แหล่งเรียนรู้ทางปวัติศาสตร์ ชุมชนบ้านหนองบัว (จังหวัด ชัยภูมิ)
01 ประวัติ วั แติละความเป็น ป็ มา บ้า บ้ นหนองบัว บั หมู่ที่มู่ ที่6 ตำ บลบ้า บ้ นแท่นท่ อำ เภอบ้า บ้ นแท่นท่จัง จั หวัด วั ชัย ชั ภูมิ ภูมิ จากการสารวจแหล่งโบราณคดี (ดอนโก่ย) บ้านหนองบัว ตามที่ กรมศิลปากรที่ 12 นครราชสีมา ได้บันทึกไว้ว่า ดอนโก่ย เป็นชุมชนโบราณ ตั้งอยู่บริเวณโรงเรียนบ้านหนองบัว ตำ บลบ้านแท่น อำ เภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ หรือเส้นรุ้งที่16องศา24 ลิปดา29 ฟิลิปดาเหนือ เส้นแวงที่102 ลิปดา21องศา59 ฟิลิปดาตะวันออก พิกัดกริด 48QTD188157 มีลักษณะเป็นเนินดินขนาดใหญ่ สูงจากที่ไร่นา โดยรอบ ประมาณ 1-2เมตร มีลำ น้ำ ธรรมชาติอยู่โดยรอบชุมชน 5 สาย คือ 1.ลาน้าสายห้วยรัง (ฮัง)-สระสมพงษ์ 2.ลาน้ากุดแช่กอย 3.อ่างเก็บน้าหนองเข็ง 4.ลำ น้ำ ห้วยข่า 5.ลำ น้ำ เชิญ (เซิน) ดอนโก่ย เป็นชุมชนโบราณที่มี่ร่องรอยการอยู่อาศัยบริเวณนี้มานานแล้วจากการ สันนิษฐาน ของเจ้าหน้าที่จากกรมศิลปากรท่ี12 นครราชสีมา ได้บันทึกไว้ว่า ดอนโก่ย เป็นชุมชนขนาดใหญ่ ที่อยู่มานานแล้ว หรืออาศัยอยู่ที่นี้มา ตั้งแต่ สมัยก่อน ประวัติศาสตร์ตอนปลาย ยุคสาริด ยุคเหล็ก มี อายุราว2,500– 1,500 ปี มาแล้ว และได้ ค้นพบ โบราณวัตถุ หลายอย่าง เช่น เครื่องมือเหล็ก จำ พวก
ขวานสำ ริด มีด เสียม เป็นต้น ภาชนะดินเผา ชนิด ผิวหยาบ ผิวเรียบ เคลือบสี เขียน สี เครื่องประดับ เช่น กำ ไลแขนสำ ริด ชิ้นส่วนจากงานหัตกรรม เช่น ลูกปัด (บักหวิน ที่ใช้ในการทอผ้า) และ โครงกระดูกของคนและสัตว์ เป็นต้น จากช่วงเวลาดังกล่าวนั้น จะเห็นได้ว่าในพื้นที่ภูมิภาคแห่งนี้ มีสิ่งมีชีวิต เช่น มนุษย์และสัตว์อาศัยอยู่มานาน จวบจนถึงช่วงเวลา ปลายยุค ดังกล่าว เริ่มมีการแผ่ อารยะธรรม ของ สมัยทวารวดี (ยุคเผยแพร่น าพระพุทธศาสนาเข้ามายังประเทศไทย)จึงทำ ให้สังคมและการเป็นอยู่ ของคนในชุมชน ดอนโก่ย เปลี่ยนแปลงไป จากการนับถือผี ก็ หันมานับถือพระพุทธศาสนา และได้ ปรับเปลี่ยนวิธีชีวิตความเชื่อขึ้นใหม่ ในชุมชน จนกลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ ใน ภูมิภาคนี้ มีการทาเกษตรกรรม เลี้ยงสัตว์ หัตถกรรม และความเชื่อเกี่ยวกับชีวิต หลังความตาย เช่นการฝั่งศพ การน าสิ่งของมีค่าและสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิต น ามา ฝั่ง ในหลุมศพของคนตาย โดยการส ารวจทิศทางการหั่นหัวศพ นั้นได้หั่นไปทิศ ตะวันตก นั่นได้หมายความว่า ชุมชนนี้ได้น าคติความเชื่อ ของพระพุทธศาสนามาใช้ คือ การเวียนไหว้ ตายเกิด เกิดมา ดับไป นั่นเอง ต่อมา มีช่วงระยะเวลาหนึ่ง พื้นที่นี้ก็ ถูกปล่อยทิ้งร้างอย่างน่าสงสัย จนกลายเป็นป่าไม้และไม่เหลือความเป็นบ้านเมืองอยู่ เลย 02
หลั ง จ า ก ด อ น โก่ ย ถู ก ปล่ อ ยทิ้ ง ให้ร้ างม าเ ป็นเ วล าน าน และ เ มื่อ ประม า ณ ปี พ. ศ. 2 36 0 ก็ได้ มี ผู้ค น อ พย บ ค รั้ง ใหญ่ ม าอ าศั ยอ ยู่ ใน พื้นที่ ใน จั ง ห วั ด ชัยภูมิ นำ โด ย “น า ยแล ” ข้ าร า ชก ารสำ นั กเ จ้ า อ นุ ว งศ์เ มือ งเ วี ย ง จันทร์ ตรง กั บ รั ชก าลที่ 3 ต่ อ ม าภ า ย หลั ง (พระบ าทสมเ ด็ จ พระนั่ งเ กล้ าเ จ้ าอ ยู่ หั ว รั ชก าลที่ 3 ทรง พระ กรุ ณ า โปรดเ กล้ า แ ต่ ง ตั้ ง ขุนภั ก ดี ชุม พล (แล) เ ป็น “ พระย าภั ก ดี ชุม พล ” เ จ้ าเ มือ ง ค นแร ก ขอ งเ มือ ง ชัยภูมิ) ได้ อ พย พค รอ บค รั วและบริ ว ารร ว มทั้ ง ชา ว บ้ านเ ดินท าง ข้ าม ลำ น้ำ โข งม าตั้ งถิ่น ฐ าน อ ยู่ ใน พื้นที่ จั ง ห วั ด ชัยภูมิ จ า กทั้ ง หมดนั้น คื อ กลุ่ ม (ชา วเ วี ย ง จันทน์) บ างส่วน ได้ล ง หลั ก ปักฐ าน อ าศั ยอ ยู่ ใน บริเ ว ณ พื้นที่ อำ เภ อภูเ ขี ย ว อำ เภ อ ค อ น สาร อำ เภ อเ ก ษตรสม บูร ณ์ อำ เภ อ บ้ านแท่น อำ เภ อแ ก้ งค ร้อ และ มี บ างส่วนได้ ม าอ าศั ยอ ยู่ที่ บริเ ว ณ ด อ น โก่ ย จึ งทำ ให้ ชุม ชน ด อ น โก่ ย กลั บม าค รึ ก ค รื้น อี ก ค รั้ง หนึ่ ง จน ม าถึ ง ช่ว ง ต้น ปี พ. ศ. 2 4 00 ได้เ กิ ด ไฟไ หม้ ป่า บริเ ว ณ ด อ น โก่ ย ทุ ก ปี จนทำ ให้บ้ านเรือ นและ ที่ อ ยู่อ าศั ยได้รั บค ว ามเสีย ห า ยอ ยู่เสมอ และใน ช่ว งเ วล านั้น ก็ได้เ กิ ด โรค ระบ าด (โรค ห่ า) ขึ้น จึ งทำ ให้ 03
04 ผู้คน ในชุมชน ดอนโก่ย ได้อพยบ หมู่บ้านไปตั้งใหม่ ที่ (โนนวัด) หรือ(ดอนไส้ไก่) ปัจจุบันคือ บริเวณปลายนา ของ ชาวบ้านหนองบัว ก่อนจะถึงบ้านวังหิน และอาศัยอยู่ที่นั้นได้ ไม่นาน เพราะขาดแหล่งน้ำ อุปโภคบริโภค จึงได้ย้ายหมู่บ้าน อีกครั้งมาตั้งถิ่นฐานรวมกับ บ้าน (หัวสระ) ปัจจุบันคือ บ้าน สว่าง พัฒนาอาศัยอยู่ที่นั้นเรื่อยมา และ ในปี พ.ศ.2447 นายอุทธา ผานาค พร้อมกับพี่น้องประมาณ 6 ครอบครัว ได้ ย้ายมาอยู่ตามไร่นาของตนเอง และเมื่อ พ.ศ.2455 มีนายทัน (ไม่ทราบนามสกุล) พร้อมกับญาติพี่น้องได้ ย้ายมาอยู่เพิ่มอีก 5 ครอบครัว และ พ.ศ.2557 นายจันทร์ ปัญญาดี กับญาติพี่น้องอีก 4 ครอบครัว ได้ย้ายมาอยู่ และ พ.ศ.2560 นายแสง (ไม่ทราบนามสกุล) พร้อมพี่น้องอีก 11 ครอบครัว ย้ายมาอยู่ร่วมอีก ในตอนนั้น ยังอยู่ภายใต้การปกครองของ บ้านหัวสระ (บ้านสว่าง พัฒนา) และเวลาเดินทางไปร่วมประชุม ที่ บ้านหัวสระ ใน แต่ละครั้งทางไปมายากลำ บากมาก เดินทางสัญจรไม่สะดวก จึงขอแยกออกมาจากบ้านหัวสระ (บ้านสว่างพัฒนา) มาตั้ง หมู่บ้านใหม่ ในปี พ.ศ.2462จนกลายเป็น บ้านหนองบัว หมู่ที่15 ต.สามสวน อ.ภูเขียวจ.ชัยภูมิในสมัยนั้น (ปัจจุบัน บ้านหนองบัว หมู่ที่6 ต.บ้านแท่น อ.บ้านแท่น จ.ชัยภูมิ )
ต่อมา เมื่อปีพ.ศ.2469 ทางราชการได้แต่งตั้งผู้ใหญ่บ้าน คนแรกของ บ้านหนองบัว ขึ้น คือ นายจันทร์ปัญญาดีมีประชากร 32 หลังครัวเรือน มี ประชากร 192 คน เป็นชาย 93 คน เป็นหญิง 99 คน และ ได้รวมกันสร้าง วัดประจำ หมู่บ้านขึ้น ชื่อว่า วัดสมอ และสร้างศาลาพร้อมกับ กุฏิขึ้น ภายในวัดเจ้าอาวาสวัดสมอ องค์แรกคือ พระสมแพง ปัญญาโณ ต่อมา ชาวบ้านได้ช่วยกัน กั้นทำ นบ ห้วยฮัง (ห้วยรัง) ขึ้นเพื่อกักเก็บน้ าไว้ใช้และ ดื่ม โดยนายจันทร์ปัญญาดีพาชาวบ้านไปปักเขตแดนของพื้นที่หมู่บ้าน โดยมีเนื้อที่ประมาณ 120 ไร่ ต่อมา นาย เคน สวัสดิ์ศรี ผู้ใหญ่บ้าน คนต่อมา ได้ขอขอ งบ ประมาณ มาขุด สระสมพงษ์ เพื่อให้ชาวบ้านได้มีน้้ำ ดื่มน้้ำ ใช้ มีความกว้าง ของสระ 15 เมตร ยาว 15 เมตร ลึก 2 เมตร และ อาชีพหลัก ของชาว บ้านหนองบัว คือ เกษตรกรรม เป็นหลักในปี พ.ศ. 2484 ได้เปิดสอน หนังสือในหมู่บ้าน ขึ้น โดยอาศัยศาลา วัดสมอ เป็นที่เรียนชั่วคราว เปิด สอน ระดับชั้น ป.1- ป.4 มาเรื่อยๆ 05
06 จนถึง พ.ศ.2486ทางการได้แต่งตั้ง นายเภา รื่นกลิ่น เป็นผู้ใหญ่บ้าน คนต่อมา และได้ พาชาวบ้าน พัฒนาทาถนนในหมู่บ้านขึ้น 4 สาย คือ 1.ถนนสายทิศตะวันออก 2.ถนนด้านทิศตะวันตก 3.ถนนกลางหมู่บ้าน (ถนนสายบ้านพ่อจรูญ ผาทอง – บ้านแม่เงี่ยม ผลวิลัย)4.ถนน สายทิศใต้ (บ้านพ่อง่าม ประสมเพชร – บ้านพ่อนิว สุริยันต์) และ ได้มีงบประมาณ มาส ร้างอาคารเรียน จึงได้ย้ายไปสร้างที่ใหม่ คือโรงเรียนบ้านหนองบัว คุรุราษฎร์สามัคคี (โรงเรียนบ้านหนองบัว) ในปี พ.ศ.2518- พ.ศ.2532 นายเมฆ ประจวบแท่น ได้ พัฒนาหมู่บ้าน และสร้างศาลาการเปรียญขึ้นใหม่แทน หลังเก่าที่ทรุดโทรมมาก ในปี พ.ศ.2543ได้สร้าง ถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก โดย ได้รับงบประมาณจาก อบต.บ้านแท่น และ ได้พัฒนาหมู่บ้านมาตลอด จนถึงปัจจุบันคำ เล่าขานตกนาน ดอนโก่ ย ชอบเล่าต่อๆกันมาว่า ดอนโก่ย เป็นหมู่บ้านมานาน และตอนหลังก็ได้ปล่อยให้รก ร้างจนกลายเป็น ป่าช้าของคนและสัตว์ในเวลาต่อมา ในสมัยนั้นผู้คนในหมู่บ้านชอบฝัง สมบัติหรือสิ่งของมีค่าไว้ในพื้นดิน เพื่อป้องกันพวกโจร ส่วนมากจะชอบฝังอยู่บริเวณ ใต้บันได ใต้เล้า และ ใต้ถุนบ้านค าเล่าขานตำ นาน ปู่คำ ภา (ปู่หล่อน) จากคำ เล่าขาน ต่อๆกันมา ตาคำ ภา ได้ ไปขโมย ช้าง มาจาก เมืองภูเขียวจากนั้นทางการ และทหารก็ได้ตามมาถึง ดอนโก่ย จึงได้ เข้าจับกุม ตาคำ ภา และลงโทษฐาน ขโมยช้าง โดย ใช้ มีดกรีดหนังศีรษะ และเฉือนไปเรื่อยๆจนกว่าจะสิ้นใจ ปรากฏว่า เฉือนจนหลัง ศรีษะหมดแล้ว ตาคำ ภา ก็ ยังไม่ตาย (ตาค าภามีของรักษา)จน เจ้าหน้าที่ได้ใช้ ท่อนไม้ ทุบที่อวัยวะเพศ จนเสียชีวิต ในที่สุด อธิบายคำ ท้องถิ่น การเฉือนหนังศีรษะจนหมด เกลี้ยง ภาษาถิ่นอีสาน เรียกว่า หล่อน (หัวหล่อน) หรือ ตาหล่อน นั่นเอง
อ้างอิงจาก สมุดบันทึก “ประวัติบ้านหนองบัว” หนังสือประวัติ “เมืองชัยภูมิ” กลุ่มผู้สูงวัยที่ให้ข้อมูล คุณแม่กลอง ช านาญพล คุณพ่อผ่วน ประสมเพชร คุณพ่อสมจิตร ประกอบดี คุณแม่พัน แสงฝ้าย คุณแม่บุญ เรืองสวัสดิ์ ลงพื้นที่สอบถามและเก็บข้อมูล 20/02/2549 ผู้เก็บรวบรวมข้อมูล นายวัชรวงศ์ สาดี 07