เอกสารประกอบการสอน
รายวิชา
เวชศาสตรส์ ตั ว์เคี้ยวเอ้อี ง รหสั รายวชิ า สพคน ๕๕๔
เรื่อง
การปฎิบัติในการตรวจรา่ งกายสตั ว์เคี้ยวเอ้ีอง
โดย
อาจารย์นายสัตวแพทย์ เชาวลิต นาคทอง
สําหรับนักศึกษาระดบั ปริญญาตรี ชน้ั ปีที่ ๕
หลักสตู รสัตวแพทยศาสตร์บณั ฑิต ภาคการศกึ ษาปลาย
ปีการศกึ ษา ๒๕๕๕
เอกสารประกอบการสอน
เวชศาสตรส์ ตั ว์เค้ียวเอีอ้ ง
Ruminant Medicine (สพคน ๕๕๔)
เรือ่ ง
การปฎิบตั ิในการตรวจร่างกายสตั วเ์ ค้ียวเออ้ี ง
(Practice in Clinical Examination of Ruminant)
โดย
อาจารยน์ ายสตั วแพทย์ เชาวลิต นาคทอง
ภาควชิ าเวชศาสตร์คลนิ กิ และการสาธารณสขุ คณะสตั วแพทยสาสตร์
มหาวิทยาลัยมหดิ ล
สาํ หรับนกั ศกึ ษาระดับปริญญาตรี ชัน้ ปีท่ี ๕ หลกั สตู รสัตวแพทยศาสตร์บณั ฑติ
ภาคการศึกษาปลาย ปีการศกึ ษา ๒๕๕๕
1
คาํ นาํ
เอกสารประกอบการสอนวิชาเวชศาสตรส์ ัตวเ์ คีย้ วเออี้ ง รหัสรายวิชา สพคน ๕๕๔ เรื่องการปฎบิ ตั ิใน
การตรวจร่างกายสตั ว์เคย้ี วเออี้ งสําหรับนกั ศกึ ษาในระดบั ปรญิ ญาตรี ชั้นปที ่ี ๕ หลักสตู รสัตวแพทยศาสตร์
บัณฑิตของมหาวทิ ยาลยั มหดิ ลทุกคนตอ้ งเรยี น ดังน้ันจึงมคี วามจาํ เปน็ อยา่ งยง่ิ ทจ่ี ะตอ้ งมีเอกสารประกอบการ
สอน ท่ีรวบรวมเน้อื หาครบถว้ น ตามทีห่ ลกั สตู รไดก้ าํ หนดไว้ โดยเน้อื หาเปน็ การเขยี นในลักษณะ ที่มี ขอ้ มูล
ประกอบเชิงบรรยาย ทม่ี ุ่งเนน้ ให้นักศึกษามีความร้คู วามเข้าใจและใช้ประกอบการฝกึ ปฏบิ ัติ ซ่งึ เน้ือหาบางส่วน
เรียบเรียงจากประสบการณก์ ารทํางานของผูเ้ ขียน รวมทัง้ การศกึ ษาค้นควา้ จากตาํ รา วิชาการทงั้ ของไทยและ
ต่างประเทศ
ผูเ้ ขยี นหวังวา่ เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ี จะเป็นประโยชนส์ าํ หรบั นกั ศึกษาในการใช้เปน็ คมู่ อื
สําหรับการศึกษาเก่ียวกับเรื่องโรคและการวินจิ ฉยั ในแพะทพ่ี บบอ่ ยหากมีขอ้ แนะนํา ทเี่ ปน็ ประโยชน์ตอ่ การ
ปรับปรงุ เอกสารเล่มนี้ กรุณาแจ้งต่อผ้เู ขยี นจกั เป็นพระคุณยิง่ สดุ ทา้ ยผู้เขียนขอขอบพระคุณทกุ ทา่ นท่ีให้ ความ
ช่วยเหลอื แนะนํา เพอื่ ใหเ้ อกสารประกอบการสอนฉบับนเี้ สร็จสิน้ ด้วยดี
อาจารยน์ ายสัตวแพทย์ เชาวลติ นาคทอง
สารบัญ 2
เรอ่ื ง หน้า
คํานํา 1
สารบัญ 2
3
สารบัญภาพ 4
ปฏบิ ัตกิ ารท่ี 1 Examination of the Integument 8
ปฏิบตั ิการที่ 2 Examination of the Respiratory System 13
20
ปฏิบัตกิ ารที่ 3 Examination of the Digestive System 27
ปฏิบัติการท่ี 4 Examination of the Cardiovascular System 37
ปฏิบัตกิ ารที่ 5 Bovine restraint, blood collection and injection technique 40
46
ปฏิบัตกิ ารท่ี 6 Palpation of Lymph node location technique
ปฏบิ ัติการท่ี 7 Instruments and Usages Lab
เอกสารอา้ งองิ
3
สารบัญภาพ
เร่ือง หนา้
รปู ท่ี 1. Percussion hammer, pleximeter 8
รปู ที่ 2. แสดงการเคาะบรเิ วณ Frontal sinus ของโค 9
รูปที่ 3. เสียงจากการเคาะโคปกตดิ า้ นซา้ ย 9
รปู ท่ี 4. เสยี งจากการเคาะโคปกติดา้ นขวา 10
รูปที่ 5. แนวการเคาะทดสอบหาอาการเจ็บของโค 10
รปู ท่ี 6. แนวการฟังบริเวณทรวงอก 11
รปู ท่ี 7. แสดงตาํ แหนง่ ของปอดทั้งทางด้านซา้ ยและขวา 11
รูปท่ี 8. การใชม้ ือโบกลมหายใจใหก้ ล่นิ ผา่ นเข้ามาทางจมกู ของผู้ตรวจ 11
รูปท่ี 9. แสดงการตรวจเช็คลมหายใจเข้าออกของโค 12
รูปที่ 10. การคํานวณอายจุ ากการดูฟันโค 13
รูปที่ 11. การใช้ Drenching gun 14
รปู ที่ 12. อุปกรณ์การตรวจระบบทางเดนิ อาหารของโค 15
รูปท่ี 13. การทำ stomach tube ของโค 15
รปู ท่ี 14. ส่วนประกอบ ruminal content ของโค 16
รปู ท่ี 15. Microorganism ใน ruminal content ของโค 17
รปู ที่ 16. อวัยวะในระบบทางเดินอาหาร ดา้ นขวาของโค 17
รปู ท่ี 17. กระเพาะรเู มนของโค 18
รูปที่ 18. ลักษณะกายวิภาคของ Rumen Reticulum Omasum และAbomasum ของโค 18
รูปท่ี 19. การตรวจจบั ชีพจร External maxillary artery 21
รปู ท่ี 20. การใชม้ อื คลาํ apex beat ของหัวใจ 22
รูปที่ 21. The withers pinch test 23
รปู ท่ี 22. เครือ่ งตรวจโลหะ (metal detector) 23
รปู ที่ 23. แนวเคาะผ่านส่วนในและส่วนนอกบริเวณหัวใจ 24
รูปที่ 24. การใช้ stethoscope ฟังเสยี งการเตน้ ของหัวใจ 24
รปู ที่ 25. ตาํ แหนง่ ทฟี่ งั เสียงล้นิ หวั ใจ 25
รปู ท่ี 26. การทดสอบ Venous stasis 26
รปู ท่ี 27-30. การบังคับโค 27-28
รปู ท่ี 31-38. ขน้ั ตอนการล้มโค 28-30
รปู ท่ี 39-50. การเจาะและเกบ็ เลือดโค 30-33
รูปท่ี 51-58. การฉดี ยา เขา้ กล้ามเนือ้ /เข้าใตห้ นัง/เสน้ เลือด 34-35
รูปที่ 59. แสดงการใหส้ ารน้ําใตผ้ วิ หนงั บริเวณคอ 36
รปู ที่ 60. การแสดงตําแหนง่ ของตอ่ มนาํ้ เหลอื งทอี่ ย่ใู ต้ผวิ หนงั 37
รูปที่ 61-65. ชือ่ และตาํ แหน่งของ Superficial lymph node 38-39
รูปท่ี 66-72. ชือ่ อุปกรณ์และเคร่ืองมอื ทางสัตวแพทย์ 40-42
4
ปฏบิ ตั กิ าร 1
Examination of the Integument
วัตถุประสงคข์ องปฏิบตั กิ าร:
เพ่อื ใหน้ กั ศกึ ษาเข้าใจในหลักการการตรวจวินิจฉยั โรคระบบผิวหนงั เบือ้ งตน้
เพ่ือใหน้ กั ศึกษาฝกึ การตรวจวนิ จิ ฉยั โรคระบบผิวหนงั เบอ้ื งตน้ ได้
การตรวจวินจิ ฉยั โรคระบบผิวหนัง ควรทาํ การตรวจอย่างละเอยี ด เชน่ เดียวกบั การตรวจในระบบอืน่ ๆ กล่าว
คือ ตอ้ งทําการตรวจเป็นข้นั ตอนอยา่ งมรี ะบบ สําหรบั การตรวจระบบผวิ หนงั เพือ่ การวินิจฉัยโรคได้อย่างถูก
ตอ้ งนนั้ กระทาํ ไดด้ ังนี้
1. การตรวจทางคลนิ ิก (Clinical Examination) โดยทาํ การบันทกึ ข้อมลู ต่างๆ เกย่ี วกบั สัตว์ปว่ ยดังนี้
อายุ เพศ พนั ธุ์ ประวัติการเป็นโรคผวิ หนงั และการใหย้ าเพ่อื บําบัดรักษา ตําแหน่งของวิการที่ปรากฏใหเ้ ห็น ใน
ระยะแรก ระยะเวลาทเ่ี ป็นโรค รวมถงึ ความรนุ แรงที่เกิดข้ึน นอกจากนีต้ ้องพิจารณาถงึ อาการคนั ท่ปี รากฏ ให้
เห็น (pruritus) การติดตอ่ จากสตั วป์ ่วยไปยงั สตั วป์ กติหรือคน รวมทง้ั ปัจจัยทางดา้ นอาหารและสภาพแวด
ลอ้ มดว้ ย
2. การตรวจร่างกายท่วั ไป (Physical Examination)
2.1 พจิ ารณาถึงรูปแบบและการกระจายตัว รวมท้ังตําแหน่งของวกิ ารที่เกิดขึ้น
2.2 พิจารณาลกั ษณะของวกิ ารทเ่ี กิดขึน้ บนผวิ หนงั โดยแยกเปน็ primary lesion และ
secondary lesion รวมท้ังประเมนิ สภาพของขนท่ปี กคลุม เช่น ขนร่วง (alopecia) หรือขนรว่ งผดิ ปกติ (hair
abnormality)
2.3 การพจิ ารณาลักษณะเฉพาะของวกิ ารท่เี กิดขึน้
3. การวินจิ ฉัยทางห้องปฏิบัตกิ าร (Laboratory Aids)
3.1 skin scraping
3.2 impression smear
3.3 fungal, bacterial or viral culture
3.4 biopsy
3.5 hormonal assays
3.6 hemogram and blood chemistry
4. รวบรวมขอ้ มลู นาํ ขอ้ มูลทไี่ ด้มาสมั พันธ์กนั และทาํ การวนิ ิจฉัยแยกโรค
5. วนิ จิ ฉยั แยกโรคให้นอ้ ยท่สี ุด
รวมทงั้ วางแผนในการทดสอบเพ่ิมเตมิ และวางแนวทางในการรักษาและพยายามวนิ ิจฉัยโรคข้ันสุดท้ายในท่สี ุด
ประวัติ (History)
ในรายของโรคผิวหนงั ประวัตสิ ัตวป์ ่วยเป็นสิ่งสําคญั และจาํ เป็นอยา่ งมากทจี่ ะชว่ ยให้สัตวแพทย์
สามารถวินจิ ฉยั โรคได้ถกู ตอ้ ง และชว่ ยใหก้ ารจดั การรกั ษาประสบผลสําเรจ็ สาํ หรบั การซกั ประวัตทิ สี่ ําคัญ
เพ่ือประกอบการวินจิ ฉัยโรคผิวหนงั ที่สําคัญ ได้แก่อายุ (Age) เชน่ เดียวกบั โรคอ่นื ๆ อีกมาก ทีก่ ารเกดิ โรค
ผวิ หนงั จะพบในแตล่ ะกลุม่ อายทุ แ่ี ตกตา่ งกัน เชน่ dermatophytosis, exudative epidermitis และ
congenitohereditary dermatoses จะพบมาในสัตวอ์ ายุนอ้ ย ในทางตรงข้าม skin tumor และ
hyperadrenocorticism จะพบมาในสัตว์อายุมากกวา่ แตอ่ ยา่ งไรกต็ าม อายกุ ็ไม่ใชป่ ัจจัยหลัก หรือส่วนท่ี
สาํ คญั ในการเกิดโรคผิวหนงั พนั ธ์ุ (Breed) พบว่าในบางครง้ั โรคผิวหนังบางอย่างพบในสตั วพ์ ันธหุ์ นง่ึ มากกว่า
5
สตั ว์ พนั ธอ์ุ ่นื ๆเชน่ linear keratosis และ unilateral papular dermatosis ใน Quarter horse และ
dermatosis vegetansในสกุ รพนั ธแ์ุ ลนด์เรซ เปน็ ตน้ เพศ(Sex) สาํ หรับเพศไมเ่ ป็นสง่ิ สาํ คญั มากนกั
ในการใชเ้ ป็นเคร่อื งมือสาํ หรบั ช่วยในการวนิ จิ ฉัยโรคผิวหนงั เชน่ Equine hyperadrenocorticism และ
Bovine herpes mammilitis พบมากในเพศเมยี ในขณะที่Equine mastocytoma และ Ovine
Clostridium novyi พบในเพศผู้มากกว่าพนั ธกุ รรม (Familial occurrence) โรคผวิ หนงั หลายๆโรคมสี าเหตุ
โน้มนาํ มาจากพนั ธกุ รรม เชน่ cutaneous asthenia, dermatosis vegetans, hypotrichosis
เป็นต้นอิทธิพลของฤดูกาล (Seasonal influences) โรคผิวหนงั บางโรคพบมากในชว่ งฤดกู าลที่ แตกต่างกนั
เช่น pollen-related atopy, foliage and chemical-related contact dermatitisพบมากในช่วงฤดูร้อน
ส่วนdermatophytosis, chorioptic mange, salt-related contact dermatitis พบมากในฤดูหนาว
สภาพสงิ่ แวดล้อม (Environmental considerations) การพิจารณาถงึ สภาพสิ่งแวดลอ้ มโดยละเอยี ดเชน่
สิ่งปรู อง สภาพอากาศ โรงเรอื น และการจดั การตา่ ง ๆ เป็นสิ่งสําคญั และมปี ระโยชน์ตอ่ การวนิ จิ ฉยั โรคผวิ หนงั
ประวัติการเป็นโรคผวิ หนงั มาก่อน (Previous skin disease) ประวตั ิสัตว์ปว่ ยเกย่ี วกับการเปน็ โรคผวิ หนัง
มากอ่ นจะชว่ ยให้สามารถวนิ จิ ฉยั โรคและวางแนวทางในการรักษาโรคได้เป็นอย่างดี เช่น การเกิด pruritic
dermatisis จากโรค allergy หรอื ectoparasitic skin disease พบว่าเกิดในช่วงเวลาเดียวกนั ของทกุ ปี
ประวตั ิการใหก้ ารรกั ษา (Previous and current therapy)
สตั วป์ ว่ ยด้วยโรคผิวหนังมักจะถูกทําการรักษาโดยเจา้ ของ เช่น การอาบนํา้ การสเปรย์ การใช้ผงโรย
ตัวมาก่อน โดยอาจจะปรึกษาหรอื ไม่ปรกึ ษาสัตวแพทยก์ ็ตาม ดังน้นั ประวัตกิ ารใหก้ ารรักษาจากเจ้าของเป็น
สิง่ จาํ เป็นโดยพจิ ารณาถงึ
1. ยาหรอื สารเคมีท่ีใช้
2. ขนาดท่ีใช้กับสัตว์
3. ความถีใ่ นการใช้
4. ระยะเวลาท่ใี ช้
5. ผลจากการใชย้ าหรือสารเคมีดงั กลา่ ว
วิการของผิวหนงั ในระยะแรก (Initial skin lesion) ประวัติเกีย่ วกบั การพบวิการ บนผวิ หนังใน ระยะ
แรกรวมท้ังบรเิ วณทพ่ี บเป็นส่ิงสาํ คัญมากในการช่วยวินิจฉยั โรคเพราะโรคผิวหนังส่วนมากมักจะมวี กิ ารเฉพาะ
อาการคนั (Pruritus) ประวตั ิการพบหรอื ไมพ่ บอาการคนั ในสตั ว์ปว่ ยด้วยโรคผิวหนังจะชว่ ยในการวนิ จิ ฉยั
แยกโรค ของกลมุ่ อาการของโรคผิวหนงั ได้ โดยแบง่ เป็นโรคผวิ หนงั ทีม่ ีอาการคันรว่ มด้วยกบั โรคผิวหนงั ท่ีไมม่ ี
อาการคนั เช่น allergic และ parasitic dermatosis พบวา่ มีอาการคันรว่ มดว้ ย ส่วนendocrine
dermatosis จะไม่พอาการคัน ในกรณที พี่ บว่ามอี าการคัน ควรพจิ ารณาถึง
1. อาการคันเป็นสิง่ ทีพ่ บครัง้ แรกหรอื ไม่
2. ความรุนแรงของการคัน
3. การตอบสนองตอ่ การคันเมอ่ื ใช้กลมุ่ ยา glucocorticoid
การตรวจรา่ งกายท่ัวไป (Physical Examination)
วิการทม่ี องเหน็ บนผวิ หนงั ของสตั ว์เปน็ ปจั จยั สาํ คญั ท่ีชว่ ยในการวนิ ิจฉยั โรคไดเ้ ป็นอย่างดโี ดยวิการท่ี
เกดิ ขึ้นบนผิวหนงั จะพจิ ารณถงึ
- ชนิดของวิการทป่ี รากฏ (Type of lesions)
6
- ลักษณะรปู แบบของวกิ าร (Configuration of the lesions)
- ลกั ษณะการกระจายตัวของวิการ (Distribution of the lesions)
ชนดิ ของวิการที่ปรากฏ (Type of lesions)
วิการของโรคผวิ หนัง สามารถแบ่งได้เป็น
1.1 Primary lesion เปน็ วกิ ารทเ่ี กดิ ขน้ึ หรอื ผลมาจากโรคของผิวหนังโดยตรง
1.2 Secondary lesion เป็นการเปลยี่ นแปลงที่เกดิ ขึ้นในผวิ หนงั ซึ่งอาจจะแปรสภาพมาจาก
primary lesion หรือเป็นผลมาจากปจั จัยอน่ื ๆ เชน่ secondary infection เปน็ ตน้
Primary Lesions
Macule
Patch
Papule
Nodule (Tubercle)
Vesicle
Bulla
Pustule
Wheal (urtica, hive)
Secondary Lesions
Scale (squame หรอื flake)
Hyperkeratosis
Crust (scab)
Erosion
Ulcer
Excoriation
Lichenification
Pigmentary Disturbance
Scar
Alopecia (atrichia หรอื atrichosis)
Change in Elasticity ความยดื หยุน่ (elasticity)
Quality of Hair Coat
การกระจายตวั ของวกิ าร (Distribution of Lesions)
การกระจายตัวของวกิ ารบนผวิ หนงั มีประโยชน์ต่อการวนิ จิ ฉยั โรคของผวิ หนงั พอสมควร เช่น
โรคผวิ หนงั ทีพ่ บมีลกั ษณะ bilateral symmetry ของร่างกาย พบสว่ นใหญ่มสี าเหตมุ าจากปจั จยั ในรา่ งกาย
(hormonal, allergic, drug-related) ในขณะท่ีโรคผิวหนงั ท่ีพบลักษณะ asymmetry พบว่ามสี าเหตุมาจาก
ปัจจยั ภายนอก (microorganism, trauma) โรคผวิ หนังท่ีพบดา้ นล่างของลาํ ตัว (ventral area) มักเกดิ จาก
การสัมผัสโดยตรวจ (contact origin) ส่วนโรคผิวหนังทพ่ี บดา้ นบน (dorsal area) มกั เกดิ จาก
ectoparasites การวินิจฉัยและวิธกี ารทางหอ้ งปฏบิ ตั กิ าร (Diagnostic and laboratory
7
procedures)การวินิจฉัยโรคและวิธกี ารทางห้องปฏิบตั ิการ มีประโยชน์มากตอ่ โรคของผิวหนัง การทดสอบ
ส่วนใหญส่ ะดวก รวดเร็ว และราคาประหยดั และให้ผลดีในการวินิจฉยั
การทดสอบโรคของผวิ หนัง (Dermatologic Tests)
1. Examinations for Parasites
• Acetate tape preparation
• Skin scraping
• Potassium hydroxide or mineral oil preparations
• Wood's light examination
• Fungal culture
• Fungal slide cultures
• Stained slide preparations
2. Examinations for Bacteria
• Direct or impression smears
• Bacterial cultures
• Antibacterial sensitivity tests
3. Examinations for Viruses and Protozoas
• Viral culture
• Serology
• Election microscopy
4. Histopathologic Examinations
• Skin biopsy
• Fixing and staining
5. Allergy Testing
• Patch tests
• Intradermal tests
6. Immunologic Tests
• Immunofluorescent tests
• Antinuclear antibody tests
• Lupus erythematosus cell preparation
7. Endocrine Tests
• Thyroid function
• Adrenal function
8
ปฏิบตั ิการ 2
Examination of the Respiratory System
วตั ถปุ ระสงค์ของปฏิบตั กิ าร
1. เพอ่ื ให้นกั ศึกษาฝึกการตรวจเคาะระบบหายใจและการตรวจบริเวณทรวงอก
2. เพอ่ื ให้นักศกึ ษาฝึกการใช้ stethoscope เพื่อช่วยในการวินจิ ฉยั โรคทางระบบหายใจ
อุปกรณ์ท่ีใช้
1. Stethoscope
2. เครื่องมือในการใช้ตรวจเคาะ
รปู ที่ 1. Percussion hammer, pleximeter
การซักถามประวตั ิ
ตรวจสอบขอ้ มลู พืน้ ฐานของสัตว์ ไมว่ า่ จะเป็นการตรวจระบบใดกต็ าม การซักถามประวตั สิ ัตวป์ ่วย
เปน็ ส่ิงแรกทีต่ อ้ งกระทาํ เสมอ ในระบบหายใจก็เชน่ กัน ตอ้ งซกั ถามเจ้าของวา่ สงั เกตเหน็ ความผิดปกติทเี่ กี่ยว
กับระบบหายใจ เช่น หายใจขัด หอบ หายใจเรว็ เหนือ่ ยง่าย มอี าการไอ โกรง่ ตัวหรอื มีส่งิ คัดหลง่ั เช่น
น้ํามูกใส หรือ นา้ํ มูกข้นเหนียว หรอื นา้ํ มกู ปนเลอื ด หรือไมอ่ ย่างไรการมองตรวจโดยการสังเกต ในระยะไกล
โดยไม่สัมผัสตัวสัตว์
1. มองตรวจรปู รา่ งและสัดสว่ นของจมกู สนั จมูก ทรวงอกด้านซ้าย
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………….……
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. มองตรวจรปู รา่ งและสัดสว่ นของจมกู สันจมกู ทรวงอกดา้ นขวา
ผลการตรวจและอธบิ าย ความหมาย………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. มองตรวจรูปร่างและสดั ส่วนของจมูก สนั จมกู ทรวงอกดา้ นหน้า
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย……………………………………………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. มองตรวจอัตราการหายใจ (Respiratory rate ครัง้ ตอ่ นาที) โดยการสังเกตจากขยับตัวของซ่ีโครง
ซีส่ ุดท้าย
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย……………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
9
การมองตรวจในระยะใกล้ การคลาํ การเคาะ การฟงั เสยี ง และการดมกล่ินทาํ การมองตรวจอาจร่วมไปกับ
การเคาะ คลาํ ฟังเสียง หรอื การดมกลน่ิ ในแตล่ ะด้านของการตรวจโดยเรมิ่ จากการตรวจทางดา้ นซา้ ย
แลว้ ตรวจตอ่ ไปทางดา้ นท้ายลําตวั ด้านขวา และด้านหนา้
6. มองตรวจหาวกิ ารท่ผี วิ หนงั บริเวณ Muzzle, Nostrils สันจมูกและทรวงอก
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย……………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………
7. คลาํ ตรวจหาวกิ ารที่ผวิ หนงั บรเิ วณ Muzzle, Nostrils สนั จมกู และทรวงอก
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย……………………………………………………………………...........................
…………………………………………………………………………………………………....................................................
8. เคาะตรวจทว่ั บริเวณ Nostrils สันจมกู
รูปที่ 2. แสดงการเคาะบริเวณ Frontal sinus ของโค
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
9. เคาะตรวจทัว่ ทรวงอกด้านซ้าย
รปู ท่ี 3. เสียงจากการเคาะโคปกติด้านซา้ ย (Rosenberger, 1979)
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย……………………………………………………………………..................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10
10. เคาะตรวจท่ัวทรวงอกด้านซา้ ย
รปู ที่ 4. เสียงจากการเคาะโคปกติด้านขวา (Rosenberger, 1979)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
11. เคาะตรวจทดสอบความเจบ็ ปวดทรวงอกด้านซ้าย
รูปที่ 5. แนวการเคาะทดสอบหาอาการเจบ็ ของโค (Rosenberger, 1979)
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย…………………………………………………………………….................................
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
12. เคาะตรวจทดสอบความเจบ็ ปวดทรวงอกด้านขวา
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย…………………………………………………………………………………………........
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
13. ฟงั ตรวจบรเิ วณ Nostril สันจมกู ทรวงอก (ตรวจ Vesicular, Tracheal, Bronchial และ Alveolar
sounds)
11
รูปที่ 6. แนวการฟังบริเวณทรวงอก (Rosenberger, 1979)
รปู ที่ 7. แสดงตําแหนง่ ของปอดทัง้ ทางดา้ นซา้ ยและขวา
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย………………………………………………………...……………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
14. ดมกลนิ่ ลมหายใจจากจมกู ทง้ั ซ้ายและขวา (โดยใชม้ ือโบกลมหายใจให้กลนิ่ ผ่านเขา้ มาทางจมกู ของผู้ตรวจ
รปู ที่ 8. การใชม้ อื โบกลมหายใจใหก้ ล่ินผา่ นเขา้ มาทางจมูกของผ้ตู รวจ (Rosenberger, 1979)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย………………………………………………………………………………..………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
12
15. ตรวจแรงลมเข้าออกจากจมกู โค (โดยใช้สองมอื จบั เศษฟางหรอื ต้นหญ้าเล็กๆ สองตน้ ทขี่ นาดพอๆ
กันจอ่ ทจ่ี มกู โคแตแ่ ละข้าง หา่ งจากจมกู ประมาณ 1-2 น้วิ ) หรือใช้มือในการตรวจเช็คดงั รปู ภาพท่ี 9.
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย………………………….....…………………………..........……………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
………………………………………………………………………………………….......…………………………………………………
รูปที่ 9. แสดงการตรวจเชค็ ลมหายใจเข้าออกของโค (Rosenberger, 1979)
13
ปฏบิ ัติการ 3
Examination of the Digestive System
วตั ถุประสงค์
1. ฝกึ การตรวจระบบทางเดินอาหารของโคอยา่ งเป็นระบบ
2. ฝกึ การใช้เคร่ืองมือที่ช่วยในการตรวจระบบทางเดินอาหารของโค
3. ฝกึ การตรวจวินจิ ฉัยระบบทางเดินอาหารทางหอ้ งปฏิบตั ิการ
การตรวจระบบทางเดินอาหาร
1. การวดั อณุ หภมู ริ ่างกาย
ใช้ thermometer สอดเขา้ ทาง rectum ประมาณครงึ่ หนึ่งของความยาว thermometer
โดยใหส้ ่วนปลายของ thermometer สมั ผัสกบั ผนงั rectum อุณหภูมทิ วี่ ดั ได้จะเป็น rectal temperature
ซ่งึ ในโคปกตจิ ะมคี ่า 100 – 102°F
2. การเปดิ ปากทํานายอายุ
เน่อื งจาก incisors แท้ค่แู รกจะขึ้นเม่อื โคอายุได้ 18 เดอื น และจะขนึ้ ครบ 4
คู่เม่อื อายไุ ด้ประมาณ48 เดอื น ดังนั้นจึงสามารถคาดคะเนอายุโคได้จากการดกู ารงอกของ incisors แท้ คอื
o คแู่ รก = 18 เดอื น/ คู่ท่สี อง = 30 เดือน/ คทู่ ีส่ าม = 42 เดอื น/ คทู่ ี่ส่ี = 48 เดอื น
รูปท่ี 10. การคาํ นวณอายุจากการดฟู ันโค
14
3. การป้อนยาท่ีเป็น solution เขา้ ทางปาก
• อุปกรณ์ท่ใี ช้อาจเป็น syringe หรือ ขวดคอยาว หรือ drenching gun สอดอปุ กรณ์เขา้ ระหว่างสว่ น
ท่ไี ม่มฟี นั โดยวางสว่ นปลายของอปุ กรณใ์ หอ้ ยูท่ ่บี ริเวณโคนลนิ้ กอ่ นปลอ่ ยยาเขา้ ช่องปาก โดยใชค้ วามระมดั
ระวัง อย่าใหเ้ กดิ การสาํ ลกั
รปู ที่ 11. การใช้ Drenching gun
4. การคลําตรวจหลอดอาหารบรเิ วณลาํ คอ
• ใช้มอื คลําบริเวณลาํ คอขา้ งๆ หลอดคอ (trachea) ปกตจิ ะพบหลอดอาหารมีลักษณะเปน็ ลาํ นม่ิ
ไมม่ กี ระพุง้ หรอื เกดิ การบวมอักเสบ
5. การตรวจ เคาะ ฟังเสยี งการทํางานของกระเพาะรเู มน
• อปุ กรณท์ ี่ใชค้ อื pleximeter และ percussion hammer สาํ หรับเคาะ และ stethoscope
สําหรบั ฟงั เสียง
15
รปู ที่ 12. อปุ กรณ์การตรวจระบบทางเดินอาหารของโค
6. การตรวจระบบทางเดินอาหารดว้ ยการล้วงตรวจทางทวารหนัก
7. การเกบ็ และการวเิ คราะหต์ ัวอย่าง rumen fluid
• อุปกรณ์ท่ีใชค้ ือ stomach tube
• สอดท่อเขา้ ทางปากจนถงึ กระเพาะรูเมน ดูด rumen fluid ผ่านทางท่อ ใชน้ ้วิ มืออดุ ปลายท่อคอ่ ยๆ
ดึงท่อออกมา ปลอ่ ยน้ิวมือให้ rumen fluid ไหลลงสู่ beaker ทีเ่ ตรยี มไว้
รูปที่ 13. การทำ stomach tube ของโค
• Rumen fluid analyses
i. Color:
16
• green -> กนิ หญา้ สด
• green brown -> กินอาหารขน้ และอาหารหยาบอยา่ งพอเหมาะ
• yellow-brown -> กินหญา้ แห้ง
• milky to brown -> กนิ อาหารข้นมากเกินไป
ii. Oder
• aromatic -> ปกติ
• sour or acid -> ผดิ ปกติ
iii. pH
• 5.5 – 7 -> ปกติ
• > 7 -> inactive rumen
• < 5.5 -> rumen acidosis
• > 7 -> rumen alkalosis (urea toxicity)
iv. Protozoa
• Mixed sizes and species
• No large protozoa -> mild indigestion
• No protozoa -> rumen acidosis
• rumen protozoa count -> 40 cells/microscopic field (X10)
รูปท่ี 14. สว่ นประกอบ ruminal content ของโค
v. Methylene blue (add 1 ml methylene blue/ 20 ml rumen fluid) Blue colour
disappear
• 3 – 6 min -> normal
• < 3 min -> grain overload
• > 6 min -> inactive rumen
vi. Sediment activity time
• 4 – 8 min -> normal
• Absent or rapid -> inappetite
17
• Prolonged -> frothy bloat
vii. Gram stain
• Gram negative > Gram positive = normal
• Gram positive > Gram negative = grain engorgement
รปู ที่ 15. Microorganism ใน ruminal content ของโค
รปู ท่ี 16. อวยั วะในระบบทางเดนิ อาหาร ด้านขวาของโค
18
Gas
Today’s Hay
Yesterday’s Feed
รูปที่ 17. กระเพาะรเู มนของโค
เยื่อบุภายในกระเพาะอาหารโค
Rumen
Reticulum
Omasum
Abomasum
รูปท่ี 18. แสดงลักษณะกายวภิ าคของ Rumen Reticulum Omasum และAbomasum ของโค
19
บันทกึ ปฏิบตั ิการ
การตรวจระบบทางเดนิ อาหาร
1. วนั ทีป่ ฏบิ ตั ิการ ...........................................................
2. ชนิดโค โคเนื้อ โคนม อายุ .............. ปี หมายเลขโค ..............................................
3. การตรวจร่างกายทวั่ ไป
อณุ หภูมิร่างกาย ....................... °F การหายใจ ........................... คร้ังตอ่ นาที
การเต้นของหัวใจ ........................ ครง้ั ตอ่ นาที ชพี จร .................................. ครั้งต่อนาที
การบบี ตวั ของรเู มน ............. คร้ังต่อนาที
4. ผลการตรวจช่องปาก
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
5. ผลการตรวจคลําหลอดอาหาร
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
6. ผลการตรวจช่องท้องดว้ ยการคลาํ และเคาะฟงั เสียง
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
7. ผลการตรวจชอ่ งทอ้ งดว้ ยการลว้ งผา่ นทางทวารหนกั (rectal palpation)
………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………
8. ผลการตรวจ rumen fluid
8.1 สี .....................................................................
8.2 กลิน่ .................................................................
8.3 pH …………………………………………………
8.4 โปรโตซัว .........................................................
8.5 การตรวจด้วยเมธิลลนี บลู ................................ นาที
8.6 เวลาการตกตะกอน ......................................... นาที
8.7 สรุปผลการตรวจ rumen fluid
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
20
ปฏิบัตกิ าร 4
Examination of the Cardiovascular System
วตั ถปุ ระสงค์ของปฏิบตั ิการ
• เพ่ือใหน้ ิสติ ฝกึ การใช้ stethoscope เพ่ือชว่ ยในการวนิ จิ ฉยั โรค
• เพอ่ื ใหน้ สิ ิตฝึกการตรวจเคาะ และใช้เครอื่ งมอื ตรวจโลหะ เพ่อื วินิจฉัยโรคในสตั ว์
• เพื่อใหน้ สิ ติ ฝกึ การตรวจวัดชีพจร การตรวจเชค็ อุณหภูมิของสตั ว์
อุปกรณท์ ใ่ี ช้
• Stethoscope
• เครื่องมือในการใช้ตรวจเคาะ (Percussion and Pleximeter)
• เครอ่ื งมอื ตรวจเชค็ โลหะ (Metal detector)
การซักถามประวัติ
ตรวจสอบข้อมลู พ้ืนฐานของสัตว์ ไม่ว่าจะเปน็ การตรวจระบบใดก็ตาม
การซกั ถามประวัติสัตวป์ ่วยเป็นสงิ่ แรกท่ีต้องกระทาํ เสมอและข้อบง่ ชีท้ ่จี ะสนั นิษฐานวา่ มปี ญั หาเก่ยี วกับระบบ
หมุนเวียนโลหิตเช่น การบวมน้าํ บริเวณเหนียงและคอ หรือการคัง่ ของเลอื ดบริเวณ Jugular vein เปน็ ต้น
การตรวจทางกายภาพระบบหัวใจและทางเดนิ โลหิต
1. ทาํ การทดสอบใหเ้ ดินหรอื วิ่งเป็นวงกลม (เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางวงกลม ประมาณ 6 เมตร) สังเกตลกั ษณะ
อาการของสตั ว์ หลังการทดสอบสัตวม์ ลี กั ษณะเหน่อื ยง่ายหรือไมอ่ ย่างไร
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย…………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. ใหส้ งั เกตสีของเยอื่ เมือก บรเิ วณ conjunctiva, vulva, tongue, gum, ear, udder
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย………………………………………………………………………………..………...
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ให้สงั เกตว่าพบการบวมน้ํา (edema) ที่บรเิ วณหน้าอก (Brisket), Submandibular หรือทีส่ ว่ นขา
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
4. ให้สงั เกตว่าพบ False jugular pulse หรอื ไม่
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย…………………………………………..……………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
5. มองตรวจการกระเพ่อื มของผิวหนังท่ตี ําแหนง่ หวั ใจท่ที รวงอกดา้ นซา้ ยและขวา (rib 3-6)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
การตรวจวดั ชพี (Pulse rate)
การตรวจชีพจรสามารถกระทาํ ได้โดยจบั ดูบริเวณเส้นเลอื ด peripheral artery
ซึง่ มหี ลายตาํ แหนง่ ทเี่ หมาะสม เช่น
• External maxillary artery อยู่บริเวณดา้ นขา้ งค่อนไปทางบนของกล้ามเน้ือ masseter muscle
21
• Median artery อยู่ดา้ นในของขา ใต้ไปทางด้านหนา้ ของ elbow joint
• Saphenous artery อยูบ่ ริเวณก่ึงกลางบริเวณ tibial ด้านในของขาหลังโดยอย่บู ริเวณหนา้ ของ
hamstring tendon
• Coccygeal artery อยู่ภายในบริเวณหาง โดยวดั ห่างจากโคนหางราว หนงึ่ ฝ่ามอื
• Bifurcation of the aorta สามารถวดั ไดโ้ ดยการลว้ งตรวจทางทวารหนัก อยดู่ ้านบน
โดยเส้นเลอื ดนีอ้ ยใู่ ตก้ ระดูก lumbar
รูปที่ 19. การตรวจจับชีพจร External maxillary artery โดยเส้นเลอื ดนีจ้ ะพาดภายใตน้ วิ้ ชี้และกลาง
(Rosenberger 1979)
ชีพจรอาจจะผันแปรได้ ตามอายุ เพศ นํ้าหนักตวั
ชีพจรของโคปกติ จาํ แนกตามอายุ
• ลูกโคดดู นม 90-110 ครั้งต่อนาที
• ลกู โคหยา่ นมแล้ว70-90 ครงั้ ตอ่ นาที
• โคท้อง 70-90 ครง้ั ต่อนาที
• โคตวั ผู้ 60-70 คร้ังต่อนาที
6. คลําชพี จรตรวจ Pulse rate ท่ี External maxillary artery
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย…………………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
7. คลําชีพจรตรวจ Pulse rate ท่ี Coccygeal artery
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
8. ตรวจ Capillary Refill Time (CRT) โดยการใชน้ ้ิวมือกดทีบ่ ริเวณเหงือกโค นาน 3 วินาที จับเวลา
เลอื ดไหลกลับ โดยคา่ ปกติแลว้ คา่ ท่ีได้ในสัตว์ปกติจะนอ้ ยกวา่ 2 วินาที
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย……………………………..…………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
22
รูปที่ 20. การใช้มือคลํา apex beat ของหัวใจ (Rosenberger, 1979)
9. คลําตรวจอัตราการเต้นของหวั ใจ (Heart rate) (จาํ นวนครั้งตอ่ นาที) และ Pounding beat (เสยี ง 1st
heart sound ทดี่ ังมากกว่าปกติ) (รูปภาพที่ 2.)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย……………………………..…………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
10. คลาํ ตรวจ Intensity ของหัวใจ (ตรวจหา strong, moderate หรือ soft heart sound)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
11. คลาํ ตรวจ Rhythm ของหัวใจและ arrhythmia (หัวใจเต้นไม่สมาํ่ เสมอ โดยตรวจหา regular หรอื
irregular heart sound)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………..
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
12. คลําตรวจความรู้สึกแนน่ (tenderness) ทั่วบริเวณหัวใจ เปรียบเทยี บกบั สว่ นนอกบริเวณหวั ใจ
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย……………………………………..…………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
13. ตรวจอาการแสดงออกของโคเมอ่ื ใชน้ ้ิวช้ีและกลางกดท่ีซโ่ี ครงเปรียบเทียบกบั ชอ่ งระหว่างซ่ีโครง
(Intercostal space) ในส่วนหัวใจและรอบบริเวณหัวใจ (Intercostal space 3 th และ 5th )
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย……………………………………..…………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
14. ตรวจอาการแสดงออกของโคเมอื่ ใชม้ อื ขยมุ้ withers ทก่ี ลางหลงั (รปู ภาพที่ 3.)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย………………………………………………..………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
23
รปู ท่ี 21. The withers pinch test (Jackson and Cockcroft, 2002)
15. ตรวจอาการแสดงออกของโค เม่ือใช้กําปั้นกดยกข้นึ ทต่ี าํ แหนง่ หัวใจในแนวกลางลาํ ตัว (midline)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………….……………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
16. ตรวจบริเวณรอบหวั ใจ โดยการใชเ้ ครอื่ งตรวจเช็คโลหะ (รปู ภาพท่ี 4.)
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
รูปที่ 22. เคร่ืองตรวจโลหะ (metal detector) (Rosenberger, 1979)
17. การเคาะตรวจบริเวณหวั ใจและนอกบรเิ วณหัวใจตามเส้นท่ี 1-5 (รูปภาพท่ี 5)
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย………………………….……………………………………………………………...
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
24
รูปท่ี 23. แนวเคาะผ่านสว่ นในและสว่ นนอกบริเวณหวั ใจ (Rosenberger, 1979)
รปู ท่ี 24. การใช้ stethoscope ฟังเสียงการเต้นของหัวใจ (Rosenberger, 1979)
18. ฟงั เสียง First (Systolic) heart sound “lub” (เกดิ ขณะท่ี Ventricular systole มี myocardium
contraction พร้อมกบั การปดิ ของ Artioventricular valves (AV valves)
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย…………………………………….…………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
19. ฟังเสียง Second (Systolic) heart sound “dup” ท่ีตาํ แหน่ง base of heart (เกิดจากการปดิ ของ
Aorticและ Pulmonary valves) ในขณะเริ่มตน้ ของ Diastole อาจเรียก Diastolic heart sound
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย……………………………..…………………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………….
20. เปรยี บเทียบ ช่วงจงั หวะ (rhythm interval) ระหว่าง “lub-dup” กับ “dup-lub”
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย…………………………………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………….
25
21. ฟงั เสยี งลิน้ หัวใจ Pulmonary valve (P ในภาพท่ี 7.) ของโค (ฟังด้านซ้าย
ดนั ขาหน้าซา้ ยไปข้างหน้าเสียงดงั ชดั ท่ีสดุ เกอื บคร่ึงทางระหว่าง elbow และ shoulder joints ดนั chest
piece ไปขา้ งหนา้ มากทสี่ ดุ
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………….…………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
22. ฟงั เสยี งล้ินหวั ใจ Aortic valve (A ในภาพท่ี 7.) ของโค (ฟังด้านซา้ ย ดันขาหน้าซา้ ยไปขา้ งหนา้
ได้ยนิ เสยี งดังชดั ท่สี ุดทจ่ี ุดต่าํ กว่าแนวระดับของ shoulder joints เล็กน้อย)
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย…………………………………………………………………………………………..
……………………………………………………………………………………………………….
รปู ท่ี 25. ตําแหนง่ ที่ฟังเสยี งลน้ิ หัวใจ (Rosenberger, 1979)
23. ฟงั เสียงลิน้ หัวใจ Bicuspid (Mitral หรอื LAV) valve (B ในภาพที่ 7.) ของโค (ฟงั ดา้ นซ้าย
ดันขาหนา้ ซ้ายไปข้างหนา้ เสยี งดังชัดที่สดุ ท่จี ดุ ครึ่งทางระหวา่ ง elbow และ shoulder joints ที่ 5th
intercostalsspace)
ผลการตรวจและอธบิ ายความหมาย………………………….……………………………………………………………...
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
24. ฟงั เสียงลน้ิ หัวใจ Tricuspid valve (T ในภาพที่ 7.) ของโค (ฟงั ดา้ นขวา
ดันขาหนา้ ขวาไปขา้ งหนา้ อย่ตู ําแหนง่ เดียวกับ Pulmonary valve เสยี งดังชดั ท่ีสุดเกือบคร่ึงทางระหว่าง
elbow และ shoulder joints ดนั chest piece ไปข้างหนา้ มากท่สี ดุ
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย……………………….………………………………………………………………...
……………………………………………………………………………………………………………………………………………..
25. การทํา venous stasis test กระทําไดโ้ ดย การกดปลายบนของเส้นเลอื ด external jugular vein
(รปู ท่ี8.) (External jugular vein เปน็ เส้นเลอื ดท่รี ับเลือดจากบริเวณหัว โดยรับเลือดจาก external และ
internalmaxillary veins ผ่านไปตาม jugular groove ซ่ึงเป็นรอ่ งระหว่างกลา้ มเนอ้ื Cleidocephalicus
กบั Sternomandibularisไปยงั ทางช่องอก รวมกับเสน้ เลอื ดด้านตรงขา้ มและ Brachial vein ซ้ายขวา เป็น
26
anterior vena cave) ถ้าเลอื ดไหลออกจากเส้นเลือดเข้าสู่หวั ใจได้ เรียกวา่ ปกติ หรอื Negative Venous
stasis ถ้าเลือดไม่ไหลออกจากเสน้ เลอื ดทันที แต่ยังคงคั่งคา้ งอย่ใู นเสน้ เลือด เรยี กว่า Positive Venous stasis
ซงึ่ เกดิ เน่ืองจากมีการขดั ขวางการไหลของเลือดเขา้ สชู่ อ่ งอกหรือหวั ใจ โดยเกีย่ วขอ้ งกบั การบวมและมเี ลอื ดค่งั
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย……………………………………………………..………………………………………………..
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
รูปที่ 26. การทดสอบ Venous stasis (Rosenberger, 1979)
26. อณุ หภูมหิ มายถึง อณุ หภมู ริ ่างกายภายในตวั สัตว์ โดยปกตจิ ะวัดทางทวารหนกั หากกรณที ว่ี ดั ทาง
ทวารหนักไม่ได้ จะทาํ การวัดทาง vagina แทน ซง่ึ อุณหภูมทิ ่ีไดจ้ ากการวดั บรเิ วณนี้จะตํ่ากว่า การวัด
บรเิ วณทางทวารหนกั อณุ หภมู ิปกตขิ องสตั วจ์ ะขนึ้ กับ
อายุ
• Clave 38.5-39.5 oC (101.3-103.1 oF)
• Young cattle 38.0-39.5 oC (100.4-103.1 oF)
• Adults 38.0-39.0 oC (100.4-102.2 oF)
ชว่ งเวลาระหวา่ งวนั (Time of the day)
• ปกติอณุ หภูมใิ นชว่ งเยน็ จะสูงกว่าชว่ งเช้า 0.5-1.0 oC (0.9-1.8oF)
สภาวะส่งิ แวดล้อม (Environment condition)
• เช่น ในฤดรู อ้ น หรือ ในฤดหู นาว
Exertion (work) violent exercise or feeding
• เช่นการออกกําลังกาย หรอื ถูกใชแ้ รงงาน อยา่ งมาก หรือในขณะท่ีกินอาหาร
จะทําให้อุณหภูมิสงู ข้นึ ช่วั ขณะ เน่ืองจากเปน็ ผลของการเพิ่มขึ้นของเมตาโบลิซึมของรา่ งกาย Reproduction
function
• ในสัตว์เพศเมยี อณุ หภมู จิ ะค่อยๆ เพ่มิ ข้ึนเล็กน้อย ในชว่ งของการเปน็ สดั หรอื ชว่ งคลอด
และจะตํา่ กวา่ ปกตเิ ลก็ น้อย (0.5-1.0 oC) ในช่วงหนึ่งวันกอ่ นการเปน็ สดั และหนง่ึ วันกอ่ นคลอด ในขณะทจ่ี ะทํา
การวดั ให้ทําการเขย่าหรือสะบัดปรอทก่อนใช้ และใหส้ อดชดิ ผนงั เรคตัมนานมากกว่า 30 วนิ าที หากอณุ หภมู ิท่ี
ได้ สูงหรือตํา่ กว่าคา่ ปกตใิ หท้ ําการวัดใหมอ่ กี ครั้ง ก่อนทีจ่ ะนาํ ไปใช้วดั ในสตั วต์ ัวใหม่ ใหม้ กี ารทําสะอาดก่อน
ทกุ คร้ัง
ผลการตรวจและอธิบายความหมาย………………………………….……………………………………………………...
27
ปฏบิ ตั ิการ 5
Bovine restraint, blood collection and injection technique
วัตถุประสงค์ของปฏบิ ตั ิการ:
1. เพ่ือใหน้ สิ ิตเขา้ ใจในหลักการบงั คับสัตว์ เพ่อื ใชใ้ นการตรวจวนิ จิ ฉัยโรคระบบต่าง ๆ
การเจาะเกบ็ เลอื ด การฉดี ยา และตรวจคลําต่อมนาํ้ เหลือง
2. เพื่อใหน้ สิ ติ สามารถปฏบิ ตั ิ บังคับสตั ว์ การเจาะเก็บเลือด การฉดี ยา ตรวจคลาํ ตอ่ มนํ้าเหลือง
ทส่ี าํ คญั เพอ่ื ใชใ้ นการตรวจวินิจฉยั โรคได้
1. การบังคับสัตว์
a. การเข้าคางเรอื ทตี่ ําแหนง่ คอของโค เพ่ือทาํ การเจาะเกบ็ เลือดท่ี เส้นเลอื ด Jugular vein การฉดี ยา
ตรวจวินจิ ฉัยโรค
1. การใชเ้ ชือก ในการเข้าคางเรอื โค
รปู ที่ 27
2.ลกั ษณะการเขา้ คางเรอื โคเม่ือโคไมม่ เี ขา
รูปท่ี 28
28
3.ลกั ษณะการเขา้ คางเรอื โคเม่ือโคมเี ขา
รูปที่29 รูปที่ 30
b. การลม้ โคเพอ่ื ทําการตรวจโคหรือทําศลั ยกรรมย่อย (minor surgery)
1. ผู้ลม้ 5 คน และเชือด ยาว 2 เสน้ เชือกสั้น 2เสน้
รปู ท่ี 31
2. ใชเ้ ชือกยาว ผกู คอกับหลกั 1เส้น และอีกเสน้ นาํ มาทาํ loop ล้ม
รปู ที่ 32
29
3. ทาํ การดงึ ไปด้านหลงั และเฉียงไปด้านขวาของโค
รูปที่ 33 รปู ที่ 34
4. เม่ือโคลม้ ให้เข้าตามตําแหนง่ พร้อมกัน
รูปที่ 35
5. โคควรจะไมส่ ามารถเคลอื่ นไหวได้ และคอยสงั เกตวา่ ท้องอดื หรอื ไม่
รูปที่ 36
30
6. กอ่ นทําการปล่อยต้องตรวจสภาพโค และปลอ่ ยเชอื กใหเ้ รยี บรอ้ ย
รปู ที่ 37
7. หลังจากการลม้ ควรเฝ้าดอู าการของโค
รูปที่ 38
การเจาะและเก็บเลือดโค
1. อปุ กณ์ การเจาะและเก็บเลอื ดโค
รปู ท่ี 39
31
2. การเจาะเก็บเลือดทีห่ ู
รูปท่ี 40 รูปที่ 41
3.เชด็ ดว้ ยแอลกอฮอล์
รปู ที่ 42
4. การเจาะเก็บเลือดทเ่ี ส้นเลือดทค่ี อ
รปู ที่ 43
5. เอียงเข็มตามแนวของเส้นเลอื ด
รูปที่ 44
32
6. การเจาะเกบ็ เลือดทเี่ ส้นเลือดทีห่ าง มกั เกบ็ จากโคนม
รูปท่ี 45
6. ตําแหนง่ ที่ทําการเจาะ
รูปท่ี 46
8. ต้องถอดหัวเข็มออกกอ่ นทกุ ครงั้
รปู ที่ 47
9. นําเลือดไปใสใ่ น ขวด EDTA
33
รูปท่ี 48
10. ทําการผสมเลือดและ EDTA
รูปท่ี 49
11. ในการเกบ็ serum ตอ้ งทําการปลอ่ ยลงด้านข้าง เบาๆ
รูปท่ี 50
34
2. การฉีดยา เขา้ กลา้ มเนอ้ื /เข้าใตห้ นัง/เสน้ เลอื ด
1. เตรยี มอปุ กรณใ์ ห้พรอ้ ม
รูปท่ี 51
2. ใช้ แอลกอฮอลเ์ ช็ดปากขวดยา
รปู ท่ี 52
3. ระหวา่ งทําการดูดยาระวังอากาศทเ่ี ขา้ สู่ขวดยา
รูปท่ี 53
35
3. ตําแหนง่ ฉีดยาท่คี อ
4.
รปู ที่ 54 รปู ท่ี 55
5. ตบใกลๆ้ กบั บริเวณทจ่ี ะฉีด
รปู ท่ี 56 รปู ท่ี 57
5. ตอ่ หัวเขม็ ต้องทาํ การเชค็ วา่ ยาไมอ่ ยใู่ นเสน้ เสือด
รูปท่ี 58
การใช้ยาหรือสารเคมที ี่ทําการรกั ษาหรือฉีดแก่สตั วต์ ้องทําความคําแนะนํา route ทใ่ี ห้
และต้องดูผลข้างเคยี งขา้ ง จากเอกสารกาํ กับของยาอยา่ งเคร่งครดั
36
• กล้ามเน้ือ; ปรมิ าณยาทฉี่ ดี ไมค่ วรเกนิ 20 CC ต่อตาํ แหน่งที่ฉีด
หลงั จากทําการฉดี ยาควรมีการคลงึ บรเิ วณที่ทําการฉดี เพื่อให้ยามีการกระจายตวั ไดด้ รี วมท้ังตาํ แหนง่ ท่ฉี ีดควรมี
การเคล่ือนไหว เช่น คอ สะโพก เปน็ ตน้
• ใต้หนัง; ปริมาณยาท่ฉี ดี ไม่ควรเกิน 25 CC ตอ่ ตําแหน่งท่ฉี ดี และ
การใหส้ ารนํา้ แก่โคเพื่อให้การดูดซมึ ของสารน้ําคอ่ ยดดู ซมึ หลังจากทาํ การฉีดยาควรมกี ารคลึง
บริเวณทีท่ ําการฉีดเพอื่ ให้ยามีการกระจายตัวได้ดรี วมทั้งตาํ แหนง่ ที่ฉีดควรมีการเคลือ่ นไหว เชน่
ใต้ผวิ หนงั บริเวณคอ
รปู ที่ 59. แสดงการใหส้ ารนํา้ ใตผ้ วิ หนังบริเวณคอ
• เสน้ เลอื ด การให้ยาใหท้ างเสน้ เลอื ดควรมกี ารดแู ลและตรวจการเตน้ ของหัวใจรว่ มด้วย
ในการให้ยาในช่วงเร่มิ ตน้ ควรให้ปริมาณทนี่ อ้ ยและคอยสงั เกตอาการว่าโคมีอาการแพ้ยาแบบเฉียบพลัน
เกิดข้ึนหรือไม่ การเดินยาควรเดนิ ยาชา้ และควรทําการควบคุมโคให้นิ่งระหวา่ งการใหย้ า หากยามีปรมิ าณ
มากอาจใหผ้ สมทางสารท่ใี ห้แกโ่ คได้
37
ปฏิบัตกิ ารที่ 6
Palpation of Lymph node location technique
วตั ถุประสงค์ของปฏบิ ัตกิ าร:
เพื่อใหน้ ักศกึ ษาเข้าใจในหลักการตรวจตาํ แหนง่ ของตอ่ มนา้ํ เหลืองที่อยใู่ ตผ้ วิ หนังเบอ้ื งตน้
โดยสามารถรบั รูถ้ งึ ขนาด รปู ร่างและความยืดหยนุ่ ได้
การตรวจคลําตอ่ มนา้ํ เหลือง (Lymph node)
การตรวจตอ่ มนํา้ เหลืองเป็นการตรวจความผดิ ปกติทเ่ี กดิ จากโรคบางอย่าง เชน่ bovine
Leukemiaเปน็ ตน้
รปู ท่ี 60. การแสดงตาํ แหน่งของต่อมน้ําเหลืองทอ่ี ยใู่ ตผ้ ิวหนัง
Above: palpation of externally accessible lymph nodes. 1 = mandibular lymph node,
2= parotid lymph node, 3 = medial retropharyngeal lymph node, 4 = superficial cervical
lymph node,5 = subiliac lymph node, 6 = mammary lymph node.
Below, left: cranial view of the pelvic cavity, to show rectal palpation of iliofemoral lymph
nodes (7) and lymph nodes of the aortic bifurcation (8)
ตําแหน่งของต่อมน้าํ เหลอื งท่ีอย่ใู ตผ้ ิวหนงั
38
1. Superficial cervical lymph node
รปู ที่ 61. Superficial cervical lymph node
2. Retropharyngeal lymph node
รูปที่ 62. Retropharyngeal lymph node
3. Parotid lymph node
รูปท่ี 63. Parotid lymph node
39
4. Mandibular lymph node
รูปที่ 64. Mandibular lymph node
5. Subiliac lymph node
รปู ท่ี 65. Subiliac lymph node
40
ปฏบิ ัตกิ ารท่ี 7
Instruments and Usages Lab.
วตั ถุประสงค์
เรยี นรู้อุปกรณ์และเครื่องมือทางสัตวแพทยท์ สี่ ําคญั ถึง
• ความสาํ คญั และประโยชนข์ องเครอ่ื งมือ
• ส่วนประกอบสําคัญของเครอ่ื งมอื
• เทคนคิ และวธิ ีการใช้เครอ่ื งมือ
• การใชเ้ ครื่องมอื ในการตรวจรกั ษาสตั ว์
หวั ขอ้ การสอน
• Stethoscope
• Otoscope
• Ophthalmoscope
• Endoscope
• Ultrasound
• Anaesthesia machines
1. เครื่องฟงั เสียงจากร่างกาย (Stethoscope)
เป็นเครือ่ งมอื การฟงั เสยี งที่เกดิ จากเสียงของอวัยวะท่ีกาํ ลงั ทํางาน การตรวจสามารถตรวจฟงั ไดท้ ี่ปอด
ทางเดินอาหาร หวั ใจ และอวัยวะอืน่ ๆส่วนประกอบ
1. Chest-piece รูปแบบท่ปี ระดิษฐข์ ึ้นตอ้ งให้เหมาะกบั เสยี งและการฟงั
• Open bell ลักษณะเป็นรูประฆังใช้วสั ดเุ ป็นโลหะหรอื พลาสติกแขง็
• Diaphragm (membrane) รูปแบบวงกลม กรอบนอกอาจเป็นโลหะหรอื ยางบุ เพ่ือ
ประโยชน์ในการขจดั friction sounds ระหว่าง chest piece และขนของสตั ว์
2. Ear pieces เป็นส่วนปลายอปุ กรณ์ขา้ งทีต่ อ่ กบั หหู รือรูหเู พอ่ื ฟงั จะมเี ปน็ เมด็ ปุม่ 2 ข้างขนาดที่
สามารถสอดอดุ รูหูอย่างพอเหมาะและไมเ่ กดิ การบีบกดแน่นท่ีหู ซ่ึงอาจมีรูปแบบแหลมหรือท่กู ลมมน
รปู ที่ 66 Stethoscope
41
เทคนคิ และวิธกี ารใช้เคร่อื งมอื
ตาํ แหน่งของหวั ใจ วาง Chest-piece แนบบรเิ วณทรวงอกของตําแหนง่ ขอ้ ศอกสัตว์ สามารถตรวจฟงั
บริเวณทรวงอกซา้ ยระหวา่ งกระดกู ซี่โครงท่ี 2-6 ทรวงอกขวาระหวา่ งกระดกู ซ่ีโครงที่ 3-4ตําแหน่งของปอด
วาง Chest-piece แนบบรเิ วณทรวงอกทง้ั สองข้าง ในม้าบริเวณปอดสว่ นหน้าจะเปน็ กลา้ มเนื้อ หัวไหลแ่ ละ
ข้อศอก ดา้ นบนเปน็ กลา้ มเนือ้ หลงั ขอบส่วนหลงั และล่างของปอดจะเปน็ กระบงั ลม เมอ่ื ลากเสน้ เป็นแนว
ระดับจากส่วนใตข้ อง tuber coxae จะเปน็ ตาํ แหนง่ ปอดทอ่ี ยรู่ ะหวา่ งกระดกู ซโี่ ครงที่ 16 ลากเส้นเปน็ แนว
ระดบั จากขอบสว่ นล่างของ tuber ischii จะเป็นตาํ แหน่งปอดทีอ่ ยู่ระหวา่ งกระดูกซ่ีโครงท่ี 14 ลากเส้นเป็น
แนวระดบั ผา่ นข้อหวั ไหลไ่ ปทางด้านท้าย จะเปน็ ตาํ แหน่งปอดทีอ่ ยรู่ ะหวา่ งกระดูกซ่ีโครงที่ 11 และ middle
lobe ของปอดจะอยบู่ ริเวณกระดกู ซโ่ี ครงท่ี 9 ตําแหน่งการฟัง gut sounds จะเปน็ บรเิ วณสวาปซ้ายขวาเสียง
ของหัวใจอาจเกดิ cardiac rhythm, cardiac murmurs เสียงของปอดที่ผิดปกตอิ าจเกดิ crackles,
wheezes, rubbing เปน็ ตน้
2. เคร่อื งมอื ตรวจหู (Otoscope หรือ Auriscope)
เปน็ เครอื่ งมอื สาํ หรับการตรวจชอ่ งหู เช่น การตรวจส่วน external acoustic meatus หรอื อาจ
ตรวจส่วนลกึ เขา้ ไป internal acoustic meatus
สว่ นประกอบ
• สว่ นคล้ายรปู กรวยขนาดตา่ งๆ กนั เปน็ เหมอื นเครื่องถ่างขยายช่องรหู ู
• มีเลนส์ขยายขนาดต่างๆ
• ท้งั สองส่วนตอ่ เข้ากับส่วนมือถือตรวจ และเปน็ แหลง่ กาํ เนดิ ไฟเปน็ ถ่านไฟฉาย แบตเตอรแี่ ห้ง
หรือใชก้ ระแสไฟฟา้
เทคนิคและวธิ กี ารใชเ้ ครื่องมือ
ใหส้ ัตว์อยนู่ ิ่ง อาจทาํ การสังเกตดสู ว่ นช่องหภู ายนอกก่อน ต่อมาใช้เคร่ืองมือตรวจหู
สอ่ งตรวจดูสว่ นภายใน การตรวจดมู ักส่องตรวจดูท้ังสองขา้ ง การปฏิบัติการตรวจอาจทําเพ่ือตรวจวนิ ิจฉัยโรคหู
ตรวจดกู ารอกั เสบของหู ขเี้ ร้ือนหู การหาวตั ถุแปลกปลอมและเกบ็ ตัวอยา่ งเพ่ือสง่ ห้องปฏิบตั ิการ
รปู ที่ 67 Otoscope
42
3. เครอ่ื งมือตรวจตา (Ophthalmoscope)
เป็นเคร่ืองมอื สําหรบั การตรวจสว่ นภายในตา โดยจะมแี สงสวา่ งผ่านเขา้ ไปตามเลนส์มองตาเพื่อ
ทีจ่ ะตรวจสอบ ความผดิ ปกตขิ องตาหรือความผิดปกติของอวัยวะอน่ื ๆ ท่ีมผี ลกระทบต่อภาวการณ์ ทาํ งาน
ของตา สว่ นประกอบ
• ตัวเคร่ืองมือจะมกี ระจกเงารบั ภาพ
• เลนส์ขยาย
• สว่ นมือถอื และแหล่งกาํ เนดิ ไฟ เป็นถา่ นไฟฉาย แบตเตอรีแ่ หง้ หรือใชก้ ระแสไฟฟ้า
เทคนิคและวิธกี ารใช้เคร่อื งมอื
1. การตรวจแบบ direct ophthalmoscopy ในระยะใกล้
• ต้ังลาํ แสงขนาดใหญ่สดุ
• ผตู้ รวจสามารถเปิด-ปดิ สวิทซ์ ปรบั ระดบั ความเข้มสวา่ งมากน้อย
• ตอ้ งเลือกเลนส์ชนดิ magnifying (+) และ reducing (-) ใน lens magazine
ตวั อย่าง
การตรวจตาภายนอกจะต้ังที่ +20D ถงึ +15D
ตรวจมา่ นตาตั้งที่ +15 ถึง +12D
ตรวจเลนส์ตง้ั ที่ประมาณ +12 ถึง +8
ตรวจ aqueous และ vitreous ตั้งระหวา่ งกลางๆ
ตรวจ fundus ปกติตง้ั เครื่องมอื ตรวจตาหา่ งจาก ตาประมาณ 2 เซนติเมตร และตง้ั ทร่ี ะหว่าง +2D
ถึง -2D หรือตง้ั ท่ี 0
• การตรวจ direct ophthalmoscopy ในระยะใกล้ จะใหภ้ าพจรงิ หวั ตัง้ และกําลังขยายมากกว่า 15
เทา่
รูปที่ 68 Ophthalmoscope
43
2. การตรวจแบบ direct ophthalmoscopy ในระยะไกล
2.1 การตรวจแบบในระยะไกลมปี ระโยชน์ในการประเมนิ ตาํ แหนง่ การแผ่ขยายการขุ่นมัว
ระหว่างผู้ตรวจ และ ocular fundus
2.2 มกั จะใช้เปน็ quick screening method ก่อนทจ่ี ะตรวจรายละเอยี ดอยา่ งอน่ื มากข้นึ
2.3 ทาํ การตั้งท่ี 0 เทคนิคนกี้ ระทําในทม่ี ีแสงสวา่ งนอ้ ยหรือหอ้ งมืด จะตรวจมองภาพ tapetal หรอื
fundus reflex ผา่ นรมู ่านตา โดยผู้ตรวจยืนห่างจากม้าประมาณ 1 ช่วงแขน
2.4 การเกดิ opacities ใน path ของ fundus reflex จะปรากฏเป็นภาพเงา
3. การตรวจแบบ Indirect ophthalmoscopy
3.1 กระทาํ โดยสามารถใช้ condensing lens และ pen light
3.2 จับถอื เลนสใ์ หห้ ่างจากตาม้าประมาณ 2-3 เซนติเมตร และนว้ิ มือจะถือเลนส์แตะอย่างแผ่วเบา
บนเปลอื กตาบนของม้า Pen light ถกู สอ่ งผา่ นเลนส์ระยะห่าง 50-80 เซนติเมตร การตรวจแบบ
Indirect ophthalmoscopy ทาํ ให้เกิดภาพจริงหัวกลบั และขยายมากขน้ึ การปฏิบัตกิ าร
ตรวจสามารถพบความผิดปกติของตาสตั ว์ได้ เช่น กระจกตาฝา้ ขาวหรอื เปน็ ฝีพยาธิ ในชอ่ งนํ้า
ตาสว่ นหนา้ ต้อของเลนส์ จอรับภาพของลูกตาผดิ ปกติ ซึ่งอาจเกดิ กับตาข้างเดียวหรือทัง้ สองขา้ ง
4. Anaesthesia machines
เคร่ืองมอื ให้ยาเพื่อวางยาสลบในสตั ว์ใหญ่ เพ่ือให้สตั ว์สงบและปราศจากความเจบ็ ปวด เม่ือจะทํา
ศัลยกรรม
เครอื่ งดมยาสลบจะประกอบดว้ ย
1. แก๊สสลบ
2. เครือ่ งดมยาสลบ ระบบไหลเวียนเขา้ สปู่ อด
3. แกส๊ ทใ่ี ช้ Halothan, Isofluran, Nitrous Oxide, Oxygen
4. Anaesthesia machine
เครื่องแบบ To and Fro (Pendelsystem)
CO2-Absorber Endotracheal tube ผา่ นทางปาก
1. ถัง O2
2. เกยร์ กั ษาระดับความดัน O2
3. ระดบั ความดันที่ไหลเวยี น (Liter per minute)
4. Vaporizers (เครื่องเปล่ยี นของเหลวใหเ้ ปน็ ไอ)
5. สายทอ่ ท่มี ี Gas บรสิ ทุ ธิ์ไหลผา่ น
6. To and Fro: “Co2-Absorber (Pendel Anaesthetic system)
7. ถุงลมหายใจ (rebreathing bag)
8. Endotrachest tube ที่เปา่ ถงุ ลมโป่งพอง
9. ทล่ี ดระบายแกส๊ ออก
Circle System
1. Endotracheal tube อากาศเข้าออก
2. Gas ไหวเวียนเป็น circle & Atemgas CO2 Absorber ถุงพกั ลม หายใจ
3. CO2 Absorber
44
4. Artificial Respirator
รปู ที่ 69 thermometer
รปู ที่ 70 Rubber Hammer
รูปที่ 71 Metalic detector
45
รปู ท่ี 72 Mouth gag
46
เอกสารอ้างอิง
เกษกนก กมลพัฒนะ เอกสารประกอบการสอนวิชาศัลยศาสตรท์ ัว่ ไปทางสตั ว์แพทย์ 2533
คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ณรงค์ จึงสมานญาติ เอกสารประกอบคําสอน กายวภิ าคศาสตรป์ ระยุกตท์ างสัตว์แพทย์ 2532
คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ร่งุ เจรญิ กาญจโนมยั หลักการตรวจและวินิจฉัยโรคในสัตว์ 2533
คณะสัตวแพทยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์
สญั ชัย ลกั ษณโกเศศ เอกสารประกอบคาํ สอน ปฏบิ ัติการทางหลกั อายรุ ศาสตร์
วชิ าหลกั อายรุ ศาสตร์ 2545 คณะสตั วแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
Frandson ,R.D.,Spurgeon,T.L. Anatomy and Phiology of Farm Animals.1992 5th ed.
Pennsylvania,USA. p:202-210.
Jackson, P. and Cockcroft, P. Clinical Examination of Farm Animals. 2002. Blackwell
Publishing Company, UK.
Kelly,W.B. Veterinary Clinical Diagnosis. 1984. 3rd ed. Bailliere Tindall, London
Kirk, R.W.: Muller, G.H.; Scott, D.W. Small Animal Dermatology. 1983. 3rd ed. W.B. Saunders
Company, Philadelphia
Rosenberger, G. Clinical Examination of Cattle. 1979. Verlag paul Parey, Berlin and Hamburg,
Germany.
Rosenberger, G.,Dirrit ,G.,Grunder,H.D.,Grunert,E.,Krause,D.,Stober,M. ,Mack, R.
Clinical Examination of Cattle. 1979. Verlag Paul ,Berlin and Hamburg,Germany.
p:80-95
Scott,D.W. Large Animal Dermatology. 1988. W.B. Saunders Company, Philadelphia
Wilkinson,G.T.,Haarvey,R.G. Small Animal Dermatology. A guide to diagnosis , 1994. 2rd ed.
Grafosv S.A. Arte sobre papel,Barcelona,Spian p:9-33.