The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

การสื่อสารกับการเรียนรู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by รอปีอะ มะดือเระ, 2020-02-18 22:08:42

การสื่อสารกับการเรียนรู้

การสื่อสารกับการเรียนรู้

Keywords: รูปแบบของการสื่อสาร,องค์ประกอบของการสื่อสาร

บทที่ 3
การส่ือสารกับการเรียนรู้

การสอื่ สาร เป็นพ้นื ฐานสาคญั ในการดารงชวี ติ อยู่ในสังคมของมนุษย์ ทุกคนตอ้ งมีการ
ตดิ ต่อสอ่ื สารกันในการปฏบิ ตั ิงานตา่ ง ๆ การสอ่ื สารทาให้บุคคลไดแ้ ลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น
ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ทางวฒั นธรรมและสังคม ไดถ้ า่ ยทอดทกั ษะหรอื ความร้ซู งึ่ กนั และกัน
อนั ก่อใหเ้ กิดการเปลี่ยนแปลงความรู้ความสามารถทางดา้ นสตปิ ญั ญา รา่ งกาย อารมณ์ และสงั คม
การสือ่ สารจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทชี่ ่วยเสรมิ สรา้ งความรูค้ วามเขา้ ใจให้กับมนษุ ย์
ในสังคม

ความหมายของการส่ือสาร

การส่ือสาร หรือการสื่อความหมาย (Communication) มีรากศัพทม์ าจากภาษาลาตนิ วา่

(Communius) หมายถึง “ความเหมือนกนั ” หรือ “ความร่วมกัน” เมอื่ มีการสือ่ สารจะมีการพยายาม

สร้างความเหมอื นกนั หรอื ร่วมกนั ใหเ้ กดิ ข้ึนระหวา่ งผู้สง่ สารกับผรู้ บั สาร มผี ู้ใหค้ วามหมายของ

การสอื่ สารไว้หลากหลาย ดังนี้

ชแรมม์ (Schramm, 1973 : 3) ไดส้ รปุ ความหมายของการสื่อสารไวว้ ่า การส่ือสารเปน็

ความพยายามถา่ ยทอดข้อมูล (Information) ความคดิ (Idea) เจตคติ (Attitudes) ไปยงั บุคคลอน่ื

ไฮเบิรต์ ,โดแนลด์ และบอห์น (Hiebert, Donald and Bohn, 1975 : 6 ) กลา่ ววา่

การสื่อสารเป็นกระบวนการที่มคี วามเคล่อื นไหวและความต่อเนือ่ ง โดยมีเป้าหมายทีเ่ ฉพาะเจาะจง เช่น

เพ่อื แลกเปลีย่ นประสบการณ์เพือ่ ถ่ายทอดค่านยิ มทางสังคม เป็นตน้

สมติ า บุญวาศ (2546 : 3 ) กลา่ วว่า การสอื่ สารเปน็ การติดต่อส่งสาระ เรือ่ งราว ท้ังทเ่ี ปน็

นามธรรม เชน่ ความรัก ความรู้ ความโกรธ ฯลฯ และทีเ่ ป็นรปู ธรรม เช่น การไหว้ ของขวัญ ภาพ ฯลฯ

จากผูส้ ง่ ไปยงั ผู้รับ โดยทีผ่ สู้ ่งจะเป็นบุคคลคนเดียวหรือกลุม่ และผู้รบั เปน็ บคุ คลเดียวหรอื กลุ่มกไ็ ด้

การสื่อสารไม่ไดเ้ กิดข้นึ ในสังคมมนุษยเ์ ท่าน้ัน ในสงั คมของสัตวต์ ่าง ๆ กม็ กี ารสอ่ื สารกนั

กิดานันท์ มลิทอง (2548 : 34) กล่าวว่า การสื่อสารหมายถึงการถ่ายทอดเรื่องราว

การแลกเปล่ยี นความคิด การแสดงออกของความคิดและความรู้สึก ตลอดรวมไปถงึ “ระบบ”

(เชน่ ระบบโทรศัพท์) เพื่อการตดิ ต่อสอื่ สารซ่ึงกนั และกัน นอกจากนก้ี ารส่ือสารยงั เปน็ การท่บี คุ คลใน

สังคมมปี ฏสิ มั พันธ์โต้ตอบกันโดยผ่านทางข้อมูลข่าวสาร สญั ลกั ษณ์ และเครอ่ื งหมายตา่ ง ๆ

ดังนน้ั จงึ กลา่ วโดยสรปุ ไดว้ า่ การส่ือสารเป็นกระบวนการสง่ หรอื ถา่ ยทอดเรอื่ งราว ขา่ วสาร

ขอ้ มลู ความรู้ เหตุการณ์ต่าง ๆ จากผูส้ ่ง ซึง่ อาจเป็นบคุ คล กลุ่มชน หรือสถาบัน ไปยังผูร้ ับซง่ึ อาจเป็น

บคุ คล กล่มุ ชน หรอื สถาบนั อีกฝ่ายหน่งึ เพ่อื ใหผ้ รู้ ับไดร้ ับทราบข่าวสารรว่ มกัน

29

ลักษณะของการสอ่ื สาร

การส่อื สารของมนษุ ยใ์ นแตล่ ะวาระและสภาพการณ์ จะมีลกั ษณะของการตดิ ตอ่ ท่ีแตกต่างกัน
ออกไป ในสถานการณ์หนึ่งอาจใชว้ ธิ ีการ รูปแบบ และประเภทของการสอื่ สารอยา่ งหนึง่ แตอ่ าจใช้
วิธีการ รปู แบบ และประเภทของการส่ือสารอีกอย่างหนง่ึ ในอกี สถานการณ์กไ็ ดต้ ามความเหมาะสม

วิธกี ารของการสอ่ื สาร

วิธีการของการสื่อสาร แบ่งออกได้เป็น 3 วธิ ี คอื
1. การส่อื สารดว้ ยวาจา หรือ “วจนภาษา” (Oral Communication) เชน่ การพดู

การร้องเพลง เป็นต้น
2. การสอ่ื สารทไ่ี ม่ใชว่ าจา หรอื “อวจนภาษา” (Nonverbal Communication)

และการสื่อสารดว้ ยภาษาเขยี น (Written Communication) เชน่ การสือ่ สารดว้ ยท่าทางภาษามือ และ
ตัวอักษร เปน็ ต้น

3. การสื่อสารดว้ ยจกั ษภุ าษา หรือ การเหน็ (Visual Communication) เช่น
การสอื่ สารดว้ ยภาพ โปสเตอร์ สไลด์ หรือโดยการใช้สญั ลักษณแ์ ละเครอ่ื งหมายตา่ ง ๆ เช่น
ลกู ศรชที้ างเดิน เปน็ ต้น

รปู แบบของการสอื่ สาร
รูปแบบของการสื่อสาร แบ่งได้เป็น 2 รปู แบบ คือ
1. การส่อื สารทางเดยี ว (One-way Communication) เปน็ การส่งข่าวสารหรอื

การสอื่ ความหมายไปยังผู้รับแต่เพียงฝา่ ยเดยี ว โดยที่ผสู้ ง่ และผ้รู บั ไม่สามารถมีปฏสิ ัมพนั ธ์โต้ตอบตอ่ กนั
ไดท้ ันที เชน่ การสอ่ื ความหมายทาง การอ่านหนังสอื พมิ พ์ ฟังวิทยุ ชมโทรทศั น์ ผูร้ บั ไมส่ ามารถ
ตอบสนองใหผ้ สู้ ง่ ทราบไดใ้ นทนั ที (Immediate Response) แตอ่ าจจะมปี ฏกิ ิรยิ าตอบสนองกลับ
(Feeback) ไปยังผสู้ ง่ ไดใ้ นภายหลัง เช่น การส่งจดหมาย การส่งอเี มล หรือการสง่ SMS เปน็ ตน้
อย่างไรก็ตาม วทิ ยุ และโทรทัศน์ ในปจั จุบนั ได้เปิดโอกาสใหผ้ ฟู้ งั หรือชมทางบ้านเขา้ ไปมีส่วนร่วมใน
รายการตา่ ง ๆ เชน่ มกี ารให้ผฟู้ งั โทรศัพทไ์ ปแสดความคิดเห็นหรือตอบปัญหาได้ทนั ทีกับผู้จดั รายการ
ลักษณะน้ีจงึ กลายเป็นการสอื่ สารสองทาง

2. การสอ่ื สารสองทาง (Two-way Communication) เป็นการส่ือความหมายทผี่ ู้รบั
สามารถมีปฏสิ ัมพันธ์โต้ตอบกนั ไดใ้ นทันทีโดยผู้สง่ และผู้รับอาจอยตู่ อ่ หนา้ กันหรืออาจอยูค่ นละสถานที่
กไ็ ด้ แต่ทั้งสองฝ่ายสามารถเจรจาหรือโต้ตอบกันไปมาได้ โดยตา่ งฝา่ ยต่างผลัดกันทาหน้าที่เปน็
ทั้งผสู้ ่ง และผรู้ ับในเวลาเดยี วกัน เชน่ การพูดโทรศพั ท์ การประชุมทางไกลดว้ ยวีดทิ ศั น์
การสนทนาสดบนอนิ เทอร์เน็ต เปน็ ตน้

30

ประเภทของการสอ่ื สาร
ประเภทของการสอื่ สาร แบง่ ออกเปน็ 4 ประเภท

1. การสอ่ื สารภายในตวั บุคคล (Intrapersonal Communication) เป็นการส่ือสาร
ภายในตัวเองเพยี งคนเดียว บคุ คลนัน้ เป็นท้งั ผูส้ ่งและผ้รู บั ในขณะเดียวกนั เชน่ การคิด การอ่าน และ
เขียนหนงั สอื

2. การสื่อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) เป็นการสอื่ สาร
ระหวา่ งคน 2 คน เชน่ การสนทนา หรือการโตต้ อบจดหมายระหวา่ งกนั เป็นตน้

3. การสอื่ สารแบบกลุม่ ชน (Group Communication) เปน็ การสอื่ สารระหว่าง
บุคคลกบั กลุม่ ชนจานวนมาก เช่น การสอ่ื สารระหวา่ งครูกบั ผเู้ รยี นในชนั้ เรียน หรอื การกลา่ วคาปราศรัย
ในท่ีชมุ นมุ ชน เปน็ ตน้

4. การสื่อสารมวลชน (Mass Communication) เป็นการส่ือสารโดยใช้สอ่ื มวลชน
ประเภท วทิ ยุ โทรทศั น์ รวมถงึ สง่ิ พิมพ์ต่าง ๆ เช่น นิตยสาร หนังสือพมิ พ์ แผ่นพบั ใบปลวิ
โปสเตอร์ ฯลฯ เพื่อการติดตอ่ ไปยังผู้รบั สารจานวนมากซ่งึ เป็นมวลชนให้ได้รบั ขอ้ มูลขา่ วสารเดยี วกนั
ในเวลาพรอ้ ม ๆ กนั หรอื ไลเ่ ลีย่ กนั

องค์ประกอบของการสื่อสาร

องค์ประกอบของการสื่อสาร หมายถึง สิง่ ท่ปี ระกอบกนั เขา้ จนเปน็ กระบวนการสอ่ื สารท่ี
สมบูรณ์ การทาความเขา้ ใจองคป์ ระกอบของการสือ่ สารจะชว่ ยทาใหส้ ามารถควบคมุ การสอื่ สารให้
บรรลเุ ป้าหมายได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพ องค์ประกอบของการสือ่ สารมดี งั นี้

1. ผู้สง่ สาร หรอื ตน้ แหล่งของสาร (Sender or Source) คอื บคุ คลทจ่ี ะสง่ สารไปยงั ผู้รบั
อาจเปน็ บคุ คล กลุ่มชน หรอื สถาบันกไ็ ด้

2. สาร (Message) คือ เนอ้ื หาหรือเร่ืองราวทสี่ ่งออกมา เช่น ความรู้ ความคดิ ข่าวสาร
ความตอ้ งการ ฯลฯ ท่สี ง่ ออกมา เพือ่ ใหผ้ ้รู บั รับข้อมูลเหล่านนั้

3. สอื่ หรือชอ่ งทาง (Media or Channel) คอื ตวั กลาง หรอื พาหนะท่ีจะนาสารไปถงึ ผู้รับ
อาจเปน็ ภาษาพดู ภาษาเขียน สญั ลักษณ์ ทา่ ทาง วสั ดุ อปุ กรณ์ และส่ือสารมวลชนในรปู แบบต่าง ๆ

4. ผู้รบั (Receiver) คอื ผ้รู ับเน้อื หา เรื่องราว จากผู้ทส่ี ่งมา ผรู้ บั น้ีอาจเปน็ บคุ คล กลมุ่ ชน
หรือสถาบนั กไ็ ด้

5. ผล (Effect) คือผลท่เี กิดขึ้นหลงั จากที่ผู้รบั ได้รบั สาร เชน่ ผ้รู บั สารปฏิบตั ติ ามคาสงั่ ของ
ผู้ส่งสารไดถ้ กู ตอ้ ง

31

6. ข้อมลู ปอ้ นกลับ (Feedback) เป็นการนาผลทเี่ กิดขึ้นข้างตน้ มาพจิ ารณา เชน่ พดู แล้วผู้ฟัง
ปฏบิ ัติตามได้แสดงวา่ ส่อื สารประสบความสาเรจ็ หรือพูดไปแล้วผูฟ้ งั หัวเราะ หรอื ง่วงนอน เหลา่ นีก้ ็
ลว้ นแตเ่ ปน็ ขอ้ มลู ปอ้ นกลบั เพือ่ ใหผ้ ้สู ง่ สารนากลบั มาพิจารณาปรับปรุงการส่อื สารให้มปี ระสทิ ธภิ าพดี
ยิ่งขึน้
องค์ประกอบเหลา่ น้ีจะทางานประสานสัมพันธก์ นั เพื่อให้ผู้รับขา่ วสารนัน้ เข้าใจได้อย่างถกู ตอ้ ง
วา่ ผสู้ ง่ หมายความว่าอะไรในข่าวสารนัน้

แบบจาลองการส่ือสาร

แบบจาลองการส่อื สาร เปน็ การแสดงความสมั พนั ธก์ นั ขององค์ประกอบต่าง ๆ ของการสอ่ื สาร
ทาใหเ้ หน็ กระบวนการสอ่ื สาร มีนักวชิ าการหลายทา่ นได้นาเสนอแบบจาลองของการสอื่ สารไว้ สามารถ
นามาใชเ้ ป็นหลกั ในการศกึ ษาถึงวิธกี ารส่งผา่ นขอ้ มูลสารสนเทศ การใช้ส่อื และชอ่ งทางการสื่อสารถงึ
ผู้รับ เพอ่ื ให้การส่ือสารประสบผลสาเรจ็ อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ดังนี้
(กิดานันท์ มลิทอง, 2548 : 39 - 45)

ลาสแวลล์ (Lasswell)
ลาสแวลล์ ได้คดิ แบบจาลองการส่อื สาร ที่แสดงให้เห็นกระบวนการสอ่ื สารอยา่ งสอดคล้องกนั
โดยในการสื่อสารนนั้ จะตอ้ งตอบคาถามตอ่ ไปน้ีใหไ้ ด้คือ

ใคร  พดู อะไร  โดยวธิ กี ารและชอ่ งทางใด  ไปยงั ใคร  มผี ลอย่างไร

แบบจาลองการสื่อสารของลาสแวลล์ เปน็ รูปแบบทีเ่ ข้าใจงา่ ยไมซ่ บั ซอ้ น เปน็ ทีร่ ู้จกั กนั อยา่ ง
แพรห่ ลายและนิยมใชก้ ันทัว่ ไป สามารถนามาเขยี นเปน็ รูปแบบจาลองและเปรียบเทียบกบั
องคป์ ระกอบของการสื่อสารไดด้ งั น้ี

ใคร  พูดอะไร  โดยวิธีการและช่องทางใด  ไปยังใคร  มผี ลอย่างไร

ผูส้ ่ง สาร  สือ่  ผู้รบั  ผล

ภาพที่ 3.1 แบบจาลองการสื่อสารของลาสแวลล์ (ทีม่ า : กดิ านนั ท์ มลทิ อง, 2548 : 39)

32

ใคร (Who) หมายถงึ ผู้สง่ สาร หรอื แหล่งต้นตอของสาร ผสู้ ง่ สารนอกจากจะเป็นตัวบคุ คล
หรือกลมุ่ บุคคลแลว้ ยงั รวมถงึ สถาบนั หน่วยงานหรือองค์กรกไ็ ด้ เช่น ผสู้ อ่ื ขา่ ว ผปู้ ระกาศข่าว ครู
อาจารย์ วิทยากร โรงเรยี น มหาวทิ ยาลยั บรษิ ัท เป็นต้น

พูดอะไร (Say What) หมายถึงข่าวสาร เนอ้ื หาสาระ ความคิดเหน็ ข้อมลู ทสี่ ง่ ออกไปจากผสู้ ง่
ยงั ผูร้ ับทเ่ี ป็นกลมุ่ เปา้ หมาย เชน่ คาบรรยาย คาชี้แจง บทความ ข้อเขียน เปน็ ต้น

ผ่านสอื่ หรือช่องทางใด (In Which Channel) หมายถึง สือ่ หรอื ช่องทางท่เี ป็นตัวกลางช่วย
ถา่ ยทอดเนื้อหาเรื่องราว ข้อมูล ข่าวสาร ความคิด ที่ผสู้ ่งต้องการสง่ ไปใหผ้ ูร้ ับ เช่น การพดู การเขียน
การแสดงกริ ยิ าทา่ ทาง หรือสอ่ื อปุ กรณต์ ่าง ๆ เชน่ ไมโครโฟน วิทยุ โทรทัศน์ เปน็ ตน้

ไปยงั ใคร (To Whom) หมายถึง ผู้รบั สารทเ่ี ป็นกลุ่มเปา้ หมาย อาจเป็นบคุ คล กลุ่มบคุ คล
องคก์ ร หรอื สถาบันก็ได้

มีผลอยา่ งไร (Whith What Effect) หมายถงึ ผลท่ีเกิดขึ้นกบั ผู้รบั สารหลงั จากไดร้ ับสารจาก
ผสู้ ง่ เชน่ การแสดงอาการย้ิม การพยกั หน้ายอมรับ การตง้ั ใจฟงั ตัง้ ใจดู เปน็ ตน้

เบอร์โล (Berlo)
แบบจาลองการส่อื สารของเบอร์โล แสดงให้เห็นถงึ ปัจจัยทีเ่ กย่ี วขอ้ งกบั องค์ประกอบของการ
สอ่ื สารแต่ละองค์ประกอบ ซึง่ มีอิทธพิ ลต่อประสิทธิผลของการสอื่ สารทั้งกระบวนการ เบอร์โลนา
องคป์ ระกอบของการสือ่ สารมาเขียนในรปู แบบจาลองของกระบวนการสอื่ สาร เรยี กว่า SMCR Model
มีส่วนประกอบดังน้ี

ภาพที่ 3.2 แบบจาลองการสอ่ื สารของ เบอรโ์ ล (ทมี่ า : กิดานันท์ มลทิ อง, 2548 : 41)

33

ประสิทธิภาพของการสอ่ื สารจะขนึ้ อยกู่ ับส่วนประกอบต่อไปน้ี คือ ผ้สู ง่ สาร (Source)

สาร (Message) ชอ่ ทาง (Channel) และผรู้ ับ (Receiver) ในแต่ละองค์ประกอบเหลา่ นีย้ ังมปี จั จัย

ย่อย ๆ เป็นตัวแปรสาคัญท่สี ่งผลทาให้กระบวนการส่อื ความหมายมปี ระสทิ ธภิ าพหรอื ไมเ่ พยี งใด ได้แก่

1. ผู้ส่งสาร และ ผรู้ บั สาร ควรมีคณุ สมบัติดงั น้ี
มีทักษะความชานาญในการสือ่ สาร (Communication Skill) เช่น ผสู้ ง่ สารต้องมี
ความสามารถเข้ารหสั สาร(Encode) มกี ารพดู ทถ่ี ูกต้อง ใช้คาพดู ที่ชัดเจน ฟงั งา่ ย มกี ารแสดง สหี นา้
หรือท่าทางท่เี ข้ากบั การพูด ทว่ งทานองลีลาในการพดู เป็นจังหวะ นา่ ฟัง หรอื เขยี นด้วยถอ้ ยคาสานวนที่
ถกู ตอ้ ง สละสลวยน่าอา่ น เหล่าน้ีเปน็ ต้น สว่ นผูร้ ับตอ้ งมคี วามสามารถในการถอดรหสั สาร
(Decode) และมที กั ษะในการฟัง ทดี่ ี ฟงั ภาษาท่ผี ้สู ง่ มารเู้ รอ่ื ง หรอื สามารถอ่านข้อความทสี่ ่งมานน้ั ได้
เป็นต้น
ทัศนคติ (Attitudes) ถ้าผู้สง่ สารและผู้รบั สารมีทัศนคตทิ ีด่ ตี ่อกนั จะทาให้การส่ือสาร
ได้ผลดี แตถ่ า้ ผู้รับสารมีทศั นคตทิ ่ไี มด่ ตี ่อผู้สง่ สารอาจแปลความหมายของสารทส่ี ่งมาผิดไป เชน่
ผู้ส่งสารยิ้มทกั ทาย ผ้สู ง่ สารกลบั คดิ ว่าย้มิ เยาะเยย้ เป็นตน้
ระดบั ความรู้ (Knowledge Levels) ถ้าผูร้ ับสารและผ้สู ง่ สารมรี ะดบั ความรเู้ ทา่ เทียม
กนั กจ็ ะทาใหก้ ารสื่อสารนนั้ ได้ผลดี ดังนั้นผู้สง่ สารควรสง่ สารทีม่ เี น้ือหาสาระที่เหมาะสมกบั ระดับ
ความรูข้ องผู้รบั สาร เชน่ นกั วิชาการเมอ่ื ไปพูดกบั ชาวบ้านก็ควรใชภ้ าษางา่ ย ๆ ไมค่ วรใชศ้ พั ทท์ าง
วชิ าการท่ียากเกนิ ไป
ระบบสังคมและวฒั นธรรม (Social-Culture System) สงั คมและวฒั นธรรมในแต่ละ
ชาตมิ ีความแตกตา่ งกัน ดังนั้นในการติดต่อสือ่ สารต้องปฏบิ ตั ิใหถ้ ูกต้องเหมาะสม เช่น การแลบลิน้
บางประเทศสือ่ ความหมายถงึ การทกั ทายกัน แตใ่ นบางประเทศอาจส่อื ความหมายเป็นอยา่ งอืน่ ไป

2. สารไดแ้ ก่ เนื้อหาเรอื่ งราว และสัญลักษณ์ ท่ีส่งใหผ้ ู้รับ ควรมคี วามชดั เจน ซ่ึงปจั จยั ท่ีส่งผล
ทาใหส้ ารน้ันมคี ุณภาพมากนอ้ ยเพียงใด ข้นึ อย่กู บั

ส่วนประกอบ (Element)
โครงสรา้ ง (Structure)
การจัดสาร (Treatment)
เนื้อหา (Content)
รหัส (Code) เปน็ คาพดู ตัวอกั ษร รูปภาพ ท่าทาง เปน็ ต้น

34

3. ชอ่ งทาง สารจะถกู ส่งไปตามช่องทางต่าง ๆ โดยผา่ นประสาทสมั ผสั ท้ัง 5 หรอื เพยี งส่วนใด
ส่วนหน่ึงคอื

การเห็น (Seeing)
การได้ยนิ (Hearing)
การได้กลนิ่ (Smelling)
การสัมผสั (Touching)
การล้มิ รส (Tasting)

แชนนันและวเี วอร์ (Shannon and Weaver)
แบบจาลองการสอ่ื สารของแชนนันและวเี วอร์ เป็นการสอ่ื สารเชงิ เสน้ ตรง โดยมอี งคป์ ระกอบ
ของการส่ือสารเช่นเดียวกบั ของเบอรโ์ ล แตเ่ พิม่ เติมใหค้ วามสาคัญกับสิง่ รบกวน (Noise) ด้วย เพราะใน
การสอ่ื สารหากมสี ิ่งรบกวนเกดิ ขึน้ ก็จะเป็นอปุ สรรคต่อการสอ่ื สาร เช่น ครูฉายวีดิทัศน์ในหอ้ งเรยี น
การรับภาพและเสยี งของผ้เู รียนอาจถูกรบกวนจาก ปริมาณแสงที่ส่งกระทบบนจอโทรทศั น์ หรอื เสียงดงั
รบกวนจากภายนอก ทาใหก้ ารสือ่ สารไม่ได้ผลเต็มท่ี ดงั ภาพที่ 3.3

ข่าวสาร สัญญาณ สัญญาณ ท่ไี ด้รับ ขา่ วสาร
Message จดุ หมาย
Message Signal Received Signal
ปลายทาง
ผู้สง่ เครือ่ งสง่ ชอ่ งทาง ผู้รับ
(เคร่อื งรับ)
(แหล่งขอ้ มูล) (ตัวถา่ ยทอด) Channe
l
Source Transmitter

Receiver

สิ่งรบกวน

(Noise)

ภาพที่ 3.3 แบบจาลองการสอ่ื สารของแชนนนั และวีเวอร์ (ที่มา : กดิ านันท์ มลิทอง, 2548 : 43)

ชแรมม์ (Schramm)

แบบจาลองการส่ือสารของชแรมม์ ปรับปรุงมาจากแชนนนั และวีเวอร์ แบบจาลองนี้แสดงให้
เห็นวา่ การสอ่ื สารจะเกิดข้ึนไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ เม่ือทั้งผู้ส่งและผ้รู บั มีวัฒนธรรม ประเพณี ความรู้
ความเชอ่ื ฯลฯ ทส่ี อดคลอ้ งคลา้ ยคลึงกนั และมีประสบการณร์ ว่ มกนั ทาให้เขา้ ใจความหมายท่สี ่ือสาร
กันได้ เมื่อพจิ ารณาในส่วนท่เี ป็นประสบการณ์รว่ มกนั (แผนภูมท่ี 3.4) ของผู้ส่งและผู้รับ อธบิ ายได้ว่า
ถา้ วงกลมท่ซี ้อนกนั มีขนาดเป็นวงกวา้ งมากเท่าใดแสดงว่ามปี ระสบการณร์ ว่ มกนั มาก จะทาใหก้ าร

35

ส่ือสารเปน็ ไปไดโ้ ดยสะดวกและง่ายมากย่งิ ข้นึ เพราะตา่ งฝา่ ยกเ็ ขา้ ใจสงิ่ ที่กาลงั ส่ือสารกันน้ันได้อยา่ งดี
ในทางตรงกันข้ามถ้าวงกลมของขอบข่ายประสบการณ์ซ้อนกันน้อยมากหรอื ไม่ซอ้ นกันเลย ก็แสดง
วา่ ทัง้ ผู้ส่งและผรู้ บั ไมม่ ปี ระสบการณ์ทีร่ ว่ มกันเลย ทาใหก้ ารส่อื สารเปน็ ไปด้วยความยากลาบาก
ดังภาพที่ 3.4

ภาพที่ 3.4 แบบจาลองการสอื่ สารของชแรมม์ (ที่มา : กดิ านนั ท์ มลทิ อง, 2548 : 45)

ออสกดู และชแรมม์ (Osgood and Schramm)
แบบจาลองการสอ่ื สารของออสกูดและชแรมม์ เปน็ การส่อื สารซึง่ มปี ฏสิ ัมพนั ธ์โตต้ อบกันไปมา
ระหว่างบุคคลหรอื กลุ่มบคุ คลในฐานะผสู้ ่งและผู้รบั ทง้ั ผูส้ ง่ และผู้รบั จะทาหน้าทีเ่ ปน็ ทง้ั ผเู้ ข้ารหัส
ถอดรหัส และตคี วามหมายของสาร โดยเมอื่ ผู้ส่งสารไดส้ ง่ ขอ้ มลู ขา่ วสารไปแลว้ ทางฝ่ายผรู้ บั จะทาการ
แปลความหมายข้อมลู ท่รี บั มา และจะเปลยี่ นบทบาทจากผรู้ ับกลับเป็นผ้สู ง่ เพอื่ ตอบสนองต่อข้อมลู ท่ี
รบั มา ในขณะเดยี วกนั ผ้สู ่งเดมิ จะเปลย่ี นบทบาทเป็นผ้รู บั เพ่ือรบั ข้อมูลท่ีส่งกลับมาและทาการแปล
ความหมายส่งิ น้ัน ถ้ามีข้อมลู ทีจ่ ะตอ้ งส่งตอบกลบั ไป ก็จะเปลี่ยนบทบาทเป็นผ้สู ง่ อีกคร้ังหนง่ึ เพ่ือส่ง
ข้อมูลกลบั ไปยงั ผ้รู ับเดิม การสือ่ สารในลักษณะนี้ทง้ั ผู้ส่งและผรู้ บั จะวนเวียนเปลยี่ นบทบาทกนั ไปมา
ในลกั ษณะเชงิ วงกลม ดังภาพที่ 3.5

36

ภาพที่ 3.5 แบบจาลองการสอื่ สารของออสกูดและชแรมม์ (ท่ีมา : กดิ านนั ท์ มลิทอง, 2548 : 50)

การส่ือสารกับการเรยี นการสอน
การเรยี นการสอน ทาใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรียนรู้เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมไปในทางท่ีพงึ ประสงค์
การเรียนการสอน จัดเป็นกระบวนการส่ือสารรูปแบบหนง่ึ ที่มอี งคป์ ระกอบเช่นเดยี วกบั การสือ่ สาร
ทวั่ ไป คือ มคี รเู ปน็ ผสู้ ่งสาร เนอ้ื หาท่ีสอนคอื สาร สอื่ การเรียนการสอน กจิ กรรม และวิธีการสอน
คอื สื่อหรือชอ่ งทาง และนักเรียนคอื ผู้รบั สาร ซึง่ มที ัง้ การเรยี นการสอนโดยใช้การสอ่ื สารทางเดยี ว และ
การเรยี นการสอนโดยใชก้ ารสื่อสารสองทาง
การเรยี นการสอนโดยใชก้ ารส่ือสารทางเดยี ว สามารถใชไ้ ดท้ ั้งการเรยี นการสอนในหอ้ งเรยี น
และการศึกษาทางไกล โดยใช้สอ่ื มวลชนและอุปกรณอ์ เิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เชน่ ส่งิ พิมพ์ วิทยุ โทรทศั น์ และ
คอมพิวเตอร์ เป็นส่อื สาคญั ในการถ่ายทอดเน้อื หาความรู้ โดยอาจเปน็ การใชโ้ ทรทัศนว์ งจรปิดใน
การสอนแก่ผเู้ รียนจานวนมากในหอ้ งเรียนขนาดใหญ่ หรือการสอนโดยใชว้ ทิ ยแุ ละโทรทศั น์การศกึ ษา
แก่ผู้เรยี นทเี่ รียนอย่กู บั บ้าน
การเรียนการสอนโดยใช้การสือ่ สารสองทาง สว่ นใหญเ่ ปน็ การเรียนการสอนในห้องเรยี นท่ี
ผู้เรียนและผู้สอนพบหนา้ กันและมีปฏิสัมพนั ธ์โตต้ อบกนั อาจเปน็ การให้สิง่ เรา้ แกผ่ เู้ รียนโดยใช้เสยี ง
บรรยายและมสี ่อื การสอนประกอบ หรือใชก้ ารอภิปรายร่วมกันระหว่างผสู้ อนกบั ผเู้ รียนหรือในกล่มุ ของ
ผ้เู รียนด้วยกนั เอง รวมทั้งการใช้บทเรียนคอมพวิ เตอรช์ ่วยสอน (CAI) เพ่อื ส่งเน้อื หาความรจู้ าก
คอมพิวเตอร์ไปยังผู้เรยี นเพ่อื ใหผ้ ้เู รียนมกี ารโตต้ อบกับคอมพิวเตอร์

37

ดงั นัน้ ในการเรียนการสอนครจู ะตอ้ งอาศยั ลักษณะและองคป์ ระกอบของการสอ่ื สารตามที่
กล่าวมาแลว้ เป็นหลกั ในการดาเนินการ เพ่ือให้เกดิ การส่อื สารทดี่ ีระหวา่ งผู้สอนและผูเ้ รยี น ซึง่ จะทาให้
การเรยี นการสอนมปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธิผล มสี ิ่งที่ควรพิจารณาดงั นี้

1. ครูหรอื ผูส้ ง่ สาร (Sender or Source or Communication)
ครูในฐานะผู้สอ่ื สารหรอื ผ้สู ง่ สารต้องมีคณุ สมบัติพน้ื ฐาน ดังน้ี

ต้องมคี วามรอบรู้ในเนอ้ื หาวชิ าทจี่ ะสอน
ต้องมที ัศนคตทิ ่ีดตี อ่ การเรยี นการสอน
ตอ้ งมที กั ษะที่ดใี นการส่อื สาร ได้แก่

 ทักษะการพดู (Speaking Skill)
 ทักษะการเขยี น (Writing Skill)
 ทกั ษะการฟัง (Listening Skill)
 ทกั ษะการอ่าน (Reading Skill)
 ทักษะในการคิดหรือใช้เหตุผล (Think or Reasoning)
 ทกั ษะการเสรมิ แรง (Reinforcement)
ตอ้ งมีบคุ ลิกภาพดี

2. เน้อื หาวิชาหรอื สาร (Message)
ในการกาหนดเนอ้ื หาวชิ าหรือสารที่จะส่งไปยังผเู้ รียน ควรคานงึ ถงึ ความสามารถใน

การรบั สาร โดยยึดหลกั การจัดเน้อื หาวชิ าทีจ่ ะสอนดงั น้ี
สอนจากสิง่ ท่รี ูไ้ ปหาสิ่งท่ีไม่รู้
สอนจากสิง่ ท่ีงา่ ยไปหาสิ่งทย่ี าก
สอนจากรูปธรรมไปหานามธรรม

3. สือ่ หรอื ชอ่ งทาง (Media or Channel)

ในการเรยี นการสอนส่อื หรอื ชอ่ งทางทน่ี ามาใช้ในการสือ่ สารมี 3 ประเภทใหญ่ ๆ ไดแ้ ก่

ส่อื ประเภทวสั ดุ สื่อประเภทเครอ่ื งมือหรืออปุ กรณ์ และสือ่ ประเภทเทคนคิ วิธีการ เช่น แผ่นวซี ีดี

เครอื่ งโปรเจคเตอร์ วทิ ยุ โทรทัศน์ การจดั นทิ รรศการ การแสดงละคร ฯลฯ เปน็ ต้น จึงควรเลอื ก

ส่ือการสอนทด่ี ี น่าสนใจ และเหมาะสมกับผ้เู รียน

38

4. ผู้เรยี น ผรู้ ับสาร หรอื กลุ่มเป้าหมาย (Receiver or Target Audience )
ผ้เู รยี นหรือผู้รับสารในแต่ละบคุ คลมคี วามสามารถในการรับสารไมเ่ ทา่ กันแตกต่างกันไป

ดงั นี้
วฒุ ิภาวะและความพร้อม
เชาว์ปญั ญา
ความสนใจ
ประสบการณ์
ความบกพร่องทางรา่ งกาย
ดงั นั้นในการสอนครจู ะต้องคานึงถงึ ความแตกต่างระหว่างบุคคลนีเ้ ปน็ สาคญั

5. ผล (Effect)
ในการเรียนการสอนผลทเี่ กิดขึน้ คอื การที่ผ้เู รยี นเข้าใจเนอื้ หาสาระของสารที่ครูส่งมาทาให้

ผูเ้ รยี นเกดิ การเรยี นรขู้ น้ึ หรือผู้เรยี นไม่เขา้ ใจเนื้อหาสาระที่ครสู ่งมาจนไมส่ ามารถทาให้เกิดการเรียนรู้
ขน้ึ เลย ฉะนน้ั ผลทเ่ี กดิ ข้นึ จาการสอ่ื สารของครจู ะมที ้งั สองด้าน

6. ขอ้ มูลปอ้ นกลับ (Feedback)
ในการเรียนการสอน ผลการเรยี นรู้ดังกลา่ วขา้ งตน้ จะเป็นขอ้ มูลปอ้ นกลบั ทาให้ผู้สอน

ทราบวา่ การเรยี นการสอนนัน้ ประสบความสาเรจ็ หรือไม่ ถา้ ผลการเรียนรู้ออกมาดีแสดงว่าการสอนนน้ั
ประสบความสาเรจ็ แตถ่ า้ ผลการเรยี นรู้ออกมาไมด่ ี แสดงว่าการสอนนนั้ ไมป่ ระสบความสาเรจ็
ครูจะตอ้ งนาผลนน้ั มาพจิ ารณาวา่ บกพรองสว่ นใด อาจเป็นเพราะตัวครูผสู้ ง่ สารพูดเร็วเกนิ ไป หรือสารมี
เนื้อหาซบั ซอ้ น หรือตวั ส่ือมขี นาดเล็กไป หรืออาจเป็นเพราะผู้เรียนมีปญั หาดา้ นสติปัญญา ครูผู้สอนตอ้ ง
วเิ คราะห์หาสาเหตุ และทาการปรบั ปรงุ แกไ้ ขใหด้ ีขึ้น นอกจากนข้ี อ้ มลู ปอ้ นกลับยังเกิดข้ึนตลอดเวลา
ของการสอน เชน่ ครสู อนแลว้ นักเรยี นแสดงอาการง่วงนอน เบ่ือหนา่ ย หรือแสดงอาการกระตือรอื รน้
หัวเราะ ชอบใจ ปรบมือ ส่งิ เหลา่ น้เี ป็นข้อมลู ปอ้ นกลบั ทัง้ สน้ิ ครูผสู้ อนจะตอ้ งนาข้อมูลป้อนกลบั มา
วเิ คราะหป์ รับปรงุ การสอนในคราวตอ่ ไป

ดังนั้นจึงมคี วามจาเปน็ ท่คี รแู ละนกั การศกึ ษาโดยเฉพาะนักเทคโนโลยกี ารศกึ ษา จะต้องมคี วามรู้
ความสามารถในการสื่อสารเปน็ อย่างดี เพ่อื นาไปใชเ้ ป็นหลักพน้ื ฐานในการจัดกระบวนการเรยี น
การสอนให้มีประสทิ ธภิ าพและประสทิ ธผิ ลต่อไป

39

สรุป

การสือ่ สารเปน็ กระบวนการส่งหรอื ถ่ายทอดเรื่องราว ขา่ วสาร ขอ้ มูล ความรู้ เหตุการณ์ ตา่ ง ๆ
จากผสู้ ง่ ซ่ึงอาจเปน็ บุคคล กล่มุ ชน หรือสถาบัน ไปยงั ผ้รู ับซึง่ อาจเป็นบุคคล กลุ่มชน หรือสถาบนั
อกี ฝ่ายหน่งึ เพือ่ ใหผ้ รู้ ับได้รับทราบข่าวสารร่วมกัน

วธิ ีการสือ่ สารแบ่งออกเป็น 3 วธิ ี คอื การสือ่ สารดว้ ยวาจา หรือ วจนภาษา การส่อื สารท่ีไมใ่ ช่
วาจา หรอื อวจนภาษา และการส่ือสารดว้ ยจักษภุ าษา หรอื การเหน็

รูปแบบของการส่ือสารมี 2 รูปแบบ คือ การส่อื สารทางเดยี ว และการส่อื สารสองทาง
การสือ่ สารแบ่งออกเปน็ 4 ประเภท ได้แก่ การส่อื สารภายในตัวบคุ คล การสอื่ สารระหวา่ ง
บุคคล การส่ือสารแบบกลมุ่ ชน และการสื่อสารมวลชน
องคป์ ระกอบของการสอ่ื สารทีส่ าคญั มี 6 องค์ประกอบคอื ผ้สู ่ง สาร ส่ือหรอื ช่องทาง ผู้รับ
ผล และข้อมลู ป้อนกลบั องค์ประกอบเหลา่ นีจ้ ะทางานประสานสัมพันธก์ ัน เพอ่ื ใหผ้ รู้ ับข่าวสารนนั้
เข้าใจได้ถกู ต้องว่าผ้สู ่งสารตอ้ งการสื่อความหมายว่าอยา่ งไร
แบบจาลองการสอ่ื สาร เปน็ การแสดงความสมั พนั ธ์ขององคป์ ระกอบตา่ ง ๆ ของการสอื่ สารเชงิ
แผนภมู ิ ทาให้เห็นกระบวนการของการสอื่ สาร แบบจาลองการส่อื สารทใ่ี ชแ้ พรห่ ลายอยู่ทัว่ ไป
มีหลายแบบ เช่น แบบจาลองการสอื่ สารของ ลาสแวลล์ เบอรโ์ ล แชนนนั และวีเวอร์ ชแรมม์
ออสกดู และชแรมม์
การส่ือสารมีความสมั พนั ธก์ ับการเรียนการสอน เพราะการเรียนการสอนเปน็ กระบวนการ
สือ่ สารรปู แบบหนงึ่ ทมี่ ีองค์ประกอบเชน่ เดียวกับการส่อื สารท่ัวไป คอื มคี รูเป็นผสู้ ง่ สาร เนอื้ หาทสี่ อน
คอื สาร ส่อื การเรยี นการสอน กจิ กรรม และวธิ กี ารสอน คือสอื่ หรอื ชอ่ งทาง และนกั เรียนคือผรู้ ับสาร
ซึ่งมที ง้ั การเรยี นการสอนโดยใช้การสอ่ื สารทางเดยี ว และการเรยี นการสอนโดยใชก้ ารสื่อสารสองทาง
ครูและนักการศกึ ษาโดยเฉพาะนกั เทคโนโลยกี ารศกึ ษา จะตอ้ งมีความรู้ความสามารถในการ
สื่อสารเป็นอยา่ งดี เพื่อนาไปใช้เป็นหลักพ้ืนฐานในการจดั กระบวนการเรยี นการสอนให้มปี ระสทิ ธิภาพ
และประสทิ ธผิ ลตอ่ ไป

40

คาถามทา้ ยบท

1. จงอธบิ ายความหมายของการสื่อสาร
2. วิธขี องการส่ือสารมีก่ีวธิ ี อะไรบ้าง
3. รปู แบบการสอ่ื สารทางเดยี ว และการสื่อสารสองทาง แตกตา่ งกันอยา่ งไร
4. การส่ือสารแบง่ ออกเปน็ ก่ีประเภท อะไรบา้ ง
5. การสอ่ื สารมีองคป์ ระกอบอะไรบา้ ง
6. จงเขียนแบบจาลองการส่ือสารมา 3 รูปแบบ
7. การสอื่ สารสมั พนั ธก์ บั การเรียนการสอนอย่างไร


Click to View FlipBook Version