จั ด ทำ โ ด ย
น า ย ดิ ส ร ณ์ จั น ท ร์เ พ ช ร นิ สิ ต ชั้น ปี ที่ 2
เ อ ก คู่ ก า ร ศึ ก ษ า เ พื่ อ พั ฒ น า ชุ ม ช น ก า ร จั ด ก า ร เ รีย น รู้วิ ท ย า ศ า ส ต ร์
รายงาน
เร่ือง “กลวิธีการสอนแบบเอก็ ซพ์ ลิซิท (Explicit Teaching Method)”
เสนอ
อาจารย์ กิตติชยั สุธาสโิ นบล
จดั ทำโดย
นายดสิ รณ์ จันทรเ์ พชร รหสั นิสิต 63105010018
นสิ ิตคณะศกึ ษาศาสตร์ เอกคู่การศกึ ษาเพือ่ พัฒนาชมุ ชน การจดั การเรยี นรู้วิทยาศาสตร์
รายงานน้ีเป�นสว่ นหนึ่งของการศึกษารายวชิ า ศษ 232 วิธวี ทิ ยาการจดั การเรยี นรู้
มหาวทิ ยาลยั ศรนี ครินทรวิโรฒ ภาคการศึกษาท่ี 2 ป�การศึกษา 2564
2
คำนำ
รายงานเล่มนี้จัดทำขึ้นเพื่อเป�นส่วนหนึ่งของวิชา ศษ 232 วิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ได้
ศึกษาหาความรู้ในเรื่องของกลวิธีการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนโดยการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท
ซึ่งจากการศึกษาในเรื่องของกลวิธีการจัดการเรียนการสอนในห้องเรียนโดยการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิทได้มี
การศึกษาค้นคว้าข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับกระบวนการสอนเพื่อที่จะศึกษา และเข้าใจในเรื่องของการสอน
แบบเอก็ ซ์พลซิ ทิ เพือ่ เปน� ประโยชนต์ ่อการศึกษาในรายวิชา
ผู้จัดทำได้เลือกหัวข้อนี้ในการทำรายงานเนื่องมาจากเป�นเรื่องที่น่าจะเป�นประโยชน์ต่อผู้เรียน
และมีความน่าสนใจ รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการจัดการเรียนรู้โดยรูปแบบของเอ็กซ์พลิซิท
ผู้จัดทำหวังวา่ รายงานเลม่ นี้จะเป�นประโยชน์กับการศึกษาในรายวิชา ศษ 232 วิธีวิทยาการจัดการเรียนรู้
ไมม่ ากก็นอ้ ยหากมีข้อผิดพลาดประการใด คณะผู้จัดทำขอนอ้ มรบั ไว้และขออภัยมา ณ ที่นดี้ ว้ ย
นายดิสรณ์ จนั ทรเ์ พชร
ผู้จดั ทำ
3
สารบัญ
บทท่ี หน้า
1. แนวคดิ ทฤษฎีกลวิธีการสอนแบบเอ็กซพ์ ลิซิท (Explicit Teaching Method) .................................. 5
2. กลวธิ กี ารสอนแบบเอ็กซ์พลซิ ทิ (Explicit Teaching Method) ...................................................... 7
3. ขนั้ ตอนการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method) ................................................... 7
4. การประยุกต์กลวธิ ีการสอนแบบเอ็กซพ์ ลิซิทในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี........................ 12
5. ขอ้ ดีของกลวธิ กี ารสอนแบบเอ็กซ์พลซิ ทิ (Explicit Teaching Method)........................................ 13
6. ข้อจำกดั ของกลวิธกี ารสอนแบบเอ็กซ์พลซิ ิท (Explicit Teaching Method).................................. 13
7. ตวั อยา่ งแผนการสอนแบบเอ็กซ์พลซิ ทิ (Explicit Teaching Method) .......................................... 14
บรรณานกุ รม .............................................................................................................................. 20
4
บญั ชภี าพประกอบ
ภาพประกอบ หนา้
ภาพประกอบท่ี 1 การทบทวนรายสปั ดาหแ์ ละรายเดือน........................................................................ 10
ภาพประกอบท่ี 2 แผนผังข้ันตอนการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method).................. 11
ภาพประกอบท่ี 3 การประยกุ ตก์ ลวธิ กี ารสอนแบบเอ็กซ์พลิซิทในรายวิชาวิทยาศาสตร์.......................... 12
ภาพประกอบที่ 4 ช้นิ งานแผนผังมโนทัศนข์ องนกั เรียนในการทบทวนความรูเ้ รื่องโครงสร้างใบ.............. 13
5
รายงานเรอื่ ง
“กลวธิ ีการสอนแบบเอก็ ซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method)”
1. แนวคิดทฤษฎีกลวธิ กี ารสอนแบบเอก็ ซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method)
แนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป�นพื้นฐานของวิธีจัดการเรียนรู้แบบเอ็กซ์พลิซิทนั้น ได้แก่ ทฤษฎี
การสรา้ งองคค์ วามรูด้ ว้ ยตนเอง (Constructivism) ดังท่ี พรพมิ ล พรพรี ชนม์ ไดเ้ สนอวา่ ทฤษฎพี ฒั นาการ
ทางเชาว์ปญ� ญาของเพยี เจต์ (Piaget) เป�นรากฐานที่สำคัญของการสร้างความร้ดู ้วยตนเอง พัฒนาการทาง
เซาว์ป�ญญาของบุคคลมีการปรับตัวผ่านทางกระบวนการซึมซาบหรือดูดซึม (Assimilation) และ
กระบวนการปรับโครงสร้างทางป�ญญา (Accommodation) เมื่อบุคคลได้รับประสบการณ์ใหม่เข้าไป
สัมพันธ์กับความรู้หรือโครงสร้างทางป�ญญาที่มีอยู่เดิม หากไม่สัมพันธ์กันจะเกิดภาวะไม่สมดุล
(Disequilibrium) บุคคลจะพยายามปรับสภาวะให้อยู่ในสภาวะสมดลุ โดยใช้กระบวนการปรับโครงสร้าง
ทางปญ� ญา (Accommodation)
เพียเจต์ (Piaget) เชื่อว่าคนทุกคนจะมีพัฒนาการเขาว์ป�ญญาไปตามลำดับขั้นจากการมี
ปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ และประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการคิดเชิงตรรกะ และคณิตศาสตร์
(Logic-Mathematical Experience) รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ทางสังคม (Social Transmission) วุฒิ
ภาวะ (Maturity)และกระบวนการพัฒนาความสมดลุ (Equilibrium) ของบุคคลนน้ั การประยุกต์ใช้ทฤษฎี
ในการจัดการเรียนรู้ พรพิมล พรพีรชนม์ กล่าวว่าการนำทฤษฎีการสร้างความรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน
สามารถทำได้หลายประการดังน้ี
1. ตามทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ ผลของการเรียนรู้จะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้
และการตระหนักรู้ในกระบวนการนั้น เป้าหมายการเรียนรู้จะต้องมาจากการปฏิบัติจริง ดังนั้นผู้สอน
จะต้องเป�นแบบอย่างและฝ�กฝนกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เห็นจริง รวมถึงจัดประสบการณ์ให้ผูเ้ รยี น
ได้ฝ�กฝนการสรา้ งความรู้ด้วยตนเอง โดยอาจกำหนดการเรยี นการสอนให้เห็นเรื่องหรือป�ญหาที่มีขอบเขต
กว้างและสามารถมองเห็นความสมั พันธข์ องกิจกรรมการเรียนในแตล่ ะครงั้
2. ในการเรียนการสอนแบบสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ผู้สอนจะมีบทบาทต่างไปจากเดิมจาก
การเป�นผู้ถ่ายทอดความรู้และควบคุมการเรียนรู้ ไปเป�นผู้อำนวยความสะดวกและช่วยเหลือผู้เรยี นในการ
เรยี นรู้ หรือเปลี่ยนจาก "การให้ความร"ู้ ไปเปน� "การใหผ้ ้เู รยี นสร้างองค์ความรู"้ บทบาทของผู้สอนจะต้อง
ทำหน้าที่ช่วยสร้างแรงจูงใจภายในให้เกิดแก่ผู้เรียน จัดเตรียมกิจกรรมการเรียนรู้ที่ตรงกับความสนใจ
และรูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน ดำเนินกิจกรรมให้เป�นไปในทางที่ส่งเสริมพัฒนาการของผู้เรียน
นอกจากนั้นผู้สอนยังต้องมีความเป�นประชาธิปไตยและมีเหตุผลโดยส่งเสริมให้ผู้เรียนเป�นเจ้าของ
6
หัวข้อการเรยี นการสอน อาจนำป�ญหาหรือหวั ข้อมาจากผเู้ รยี นและใช้ป�ญญานัน้ เปน� แรงกระตุ้นการเรียนรู้
ของผเู้ รียน
3. ออกแบบการเรียนรู้ทีม่ ลี ักษณะสมจรงิ โดยกำหนดบรบิ ทของการเรียนรู้ที่กระตนุ้ ใหผ้ ู้เรียนได้
ใช้ความคิด บริบทการเรียนรู้ที่มีความสมจริงคือ การจัดสถานการณ์ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้
สติป�ญญาทม่ี ีลกั ษณะเดยี วกันกับทผ่ี ้เู รยี นจะตอ้ งนำไปใชใ้ นอนาคต
4. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมโี อกาสวิเคราะห์เนื้อหาและกระบวนการเรียนการสอนในห้องเรยี น โดยใช้
หลักการสร้างองคค์ วามรดู้ ้วยตนเอง การสรา้ งบรรยากาศการเรียนร้ดู งั กลา่ วควรมีลักษณะดงั นี้
o ผู้เรยี นเป�นเจา้ ของความคิดมากกว่าเป�นผรู้ ับสารหรอื ซึมชับขอ้ มลู
o การสื่อสารของผู้สอนจะเป�นลักษณะกระตุ้นให้ผู้เรียนคิด โดยไม่ต้องบอกหรือตอบ
คำถามตรงๆ ผู้เรียนต้องเรียนร้วู ธิ แี ปลความหมายสิ่งท่ีผ้สู อนพูดเพื่อนำมาใชห้ าคำตอบที่
ผเู้ รยี นต้องการ
o ผู้เรียนเรียนรู้ดว้ ยความเข้าใจ
o สิง่ ทผ่ี ู้เรียนเข้าใจ เป�นสิง่ ท่ีผู้เรียนสรา้ งขนึ้ ไมใ่ ช่การลอกเลียนแบบแนวคดิ ของผูส้ อน
o ส่ิงท่เี รียนและวธิ ีเรียนมผี ลกระทบจากบรบิ ทของสงั คม
5. ผู้สอนยอมรับและส่งเสริมการริเริ่มความเป�นตัวของตัวเองของผู้เรียน การยอมรับความคิด
ของผู้เรียนและส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดอย่างอิสระ จะเป�นการช่วยพัฒนาความมีเอกลักษณ์ทาง
วิชาการเฉพาะตัวของผู้เรียน การตั้งคำถามและประเด็นแล้วนำมาวิเคราะห์และหาคำตอบด้วยตนเอง
จะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเป�นคนที่รับผดิ ชอบท่ีจะหาความรแู้ ละแก้ป�ญหาด้วยตนเองต่อไป
6. ผู้สอนควรออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดที่ขับข้อนยิ่งขึ้นจะ
ชว่ ยกระต้นุ ให้ผู้เรยี นไม่พอใจความรู้อย่างงา่ ย ๆ แตส่ ามารถเชื่อมโยงและสรุปความคิดรวบยอดต่างๆ โดย
การวิเคราะห์ ทำนายและให้คำอธบิ ายความคดิ ของตนได้ เป�นการพฒั นาความคิดขั้นสูงของผู้เรียน
ส ร ุ ป ไ ด ้ ว ่ า ท ฤ ษ ฎ ี ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ ท ี ่ เ ป � น พ ื ้ น ฐ า น ข อ ง ก า ร จ ั ด ก า ร เ ร ี ย น ร ู ้ แ บ บ เ อ ็ ก ซ ์ พ ล ิ ซิ ท
(Explicit Teaching Model) นั้นคือทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ป�ญญาของเพียเจต์ (Piaget) อันเป�น
รากฐานที่สำคัญของการสร้างความรู้ด้วยตัวเองโดยบุคคลมีการปรับตัวผ่านทางกระบวนการซึมซาบ
หรือดูดซึม (Assimilation) และกระบวนการปรับโครงสร้างทางป�ญญา (Accommodation) เมื่อบุคคล
ได้รับประสบการณ์ใหม่เข้าไปสมั พันธ์กับความรู้หรือโครงสร้างทางป�ญญาที่มีอยู่เดิม หากไม่สัมพันธ์กันจะ
เกิดภาวะไม่สมดุล (Disequilibrium) บุคคลจะพยายามปรับสภาวะให้อยู่ในสภาวะสมดุล(Equilibrium)
โดยใช้กระบวนการปรับโครงสร้างทางปญ� ญา (Accommodation) การเชื่อมโยงความรู้เดมิ ซึ่งเป�นฐานใน
การเรยี นรู้สง่ิ ใหม่ ซึง่ จะทำใหผ้ เู้ รียนสามารถนำความรูท้ ไี่ ดไ้ ปใช้อยา่ งมีความหมาย
7
2. กลวธิ กี ารสอนแบบเอก็ ซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method)
ศริดา เอียดแก้ว ได้กล่าวถึงวิธีการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิทไว้ว่า เป�นการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ที่เหมาะสมให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความจำ ความเข้าใจเนื้อหาและสามารถนำไปใช้ได้โดยมี 6 ขั้นตอน
ในการสอน เหมาะกับเนอ้ื หาท่เี ป�นความรู้ หรือหลกั การ ซง่ึ มี 6 ข้นั ตอน
1. การทบทวนเนือ้ หาและการบ้าน
2. การเสนอเนอื้ หาใหม่
3.การฝ�กปฎิบตั โิ ดยครูคอยแนะนำอยา่ งใกลช้ ิด
4. การให้ข้อมูลย้อนกลบั และการแก้ไขข้อบกพร่อง
5. การใหฝ้ �กปฏบิ ตั ิโดยอสิ ระตามลำพัง
6. การทบทวนเปน� รายสปั ดาห์ และเปน� รายเดอื น
สายัณห์ พลแพน ได้กลา่ วถึงวธิ กี ารสอนแบบเอก็ ซ์พลิซิทไว้ว่า เป�นรูปแบบวิธีการสอนแบบเอ็กซ์
พลิซิท หรือการจัดการเรียนการสอนแบบชัดแจ้ง พัฒนาโดยโรเซ็นซายน์ และสตีเวนส์ ประกอบด้วย
6 ข้นั ตอน คอื
1.ขนั้ ทบทวนความรเู้ ดมิ และตรวจการบา้ น
2. ข้ันนำเสนอเน้อื หาสาระหรือทักษะใหม่
3. ขัน้ ทำให้ผู้เรียนฝ�กปฏบิ ตั ิ
4. ขั้นให้ขอ้ มูลปอ้ นกลบั และแกไ้ ขการปฏบิ ตั ขิ องผู้เรียน
5. ขั้นให้ผู้เรียนฝก� ปฏิบตั อิ ยา่ งอสิ ระ
6. ข้นั การทบทวนฝก� ปฏบิ ัตริ ายสัปดาห์และรายเดอื น
จากการกล่าวข้างต้นของ ศริดา เอียดแก้ว และ สายัณห์ พลแพน จึงสรุปได้ว่าการสอนแบบ
เอก็ ซ์พลซิ ทิ (Explicit Teaching Method) เป�นกระบวนการสอนที่เน้นการทบทวนประจำวัน
ประจำสัปดาห์และประจำเดือน มีการตรวจสอบการบ้าน และมีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนตามจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ส้ัน ๆ เข้าใจงา่ ยได้คำตอบท่ถี ูกตอ้ งรวดเร็วและแนน่ อน
3. ขนั้ ตอนการสอนแบบเอก็ ซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method)
ข้นั ตอนของวธิ ีสอนแบบเอก็ ซพ์ ลซิ ทิ (Explicit Teaching Method) มี 6 ขั้นตอนดังต่อไปนี้
ขั้นตอนที่ 1 ทบทวนประจำวนั และตรวจสอบการบา้ น มขี ัน้ ตอนดงั น้ี
1.1 ตรวจการบา้ น (ครูอาจใหน้ ักเรยี นช่วยกนั ตรวจการบ้าน)
8
1.2 สอนใหม่เมอ่ื จำเปน� ในเน้อื หาทส่ี ำคัญๆ
1.3 ทบทวนความรเู้ ดิมทเี่ กีย่ วขอ้ งกับความรู้ใหม่และครูอาจซกั ถามเพ่มิ เติม
1.4 ฝก� ปฏิบัติ
ข้ันตอนท่ี 2 การนำเสนอสาระความรู้ มีขัน้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ดงั นี้
2.1 แจ้งจุดประสงค์การเรียนร้สู ้นั ๆแต่เข้าใจง่าย
2.2 เสนอโครงสรา้ งและภาพรวมของสาระความรู้
2.3 เร่มิ สอนเนอื้ หาทีละนอ้ ยทีละขัน้
2.4 ซักถามนกั เรียนเพือ่ เปน� การตรวจสอบความเขา้ ใจ
2.5 เน้นประเดน็ ทส่ี ำคญั ใหน้ กั เรียนทราบ
2.6 อธิบายใหต้ วั อยา่ ง อย่างชัดเจน
2.7 สาธิตและทำแบบให้ดู
2.8 อธบิ ายรายละเอียดและยกตวั อยา่ งประกอบประเด็นเนือ้ หาท่ีสำคัญ ๆ
ข้นั ตอนท่ี 3 การปฏิบตั ิโดยครูคอยแนะนำ มีข้นั ตอนการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้ ดังนี้
3.1 การฝ�กนกั เรยี นในระยะแรกครูควรคอยช่วยเหลอื แนะนำโดยตลอด
3.2 ซักถามนักเรียนบอ่ ยๆถามคำถามใหม้ ากเพ่ือใหน้ ักเรยี นตอบและให้ฝ�กอยา่ งเพียงพอ
3.3 คำถามท่ถี ามควรเก่ียวข้องกับเน้ือหาใหม่หรือทักษะใหม่
3.4 ครูตรวจสอบความเขา้ ใจโดยประเมินจากคำตอบของนักเรียน
3.5 ระหว่างตรวจสอบความเข้าใจ ครูจะให้คำอธิบายเพิ่มเติม ให้ข้อมูลย้อนกลับหรืออธิบาย
ซ้ำ(ถ้าจำเป�น) และให้นักเรียนมีการตอบสนองและให้ข้อมูลย้อนกลับ ครูควรแน่ใจว่านักเรียนคนมี
ส่วนรว่ มในการเรียนรู้
3.6 การใหฝ้ �กปฏบิ ตั ิในระยะแรก ครคู วรคอยแนะนำจนนกั เรียนสามารถปฏิบตั ิเองโดยลำพัง
3.7 การฝ�กปฏิบัติควรทำอย่างต่อเนื่องจนกว่านักเรียนจะชำนาญถงึ ขั้นที่นกั เรยี นนักเรียนทำ
ได้ 80 % ในข้ันตอนน้มี ขี ้อเสนอแนะในการตรวจสอบความเข้าใจเพ่ือจะได้แก้ไขความผิดพลาด ความ
บกพรอ่ ง ด้วยกจิ กรรมดงั นี้
(1) เตรียมคำถามไว้ล่วงหน้าให้มากเพื่อถามให้นักเรียนตอบอย่างทั่วถึงและคำตอบที่ได้
ควรเปน� คำตอบทตี่ รงประเด็นสำคัญ หรอื ตรงตามในเรอ่ื งหรือทกั ษะที่สอน
(2) ใหน้ กั เรียนสรปุ กฎหรอื กระบวนการด้วยตนเอง
(3) ใหน้ กั เรียนตอบโดยเขยี นคำตอบในสมดุ
(4) หลังจากการสอน ครูควรให้นกั เรยี นเขียนสาระหรือประเดน็ สำคญั ของบทเรยี น
และสรุปประเด็นสำคัญลงในสมุด
9
ดงั นัน้ การตรวจสอบความเขา้ ใจจงึ มีความสำคัญและจำเปน� เพ่ือเป�นการทบทวนเนื้อหาสาระท่ี
เรียนผา่ นมาและย้ำเพ่ือความเข้าใจของผู้เรยี น
ขัน้ ตอนท่ี 4 การแกไ้ ขให้ถูกต้อง และการให้ขอ้ มลู ย้อนกลับ มีขนั้ ตอน ดงั นี้
4.1 ครคู วรรับรแู้ ละตอบรับคำตอบทร่ี วดเรว็ และมน่ั ใจของนักเรียนอย่างสั้นๆ เชน่ ถกู ต้อง หรือ
คำชมอ่ืนๆ
4.2 คำตอบทีล่ ังเลของนักเรยี นครอู าจต้องให้ข้อมูลย้อนกลับ ให้ตอบอย่างมนั่ ใจ
4.3 การตอบผดิ หรือปฏิบัตผิ ิดของนักเรียนบ่งบอกถงึ ความจำเป�นในการฝ�กเพม่ิ
4.4 ตรวจสอบติดตามบทเรียนของนักเรยี นเสมอ
4.5 พยายามให้การตอบสนองทุกคำถามท่ีนักเรียนถาม
4.6 การแก้ไขการตอบผิดของนักเรียน ครูควรให้ข้อมูลเพิ่มเติม เช่น ถามคำถามให้ง่ายขึ้น ให้
คำแนะนำ อธิบาย ทบทวน หรือสอนใหม่ในขัน้ สดุ ทา้ ย
4.7 ถามคำถามซ้ำจนกวา่ จะถูกตอ้ ง
4.8 การให้ฝ�กปฏิบัติโดยครูคอยแนะนำการแก้ไขควรทำต่อไป จนกว่าครูจะแน่ใจว่านักเรียน
บรรลผุ ลสำเร็จตามวตั ถุประสงคข์ องบทเรียน
4.9 ให้คำชมเชยแต่พอควร ในเรื่องทีเ่ ฉพาะเจาะจง จะทำให้มีประสทิ ธิภาพมากกว่าการชมเชย
พรำ่ เพรือ่
ในประเด็นของการให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาดของนักเรียนมีข้อเสนอเพื่อการ
ตอบสนองคำตอบของนักเรยี น ดงั น้ี
(1) ตอบถูกต้องเร็วด้วยความมั่นใจในคำตอบโดยปกติพฤติกรรมนักเรียน จะปรากฎในช่วงการ
เรียนตอนแรกๆ ตอนที่มีการทบทวน ครูควรถามคำถามใหม่ๆ พร้อมทั้งมีการฝ�กเพิ่มเติมและกล่าวคำ
ชมเชย
(2) ตอบถูกแต่ลังเลไม่แน่ใจ จะปรากฎในการเรียนในตอนต้นหรือในช่วงให้ฝ�กโดยมีครูคอย
แนะนำ ครูควรใหข้ ้อมูลย้อนกลับหรือตอบสนองกลบั ดว้ ยคำพดู ส้ันๆ เช่น ถูกตอ้ ง ดมี าก การให้ข้อมูล
ยอ้ นกลบั ในลกั ษณะนีค้ รูควรใหข้ ้อมลู เพิ่มเติมเพื่อให้นกั เรียนเข้าใจวา่ คำตอบน้ันถูกตอ้ งเพราะอะไร
(3) ถา้ นกั เรยี นตอบผดิ เพราะสะเพร่าควรใหก้ ารทบทวนแก้ไขและใหข้ ้อมูลย้อนกลบั ทนั ที
(4) ตอบผิดเพราะไม่มีความรู้ ไม่จำเนื้อหาสาระ นักเรียนที่ตอบผิดในช่วงต้นซึ่งเป�นระยะการ
เรียนเนื้อหาสาระใหม่ ชี้ให้เห็นว่า มีความรู้ไม่แน่นพอ ไม่รู้จริงเกี่ยวกับสาระความรู้นั้น ครูควรแก้ไข
เช่น ครูชี้นำเสนอแนะแนวทางเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้อง โดยถามคำถามใหม่และง่ายพร้อมท้ัง
ยกตัวอย่างและเหตุผลประกอบ , สอนใหม่ สำหรับนักเรียนที่ไม่เข้าใจ , บอกเป�นนัย ถามคำถามที่
งา่ ยๆ หรอื ทำการสอนใหม่
10
ข้นั ตอนที่ 5 การฝก� อย่างอสิ ระ (ฝก� ปฏบิ ตั ทิ ีโ่ ตะ๊ ) มีข้อเสนอแนะการจดั การเรยี นรู้ ดงั น้ี
5.1 ให้นักเรียนฝ�กอย่างเพยี งพอ
5.2 ฝก� ทักษะเน้ือหาสาระท่ีเรยี นไปแลว้
5.3 ฝ�กเพอ่ื ให้เกิดความชำนาญ
5.4 การฝ�กปฏบิ ัตโิ ดยลำพงั ควรปฏบิ ตั ิได้ถูกตอ้ ง 95%
5.5 นักเรียนจะตน่ื ตัว ถา้ การใหฝ้ �กปฏบิ ตั ิ ได้โดยมีการติดตามตรวจสอบ
5.6 กระต้นุ ให้นักเรยี นมคี วามรบั ผดิ ชอบในงานที่ตนเองปฏิบตั ิ และมคี วามกระตือรอื รน้ เสมอ
การฝ�กปฏบิ ตั ทิ โ่ี ตะ๊ เพอื่ ให้การปฏบิ ตั กิ ิจกรรมโดยลำพงั ท่ีมีประสิทธภิ าพ ควรปฏิบัตดิ งั นี้
(1) ครูควรเดินดูนกั เรียนทำงาน ใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลับ ถามคำถามและอธบิ ายส้นั ๆ อย่างทว่ั ถงึ
(2) ครูควรจัดที่นั่งให้มองเห็นนักเรียนทงั้ ช้นั ในขณะปฏิบัติงาน
(3) ครูควรวางแผนการปฏิบัติกิจกรรมโดยให้นักเรียนฝ�กปฏิบัติอย่างอิสระ ครูต้องจัด
กิจกรรมให้เปน� ไปตามจุดประสงค์ โดยความมุ่งหวังใหน้ ักเรยี นสามารถตอบได้โดยอัตโนมัติ โดยการท่ี
ใหน้ กั เรียนฝ�กปฏบิ ตั ิมาก ๆ
ขนั้ ตอนที่ 6 การทบทวนรายสปั ดาหแ์ ละรายเดือน มีขอ้ เสนอการจัดการเรียนรู้ดังน้ี
6.1 ทบทวนเนื้อหาที่เรียนไปแล้วอย่างเป�นระบบโดยทบทวนเป�นประจำสัปดาห์ และทบทวน
ประจำเดือน การทบทวนของครูช่วยให้ครูได้ตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน และเพื่อให้แน่ใจว่า
ความรูท้ กั ษะที่เรียนไปแลว้ นักเรียนรแู้ ละปฏบิ ตั เิ ข้าใจเปน� อยา่ งดีและเพอ่ื ความคงทนของความรู้
6.2 ตรวจการบา้ นทใ่ี หท้ ำ
6.3 ทดสอบบอ่ ย ๆ
6.4 สอนใหม่ในเนือ้ หาที่บกพร่อง
ภาพประกอบที่ 1 การทบทวนรายสัปดาห์และรายเดือน
ทีม่ า : https://www.google.com/url?sa=i&url=https%3A%2F%2Fwww.ama
11
จากข้างตน้ สรุปได้วา่ วธิ ีการสอนแบบเอก็ ซ์พลซิ ิท ประกอบดว้ ย 6 ขนั้ ตอน
1. ขนั้ ทบทวนความรู้เดิมและตรวจการบ้าน คอื ใหค้ รทู บทวนความรู้ ก่อนท่ีจะเริ่มเรียน
ความรู้ใหม่ โดยมกี ารฝ�กปฏิบัติ หรอื การทำแบบฝก� ทักษะ
2. การนำเสนอสาระความรใู้ หม่ คือ ครูจะชแ้ี จงจดุ ประสงค์การเรียนรสู้ นั้ ๆ แต่เข้าใจง่าย
จะมีการเริ่มเข้าเนื้อหาทีละน้อย เน้นสอนประเด็นสำคัญ โดยอธิบายและยกตัวอย่างประกอบให้
ชัดเจน
3. การฝ�กปฏิบัติโดยมีครูแนะนำ คือ จะเป�นการให้ทำแบบฝ�กหัด การให้นักเรียนถาม
หรือตอบคำถามหลายๆ คำถาม เพื่อตรวจสอบความเขา้ ใจ และมีส่วนรว่ มในการเรยี นรู้
4. กาขั้นให้ข้อมูลป้อนกลับและแก้ไขการปฏิบัติของผู้เรียน คือ ให้ครูตอบกลับคำตอบ
ของนักเรียนให้ถูกต้อง มั่นใจ หรอื จะให้ขอ้ มลู เพ่มิ เติม และควรจะมคี ำชมเชยให้นักเรียนเล็กน้อย
5. การฝ�กอย่างอิสระ คือ ให้นักเรียนฝ�กปฏิบัติโดยลำพัง และสามารถปฏิบัติถูกต้อง
95% หรือเกิดความชำนาญในการฝก�
6. การทบทวนรายสัปดาห์และรายเดือน คือ ให้ครูทบทวนเป�นประจำสัปดาห์ และ
อาทิตย์ เพื่อให้แน่ใจว่าความรู้ ทักษะที่เรียนไปแล้ว นักเรียนรู้และปฏิบัติเข้าใจเป�นอย่างดีและเพื่อมี
ความรูท้ ่คี งทน
ดังนั้น การทำวิธีการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท 6 ขั้นตอน ทำให้เป�นรูปแบบการสอนที่เน้น
การเข้าใจจรงิ และการฝก� จนเกดิ เป�นทักษะ ซ่งึ จะชว่ ยใหน้ กั เรยี นเกดิ ความมั่นใจ สามารถนำไปใช้เป�น
พนื้ ฐานการศกึ ษาในระดบั สูงขึ้นได้ดี
ภาพประกอบที่ 2 แผนผงั ขั้นตอนการสอนแบบเอก็ ซ์พลซิ ิท (Explicit Teaching Method)
ที่มา : http://www.thaischool.in.th/_files_school/80101276/workteacher
12
4. การประยุกต์กลวิธีการสอนแบบเอ็กซพ์ ลซิ ิทในรายวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
การสอนโดยแบบเอ็กซ์พลิซิทในรายวิชาวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี มีลักษณะสำคัญคือ
เป�นการสอนที่สะท้อนลักษณะสำคัญของวิทยาศาสตร์คือ การใช้ทักษะกระบวนการต่าง ๆ เพื่อสืบเสาะ
สำรวจ ดว้ ยวธิ กี ารท่ีหลากหลายเพื่ออธิบายปรากฏการณ์ หรอื ตอบคำถามทางวทิ ยาศาสตร์ โดยปกติแล้ว
การสืบเสาะหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ไม่ยึดติดรูปแบบหรือขั้นตอนสามารถปรับประยุกต์ไปตามข้อมูล
แนวคิดหรือหลักฐานการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ที่รับเอาหลักการนี้มาใช้ในการเรียนการสอน
มีหลายรูปแบบ หนึ่งในนั้นคือการจัดการเรียนการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method)
หรือการสอนที่มีการหมั่นทบทวนบทเรียน โดยเน้นการเชื่อมโยงไปสู่บริบทที่แวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับ
แนวคิดทางวิทยาศาสตร์ในบทเรียน ตัวอย่างการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ ที่เน้นบริบทที่จะนำเสนอใน
บทเรียนนี้คือ การสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดวิทยาศาสตร์ และสังคม การเรียนการสอนวิทยาศาสตร์
และการสอนวิทยาศาสตร์ โดยการไปศึกษาจากโครงงาน การศึกษาจากประสบการณ์จริง การศึกษาจาก
การทำแบบทดสอบ การศึกษาจากแบบจำลองสถานการณ์ ซึ่งแนวทางในการเชื่อมโยงเน้ือหาแนวคิดทาง
วิทยาศาสตรใ์ นบทเรียนเข้าส่บู ริบทในชีวติ จรงิ ของผู้เรยี น จะทำให้ผเู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้อย่างมีความหมาย
เรียนรู้ที่จะใช้วิทยาศาสตร์ ในการแก้ป�ญหาหรือตัดสินใจ เรียนรู้การทำงานจริงของนักวิทยาศาสตร์
เพ่อื เตรียมตวั สกู่ ารเป�นพลเมอื งที่รูว้ ทิ ยาศาสตร์ตามหลักการของแนวคิดวทิ ยาศาสตร์เพ่อื ปวงชน
ภาพประกอบที่ 3 การประยุกต์กลวิธกี ารสอนแบบเอก็ ซ์พลิซิทในรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์
ทมี่ า : https://www.google.com/url?sa=i&url=https%3A%2F%2Fwww.nstda.or.th%2Fhome
13
5. ขอ้ ดีของกลวิธกี ารสอนแบบเอ็กซพ์ ลซิ ิท (Explicit Teaching Method)
กลวิธีการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method) มีข้อดีคือเป�นการจัดการเรียน
การสอนท่ีเน้นให้ผู้เรียนได้มีการทบทวนบทเรียนจะทำให้เข้าใจในบทเรียนมากยิ่งขึ้น และจะเป�นการ
ตรวจสอบว่าตนเองไม่เขา้ ใจเนื้อหาส่วนใดหรือไม่ เมื่อไม่เข้าใจจะได้ค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมหรือซักถามจาก
เพื่อนๆ ครูอาจารย์ ซึ่งถือเป�นกระบวนการเรียนรู้ไปในตัว โดยกลวิธีการสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit
Teaching Method) มหี ลากหลายวิธีเพ่ือใหผ้ ู้เรียนไดฝ้ �กฝนความรู้ท่ีได้เรียนมา เช่น การทำแบบฝ�กหัดใบ
งาน การทำรายงาน การทำแผนผังมโนทัศน์ เป�นต้น ซึ่งจากการทบทวนบทเรียนนี้เองจึงทำให้ผู้เรียนมร
ความรทู้ ่เี ขา้ ใจ และสามารถนำไปปรบั ประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวันไดอ้ ยา่ งถอ่ งแท้
ภาพประกอบท่ี 4 ชิ้นงานแผนผังมโนทศั นข์ องนกั เรียนในการทบทวนความรู้เร่ืองโครงสร้างใบ
ทมี่ า : https://www.google.com/url?sa=i&url=http%3A%2F%2Fintermediateswrs.blogs
6. ข้อจำกดั ของกลวิธีการสอนแบบเอก็ ซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method)
การสอนแบบเอ็กซ์พลิซทิ (Explicit Teaching Method) เปน� การใหผ้ เู้ รียนไดท้ บทวนความรู้ไป
ในตัวเพื่อเข้าใจในเนื้อหาบทเรียน แต่ในทางกลับกันการมอบหมายภาระงานให้ผู้เรียนไปฝ�กหัด
ทบทวนควรมีปรมิ าณทพี่ อดี เพราะหากมอบหมายภาระงานใหผ้ ูเ้ รยี นไปฝ�กหัดทบทวนควรมีปริมาณท่ี
มากอาจส่งผลให้ผู้เรียนเกิดภาวะเครียดหรือเหนื่อยจากการทำการบ้านมากเกินไป จนส่งผลเสียต่อ
การเรียน ดังนั้นการบ้านหรือแบบฝ�กหัดจึงเป�นองค์ประกอบสำคัญของการเรียนการสอน แต่ป�ญหา
คือเรื่องของปริมาณ ไปจนถึงรูปแบบการให้การบ้านที่ช่วยพัฒนาให้เดก็ ๆ คิด และกระตุ้นให้นักเรยี น
สนกุ ท่ีจะกลับไปเรยี นรู้และขบคิดไปจนถึงทำงานสรา้ งสรรค์รว่ มกนั ต่อไป โดยเฉพาะอย่างย่ิงการบ้าน
14
ในโลกดิจิทัลดูจะเป�นเรื่องท้าทายและสนุกสนาน และสำหรับหลายครอบครัว การนั่งทำการบ้าน
ร่วมกันกด็ จู ะเปน� อีกหนึ่งช่วงเวลาของครอบครัวไทยที่เราคุ้นเคยกันดี และสามารถพัฒนาผเู้ รยี นได้
7. ตัวอย่างแผนการสอนแบบเอ็กซพ์ ลิซทิ (Explicit Teaching Method)
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 2 สารอาหารทรี่ ่างกายต้องการ
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 2 รา่ งกายของเรา ระยะเวลา 1 ชั่วโมง
กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปท� ่ี 6
1. มาตรฐานการเรียนรตู้ ัวชี้วัด
ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์
ความสัมพันธ์ของโครงสร้าง และหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์
กันความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่าง ๆ ของพืชที่ทำงานสัมพันธ์กัน
รวมทั้งนำความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์
2. ตวั ชี้วัด
ป.6/1 ระบสุ ารอาหารและบอกประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารท่ตี นเองรับประทาน
3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
1) ระบสุ ารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารทตี่ นเองรบั ประทานได้ (K)
2) บอกประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภทจากอาหารทต่ี นเองรบั ประทานได้ (K)
3) เลอื กรบั ประทานอาหารทมี่ สี ารอาหารตามความต้องการของร่างกายได้ (P)
4) ยกตัวอย่างสารอาหารและประโยชน์จากอาหารทน่ี ักเรยี นรับประทานในชวี ติ ประจำวันได้ (A)
4. สาระการเรยี นรู้
ประเภท และประโยชน์ของสารอาหาร
5. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
15
สารอาหารที่อยู่ในอาหารมี 6 ประเภท ไดแ้ ก่ คารโ์ บไฮเดรต โปรตนี ไขมัน วติ ามิน เกลือแร่ และ
น้ำ อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารที่แตกต่างกัน อาหารบางอย่างประกอบด้วยสารอาหาร
ประเภทเดียว อาหารบางอย่างประกอบดว้ ยสารอาหารมากกวา่ 1 ประเภท
สารอาหารแตล่ ะประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกตา่ งกัน โดยคาร์โบไฮเดรต โปรตนี และไขมัน
เปน� สารอาหารที่ให้พลังงานแกร่ ่างกาย สว่ นเกลอื แร่ วิตามิน และนำ้ เปน� สารอาหารทีไ่ มใ่ หพ้ ลังงานแก่
รา่ งกาย แต่ช่วยใหร้ า่ งกายทำงานได้เป�นปกติ
6. สมรรถนะสำคัญของผ้เู รยี น ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
1) ความสามารถในการสื่อสาร 1) การสังเกต 1) มีวินัย
2) ความสามารถในการคิด 2) การจำแนกประเภท 2) ใฝ่เรยี นรู้
3) ความสามารถในการแก้ป�ญหา 3) การตง้ั สมมติฐาน 3) ม่งุ มนั่ ในการทำงาน
4) ความสามารถในการใช้ทักษะ 4) การลงความเหน็ จากข้อมูล
5) การจดั กระทำและการส่ือ
ชวี ติ
ความหมายข้อมลู
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
แนวคิด วธิ ีการสอน : การสอนแบบเอ็กซ์พลิซิท (Explicit Teaching Method)
ขั้นตอนที่ 1 ทบทวนประจำวัน และตรวจสอบการบา้ น
1. ครนู ำผ้เู รยี นเข้าสู่บทเรยี นดว้ ยหารต้งั คำถามทบทวนเนื้อหาในเรื่องของร่างกายของเรา
ยกตัวอยา่ งคำถามเช่น นักเรยี นเคยสงสัยไหมว่าทำไมร่างกายของคนเราจงึ แตกต่างกนั
2. ครูให้นกั เรียนแตล่ ะคนออกมาหน้าช้นั เรยี น เพ่อื นำเสนอในหัวข้อ “รา่ งกายที่ฉนั ภูมิใจ”
3. ครแู จกใบงานประกอบการเรียนเรอ่ื ง “ร่างกายของฉนั ” ให้แกน่ กั เรยี น เพอ่ื ให้นักเรียนไดม้ กี าร
จดบนั ทกึ ความรู้ระหวา่ งเรยี น และทำแบบฝ�กหดั ทบทวนความรูใ้ นใบงาน
ขน้ั ตอนท่ี 2 การนำเสนอสาระความรู้ มีขัน้ ตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
16
1. ครูแจ้งนักเรียนว่าวันนี้เราจะเรียนกันในเร่ือง “ร่างกายของเรา” โดยอธิบายผา่ นแผนผังมโนทศั น์
เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนได้เหน็ ถึงขอบเขตท่จี ะเรยี นในวนั นี้
2. ครูนำแผนภาพร่างกายมนุษย์ที่แสดงอวัยวะภายในร่างกายมาให้นักเรียนดู ครูและนักเรียน
ร่วมกนั อภิปราย ว่าอวัยวะต่าง ๆ เชน่ หัวใจ ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ และไต มลี กั ษณะรปู รา่ ง
เป�นแบบใด และอยตู่ รงกบั ตำแหนง่ ใดในรา่ งกาย
3. ครตู ้ังคำถามกระตุ้นใหน้ ักเรียนตอบดังนี้
- ปอดของเรามีก่ขี า้ ง และพบอยทู่ ี่ตำแหน่งใด
- อวัยวะตา่ ง ๆ ในร่างกายทำหน้าท่อี ะไรบา้ ง
- อวยั วะที่เกย่ี วขอ้ งกบั การยอ่ ยอาหารคอื อะไร
4. นักเรียนร่วมกันตอบคำถามตามความคิดเห็นของแต่ละคน โดยครูอธิบายให้นักเรียนเข้าใจว่า
อวัยวะตา่ ง ๆ ในรา่ งกายจะทำหน้าที่แตกตา่ งกนั ไป แตจ่ ะร่วมกนั ทำงานอย่างเปน� ระบบเพื่อให้เรา
ดำรงชวี ติ อย่ไู ด้อยา่ งปกติ
ขนั้ ตอนท่ี 3 การปฏิบัติโดยครคู อยแนะนำ มขี ้ันตอนการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
1. ให้นักเรียนศึกษาอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจากใบความรู้หรือในหนังสือเรียน โดยครูตั้งคำถาม
กระตุ้นใหน้ กั เรยี นตอบดงั นี้
- หวั ใจทำหนา้ ที่อะไร
- กระเพาะอาหารทำงานสมั พนั ธ์กบั ลำไสห้ รือไม่ ลกั ษณะใด
2. นกั เรียนรว่ มกนั ตอบคำถามตามความคดิ เห็นของแต่ละคน
3. นักเรียนแบ่งกลุ่มและปฏิบัติกิจกรรม สืบคันข้อมูลอวัยวะที่นักเรียนสนใจ ตามขั้นตอนทาง
วทิ ยาศาสตร์โดยใช้ทกั ษะ/กระบวนการสงั เกตดงั น้ี
- นักเรียนแตล่ ะกล่มุ เลือกศึกษาข้อมูลอวยั วะภายในรา่ งกาย 1 อวัยวะ
- ชว่ ยกนั หาข้อมูลอวยั วะท่เี ลือกจากแหลง่ ข้อมูลต่าง ๆ ใหม้ ากท่ีสดุ
- แตล่ ะกล่มุ สง่ ตัวแทนนำเสนอขอ้ มลู ท่ีไดจ้ ากการศกึ ษาหน้าชน้ั เรียน
4. นักเรยี นและครูร่วมกนั ตรวจสอบความถกู ต้องของข้อมูลที่ไดจ้ ากศกึ ษาค้นคว้า
ขัน้ ตอนท่ี 4 การแกไ้ ขให้ถกู ตอ้ ง และการใหข้ ้อมลู ยอ้ นกลับ
1. นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มส่งตัวแทนกลมุ่ นำเสนอขอ้ มูลจากการปฏิบตั ิกิจกรรมหน้าช้นั เรียน
2. นกั เรียนและครูร่วมกันอภปิ รายและหาขอ้ สรปุ จากการปฏิบตั กิ จิ กรรม โดยใชแ้ นวคำถามต่อไปน้ี
17
- กลุม่ ของนกั เรยี นเลอื กศึกษาอวัยวะใดในร่างกาย
- อวยั วะท่ีนกั เรยี นเลือกศกึ ษามคี วามสมั พนั ธก์ บั อวัยวะอน่ื ในรา่ งกายหรือไม่ ลักษณะใด
3. นักเรยี นและครูรว่ มกันสรุปผลจากการปฏิบัติกิจกรรม โดยใหไ้ ด้ข้อสรุปว่า ภายในร่างกายของเรา
ประกอบด้วยอวยั วะตา่ ง ๆ ทท่ี ำหนา้ ที่เฉพาะอยา่ งและทำงานร่วมกันอย่างเปน� ระบบ
ข้ันตอนท่ี 5 การฝก� อย่างอิสระ (ฝ�กปฏบิ ัติท่โี ตะ๊ ) มขี ้อเสนอแนะการจดั การเรียนรู้
1. เมื่อเรียนในเรื่องของร่างกายแล้ว ครูให้นักเรียนทำแบบฝ�กหัดในใบความรู้ที่ได้แจกในต้นคาบ
แกน่ ักเรยี น
2. ครูให้นักเรียนได้ฝ�กทำแบบฝ�กหัดตามลำพัง โดยครูจะคอยเดินดูนักเรียนทำงาน และให้ข้อมูล
ย้อนกลับ ถามคำถามและอธบิ ายสั้นๆ อย่างทว่ั ถงึ
3. เมื่อนักเรียนในห้องเรียนทำแบบฝ�กหัดเสร็จ ครู และนักเรียนร่วมกันเฉลยแบบฝ�กหัด โดยมีครู
อธบิ ายใหน้ ักเรียนเข้าใจในเนือ้ หาบทเรียนมายิ่งขึ้น และถกู ตอ้ ง
ข้ันตอนที่ 6 การทบทวนรายสปั ดาห์ และรายเดอื น
1. ครูมอบหมายให้นักเรียนไปค้นคว้ารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายจาก
แหล่งความรู้ต่าง ๆ เช่น หนังสือ วารสาร วิทยาศาสตร์ และ อินเทอร์เน็ต แล้วสรุปเป�นแผนผัง
มโนทัศน์ส่งครใู นสองสปั ดาห์ถัดไป
8. การวดั และประเมนิ ผล
รายการวดั วธิ กี าร เครอ่ื งมอื เกณฑ
1) กจิ กรรมท่ี 1 การ - ตรวจสอบจาก - แบบสงั เกตพฤติกรรมการ - ร้อยละ 50 ผ่านเกณฑ์
นำเสนอในหัวข้อ พฤติกรรมการทำ ทำงานรายบคุ คล
“รา่ งกายทฉ่ี นั กิจกรรมของผ้เู รยี น
ภมู ิใจ” - เกณฑ์คะแนนชน้ิ งาน - รอ้ ยละ 60 ผา่ นเกณฑ์
- ตรวจสอบจากชน้ิ งาน - แบบสงั เกตพฤติกรรมการ
2) กจิ กรรมที่ 2 สบื - ตรวจสอบจาก
คันข้อมูลอวยั วะท่ี ทำงานรายบคุ คล
นักเรียนสนใจ พฤติกรรมการทำ
กจิ กรรมของผู้เรยี น
18
3) แบบฝก� หัด - ตรวจสอบจาก - เกณฑ์คะแนนแบบฝก� หดั - ร้อยละ 80 ผา่ นเกณฑ์
รา่ งกายของเรา แบบฝก� หดั
9. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้
9.1 สื่อการเรยี นรู้
1) หนังสอื เรียนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1
2) แบบฝ�กหดั วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1
3) ใบบรรทกุ ความรู้ และใบงานแบบฝก� หดั เรอ่ื งร่างกายของเรา
4) กระดาษแขง็
5) สไี ม้
6) กระดาษ A4
9.2 แหลง่ การเรียนรู้
1) หอ้ งเรยี น
2) อินเทอรเ์ น็ต
19
บรรณานกุ รม
20
บรรณานุกรม
โกสมุ ภ์ สขุ สมยั . การเปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี นวชิ าภาษาไทย เรอ่ื ง การเขยี นสะกดคำ
ของนกั เรยี น ขัน้ ประถมศึกษาปท� ่ี 3 ทีส่ อนด้วยวิธกี ารสอนแบบเอ็กซ์พลชิ ิทและการสอน
โดยการใช้แบบฝก� เสรมิ ทักษะ. วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑติ สาขาหลักสูตร
และวธิ สี อน บัณฑิตวิทยาลยั มหาวทิ ยาลัยศลิ ปากร นครปฐม, 2546.
จติ ตมิ า สินปรุ. การปฏบิ ัตกิ ารพฒั นาทักษะการสนทนาภาษาองั กฤษเพื่อการส่ือสาร โดยใชว้ ิธสี อน
แบบเอ็กซพ์ ลิซิท วิชาภาษาองั กฤษ สำหรบั นกั เรียนชั้นประถมศกึ ษาปท� ี่ 5. กลมุ่ เครือข่าย
สถานศกึ ษาท่ี 23 เหลา่ เสอื่ โก๊ก สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุบลราชธานี เขต 1
ในวจิ ัยและประเมนิ ผลอุบลราชธานี 3(1) : หนา้ 24-29. มกราคม-มถิ ุนายน 2556.
จรี ะศกั ด์ิ นุน่ ปาน. ผลของการจัดการเรยี นรู้ด้ายวิธกี ารสอนแบบเอ็กซพ์ ลิสทิ ร่ามกบั การใช้แบบฝก�
ทกั ษะท่มี ีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปญ� หา คณติ ศาสตรข์ องนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปท� ่ี 4.
วทิ ยานพิ นธ์การศกึ ษามหาบณั ฑติ สาขาวชิ าหลกั สูตรและการสอน มหาวิทยาลัยทกั ษิณ, 2553.
ทิศนา แขมมณี. ศาสตรก์ ารสอน. พิมพ์คร้ังท่ี 16. กรงุ เทพ ฯ : สำนักพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, 2555.
ภานุมาศ พร้อมวงษ์. (2563). วธิ สี อนแบบเอก็ ซ์พลิซทิ (Explicit Teaching Method)
สบื คน้ เมื่อวันท่ี 27 มีนาคม 2565. จาก https://www.gotoknow.org/posts/677651
21
ภาคผนวก
22
ภาคผนวก
1. ใบงานแบบฝก� หดั เรื่องอวัยวะในรา่ งกาย
23
2. ใบงานบนั ทกึ ความรใู้ นบทเรยี น