คำนำ
บนั ทึกความทรงจา ที่สอดแทรกความคดิ เห็นส่วนตวั พร้อมเน้ือหาอา้ งอิง
ทางหลกั ธรรม เพ่ือส่งเสริมศรัทธาปสาทะให้เจริญงอกงามในทางสติปัญญา อนั
นามาซ่ึงความรู้ ความเขา้ ใจในความเป็ นไปของชีวิตและโลกมากยิ่งข้นึ โดยลาดบั
เหตุการณ์เรื่องราวน้ีผ่านไปประมาณ 26 ปี แลว้ แต่ยงั คงอยู่ในความทรงจาอย่าง
ชัดเจน ก็เน่ืองดว้ ยเป็นเรื่องที่ยงั ความปี ติสุขประทบั ใจ อนั ยงั คงส่งผลให้มีพลงั ใน
การประพฤติปฏิบตั ิธรรมอยา่ งต่อเนื่อง ดว้ ยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ก็
เนื่องด้วยเหตุการณ์คร้ังน้ันในอดีตที่ประสบพบพานมาน้ัน เป็ นเร่ืองอัศจรรยท์ ่ี
เหนือความคิดจินตนาการอย่างธรรมดา ๆทัว่ ไป นับเป็ นคร้ังหน่ึงที่สาคัญโดย
พ้ืนฐานของชีวิตท่ีพลิกผนั เปล่ียนแปลงในทัศนะมุมมอง ความคิด วิถีชีวิต
พฤติกรรม ที่ผิดๆแบบเดิมๆหลายๆอย่างไปได้อย่างเชิงแจ้งประจกั ษ์ ทาให้เกิด
ความสารวมระวงั ทางกาย วาจา และใจมากยิง่ ข้นึ โดยเฉพาะในเร่ืองพระธาตุ ที่ว่า
เสด็จไปมาได้ เพิ่มจานวนได้ หายไปได้ เป็ นต้น ท้ังๆที่ก็อยู่ในแวดวงการศึกษา
ปฏิบัติธรรม และได้ฟังได้อ่านมาก็มาก แต่โดยลึกๆในใจแล้วก็ยังคงสงสัย
คลางแคลงใจอยมู่ ิใชน่ อ้ ย ซ่ึงกไ็ มใ่ ช่เรื่องแปลกเพราะปัญญาในระดบั สุตมยปัญญา
และจินตามยปัญญาน้ันก็ยงั คงอยู่ในระดับท่ียงั ไม่มีประสบการณ์ตรง ซ่ึงต่างจาก
การฝึ กฝนปฏิบตั ิทเ่ี รียกว่า ภาวนามยปัญญา อนั เป็ นกระบวนการพฒั นาจิตในดา้ น
สมาธิและปัญญา โดยเริ่มจากการพฒั นาสติ สัมปชัญญะ และความเพียร อย่าง
ต่อเนื่องในอารมณ์คอื กาย เวทนา จิต และธรรม ท่ีเรียกว่า สติปัฏฐาน 4 นน่ั เอง จึง
เป็ นการรูส้ ภาวธรรมตามความเป็นจริง หาใช่อยู่บนการท่องจาหรือคิดพจิ ารณาหา
เหตผุ ลเพียงอยา่ งเดียว
แม้แต่เร่ื องวิทยาศาสตร์ทางรู ปธรรมหรื อวัตถุธรรมก็ยังต้องอาศัย
กระบวนการพฒั นาฐานขอ้ มูล องคค์ วามรู้ พร้อมไปกบั การประดิษฐ์คดิ คน้ พฒั นา
ต่อยอดสร้างนวตั กรรมในดา้ นเคร่ืองมืออุปกรณ์ไปอย่างไม่หยุดย้งั และอดทนต่อ
การพสิ ูจน์ ดงั ตวั อยา่ งเช่น การพฒั นากลอ้ งจุลทรรศน์ ใชเ้ วลาประมาณ 400 ปี และ
จากกลอ้ งจุลทรรศน์แบบใช้แสง (optical microscopes) จนมาถึงกลอ้ งจุลทรรศน์
อเิ ลก็ ตรอน (electron microscopes) ไดเ้ ปิ ดโลกความรูใ้ หม่ ๆ เกย่ี วกบั วตั ถทุ ีม่ ีขนาด
เล็กมากซ่ึงมองดว้ ยตาเปล่าไม่เห็น ทาให้เกิดความเจริญก้าวหนา้ ไปอย่างมากใน
ดา้ นวิทยาศาสตร์และวทิ ยาศาสตร์การแพทย์ ทาให้เห็นในสิ่งท่ีไมเ่ คยเหน็ รูใ้ นสิ่งที่
ไมเ่ คยรู้ ท้งั ๆที่ส่ิงเหล่าน้ีก็อยู่ท่ีตวั เราและรอบ ๆตวั เรานนั่ เอง แตเ่ ร่ืองวิทยาศาสตร์
ทางนามธรรมหรือทางจติ เป็นเร่ืองท่ีละเอียดออ่ นลกึ ซ้ึงย่ิงกว่ามากๆ หาใช่เร่ืองทีจ่ ะ
ทาการสรุปกนั โดยการคาดเดา อนุมาน หรือแมแ้ ต่การศกึ ษาวจิ ยั คน้ ควา้ ทดลองกนั
แบบทวั่ ๆไปได้
และหากมองไปใหช้ ดั จะเห็นว่ากระบวนการเรียนรูแ้ ละพฒั นาในทางชีวิต
และโลกหรือธรรมในฝ่ายรูปธรรมและนามธรรม น้นั หาที่สุดมไิ ด้ เพราะเป็นสังขต
ธรรม ท่ีตกอยู่ภายใตส้ ามญั ลกั ษณะ ที่ชื่อว่าพระไตรลกั ษณ์ คือ อนิจจตา ทุกขตา
อนัตตา ซ่ึงก็นามาสู่ประเด็นท่ีสาคัญโดยพ้ืนฐานต่อชีวิต ที่ควรค่าแก่การนามา
พิจารณาวา่ จะนาชีวิตไปสู่หนทางไหน จะยงั คงอยู่ในวงั วนของวฏั สงสาร หรือจะ
ไปสู่หนทางแห่งความพ้นทุกข์ได้ จึงขอยกพระไตรปิ ฎก เล่มท่ี 19 พระ
สุตตนั ตปิ ฎก เล่มท่ี 11 สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค สีสปาปรรณวรรคท่ี 4 สีสปา
สูตร เปรียบสิ่งทีต่ รสั รูม้ ีมากเหมือนใบไมบ้ นตน้ มาแสดงดงั น้ีคอื ...สมยั หน่ึง พระผู้
มีพระภาคประทบั อยู่ ณ สีสปาวนั ใกลเ้ มืองโกสัมพี คร้ังน้ัน พระผูม้ ีพระภาคทรง
ถือใบประดู่ลาย 2-3 ใบดว้ ยฝ่ าพระหัตถ์ แลว้ ตรัสเรียกภิกษุท้งั หลายมา แลว้ ตรัส
ถามว่า ดูกรภิกษทุ ้งั หลาย เธอท้งั หลายจะสาคญั ความขอ้ น้นั เป็นไฉน ใบประดูล่ าย
2-3 ใบที่เราถือด้วยฝ่ ามือกบั ใบที่บนตน้ ไหนจะมากกว่ากัน? ภิกษุท้งั หลายกราบ
ทูลว่า ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ ใบประดู่ลาย 2-3 ใบที่พระผูม้ ีพระภาคทรงถือดว้ ยฝ่า
พระหัตถ์มีประมาณน้อย ที่บนตน้ มากกว่า พระเจ้าขา้ ...พระพุทธเจา้ ตรัสว่า อย่าง
น้นั เหมือนกนั ภิกษุท้งั หลาย ส่ิงทีเ่ รารู้แลว้ มิได้บอกเธอท้งั หลายมีมาก กเ็ พราะเหตุ
ไรเราจึงไม่บอก เพราะสิ่งน้ันไม่ประกอบดว้ ยประโยชน์ มิใช่พรหมจรรยเ์ บ้ืองตน้
ย่อมไม่เป็ นไปเพื่อความหน่าย ความคลายกาหนดั ความดบั ความสงบ ความรู้ยงิ่
ความตรัสรู้ นิพพาน เพราะเหตนุ ้นั เราจงึ ไมบ่ อก...ดูกรภกิ ษุท้งั หลาย ส่ิงอะไรเราได้
บอกแลว้ เราได้บอกแลว้ ว่า น้ีทุกข์ ...น้ีทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ก็เพราะเหตุไรเรา
จึงบอก เพราะส่ิงน้นั ประกอบดว้ ยประโยชน์ เป็ นพรหมจรรยเ์ บ้ืองตน้ ย่อมเป็ นไป
เพ่ือความหน่าย ... นิพพาน เพราะฉะน้นั เราจึงบอก ดกู รภกิ ษุท้งั หลาย เพราะฉะน้นั
แหละ เธอท้งั หลายพึงกระทาความเพียรเพ่ือรู้ตามความเป็ นจริงว่า น้ีทุกข์ ฯลฯ น้ี
ทุกขนิโรธคามินีปฏปิ ทา
การนาเร่ืองราวน้ีมาเปิ ดเผยก็เป็นเพียงการทาหนา้ ท่ีอยา่ งตรงไปตรงมาใน
ส่ิงท่ีเป็นความจริงทเี่ ป็นประสบการณต์ รง อย่างนอ้ ยก็เป็นหน่ึงในประจกั ษพ์ ยานที่
ให้ได้รับรู้ไวว้ า่ มปี รากฏการณเ์ หล่าน้ีเกดิ ข้ึนจริง ส่วนจะเช่ือหรือไมเ่ ชื่อก็ขอปลอ่ ย
ให้เป็ นอิสระทางความคิด เปิ ดโอกาสแห่งการเรี ยนรู้ พัฒนาดุลยพินิจด้วย
กระบวนการเรียนรูแ้ ละพฒั นาตลอดชีวิต และไม่วา่ จะอยา่ งไรกต็ าม สิ่งเหลา่ น้ีเป็ น
ปัจจตั ตงั รู้ได้เฉพาะตน ซ่ึงก็ดว้ ยความหลากหลาย และไม่สม่าเสมอกันดว้ ย ศีล
สมาธิ และปัญญา อนั นามาซ่ึงความหลากหลายในระดบั ของภมู ิจติ ภูมิธรรม และ
ภูมปิ ัญญา และนี่คือหน่ึงในความจริงที่ตอ้ งยอมรบั ดว้ ยความเคารพซ่ึงกนั และกนั
หากเน้ือหาในบันทึกความทรงจาน้ีจกั เกิดประโยชน์บ้าง ในอันท่ีจกั
ส่งเสริมกุศลธรรมให้เจริญย่ิงๆข้ึนไปได้ ก็ขอให้เป็ นการน้อมกราบสักการะดว้ ย
กตญั ญูกตเวทิตาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ ครูอาจารย์ และผูม้ ีส่วน
เก่ียวข้องทุกท่าน ท้งั ขอต้งั จิตอุทิศส่วนบุญกุศลน้ีให้แก่พ่อแม่ บรรพชน ครูบา
อาจารย์ และเจา้ กรรมนายเวร ตลอดจนสรรพสัตวท์ ้งั หลายท่เี ป็นเพื่อนร่วมทุกขเ์ กิด
แก่เจ็บตายดว้ ยกนั ท้งั หมดท้งั ส้ิน ให้ท่านท้งั หลายมีความสุข มีความเจริญในกาลงั
ทรัพย์ กาลังกาย กาลังใจ กาลังสติปัญญา กาลงั ความสามารถ กาลงั แห่งความดี
ตราบจนบรรลซุ ่ึง มรรค ผล และนิพพาน ในทสี่ ุดน้ีเทอญ
สมชยั วเิ ศษมงคลชยั
22 มิถนุ ายน 2564
สำรบัญ หน้ำ
ความเป็ นมา 2
แนวคิด 4
ดาเนินการ 8
อญั เชิญพระธาตุ 11
ทาแผน่ ประวตั ิ 11
พรอ้ มถวาย 12
อศั จรรยพ์ ระธาตุเสด็จ 13
บทสรุป 16
พระเจ้ำห้ำพระองค์
อัศจรรย์พระธำตุเสด็จ
ประวัติกำรสร้ำง
พระเจ้ำ 5 พระองค์ 3 สมยั
วดั กำสำ ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน จงั หวดั เชียงรำย
1
ควำมเป็ นมำ
ในท่ามกลางความเป็ นไปของชีวิตและโลกย่อมมีโอกาสเกิดเหตุการณ์
เร่ืองราวที่คาดไมถ่ ึงได้ ซ่ึงเร่ืองน้ีก็มีอยู่วา่ ประมาณเดือนพฤศจิกายน ปี พ.ศ.2537
เพื่อนชื่อ ถนอมศกั ด์ิ เสรีวิชยสวสั ด์ิ ซ่ึงอยู่ท่ีแม่จนั จงั หวดั เชียงรายได้โทรศพั ทม์ า
ปรึกษาว่า ตนกับคณะได้ร่วมกันเป็ นเจ้าภาพในการที่จะสร้างพระพุทธรูป 5 องค์
ดงั ตอ่ ไปน้ีคอื 1) พระพทุ ธรูปสมยั เชียงแสน หนา้ ตกั 80 นิ้ว ฐานบวั จานวน 1 องค์
2) พระพุทธรูปสมยั สุโขทยั หนา้ ตกั 72 น้ิว ฐานบวั จานวน 2 องค์ 3) พระพุทธรูป
สมยั อทู่ อง หนา้ ตกั 60 นิ้ว ฐานหนา้ กระดานแอน่ จานวน 2 องค์ โดยตนเองรบั เป็ น
เจา้ ภาพในการสรา้ งพระพุทธรูปสมยั เชียงแสน ส่วนทเี่ หลอื อกี 4 องคก์ ม็ ีผทู้ ร่ี บั เป็ น
เจา้ ภาพในแต่ละองคเ์ ช่นกนั แต่วนั เวลากผ็ า่ นมานานมากแลว้ กย็ งั ไม่สามารถสร้าง
ไดเ้ ลย แต่ละท่านท่ีรับเป็ นเจ้าภาพร่วมกนั ก็เงียบ ๆไป ตนจึงเกิดความวิตกกงั วล
เพราะวา่ รับปากพระคุณเจา้ พระครูสุภทั รบุญเขต (บญุ ยงั สงั วฑุ โฒ) เจา้ อาวาส วดั
กาสา ตาบลแม่จนั อาเภอแม่จนั จงั หวดั เชียงราย ไวว้ ่าจะสร้างให้เสร็จโดยเร็ว จึง
ตอ้ งการทีจ่ ะดาเนินการในเร่ืองน้ีใหแ้ ลว้ เสร็จ แต่กย็ งั ไม่รูว้ ่าจะทาอยา่ งไรตอ่ ไป
2
ตามประวตั ิการสร้างวดั กาสา โดยสงั เขปกค็ ือ ครูบาอน่ิ แกว้ อภิชโย ธุดงค์
มาจากบา้ นแม่สา จงั หวดั เชียงใหม่ ท่านเห็นว่าเหมาะสมต่อการเป็ นสถานปฏิบัติ
ธรรม ได้นาคณะศรทั ธาสรา้ งสานกั สงฆป์ ่ ากาสาข้ึน ด้วยเหตุอยู่ในดงของไมฉ้ าฉา
อนั อุดมด้วยนกกา และท่านก็ได้มาจากบา้ นแม่สา ต่อมาได้รับการพฒั นาเจริญข้ึน
โดยลาดับจนถึงปี พ.ศ.2424 ได้รับการแต่งต้ังเป็ นวัดกาสา ซ่ึงในสมัยน้ันมี
พระพุทธรู ปก่ออิฐถือปูนเป็ นพระประธาน เมื่อกาลเวลาผ่านไปร้อยกว่าปี
พระพุทธรูปก็ชารุดหกั พงั ลง และพบว่าภายในองคพ์ ระมีหัวใจ ซ่ึงภายในบรรจุอญั
มณี แก้วแหวนเงินทอง เป็ นไปตามประเพณีของทางเหนือ ท่านเจ้าอาวาสองค์
ปัจจบุ นั จงึ ดาริทจี่ ะให้มีการสร้างพระพุทธรูป 5 องคน์ ้ีข้ึนมา
3
แนวคดิ
ในคร้ังน้นั ไดม้ ีโอกาสกราบเรียนปรึกษาท่านเจา้ อาวาสโดยผา่ นทางเพ่อื นท่ี
เชียงรายว่า ขอเสนอแนวความคิดในการสร้างพระพุทธรูป และท่านเจา้ อาวาสก็
เมตตาตามที่เสนอ ซ่ึงแนวคดิ ก็เป็นไปดงั ต่อไปน้ีคอื
การสร้างพระพทุ ธรูป 5 องคน์ ้ี มีความหมายถงึ พระพทุ ธเจา้ หา้ พระองคซ์ ่ึง
ในพระพุทธศาสนา คมั ภีร์พุทธวงศ์ แห่งขุททกนิกาย พระสุตตนั ตปิ ฎก กล่าวว่า
“กัปปัจจุบนั คือ ภัทรกัป เป็ นกัปที่มีพระพุทธเจา้ อุบัติข้ึน 5 พระองค์คือ พระกกุ
สนั ธะ พระโกนาคมนะ พระกสั สปะ พระโคดม และพระศรีอารยเมตไตรย”
ส่วนกัปจะยาวนานแค่ไหน ก็มีการกล่าวในพระไตรปิ ฎกเล่มที่ 16 พระ
สุตตนั ตปิ ฎกเล่มที่ 8 [ฉบบั มหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย นิทานวรรค 6 สาสปสูตร ว่า
ดว้ ยเมลด็ ผกั กาด ดงั น้ี พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ... เขตกรุงสาวตั ถี ...คร้งั น้นั ภกิ ษุ
4
รูปหน่ึงได้เขา้ ไปเฝ้าพระผูม้ ีพระภาคถึงท่ีประทบั ฯลฯ นงั่ ณ ที่สมควร ได้ทูลถาม
พระผูม้ ีพระภาคดงั น้ีว่า “ขา้ แต่พระองคผ์ ูเ้ จริญ กปั หน่ึงนานเพียงไรหนอ” พระผูม้ ี
พระภาคไดต้ รัสตอบวา่ “ภิกษุ กัปหน่ึงนานนกั หนา มิใช่เร่ืองง่ายทจี่ ะนบั กปั น้นั ว่า
เทา่ น้ีปี ฯลฯ หรือว่าเทา่ น้ี 100,000 ปี ” “พระองคอ์ าจอปุ มาไดไ้ หม พระพทุ ธเจา้ ขา้ ”
“อาจอปุ มาได้ ภกิ ษุ เปรียบเหมอื นนครที่สร้างดว้ ยเหล็ก [ในทนี่ ้ีหมายถงึ กาแพงของ
นครน้ีทาดว้ ยเหล็ก (ส.นิ.อ. 2/129/178)] มีความยาว 1 โยชน์ กวา้ ง 1 โยชน์ สูง 1
โยชน์ เต็มดว้ ยเมลด็ ผกั กาด รวมกนั เป็นกลุม่ กอ้ น บรุ ุษพงึ หยิบเมลด็ ผกั กาดออกจาก
นครน้นั 100 ปี ต่อ 1 เมล็ด เมล็ดผกั กาดกองใหญ่น้ันพึงหมดสิ้นไป เพราะความ
พยายามน้ียงั เร็วกวา่ ส่วนกปั หน่ึง ยงั ไม่หมดสิ้นไป กปั นานนกั หนาอย่างน้ี บรรดา
กปั ทน่ี านนกั หนาอยา่ งน้ี เธอไดท้ อ่ งเท่ยี วไป มใิ ช่ 1 กปั มใิ ช่ 100 กปั มใิ ช่ 1,000 กปั
5
มิใช่ 100,000 กปั ขอ้ น้นั เพราะเหตุไร เพราะวา่ สงสารน้ีมีเบ้ืองตน้ และเบ้ืองปลายรู้
ไม่ได้ ฯลฯ ควรเพ่ือหลุดพน้ จากสงั ขารท้งั ปวง”
ส่วนพระพุทธรูปศิลปะ 3 สมยั กม็ ีแนวคิดทีห่ ลากหลาย ซ่ึงเก่ยี วขอ้ งกบั คติ
ความเช่ือ พร้อมท้งั ภูมิปัญญาความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในแต่ละยุค
สมยั เป็ นการส่ือความหมายในความสัมพนั ธ์ระหว่างธรรมในฝ่ ายนามธรรมกับ
ธรรมในฝ่ ายรูปธรรม เพ่ือให้เกิดศรัทธาปสาทะเจริญงอกงามในกุศลธรรม โดย
ส่วนตวั ในขณะน้ันได้เกิดทัศนะมุมมองผุดข้ึนมาและได้ให้ความหมายดังน้ีคือ
พระพุทธรูปเชียงแสน สื่อถึง ความเจริญรุ่งเรืองมง่ั คงั่ อุดมสมบูรณ์ พระพุทธรูป
สุโขทยั ส่ือถงึ วิมตุ ติสุข ส่วนพระพุทธรูปอูท่ อง ส่ือถงึ อานาจ พลงั บารมี เป็นเพยี ง
หน่ึงในทศั นะความคดิ เท่าน้นั แต่ไม่ว่าจะอยา่ งไรก็ตาม พุทธคุณพ้ืนฐานก็คือ พระ
ปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระกรุณาธิคุณ เม่ือเห็นพระพุทธรูปแลว้ น้อม
ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจา้ ก็ถือเป็ น พุทธานุสติ เป็ นอารมณ์ในการพฒั นาจิตที่
เรียกวา่ ภาวนา คอื การฝึกฝนอบรมจิตให้เกิดความเจริญท้งั ดา้ นสมาธิ (สมถภาวนา)
และปัญญา (วปิ ัสสนาภาวนา)
6
พระพุทธรูปท้งั 5 องค์ น้ีเมื่อสร้างเสร็จแลว้ ก็จะทาการปิ ดทองคาเปลวแท้
เมือ่ อยใู่ นพระอโุ บสถจะดสู ว่างไสว ก็ดว้ ยการอุบตั ขิ ้นึ ขององคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั
พุทธเจา้ ยงั ความสวา่ งไสวไปทว่ั หม่ืนโลกธาตุแสนโกฏิจกั รวาล เปิ ดท้งั 3 โลกธาตุ
พร้อมท้งั แผ่พระเมตตากรุณาต่อสรรพชีวติ และหากสัตวโ์ ลกท่มี ีธุลีในดวงตานอ้ ย
เมอ่ื ไดฟ้ ังธรรม จกั รู้แจง้ แทงตลอดบรรลุมรรคผลนิพพานได้
ในขณะเดียวกนั แนวคิดการร่วมสร้างพระพุทธรูปท้งั 5 องคน์ ้ีก็คือ จิตเป็น
ใหญ่ จิตเป็ นประธาน สาเร็จแลว้ ดว้ ยจิต ดว้ ยเหตุน้ีทุกท่านที่ร่วมบุญกศุ ลน้ีจึงเป็น
ประธานแลว้ ดว้ ยใจของแต่ละท่าน ความเป็ นเจ้าภาพประธานจึงหาได้อยู่ท่ีร่วม
ปัจจยั เงินทองมากหรือนอ้ ย หรือแมไ้ มม่ ปี ัจจยั เลย แต่หากต้งั จติ ร่วมอนุโมทนาบุญ
แลว้ ไซร้ก็ย่อมได้รบั อานิสงส์ผลบุญดว้ ยกุศลเจตนาอนั สมควรแก่ธรรมน้นั ๆแลว้
โดยสภาวธรรม
7
เมอื่ มแี นวคดิ เช่นน้ีแลว้ แนวทางการดาเนินการจึงให้มเี จา้ ภาพอปุ ถมั ภ์ เป็น
คณะศรัทธาท่ีเป็ นกัลยาณมิตรที่จกั ช่วยเก้ือกูลกนั ให้งานบุญกุศลน้ีสาเร็จได้ และ
จากการต้งั กศุ ลเจตนาเช่นน้ี ทาให้มีประชาชนทว่ั ๆไปมาเขา้ ร่วมมอบปัจจยั ในการ
ดาเนินการสรา้ งพระเจา้ 5 พระองค์ 3 สมยั น้ีจานวนมาก ทาใหง้ านบุญกศุ ลน้ีสาเร็จ
ไดโ้ ดยง่าย โดยเร็ว อย่างมคี ุณภาพ สมความปรารถนาของทุกฝ่ายท่ีเก่ียวขอ้ ง พร้อม
ดว้ ยปี ติสุข และความเจริญงอกงามในธรรมดว้ ย ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา
โดยถว้ นทวั่ กัน ซ่ึงจะเห็นไดว้ ่ากระบวนการบุญกุศล เร่ิมต้งั แต่คิด ดาเนินการ จน
สาเร็จ และหลงั จากน้ันก็ยงั ส่งผลในทุกคร้ังท่หี วนคิดถึง ซ่ึงเป็ นสัญญาอารมณอ์ นั
ยงั คงเป็นปัจจยั แก่กุศลจติ ไดก้ ็ดว้ ยเหตุท่ีประทบั ไวแ้ ลว้ ท่จี ิตนน่ั เอง
ดำเนนิ กำร
เม่ือแนวคิดการสร้างเป็ นที่ชัดเจนแลว้ ก็ทาการสารวจราคาการสร้าง โดย
เร่ิมท่ีแถวเสาชิงช้า และโรงหล่อพระต่าง ๆ ราคาท่ีได้ก็ประมาณ 1.5 ถึง 1.8 ลา้ น
บาท ในที่สุ ดก็ไปที่โรงหล่อพระ ต้ังอยู่ท่ีรอยต่อจังหวัดสมุทรสาครกับ
8
กรุงเทพมหานคร ไดพ้ ูดคุยแลกเปล่ียนขอ้ มูลและปรึกษาหารือ ซ่ึงทางเจ้าของโรง
หล่อก็บอกว่าต้งั แต่ทาโรงหล่อมา ยงั ไม่เคยหล่อพระพุทธรูปพร้อมกนั ท้งั 5 องค์
ตามแนวคิดน้ีเลย และแสดงความประสงคว์ ่าตอ้ งการร่วมบุญดว้ ย โดยขอคดิ ราคา
การสร้าง 8 แสนบาท เป็ นการหล่อแบบโบราณ พิมพ์สุก คือหล่อแบบท้งั องค์ เน้ือ
ทองเหลอื ง ปิ ดทองคาเปลวแท้ พรอ้ มส่งให้ถงึ ที่ โดยกาหนดเสร็จทนั พธิ ีถวายในวนั
เสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ.2538 นบั เป็นเร่ืองทเี่ หนือความคาดหมาย กค็ อื 1) ไดเ้ จา้ ของ
โรงหล่อพระมาร่วมบุญ ด้วยค่าดาเนินการจดั สร้างอนั เป็ นท่ีพอใจของทุกฝ่ าย 2)
วตั ถุดิบ ข้นั ตอน วิธีการสรา้ งพระพุทธรูป เป็ นไปดว้ ยคณุ ภาพ และการบริการดว้ ย
น้าใจ พร้อมท้งั ให้ความรู้ สร้างความเขา้ ใจ อย่างซ่ือสัตย์ ตรงไปตรงมา ซ่ึงเร่ืองน้ี
ตอ้ งเขา้ ใจวา่ ทางเราไม่มีความรู้ใด ๆเลยในเร่ืองการหล่อพระ 3) ระยะเวลาในการ
สร้างรวดเร็วทนั ใจเพียงประมาณ 5 เดือนเท่าน้ัน นับจากกลางเดือนพฤศจิกายน
2537 จนเสร็จเรียบร้อยพร้อมประกอบพิธีถวายในวนั ที่ 15 เมษายน 2538
และแลว้ ก็มาถึงพิธีเททองหล่อ ในส่วนพระเกตุมาลารัศมีเปลว ท้งั 5 องค์
พร้อมกันในวนั องั คารท่ี 14 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ.2538 ซ่ึงตรงกับวนั มาฆบูชา มีการ
ประกอบพิธีบวงสรวงสังเวยส่ิงศกั ด์ิสิทธ์ิท้งั หลายแบบทากนั เอง โดยศรัทธาญาติ
9
สนิทมิตรสหายมาร่วมพิธีกนั ดว้ ยการแต่งกายชุดขาว สวดมนต์ตามบทสวดที่แจก
ให้ และในลาดับต่อมาพระสงฆ์ 9 รูป สวดเจริญชยั มงคลคาถา พร้อมแผ่เมตตา
ภาวนา ในขณะทก่ี าลงั เททองใส่ในเบา้ หลอม หลงั จากน้นั ก็ถวายภตั ตาหารเพลแด่
พระสงฆ์ และพระสงฆส์ วดอนุโมทนากถา เป็นอนั เสร็จพิธี
ก่อนท่ีจะมาถึงวนั ทาพิธีเททองหล่อน้ันทางเจา้ ของโรงหล่อไดแ้ นะนาว่า
ควรทจ่ี ะเชิญพราหมณม์ าทาพธิ ีบวงสรวงตามข้นั ตอนปกตทิ ี่ทาโดยทว่ั ไป ความคดิ
ในคร้ังน้ันก็ผุดข้ึนมาว่า น่าจะทากันเองไดด้ ้วยกุศลเจตนา น้อมกราบอาราธนา
อานุภาพพระรัตนตรัย อานุภาพบิดรมารดาครูอาจารย์ และทวยเทพสัมมาทิฏฐิ
ท้งั หลายมาชว่ ยให้พธิ ีน้ีสาเร็จไดด้ ว้ ยพลงั บุญ จึงเป็นทม่ี าของการทาพธิ ีแบบกนั เอง
10
อญั เชิญพระธำตุ
ในระหว่างที่รอเวลาท่ีจะถึงวนั ประกอบพิธีถวายในเดือนเมษายนน้ัน มี
โอกาสได้ดูรายการตามไปดู ซ่ึงกาลงั สัมภาษณ์คุณหญิงสุรีพนั ธุ์ มณีวตั เรื่องพระ
ธาตุ ณ ทีบ่ า้ นของท่านทแี่ ถวถนนลาดพร้าว กรุงเทพฯ ทาให้เกดิ แรงบนั ดาลใจที่จะ
อญั เชิญพระธาตุเพอ่ื ไปบรรจใุ นองคพ์ ระพุทธรูป จึงโทรศพั ทต์ ิดต่อไปยงั คณุ หญิงฯ
ได้พูดคุยพร้อมแจ้งความประสงคแ์ ละนัดหมายไปพบท่านท่ีบา้ น เมื่อถึงวนั นดั ก็
เดินทางไปที่บา้ นทา่ น ท่านให้ความเมตตากรุณามาก โดยพาชมพระธาตุต่าง ๆท้งั
พระบรมสารีริกธาตุและพระอรหันตธาตุ พร้อมท้งั กราบนมสั การในคุณของพระ
รัตนตรัย หลงั จากน้นั คณุ หญิงฯไดม้ อบพระธาตใุ ห้ 8 องค์ ลกั ษณะสัณฐานเมลด็ ถวั่
สีขาวอมเหลืองดั่งงาช้าง และได้อัญเชิญบรรจุในผอบทองเหลืองที่ได้เตรียมไป
พร้อมดว้ ย นบั เป็นเร่ืองอนั เป็นสิริมงคลอยา่ งยง่ิ
ทำแผ่นประวัติ
การเตรียมการก่อนท่ีจะประกอบพิธีถวาย นอกจากเร่ืองอญั เชิญพระธาตุ
แลว้ ยงั มีการทาแผ่นประวตั ิ พร้อมรายนามผูร้ ่วมการสร้างพระเจ้าห้าพระองค์
จานวน 6 แผ่น แผ่นประวตั ิคือเพลทแม่พิมพ์ที่ทาจากอลูมิเนียมหรือสังกะสี ซ่ึง
ไดร้ บั การแนะนาและร่วมบุญทาให้ โดยเพ่อื นคอื อาจารยส์ มบรู ณ์ สุขะวณิช ซ่ึงเป็น
อาจารย์ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั ในสมยั น้นั แลว้ นามามว้ นเพือ่
บรรจุในองค์พระท้งั 5 องค์ และอีก 1 แผ่นใส่กรอบต้ังไว้ท่ีพระอุโบสถเพื่อให้
สาธารณชนไดท้ ราบความเป็ นมา อนั จกั ยงั เป็ นอารมณ์ทเ่ี ป็ นปัจจยั แก่กศุ ลจติ กศุ ล
ธรรมไดท้ ุกคร้ังทีไ่ ดอ้ ่านไดเ้ หน็ และไดอ้ นุโมทนาบุญ ณ ปัจจุบนั น้นั และสืบเน่ือง
ตอ่ ๆไปอยา่ งเป็นอเนกอนนั ต์
11
พร้อมถวำย
เมื่อพระพุทธรูปท้งั 5 องค์ ประดิษฐาน พร้อมท้งั ติดต้งั ฉัตรทองเหลืองฉลุ
ลายเป็ นท่ีเรียบร้อยแล้ว ณ พระอุโบสถ วัดกาสา จึงได้จัดนาคณะศรัทธาจาก
กรุงเทพฯ 1 คนั รถบสั เต็ม เดินทางข้ึนไปจงั หวดั เชียงราย ในวนั พุธท่ี 12 เมษายน
พ.ศ.2538 โดยมีการนาเท่ียวสถานที่ต่าง ๆ เช่น ดอยแม่สลอง, ตาหนกั สมเด็จย่า,
นมสั การพระธาตุดอยตุง, บา้ นถ้า แม่สาย, สามเหล่ียมทองคา, เชียงแสน, วดั พระ
ธาตผุ างาม เป็นตน้ โดยในช่วงคนื ท่ี 12 ถึง 13 เมษายน พกั คา้ งคืนที่ลานทองรีสอร์ท
ส่วนคนื วนั ที่ 14 เมษายน พกั คา้ งคืนทว่ี ดั กาสา
12
อัศจรรย์พระธำตเุ สด็จ
วนั เสาร์ท่ี 15 เมษายน พ.ศ.2538 เป็ นวนั ประกอบพิธีถวายพระพุทธรูป 5
พระองค์ ศิลปะ 3 สมยั ซ่ึงวนั น้ีถือเป็ นวนั พญาวนั ประเพณีปี ใหม่เมืองถือเป็ นวนั
เถลิงศกเปลี่ยนศกั ราชเร่ิมตน้ ปี ใหม่ มีการทาบุญทางศาสนา จึงถือเป็ นโอกาสอนั
เป็ นมงคล ในช่วงเช้าจึงเตรียมการต้งั โต๊ะหมู่บูชาหนา้ พระอุโบสถ เพื่อจะอญั เชิญ
พระธาตุใหผ้ ทู้ ศ่ี รทั ธาได้สรงน้าพระธาตุ ก่อนทจี่ ะทาการบรรจุในองคพ์ ระพุทธรูป
ซ่ึงพวกเราประมาณ 4 คนได้น่งั ตอ่ หนา้ พระพุทธรูป ผมจึงทาการอธิษฐานจิต และ
ทาการหมุนเปิ ดฝาผอบทองเหลือง ในขณะน้ันรบั รู้ถึง คลื่นกระแสมาแรงมาก ผม
บนศีรษะและขนลุกซู่ พร้อมท้งั ท่ีลาแขนก็ข้ึนเป็ นตุ่มนูนลกั ษณะเป็ นเม็ดๆข้ึนมา
อย่างชัดเจน คร้ันฝาเปิ ด ในช่ัวพริบตา ปรากฏว่าจานวนพระธาตุเพ่ิมฟูข้ึนมาเต็ม
ผอบ ซ่ึงดงั ที่กล่าวมาก่อนหนา้ น้ีแลว้ วา่ ไดอ้ ญั เชิญพระธาตุมาแค่ 8 องค์เท่าน้ัน แต่
ในขณะน้ีจานวนพระธาตเุ ตม็ ผอบข้นึ มาอย่างอศั จรรย์ โดยในช่วงแรกจะมลี กั ษณะ
เป็นองคเ์ ยิ้มเกาะกมุ ชุ่มน้าเลก็ นอ้ ย นี่คือปรากฏการณท์ ่เี กดิ ข้นึ จริง ซ่ึงเป็นเรื่องยากท่ี
จะเขา้ ใจ เป็ นเรื่องท่ีละเอียดอ่อน หากนามาเสนอโดยท่ีมิไดท้ าความเขา้ ใจกนั ใน
ระดบั หน่ึงแลว้ อาจก่อใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจผดิ อนั จกั นาไปสู่อกุศลจติ ได้ จงึ เป็นเร่ืองที่
ทา้ ทาย แต่จะอย่างไรก็ตามก็ขอนอ้ มรับต่อคาวพิ ากษว์ จิ ารณ์ในทางสาธารณะโดย
ดุษฎี ก็ด้วยเช่ือมนั่ ในกศุ ลเจตนา โดยมิได้แสวงหาลาภยศสรรเสริญใดๆ และมิได้
คาดหวงั ว่าจะตอ้ งเช่ือหรือไม่เช่ือ แต่เป็นการแสดงความเคารพต่อความจริง เพราะ
เกิดข้ึนจริง จึงเป็ นการบนั ทึกเหตุการณ์ตามความเป็ นจริง ถึงแมจ้ ะยงั หาขอ้ พสิ ูจน์
หรือหาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ในปัจจุบนั น้ีก็ตาม ซ่ึงต่อไปในอนาคตอาจจะมี
13
ความกา้ วหนา้ มากข้ึนในดา้ นวทิ ยาศาสตร์ทางฝ่ายนามธรรมและรูปธรรม ก็อาจจะมี
คาอธิบายอย่างมีเหตุผลทกี่ ระจา่ งชดั มากกวา่ ในปัจจุบนั น้ีกเ็ ป็นไปได้
ยงั มีข้อมูลความรู้ที่น่าสนใจเกี่ยวกับเร่ือง ปรินิพพานและพระธาตุ ใน
คมั ภีร์ท่ีอธิบายความพระบาลี หรือ คมั ภีร์ท่ีไขความพระไตรปิ ฎกท่ีเรียกว่า อรรถ
กถา ซ่ึงก็คือ อรรถกถา มชั ฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ อนุปทวรรค พหุธาตุกสูตร ที่
กล่าวถึง ปรินิพพาน 3 ไวด้ ังน้ี “ชื่อว่า ปรินิพพานมี 3 คือ กิเลสปรินิพพาน ขนั ธปริ
นิพพาน ธาตุปรินิพพาน ในปรินิพพาน 3 อย่างน้ัน กิเลสปรินิพพานได้มีแลว้ ณ
โพธิบัลลงั ก์ ขันธปรินิพพานได้มีแลว้ ณ เมืองกุสินารา ธาตุปรินิพพานจักมีใน
อนาคต” และได้กล่าวถึง การท่ีพระธาตุเสด็จมาชุมนุมกนั มีความว่า “ได้ยินว่า ใน
คราวพระศาสนาจะเส่ือม พระธาตุท้งั หลายจะเสด็จชุมนุมกันที่เกาะลงั กาน้ี แลว้
14
เสด็จไปยงั มหาเจดีย์ จากมหาเจดยี เ์ สด็จไปยงั ราชายตนเจดยี ์ ในนาคทวปี จากราชาย
ตนเจดีย์ เสดจ็ ไปยงั มหาโพธ์ิบลั ลงั ก์ พระธาตทุ ้งั หลายจากนาคพิภพก็ดี จากเทวโลก
ก็ดี จากพรหมโลกกด็ ี จกั เสด็จไปยงั มหาโพธิบลั ลงั กเ์ ท่าน้นั พระธาตุแมข้ นาดเมลด็
พนั ธุ์ผกั กาด จกั ไมห่ ายไปในระหว่างๆ กาล พระธาตุท้งั หมด (จะรวม) เป็นกองอยูท่ ี่
มหาโพธิบลั ลงั ก์ เป็นแทง่ เดยี วกนั เหมือนแท่งทองคาเปลง่ พระฉพั พรรณรังสี (รัศมี
มีสี 6 ประการ) พระฉัพพรรณรังสีท้งั หลายน้นั จกั แผ่ไปทั่วหมื่นโลกธาตุ แต่น้ัน
เทวดาท้งั หลายในหม่ืนจกั รวาลจกั ประชุมกนั แสดงความการุณยอ์ ย่างใหญ่ ยิ่งกว่า
ในวนั เสดจ็ ปรินิพพานของพระทศพลว่า วนั น้ีพระศาสดาจะเสด็จปรินิพพาน วนั น้ี
พระศาสนาจะเส่ือม น้ีเป็ นการเห็นคร้ังสุดท้ายของพวกเรา ณ กาลน้ี เว้นพระ
อนาคามีและพระขีณาสพ พวกที่เหลือไม่อาจดารงอยู่ตามสภาวะของตนได้
เตโชธาตุลุกข้ึนในพระธาตุท้งั หลายแลว้ พลุ่งข้ึนไปจนถึงพรหมโลก เม่ือพระธาตุ
แมม้ ีประมาณเท่าเมล็ดพนั ธุ์ผกั กาดยงั มีอยู่ ก็จกั มีเปลวเพลิงติดอยู่เปลวหน่ึง เมื่อ
พระธาตุท้ังหลายหมดไป เปลวเพลิงก็มอดหมดไป เม่ือพระธาตุท้งั หลายแสดง
อานุภาพใหญอ่ ยา่ งน้ีแลว้ อนั ตรธานหายไป พระศาสนาช่ือว่าเป็นอนั ตรธานไป พระ
ศาสนาช่ือว่าเป็ นของอัศจรรย์ ตราบเท่าที่ยังไม่อันตรธานไปอย่างน้ี ข้อที่
พระพทุ ธเจา้ ท้งั หลายเสด็จอบุ ตั ไิ มก่ อ่ นไมห่ ลงั กนั อย่างน้ีน้นั ไม่เป็นฐานะท่จี ะมไี ด”้
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม พระไตรปิ ฎก เล่มท่ี 21 พระสุตตนั ตปิ ฎก เล่มที่ 13
องั คตุ ตรนิกาย จตกุ กนิบาต กล่าวถึง “อจนิ ไตย 4 อนั บุคคลไม่ควรคิด เมื่อบคุ คลคดิ
พึงเป็นผมู้ ีส่วนแห่งความเป็นบา้ เดอื ดรอ้ น อจินไตย 4 ประการ คือ พทุ ธวสิ ัย ฌาน
วิสยั วบิ ากแห่งกรรม และความคดิ เรื่องโลก”
15
จากเหตุการณท์ ่ีเกดิ ข้นึ ทาให้ทุกท่านที่นั่งอยู่ดว้ ยกนั ต่างก็เกดิ ความปี ติสุข
เป็ นล้นพ้น และเม่ือประชาชนท่ีมาร่วมงานไดส้ รงน้าพระธาตุเพื่อความเป็ นสิริ
มงคลเป็ นที่เรียบร้อย ก็เขา้ สู่ขบวนแห่เคร่ืองไทยทานไทยธรรม โดยมีประชาชน
มาร่วมพธิ ีเป็นจานวนมากนบั หลายรอ้ ยทา่ น เวียนประทกั ษณิ าวตั ร เวยี นขวา 3 รอบ
พระอุโบสถซ่ึงอยู่ในระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ หลงั จากน้ันก็เขา้ สู่พิธีกรรมใน
พระอุโบสถตอ่ หนา้ พระเจา้ 5 พระองค์ โดยการถวายพระพุทธรูป ฉัตรทองเหลือง
ฉลุลาย จตปุ ัจจยั ไทยทาน พร้อมท้งั พระธาตุ แผน่ ประวตั ิการสร้าง และอญั มณีแกว้
แหวนเงนิ ทอง เพอ่ื บรรจใุ นองคพ์ ระในลาดบั ต่อไป เป็นอนั ว่าการดาเนินการตลอด
ระยะเวลาประมาณ 5 เดือนในบุญกุศลคร้ังน้ี เสร็จสมบูรณ์เรียบร้อยดว้ ยความเป็น
สิริมงคล ยงั ความปี ติสุข แชม่ ชื่นเบิกบานใจในกศุ ลธรรมโดยถว้ นหนา้ หลงั จากน้นั
ก็นาหมู่คณะไปเที่ยวชมเมืองเชียงราย นมสั การพ่อขนุ เม็งราย สะดือเมือง คืนน้นั ก็
นอนพกั ท่ีวดั กาสา เช้ารุ่งข้ึนวนั อาทิตยท์ ี่ 16 เมษายน พ.ศ.2538 ก็เดินทางกลบั
กรุงเทพฯโดยสวสั ดิภาพ
บทสรุป
บทสรุปก็คือ ไม่มีส่ิงใดที่เกดิ ข้นึ มาลอยๆหรือเกดิ ข้นึ มาโดยบงั เอิญ ทุกสิ่ง
ลว้ นเกิดข้ึนมาดว้ ยเหตุปัจจยั ที่สอดคลอ้ งเหมาะสมกนั อนั สมควรแก่ธรรมน้ันๆ
เพราะสิ่งน้ีมี ส่ิงน้ีจึงมี เพราะสิ่งน้ีเกิด สิ่งน้ีจงึ เกดิ เพราะสิ่งน้ีดบั สิ่งน้ีจงึ ดบั เป็นไป
โดยลาดบั เกิดข้ึน ต้งั อยู่ และดับไป ดว้ ยหลกั แห่งปัจจยาการ ประเด็นก็อยทู่ ี่วา่ เม่อื
เหตปุ ัจจยั ส่งผลให้เกิดแลว้ จะซึมซับคุณค่าความหมายของสิ่งน้นั หรือเร่ืองน้นั ๆให้
เกิดคุณประโยชน์ ส่งเสริมกุศลธรรม ยงั ความเจริญในศรัทธาปสาทะพร้อมท้งั
16
สติปัญญา ได้มากน้อยเพียงใด อนั จกั นาไปสู่เป้าหมายสูงสุดทางพระพุทธศาสนา
คอื มรรคผลและนิพพานนน่ั เอง
และในที่สุดน้ีขอส่งท้ายด้วย เน้ือหาในพระไตรปิ ฎก เล่มท่ี 12 พระ
สุตตนั ตปิ ฎก เล่มท่ี 4 มชั ฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ 7 จูฬตณั หาสังขยสูตร ว่าด้วยขอ้
ปฏิบตั ิธรรมเป็ นที่ส้ินตณั หา ดงั น้ีคือ “ขา้ พเจ้าไดส้ ดบั มาแล้วอย่างน้ี:- สมยั หน่ึง
พระผูม้ ีพระภาคประทบั อยู่ที่ปราสาทแห่งมิคารมารดา (มหาอุบาสิกาวสิ าขา ผูเ้ ป็น
ดงั ว่ามารดาแห่งมิคารเศรษฐี) ในวหิ ารบุพพาราม เขตพระนครสาวตั ถี คร้งั น้นั ทา้ ว
สกั กะจอมเทพ เขา้ ไปเฝ้าพระผมู้ พี ระภาคถงึ ทป่ี ระทบั ถวายอภวิ าทแลว้ ไดย้ ืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนขา้ งหน่ึง คร้ันยืนเรียบรอ้ ยแลว้ ไดท้ ูลถามพระผูม้ ีพระภาคดงั น้ีว่า ขา้ แต่
พระองคผ์ ูเ้ จริญ กล่าวโดยย่อ ดว้ ยขอ้ ปฏิบตั ิเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่านอ้ มไปแลว้ ใน
ธรรมเป็นทีส่ ิ้นแห่งตณั หา มีความสาเร็จล่วงส่วน มีความปลอดโปร่งจากกเิ ลสเป็ น
เคร่ืองประกอบลว่ งส่วน เป็นพรหมจารีล่วงส่วน มีท่สี ุดลว่ งส่วนเป็นผปู้ ระเสริฐกวา่
เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย?
พระผูม้ ีพระภาคตรัสว่า ดกู รจอมเทพ ภกิ ษุในธรรมวนิ ยั น้ีไดส้ ดบั ว่า ธรรม
ท้งั ปวงไม่ควรยดึ มนั่ ถา้ ขอ้ น้ี ภิกษุไดส้ ดบั แลว้ อยา่ งน้ี ภกิ ษนุ ้นั ย่อมรู้ย่ิงซ่ึงธรรมท้งั
ปวง คร้ันรู้ยง่ิ ซ่ึงธรรมท้งั ปวงแลว้ ย่อมทราบชดั ธรรมท้งั ปวง คร้ันทราบชดั ธรรมท้งั
ปวงแลว้ ย่อมกาหนดรู้ธรรมท้งั ปวง คร้ันกาหนดรู้ธรรมท้งั ปวงแลว้ เธอไดเ้ สวย
เวทนาอย่างใดอย่างหน่ึง สุขก็ดี ทุกขก์ ด็ ี มิใช่ทุกขม์ ิใช่สุขกด็ ี เธอย่อมพิจารณาเห็น
ว่าไม่เที่ยง พิจารณาเห็นความหน่าย พิจารณาเห็นความดับ พิจารณาเห็นความสละ
คืนในเวทนาท้งั หลายน้นั เมื่อพิจารณาเห็นดงั น้นั ย่อมไม่ยึดมนั่ สิ่งอะไรๆ ในโลก
เมอ่ื ไม่ยดึ มน่ั ยอ่ มไมส่ ะดงุ้ หวาดหวนั่ เมื่อไมส่ ะดงุ้ หวาดหวน่ั ย่อมดบั กเิ ลสให้สงบ
17
ได้เฉพาะตวั และทราบชัดว่า ชาติส้ินแลว้ พรหมจรรยอ์ ยู่จบแลว้ กิจท่ีควรทา ทา
เสร็จแลว้ กิจอนื่ เพ่ือความเป็นอยา่ งน้ีมิไดม้ ี ดงั น้ี ดูกรจอมเทพ กล่าวโดยย่อ ดว้ ยขอ้
ปฏิบตั ิเท่าน้ีแล ภิกษุชื่อวา่ น้อมไป ในธรรมเป็ นที่ส้ินแห่งตณั หา มีความสาเร็จล่วง
ส่วน มีความปลอดโปร่งจากกเิ ลสเป็ นเคร่ืองประกอบล่วงส่วน เป็ นพรหมจารีลว่ ง
ส่วน มีท่ีสุดล่วงส่วน เป็ นผูป้ ระเสริฐกวา่ เทวดาและมนุษยท์ ้งั หลาย ลาดับน้ัน ทา้ ว
สักกะจอมเทพ ช่ืนชม ยินดี พระภาษิตของพระผูม้ ีพระภาค ถวายอภิวาทพระผูม้ ี
พระภาค ทาประทกั ษณิ และหายไปในท่นี ้นั นน่ั เอง”
18
19
20
21