The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

โครงสร้างรายวิชาวิทยาการคำนวณ ม.1-ม.6

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by najaree, 2020-12-04 23:06:43

โครงสร้างรายวิชาวิทยาการคำนวณ

โครงสร้างรายวิชาวิทยาการคำนวณ ม.1-ม.6

Keywords: วิทยาการคำนวณ

ห น้ า | 26

กิจกรรม วิธกี าร เครื่องมือ เกณฑก์ ารประเมิน
ประเมนิ
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ มคี ะแนนคุณลกั ษณะ
ทางการเรียนและ ดา้ นพฤตกิ รรม คุณภาพระดบั พอใช้ขน้ึ ไป
การเข้ารว่ มกจิ กรรม
ในชน้ั เรียน

9. ชิ้นงาน/ภาระงาน
9.1 ใบกจิ กรรม
9.2 แบบทดสอบ

10. สอ่ื และแหลง่ ข้อมูล
- เว็ปไซต์ https://www.watermark.ws เพ่ือสรา้ งลายนาํ้ ในภาพทต่ี อ้ งการ
- เว็บไซต์ https://creativecommons.org/licenses/
- หนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคาํ นวณ) สถาบนั ส่งเสริมการสอน

วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

คำอธบิ ำยรำยวิชำ

รำยวชิ ำวิทยำกำรคำนวณ 3 รหัสวชิ ำ ว23103 ชั้นมัธยมศึกษำปีที่ 3

กลุ่มสำระกำรเรียนรวู้ ิทยำศำสตร์ เวลำ 40 ชว่ั โมง จำนวน 1.0 หน่วยกิต

..........................................................................................................................................................................

ศึกษาขน้ั ตอนการพัฒนาแอปพลิเคชนั Internet of Things (IoT) การเขยี นโปรแกรมเพอ่ื พัฒนา

แอปพลเิ คชัน ขอ้ มูลปฐมภูมิและทุติยภมู ิ การประมวลผลขอ้ มูล การสรา้ งทางเลือกและประเมนิ ผล ซอฟต์แวร์

หรือบริการบน อินเทอร์เน็ตที่ใชใ้ นการจัดการขอ้ มลู การประเมนิ การความน่าเชอื่ ถือของขอ้ มูล การสบื คน้ หา

แหลง่ ต้นตอของขอ้ มูล เหตผุ ลวิวตั ิ ผลกระทบจากข่าวสารท่ีผิดพลาด การรู้เท่าทนั สื่อ กฎหมายทเี่ ก่ียวกบั

คอมพวิ เตอร์ การใช้ลิขสิทธขิ์ อง ผูอ้ ืน่ โดยชอบธรรม

รวบรวมขอ้ มูลปฐมภมู ิหรือทตุ ิยภมู ิ ประมวลผล สร้างทางเลอื ก และนาแสนอการตัดสินใจไดอ้ ยา่ มี

ประสทิ ธภิ าพ ออกแบบและเขียนโปรแกรม. เพื่อพัฒนาแอปพลิเคชนั ทม่ี ีการบรู ณาการกบั วิชาอ่นื อย่าง

สร้างสรรค์ ใช้งานเทคโนโลยสี ารสนเทศ อยา่ งร้เู ท่าทนั และมคี วามรบั ผิดชอบตอ่ สงั คม

ตัวชว้ี ัด
ว. 4.2 เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ

1. พฒั นาแอปพลเิ คชนั ทม่ี ีการบูรณาการกบั วิชาอื่นอยา่ งสร้างสรรค์
2. รวบรวมขอ้ มูล ประมวลผล ประเมินผล นาเสนอขอ้ มูลและสารสนเทศ ตามวัตถปุ ระสงค์
โดยใชข้ อฟต์แวร์ หรือบรกิ ารบนอนิ เทอรเ์ นต็ ทีห่ ลากหลาย
3. ประเมินความนา่ เช่อื ถอื ของขอ้ มลู วิเคราะห์ส่ือและผลกระทบจากการให้ข่าวสารท่ีผดิ
เพื่อการใช้งานอย่างรู้เท่าทนั
4. ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งปลอดภยั และมคี วามรับผิดชอบตอ่ สังคม ปฏิบตั ิตาม
กฎหมายเกี่ยวกับคอมพวิ เตอร์ ไขส้ ิขสทิ ธิ์ของผู้อ่นื โดยชอบธรรม

รวมทง้ั หมด 4 ตวั ชวี้ ัด

ห น้ า | 1

คาอธบิ ายรายวชิ า

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ สาระการเรยี นรพู้ ื้นฐาน

รายวิชา วิทยาการคานวณ 1 รหัสวิชา ว31103 ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 4

จานวนเวลา 2 ชั่วโมง/สปั ดาห์ เวลา 40 ช่ัวโมง / ภาคเรยี น จานวน 1.0 หนว่ ยกิต

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ศึกษาหลกั การของแนวคิดเชงิ คานวณ การแยกสว่ นประกอบและการย่อยปัญหา การหารูปแบบ การคิด
เชงิ นามธรรม ตวั อย่างและประโยชน์ของแนวคิดเชงิ คานวณเพือ่ แกป้ ญั หาในชีวติ ประจาวนั ประยุกตใ์ ชแ้ นวคดิ
เชงิ คานวณในการออกแบบข้นั ตอนวธิ ีสาหรับแก้ปัญหา การแก้ปญั หาด้วยคอมพิวเตอร์ การระบขุ อ้ มลู เข้า
ข้อมลู ออก และเง่อื นไขของปญั หา การออกแบบข้ันตอนวธิ ี การทาซ้า การจดั เรยี งและค้นหาขอ้ มูล ตัวอยา่ ง
การออกแบบขนั้ ตอนวธิ เี พ่อื แกป้ ญั หาด้วยคอมพวิ เตอร์ การศกึ ษาตัวอย่างโครงงานทางเทคโนโลยีสารสนเทศ
การกาหนดปัญหา ศกึ ษา วางแผน ดาเนินงาน สรุปผลและเผยแพร่ ในการพัฒนาโครงงานท่มี กี ารบูรณาการ
ร่วมกบั วิชาอนื่ และเชอื่ มโยงกบั ชีวติ จรงิ

ตัวชี้วัด
ว 4.2 เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ)
ประยุกตใ์ ชแ้ นวคดิ เชิงคานวณในการพฒั นาโครงงานที่มกี ารบูรณาการกบั วิชาอนื่ อยา่ งสร้างสรรค์

และเชอ่ื มโยงกับชีวติ จรงิ

รวมทง้ั หมด 1 ตัวชี้วดั

ห น้ า | 2

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ โครงสร้างรายวิชา

สาระการเรียนรู้พนื้ ฐาน

รายวิชา วิทยาการคานวณ รหัสวชิ า ว31104 ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4

จานวนเวลา 2 ชั่วโมง/สัปดาห์ เวลา 40 ช่วั โมง / ภาคเรยี น จานวน 1.0 หนว่ ยกติ

มาตรฐาน น้าหนัก
การเรียนรู้ เวลา คะแนน
ลาดับ ชือ่ หนว่ ย / ตวั ชี้วัด สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด (ชั่วโมง) ร ป
ท่ี การเรยี นรู้ ผลการ

เรยี นรู้
1 แนวคิดเชงิ ว 4.2 ม.4 แนวคิดเชงิ คานวณเปน็ พ้ืนฐานของการคิดแกป้ ญั หาท่ี 6 15

คานวณ สามารถนาไปประยกุ ตใ์ นการแก้ปญั หาใน

ชีวิตประจาวนั แนวคิดเชิงคานวณ เป็นการคิดแบบ

แยกส่วนประกอบและการย่อยปญั หา

(decomposition) การหารปู แบบของปัญหา

(pattern recognition) การคิดเชิงนามธรรม

(abstraction) เพื่อพิจารณาสาระสาคัญของปัญหา

และการออกแบบขั้นตอนวธิ ใี นการแก้ปัญหา

(algorithm) ซึ่งข้นั ตอนวธิ ี คอื ลาดบั ขน้ั ตอนในการ

แกป้ ญั หาหรอื การทางานท่ีชัดเจน ช่วยให้คดิ อย่าง

เป็นระบบและเปน็ ขน้ั ตอน

2 การแกป้ ัญหา ว 4.2 ม.4 การคดิ เชงิ คานวณเป็นพื้นฐานของการแกป้ ญั หาด้วย 8 15

ด้วย คอมพิวเตอร์ สาหรับการออกแบบข้นั ตอนวธิ ใี นการ

คอมพิวเตอร์ แกป้ ญั หาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ จาเปน็ ตอ้ งระบุ

ข้นั ตอนการทางานรวมถึงเงือ่ นไขต่าง ๆ ทชี่ ดั เจนเช่น

ขอ้ มลู เขา้ ข้อมูลออก ขอบเขตของข้อมูลที่ตอ้ งการ

มนษุ ย์จงึ จะสามารถเขยี นโปรแกรมใหค้ อมพิวเตอร์

ทางานตามคาส่ัง

สรปุ ทบทวนภาพรวม(สอบกลางภาค) 2 10

3 โครงงาน ว 4.2 ม.4 การพัฒนาโครงงานเป็นกระบวนการ ท่ีสามารถใช้ 22 40

ห น้ า | 3

ลาดบั ช่อื หนว่ ย มาตรฐาน สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด เวลา น้าหนกั
ท่ี การเรยี นรู้ การเรียนรู้ แนวคิดเชิงคานวณ ในการแกป้ ญั หา โดยเร่มิ จากการ (ชวั่ โมง) คะแนน
สร้างสรรค์ / ตวั ชีว้ ัด รป
ผลการ 38
2 80
เรยี นรู้ 40 20
100
ระบุปญั หาท่สี นใจในชีวิตประจาวนั วิเคราะหส์ าเหตุ

ของปญั หา ศึกษาและหาแนวทางการแก้ปัญหา

เพอื่ ใหส้ ามารถแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

รวมระหว่างภาคเรียน

สรปุ ทบทวนภาพรวม(สอบปลายภาค)

รวม

ตารางโครงสร้างกาหนดการสอนและแผนการจดั การเรียนรู้

กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระการเรยี นรูพ้ ื้นฐาน

รายวชิ า วทิ ยาการคานวณ รหัสวชิ า ว31104 ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 4

จานวนเวลา 2 ชัว่ โมง/สปั ดาห์ เวลา 40 ชั่วโมง / ภาคเรียน จานวน 1.0 หน่วยกติ

ช่อื หน่วย ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี/เร่อื ง

ปฐมนเิ ทศและแนะนา

วิธีเรียน รายวชิ า

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 ว 4.2 ม.4 ประยุกต์ใช้แนวคิดเชงิ คานวณ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 1
แนวคดิ เชิงคานวณ ในการพฒั นาโครงงานที่มกี ารบรู ณาการ เรื่อง แนวคดิ เชิงคานวณ

กบั วิชาอนื่ อยา่ งสร้างสรรค์ และเชอื่ มโยง แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 2

กบั ชีวติ จรงิ เรื่อง การแยกส่วนประกอบและการ

ย่อยปญั หา

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 3

เรอื่ ง การหารูปแบบและการคิดเชงิ

นามธรรม

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 ว 4.2 ม.4 ประยกุ ตใ์ ชแ้ นวคิดเชิงคานวณ แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 4
การแก้ปัญหา ในการพัฒนาโครงงานที่มกี ารบรู ณาการ เรอ่ื ง การแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์
ดว้ ยคอมพิวเตอร์ กับวชิ าอนื่ อยา่ งสร้างสรรค์ และเชอ่ื มโยง แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 5

เรื่อง การออกแบบขัน้ ตอนวิธี

ห น้ า | 4

กับชีวิตจริง แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 6

เรอื่ ง การจัดเรียงขอ้ มลู

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 7

เรอ่ื ง การคน้ หาขอ้ มูล

สอบกลางภาคเรียน

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 3 ว 4.2 ม.4 ประยุกตใ์ ช้แนวคิดเชงิ คานวณ แผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 8
โครงงานสรา้ งสรรค์
ในการพัฒนาโครงงานท่ีมีการบูรณาการ เรื่อง โครงงานสร้างสรรค์

กับวิชาอ่นื อย่างสร้างสรรค์ และเชื่อมโยง แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 9

กับชีวิตจริง เรอื่ ง วางแผนและออกแบบโครงงาน

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 10

เรือ่ ง การพัฒนาโครงงาน

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 11

เรือ่ ง รายงานโครงงาน

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 12

เรอ่ื ง Show Time

สรปุ ทบทวนภาพรวม(สอบปลายภาค)

การออกแบบการวัดและประเมินผลปลายปี/ปลายภาคใหเ้ หมาะกบั ธรรมชาติวิชา

และสอดคลอ้ งกบั ที่กาหนดไว้ในโครงสรา้ งรายวชิ า

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

การกาหนดโครงสร้างรายวิชาและวางแผนการประเมนิ และการกาหนดสัดส่วนของคะแนน

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระการเรยี นรพู้ ้ืนฐาน

รายวชิ า วิทยาการคานวณ รหสั วิชา ว31104 ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ 4

จานวนเวลา 2 ชวั่ โมง/สัปดาห์ เวลา 40 ชัว่ โมง / ภาคเรยี น จานวน 1.0 หนว่ ยกิต

40 ชั่วโมง/ภาคเรยี น สัดสว่ นคะแนน ระหว่างภาค : ปลายภาค 80 : 20

ท่ี ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ เวลา คะแนน หลักฐานการเรียนรู้
เรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวัด (ชั่วโมง) (ภาระงาน/ช้ินงาน

รวบยอด)

1 แนวคิดเชงิ คานวณ ว 4.2 ม.4 6 15

2 การแกป้ ญั หาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ ว 4.2 ม.4 8 15

ห น้ า | 5

กลางภาค 2 10

3 โครงงานสร้างสรรค์ ว 4.2 ม.4 22 40

รวมระหว่างภาคเรยี น 38 80

ปลายภาค 20

รวม 40 100

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 เวลา 6 ชั่วโมง

ชือ่ หนว่ ยการเรียนรู้ แนวคิดเชิงคานวณ

1. สาระ/ มาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใชแ้ นวคิดเชิงคานวณในการแกป้ ัญหาท่ีพบในชวี ิตจรงิ อย่างเปน็ ขั้นตอน

และเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปัญหาได้อยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ รเู้ ทา่ กนั และมจี ริยธรรม

ห น้ า | 6

2. ตัวชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้
ประยุกต์ใช้แนวคิดเชิงคานวณในการพฒั นาโครงงานท่ีมกี ารบูรณาการกบั วิชาอื่นอย่างสร้างสรรค์

และเชอ่ื มโยงกับชีวติ จรงิ

3. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
แนวคิดเชิงคานวณ (computational thinking) เปน็ พน้ื ฐานของการคดิ แกป้ ญั หาที่สามารถนาไป

ประยกุ ต์ในการแกป้ ญั หาในชีวติ ประจาวัน แนวคดิ เชิงคานวณ เปน็ การคดิ แบบแยกส่วนประกอบและการยอ่ ย
ปัญหา (decomposition) การหารปู แบบของปัญหา (pattern recognition) การคดิ เชิงนามธรรม
(abstraction) เพ่อื พิจารณาสาระสาคัญของปัญหา และการออกแบบขนั้ ตอนวิธใี นการแกป้ ญั หา (algorithm)
ซงึ่ ข้ันตอนวธิ ี คอื ลาดับข้นั ตอนในการแกป้ ญั หาหรือการทางานทช่ี ัดเจน ชว่ ยใหค้ ิดอยา่ งเปน็ ระบบและเป็น
ขั้นตอน

4. สาระการเรียนรู้
แนวคิดเชงิ คานวณ ได้แก่ การคิดแบบแยกสว่ นประกอบและการยอ่ ยปัญหา การหารปู แบบของปัญหา

การคดิ เชงิ นามธรรม และการออกแบบข้ันตอนวิธใี นการแกป้ ัญหา

5. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน
5.1 ความสามารถในการสบื คน้ ขอ้ มูล
5.2 ความสามารถในการแก้ปัญหา
5.3 ความสามารถในการทางานร่วมกนั
5.4 ความสามารถในการส่อื สาร
5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

6. คุณลักษณะอันพงึ ประสงค์
6.1 มงุ่ ม่นั ในการทางาน
6.2 มวี นิ ยั
6.3 ใฝเ่ รยี นรู้

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ชวั่ โมงท่ี 1-2 (แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 1 เรือ่ ง แนวคดิ เชิงคานวณ จานวน 2 ชม.)
1. ผ้สู อนนาเข้าสู่บทเรียน เรอ่ื งแนวคดิ เชิงคานวณ โดยเลา่ สถานการณ์และตั้งคาถามถามผู้เรียน

ห น้ า | 7

2. ผสู้ อนใช้วิธสี มุ่ ผู้เรยี นหรอื หาอาสาสมัคร 3 คน บอกหรอื เขยี นวิธีการท่จี ะทาให้ตัวเองรอดจากการถกู
หมีจับกนิ โดยอธบิ ายเปน็ ลาดบั ขัน้ ตอน

3. ผสู้ อนอธิบายและสรุปเพ่ือเช่ือมโยงไปถึงเรอื่ งแนวคดิ เชิงคานวณ ซึง่ ในสถานการณ์ข้างต้นเปน็ ตวั อย่าง
ของการแก้ปญั หาที่มขี ัน้ ตอนวธิ ี และมีการคดิ แก้ปัญหาแบบอน่ื ๆ ที่เป็นแนวคิดเชงิ คานวณด้วย (อาจอธบิ ายโดย
ยกตัวอยา่ งเพิ่มเตมิ ใหผ้ ู้เรยี นเข้าใจหลักการคิดทัง้ 4 แบบ หรือเปิดคลิปวดี ิทัศนเ์ พอ่ื อธิบายเพ่ิมเตมิ
https://www.youtube.com/watch?v=mUXo-S7gzds)

4. ผเู้ รยี นจับคูก่ ับเพ่ือนศึกษาตวั อยา่ งที่ 1.1 วธิ แี นะนาหนงั สอื ในหนังสอื เรยี น เพอื่ ใหน้ กั เรยี นเขา้ ใจ
หลกั การของขัน้ ตอนวธิ ีมากขึน้

5. ผู้เรียนจบั คกู่ ันทาใบกิจกรรมที่ 1.1 บา้ นเธอ บ้านฉนั
6. ผสู้ อนอธบิ ายตัวอย่างที่ 1.2 ไปให้ครบทกุ ท่ี ในหนงั สือเรียน และร่วมกนั อภปิ รายกับผเู้ รียนเพ่อื ให้เหน็
ตวั อย่างเพม่ิ เติม
7. ผเู้ รียนศึกษาตัวอย่างท่ี 1.3 การหาตัวหารรว่ มมาก และตัวอย่างท่ี 1.4 การหา ห.ร.ม. ของ 187 และ
221 ในหนังสือเรียน
8. ผู้เรยี นจบั คู่กันทาใบกิจกรรมท่ี 1.2 หา ห.ร.ม. ง่ายกว่าท่คี ดิ เมอ่ื ทาเสร็จแลว้ ให้แลกกันตรวจกับเพือ่ น
คูอ่ ่นื
9. ผสู้ อนและผู้เรยี นร่วมกนั อภิปราย และสรุปประโยชน์ของขน้ั ตอนวธิ ีกบั การแกป้ ัญหาในชีวิตประจาวนั
10. ผู้เรียนทาแบบประเมินตนเองเรื่องฉนั รู้จักข้นั ตอนวีิธี
ช่ัวโมงที่ 3-4 (แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 2 เรอ่ื ง การแยกสว่ นประกอบและการยอ่ ยปญั หา จานวน 2 ชม.)
11. ผสู้ อนนาเข้าสู่บทเรียนโดยการเลา่ สถานการณ์ใดสถานการณ์หน่งึ จากสองสถานการณแ์ ละให้ผู้เรยี น
วเิ คราะห์และหาคาตอบจากสถานการณ์ท่ีเลอื ก
12. ผสู้ อนเชือ่ มโยงสถานการณข์ า้ งต้นกบั วธิ คี ดิ แบบแยกส่วนประกอบและย่อยปัญหา
13. ผู้เรยี นศกึ ษาหวั ข้อที่ 1.2 การแยกส่วนประกอบและการย่อยปัญหา (decomposition) ในหนังสือเรียน
จนถงึ ก่อนกจิ กรรมที่ 1.3
14. ผู้เรียนทาใบกิจกรรมที่ 2.1 แยกส่วนและสร้างใหม่
15. ผสู้ อนส่มุ ผู้เรียนหรือหาอาสาสมัครนาเสนอคาตอบจากใบกิจกรรมท่ี 2.1
16. ผเู้ รยี นศึกษาหนงั สือเรียนหัวขอ้ ท่ี 1.2 สว่ นทตี่ ่อจากกิจกรรมท่ี 1.3
17. ผูส้ อนแบง่ ผเู้ รยี นออกเปน็ กลุ่ม กลุม่ ละ 4 คน ทาใบกจิ กรรมที่ 2.2 ชีวติ ประจาวนั กบั การแยก
สว่ นประกอบ โดยผ้สู อนชีแ้ จงเกณฑก์ ารประเมินกอ่ นใหผ้ ู้เรยี นลงมือทากิจกรรม
18. ผู้เรียนแตล่ ะกล่มุ เลือกกจิ กรรมท่ีคดิ ว่าทาไดด้ ีที่สดุ 1 กิจกรรมจากใบกิจกรรมท่ี 2.2 แลว้ แลกกับกลุ่มอ่ืน
เพื่อประเมนิ โดยใชแ้ บบประเมินการแยกส่วนประกอบและการยอ่ ยปัญหา
19. ผสู้ อนส่มุ กลุ่มนาเสนอคาตอบให้ครบทุกกจิ กรรม และร่วมอภิปรายกบั ผ้เู รยี นในประเด็นเร่อื งของเวลา
โดยเชือ่ มโยงใหเ้ ห็นประโยชน์ของการแยกส่วนประกอบและการยอ่ ยปญั หา สอบถามว่าต้องใชว้ ธิ ีการอยา่ งไร จึงจะ
ทางานไดส้ าเรจ็ หากมีงานมากและมีเวลาจากัด

ห น้ า | 8

20. ผ้สู อนและผเู้ รยี นรว่ มกันสรปุ แนวคดิ การแยกสว่ นประกอบและการยอ่ ยปญั หา ในดา้ นประโยชนข์ อง
การใช้แก้ปญั หาในชีวติ ประจาวัน

ชัว่ โมงท่ี 5-6 (แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 3 เรอื่ ง การหารปู แบบและการคิดเชงิ นามธรรม จานวน 2 ชม.)
21. ผสู้ อนนาเข้าสบู่ ทเรียน โดยอธิบายกติกาวธิ เี ล่นเกมการ์ดดอกไม้ ท่ที าใหผ้ ้เู รียนสามารถบอกชนดิ ของ
พชื ดอก แลว้ ใหผ้ ู้เรียนเลน่ เกมเป็นกลุ่ม
22. ผู้เรยี นตอบคาถามในเกม กลุ่มใดทาเสร็จก่อนให้เป็นผู้ชนะ
23. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกนั อภปิ รายถงึ การเช่ือมโยงรูปแบบทเี่ หมอื น ๆ กันของดอกไม้และทาให้
สามารถบอกชนดิ ของพืชดอกได้
24. ผเู้ รยี นศึกษาหัวขอ้ ท่ี 1.3 การหารูปแบบ (pattern recognition) ในหนังสอื เรียนจนถงึ กอ่ นกจิ กรรม
ที่ 1.5
25. ผ้เู รยี นทาใบกิจกรรมท่ี 3.1 เหมือนหรอื ต่าง
26. ผู้สอนสุ่มผู้เรียนนาเสนอคาตอบ และอภิปรายรว่ มกบั ผู้เรยี น
27. ผเู้ รียนศึกษาเนื้อหาหัวขอ้ ที่ 1.3 ในหนังสือเรียนสว่ นทเี่ หลือ แล้วสุม่ ผู้เรียนยกตัวอย่างปัญหาอน่ื ท่ีเกิด
ซ้า ๆ ในชวี ติ ประจาวนั และร่วมกนั สรปุ แนวคดิ เรื่องการหารูปแบบ
28. ผสู้ อนแบง่ ผเู้ รียนออกเป็นกลมุ่ กลุ่มละ 5 คน
29. ผูส้ อนแจกบตั รเกมสารานุกรมไทยใหผ้ ู้เรียนแตล่ ะกล่มุ โดยบัตรเกมมีเนอ้ื หาเก่ยี วกับพระราช
กรณยี กิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอย่หู ัว รชั กาลท่ี 9 ในการจัดทาโครงการสารานกุ รมไทยสาหรับเยาวชน
30. ผ้เู รียนแตล่ ะกล่มุ ทาความเขา้ ใจแลว้ เขียนสรุปใจความสาคัญของโครงการสารานกุ รมไทยไม่เกนิ 20
คาลงบนกระดาษแลว้ นาไปตดิ รวมกนั ทห่ี นา้ ช้นั เรยี น
31. ผู้เรียนร่วมกนั อภิปรายว่าคาตอบใดเป็นคาตอบท่ีดที สี่ ุด จากนน้ั เชือ่ มโยงเขา้ สเู่ นอ้ื หาเรอ่ื งการคิดเชิง
นามธรรมผู้เรียนศึกษาหวั ขอ้ ท่ี 1.4 การคิดเชิงนามธรรม (abstraction) ในหนงั สือเรยี น
32. ผู้เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ทากิจกรรมท่ี 1.6 แบบจาลอง ในหนังสอื เรียน โดยอภิปรายกันในกลุ่มจากน้ัน
ผ้สู อนสุ่มผู้เรยี นตอบคาถาม
33. ผเู้ รยี นจบั คกู่ นั ทาใบกจิ กรรมท่ี 3.2 สร้างแบบจาลอง แล้วแลกกับคูอ่ ืน่ เพื่อตรวจคาตอบและประเมิน
โดยใชแ้ บบประเมินการคิดเชิงนามธรรม
34. ผสู้ อนและผู้เรียนร่วมกนั สรปุ ประโยชนข์ องแนวคิดเชงิ คานวณในการนาไปใช้เพอื่ การแก้ปัญหาใน
ชีวติ ประจาวนั

8. การวัดและประเมินผล วิธกี าร เคร่ืองมือ เกณฑ์การประเมนิ
กจิ กรรม
ประเมนิ

ห น้ า | 9

ดา้ นความรู้ ตรวจใบกจิ กรรม ใบกิจกรรม ทาใบกิจกรรมและ
แบบทดสอบ แบบทดสอบ แบบทดสอบกอ่ นเรียน
ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 70 ขึน้ ไป
ดา้ นทักษะ/ ประเมนิ ทกั ษะ แบบประเมินทกั ษะ มีทักษะกระบวนการ
กระบวนการ กระบวนการ กระบวนการ ผ่านเกณฑ์ระดับพอใช้
ขึน้ ไป
ด้านคณุ ลกั ษณะ สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ มีคะแนนคณุ ลกั ษณะ
ทางการเรยี นและ ด้านพฤติกรรม คุณภาพระดบั พอใช้ขึน้ ไป
การเขา้ รว่ มกจิ กรรม
ในช้ันเรียน

9. ชนิ้ งาน/ภาระงาน
9.1 ใบกจิ กรรม
9.2 แบบทดสอบ

10. ส่อื และแหลง่ ข้อมลู
10.1 https://www.youtube.com/watch?v=mUXo-S7gzds
10.2 https://barefootcas.org.uk/wp-content/uploads/2014/08/
10.3 KS1-Crazy-Character-Algorithms-Activity-Barefoot-Computing.pdf
10.4 https://community.computingatschool.org.uk/files/6695/original.pdf
10.5 https://barefootcas.org.uk
10.6 https://le-www-live-s.legocdn.com/wedo/pdfs/computationalthinkingteacher
10.7 guide/computationalthinkingteacherguide-en-us-v1.pdf
10.8 http://www.hopspress.com/Books/Curriculum_Guide/Lesson_Plans/

Patterns_in_Plants.htm
10.9 https://le-www-live-s.legocdn.com/wedo/pdfs/computationalthinkingteacher
10.10 guide/computationalthinkingteacherguide-en-us-v1.pdf
10.11 https://www.youtube.com/watch?v=va-rqAmJc5c
10.12 หนังสอื เรยี นรายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 4

สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ห น้ า | 10

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 เวลา 8 ชวั่ โมง

ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ การแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์

1. สาระ/ มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณในการแก้ปญั หาท่ีพบในชีวิตจริงอย่างเปน็ ขน้ั ตอน

และเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแกป้ ัญหาได้อยา่ งมี
ประสิทธิภาพ รเู้ ท่ากนั และมจี ริยธรรม

2. ตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรู้
ประยกุ ต์ใชแ้ นวคดิ เชงิ คานวณในการพัฒนาโครงงานท่ีมีการบูรณาการกับวชิ าอ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์

และเชื่อมโยงกบั ชีวิตจรงิ

3. สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด
การคิดเชงิ คานวณเปน็ พื้นฐานของการแก้ปัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอร์ สาหรบั การออกแบบขนั้ ตอนวิธีในการ

แก้ปญั หาดว้ ยโปรแกรมคอมพวิ เตอร์ จาเป็นตอ้ งระบขุ ้ันตอนการทางานรวมถงึ เงือ่ นไขต่าง ๆ ท่ีชัดเจนเช่น

ห น้ า | 11

ขอ้ มูลเขา้ ข้อมูลออก ขอบเขตของข้อมลู ที่ตอ้ งการ มนุษยจ์ ึงจะสามารถเขียนโปรแกรมใหค้ อมพิวเตอร์ทางาน
ตามคาสัง่

4. สาระการเรียนรู้
4.1 ขอ้ มลู เขา้ ขอ้ มูลออก และเงือ่ นไขของปญั หา
4.2 การออกแบบขัน้ ตอนวิธใี นการแก้ปัญหา การกาหนดเง่อื นไข และการทาซ้า
4.3 การแก้ปญั หาด้วยคอมพวิ เตอร์
4.4 การจัดเรยี งข้อมลู
4.5 ขน้ั ตอนวธิ กี ารจดั เรยี งขอ้ มลู เพื่อใช้แก้ปญั หาในชวี ิตประจาวัน
4.6 การคน้ หาข้อมลู แบบตามลาดับ และแบบทวภิ าค
4.7 ประยุกต์วธิ กี ารค้นหาข้อมลู เพอ่ื แกป้ ัญหาในชีวติ ประจาวัน

5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น
5.1 ความสามารถในการแกป้ ัญหา
5.2 ความสามารถในการทางานรว่ มกนั
5.3 ความสามารถในการส่ือสาร
5.4 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คุณลักษณะอันพึงประสงค์
6.1 มุ่งม่นั ในการทางาน
6.2 มีวินยั
6.3 ใฝ่เรยี นรู้

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ช่ัวโมงที่ 1-2 (แผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 4 เร่อื ง การแก้ปัญหาดว้ ยคอมพิวเตอร์ จานวน 2 ชั่วโมง)
1. ผ้สู อนยกตัวอย่างสถานการณ์ในหัวข้อที่ 2.1 การแกป้ ญั หาด้วยคอมพวิ เตอร์ ในหนงั สือเรียน
2. ผเู้ รยี นศึกษาหัวข้อท่ี 2.1.1 ข้อมลู และ 2.1.2 เงื่อนไขทชี่ ดั เจน ในหนงั สอื เรียน จากนนั้ อภิปราย

ร่วมกับผ้เู รียนเก่ยี วกับข้อมูล และเงือ่ นไขท่ชี ดั เจน แบบไหนทที่ าให้คอมพิวเตอรท์ าตามคาสัง่ ได้
3. ผ้เู รยี นศกึ ษาโปรแกรมแชทบอท เช่น BotNoi, Mr.Tracky จากนัน้ ทดลองสนทนากบั โปรแกรม
4. ผู้เรียนจับคู่กันทากิจกรรมท่ี 2.1 แชทบอท ในหนงั สอื เรยี น และคอยสงั เกตวา่ ผู้เรียนสรา้ งเงอ่ื นไข

เพ่อื ให้เพือ่ นตอบคาถามได้ถกู ตอ้ งหรอื ไม่
5. ผเู้ รยี นศึกษาหนงั สอื เรียน หวั ขอ้ ที่ 2.1.3 ขั้นตอนวิธีในการแก้ปญั หา และอธิบายตัวอยา่ งขอ้ มูล

รายการอาหารกลางวนั จากตารางท่ี 2.2 จากนั้นสุ่มผเู้ รยี นออกมาอธบิ ายขัน้ ตอนวิธใี นการเลอื กอาหารกลางวันใน
ตัวอยา่ ง

6. ผูเ้ รียนทาใบกิจกรรมที่ 4.1 คณะที่ใช่

ห น้ า | 12

7. ผู้สอนต้งั คาถามวา่ “การที่มีเง่อื นไขและใหค้ วามสาคญั จากท่ีผ้เู รียนไดท้ าในกิจกรรมท่ี 4.1 ทาให้
ผู้เรียนเลือกสาขาวชิ าหรือคณะไดอ้ ยา่ งมีเหตุผลหรอื ไม่ อย่างไร” ผ้สู อนและผูเ้ รยี นอภิปรายรว่ มกัน

8. ผู้สอนแบง่ ผู้เรียนออกเปน็ กลุ่ม กลมุ่ ละ 4 คน แล้วศึกษาหนงั สอื เรียน หวั ขอ้ ที่ 2.1.4 ตวั แปร และ
หัวข้อท่ี 2.2 การระบขุ อ้ มลู เขา้ ข้อมูลออก และเงือ่ นไขของปญั หา โดยในหัวขอ้ ที่ 2.2 ให้สมาชกิ เลือกศึกษาคนละ
1 ตวั อยา่ งโดยไม่ซ้ากัน จากนนั้ อภปิ รายร่วมกนั เพือ่ ใหส้ มาชกิ คนอนื่ เข้าใจในตวั อย่างที่ศึกษา

9. ผู้สอนแจกใบกจิ กรรมที่ 4.2 ข้อมลู เข้า และขอ้ มูลออก ใหผ้ เู้ รียนแต่ละกลุ่มเลือกหวั ขอ้ ระบบรถยนต์
อัตโนมตั ิ หรอื ระบบแปลภาษาอตั โนมตั ิ เพยี งหวั ข้อเดียว โดยสามารถสืบคน้ ข้อมูลเพิม่ เติมจากอินเทอร์เนต็ ได้
ผู้สอนชแ้ี จงการใช้แบบประเมินใบกจิ กรรมที่ 4.2

10. ผเู้ รียนแตล่ ะกลมุ่ แลกกันพิจารณาคาตอบในใบกิจกรรมที่ 4.2 ทาการประเมินใบกิจกรรมท่ี 4.2 แลว้
สง่ คืนเจา้ ของเพ่อื พิจารณาขอ้ เสนอแนะ และให้ข้อมลู ย้อนกลับ

11. ผ้สู อนและผเู้ รยี นรว่ มกนั สรุปประโยชนท์ ่ไี ดจ้ ากกจิ กรรมน้ี
ช่วั โมงที่ 3-4 (แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 5 เรื่อง การออกแบบขน้ั ตอนวิธี จานวน 2 ช่วั โมง)
12. ผู้สอนทบทวนวธิ กี ารแกป้ ัญหาดว้ ยคอมพวิ เตอรค์ วรมกี ารระบุข้อมูลเขา้ ข้อมลู ออกและเง่ือนไขของ
ปญั หาท่ชี ัดเจน และทบทวนความรู้เร่ืองตัวแปรเม่ือใช้ในการแทนขอ้ มลู สาหรบั การเขยี นขนั้ ตอนวธิ ี
13. ผู้สอนยกตัวอยา่ งจากหนงั สือเรียน ตัวอย่างท่ี 2.5 การตดั สนิ ใจรดน้าต้นไม้ของระบบรดน้าต้นไม้
อัตโนมัติ เพ่อื อธบิ ายใหน้ กั เรยี นเห็นตัวอย่างของการเขยี นขนั้ ตอนวิธแี บบรหัสลาลอง และผังงาน รวมท้งั ตวั อยา่ ง
ของการใชง้ านตวั แปรเพ่ือแทนขอ้ มลู
14. ผู้เรยี นศกึ ษาหนังสอื เรยี น หัวข้อท่ี 2.3 การออกแบบข้ันตอนวธิ ี จนถงึ ก่อนขึ้นหัวขอ้ ทพ่ี รอ้ มกบั ทา
ใบกิจกรรมท่ี 5.1 ฝกึ เขยี นขน้ั ตอนวธิ ี
15. ผเู้ รยี นศึกษาหนงั สอื เรียน หวั ข้อที่ 2.3.2 การออกแบบและพจิ ารณาเงือ่ นไข และใหผ้ ู้เรียนจบั คู่กนั ทา
ใบกิจกรรมที่ 5.2 การออกแบบเง่ือนไข
16. ผู้สอนและผเู้ รยี นร่วมกันเฉลยคาตอบใบกิจกรรมท่ี 5.2
17. ผเู้ รยี นศกึ ษาหนงั สอื เรยี น หวั ข้อที่ 2.4 การทาซ้า และให้ผูเ้ รียนจับคูก่ นั ทาใบกิจกรรมที่ 5.3 การ
ทาซา้
18. ผู้สอนและผ้เู รยี นรว่ มกนั เฉลยคาตอบใบกิจกรรมท่ี 5.3
19. ผสู้ อนและผเู้ รยี นร่วมกนั สรปุ

ช่ัวโมงท่ี 5-6 (แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 6 เร่อื ง การจดั เรียงขอ้ มลู จานวน 2 ชวั่ โมง)
20. ผู้สอนนาเขา้ สูบ่ ทเรียนโดยใหผ้ ู้เรยี นยกตวั อย่างการจดั เรยี งขอ้ มลู ท่ีเคยทาหรอื ท่ีพบในชีวติ ประจาวนั
จากนนั้ ถามผเู้ รยี นวา่ “ทาไมจึงตอ้ งมกี ารจดั เรยี งข้อมูล”
21. ผเู้ รียนทากจิ กรรมท่ี 2.8 เรียงลาดับจานวนเตม็ ในหนงั สอื เรยี น จากนั้นจับค่อู ภิปรายแลกเปลยี่ น
เรยี นรเู้ กยี่ วกับวธิ ีการจัดเรียงผสู้ อนสุ่มผูเ้ รียนอธบิ ายวิธีจัดเรยี งทีใ่ ช้
22. ผูเ้ รียนศกึ ษาหนงั สอื เรียน หวั ขอ้ ท่ี 2.5.1 การจัดเรียงข้อมูล หลังจากนน้ั ให้แต่ละคู่ทาใบกิจกรรมท่ี
6.1 ขน้ั ตอนวธิ ีจดั เรยี งขอ้ มูล และนาเสนอคาตอบ

ห น้ า | 13

23. ผู้สอนแบ่งผู้เรียนออกเป็น 5 กลมุ่ ให้ตวั แทนกลุ่มออกมารบั ชดุ บัตรตวั เลข 30 ใบ
24. ผู้เรียนแต่ละกลมุ่ ทาใบกจิ กรรมที่ 6.2 จัดเรยี งขอ้ มูลตามใจฉนั จากนน้ั ให้ผเู้ รียนแต่ละกลุ่มศึกษา
วิธกี ารจดั เรียงขอ้ มลู จากเวบ็ ไซต์ VisuAlgo เพือ่ ตรวจสอบวิธกี ารจัดเรียงของกล่มุ ว่าเหมอื นหรอื แตกต่างจาก
ขั้นตอนวธิ ีจดั เรยี งในเว็บไซตห์ รอื ไมอ่ ยา่ งไร
25. ผเู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ นาเสนอวิธีจดั เรยี งขอ้ มลู ทกี่ ลุ่มใช้ พรอ้ มบอกคา่ เฉลยี่ ของจานวนครง้ั ในการ
เปรยี บเทียบขอ้ มูลของสมาชกิ ในกลมุ่
26. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันสรุปขนั้ ตอนวิธีการจัดเรยี งข้อมูล
ชว่ั โมงที่ 7-8 (แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 7 เรอื่ ง การคน้ หาขอ้ มลู จานวน 2 ชว่ั โมง)
27. ผสู้ อนจัดวางชุดสื่อวัสดุ 2 ชดุ ไวท้ ม่ี มุ ห้อง มมุ ละชุด (ในที่น้ใี ช้ขวดเป็นสอื่ วัสด)ุ โดยชดุ ทห่ี น่ึง จดั เรียง
ขวดตามลาดบั จากสงู ไปต่าชุดที่สอง วางขวดโดยไมเ่ รียงลาดบั
28. ผู้สอนสมุ่ ผู้เรียน 6 คน แลว้ แบง่ เปน็ 2 กลุ่ม กลุม่ ละ 3 คน
29. ผู้สอนอธิบายกตกิ าการทากจิ กรรม ดงั น้ี

ก) ตัวแทนกลุ่มเลือกชุดขวดท่ีจะทากจิ กรรม
ข) สมาชกิ ในกลมุ่ ไปหยิบขวดตามท่ีผู้สอนกาหนด เพ่ือสงั เกตวา่ กลมุ่ ไหนหาได้เร็วกวา่ เชน่ หาขวดท่ี
สงู ท่สี ดุ หาขวดทส่ี งู เปน็ ลาดบั ที่สาม
30. ผู้เรยี นทากจิ กรรม 3 ครั้ง โดยแตล่ ะกลุ่มสง่ ตวั แทนมาครงั้ ละ 1 คน
ครง้ั ที่ 1 ผูแ้ ทนคู่ที่ 1 หาขวดทสี่ งู เป็นลาดบั ที่สองเทียบจากขวดทส่ี ูงที่สุด
คร้ังที่ 2 ผู้แทนคูท่ ี่ 2 หาขวดทส่ี ูงน้อยท่ีสุด จากขวดทีเ่ หลืออยู่
ครงั้ ที่ 3 ผู้แทนคู่ที่ 3 หาขวดที่สูงท่ีสดุ จากขวดท่ีเหลอื อยู่
31. เมอื่ ทากจิ กรรมเสรจ็ แลว้ ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นช่วยกันอภิปรายว่า ทาไมกลมุ่ ทชี่ นะสามารถคน้ หาขวดได้
รวดเรว็ กวา่ เพอื่ นาไปสู่การสรุปในประเดน็ ทข่ี วดมีการจดั เรยี งไว้แลว้ ดังนั้น การคน้ หาข้อมูลที่มกี ารจัดเรยี งไวแ้ ลว้
จะทาให้สามารถค้นหาขอ้ มูลได้ถูกตอ้ งในเวลาอันรวดเร็ว
32. ผเู้ รยี นศึกษาหนงั สือเรยี น หัวขอ้ ที่ 2.5.2 การค้นหาขอ้ มูล
33. ผสู้ อนแบง่ ผู้เรียนออกเปน็ 5 กลมุ่ และแจกชดุ บัตรตวั เลขให้ผเู้ รยี นทกุ กล่มุ
34. ผเู้ รยี นทาใบกิจกรรมท่ี 7.1 ตามหาตวั เลขแบบลาดบั
35. ผเู้ รยี นทกุ กลุ่มสง่ ผลการบนั ทึกค่าเฉล่ีย จากการทาใบกิจกรรมที่ 7.1 ให้ผู้สอน
36. ผ้เู รียนทาใบกิจกรรมที่ 7.2 ตามหาตัวเลขแบบทวิภาค
37. ผูเ้ รียนทุกกลมุ่ สง่ ผลการบันทึกค่าเฉลยี่ จากการทาใบกจิ กรรมที่ 7.2 ให้ผู้สอน
38. ผู้สอนนาคา่ เฉลย่ี ของทุกกล่มุ จากการคน้ หาตัวเลขทั้ง 2 กิจกรรม มาหาคา่ เฉลีย่ เพอื่ เปรยี บเทยี บกนั
ดังตัวอย่าง
39. ผเู้ รยี นแต่ละกลมุ่ อภิปรายในประเด็นตอ่ ไปน้ี การคน้ หาแต่ละวิธีแตกตา่ งกันอยา่ งไร วิธีใดน่าจะมี
ประสทิ ธิภาพดีกว่ากันในกรณที ม่ี ขี ้อมูลจานวนมาก วิธใี ดนา่ จะมีประสทิ ธิภาพดีกว่ากนั เพราะเหตุใดในกรณกี าร
ค้นหาแล้วไม่พบ หรอื กรณขี อ้ มลู ซ้า ผลการค้นหาจะเป็นอย่างไร จะมเี ทคนคิ เพม่ิ เติมหรือไม่ เพ่ือให้การค้นหาได้
เรว็ ข้ึน ผูเ้ รยี นยกตวั อยา่ งสถานการณก์ ารนาวิธคี น้ หาข้อมูลไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั

ห น้ า | 14

40. ผ้เู รียนทาใบกิจกรรมที่ 7.3 ค้นขอ้ มลู และแลกกันตรวจคาตอบ
41. ผสู้ อนและผเู้ รยี นร่วมกันสรุปเกย่ี วกบั การค้นหาข้อมลู

8. การวดั และประเมนิ ผล

กิจกรรม วธิ ีการ เครือ่ งมอื เกณฑ์การประเมนิ
ประเมนิ
ใบกิจกรรม ทาใบกิจกรรมและ
ดา้ นความรู้ ตรวจใบกิจกรรม แบบทดสอบ แบบทดสอบก่อนเรยี น
ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 70 ขน้ึ ไป
แบบทดสอบ มีทักษะกระบวนการ
ผ่านเกณฑร์ ะดับพอใช้
ด้านทกั ษะ/ ประเมินทกั ษะ แบบประเมนิ ทกั ษะ ขนึ้ ไป
กระบวนการ กระบวนการ กระบวนการ มีคะแนนคณุ ลกั ษณะ
คณุ ภาพระดบั พอใชข้ ้นึ ไป
ดา้ นคุณลักษณะ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมิน
ทางการเรยี นและ ดา้ นพฤติกรรม
การเขา้ รว่ มกิจกรรม
ในช้นั เรียน

9. ชนิ้ งาน/ภาระงาน
9.1 ใบกจิ กรรม
9.2 แบบทดสอบ

10. สอ่ื และแหลง่ ข้อมูล
10.1 https://studio.code.org/s/csd1
10.2 https://studio.code.org/courses
10.3 https://curriculum.code.org/csp/unit3/9/
10.4 https://visualgo.net/en/sorting
10.5 https://www.toptal.com/developers/sorting-algorithms
10.6 http://csunplugged.org/wp-content/uploads/2014/12/unplugged-07-

sorting_algorithms.pdf
10.7 https://teachinglondoncomputing.org/secondary-computing-topics/
10.8 https://www.khanacademy.org/computing/computer-science/algorithms
10.9 https://www.khanacademy.org/computing/computer-science/algorithms/

intro-to-algorithms/a/a-guessing-game

ห น้ า | 15

10.10 หนังสือเรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีท่ี 4
สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ่ี 3 เวลา 22 ช่ัวโมง

ชอื่ หนว่ ยการเรยี นรู้ โครงงานสร้างสรรค์

1. สาระ/ มาตรฐานการเรียนรู้
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปญั หาท่พี บในชวี ติ จรงิ อย่างเปน็ ข้นั ตอน

และเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแกป้ ัญหาได้อยา่ งมี
ประสทิ ธภิ าพ รเู้ ท่ากนั และมจี รยิ ธรรม

2. ตวั ชีว้ ัด/ผลการเรยี นรู้
ประยกุ ตใ์ ช้แนวคิดเชิงคานวณในการพัฒนาโครงงานท่ีมีการบูรณาการกบั วชิ าอ่ืนอยา่ งสร้างสรรค์

และเชอ่ื มโยงกบั ชีวติ จรงิ

3. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
การพฒั นาโครงงานเปน็ กระบวนการ ท่สี ามารถใช้แนวคิดเชงิ คานวณ ในการแก้ปญั หา โดยเริ่มจากการ

ระบุปญั หาทสี่ นใจในชีวติ ประจาวนั วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา ศึกษาและหาแนวทางการแก้ปญั หา เพื่อให้
สามารถแก้ปัญหาได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ

4. สาระการเรียนรู้
4.1 การกาหนดปญั หา
4.2 การศกึ ษาและกาหนดขอบเขตของปัญหา
4.3 การนาแนวคดิ เชิงคานวณไปพัฒนาโครงงานท่เี ก่ียวกบั ชีวิตประจาวนั
4.4 วางแผนและออกแบบการพัฒนาโครงงาน
4.5 จัดทาขอ้ เสนอโครงงาน
4.6 การพัฒนาโครงงาน
4.7 การสรุปผลและเผยแพรโ่ ครงงาน

5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน

ห น้ า | 16

5.1 ความสามารถในการแก้ปัญหา
5.2 ความสามารถในการทางานรว่ มกนั
5.3 ความสามารถในการสื่อสาร
5.4 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
6.1 มงุ่ ม่ันในการทางาน
6.2 มวี นิ ยั
6.3 ใฝเ่ รยี นรู้

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ชัว่ โมงท่ี 1-2 (แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 8 เรือ่ ง โครงงานสรา้ งสรรค์ จานวน 2 ช่ัวโมง)
1. ผู้สอนนาเข้าสบู่ ทเรยี น โดยต้งั ประเดน็ อภปิ รายร่วมกันเกย่ี วกับปัญหาในชีวติ ประจาวันทีส่ ามารถแก้ไข

ไดด้ ว้ ยเทคโนโลยีสารสนเทศ เชน่ เทคโนโลยีทีพ่ บระหว่างทางมาโรงเรยี นทช่ี ว่ ยอานวยความสะดวกในการดาเนิน
ชีวติ ประจาวัน และยกตัวอยา่ งโครงงานทางเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสอื่ สารในหนังสือเรยี นบทที่ 3 การ
พฒั นาโครงงาน ได้แก่ โครงงานการพฒั นาระบบจัดการพฤตกิ รรมการเดินหลง โดยใช้เทคนคิ กระแสขอ้ มูลภูมิ
สารสนเทศ และโครงงานเรยี นรกู้ ารพูดออกเสยี งและเขยี นภาษาองั กฤษ

2. ผู้สอนแบง่ กลุ่มผู้เรยี นเปน็ กลุม่ กลมุ่ ละ 3-4 คน ใหผ้ ้เู รียนทากิจกรรมท่ี 3.1 ศึกษาโครงงาน ในหนงั สอื
เรยี นและอภิปรายร่วมกนั ในกล่มุ

3. ผเู้ รยี นศึกษาหวั ข้อท่ี 3.1 การกาหนดปญั หา ในหนงั สอื เรียน และทาใบกจิ กรรมที่ 8.1 รู้จกั ปัญหา
จากนั้นแต่ละกลมุ่ รว่ มกันพจิ ารณาประเดน็ ปัญหาของสมาชกิ ทกุ คนในกลุ่ม

4. ผสู้ อนแจกแบบประเมินประเด็นปญั หา เพ่ือให้ผเู้ รียนใชเ้ ป็นเครื่องมือประกอบการตดั สนิ ใจเลอื ก
ประเดน็ ปญั หาทจี่ ะเปน็ หวั ข้อโครงงานของกลุม่

5. ผเู้ รียนแต่ละกลมุ่ นาเสนอประเดน็ ปัญหาท่ีเลอื กเป็นหัวขอ้ โครงงานและแนวทางการตัดสนิ ใจ
6. ผู้เรียนศกึ ษาหวั ข้อท่ี 3.2 การศึกษาและกาหนดขอบเขตของปญั หา ในหนังสอื เรยี นแล้วแตล่ ะกลุม่ ทา
ใบกจิ กรรมท่ี 8.2 พัฒนาโครงงานกนั เถอะ
7. ผสู้ อนและผู้เรียนร่วมกนั สรปุ ผลการทากจิ กรรม ในขน้ั ตอนของการพฒั นาโครงงานท่ีได้ดาเนินการ
เสร็จเรยี บรอ้ ยแลว้
ช่ัวโมงที่ 3-4 (แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 9 เร่ือง วางแผนและออกแบบโครงงาน จานวน 2 ช่วั โมง)
8. ผสู้ อนทบทวนขนั้ ตอนในการพัฒนาโครงงานที่ได้ทาไปแล้วในกิจกรรมท่ี 8 ซ่งึ เปน็ การกาหนดปัญหา
และแนวทางการพัฒนาโครงงาน และชีแ้ จงว่ากจิ กรรมนี้จะเปน็ การวางแผนและออกแบบเพ่อื พัฒนาโครงงาน
9. ผสู้ อนคืนใบกิจกรรมท่ี 8.2 พัฒนาโครงงานกนั เถอะ ให้แตล่ ะกล่มุ เพ่ือเป็นขอ้ มูลสาหรับทบทวน
รายละเอยี ดของโครงงาน

ห น้ า | 17

10. ผู้เรียนศกึ ษาหัวขอ้ 3.3 การวางแผนและออกแบบโครงงาน ในหนังสือเรยี น และทาใบกิจกรรมท่ี 9.1
วางแผนโครงงาน

11. ผูส้ อนตรวจสอบการวางแผนโครงงานของทุกกล่มุ และให้กลมุ่ ทีผ่ ่านการตรวจสอบแล้วทาใบกิจกรรม
ที่ 9.2 ข้อเสนอโครงงาน โดยชี้แจงรายละเอยี ดการประเมินขอ้ เสนอโครงงานตามแบบประเมนิ ใหผ้ ้เู รียนทราบ

12. ผู้สอนแนะนาผู้เรียนเรือ่ งการสืบค้นขอ้ มูลท่ีเกี่ยวข้องในการทาโครงงานท่ีตอ้ งมคี วามน่าเชอ่ื และการ
อ้างอิงแหลง่ ข้อมูลท่ีถกู ต้อง

13. ผู้สอนแจ้งกาหนดการส่งขอ้ เสนอโครงงาน เมอ่ื ผ้เู รียนสง่ ข้อเสนอโครงงานแล้ว ผสู้ อนประเมิน
ขอ้ เสนอโครงงานตามแบบประเมินและสง่ คนื ผูเ้ รยี น

ชว่ั โมงท่ี 5-18 (แผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 10 เร่ือง การพัฒนาโครงงาน จานวน 14 ช่ัวโมง)
14. ผเู้ รยี นลงมอื พฒั นาโครงงาน โดยกาหนดใหม้ ีระยะเวลาดาเนนิ การโครงงาน 18 ชวั่ โมง
15. ผ้เู รยี นวางแผนการรายงานความก้าวหน้าการดาเนินการโครงงาน ข้อมูลในใบนัดหมายการรายงาน
ความก้าวหนา้ การทาโครงงานเสนอต่อครูทีป่ รึกษา
16. ผู้เรียนทาใบกิจกรรมท่ี 10.1 ติดตามโครงงาน โดยบันทึกความคืบหนา้ ของการปฏิบตั งิ านตามแผน
ตามจานวนครั้งทนี่ ดั หมายกับผู้สอน
17. ผสู้ อนตรวจสอบความก้าวหนา้ ในการพฒั นาโครงงานของผู้เรียนเป็นระยะ และพูดคุยกับผูเ้ รียนใน
ประเดน็ เกี่ยวกบั แนวทางในการปฏบิ ัติงานที่ใช้ ปัญหาหรืออปุ สรรค รวมทั้งแนวทางหรือวิธีการในการแก้ไข
18. ผู้สอนแนะนาช่วยเหลือผู้เรียนเพอื่ ใหก้ ารดาเนินการพัฒนาโครงงานสาเร็จตามแผน
ชว่ั โมงที่ 19-20 (แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 11 เรื่อง รายงานโครงงาน จานวน 2 ช่วั โมง)
19. ผู้สอนทบทวนขนั้ ตอนการทาโครงงานที่ได้ดาเนินการมาแล้ว 4 ขัน้ ตอน ไดแ้ ก่ การกาหนดปญั หา
การศึกษาและกาหนดขอบเขตของปญั หา การวางแผนและออกแบบโครงงาน การดาเนินงาน และเชื่อมโยงไปยัง
ข้ันตอนสาคัญของการทาโครงงาน คอื การเขยี นรายงานฉบบั สมบรู ณ์
20. ผูเ้ รียนศึกษาหัวขอ้ 3.5 การสรุปผลและการเผยแพรผ่ ลงาน หัวขอ้ ย่อย 3.5.1 การเขยี นรายงาน ใน
หนังสือเรยี น
21. ผเู้ รยี นแตล่ ะกลุ่มทาใบกจิ กรรมท่ี 11.1 การเขยี นรายงานโครงงานฉบับสมบูรณ์
22. ผสู้ อนแจ้งกาหนดการส่งรายงานฉบับสมบรู ณใ์ ห้ผู้เรยี นทราบ
23. ผสู้ อนแจง้ ผู้เรียนถึงการเตรียมการในการนาเสนอโครงงานเพ่ือเผยแพร่ ซงึ่ เปน็ กจิ กรรมสุดท้ายของ
การทาโครงงานในคาบเรยี นถัดไป โดยกาหนดเวลาในการนาเสนอของแตล่ ะกล่มุ รูปแบบการนาเสนอที่นา่ สนใจ
ช้ีแจงเกณฑ์การให้คะแนน โดยศึกษาเพ่มิ เตมิ ได้จากหวั ขอ้ ท่ี 3.5.2 การนาเสนอ ในหนังสือเรยี น
ชั่วโมงที่ 21-22 (แผนการจดั การเรียนรูท้ ่ี 12 เรอื่ ง Show Time จานวน 2 ชวั่ โมง)
24. ผ้สู อนพดู คยุ กบั ผู้เรยี น ถงึ ข้ันตอนสุดทา้ ยของการทาโครงงาน (การนาเสนอและเผยแพร่ผลงาน) ใน
ประเด็นเกย่ี วกบั รูปแบบการนาเสนอและการเผยแพรผ่ ลงาน ในรปู แบบทแี่ ปลกใหม่ เพ่ือให้เกดิ ความเข้าใจใน
โครงงานโดยใชเ้ วลาน้อย แต่สามารถทาให้ผ้ฟู ังเกิดความเข้าใจไดง้ ่ายและรวดเรว็

ห น้ า | 18

25. ผูเ้ รยี นนาเสนอผลงานโครงงานของตนเอง ภายในเวลาท่กี าหนด จนครบทุกกลมุ่ ระหว่างการนาเสนอ
ผเู้ รียนกล่มุ อ่นื ทเี่ ปน็ ผ้ฟู ังช่วยกันประเมนิ โครงงานของเพอื่ นทนี่ าเสนอ โดยใช้แบบประเมินการนาเสนอโครงงาน
กล่มุ ละ 1 ชุด

26. ผสู้ อนประเมินโครงงานของผเู้ รยี นแต่ละกลุม่ โดยใชแ้ บบประเมนิ โครงงาน
27. ผูเ้ รยี นแตล่ ะกล่มุ นาผลการประเมนิ จากกลุม่ เพอ่ื นมาคานวณหาคา่ เฉลย่ี แล้วอภปิ รายผลรว่ มกัน
28. ผเู้ รียนทาแบบประเมินตนเองในการทาโครงงาน และสง่ ให้ผู้สอนเพอ่ื ประเมินผลลพั ธท์ ่ีเกดิ กับผูเ้ รียน
ในการทาโครงงาน
29. ผ้สู อนและผูเ้ รยี นร่วมกนั สรปุ เก่ยี วกับการพฒั นาโครงงาน

8. การวดั และประเมนิ ผล

กิจกรรม วธิ ีการ เครือ่ งมือ เกณฑ์การประเมิน
ประเมิน
ใบกิจกรรม ทาใบกิจกรรมและ
ดา้ นความรู้ ตรวจใบกจิ กรรม แบบทดสอบ แบบทดสอบกอ่ นเรียน
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขนึ้ ไป
แบบทดสอบ มที กั ษะกระบวนการ
ผา่ นเกณฑ์ระดับพอใช้
ด้านทกั ษะ/ ประเมนิ ทักษะ แบบประเมินทกั ษะ ขึ้นไป
กระบวนการ กระบวนการ กระบวนการ มีคะแนนคณุ ลกั ษณะ
คณุ ภาพระดับพอใชข้ นึ้ ไป
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ สงั เกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ
ทางการเรยี นและ ดา้ นพฤตกิ รรม
การเข้ารว่ มกจิ กรรม
ในชั้นเรยี น

9. ช้นิ งาน/ภาระงาน
9.1 ใบกจิ กรรม
9.2 แบบทดสอบ

10. สอ่ื และแหล่งขอ้ มลู
10.1 ตวั อยา่ งโครงงาน http://oho.ipst.ac.th/projects
10.2 ตัวอยา่ งรายงานโครงงาน http://oho.ipst.ac.th/projects
10.3 หนงั สอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ช้ันมัธยมศึกษาปที ี่ 4

สถาบันสง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ห น้ า | 19

ห น้ า | 1

คาอธบิ ายรายวิชา

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระการเรียนรพู้ ืน้ ฐาน

รายวิชา วทิ ยาการคานวณ 2 รหสั วิชา ว32103 ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5

จานวนเวลา 2 ช่วั โมง/สปั ดาห์ เวลา 40 ช่ัวโมง / ภาคเรยี น จานวน 1.0 หน่วยกติ

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ศึกษาหลักการของวทิ ยาการขอ้ มูล และหลกั การคิดเชงิ ออกแบบเพอ่ื เพิม่ มลู ค่าให้บริการหรอื ผลิตภัณฑ์

วิธกี ารเก็บขอ้ มลู และเตรยี มข้อมูล การวิเคราะหข์ ้อมูล การประมวลผลข้อมูล เครือ่ งมอื ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศท่ี

ใชใ้ นการประมวลผลข้อมูล การจัดเก็บขอ้ มลู การนาเสนอขอ้ มูล การแปลงขอ้ มูลใหเ้ ป็นภาพ การเลือกใชข้ ้อมลู

จากฐานขอ้ มูลขนาดใหญ่ การใชป้ ระโยชนจ์ ากข้อมูลและตวั อย่างกรณีศกึ ษา

ตัวชี้วัด
ว 4.2 เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ)
รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมลู และใชค้ วามรู้ด้านวทิ ยาการคอมพวิ เตอร์ สอื่ ดจิ ิทลั เทคโนโลยีสารสนเทศ

ในการแกป้ ญั หาหรอื เพม่ิ มลู ค่าใหก้ บั บริการหรือผลิตภณั ฑท์ ี่ใช้ในชีวิตจรงิ อย่างสรา้ งสรรค์

รวมทัง้ หมด 1 ตวั ช้ีวดั

ห น้ า | 2

กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ โครงสร้างรายวิชา

สาระการเรียนรพู้ น้ื ฐาน

รายวชิ า วทิ ยาการคานวณ รหัสวชิ า ว32104 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนท่ี 2

จานวนเวลา 2 ช่วั โมง/สปั ดาห์ เวลา 40 ชว่ั โมง / ภาคเรียน จานวน 1.0 หนว่ ยกติ

ลาดบั ชอื่ หนว่ ย มาตรฐานการเรียนรู้ / สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด เวลา นา้ หนกั
ท่ี การเรียนรู้ ตวั ชีว้ ัด (ชัว่ โมง) คะแนน
รป
ผลการเรยี นรู้

1 ขอ้ มลู มคี ุณค่า ว 4.2 ม.5 ยคุ ของขอ้ มลู และสารสนเทศ 6 15

เปน็ ยุคของการใชข้ อ้ มูล ทม่ี อี ยู่

จานวนมหาศาลมาสร้างมลู ค่า

ให้เกดิ ประโยชนก์ บั บคุ คล หรอื

องค์กร การจะใช้ประโยชนจ์ าก

ขอ้ มูลเพื่อเพ่ิมประสทิ ธิภาพการ

ทางานหรือการใช้ชีวิตของ

ตนเองจะตอ้ งนาข้อมูลที่เก็บ

รวบรวมด้วยตนเองหรืออาจนา

ข้อมลู ทตุ ิยภมู ิทีม่ ผี ูร้ วบรวมหรือ

สรุปไวแ้ ลว้ มาผา่ นกระบวนการ

ประมวลผลข้อมูลให้เป็น

สารสนเทศ

2 การเก็บรวบรวม ว 4.2 ม.5 การจัดเตรียมข้อมูลเพ่ือ 6 15

และสารวจขอ้ มูล เตรยี มพรอ้ มสาหรับการ

ประมวลผล ประกอบด้วย

การทาความสะอาดข้อมลู

การแปลงขอ้ มูลและการ

เชอ่ื มโยงขอ้ มลู การพจิ ารณา

ความเหมาะสมของแหล่งข้อมลู

สามารถใช้มุมมองทัง้ 5 ดา้ น

ได้แก่ ความทันสมยั ของข้อมูล

ความสอดคลอ้ งกบั การใชง้ าน

ความนา่ เชอื่ ถือของแหล่งขอ้ มูล

ความถกู ตอ้ งแม่นยา และ

จดุ มงุ่ หมายของแหล่งข้อมลู

การสารวจขอ้ มลู เป็นการทา

ห น้ า | 3

ลาดับ ชื่อหน่วย มาตรฐานการเรยี นรู้ / สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด เวลา นา้ หนกั
ท่ี การเรียนรู้ ตัวชีว้ ัด (ช่วั โมง) คะแนน
รป
ผลการเรียนรู้

ความเขา้ ใจเพ่อื พิจารณา

ภาพรวมของขอ้ มูล โดยอาจใช้

แผนภาพ หรอื กราฟของข้อมลู

ในรูปแบบตา่ ง ๆ ระหวา่ งการ

สารวจ อาจจะพบข้อผดิ พลาด

หรอื ปัญหาอื่น ๆ จากการต้ัง

คาถาม หรือการรวบรวมข้อมูล

ซึ่งทาให้ต้องกลบั ไปดาเนนิ การ

แกไ้ ขให้ถกู ต้อง เครอ่ื งมอื ท่ใี ช้

ในการสารวจขอ้ มูลอาจใช้

โปรแกรมสาเร็จรูป หรอื การ

เขยี นโปรแกรมภาษา

สรปุ ทบทวนภาพรวม(สอบกลางภาค) 2 10

3 การวเิ คราะห์ ว 4.2 ม.5 การวเิ คราะห์เชงิ พรรณนาเปน็ 12 20

ขอ้ มลู การวเิ คราะหข์ ั้นพืน้ ฐานทที่ าให้

เหน็ ภาพรวมของข้อมลู และ

ความสัมพันธร์ ะหวา่ งขอ้ มูล

ช่วยอธิบายวา่ เกิดอะไรข้ึนบ้าง

ในช่วงที่ผา่ นมา และอาจนามา

ช่วยในการตดั สนิ ใจ โดยอาจใช้

สถิติ เชน่ การหาสัดส่วนหรอื

ร้อยละ การวัดค่ากลางของ

ขอ้ มลู การหาความสมั พนั ธข์ อง

ชุดขอ้ มูล

4 การทาข้อมูลให้ ว 4.2 ม.5 กระบวนการทาข้อมลู ให้เปน็ 12 20

เป็นภาพ และการ ภาพ เป็นการจัดการหรอื การ

สอื่ สารด้วยขอ้ มูล แปลงขอ้ มูลใหอ้ ยูใ่ นรูปของ

แผนภาพ แผนภูมิหรอื กราฟท่ี

เหมาะสมกับชุดข้อมูลที่ต้องการ

นาเสนอ โดยสามารถเลอื กใช้

ตัวแปรในการมองเห็นทท่ี าให้

ห น้ า | 4

ลาดบั ชอื่ หนว่ ย มาตรฐานการเรยี นรู้ / สาระสาคญั /ความคิดรวบยอด เวลา นา้ หนกั
ท่ี การเรียนรู้ ตวั ช้ีวัด (ช่ัวโมง) คะแนน
รป
ผลการเรียนรู้

ผู้รับสารเข้าใจถกู ตอ้ ง ตรง

ประเดน็ ชัดเจน และดึงดูด

ความสนใจ

รวมระหว่างภาคเรยี น 38 80

สรปุ ทบทวนภาพรวม(สอบปลายภาค) 2 20

รวม 60 100

ห น้ า | 5

ตารางโครงสรา้ งกาหนดการสอนและแผนการจดั การเรียนรู้

กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระการเรียนรู้พ้ืนฐาน

รายวิชา วทิ ยาการคานวณ รหสั วิชา ว32103 ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 2

จานวนเวลา 2 ช่วั โมง/สัปดาห์ เวลา 40 ชวั่ โมง / ภาคเรียน จานวน 1.0 หนว่ ยกติ

ชอ่ื หนว่ ย ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่/ี เรอ่ื ง

ปฐมนเิ ทศและแนะนา
วิธเี รยี น รายวิชา

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 ว 4.2 ม.5 รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมลู แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 1
ข้อมลู มีคณุ คา่ และใชค้ วามรู้ดา้ นวิทยาการคอมพิวเตอร์ เรอื่ ง ข้อมูลมคี ุณคา่

สอ่ื ดิจิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศในการ แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 2

แก้ปญั หาหรือเพิ่มมูลค่าใหก้ ับบริการหรอื เรื่อง รู้จักกับวิทยาการข้อมลู

ผลิตภัณฑท์ ใ่ี ช้ในชีวติ จรงิ อย่างสร้างสรรค์ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 3

เรื่อง แนวคดิ เชงิ ออกแบบ

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 ว 4.2 ม.5 รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมลู แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4
การเก็บรวบรวมและ และใช้ความรู้ด้านวทิ ยาการคอมพิวเตอร์ เรื่อง การรวบรวมข้อมูล

สารวจขอ้ มูล สอื่ ดจิ ิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศในการ แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 5

แก้ปัญหาหรือเพิ่มมูลคา่ ใหก้ บั บริการหรอื เรื่อง การสารวจขอ้ มลู

ผลิตภัณฑท์ ีใ่ ชใ้ นชีวิตจรงิ อยา่ งสรา้ งสรรค์

สอบกลางภาคเรียน

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 3 ว 4.2 ม.5 รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมูล แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 6
การวเิ คราะห์ข้อมลู และใชค้ วามรู้ดา้ นวิทยาการคอมพวิ เตอร์ เรื่อง การวิเคราะห์เชงิ พรรณนา

สอ่ื ดจิ ิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศในการ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 7

แกป้ ัญหาหรอื เพิ่มมูลคา่ ให้กบั บรกิ ารหรือ เร่ือง การทานายเชงิ ตัวเลข

ผลติ ภัณฑท์ ี่ใช้ในชวี ิตจรงิ อย่างสรา้ งสรรค์ แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 8

เร่อื ง การทานายเชงิ หมวดหมู่

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 4 ว 4.2 ม.5 รวบรวม วเิ คราะหข์ อ้ มลู แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 9
การทาข้อมลู ให้เป็น และใชค้ วามรู้ดา้ นวิทยาการคอมพวิ เตอร์ เรอ่ื ง การทาข้อมูลใหเ้ ป็นภาพ
ภาพและการส่อื สาร สอ่ื ดจิ ิทัล เทคโนโลยีสารสนเทศในการ แผนการจัดการเรียนรูท้ ี่ 10
แกป้ ญั หาหรอื เพมิ่ มลู ค่าให้กับบริการหรอื เรื่อง โครงงานวทิ ยาการขอ้ มูล
ดว้ ยข้อมลู

ผลิตภัณฑ์ทีใ่ ช้ในชวี ิตจรงิ อย่างสร้างสรรค์

สรุปทบทวนภาพรวม(สอบปลายภาค)

ห น้ า | 6

การออกแบบการวดั และประเมินผลปลายป/ี ปลายภาคให้เหมาะกบั ธรรมชาติวิชา

และสอดคลอ้ งกบั ท่กี าหนดไวใ้ นโครงสรา้ งรายวิชา

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

การกาหนดโครงสรา้ งรายวชิ าและวางแผนการประเมินและการกาหนดสัดส่วนของคะแนน

กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สาระการเรยี นร้พู นื้ ฐาน

รายวิชา วิทยาการคานวณ รหสั วิชา ว32103 ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนที่ 2

จานวนเวลา 2 ช่วั โมง/สัปดาห์ เวลา 40 ชว่ั โมง / ภาคเรียน จานวน 1.0 หนว่ ยกติ

40 ช่ัวโมง/ภาคเรียน สัดส่วนคะแนน ระหวา่ งภาค : ปลายภาค 80 : 20

ท่ี ช่อื หนว่ ยการเรียนรู้ มาตรฐานการ เวลา คะแนน หลกั ฐานการเรยี นรู้
เรยี นรู้/ตัวชี้วัด (ช่วั โมง) (ภาระงาน/ชิ้นงาน

รวบยอด)

1 ขอ้ มูลมีคุณค่า ว 4.2 ม.5 6 15

2 การเก็บรวบรวมและ ว 4.2 ม.5 6 15

สารวจข้อมูล

กลางภาค 10

3 การวเิ คราะหข์ ้อมูล ว 4.2 ม.5 12 20

4 การทาข้อมูลให้เปน็ ภาพและ ว 4.2 ม.5 12 20

การสอ่ื สารดว้ ยข้อมูล

รวมระหว่างภาคเรียน 38 80

ปลายภาค 20

รวม 40 100

ห น้ า | 7

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1

ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ ข้อมลู มีคุณคา่ เวลา 6 ชั่วโมง

1. สาระ/ มาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชงิ คานวณในการแกป้ ัญหาทีพ่ บในชีวิตจริงอย่างเป็นขน้ั ตอน

และเป็นระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมี
ประสทิ ธภิ าพ รู้เทา่ กนั และมีจริยธรรม

2. ตวั ชีว้ ัด/ผลการเรยี นรู้
รวบรวม วเิ คราะหข์ ้อมลู และใช้ความร้ดู า้ นวทิ ยาการคอมพิวเตอร์ สอื่ ดิจิทัล เทคโนโลยสี ารสนเทศ

ในการแก้ปัญหาหรอื เพม่ิ มูลคา่ ให้กบั บรกิ ารหรือผลติ ภัณฑท์ ี่ใช้ในชีวิตจริงอยา่ งสร้างสรรค์

3. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด
ยุคของขอ้ มูลและสารสนเทศ เปน็ ยุคของการใช้ข้อมูล ที่มอี ย่จู านวนมหาศาลมาสร้างมูลคา่ ให้เกดิ

ประโยชนก์ บั บคุ คล หรือองค์กร การจะใชป้ ระโยชนจ์ ากขอ้ มูลเพอื่ เพม่ิ ประสิทธิภาพการทางานหรือการใช้ชวี ิต
ของตนเองจะต้องนาขอ้ มลู ทเี่ กบ็ รวบรวมดว้ ยตนเองหรอื อาจนาข้อมูลทุตยิ ภมู ิท่มี ผี ูร้ วบรวมหรือสรุปไว้แล้วมา
ผา่ นกระบวนการประมวลผลขอ้ มูลใหเ้ ป็นสารสนเทศ

4. สาระการเรียนรู้
4.1 ยุคของข้อมูลและสารสนเทศ
4.2 ประโยชนห์ รือคุณค่าของข้อมลู
4.3 ความหมายและบทบาทของวิทยาการขอ้ มูล
4.4 หลักการและกระบวนการวิทยาการขอ้ มลู
4.5 แนวคดิ เชิงออกแบบ
4.6 การนาแนวคิดเชงิ ออกแบบมาใช้กับกระบวนการวทิ ยาการข้อมูล

5. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น
5.1 ความสามารถในการสืบคน้ ขอ้ มลู
5.2 ความสามารถในการแก้ปญั หา
5.3 ความสามารถในการทางานร่วมกัน
5.4 ความสามารถในการสอ่ื สาร
5.5 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี

ห น้ า | 8

6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
6.1 มุ่งม่ันในการทางาน
6.2 มวี ินัย
6.3 ใฝเ่ รยี นรู้

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชวั่ โมงท่ี 1-2 (แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 1 เร่ือง ขอ้ มลู มคี ุณค่า จานวน 2 ชว่ั โมง)
1. ผสู้ อนนาเขา้ สูบ่ ทเรียนโดยใหผ้ ู้เรียนพจิ ารณาภาพจากคาถามชวนคดิ “รายได้เฉลยี่ ตอ่ ครวั เรอื น” ใน

หนังสอื เรียน แลว้ ถามผูเ้ รยี นว่า
“นักเรียนดภู าพน้ีแล้ว สามารถอธิบายสภาพเศรษฐกจิ ของประเทศไทยได้อย่างไรบ้างและหากเป็น

ผ้บู ริหารประเทศจะวางนโยบายในการพฒั นาประเทศอย่างไร”และช้ใี ห้นักเรียนเห็นประโยชนข์ องผลลพั ธ์ข้อมลู
(data product)

2. ผเู้ รียนศกึ ษาหัวขอ้ ท่ี 1.1 ยคุ ของข้อมูลและสารสนเทศ ในหนังสือเรียนแล้วผู้สอนต้งั คาถามเพอ่ื
ตรวจสอบความเข้าใจ เช่น เหตุใดขอ้ มูลจงึ มีค่าดัง่ น้ามันดบิ การท่ีเราแชร์ขอ้ มูลของตนเอง เชน่ ภาพสว่ นตวั อเี มล
การโพสตข์ ้อความ จะมีผู้นาขอ้ มูลของเราไปใชป้ ระโยชน์ต่ออยา่ งไรได้บา้ ง

3. แบ่งผ้เู รียนออกเปน็ กลมุ่ กลุ่มละ 4 คน ผู้เรยี นแต่ละกลมุ่ ทาใบกจิ กรรมท่ี 1.1 ใคร ๆ ก็สามารถใช้
ข้อมลู ได้

4. ผสู้ อนให้ผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ ออกมานาเสนอโปรแกรมรักสุขภาพ และผู้เรียนรว่ มกันโหวตวา่ กลุ่มใดเลา่
เรือ่ งราวได้น่าสนใจ นา่ เชอื่ ถือ และเขา้ ใจได้ง่าย

5. ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นชว่ ยกนั ยกตวั อยา่ งเพิ่มเติมเก่ียวกับแนวทางการใชข้ อ้ มลู เพอ่ื เพมิ่ ประสิทธภิ าพในการ
ทางาน หรือการใชช้ ีวิตประจาวัน

6. ผสู้ อนและผูเ้ รยี นรว่ มกนั สรปุ ความรู้จากการทากิจกรรม และการใชป้ ระโยชนจ์ ากขอ้ มลู และประเมนิ
ตนเองโดยใช้แบบประเมนิ การเรยี นรู้ของตนเอง

ชั่วโมงที่ 3-4 (แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 2 เรอื่ ง รูจ้ กั กับวิทยาการขอ้ มูล จานวน 2 ชั่วโมง)
7. ผสู้ อนนาเข้าสบู่ ทเรียนโดยเปิดวดี ิทัศน์ “นกั วิทยาศาสตร์ขอ้ มูล” เพือ่ สรา้ งแรงบนั ดาลใจในการเรียนรู้
เกี่ยวกบั วิทยาการขอ้ มลู ให้กับผู้เรยี น และตั้งคาถามว่า นกั วทิ ยาศาสตรข์ อ้ มูลคือใคร ทาหน้าที่เก่ยี วกับอะไร รอู้ ะไร
เก่ยี วกบั นักวทิ ยาศาสตร์ข้อมูลบ้าง
8. ผสู้ อนให้ผเู้ รยี นทาแบบสอบถามออนไลน์เพ่ือตรวจสอบคุณลกั ษณะการเป็นนักวิทยาศาสตรข์ ้อมลู ของ
ตนเอง
9. แบ่งผเู้ รยี นออกเป็นกลมุ่ กลุ่มละ 4 คน ศกึ ษาหัวข้อท่ี 1.2 วทิ ยาการข้อมลู ในหนังสือเรียน และให้แต่
ละคนในกล่มุ ศกึ ษากรณีศกึ ษาคนละ 1 ตัวอย่าง จากน้ันใหผ้ ลัดกันเล่าใหเ้ พอ่ื นในกลมุ่ ฟัง
10. ผเู้ รียนในแต่ละกลุ่มชว่ ยกันทาใบกิจกรรมท่ี 2.1 ข้อมลู เปลี่ยนมุมมอง และใบกิจกรรมทข่ี อ้ มลู ชว่ ย
ชุมชนและโลกอย่างไร
11. ผ้สู อนสมุ่ ผู้เรียนนาเสนอคาตอบของใบกิจกรรมท่ี 2.1 และ 2.2 จากนนั้ ร่วมกนั สรุปความหมาย
บทบาท และความสาคัญของวทิ ยาการข้อมลู

ห น้ า | 9

12. ผู้เรียนศกึ ษาหวั ขอ้ ท่ี 1.3 กระบวนการวิทยาการข้อมลู ในหนังสือเรยี น
13. ผสู้ อนให้ผู้เรียนแตล่ ะกลุ่มร่วมกนั ทากจิ กรรมเกย่ี วกับแนวคดิ ของวิทยาการขอ้ มูลโดยเลอื กทาเร่ืองใด
เรอ่ื งหน่งึ ดังน้ี

- ใบกิจกรรมที่ 2.3 (ก) เวลาของฉนั
- ใบกิจกรรมท่ี 2.3 (ข) Surprise!!!
- ใบกิจกรรมที่ 2.3 (ค) ฝน
- ใบกิจกรรมที่ 2.3 (ง) ไดโนเสาร์
14. ผสู้ อนสุ่มผู้เรียนนาเสนอใบกจิ กรรมใหค้ รบทกุ กิจกรรม และสรปุ แนวคดิ กระบวนการวิทยาการข้อมูล
รว่ มกบั ผเู้ รียน
ชว่ั โมงท่ี 5-6 (แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 3 เรอ่ื ง แนวคดิ เชงิ ออกแบบ จานวน 2 ช่วั โมง)
15. ผสู้ อนนาเขา้ สบู่ ทเรียนโดยเปดิ เว็บไซต์ CODAP และหาอาสาสมัครเลน่ เกม Markov และหลังจาก
เพ่อื นเลน่ จนจบเกม ผู้สอนต้ังคาถาม เชน่
1. นักเรยี นคิดว่าการเปา่ ยงิ ฉบุ ของ Dr.Markov เป็นการสมุ่ หรือไม่ เพราะเหตใุ ด
2. นกั เรียนคดิ ว่านักเรียนจะสามารถเป่า ยงิ ฉบุ ชนะอย่างตอ่ เนอื่ งโดยไมแ่ พเ้ ลย ได้หรอื ไม่
3. เว็บไซต์น้ีชว่ ยการเรียนรู้วทิ ยาการข้อมูลอย่างไร
4. ในมมุ มองของนักเรียนคิดว่าเวบ็ ไซต์นใ้ี ช้งานง่ายหรอื ไม่ มแี นวคดิ การออกแบบอยา่ งไร
5. มีจดุ ใดบา้ งในเว็บไซต์นี้ทต่ี ้องการปรับปรุง เพ่อื ชว่ ยให้นักเรียนเรียนรไู้ ด้ดขี นึ้
16. ผู้เรยี นศกึ ษาหวั ขอ้ ที่ 1.4 การคดิ เชิงออกแบบ สาหรับวทิ ยาการขอ้ มูล ในหนังสือเรยี น
17. แบง่ ผเู้ รียนออกเป็น 3 กลมุ่ ไดแ้ ก่ (1) กลมุ่ ผูซ้ ื้อ (2) กลุ่มผู้ขาย (3) กลมุ่ นกั วทิ ยาศาสตร์ขอ้ มลู
โดยการจับสลาก
18. จัดกล่มุ ใหมโ่ ดยให้แตล่ ะกลุ่มมีผซู้ ้อื 2 คน ผูข้ าย 2 คน และนกั วทิ ยาศาสตร์ขอ้ มูล 2 คน ใหน้ ักเรยี น
แต่ละกลุ่มแสดงบทบาทสมมติตามสลากทจ่ี ับได้
19. ผูส้ อนแจกบตั รคาถามสาหรบั นกั วทิ ยาศาสตร์ขอ้ มูล ในการสมั ภาษณ์ผู้ซอ้ื บตั รคาถามสาหรบั
นกั วทิ ยาศาสตร์ข้อมูล ในการสมั ภาษณ์ผู้ขาย แบบฟอร์มการเกบ็ ขอ้ มลู ผู้ซื้อ และแบบฟอรม์ การเก็บข้อมูลผู้ขาย
ให้แกน่ กั เรยี นท่ีแสดงบทบาทเปน็ นกั วทิ ยาศาสตร์ขอ้ มลู คนละ 1 ชดุ (1 ชุด ประกอบดว้ ย 2 บตั รคาถาม และ
2 แบบฟอรม์ )
20. ผู้เรียนแต่ละกลุ่มทาใบกจิ กรรมที่ 3.1 คดิ แบบนกั ออกแบบ เพื่อฝกึ ทักษะการคิดเชงิ ออกแบบ ใหไ้ ด้
ส่งิ ทีด่ ีข้นึ เชน่ การเพ่ิมมูลค่าให้กับบรกิ ารหรอื ผลิตภณั ฑ์ โดยนักวิทยาศาสตร์ข้อมูลสัมภาษณ์ผซู้ อื้ และผ้ขู าย ตาม
บัตรคาถามและกรอกลงในแบบฟอรม์ ข้างตน้ พร้อมท้ังออกแบบบรกิ ารหรือผลติ ภัณฑ์ ลงในใบกจิ กรรมที่ 3.1
21. ให้สมาชิกแต่ละคนของแต่ละกลมุ่ นาเสนอคาตอบในใบกิจกรรมที่ 3.1 ตามบทบาทที่ตนเองได้รบั
22. ผสู้ อนและผู้เรียนร่วมกันสรุปการใชแ้ นวคดิ เชิงออกแบบทีเ่ หมาะสมกบั สถานการณใ์ นใบกิจกรรมท่ี 3.1
23. แบง่ ผู้เรียนออกเปน็ กลุ่มๆ ละ 4 คน ทาใบกจิ กรรมที่ 3.2 โครงงานวิทยาการข้อมลู ของฉนั โดยให้เลือก
หวั ขอ้ ที่แตล่ ะกล่มุ สนใจ ในประเด็นทกี่ าหนด
24. ผเู้ รยี นทาแบบทดสอบบทท่ี 1 ขอ้ มลู มคี ุณค่า เพอ่ื ประเมินความเข้าใจ

ห น้ า | 10

8. การวดั และประเมินผล

กิจกรรม วธิ กี าร เครือ่ งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
ประเมนิ
ใบกจิ กรรม ทาใบกิจกรรมและ
ด้านความรู้ ตรวจใบกิจกรรม แบบทดสอบ แบบทดสอบก่อนเรยี น
ผ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 ข้นึ ไป
แบบทดสอบ มีทกั ษะกระบวนการ
ผา่ นเกณฑร์ ะดบั พอใช้
ดา้ นทักษะ/ ประเมินทักษะ แบบประเมนิ ทกั ษะ ขนึ้ ไป
กระบวนการ กระบวนการ กระบวนการ มคี ะแนนคณุ ลกั ษณะ
คณุ ภาพระดับพอใช้ขึ้นไป
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ สังเกตพฤตกิ รรม แบบประเมนิ
ทางการเรยี นและ ด้านพฤติกรรม
การเขา้ รว่ มกจิ กรรม
ในชน้ั เรียน

9. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
9.1 ใบกจิ กรรม
9.2 แบบทดสอบ

10. สือ่ และแหล่งขอ้ มลู
10.1 http://www.dms.moph.go.th/dmsweb/cpgcorner/heartex.pdf
10.2 http://oorrunningblog.blogspot.com/2014/09/how-long-should-i-run-10k.html
10.3 http://www.lokehoon.com/app.php?q_id=calculate_bmr_tdee
10.4 https://www.amstat.org
10.5 https://tuvalabs.com
10.6 https://www.kaggle.com/grubenm/austin-weather#austin_weather.csv
10.7 https://hbr.org/2018/03/what-happens-when-data-scientists-and-designers-work-

together
10.8 https://www.livetiles.nyc/3-fun-design-thinking-starter-projects-classroom
10.9 https://codap.concord.org/releases/latest/static/dg/en/cert/index.html?url=https://co

ncord-consortium.github.io/codap-data/SampleDocs/Mathematics/Probability/markov/
Markov_Sample.json

10.10 หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
สถาบันส่งเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ห น้ า | 11

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 เวลา 6 ช่ัวโมง

ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ การเก็บรวบรวมและสารวจขอ้ มลู

1. สาระ/ มาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เข้าใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแกป้ ัญหาที่พบในชีวิตจรงิ อยา่ งเป็นขัน้ ตอน

และเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอื่ สารในการเรียนรู้ การทางาน และการแก้ปญั หาได้อยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ ร้เู ท่ากนั และมีจรยิ ธรรม

2. ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้
รวบรวม วเิ คราะหข์ ้อมูล และใช้ความรู้ด้านวทิ ยาการคอมพิวเตอร์ ส่ือดจิ ิทัล เทคโนโลยสี ารสนเทศ

ในการแกป้ ัญหาหรือเพิม่ มลู ค่าให้กับบรกิ ารหรอื ผลิตภัณฑท์ ่ีใช้ในชวี ติ จรงิ อย่างสร้างสรรค์

3. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
การจดั เตรยี มข้อมูลเพอ่ื เตรยี มพร้อมสาหรับการประมวลผล ประกอบด้วย การทาความสะอาดข้อมูล

การแปลงข้อมูลและการเชือ่ มโยงขอ้ มลู การพจิ ารณาความเหมาะสมของแหล่งขอ้ มูล สามารถใชม้ มุ มองทั้ง 5
ด้าน ได้แก่ ความทันสมยั ของข้อมูล ความสอดคล้องกบั การใชง้ าน ความน่าเช่อื ถอื ของแหล่งข้อมลู ความ
ถูกต้องแมน่ ยา และจดุ มุ่งหมายของแหล่งขอ้ มลู การสารวจขอ้ มูลเปน็ การทาความเข้าใจเพ่อื พจิ ารณาภาพรวม
ของขอ้ มลู โดยอาจใชแ้ ผนภาพ หรอื กราฟของข้อมลู ในรูปแบบต่าง ๆ ระหว่างการสารวจ อาจจะพบ
ขอ้ ผิดพลาดหรือปัญหาอื่น ๆ จากการตง้ั คาถาม หรอื การรวบรวมข้อมูล ซึง่ ทาใหต้ อ้ งกลบั ไปดาเนินการแก้ไขให้
ถูกตอ้ ง เครอ่ื งมือทใ่ี ช้ในการสารวจข้อมูลอาจใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูป หรือการเขยี นโปรแกรมภาษา

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 การรวบรวมข้อมลู
4.2 การจดั เตรยี มขอ้ มูล
4.3 การสารวจขอ้ มูลโดยใชก้ ารวาดแผนภาพ แผนภูมิ กราฟ
4.4 เคร่ืองมอื ทใี่ ช้ในการสารวจขอ้ มลู เชน่ โปรแกรมตารางทางาน โปรแกรมภาษา และโปรแกรมเฉพาะ

สาหรับงานด้านวทิ ยาการขอ้ มูล

5. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น
5.1 ความสามารถในการคิด
5.2 ความสามารถในการแก้ปัญหา
5.3 ความสามารถในการทางานรว่ มกนั

ห น้ า | 12

5.4 ความสามารถในการสอื่ สาร
5.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์
6.1 มุ่งมั่นในการทางาน
6.2 มวี นิ ัย
6.3 ใฝเ่ รยี นรู้

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ชัว่ โมงที่ 1-2 (แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 4 เรือ่ ง การรวบรวมข้อมูล จานวน 4 ช่ัวโมง)
1. ผู้สอนนาเข้าสู่บทเรียน โดยอธบิ ายเร่อื งข้อมลู ขนาดใหญ่ หรือ Big Data ซ่ึงในปจั จุบันมีความสาคญั

มากต่อองคก์ รภาครฐั และเอกชนในการนาขอ้ มลู ขนาดใหญม่ าช่วยในการวางแผน หรอื ตดั สินใจ โดยเปิดวดิ โี อ
เรือ่ ง “Big data คอื อะไร จาเปน็ ตอ่ องค์กรหรอื ไม่ ?”

2. ผสู้ อนช้ีแจงเพ่ิมเตมิ ว่าสาหรบั ในระดับชน้ั ของนกั เรียน ให้เขา้ ใจกระบวนการของการนาข้อมูลมา
วิเคราะห์ อาจไม่จาเป็นตอ้ งใชข้ ้อมูลขนาดใหญ่ แต่นกั เรียนตอ้ งสามารถคน้ หาขอ้ มูล เพื่อนามาวเิ คราะห์ และตอบ
คาถามท่ตี นเองสนใจได้ พรอ้ มทั้งอธบิ ายจดุ ประสงค์ของการเรยี นครัง้ นี้

3. ผู้สอนอธบิ ายเรื่องข้อมลู ทุติยภูมิ และใหผ้ ู้เรียนยกตวั อย่างข้อมลู ทุติยภูมิ พรอ้ มท้ังระบุแหลง่ ข้อมูล
4. ผู้เรยี นศึกษาหวั ขอ้ ท่ี 2.1 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในหนงั สือเรียน
5. ผสู้ อนตั้งประเด็นคาถาม “รายไดเ้ ฉลย่ี ตอ่ ครัวเรอื นของจังหวัดของตนเองและจงั หวัดใกลเ้ คยี ง
5 จังหวดั มคี วามสมั พันธ์กบั ปจั จยั ใดไดบ้ ้าง” ใหผ้ ู้เรยี นต้ังประเด็นทสี่ นใจแล้วตั้งสมมติฐานเกีย่ วกับประเดน็ น้ัน
6. ผู้เรียนคน้ หาข้อมลู ทุตยิ ภูมขิ องปจั จัยทีน่ ักเรียนเลือกในการตอบประเด็นในข้อ 5 โดยแนะนาผู้เรียน
เพิ่มเตมิ วา่ ควรจะหาข้อมูลทม่ี ีคา่ เปน็ ตัวเลข เพ่ือใหส้ ามารถนามาใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ตอ่ ได้ พร้อมทัง้ บนั ทึก
ไฟล์ท่ีสืบคน้ ไดไ้ ว้ในเครื่องคอมพวิ เตอรข์ องตนเอง
7. ผเู้ รียนแตล่ ะกลุ่มทาใบกจิ กรรมท่ี 4.1 ขอ้ มูลตอบโจทย์ แลว้ นาเสนอความเหมาะสมของแหลง่ ขอ้ มูลท่ี
ผู้เรยี นได้สบื ค้นมา
8. ผู้สอนและผเู้ รยี นร่วมกนั สรุปกจิ กรรมที่ 4.1
ชว่ั โมงที่ 3-4
9. ผเู้ รยี นศกึ ษาหัวขอ้ ท่ี 2.2 การเตรยี มข้อมูล (data preparation) ในหนังสือเรียน
10. ผู้สอนถามผู้เรยี นจากคาถามชวนคดิ “การตรวจสอบขอ้ มลู ระเบียนผปู้ ว่ ยของโรงพยาบาลแหง่ หน่งึ ”
ในหวั ขอ้ 2.2.1 การทาความสะอาดข้อมูล โดยให้ผู้เรยี นร่วมกันหาข้อผิดพลาดของขอ้ มูล และอธบิ ายเหตุผล
11. ผเู้ รยี นแต่ละคนทาใบกจิ กรรมที่ 4.2 ผจู้ ัดการข้อมูล โดยศกึ ษาวธิ ีการดาเนินการจากหนงั สอื เรียน
และเว็บไซต์ data.programming.in.th
12. ผ้สู อนและผเู้ รียนรว่ มกนั สรุปกจิ กรรมท่ี 4.2

ห น้ า | 13

ชัว่ โมงท่ี 5-6 (แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 5 เรื่อง การสารวจขอ้ มลู จานวน 2 ชว่ั โมง)
13. ผู้สอนทบทวนกระบวนการในการจดั เตรียมขอ้ มลู จากกิจกรรมทผี่ า่ นมา และตรวจสอบผเู้ รยี นในการ
จัดเตรียมชุดขอ้ มลู ดงั น้ี

- income.xls
- average-income.xls และ average-income.csv
- expense58.xls
- income-expense.xls และ income-expense.csv
- ชดุ ข้อมลู จงั หวัดตนเองและจังหวัดใกล้เคียง 5 จงั หวัด และปจั จยั ที่ได้เลือกไว้
14. ผเู้ รยี นศึกษาหวั ขอ้ ที่ 2.3 การสารวจขอ้ มลู ในหนงั สือเรียน
15. ผเู้ รียนแต่ละคนทาใบกจิ กรรมที่ 5.1 นักสารวจ และระหวา่ งทากิจกรรมให้ศึกษาเครอื่ งมือท่ีใช้ใน
การสารวจข้อมูลเพม่ิ เติมจากเวบ็ ไซต์ data.programming.in.th
16. ผสู้ อนให้ผูเ้ รียนโพสต์ผลลพั ธ์ของขอ้ มูลจากการสารวจของตนเองลงบน Padlet หรืออาจใชโ้ ปรแกรม
อืน่ ตามความเหมาะสม
17. ผเู้ รียนทาแบบทดสอบบทท่ี 2 การเก็บรวบรวมและสารวจขอ้ มลู เพ่อื ประเมนิ ความเข้าใจ

8. การวัดและประเมนิ ผล

กิจกรรม วธิ กี าร เครื่องมือ เกณฑ์การประเมนิ
ประเมิน
ใบกจิ กรรม ทาใบกิจกรรมและ
ด้านความรู้ ตรวจใบกจิ กรรม แบบทดสอบ แบบทดสอบกอ่ นเรียน
ผ่านเกณฑร์ อ้ ยละ 70 ขึน้ ไป
แบบทดสอบ มีทักษะกระบวนการ
ผา่ นเกณฑ์ระดบั พอใช้
ด้านทกั ษะ/ ประเมนิ ทกั ษะ แบบประเมินทกั ษะ ข้นึ ไป
กระบวนการ กระบวนการ กระบวนการ มคี ะแนนคุณลักษณะ
คณุ ภาพระดบั พอใชข้ นึ้ ไป
ด้านคุณลกั ษณะ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมนิ
ทางการเรียนและ ดา้ นพฤติกรรม
การเขา้ รว่ มกิจกรรม
ในชน้ั เรียน

9. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
9.1 ใบกิจกรรม
9.2 แบบทดสอบ

ห น้ า | 14

10. สือ่ และแหล่งข้อมูล
10.1 เวบ็ ไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=QuGlZrXPjiI
10.2 เว็บไซต์ data.programming.in.th
10.3 แบบทดสอบบทท่ี 2 การเกบ็ รวบรวมและสารวจขอ้ มลู แบบออนไลน์
10.4 หนงั สือเรียนรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 5

สถาบนั ส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ห น้ า | 15

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 3 เวลา 12 ช่วั โมง

ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ การวเิ คราะหข์ อ้ มูล

1. สาระ/ มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระท่ี 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคดิ เชงิ คานวณในการแก้ปัญหาทพี่ บในชวี ติ จรงิ อยา่ งเป็นข้ันตอน

และเปน็ ระบบ ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสอ่ื สารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแกป้ ญั หาไดอ้ ยา่ งมี
ประสิทธิภาพ รูเ้ ท่ากัน และมีจรยิ ธรรม

2. ตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู้
รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมูล และใช้ความรดู้ า้ นวิทยาการคอมพวิ เตอร์ สอื่ ดจิ ิทัล เทคโนโลยสี ารสนเทศ

ในการแกป้ ญั หาหรือเพมิ่ มูลค่าใหก้ ับบรกิ ารหรอื ผลติ ภณั ฑ์ท่ีใช้ในชีวติ จรงิ อยา่ งสร้างสรรค์

3. สาระสาคัญ/ความคิดรวบยอด
การวเิ คราะห์เชงิ พรรณนาเป็นการวิเคราะห์ขนั้ พน้ื ฐานทีท่ าใหเ้ ห็นภาพรวมของขอ้ มลู และความสมั พนั ธ์

ระหว่างข้อมูล ชว่ ยอธิบายว่าเกดิ อะไรขึน้ บ้างในชว่ งทีผ่ ่านมา และอาจนามาชว่ ยในการตัดสนิ ใจ โดยอาจใช้สถติ ิ
เชน่ การหาสัดส่วนหรอื ร้อยละ การวดั ค่ากลางของข้อมลู การหาความสมั พันธ์ของชุดขอ้ มลู

4. สาระการเรียนรู้
4.1 การวิเคราะหข์ อ้ มูลเชงิ พรรณนา
4.2 สถติ สิ าหรบั วิเคราะห์ขอ้ มูล เช่น ค่ากลาง คา่ ต่าสุด สงู สุด เพ่ืออธิบายข้อมูลเชงิ พรรณนา
4.3 การหาความสัมพนั ธข์ องข้อมลู โดยใช้แผนภาพการกระจาย
4.4 ความหมายของการทานายเชิงตัวเลข
4.5 การทานายคา่ จากเส้นแนวโนม้ โดยใช้กราฟและใช้สมการเชิงเสน้
4.6 การหาคา่ ความคลาดเคลือ่ นในการทานาย
4.7 การสร้างเสน้ แนวโน้ม และสมการเชงิ เส้นโดยใช้โปรแกรมสาเรจ็ รูป หรือการเขียนโปรแกรม
4.8 อธบิ ายหลักการทานายเชิงหมวดหมู่ดว้ ยวธิ ี K-NN
4.9 ประเมนิ ความถกู ตอ้ งในการจดั กลมุ่ ขอ้ มูล

5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
5.1 ความสามารถในการคิด
5.2 ความสามารถในการแก้ปญั หา
5.3 ความสามารถในการทางานร่วมกัน

ห น้ า | 16

5.4 ความสามารถในการส่อื สาร
5.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

6. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
6.1 มุง่ ม่ันในการทางาน
6.2 มีวินยั
6.3 ใฝเ่ รยี นรู้

7. กิจกรรมการเรียนรู้
ชั่วโมงท่ี 1-2 (แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง การวิเคราะหเ์ ชงิ พรรณนา จานวน 4 ชว่ั โมง)
1. ผสู้ อนนาเขา้ สบู่ ทเรยี นโดยทบทวนเรือ่ งการเก็บรวบรวมขอ้ มูลและสารวจขอ้ มลู และชี้แจงการเรียนใน

บทนีโ้ ดยใช้สถานการณข์ องสิงโตและสุนขั จิง้ จอก จากหนงั สือเรียนและเชอ่ื มโยงการวิเคราะห์ขอ้ มูล 3 ประเภท
2. ผเู้ รยี นศึกษาหวั ขอ้ ท่ี 3.1 การวเิ คราะห์เชิงพรรณนา หวั ข้อย่อย 3.1.1 และ 3.1.2 ในหนังสอื เรยี น
3. ผเู้ รียนจับคู่กันทาใบกจิ กรรมที่ 6.1 ขอ้ มลู นมี้ ีอะไร โดยใหโ้ พสตภ์ าพคาตอบไวบ้ น Padlet และให้

รางวลั สาหรบั คู่ทีท่ าเสร็จได้เรว็ ที่สดุ
4. ผเู้ รยี นพิจารณาคาตอบของคู่อนื่ และรว่ มกนั โหวตวา่ การแสดงผลลัพธข์ องคาตอบของกลุ่มใดแสดงผล

การวเิ คราะห์ได้ชดั เจนที่สุด
5. ผู้สอนและผู้เรยี นร่วมกันสรุปและเปรยี บเทียบความเหมาะสมของผลของการวเิ คราะหข์ ้อมลู เชิง

พรรณนา
ชั่วโมงท่ี 3-4
6. ผ้เู รยี นศกึ ษาหวั ขอ้ ท่ี 3.1.3 ในหนังสือเรียน
7. แบ่งผู้เรียนออกเปน็ กลุ่ม กล่มุ ละ 3 คน ชว่ ยกนั ทาใบกิจกรรมที่ 6.2 สัมพนั ธ์กันหรอื ไม่
8. ให้แต่ละกลุ่มเลอื กโพสต์คาตอบ 1 คาตอบท่ีตนเองพบเจอความสมั พนั ธข์ องชดุ ขอ้ มลู ท่ศี กึ ษา และ

เขยี นอธบิ ายไว้บน Padlet
9. ผเู้ รยี นรว่ มกันโหวตวา่ คาตอบของกลมุ่ ใดน่าสนใจมากที่สุด
10. ผ้สู อนและผู้เรียนร่วมกนั สรุปการวิเคราะห์เชงิ พรรณนา
ชัว่ โมงที่ 5-6 (แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 7 เรื่อง การทานายเชงิ ตัวเลข จานวน 4 ชั่วโมง)
11. ผูส้ อนนาเขา้ สบู่ ทเรียนโดยทบทวนเรอ่ื งการต้ังคาถามสาหรับการวิเคราะห์เชงิ ทานายโดยใช้

สถานการณ์สงิ โตและสุนัขจิ้งจอก จากในหนังสือเรยี นและเพ่มิ เตมิ สถานการณอ์ น่ื ๆ เพือ่ ยกตวั อยา่ งการทานายเชงิ
ตวั เลข เช่น

- นกั เรยี นคดิ วา่ เวลาที่นักเรยี นใช้ในการอา่ นหนังสือสอบสามารถทานายเกรดของนกั เรียนได้หรือไม่
- นกั เรยี นคิดวา่ อุณหภมู ิสามารถทานายยอดขายไอศกรีมได้หรอื ไม่
12. ผู้เรยี นศกึ ษาหัวข้อท่ี 3.2 การวเิ คราะห์เชงิ ทานาย และ หวั ขอ้ ย่อย 3.2.1 การทานายเชิงตวั เลข ใน
หนงั สอื เรยี น

ห น้ า | 17

13. ผูเ้ รยี นจบั คกู่ ันทาใบกจิ กรรมท่ี 7.1 ยอดววิ
14. สุ่มผเู้ รยี นนาเสนอคาตอบ และใหเ้ ปรียบเทียบกับคาตอบกบั คู่อ่ืนวา่ เหมอื นหรอื ต่างกนั อย่างไร
15. ผู้เรียนค่เู ดมิ ทาใบกิจกรรมท่ี 7.2 คาทานายใครแม่น
16. ผู้สอนและผเู้ รียนร่วมกนั อภปิ รายขอ้ ดขี อ้ เสยี ของการทานายค่าจากเสน้ แนวโนม้ โดยใช้กราฟ สมการ
เชงิ เส้น โปรแกรมสาเรจ็ รูป หรือการเขยี นโปรแกรมภาษา
ชวั่ โมงที่ 7-8
17. ผู้สอนเปิดไฟลร์ าคาทองคา และรว่ มกนั อภิปรายกบั ผู้เรยี นวา่ เราจะจัดเตรียม ไฟล์ราคาทองคา
อยา่ งไร ถงึ จะสามารถทานายได้วา่ เดอื นทีเ่ ราเกิดในปหี น้าราคาทองคาจะเปน็ เท่าไร
18. ผเู้ รียนแต่ละคนทาใบกจิ กรรมท่ี 7.3 ร้แู ล้วรวย
19. ให้ผ้เู รยี นเขยี นสรุปเรอื่ งราวและผลลพั ธข์ อ้ มลู ที่ได้จากใบกิจกรรมท่ี 7.3 ลงใน Padlet
20. ผเู้ รียนร่วมกันอา่ นเรอ่ื งราวของเพื่อนและแสดงความคิดเห็นในเชิงบวก
21. ผสู้ อนและผเู้ รียนรว่ มกันสรปุ การวิเคราะหก์ ารทานายเชงิ ตวั เลข
ช่วั โมงท่ี 9-10 (แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 8 เรอ่ื ง การทานายเชิงหมวดหมู่ จานวน 4 ช่วั โมง)
22. ผู้สอนนาเข้าสบู่ ทเรยี นดว้ ยการถามคาถามชวนคิด “นกั เรียนฟงั เพลงสากลหรอื ไม่ และชอบฟังเพลง
สากลประเภทใด” และคาถาม “หากมีเพลงใหมเ่ ขา้ สูต่ ลาด นักเรียนจาแนกไดอ้ ยา่ งไรว่าเพลงน้ัน เปน็ เพลง
ประเภทใด” ให้ผู้เรยี นแสดงความคดิ เหน็ ตามอสิ ระ
23. ให้ผเู้ รียนแบง่ กลมุ่ กลมุ่ ละ 8 คน แล้วทาใบกจิ กรรมท่ี 8.1 ชีวิตฉนั คลา้ ยใคร หลงั จากนน้ั ผู้สอนสุ่ม
ผ้เู รยี นนาเสนอกราฟเรดารข์ องตวั เองและใหเ้ ปรยี บเทยี บกับเพ่อื นคนอน่ื ว่าเหมือนหรอื ตา่ งกันอยา่ งไร
ช่วั โมงที่ 11-12
24. ผเู้ รยี นศกึ ษาหัวขอ้ ย่อยท่ี 3.2.2 การทานายเชิงหมวดหมู่ ในหนังสอื เรยี น
25. ผเู้ รยี นจับคู่ทาใบกิจกรรมท่ี 8.2 ตวั น้ี พวกไหนดี โดยใช้ขั้นตอนวธิ ขี อง K-NN ตามหนังสอื เรยี น
26. ผู้เรียนทาใบกิจกรรมที่ 8.3 K ใครแมน่ กวา่ กัน โดยผสู้ อนแบง่ กลมุ่ ผู้เรยี นตามคา่ K ทเ่ี ลือก (K = 3,
K = 5 หรือ K = 7) แลว้ ทาการเปรียบเทยี บกบั เพื่อนที่เลอื กค่า K อื่น ๆ เพอื่ เปรียบเทียบว่า คา่ K ใด เหมาะสม
ทสี่ ุด
27. ผสู้ อนและผู้เรยี นรว่ มกันสรุปการวิเคราะห์การทานายเชงิ หมวดหมู่
28. ผู้เรียนทาแบบทดสอบบทท่ี 3 การวิเคราะหข์ ้อมูล เพือ่ ทดสอบความเขา้ ใจ

ห น้ า | 18

8. การวดั และประเมนิ ผล

กิจกรรม วธิ กี าร เครื่องมอื เกณฑ์การประเมนิ
ประเมนิ
ใบกจิ กรรม ทาใบกิจกรรมและ
ดา้ นความรู้ ตรวจใบกจิ กรรม แบบทดสอบ แบบทดสอบก่อนเรยี น
ผ่านเกณฑ์รอ้ ยละ 70 ข้ึนไป
แบบทดสอบ มีทักษะกระบวนการ
ผ่านเกณฑร์ ะดบั พอใช้
ดา้ นทักษะ/ ประเมนิ ทักษะ แบบประเมินทักษะ ขึน้ ไป
กระบวนการ กระบวนการ กระบวนการ มคี ะแนนคณุ ลกั ษณะ
คณุ ภาพระดับพอใช้ขน้ึ ไป
ดา้ นคุณลักษณะ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมนิ
ทางการเรยี นและ ดา้ นพฤตกิ รรม
การเขา้ ร่วมกิจกรรม
ในชน้ั เรียน

9. ชนิ้ งาน/ภาระงาน
9.1 ใบกิจกรรม
9.2 แบบทดสอบ

10. สือ่ และแหลง่ ขอ้ มลู
10.1 ชดุ ขอ้ มลู ไฟป่า สนิ ค้าอุปโภคบรโิ ภคของไทย และคะแนนสอบ O-NET จากเวบ็ ไซต์

data.programming.in.th
10.2 ชดุ ข้อมลู วัวป่าและม้าลายจากเว็บไซต์ data.programming.in.th
10.3 ชดุ ข้อมูลทองคา
10.4 เว็บไซต์ https://www.babelcoder.com/blog/posts/k-nearest-neighbors
10.5 หนงั สอื เรยี นรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วิทยาการคานวณ) ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5

สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ห น้ า | 19

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 4 เวลา 12 ชว่ั โมง

ช่อื หน่วยการเรียนรู้ การทาขอ้ มลู ใหเ้ ปน็ ภาพและการสือ่ สารดว้ ยขอ้ มลู

1. สาระ/ มาตรฐานการเรยี นรู้
สาระที่ 4 เทคโนโลยี
มาตรฐาน ว 4.2 เขา้ ใจและใช้แนวคิดเชิงคานวณในการแก้ปัญหาท่พี บในชีวิตจรงิ อย่างเปน็ ขน้ั ตอน

และเปน็ ระบบ ใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในการเรยี นรู้ การทางาน และการแกป้ ัญหาไดอ้ ยา่ งมี
ประสิทธภิ าพ รู้เท่ากัน และมีจรยิ ธรรม

2. ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้
รวบรวม วิเคราะห์ขอ้ มูล และใช้ความรู้ดา้ นวิทยาการคอมพิวเตอร์ สื่อดิจิทัล เทคโนโลยสี ารสนเทศ

ในการแกป้ ัญหาหรือเพิม่ มลู ค่าให้กบั บรกิ ารหรือผลติ ภัณฑท์ ี่ใช้ในชวี ติ จริงอยา่ งสรา้ งสรรค์

3. สาระสาคัญ/ความคดิ รวบยอด
กระบวนการทาขอ้ มลู ให้เป็นภาพ เป็นการจัดการหรือการแปลงขอ้ มูลให้อยู่ในรปู ของแผนภาพ แผนภมู ิ

หรอื กราฟทเ่ี หมาะสมกับชดุ ขอ้ มูลท่ตี อ้ งการนาเสนอ โดยสามารถเลือกใช้ตัวแปรในการมองเหน็ ทีท่ าให้ผ้รู ับสาร
เขา้ ใจถูกตอ้ ง ตรงประเดน็ ชดั เจน และดึงดูดความสนใจ

4. สาระการเรียนรู้
4.1 ความหมายของการทาข้อมลู ให้เปน็ ภาพ
4.2 วธิ กี ารทาข้อมูลให้เป็นภาพ
4.3 การทาขอ้ มูลให้เป็นภาพอยา่ งเหมาะสม
4.4 การเลา่ เรอ่ื งราวจากข้อมูล
4.5 กระบวนการวทิ ยาการข้อมูล

5. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน
5.1 ความสามารถในการคดิ
5.2 ความสามารถในการแก้ปัญหา
5.3 ความสามารถในการทางานรว่ มกัน
5.4 ความสามารถในการสื่อสาร
5.5 ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี

ห น้ า | 20

6. คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
6.1 มุง่ มนั่ ในการทางาน
6.2 มวี ินัย
6.3 ใฝ่เรยี นรู้

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ชัว่ โมงท่ี 1-2 (แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 9 เรื่อง การทาข้อมูลให้เป็นภาพ จานวน 4 ช่วั โมง)
1. ผู้สอนนาเขา้ ส่บู ทเรยี นดว้ ยการให้ผเู้ รียนดูรปู ภาพข้อมูลการวง่ิ ของคนในนวิ ยอรค์ โดยเสน้ ทม่ี ีสเี ข้ม

หมายถงึ เสน้ ทางทม่ี ีคนวิ่งจานวนมาก จากนน้ั ตง้ั คาถามถามผ้เู รียน เชน่ “ถา้ นักเรยี นเป็นตารวจจราจรจะนาภาพน้ี
ไปใช้ประโยชนใ์ นงานได้อย่างไร” “ถา้ นักเรียนเป็นเจ้าของร้านอาหารไทยในนิวยอร์ค จะนาภาพนีไ้ ปใชใ้ นการ
วางแผนจดั การรา้ นของตนเองอย่างไร”

2. ผ้สู อนแบ่งผูเ้ รียนออกเปน็ กลุ่ม กลมุ่ ละ 4 คน ศกึ ษาตัวอยา่ งการทาข้อมูลให้เปน็ ภาพจากเว็บไซต์
https://www.tableau.com/learn/articles/best-beautiful-data-visualization-examples โดยแตล่ ะกลุ่ม
เลอื กภาพมา 1 ภาพ ไมซ่ ้ากัน และนาเสนอใหเ้ พือ่ นกลุ่มอืน่ ฟังว่าภาพของกลมุ่ ตนเองมจี ดุ เด่นของการนาเสนอ
อย่างไร

3. ผู้เรยี นศกึ ษาหวั ขอ้ ที่ 4.1 การสือ่ สารด้วยข้อมูล ในหนังสอื เรยี น แล้วผสู้ อนและผู้เรยี นรว่ มกนั อภิปราย
เปรียบเทยี บการนาเสนอข้อมลู ดว้ ยตารางและภาพ

4. ผู้เรียนศกึ ษาหวั ข้อที่ 4.2 การทาขอ้ มูลใหเ้ ป็นภาพ ในหนังสือเรียน โดยอาจแบ่งกลุ่มในการศกึ ษาดังนี้
- กลมุ่ ท่ี 1 และ 5 ศกึ ษาแผนภูมิรูปวงกลม
- กลมุ่ ท่ี 2 และ 6 ศกึ ษาแผนภูมิแทง่
- กลุ่มท่ี 3 และ 7 ศึกษากราฟเสน้
- กลุ่มท่ี 4 และ 8 ศกึ ษาแผนภาพการกระจาย
ให้แตล่ ะกล่มุ ทาความเขา้ ใจ วเิ คราะหจ์ ุดเดน่ จุดด้อยและความเหมาะสมในการนาแผนภาพ แผนภูมิ

หรือกราฟไปใช้ หลังจากนั้นสุ่มเลือกตัวแทนกลมุ่ ออกมานาเสนอ
5. ผู้เรยี นแต่ละกลมุ่ ทาใบกจิ กรรมที่ 9.1 นาเสนออย่างมอื อาชีพ เมอ่ื ทาเสร็จแลว้ ผู้สอนสุ่มผู้เรยี นออกมา

นาเสนอคาตอบ และรว่ มกนั อภิปรายสรปุ การเลือกแผนภาพ แผนภมู ิ หรอื กราฟ ทเี่ หมาะสมกับขอ้ มลู
ชัว่ โมงที่ 3-4
6. ผูเ้ รยี นศึกษาหัวขอ้ ที่ 4.3 การทาข้อมลู ให้เป็นภาพอยา่ งเหมาะสม ในหนงั สอื เรียนแลว้ ผสู้ อนและ

ผู้เรยี นรว่ มกันสรปุ เทคนคิ ต่าง ๆ ท่ีนามาใชใ้ นการทาข้อมลู ให้เป็นภาพทีน่ า่ สนใจ
7. ผเู้ รียนแตล่ ะกลมุ่ ทาใบกจิ กรรมที่ 9.2 แบบน้ีใช่รเึ ปลา่
8. ให้แต่ละกลุ่มนาภาพทอี่ อกแบบไว้ ไปตดิ ไวท้ ่ีผนงั ห้อง เพอื่ ให้เพอื่ นกลมุ่ อนื่ ให้ความเหน็ วา่ ภาพที่

นาเสนอตรงกบั จดุ ประสงคข์ องผนู้ าเสนอหรอื ไม่ ต้องปรบั ปรงุ แก้ไขอยา่ งไร
9. ผสู้ อนและผเู้ รียนรว่ มกันสรปุ เกยี่ วกบั การทาขอ้ มูลให้เป็นภาพอย่างเหมาะสม

ห น้ า | 21

ชั่วโมงท่ี 5-12 (แผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 10 เรอื่ ง โครงงานวิทยาการข้อมลู จานวน 8 ช่วั โมง)
10. ผสู้ อนนาเข้าสบู่ ทเรียนโดยใหด้ ูตัวอยา่ งเก่ียวกับ การเล่าเรือ่ งราวจากข้อมูล (datastorytelling)
จากเวบ็ ไซต์ https://www.vertical-leap.uk/blog/what-is-datastorytelling/ แลว้ ตัง้ คาถามว่า “จากตวั อย่าง
มีการใชข้ อ้ มลู ในการเล่าเรือ่ งราวอยา่ งไรให้นา่ สนใจและนา่ ติดตาม”
11. ผู้เรียนศึกษาหวั ขอ้ ท่ี 4.4 การเล่าเรอ่ื งราวจากขอ้ มูล ในหนังสอื เรยี น และสรุปรว่ มกันเก่ยี วกับการ
เล่าเรื่องราวจากข้อมูล ให้น่าสนใจ
12. ผเู้ รยี นศกึ ษาหวั ข้อท่ี 4.5 ขอ้ ควรระวังในการนาเสนอขอ้ มูล ในหนังสือเรยี น และผ้สู อนตง้ั คาถามจาก
รปู ในหนังสอื เรยี นหนา้ 133 - 134 เพื่อทดสอบความเข้าใจเกีย่ วกบั ขอ้ ควรระวงั ในการนาเสนอข้อมลู ดว้ ยภาพ
13. ผสู้ อนชแ้ี จงเกณฑก์ ารประเมินการทาข้อมูลให้เป็นภาพ เพือ่ ให้ผู้เรยี นทราบและเข้าใจตรงกัน
14. ผูส้ อนนาตัวอย่างการนาเสนอขอ้ มูลที่ดี ในการทาโครงงานวทิ ยาการขอ้ มลู จากเวบ็ ไซต์
https://www.facebook.com/datacafethailand/photos/pcb.1181410415348093/118140991868147
6/?type=3&theater เพ่ือใหผ้ ูเ้ รียนศกึ ษาเปน็ แนวทาง
15. ผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ ทาโครงงานวทิ ยาการข้อมูล และบันทึกลงในใบกจิ กรรมที่ 10.1 รอ้ ยเรยี งเรื่องราวสู่
สงั คม โดยผู้สอนคอยให้คาแนะนา ในขณะท่ผี ้เู รยี นทาโครงงานให้ประเมนิ ความก้าวหน้าของกลมุ่ ตนเอง แลว้
บนั ทึกลงในแบบตดิ ตามความก้าวหนา้ การทาโครงงาน
16. ผูเ้ รียนแตล่ ะกล่มุ นาเสนอโครงงานวทิ ยาการขอ้ มูล จากท่ไี ด้บนั ทกึ ในใบกจิ กรรมท่ี 10.1 หนา้ ช้ัน
เรียน แลว้ ผูเ้ รียนแต่ละกลมุ่ ให้คะแนนเพื่อนกล่มุ อ่ืน โดยใชแ้ บบประเมินการทาขอ้ มูลใหเ้ ปน็ ภาพ ตามเกณฑท์ ี่
กาหนดไว้
17. ผู้สอนให้คะแนนผู้เรยี นทกุ กล่มุ โดยใช้แบบประเมินการทาขอ้ มลู ให้เป็นภาพตามเกณฑท์ ี่กาหนดไว้
18. ผู้สอนสรุปคะแนนของแต่ละกลุม่ จากแบบประเมินของผูส้ อนและผ้เู รยี นทกุ กลุ่ม
19. ผสู้ อนและผู้เรยี นรว่ มกันอภปิ รายสรุปผลงานที่แต่ละกลุ่มนาเสนอ วา่ มีจุดเดน่ จุดด้อยอย่างไร
20. ผเู้ รียนทาแบบทดสอบบทที่ 4 การทาข้อมูลใหเ้ ป็นภาพและการส่อื สารด้วยข้อมลู เพ่ือทดสอบความ
เขา้ ใจ

8. การวดั และประเมินผล

กจิ กรรม วิธกี าร เครอื่ งมือ เกณฑ์การประเมิน
ประเมนิ
ใบกจิ กรรม ทาใบกิจกรรมและ
ดา้ นความรู้ ตรวจใบกจิ กรรม แบบทดสอบ แบบทดสอบก่อนเรยี น
ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึน้ ไป
แบบทดสอบ แบบประเมินทักษะ มีทกั ษะกระบวนการ
กระบวนการ ผ่านเกณฑ์ระดับพอใช้
ดา้ นทักษะ/ ประเมินทักษะ ขนึ้ ไป
กระบวนการ กระบวนการ

ห น้ า | 22

กจิ กรรม วธิ ีการ เครอ่ื งมอื เกณฑก์ ารประเมนิ
ประเมนิ
ดา้ นคณุ ลกั ษณะ สังเกตพฤติกรรม แบบประเมิน มีคะแนนคณุ ลักษณะ
ทางการเรียนและ ดา้ นพฤติกรรม คุณภาพระดับพอใชข้ ้ึนไป
การเขา้ รว่ มกจิ กรรม
ในชั้นเรียน

9. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
9.1 ใบกิจกรรม
9.2 แบบทดสอบ

10. ส่อื และแหลง่ ข้อมูล
10.1 เวบ็ ไซต์ data.programming.in.th
10.2 เวบ็ ไซต์ https://www.vertical-leap.uk/blog/what-is-data-storytelling/
10.3 หนงั สือเรยี นรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี (วทิ ยาการคานวณ) ชน้ั มธั ยมศึกษาปีที่ 5

สถาบันส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

คําอธิบายรายวชิ า

วิชาวิทยาการคํานวณ 3 รหัสวิชา ว33103 กลุ่มสาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์

ชน้ั มัธยมศึกษาปีท่ี 6 เวลา 40 ชว่ั โมง จาํ นวน 1 หน่วยกิต

…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ศึกษาการใช้เทคโนโลยีในการนําเสนอและแบง่ ปนั ขอ้ มูลอยา่ งปลอดภยั และมจี ริยธรรม การสรา้ ง
ช้ินงานและ เผยแพรผ่ า่ นสอื่ ต่าง ๆ ที่คํานึงถึงจรยิ ธรรม ลิขสิทธ์ิ ทรัพย์สินทางปัญญา และกฎหมาย หลกั การ
ของปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีในอนาคต กรณศี กึ ษาเก่ยี วกับนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีทเ่ี กยี่ วข้องกับ
ชีวติ ประจําวัน อาชีพทเี่ กย่ี วข้อง กับงานทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ตวั อย่างผลกระทบของเทคโนโลยี
สารสนเทศ

ตวั ชวี้ ัด
ว. 4.2 เทคโนโลยี (วทิ ยาการคํานวณ)

ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศในการนาํ เสนอและแบ่งปันขอ้ มูลอย่างปลอดภยั มีจรยิ ธรรม และ
วิเคราะหก์ าร เปลีย่ นแปลงเทคโนโลยีสารสนเทศท่มี ผี ลต่อการดําเนนิ ชีวติ อาชพี สงั คม และวัฒนธรรม

รวมทงั้ หมด 1 ตวั ชี้วัด


Click to View FlipBook Version