สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
วิชาสังคมศึกษา ๕ รหัสวิชา ส๓๓๑๐๑
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ
ส ๑.๑ ม.๔-๖/๑๙ เห็นคุณค่า เชื่อมั่น และมุ่งมั่นในการพัฒนาชีวิตด้วย
การพัฒนาจิตและพัฒนาการเรียนรู้ด้วยวิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการหรือ
การพัฒนาจิตตามแนวทางของศาสนาที่ตนนับถือ
คำนำ
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์เล่มนี้ จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อประกอบ
การสอน ในรายวิชาสังคมศึกษา 5 เพื่อให้ได้ศึกษาความรู้เรื่อง วิธี
คิดแบบโยนิโสมนสิการ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖
หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ฉบับนี้ จะเป็น
ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนและการจัดการเรียนการสอนใน
รายวิชาสังคมศึกษา ๕
ผู้จัดทำ
สารบัญ หน้า
เรื่อง ๑
๑
โยนิโสมนสิการ ๒
ความหมายโยนิโสมนสิการ ๓
ลักษณะโยนิโสมนสิการ ๓
วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ ๓
๑. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย ๔
๒. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบหรือกระจายเนื้อหา ๔
๓. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ ๕
๔. วิธีคิดแบบอริยสัจ ๕
๕. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ ๖
๖. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก ๖
๗. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้ - คุณค่าเทียม ๗
๘. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม ๗
๙. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ปัจจุบัน ๘
๑๐. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท
บรรณานุกรม
๑
วิธีคิดแบบโยนิโสมนสิการ
โยนิโสมนสิการ หมายถึง การคิดของบุคคลที่ต้องมีสติปัญญาเป็นตัวกำกับ ซึ่งทำให้บุคคลสามารถ
คิดเป็น วิเคราะห์เป็น โดยคิดและวิเคราะห์ได้อย่างถูกวิธี มีระบบ มีระเบียบต่อเนื่องจากเหตุสู่ผล เชื่อมโยง
กันภายใต้พื้นฐานของคุณธรรมที่จะนำไปสู่การปฏิบัติ และการแก้ปัญหาได้อย่างเหมาะสม อย่างนี้เรียกว่า
การคิดแบบมีเหตุผลจนทำให้เกิดปัญญา
โยนิโสมนสิการ มาจาก ๒ คำ คือ โยนิโส และ มนสิการ
โยนิโส มาจากคำว่า โยนิ หมายถึง เหตุ ต้นเหตุ หรือจุดเกิดแห่งเหตุ
มนสิการ แปลว่า การคิด การวิเคราะห์ การพิจารณา
โยนิโสมนสิการในทัศนะของพระธรรมปิฎก มีกิจกรรมหลายอย่างที่ คนทั่วไปมักจะเรียกว่า “การคิด”
เช่นคนคนหนึ่งพยายามนึกถึงที่อยู่ เก่าของตน เราก็อาจพูดว่าเขากำลังคิดถึงเลขบ้าน หรืออีกคนหนึ่งคิดว่า
พรุ่งนี้เขาจะไปเล่นเทนนิส การคิดที่กล่าวมานี้ตรรกวิทยาไม่ถือว่าเป็นการคิดด้วยเหตุผล” (reasoning) เพื่อ
การตัดสินใจ โยนิโสมนสิการ ประกอบด้วยโยนิโส กับ มนสิการ โยนิโส มาจาก โยน แปลว่า เหตุ ต้นเค้า
แหล่งเกิด ปัญญาอุบาย วิธีทาง ส่วนมนสิการ แปลว่า การทำในใจ การคิด คำนึง นึกถึง ใส่ใจ พิจารณาเมื่อ
รวมเข้าเป็นโยนิโสมนสิการ ท่านแปลสืบทอดกันมาว่า การทำในใจโดยแยบคาย
๒
กล่าวอีกนัยหนึ่ง การทำในใจโดยแยบคายก็คือการคิดเป็น คือคิดถูกต้องตามความเป็นจริง อาศัยการ
เก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ และคิดเชื่อมโยงตีความข้อมูลเพื่อนำไปใช้ต่อไปอาจแยกเป็น ลักษณะต่าง ๆ ได้
ดังต่อไปนี้
๑. อุบายมนสิการ แปลว่า คิดพิจารณาโดยอุบาย คือคิดอย่างมีวิธีหรือคิดถูกวิธี หมายถึง ถูกวิธีที่จะ
เข้าถึงความจริง สอดคล้องเข้าแนวสัจจะทำให้หยั่งรู้สภาวะลักษณะและสามัญลักษณะของสิ่ง ทั้งหลาย
๒. ปถมสิการ แปลว่า คิดเป็นทาง หรือคิดถูกทาง คือคิดได้ต่อเนื่องเป็นลำดับจัดลำดับได้ หรือมี
ลำดับมีขั้นตอนแล่นไปเป็นแถว เป็นแนว หมายถึง ความคิดเป็นระเบียบตามแนวเหตุผล เป็นต้น ไม่ยุ่งเหยิง
สับสน ไม่ใช่วกเวียนติดพันประเดี๋ยวเรื่องนี้ ที่นี่ เดี๋ยวเตลิดออกไปเรื่องนั้นที่โน้น หรือกระโดดไปกระโดดมา
ต่อเป็นชิ้นเป็นอันไม่ได้ ทั้งนี้รวมทั้งความสามารถที่จะชักความนึกคิดเข้าสู่ แนวทางที่ถูกต้อง
๓. การณมนสิการ แปลว่าคิดตามเหตุ คิดค้นเหตุ คิดหาผล หรือคิดอย่างมีเหตุผล หมายถึง การคิด
สืบค้นตามแนวความสัมพันธ์ของเหตุปัจจัยที่สืบทอดกัน พิจารณาสืบสาวหาสาเหตุให้เข้าใจ ถึงต้นเค้าหรือ
แหล่งที่มาซึ่งส่งผลต่อเนื่องมาตามลำดับ
๔. อุปปาทกมนสิการ แปลว่าคิดให้เกิดผล คือใช้ความคิดให้เกิดผลที่พึงประสงค์เล็งถึงการคิดอย่าง
มีเป้าหมาย ท่านหมายถึง การคิดพิจารณาที่ทำให้เกิดกุศลธรรม เช่น ปลุกเร้าให้เกิดความเพียร การรู้จักคิด
ที่จะทำให้หายหวาดกลัวให้หายโกรธ การพิจารณาที่ทำให้มีสติ หรือทำให้จิตใจเข้มแข็ง มั่นคง เป็นต้น
ลักษณะต่าง ๆ ของความคิดที่กล่าวมาข้างต้นนั้นพอสรุปได้ว่า คิดถูกวิธี คิดมีระเบียบ คิดมีเหตุผล และคิด
เป็นกุศล
๓
วิธีคิดโยนิโสมนสิการมี ๑๐ วิธี ดังต่อไปนี้
๑. วิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย วิธีนี้เป็นวิธีคิดตามหลักปฏิจจสมุปบาทเป็นแบบพื้นฐานโดย
พิจารณาปัญหาหาหนทางแก้ไขด้วยการค้นหาสาเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ที่สัมพันธ์ส่งผลสืบทอดกันมา
ตัวอย่างวิธีคิดแบบสืบสาวเหตุปัจจัย
การแก้ปัญหาที่นักเรียนสอบตกวิชาสังคมศึกษา ๕ นักเรียนจะต้องหาสืบสาวหาสาเหตุปัจจัยว่าทำไม
นักเรียนสอบตกวิชาสังคมศึกษา ๕ เพราะอะไร เมื่อทราบสาเหตุแล้วแก้ที่ต้นเหตุเหล่านั้น
๒. วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบหรือกระจายเนื้อหา เป็นการคิดที่มุ่งให้มองและรู้จักสิ่งทั้ง
หลายตามสภาวะของมันเอง เป็นวิภัชชวิธี หรือวิธีคิดแบบวิเคราะห์เป็นการคิดพิจารณาที่ แยกแยะโดยถือ
เอานามรูปเป็นหลัก แต่มองตามสภาวะแยกออกไปว่าเป็นนามธรรมและรูปธรรม กำหนดส่วนประกอบทั้ง
หลายที่รวมกันอยู่แต่ละอย่างว่า อย่างนั้นเป็นรูป อย่างนี้เป็นนาม เมื่อแยกแยะออกไปแล้วก็มีแต่นามกับ
รูป หรือนามธรรมกับรูปธรรม
ตัวอย่างวิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบหรือกระจายเนื้อหา
การคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบของปัญหาหรือเหตุต่าง ๆ เช่น การแยกแยะปัญหาน้ำท่วม เนื่องจาก
พื้นที่เป็นแอ่งที่ราบลุ่ม ก็จะต้องคิดตามสภาพที่เกิดขึ้นนั้นว่าสภาพพื้นที่นั้นเป็นแอ่งที่ราบลุ่ม
๔
๓. วิธีคิดแบบสามัญลักษณ์ หรือวิธีคิดแบบรู้เท่าทันธรรมดา หมายถึงการรู้เท่าทันความ เป็น
ไปของสิ่งทั้งหลาย เช่น มีการเกิด เปลี่ยนแลงและดับสลายไปในที่สุด เป็นต้น เป็นการรู้เท่าทัน ว่าสิ่งทั้ง
หลายที่เป็นธรรมชาติย่อมเกิดจากเหตุปัจจัยและขึ้นต่อเหตุปัจจัยเช่นเดียวกัน วิธีคิดแบบนี้ แบ่งได้เป็น
๒ ขั้นตอน คือ ขั้นที่หนึ่ง คือ รู้เท่าทันและยอมรับความจริง ขั้นที่สอง คือ การคิดแก้ไขและทำการไป
ตามเหตุปัจจัย เป็นการปฏิบัติด้วยปัญญากล่าวคือ เมื่อรู้และเข้าใจเหตุปัจจัยแล้วก็จัดการที่ด้วยเหตุ
ปัจจัยนั้น
ตัวอย่างวิธีคิดแบบสามัญลักษณ์
ร่างกายมีความเสื่อมสลายเป็นธรรมดา ทุกชีวิตเกิดมาล้วนจะต้องตาย ตามกฎแห่งธรรมชาติล้วนเกิดขึ้น
ตั้งอยู่ ดับไป
๔. วิธีคิดแบบอริยสัจ หรือ คิดแบบแก้ปัญหาเป็นวิธีคิดที่สามารถขยายให้ครอบคลุมวิธี
คิดแบบอื่น ๆ ได้ทั้งหมด ตามหลักของอริยสัจ ๔ อันประกอบไปด้วย
ทุกข์ หมายถึงสภาวะที่ทนได้ยาก ความไม่สบายกายความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจ
สมุทัย หมายถึงสาเหตุของการเกิดทุกข์
นิโรธ หมายถึงสภาวะที่พ้นจากทุกข์ สภาพที่มีความสบายกายสบายใจ
มรรค หมายถึงแนวทางเหตุการณ์พ้นทุกข์ กระบวนการอริยมรรคมีองค์ ๘
ตัวอย่างวิธีคิดแบบอริยสัจ
การที่นักเรียนมาโรงเรียนสาย ทุกข์ นักเรียนมาสายไม่สบายใจมีความทุกข์ใจ
สมุทัย เนื่องจากนักเรียนนอนดึก
นิโรธ นักเรียนมาโรงเรียนตามเวลาปกติ
มรรค นักเรียนนอนให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะไม่ตื่นสาย
๕
๕. วิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ เป็นวิธีคิดตามหลักการและความมุ่งหมาย คือพิจารณาให้
เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างธรรม (หลักการ) กับอรรถ (ความมุ่งหมาย) คำว่าหลักการในที่นี้ หมายถึง
หลักความจริง หลักความดีงาม หลักการปฏิบัติ หรือหลักที่จะนำไปใช้ปฏิบัติรวมทั้งหลักคำ สอนที่จะให้
ประพฤติปฏิบัติและการ ทำการได้ถูกต้อง ส่วนความมุ่งหมายก็หมายถึงจุดหมายหรือ ความเข้าใจถูก
ต้องในเรื่องหลักการและความมุ่งหมาย ประโยชน์ที่ต้องการ หรือสาระที่พึงประสงค์ จะนำไปสู่การ
ปฏิบัติที่ถูกต้อง การปฏิบัติที่ถูกต้องนี้สำคัญมาก อาจกล่าวได้ว่า เป็นตัวตัดสินว่าการกระทำนั้น ๆ จะ
สำเร็จผลบรรลุจุดมุ่งหมายได้หรือไม่
ตัวอย่างวิธีคิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์
การคิดแบบนำสิ่งที่งามหรือหลักปฏิบัติที่ก่อให้เกิดความดีงาม เช่น การไม่ลักขโมยสิ่งของของผู้อื่นจะนำ
มาซึ่งผลที่ดีงามคือการที่เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต
๖. วิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก วิธีคิดแบบนี้เป็นการคิดที่ใช้หลักว่าจะต้องพิจารณา ปัญหา
ให้ครบทุกด้าน ได้แก่ ด้านดี (อัสสาทะ) ด้านเสีย (อทีนนวะ) ต่อจากนั้นจึงหาทางออก (นิสสรหะ) หรือ
ทางแก้ปัญหา
ตัวอย่างวิธีคิดแบบคุณโทษและทางออก
การรับประทานอาหารปิ้งย่าง ชาบู
ด้านดี (คุณ) อร่อย กินแล้วมีความสุข
ด้านเสีย (โทษ) รับประทานบ่อยเสี่ยงที่จะเป็นโรคอ้วน อาหารไหม้เกรียม
ทางออก รับประทานนาน ๆ ครั้ง หรือเลี่ยงไปรับประทานอาหารประเภทอื่น
๖
๗. วิธีคิดแบบคุณค่าแท้ - คุณค่าเทียม วิธีคิดแบบนี้เกี่ยวข้องกับการบริโภคใช้สอยปัจจัย ๔
คุณค่าแท้ หมายถึง ประโยชน์ของสิ่งทั้งหลายในแง่ที่สนองความต้องการของชีวิต โดยตรงหรือที่มนุษย์นำ
มาใช้แก้ปัญหาของตนเพื่อความดีงาม ความดำรงอยู่ด้วยดีของชีวิตหรือเพื่อ ประโยชน์สุขทั้งของตนและ
ของผู้อื่น คุณค่านี้อาศัยปัญญาเป็นเครื่องดีค่าหรือวัดราคาจะเรียกว่า วิธีคิดที่สนองปัญญาก็ได้
คุณค่าเทียม หมายถึง ประโยชน์ในแง่การปรนเปรอ การเสพเสวยเวทนา อาศัย ตัณหาเป็นเครื่องวัด
คุณค่าหรือวัดราคา จะเรียกว่าคุณค่าตอบสนองตัณหาก็ได้ เช่น อาหารที่มีคุณค่า ที่ความเอร็ดอร่อย เสริม
ความสนุกสนานเป็นเครื่องแสดงฐานะความหรูหรา
ตัวอย่างวิธีคิดแบบคุณค่าแท้ – คุณค่าเทียม
การใช้เสื้อผ้าที่มีราคาสูง
คุณค่าแท้ เสื้อผ้ามีหน้าที่ปกปิดร่างกายให้ดูสุภาพเรียบร้อย
คุณค่าเทียม ใช้เสื้อผ้าที่มีราคาแพงทำให้รู้สึกว่าได้ใช้ของดีมีราคา
๘. วิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม เป็นวิธีคิดที่ส่งเสริมชักนำไปในทางที่ดีงามและเป็น
ประโยชน์ เป็นการขัดเกลาและบรรเทาปัญหา เหตุการณ์หรือประสบการณ์เดียวกัน คนหนึ่งอาจคิด
ปรุงแต่งไปในทางดีงาม เป็นประโยชน์ อีกคนหนึ่งอาจปรุงแต่งไปในทางไม่ดีไม่งามเป็นโทษ ทั้งนี้ เนื่อง
มาจากการฝึกฝนอบรมและประสบการณ์ที่ได้สะสมมา นอกจากนี้แม้แต่บุคคลเดียวกัน มองของอย่าง
เดียวกันหรือมีประสบการณ์เดียวกัน แต่ต่างขณะต่างเวลา ก็อาจคิดแตกต่างออกไปครั้ง ละอย่างได้
คราวหนึ่งร้าย คราวหนึ่งดี
ตัวอย่างวิธีคิดแบบอุบายปลุกเร้าคุณธรรม
การคิดที่จะทำคุณงามความดี การคบคน ดังคำที่ว่า คบคนพาล พาลพาไปหาผิด คบบัณฑิต บัณฑิตพา
ไปหาผล
๗
๙. วิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน หมายถึง การคิดในแนวทางของความรู้ หรือคิดด้วย
อำนวยปัญญา การคิดแบบนี้ถือว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นอยู่ในขณะนี้ หรือเป็นเรื่องที่ล่วงไปแล้ว หรือ
เป็นเรื่องของกาลภายหน้า ก็จัดเข้าไปเป็นการปัจจุบันทั้งสิ้นความคิดถึงอดีตและอนาคต ตาม แนวทาง
ของปัญญาที่เป็นเรื่องของกิจในปัจจุบันจะช่วยให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติ ช่วยให้การปฏิบัติในปัจจุบัน
ถูกต้องได้ผลดียิ่งขึ้น และสนับสนุนให้มีการตระเตรียมวางแผนล่วงหน้า นับว่าเป็นวิธีคิดที่มีประโยชน์มาก
ตัวอย่างวิธีคิดแบบเป็นอยู่ในขณะปัจจุบัน
การคิดอยู่กับสิ่งที่กำลังกระทำอยู่ว่าเป็นอย่างไร เช่น การตั้งใจเรียนในคาบเรียนตั้งสติอยู่กับการเรียน ไม่
คิดหรือไปยึดกับการเหตุการณ์ในอดีตหรือปัจจุบันที่จะเกิดขึ้น
๑๐. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท มาจาก วิภัชช แปลว่า แยกแยะ จําแนกหรือแจกแจง ใกล้เคียงค่า
ที่ใช้ในปัจจุบันว่าวิเคราะห์ วาท แปลว่า การกล่าว การพูด การแสดงคำสอน วิภัชชวาท จึงแปลว่า
การพูด จำแนก พูดแยกแยะหรือแสดงคำสอนแบบวิเคราะห์ ลักษณะสำคัญของการคิดและการพูด
แบบนี้คือ การมองและแสดงความจริงโดยแยกแยะออกให้เห็นแต่ละแง่ละด้านครบทุกแง่ทุกด้าน
ตัวอย่างวิธีคิดแบบวิภัชชวาท
การคิดแบบแยกแยะมาจากการสอนสอนในทุกแง่มุม ทั้งด้านดีและด้านลบว่าเป็นอย่างไร เช่น
การรับประทานอาหารที่ไม่ใช่จะเอาเฉพาะความเอร็ดอร่อยเพียงอย่างเดียว
๘
บรรณานุกรม
ชัย ลาภเพิ่มทวี. (๒๕๕๕). หัวใจสังคม O - NET. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ บริษัทธนเชษฐ์ จำกัด.
โรงเรียนมหาวชิรวุธ. (๒๕๖๐). หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม.
สงขลา : โรงเรียนมหาวชิราวุธ จังหวัดสงขลา.
ศิวพล ชมพูพันธ์. (๒๕๕๖). สรุปสังคม ม.ปลาย. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : หจก.โรงพิมพ์วัชรินทร์ พี.พี.
ปรางฤทัย ใจสุทธิ. แบบฝึกสมรรถนะและการคิดพระพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ ๓. ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
๔ - ๖. กรุงเทพมหานคร: บริษัทอักษรเจริญทัศน์.