The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by honghong55662, 2022-08-30 20:43:04

Chemistry

Chemistry

Name: นางสาวกรรวี บุญฉวีราษฎร์
Class: 5/1
Number:18

GAS

Boyle's Law

"สำหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้า สสููตตรร
อุณหภูมิ (T) ของแก๊สคงตัว
ปริมาตร (V) ของแก๊สขะแปรผกผัน P1 V1 = P2 V2
กับความดัน (P) ของแก๊ส"
(ใช้เมื่อ T คงที่)

ตัวอย่างโจทย์

EX1. ก๊าซ He จำนวนหนึ่งอยู่ในถังปิดที่ 20OC วัดความดันได้ 400 mmHg
ถ้สนำก๊าซ He ทั้งหมดมาใส่ในถังอีกใบหนึ่งขนาด 20 dm3 ปรากฏว่า
เหลือ 150 mmHg ถังที่บรรจุก๊าซในตอนแรกมีปริมาตรเท่าใด

จากสูตร P1 V1 = P2 V2
แทนค่า (400) V1 = (150)(20)

V1 = 7.5 dm3

EX2. ก๊าซ N2 จำนวน 10 dm3ที่ 25OC อ่านค่าความดันได้ 304 mmHg
1.) ถ้าเพิ่มความดันเป็น 1520 mmHg จะมีปรมาตรเท่าไร
แก๊สขยายตัวโดยอุณหภูมิคงที่

จากสูตร P1 V1 = P2 V2
แทนค่า (304)(10) = (1520) V2

V2 = 2 dm3
2.) ถ้าลดปริมาตรของภาชนะให้เหลือครึ่งหนึ่งของของเดิม จะวัด
ความดันได้กี่ mmHg

แทนค่า (304)(10) = P3 (5)
P3 = 608 mmHg

Charles's Law

"สำหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้า สสููตตรร
ความดัน (P) ของแก๊สคงตัว
ปริมาตร (V) ของแก๊สจะแปรผัน V1 = V2
ตรงกับอุณหภูมิ (T) ของแก๊ส" T1 T2

(ใช้เมื่อ P คงที่)
T ต้องมีหน่วยเป็นเคลวินเท่านั้น

ตัวอย่างโจทย์

EX1. ก๊าซออกซิเจนในภาชะนะใบหนึ่งวัดปริมาตรได้ 200 cm3ที่ 27OC
ความดัน 700 mmHg ต้องการลดปริมาตรลง 20% จะต้องประอุณหภูมิเป็น
กี่องศาเซลเซียส

ลดปริมาตรลง 20% จากสูตร V1 / T1 = V2 / T2 K = 273 +OC
200/300 = 160/T2
200 x 80/100 = 160 cm3 แทนค่า C = K - 273
T2 = 240 T2 = -33OC

EX2. ก๊าซ N2ในถังขนาด 2.5 ลิตรที่ความดัน 1 atm 30OC
1.) ที่ความดันค่าเดิมถ้าเพิ่มอุณหภมิ 10OC ปริมาตรจะเพิ่มกี่ %

จากสูตร V1 / T1 = V2 / T2 ปริมาตรเพิ่มขึ้น 2.58-2.5 = 0.08 dm3
แทนค่า 2.5/303 = V2 /313 0.08/2.5 x 100 = 3.2%

V2 = 2.58 dm3

1.) ถ้าต้องการลดปริมาตรลง 300 cm3 โดนไม่เปลี่ยนความดัน จะ
ต้องลดอุณหภูมิลงกี่องศาเซลเซียส

V3 = 2500 - 300 จากสูตร V1 / T1 = V3 / T3 ลด T ลง = 303K - 266.64K
= 2200 cm3 แทนค่า 2500/303 = 2200/T
= 36.36OC
T3 = 266.64 K (ΔOC = ΔK)

Gay-Lussac's Law

"สำหรับแก๊สในภาชนะปิด ถ้า สสููตตรร
ปริมาตร (V) ของแก๊สคงตัว
ความดัน (P) ของแก๊สจะแปรผัน P1 = P2
ตรงกับอุณหภูมิ (T) ของแก๊ส" T1 T2

(ใช้เมื่อ V คงที่)
T ต้องมีหน่วยเป็นเคลวินเท่านั้น

ตัวอย่างโจทย์

EX1. หลอดไฟบรรจุแก๊สมีสกุลที่อุณหภูมิ 22 องศาเซลเซียส มีความดัน
ภายในหลอด 0.74 บรรยากาศ เมื่อหลอดไฟให้แสงสว่าง อุณหภูมิอาจสูง
ถึง 418 เคลวิน จงหาความดันภายในหลอดที่อุณหภูมิดังกล่าว

จากสูตร P1 / T1 = P2 / T2
แทนค่า 0.74/295 = P2 /418

P2 = 1.05 atm

EX2. แก๊สออ2 กซิเจนในถังใบหนึ่งมีความดัน 2.0 บรรยากาศ ที่อุณหภูมิ
273 เคลวิน ถ้าอุณหภูมิเพิ่มเป็น 37 เคลวิน ความดันของแก๊สออกซิเจนจะ
เป็นเท่าใด

จากสูตร P1 / T1 = P2 / T2
แทนค่า 2/272 = P2 /373

P2 = 2.73 atm

Avogadro's Law

"เมื่อความดัน (P)และอุณหภูมิ(T) สูตร
คงที่ ปริมาตร (V) จะแปรผันตรงกับ
จำนวนโมล (n)" V1 = Vn22
n1

(ใช้เมื่อ P,T คงที่)

ตัวอย่างโจทย์

EX1. ลูกโป่งใบหนึ่งเมื่อบรรจุแก๊ส H2 เข้าไป 0.1 กรัม ทำให้พองตัวมีปริ
มตาร 1 ลิตร อยากทราบว่า ณ ภาวะเดียวกันนี้ถ้าแก๊ส He หนัก 0.1 กรัม
แทนแก๊ส H2ลูกโป่งจะมีปริมาตรกี่ลิตร

จากสูตร V1 / n1 = V2 / n2
แทนค่า 1x2/0.1 = V2 x4/0.1

V2 = 0.5 L

EX2. จากการศึกษาสมบัติของแก๊สชนิดเดียสกันที่ความดันและอุณหภูมิ
เดียวกัน พบว่าถ้าใช้แก๊ส 10 กรัม จะมีปริมาตร 200 cm3อยากทราบว่าถ้า
ใช้แก๊ส 30 กรัม จะมีปริมตารกี่ cm3

จากสูตร V1/ n1 = V2 / n2
แทนค่า 200xMW/10 = V2 xMW/30

V2 = 600 cm3

กฎรวมแก๊ส

"สามารถใช้สูตรกฎรวมแก๊ส สูตร
ในการคำนวณได้เลย ค่าไหน
คงที่ให้ตัดทิ้ง" P1 V1 = P2V2
n1T1 n2T2

T ต้องมีหน่วยเป็นเคลวินเท่านั้น

ตัวอย่างโจทย์

EX1. ถ้าต้องการให้ปริมตารของก๊าซสมบูรณ์ที่ STP เพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า
โดยการลดความดันลง 25% จะต้องทำที่อุณหภูมิเท่าใด

ที่ STP คือ T 0 องศาเซลเซียส P 1 atm, 760 mmHg

ปริมาตร V2 = 2V1 จากสูตร P1 V1 / n1T1 = P2 V2 / n2T2

ความดัน P1 = 1 แทนค่า 1xV1 /273 = (75/100x2V1 )/T2

P2 = 75/100 T2 = 409.5 K

EX2. แก๊สชน2ิดหนึ่งปริมาตร 80 ลูกบาสก์เซนติเมตร อุณหภูมิ 45
องศาเซลเซียส แก๊สนี้ปริมาตรเท่าใดที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส
ถ้าความดันของแก๊สคที่

จากสูตร P1 V1 / n1 T1 = P2 V2 / n2T2
แทนค่า 80 /318 = V2 /273

V2 = 68.68 cm3

กฎของแก๊สอุดมคติ
สูตร
บทนี้จะใช้
R = 0.0821 atm x L/mol x K PV = nRt
kb= 1.38 x 10 J/K PV = NkbT
เมื่อ D คือ ความหนาแน่น D = PM

M คือ มวลโมเลกุล RT

T ต้องมีหน่วยเป็นเคลวินเท่านั้น

ตัวอย่างโจทย์

EX1. ภาชนะใบหนึ่งมีขนาด 2.1 L บรรจุแก๊ส A หนัก 4.65 กรัม ที่
ความดัน 1 atm และอุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส จงหามวลโมเลกุล
ของแก๊ส A

จากสูตร PV = nRT
แทนค่า 1x2.1 = 4.65/MW x 0.0821 x 300

MW = 54.54 g/mol

EX2. แก๊วออกซิเจน 1.0 โมล ที่อุณหภูมิ 62 องศาเซลเซียส ความดัน3.45
บรรยากาศ มีความหนาแน่นเท่าใด

จากสูตร D = PM/RT
แทนค่า D = 3.45 x 32/ 0.0821x335

D = 4.01 g/L

กฎความดันย่อยของดาลตัน

สูตร

Pt หรือ PTotal = P +P +....P P = nTotal RT
V
Pi = XiPP Xi = nnTi

ตัวอย่างโจทย์

EX1. แก๊สคาร์ออกซิเจนหนัก 0.52 กรัม และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
หนัก 2.42 กรัม นำมาบรรจุรวมกันในภาชนะและมีความดัน 3.5 บรรยากาศ
ที่อุณหภูมิ 27 องศาเซลเซียส จงหาความดันย่อยของแก๊สแต่ละชนิด

nO2 = 0.02 mol, nCo2= 0.06 mol, nT= 0.08 mol

จากสูตร Xi = ni /nT จากสูตร Pi = Xi PT

แทนค่า XO2 = 0.02/0.08 =0.25 แทนค่า PO2 = 0.25 x 3.5 =0.25

XCo2= 1-0.25 = 0.75 PCo2= 3.5 - 0.875 =2.625

EX2. ถ้าผสมแก๊สไฮโดรเจน 1.00 กรัม แก๊สฮีเลียม 2.60 กรัม และ
แก๊สอาร์กอน 11.19 กรัม ในภาชนะขนาด 10.0 ลิตร ที่อุณหภูมิ 25
องศาเซลเซียส จงคำนวณความดันรวมของแก๊สผสม

จากสูตร Pรวม=(nรวม RT)/Vรวม
แทนค่า Pรวม= (1.43 x 0.0821 x 298)/10

ทฤษฎีจลน์ ของแก๊ส

สูตร

PV = 1 Nmv2 หรือ PV = 2 NmE
33

1.) แก๊สประกอบด้วยโมเลกุลจำนวนมาก ทุกโมเลกุลมีลักษณะเป็นก้อนกลม
ที่มีขนาดเท่ากันมีความยืดหยุ่นสูง ดังนั้นโมเลกุลเหล่านี้จะชนผนังและ
กระดอนแบบยืดหยุ่น

2.) ถือว่าปริมาตรรวมของโมเลกุลทุกตัวน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับ
ปริมาตรของแก๊สทั้งภาชนะจึงสามารถตัดปริมาตรของโมเลกุลทิ้งไปได้

3.) ไม่มีแรงใดๆ กระทำต่อโมเลกุลไม่ว่าจะเป็นแรงผลักหรือแรงดูด
หรือแม้กระทั่งแรงโน้มถ่วงโลกที่กะทำต่อโมเลกุลด้วย

4.) โมเลกุลทุกโมเลกุลจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงแบบสับสนไร้ทิศทาง
และอาจเปลี่ยนแนวการเคลื่อนที่ได้หากไปชนใส่ผนังภาชนะหรือชนกับ
โมเลกุลแก๊สด้วยกันเอง เรียกการเคลื่อนที่แบบนี้ว่า การเคลื่อนที่แบบ
บราวน์เนียน (Ekก่อนชน = Ekหลังชน)

การแพร่ของแก๊ส

1. Diffusion คือการที่โมเลกุลของแก๊สใดๆ สามารถเคลื่อนที่ฟุ้ง
กระจายไปในท่ามกลางที่ฟุ้งกระจายไปในท่ามกลางโมเลกุลแก๊สอื่นๆ
จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งเกิดจากความเข้มข้น
2. Effusion คือการเคลื่อนที่ของโมเลกุลแก๊สโดยลอดผ่านช่องเล็กๆ
ออกไป

อัตราการแพร่ กฎการแพร่ผ่านของเกรแฮม

สูตร สูตร

R=s=V=m R1 = M2 = D2
tt t R2 M1 D1

กล่าวว่า เมื่อเปรียบเทียบอัตราการ
แพร่ผ่านของแก๊สสองชนิด ภายใต้
ความดันและอุณหภูมิเดียวกัน อัตราการ
แพร่ของแก๊สหนึ่งแปรผกผันกับรากที่
สองของมวลโมเลกุลของแก๊สหรือ
ความหนาแน่นแก๊ส

ตัวอย่างโจทย์

EX1. อัตราการแพร่ของฮีเลียมเป็นกี่เท่าของไนโตรเจน ที่อุณหภูมิ
และความดันเดียวกัน

MW ฮีเลียม = 4, ไนโตรเจน = 28

จากสูตร R1 /R2 = M2/ M1
แทนค่า
RHe/RN2 = 28/ 32
RHe /RN2 = 7/1

ดังนั้น อัตราการแพร่ของฮีเลียมเป็น 7 เท่าของไนโตรเจน

EX1. แก๊ส A จำนวน 10 โมเลกุลหนัก 6.02 x 10 กรัม เคลื่อนที่ในหลอดนำ
แก๊สอันหนึ่งได้ระยะทาง 32 เซนติเมตร ในเวลา 2.0 วินาที แก๊ส B
เคลื่อนที่ในหลอดนำแก๊สเดียวกันนี้ได้ระยะทาง 16 เซนติเมตร ใช้เวล่กี่
วินาที มวลโมเลกุลของแก๊ส B เป็น 100 ถ้าการทดลองนี้ทำที่อุณหภูมิและ
ความกันเดียวกัน

จากสูตร g/MW = N/ 6.02 x 1023
แทนค่า 6.02 x 10-20/MWA = 10/ 6.02 x 1023

MWA = (60.2)2

จากสูตร R1 /R2 = M2/ M1
แทนค่า RA /RB = MWB/ MWA

(32/2)/(16/tB) = 100 / (60.2)2
(32/2)x(tB/16) = 10/60.2

tB = 0.17 s

ดังนั้น แก๊ส B ใช้เวลา 0.17 วินาที

CHEMICAL
KINETICS

ชนิดของปฏิกิริยาเคมี

1.ปฏิกิริยาเนื้อเดียว (homogeneous reaction) ปฏิกิริยาที่สารตั้งต้น
ทุกตัวในระบบอยู่ในสภาวะเดียวกันหรือกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน

2.ปฏิกิริยาเนื้อผสม (hrterogeneous reaction) ปฏิกิริยาที่สารตั้ง
ต้นอยู่ในสภาวะต่างกัน หรือไม่กลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกัน

ความหมายของอัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมี

สารตั้งต้น ผลิตภัณฑ์ กล่าวคือ สารตั้งต้นเมื่อเวลาผ่านไปจะลดลง
(ลดลง) (เพิ่มขึ้น) และผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้น

อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี (R) หมายถึง ปริมาณสารตั้งต้น
หรือ ผลิตภัณฑ์ที่เปลี่ยนไป ในหนึ่งหน่วยเวลา (วินาที, นาที,
ชั่วโมง)

อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมี (R) = ปริมาณสารที่เปลี่ยนแปลง
เวลาที่ใช้

ประเภทของอัตราการเกิด
ปฏิกิริยาเคมี

1. อัตราการเกิดปฏิกิรินาเฉลี่ย (Average rate) หมายถึง ปริมาณขอ
สารใหม่ที่เกิดขึ้น หรือสารตั้งต้นที่ลดลงทั้งหมดในหนึ่งหน่วยเวลา
สมการของปฏิกิริยา สารต้งต้น -> สารผลิตภัณฑ์

Rate = ปริมาณสารใหม่ทั้งหมด หรือ ปริมาณสารตั้งต้นที่ลดลง

ave

เวลาที่ใช้ทั้งหมด

2. อัตราการเกิดปฏิกิริยาในช่วงเวลาหนึ่ง หมายถึง ปริมาณของสารใหม่
ที่เกิดขึ้นหรือสารตั้งต้นที่ลดลงในช่วงเวลานั้นๆ ต่อระยะเลาในช่วงนั้น

Rate = ปริมาณสารใหม่ที่เกิดในช่วงนั้นๆ หรือ ปริมาณสารตั้งต้นที่ลดลงในช่วงนั้นๆ
เวลาที่ใช้ในช่วงนั้นๆ

3. อัตราการเกิดปฏิกิริยาขณะใดขณะหนึ่ง (Instantaneous rate)
หมายถึง ปริมาณสารที่เกิดขึ้นขณะใดขณะหนึ่งในหนึ่งหน่วยเวลาของ
ช่วงนั้น ซึ่งมักจะหาได้ จากค่าความชันของกราฟ ณ เวลาหนึ่ง

slope = Δy = dy
Δx dx

ตัวอย่างโจทย์

EX1. จากสมการ 2N2 O5(g) -> 4No2(g) + O2 (g) การสลายตัวของ N2O5
มีการเปลี่ยนแปลงความเข้มข้นดังนี้

เวลา (S) ความเข้นข้นของ N2O5 (mol/dm3 )
0 5

500 3.5
1000 2.5

1500 1.8

2000 1.2

1.) จงหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเฉลี่ยในช่วงที่เกิดปฏิกิริยาเคมี

Rave= -1/2 x ΔN2O5 /Δt
= -1/2 x (1.2-5)/(2000-0)
= 9.5 x 10-4 M/s

2.) จงหาอัตราการเกิด O2ในช่วงเวลา 0-500 วินาที

-1/2 x ΔN2O5/Δt = ΔO2/Δt

-1/2 x (5-3.5)/(500-0) = ΔO2/Δt
ΔO2 /Δt = 1.5 x 10-3 M/s

3.) จงหาอัตราการสลายตัวของ N2O5 ที่วินาทีที่ 1000

คิดคร่อมช่วงที่ ΔN2O5/Δt = (3.5-1.8)/(1500-500)
500-1000 วินาที = 1.7 x 10-3 M/s

ตัวอย่างโจทย์

EX2. จากปฏิกิริยา A + B -> C เมื่อนำความเข้มข้นของ C ที่เกิดมาเขียน
กราฟเทียบกับเวลาดังรูปจงหาอัตราการเกิดสาร C ณ จุดวินาทีที่ 2 วินาที
ในหน่วย โมล/ลิตร วินาที

m = ΔY/Δx
R = (2-1)/(2-0)

= 0.5 mol/L x S

อัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีและ
ปริมาณสัมพันธ์

การหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเฉลี่ย หาจากสารตัวใดก็ได้ โดยใช้สูตรดังนี้

การหาอัตราการเกิดปฏิกิริยาเคมีเมื่อเปรียบเทียบกับสมการควรให้อยู่ใน
หน่วยของความเข้มข้น (M/s) หรือ (mol/s) เสมอ

ตัวอย่างโจทย์

EX1. ปฏิกิริยา SO2 (g) + 1/2O2 (g) -> SO3(g) พบว่าอัตาการลดลงของ SO
เท่ากับ 0.100 โมลต่อลูกบาศก์เดซิเมตร-วินาที จงคำนวณหา

1.) อัตราการลดลงของ O2
-ΔSO2/Δt = -1/(1/2) x ΔO2 /Δt
0.1 x 1/2 = -ΔO2/Δt
-ΔO2/Δt = 0.05 mol/dm3x s

2.) อัตราการเพิ่มขึ้นของ SO3
-ΔSO2/Δt = ΔSO3/Δt
สัมประสิทธิ์ด้านหน้าเท่ากัน
ดังนั้น ΔSO /Δt = 0.100 mol/dm3 x s

ตัวอย่างโจทย์

EX2. พิจารณาสมการ A + 2B -> 5C + 4D นำสาร A ทำปฏิกิริยากับสาร B
จำนวนหนึ่ง เมื่อเวลาผ่านไป 20 วินาที พบว่ามีสาร C เกิดขึ้น 3 โมล อัตรา
การสลายตัวเฉลี่ยของสาร B ในช่วง เวลา 0 ถึง 20 วินาที มีค่าเป็นกี่mol/s

RC = (8-0)/(20-0)
= 0.4 mol/s

-1/5 ΔC/Δt = -1/2 ΔB/Δt
1/5(0.4)(2) = -ΔB/Δt

ΔB/Δt = 0.16 mol/s

แนวคิดเกี่ยวกับการเกิด
ปฏิกิริยาเคมี

แนวคิดที่ 1
ในการเกิดปฏิกิริยาเคมี อนุภาคสารตั้งต้น ได้แก่ โมเลกุล อะตอม หรือ
ไอออนจะต้องชนกัน การชนกันไม่ได้ทำให้เกิดปฏิกิริยาทุกครั้ง ปฏิกิริยา
จะเกิดขึ้นได้เมื่อ
1.ชนกันในแง่มุมที่เหมาะสม
2.พลังงานในการชนมากพอที่จะสลายพันธะเก่า และสร้างพันธะใหม่
พลังงานที่น้อยที่สุดที่ทำให้อนุภาคสารตั้งต้นชนกันแล้วเกิดปฏิกิริยาได้ =
พลังงานก่อกมมันต์ (พลังงานกระตุ้น , Activztion Energy ; Ea)

แนวคิดที่ 2
ในขณะที่สารตั้งต้นทำปฏิกิริยากัน ก่อนที่สารตั้งต้นจะเปลี่ยนไปเป็น
ผลิตภัณฑ์จะเกิดสารเชิงซ้อนกัมมันต์ เกิดขึ้นชั่วขณะ แล้วสารเชิงซ้อนกัม
มันต์จะสลายให้ผลิตภัณฑ์

ปฏิกิริยาคลายความร้อน

ปฏฺิกิริยาที่มีการใช้พลังงานในการสลาย
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมน้อยกว่า
พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อสร้างแรง
ยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม ทำให้เมื่อสิ้นสุด
ปฏิกิริยาเคมีแล้ว สารจะมีการคายพลังงาน
ออกมามากกว่าพลังงานที่ดูดเข้าไป

ΔH = E products - E reactant ; ΔH มีค่าเป็น ลบ (-)
Ea ไปข้างหน้า = พลังงานสูงสุด - พลังงานสารตั้งต้น
Ea ย้อนกลับ = พลังงานสูงสุด - พลังงานผลิตภัณฑ์

ปฏิกิริยาดูดความร้อน

ปฏฺิกิริยาที่มีการใช้พลังงานในการสลาย
แรงยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอมมากกว่า
พลังงานที่ถูกปล่อยออกมาเพื่อสร้างแรง
ยึดเหนี่ยวระหว่างอะตอม ทำให้เมื่อสิ้นสุด
ปฏิกิริยาเคมีแล้ว สารจะมีการดูดพลังงาน
เข้าไปมากกว่าพลังงานที่คายออกมา

ΔH = E products - E reactant ; ΔH มีค่าเป็น บวก (+)
Ea ไปข้างหน้า = พลังงานสูงสุด - พลังงานสารตั้งต้น
Ea ย้อนกลับ = พลังงานสูงสุด - พลังงานผลิตภัณฑ์

ปฏิกิริยาหลายขั้นตอน

ปฏฺิกิริยาเคมีที่มีหลายขั้นตอน จะทำให้
เกิดกลไกของปฏิกิริยา ที่ซับซ้อนขึ้นและ
ในแต่ละขั้นตอนจะเกิดสารที่ไม่เสถียร
เรียกว่า สารมัธยันตร์ (intermediate)

ขั้นกำหนดอัตรา คือ ขั้นที่เกิดปฏิกิริยาช้าที่สุด จะเป็ยขั้นที่มี Ea มากที่สุด

สารเชิงซ้อนกัมมันต์ คือ สารประกอบใหม่ที่เกิดขึ้นชั่วคราว เมื่อโมเลกุล
ของสารตั้งต้นชนกันอย่างเหมาะสม จากกราฟข้างบน เช่น E,F และ G

สารมัธยันตร์ คือสารที่เกิดขึ้นระหว่างการเกิดปฏิกิริยาแล้วถูกนำไปใช้
เป็นสารตั้งต้นในปฏิกิริยาขั้นต่อไป จากกราฟข้างบน เช่น B และ C

ตัวอย่างโจทย์

EX1. พิจารณากราฟแสดงพลังงานและการดำเนินไปของปฏิกิริยาที่
กำหนดให้ต่อไปนี้

1.) พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา A2+ B2-> 2AB มีค่ากี่กิโลจูล
60-30 = 30 kJ

2.) พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยา 2AB -> A2+ B2 มีค่ากี่กิโลจูล
60-20 = 40 kJ

3.) ปฏิกิริยา 2AB -> A2+ B2เป็นปฏิกิริยาดูดหรือคายพลังงาน กี่กิโลจูล
สุดท้าย - เริ่มต้น ; 30-20 = 10 kJ
เป็นปฏิกิริยาดูดพลังงาน

4.) ปฏิกิริยา A2 + B2 -> 2AB เป็นปฏิกิริยาดูดหรือคายพลังงาน กี่กิโลจูล
สุดท้าย - เริ่มต้น ; 20-30 = -10 kJ
เป็นปฏิกิริยาคายพลังงาน

ตัวอย่างโจทย์

EX2. พิจารณากราฟแสดงพลังงานและการดำเนินไปของปฏิกิริยาที่
กำหนดให้ต่อไปนี้

1.) ปฏิกิริยานี้มีกี่ขั้นตอน 4 ขั้นตอน

2.) ขั้นตอนใดเป็นขั้นกำหนดอัตราการเกิดปฏิกิริยา เพราะเหตุใด
ขั้น B เพราะมี Ea มากที่สุด

3.) X คือพลังงานใด พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาไปข้างหน้า

4.) Y คือพลังงานใด พลังงานก่อกัมมันต์ของปฏิกิริยาไปย้อนกลับ

5.) Z คือพลังงานใด พลังงานของปฏิกิริยา

6.) A B C และ D คือสารใด สารเชิงซ้อนกัมมันต์

7.) L M และ N คือสารใด สารมัธยันต์


Click to View FlipBook Version