เรื่อง มโนราห์ นาย กฤตเมธ ชูศรี เลขที่1 ม.4/5 นาย พุทธรักษ์ กุ้งทอง เลขที่3 ม.4/5 นาย ภูพิพัฒน์ อายา เลขที่6 ม.4/5 นาย ณัฐิวุฒิ พุ่มเกื้อ เลขที่9 ม.4/5 นางสาว วิษวิรรัศมิ์ ลูกจันทร์ เลขที่22 ม.4/5 นางสาว วัชรีพรีร รัตนกร เลบขที่32 ม.4/5 จัดทำ โดย เสนอ นาง ปาริชริาติ นวลวิจิวิจิตร รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชวิาภาษาไทย ภาคเรียรีนที่หนึ่งที่ 1 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียรีนกาญจนาภิเษกวิทวิยาลัยกระบี่
คำ นำ รายงานเล่มนี้จัดทำ ขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชวิาภาษาไทย ชั้นม.4/5 เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู็ ในเรื่อรื่งมโนราห์และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อ เป็นประโยชน์กับการเรียรีน ผู้จัดทำ หวังวัว่าว่รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู็อ่านที่กำ ลังค้นหา ข้อมูลเรื่อรื่งนี้อยู่
สารบัญ เรื่อ รื่ ง หน้า มโนราห์ 1 ประวัติ วั ติความเป็นมา 3 การแสดงโนราห์ 2
มโนราห์ คือ ศิลปะพื้นเมืองภาคใต้ โดยคำ เรียรีก มโนห์รา เป็น คำ ที่เกิด ขึ้นมาในสมัยกรุงศรีอรียุธยา จากการนำ เอาเรื่อรื่ง พระสุธนมโนราห์ มาแสดงเป็นละครชาตรี ส่วนประวัติวั ติความเป็นมาของกำ เนิดของ โนรานั้น นักโบราณคดีไทย ได้คาดการณ์กันว่าว่การร่ายรำ ประเภทนี้ ได้รับ อิทธิพลมาศิลปะการแสดงประเทศอินเดียโบราณ มโนราห์ มโนราห์ เป็นศิลปะการแสดงพื้นบ้านของภาคใต้ที่นิยมเล่นสับ ทอดกันมายาวนานไม่น้อยกว่าว่๔๐๐ ปี หรือรืราวพุทธศตวรรษที่ ๑๕ เป็นการ ละเล่นที่มีทั้งการร้อง การรําและมีท่ารําที่อ่อนช้อยสวยงามเป็นการร่ายรําและ รับร้องที่งดงามเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่น มีดนตรีเรีป็นลูกเล่นรับ-ส่งตลอดการ แสดง ผู้รำ โนราสวมครื่อรื่งแต่งกายที่ทําด้วยลูกปัดหลากสี มีสวมปีกหางคล้าย นก สวมเทริดริทรงสูง ต่อเล็บยาวทําด้วยโลหะ บทร้องกลอนสดมักโดยใช้ ปฏิภาณไหวพริบริสรรหาคํามาให้สัมผัสกันได้อย่างฉับไว มีความหมายทั้ง บทร้อง ท่ารำ และเครื่อรื่งแต่งกาย การแสดงโนราเป็นที่นิยมและถือปฏิบัติแพร่ หลายในชุมชนรอบ ๆ ทะเลสาบสงขลา อีกทั้งแพร่กระจายความนิยมไปตลอด สองฟากฝั่งของคาบสมุทรอินโดจีน ส่วนทางตอนใต้มีคณะโนราสองภาษาที่ยัง คงแสดงอยู่ในเขตสามจังหวัดวัภาคใต้ เลยไปถึงตอนเหนือของสหพันธรัฐ มาเลเซียได้แก่ กลันตัน เกตาห์ ปะลิสและปีนัง โนราหรือรืมโนราห์ เป็นศิลปะการแสดงที่นิยมทั่วไปของชาวภาคใต้ เรา สามารถพบการแสดงโนราได้ในงานทั่วไปทั้งงานมงคล เช่น งานแต่งงาน งานทําบุญขึ้นบ้านใหม่ งานทอดผ้าป่าสามัคคี เป็นต้น และงานอวมงคล เช่น งานศพ และนอกจากนี้แล้วยังสามารถจําแนกโอกาสที่แสดงที่ได้เป็น ๒ ลักษณะ ตามลักษณะของงานที่ร่วมแสดง คือแสดงเพื่อความบันเทิงทั่วไปและ แสดงเพื่อประกอบพิธีกรรมของโนราโดยเฉพาะ นอกจากนี้โนราที่ใช้แสดงเพื่อ ความบันเทิงทั่วไปแบ่งได้ ๒ ลักษณะคือ 1
๑. การแสดงโนราโรงเดียว คือการแสดงของโนราคณะเดียวไม่ได้มี การแข่งประชันแข่งขัน การแสดงจึงเป็นไปตามขั้นตอนที่ได้กล่าวเอา ไว้แล้วตามลําดับ ๒. การแสดงโนราแข่ง หรือรืการแสดงประชันโรง เป็นการประชัน ของโนรา ๒ คณะ เพื่อเอาแพ้ชนะโดยใช้เกณฑ์ตัดสินจากผู้ชมหน้า โรง ว่าว่คณะไหนผู้ชมมากกว่าว่คณะนั้นจะชนะ การแสดงลักษณะดัง กล่าวจึงเกิดความสนุกสนานเร้าใจ น่าติดตามชม ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับ กลเม็ดในการแสดงของแต่ละคน ในการเรียรีกผู้ชมให้มาอยู่หน้าโรง ของคณะตนเองให้มากที่สุด 2
ประวัติ วัติ ความเป็นมาของมโนราห์ โนรา เป็นศิลปะพื้นเมืองภาคใต้ เรียรีกว่าว่ โนรา แต่ คำ ว่าว่ มโนราห์ หรือรืมโนห์รา นั้น เป็นคำ ที่เกิด ขึ้นมาเมื่อสมัยกรุง ศรีอรียุธยา โดยการนำ เอา เรื่อรื่ง พระสุธน-มโนราห์ มาแสดงเป็นละคร ชาตรี จึงมีคำ เรียรีกว่าว่มโนราห์ ส่วนกำ เนิดของโนรานั้น สันนิษฐานกัน ว่าว่ ได้รับอิทธิพลจากการ ร่ายรำ ของอินเดียโบราณก่อนสมัยศรีวิรีชัวิชัย ที่มา จากพ่อค้าชาวอินเดีย สังเกตได้จากเครื่อรื่งดนตรีที่รีที่เรียรีกว่าว่เบ็ญจ สังคีตซึ่งประกอบโหม่ง ฉิ่ง ทับ กลอง ปี่ ใน ซึ่งเป็นเครื่อรื่งดนตรีโรีนรา และท่ารำ ของโนรา อีกหลายท่าที่ละม้ายคล้ายคลึงกับการร่ายรำ ของ ทางอินเดีย และเริ่มริ่มีโนราเป็นกิจลักษณะขึ้นเมื่อ ประมาณปี พุทธศักราชที่ 1820 ซึ่งตรงกับสมัยสุโขทัยตอนต้น ปัจจุบันเชื่อกันว่าว่ โนราเกิดขึ้นครั้งแรกที่ หัวเมืองพัทลุง คือ ตำ บล บางแก้ว จังหวัดวัพัทลุง แล้ว แพร่ขยายไปยังหัวเมืองอื่นๆ ของภาคใต้ จน ไปถึงภาคกลาง และกลายเป็นละครชาตรี และ จังหวะ ตะลุง ที่ได้ รับอิทธิพล ในตำ นานเล่า กันมาว่าว่เจ้าเมืองพัทลุง มีชื่อว่าว่พระยา สายฟ้าฟาด มีลูกสาวที่ชื่อ ศรีมรีาลา ซึ่ง มีความสามารถในการร่ายรำ มาก ได้เกิดตั้งครรภ์โดยที่ยังไม่ได้แต่งงาน เชื่อกันว่าว่เป็นท้องกับเทวดา พระยาสายฟ้าฟาดเห็นดังนั้น ก็โกรธมาก สั่งให้นำ นางศรีมรีาลาไป ลอยแพในทะเล ( คือ ทะเลสาปสงขลา) และ แพได้ไปติดที่เกาะใหญ่ นางศรีมรีาลา ก็ได้ให้กำ เนิดลูกชาย โดยตั้งชื่อว่าว่เทพสิงหล ซึ่งมีนัย ความว่าว่ลูกของเทวดา นางศรีมรีาลา ได้ฝึกให้เทพสิงหลฝึกร่ายรำ ซึ่ง เทพสิงหล ก็สามารถร่ายรำ ได้สวยงามมาก และร่ายรำ มีชื่อเสียงมากที่ เกาะใหญ่ จนรู้ไปถึง หูพระยาสายฟ้าฟาด ซึ่งพระยาสายฟ้าฟาด ก็ยังไม่รู้ ว่าว่หลานตัวเอง ก็ได้ เชิญไปรำ ในราชสำ นัก ฝ่ายนางศรีมรีาลานั้น ก็น้อย เนื้อต่ำ ใจเมื่อครั้งที่ถูกลอยแพ ก็บอกกับคนที่มาติดต่อว่าว่ โนราคณะนี้จะ ไปรำ ได้ 3
เเต่ต้องปูผ้าขาวตั้งแต่ริมริฝั่งที่ลงจากเรือ รื จนไปถึงตำ หนัก พระยา สายฟ้าฟาดก็ตอบตกลง ดังนั้น เทพสิงหลจึงไปรำ ในราชสำ นัก เทพสิงหลรำ ได้สวยงามมาก จนพระยาสายฟ้าฟาด ก็ตกตะลึงใน ความสวยงาม จึงถอดเครื่อ รื่ งทรงที่ทรงอยู่ให้กับเทพสิงหล แล้ว บอกว่าว่ “เครื่อ รื่ ง แต่งกายกษัตริย์ริย์ชุดนี้มอบให้เป็นเครื่อ รื่ งแต่งกาย ของโนรานับแต่นี้เป็นต้นไป” เทพสิงหลจึงบอกว่าว่แท้จริงริแล้ว เป็น หลานของพระยาสายฟ้าฟาด พระยาสายฟ้าฟาดจึงรับโนราไว้ใว้ น ราชสำ นัก และให้สิทธิแต่งกายเหมือนกษัตริย์ริย์ทุกประการ นายสาย ภักดีสังข์ ผู้สอนรำ มโนราห์ (ปัจจุบันอายุ 69 ปี) เป็นศิษย์ของ มโนราห์ เจิม เศรษฐ์ณรงค์ บ้านช่างทองตก หมู่ ที่ 6 ต.นาปะขอ อ.บางแก้ว จ.พัทลุง เริ่มริ่เรียรีนรำ มโนราห์เมื่ออายุ 7 ปี ในช่วงระหว่าว่งฝึกรำ อยู่นั้นอาจารย์เจิม ได้เล่าประวัติวั ติความเป็นมา ของ มโนราห์ ให้ฟังว่าว่ กาลครั้งนั้น ยังมีพระยาเมืองพัทลุง กับพระมเหสี ได้ครอง คู่กันมาหลายปี แต่ก็หาได้มีบุตรไว้สืว้ สืบสกุลสักคน ทั้งพระสามี และ มเหสี ได้ตกลงกันจุดธูปเทียน บนบานศาลกล่าว แด่เทวดา และสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ ขอให้ช่วยประทานบุตรให้สักคน จะเป็นหญิงก็ได้ ชายก็ดี ไว้เว้ป็นทายาทสืบสกุลต่อไป อยู่มาวันวัหนึ่งพระมเหสี บอกพระสามีว่าว่กำ ลังทรงมีพระครรภ์ พระ สามีได้ฟัง ก็ดีพระทัยมาก ต่อมาเมื่อครบกำ หนดประสูติกาลได้ประสูติ พระธิดา จึงได้ตั้งชื่อว่าว่ศรีมรีาลา เจริญริวัยวัมาได้ประมาณ 5 - 6 เดือน ก็เริ่มริ่รำ ทำ มือพลิกไปพลิกมา นางสนมพี่เลี้ยง ก็เลยร้องเพลง หน้อย ๆ ๆ จนเคยชิน ตั้งแต่เล็กจนโตรำ มาตลอด ถ้าหากวันวั ใดไม่ได้รำ ข้าว น้ำ จะไม่ยอมเสวย ส่วนพระบิดาก็ร้อนใจ และละอายต่อไพร่ฟ้า ประชาชน ที่พระธิดาโตแล้วยังรำ อยู่ เช่นนั้น ไม่รู้จะทำ อย่างไร ส่วน ประชาชนก็พากันติฉินนินทาไม่ขาดหู เลยตัดสินใจ ให้ทหารนำ ไป ลอยแพในทะเล 4
แม่ศรีมรีาลาต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส จนสลบนอนแน่นิ่งอยู่บน แพนั้น แพถูกคลื่นลมพัดพาไปตามกระแสน้ำ ตามยถากรรม จนกระทั่งไป ติดอยู่กับโขดหิน ใกล้กับเกาะสีชัง พ่อขุนศรัทธา ซึ่งต้องคดีการเมืองถูกนำ ไปกักไว้บว้นเกาะสีชัง พร้อมพวก พระยาต่างๆ ที่ต้องคดีเดียวกัน ถูกนำ มากักขังรวมกัน เป็นนักโทษ การเมือง บนเกาะแห่งนี้ ในวันวันั้น พ่อขุนศรัทธา ได้ลงไปตักน้ำ เพื่อจะ ชำ ระร่างกาย บังเอิญมองไปในทะเล ได้เห็นแพลำ หนึ่งลอยมาติดอยู่ที่ โขดหินใกล้เกาะ และมีคนๆ หนึ่งนอนอยู่บนแพ พอจะแลเห็นได้ถนัด ตนเอง จะลงไปช่วยก็ไม่ได้เพราะน้ำ บริเริวณนั้นลึกมาก จึงไปบอกกับพระยาโถมน้ำ ซึ่งเป็นผู้มีวิชวิาอาคม เดินบนน้ำ ได้ ให้ไปช่วย พระยาโถมน้ำ รับปากแล้ว ได้ ลงมาดู เห็นเป็นดังที่ขุนศรัทธาพูดจริงริจึงตัดสินใจเดินไปบนน้ำ ลากแพ เข้าหาฝั่งได้ แต่จะทำ อย่างไร ผู้หญิงที่นอนอยู่ในแพยังสลบไศลไม่ได้สติ จึง ได้เรียรีกบรรดาพวกพระยาทั้งหมด ให้มาดูเผื่อจะมีผู้ใดมีปัญญาช่วยเหลือได้ ขณะนั้น พระยาลุยไฟซึ่งร่วมอยู่ในกลุ่มนั้นด้วย คิดว่าว่ผู้หญิงคนนี้ คง ไม่เป็นอะไรมาก คงเนื่องจากความหนาวเย็นนั่นเอง ที่ทำ ให้เธอไม่ ได้สติ เมื่อคิดได้ดังนั้นจึงสั่งให้พวกพระยาทั้งหลาย ช่วยกันหาไม้ฟืนมา ก่อไฟสักกองใหญ่ แล้วพระยาลุยไฟก็อุ้มเอาร่างผู้หญิงคนนั้น เดินเข้า ไฟในกองไฟ ความหนาวที่เกาะกุมนางอยู่ เมื่อถูกความร้อนจากกองไฟ ก็เริ่มริ่ผ่อนคลายและรู้สึกตัวในเวลาต่อมา เมื่อเห็นว่าว่เธอปลอดภัยแล้ว จึงนำ นางขึ้นไปยังที่พัก และให้ข้าวปลาอาหารแก่นาง จนมีเรี่ยรี่วแรง ปกติขึ้น เมื่อมีเรี่ยรี่วแรงดีแล้ว แม่ศรีมรีาลาก็เริ่มริ่รำ อีก ทำ ให้พวกพระยา ทั้งหลายพากันแปลกใจ พากันถามไถ่ไล่เรียรีง แม่ศรีมรีาลาจึงเล่าความ เป็นมาทั้งหมดให้พวกพระยาฟัง พวกพระยาทั้งหมดต่างก็คิดกันว่าว่จะทำ อย่างไรต่อไปดี พระยาคนหนึ่ง จึงเสนอให้พ่อขุนศรัทธา นำ แม่ศรีมรีาลาไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ส่วน เรื่อรื่งการร่ายรำ ของเธอ จะมอบให้พระยาเทพสิงหร ไปประชุมพระยา ให้ช่วยกันจัดการ ในเครื่อรื่งดนตรี และพระยาเทพสิงหร เป็นหัวหน้า คณะ 5
เมื่อทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามที่ตกลงกันแล้ว ก็ยังมีเหลืออีกอย่าง คือชื่อ คณะ ให้ทุกคนช่วยกันคิดว่าว่จะตั้งชื่อคณะว่าว่อย่างไร แม่ศรีมรีาลาได้ยินดังนั้น จึงคิดขึ้นมาได้ว่าว่ตอนที่ลอยอยู่ในทะเล เธอได้ระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้ จึง บอกพระยาทั้งหลายว่าว่ชื่อคณะสมควรจะใช้ชื่อว่าว่ "คณะมโนราห์" เพราะเมื่อ ชาติก่อน หนูเคยเกิดเป็นมนุษย์ครึ่งรึ่นก หนูชื่อ มโนราห์ ทุกคนพูดว่าว่จำ ชาติ เกิดปางก่อนได้ด้วยหรือรืแม่ศรีมรีาลาตอบว่าว่จำ ได้ทุกชาติ หนูเกิดมาทั้งหมด 12 ชาติ รวมทั้งชาติปัจจุบันด้วย เหล่าพระยาจึงว่าว่ถ้าอย่างนั้นหนูช่วยเล่า เรื่อรื่งราวแต่ละชาติให้พวกเราฟังเถิด แม่ศรีมรีาลารับคำ แล้วก็เริ่มริ่เล่าเรื่อรื่ง แต่ละชาติปางก่อนให้ฟัง ชาติเกิดทั้ง 12 ชาติมีดังนี้ ชาติที่ 1 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ มโนราห์ ชาติที่ 2 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ เมรี ชาติที่ 3 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ ทิพย์เกสร ชาติที่ 4 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ อัมพันธุ์ ชาติที่ 5 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ รจนา ชาติที่ 6 เกิดเป็นผู้ชาย ชื่อ จันทร์โครพ ชาติที่ 7 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ โมรา ชาติที่ 8 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ เกตุบุปผา ชาติที่ 9 เกิดเป็นผู้ชาย ชื่อ สังข์ศิลป์ชัย ชาติที่ 10 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ ยอพระกลิ่น ชาติที่ 11 เกิดเป็นผู้ชาย ชื่อ ไกรทอง ชาติที่ 12 เกิดเป็นผู้หญิง ชื่อ ศรีมรีาลา - - - - - - - - - - - - 6
ฉะนั้น การตั้งชื่อคณะ ขอตั้งชื่อตามชื่อชาติที่หนึ่ง เพราะเป็นนักฟ้อนรำ หนู เป็นพวกกินรี ครึ่งรึ่มนุษย์ครึ่งรึ่สัตว์ จึงขอตั้งชื่อคณะว่าว่ "มโนราห์" พวก พระยาได้ฟังดังนั้น จึงตอบตกลง จึงได้ชื่อว่าว่มโนราห์ มาจนทุกวันวันี้ ในฐานะพระยาเทพสิงหร เป็นหัวหน้าคณะ และได้ตั้งคณะมโนราห์ขึ้น มโนราห์โรงนี้ จึงเรียรีกกันว่าว่มโนราห์เทพสิงหร กาลเวลาผ่านมาพอสมควร คณะมโนราห์เทพสิงหร ได้แสดงไปเรื่อรื่ยๆ จนข่าวลือไปทั่วสารทิศ จนทราบ ไปถึง พระยาพัทลุง พระบิดา ซึ่งรู้เพียงว่าว่มโนราห์เทพสิงหรแสดงดีมาก จึงรับสั่งให้ทหารไปรับมาแสดงในพระราชวังวัมโนราห์ก็มาแสดงตามคำ เรียรีก ร้อง พระยาเมืองพัทลุง ได้ทอดพระเนตรการแสดง ก็ทรงชื่นชมพอพระทัย พอถึงฉากแม่ศรีมรีาลาออกมารำ เจ้าเมืองก็จำ ไม่ได้ว่าว่เป็น แม่ศรีมรีาลา เพราะแต่งกายในชุดมโนราห์ ดูผิดแปลกไป มีรูปทรงน่ารักน่าเอ็นดู พร้อม ทั้งมีเสน่ห์เย้ายวนใจ เมื่อแม่ศรีมรีาลา นั่งอยู่บนเตียงตั่ง(ที่นั่งไม่มีพนัก) สำ หรับมโนราห์นั่ง เจ้าเมืองก็ลุกจากที่ประทับ เดินเข้าไปในโรงมโนราห์ ด้วยความเสน่หา แล้วได้จูงมือแม่ศรีมรีาลา พาไปยังตำ หนัก และเข้าไปใน ห้องทรง ให้แม่ศรีมรีาลา เปลี่ยนเครื่อรื่งทรงชุดมโนราห์ออก แล้วร่วมสมสู่ กับกับนาง แม่ศรีมรีาลาเห็นผิดปกติ ก็เลยบอกความจริงริว่าว่พระบิดาเจ้าข้า หม่อมฉัน เป็นลูกของท่านน๊ะ ลูกที่ท่านลอยแพไป หม่อมฉันยังไม่ตาย แพ ไปติดอยู่ที่เกาะสีชัง พวกพระยาทั้งหลายเขาเลี้ยงหม่อมฉันไว้ แล้วได้ตั้ง คณะมโนราห์ขึ้น เมื่อได้ฟังดังนั้น ก็ทรงโกรธมาก จึงรับสั่งให้นำ แม่ศรีมรีาลาไปถ่วงน้ำ คณะ มโนราห์ทั้งหมดก็ให้ทหารควบคุมตัวไว้ ไม่ให้ออกนอกวังวัส่วนแม่ศรีมรีาลา เมื่อทหารกำ ลังนำ ตัวเดินลงมาจากพระตำ หนัก นางได้ขอร้องให้ทหารนำ ตัว ไปพบคณะมโนราห์ และได้กล่าวอำ ลาครั้งสุดท้ายด้วย ทหารจึงทำ ตามความ ประสงค์ นำ ตัวแม่ศรีมรีาลาไปพบคณะมโนราห์ ทุกคนเมื่อรู้เรื่อรื่งราวก็พากัน เศร้าโศกเสียไจไปตามๆ กัน 7
แม่ศรีมรีาลา พูดกับคณะมโนราห์ว่าว่หนูหมดบุญที่จะเป็นมนุษย์แล้ว เพราะเกิดมา ครบสิบสองชาติแล้ว ท่านทั้งหลายไม่ต้องเศร้าโศกเสียใจ เมื่อท่านคิดถึงหนู ขอให้ จัดโรงมโนราห์ขึ้น แล้วให้รำ สิบสองท่า ว่าว่ ให้ครบสิบสองบท และเล่นสิบสองเรื่อรื่ง ตามชาติเกิดของหนู แล้วท่านจะได้สมหวังวัหนูจะมากินกับมโนราห์เท่านั้น สรุปว่าว่ แม่ศรีมรีาลาตาย เพราะถูกถ่วงน้ำ (ตายในน้ำ ) 8
อ้างอิงที่มา https://clib.psu.ac.th/southerni nfo/content/2/bae72ee9 https://www.baanjomyut.com/li brary_2/extension2/history_alive/index.html#goo gle_vignette