐ, หนา้ 25-26

สุภาพร สุขสวัสด์ิ. (2552). การพัฒนาคุณธรรมจริยธรรมของนักเรียนโรงเรียนสตรีนนทบุรี.ปริ ญญา
การศึกษาศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าการบริหารการศึกษา มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร.

สานกั รับรองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา, มาตรฐานตวั บ่งชีแ้ ละเกณฑ์การพฒั นาเพ่ือ ก า ร
ประเมินคุณภาพภายนอก ระดบั การศึกษาข้ันพื้นฐาน , (กรุงเทพมหานคร : บริษทั จุดทอง จ า กัด , 2550) ,
หนา้ 20.
สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา. (2553). แนวทางการพฒั นา การวดั และ ประเมนิ ผลคณุ ลกั ษณะ อั น พึ ง
ประสงค์ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา ข้นั พืน้ ฐาน. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พอ์ งคก์ ารรับส่ง สินค้าและพัสดุ
ภณั ฑ.์ การเสริมแรงทางสังคม. วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวิทยาลยั มหาสารคาม.
อภิญวฒั น์ โพธ์ิสาน ดร. สุขวิถี มนุษย์ ชีวติ ความสุข. พมิ พค์ ร้ังท่ี 3.คณะมนุษยศ์ าสตร์และสงั คมศาสตร์

มหาวิทยาลยั มหาสารคาม :หจก. อภิชาติการพิมพ,์ 2553.

123

อรุณี ถนดั คา้ . (2551). การดาเนินงานเพ่ือเสริมสร้างความรับผิดชอ บของนักเรียน. โรงเรียนบา้ นทรัพย์
วงั ทอง อาเภอเซกา จงั หวดั หนองคาย. การศึกษาคน้ ควา้ อิสระ กศ.ม. มหาสารคาม: มหาวทิ ยาลยั
มหาสารคาม.

อทุ ิศ ทาหอม. (2554).บทบาทของครูด้านผู้นาทางคุณธรรมจริยธรรม ในทัศนะของนักศึกษาระดับอดุ มศึกษา.
วทิ ยานิพนธก์ ารศึกษาศิลปศาสตรมหาบณั ฑิต (การบริหารการพฒั นาสังคม) สถาบนั บณั ฑิตพฒั นบริ

หารศาสตร์.


Click to View FlipBook Version