The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ชีวะ พฤติกรรมของสัตว์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ณัชชา, 2021-10-04 10:45:21

พฤติกรรมของสัตว์

ชีวะ พฤติกรรมของสัตว์

พฤติกรรมของสัตว์

การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์

นางสาววันเพ็ญ ภาษี เลขที่ 22
นำเสนอ

ครูอรวรรณ ศรีสุข

การศึกษาพฤติกรรม เป็นการศึกษาหาความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม
ตลอดจนพื้นฐานทางสรีรวิทยาที่มีผลต่อการแสดงพฤติกรรมสัตว์ การศึกษาพฤติกรรมของ
สิ่งมีชีวิตทำได้ 2 วิธี คือ

1. วิธีการทางสรีรวิทยา (physiological approach) มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
อธิบายพฤติกรรมในรูปของกลไกการทำงานของระบบประสาท
2. วิธีการทางจิตวิทยา (psychological approach) เป็นการศึกษาถึง
ผลของปัจจัยต่าง ๆ รอบตัวและปัจจัยภายในร่างกายที่มีต่อการพัฒนา
และการแสดงออกของพฤติกรรมที่มองเห็นได้ชัดเจน

อาจศึกษาในแนวพรอกซิเมตคอส (proximate cause) ซึ่งศึกษาในแง่กลไกการ
แสดงออกของพฤติกรรมและสิ่งเร้าที่ทำให้เกิดพฤติกรรมรวมถึงพัฒนาการของ
พฤติกรรมที่เกิดขึ้นส่วนการศึกษาพฤติกรรมในแนวอัลทิเมตคอส (ultimate cause)
เป็นการศึกษาพฤติกรรมที่สัตว์แสดงออกว่ามีประโยชน์อย่างไรตลอดจนพฤติกรรมนั้นมี
วิวัฒนาการให้เกิดขึ้นได้อย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์กลุ่มที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันดัง
ตัวอย่างต่อไปนี้

หนูแพรรี

มีพฤติกรรมการผสมพันธุ์ ในแนวพรอกซิเมตคอส พบว่า
พฤติกรรมนี้ถูกควบคุมโดยยีนชนิดหนึ่ง และโครงสร้างของสมอง
หนูมีตัวรับโปรตีน หน่วยต่าง ที่จะจับกับ ADH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้
เกิดความผูกพัน ทำให้หนูแพรที่มีพฤติกรรมการผสมพันธุ์คู่เดียว
มากขึ้น ส่วนในแนวอัลทิเมตคอส พฤติกรรมการผสมพันธุ์คู่เดียว

ทำให้หนูช่วยกันเลี้ยงดูลูก ทำให้ลูกมีโอกาสอยู่รอดมากขึ้น

กลไกการเกิดพฤติกรรมของสัตว์

นางสาวณัชชา กระมล เลขที่20

นำเสนอ

ครูอรวรรณ ศรีสุข

พฤติกรรมหมายถึงกิริยาอาการแสดงออกทุกรูปแบบ
ของสิ่งมีชีวิตเพื่อตอบสนองต่อ
สิ่งเร้าทั้งภายนอกและภายในเป็นการแสดงออกที่เห็นได้จากภายนอก
โดยรูปแบบของพฤติกรรมต่างๆนั้นเป็นผลมาจาก
การทำงานร่วมกันของพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม

สิ่งเร้าภายนอก (External stimulus) เช่น อุณหภูมิ แสง เสียง สารเคมี
ความชื้น กลิ่น และแรงดึงดูดของโลก

สิ่งเร้าภายใน (Internal stimulus) เช่น การเปลี่ยนแปลงสรีระที่เกิด
ขึ้นในร่างกาย เช่น ระดับออกซิเจนในเลือด ฮอร์โมน เอนไซม์ ความหิว
ความโกรธ และความเหนื่อย

พฤติกรรมจะสลับซับซ้อนเพียงใดขึ้นอยู่กับระดับความเจริญของหน่วยต่างๆดังนี้
1. หน่วยรับความรู้สึก (Recepter)
2. ระบบประสาทส่วนกลาง(Central nerverous systen)
3. หน่วยปฏิบัติงาน (Effector)

การศึกษาพฤติกรรมทำได้ 2 วิธีคือ
1 วิธีการทางสรีรวิทยา(Physiological appriach)
มีจุดมุ่งหมายเพื่ออธิบายพฤติกรรมในรูปแบบของกลไก
การทำงานของระบบประสาท
2 วิธีการทางจิตวิทยา(Psychological approach)
เป็นการศึกษาถึงผลของปัจจัยต่างๆรอบตัวและ
ปัจจัยภายในร่างกายที่มีผลต่อการพัฒนาและ
การแสดงออกของพฤติกรรมที่มองเห็นได้ชัดเจน

ประเภขทองพสฤัตติวก์ รรม

นายบัญญวัต นาถมทอง เลขที่ 29
นำเสนอ

ครูอรวรรณ ศรีสุข

ประเภทของพฤติกรรมแบ่งออกเป็น 2 แบบคือ
1.พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด (inherited behavior)
2. พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้(Learned behavior)

พฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิด

เป็นพฤติกรรมที่สิ่งมีชีวิตแสดงออกมาได้โดยไม่ต้องผ่านการเรียนรู้หรือฝึกฝนมาก่อน
เป็นพฤติกรรมที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ มีรูปเเบบการพัฒนาหรือการเเสดงพฤติกรรมอย่าง
ตายตัวเเม้ว่าสภาพเเวดล้อมจะเปลี่ยนเเปลงไป

ฟิกซ์เเอกชันเเพทเทิร์น (fixed action pattern)
เป็นการเเสดงออกของพฤติกรรมอย่างเป็นลำดับขั้นที่ถูกกระตุ้น
โดยสิ่งเร้าที่เรียกว่า สิ่งเร้าที่เป็นเครื่องหมาย(sign stimulus)ซึ่ง
เป็นสิ่งต่างๆที่มีอยู่ในธรรมชาติ ฟิกซ์เเอกชันเทิร์นเมื่อเกิดขึ้น
เเล้วสัตว์จะเเสดงพฤติกรรมไปตามลำดับขั้นจนจบเสมอเเม้ว่่สิ่งเร้า
ที่เป็นเครื่องหมายจะหายไปก็ตาม

โอเรียนเทชัน(orientation)
เป็นพฤติกรรมที่เป็นมาแต่กำเนิดพบได้ในโพรโทรซัวและ
สัตว์สิ่งมีชีวิตจะตอบสนองต่อปัจจัยทางกายภาพที่มีอยู่เช่น
เเสง กระเเสลม กระเเสน้ำ โดยสิ่งมีชีวิตจัดวางตัวให้อยู่ใน
ตำแหน่งที่สอดคล้องกับปัจจัยนั้นในระดับที่เหมาะสมกับการ
ดำรงชีวิต

โดยทั่วไปถ้าสัตว์มีการเคลื่ อนที่โดยมีทิศทางสัมพันธ์กับสิ่งเร้าเรียกว่า
เเทกซิส(taxis)
เเต่ถ้าสัตว์เคลื่อนที่โดยไม่มีทิศทางสัมพันธ์กับสิ่งเร้าเรียกว่า ไคเน
ซิส(kinesis)

รีเฟล็กซ์(reflex) รีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง(chain of reflexes)
เป็นการตอบสนองต่อสิ่งเราที่มากระตุ้นได้โดย เป็นพฤติกรรมบางอย่างเมื่อเริ่มจากรีเฟล็
ไม่จำเป็นต้องผ่านการประมวลผลจากสมองเช่น กซ์เเรกแล้วจะส่งผลต่อรีเฟล็กซ์อื่ นๆไปเรื่อยๆ
การกระพริบตาเมื่อจะมีวัตถุเข้าตาหรือการม้วน จนกว่าจะได้รับสิ่งที่ต้องการครบถ้วนจึงจะหยุด
ตัวของกิ้งกือเมื่อถูกสัมผัส แสดงพฤติกรรม

พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้











นางสาวนิติญา เเยนเซ่น เลขที่12
เสนอ
ครูอรวรรณ ศรีสุข

พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้
พฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้เป็นผลมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมาตั้งเเต่เเรก

เกิดจนเป็นตัวเต็มวัย

แฮบิชูเอชัน
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการที่สัตว์เรียนรู้ที่จะลดการตอบ

สนองต่อสิ่งเร้าที่เผชิญอยู่เพราะเห็นว่าสิ่งเร้ทนั้นไม่เกิด
ประโยชน์หรือโทษกับการดำรงชีวิตจึงลดการตอบสนองลง
เรื่อยๆและอาจหยุดตอบสนองเพื่อประหยัดพลังงาน

การเรียนรู้แบบฝังใจ

เป็นพฤติกรรมที่มีการทำงานร่วมกันระหว่างพันธุกรรมและการเรียนรู้โดยช่วงเวลาการเรียน
รู้จะถูกควบคุมโดยพันธุกรรมทำให้สัตว์แต่ละชนิดช่วงเวลาในการเรียนรู้แบบฝังใจต่างกันแต่จะ
เหมือนกันในสัตว์ชนิดเดียวกัน ซึ่งเรียกช่วงระยะเวลานี้ว่า ระยะวิกฤติ อาจแสดงในระยะแรก
เกิดหรือภายหลังเมื่อเจริญเติบโตแล้วขึ้นแล้วจะไม่แสดงออกหรือถูกปิดบังไปโดยพฤติกรรมการ
เรียนรู้แบบอื่ นๆ

การเรียนรู้แบบการเชื่อมโยง
เป็นพฤติกรรมที่เกิดขึ้นหลังจากสัตว์ได้รับสิ่งเร้าที่

ทำให้เกิดการตอบสนองแบบเดิมหลายครั้งซึ่งจะทำให้
เกิดการเชื่อมโยงสิ่งเร้ากับสิ่งต่างๆได้

การเชื่อมโยงมี2เเบบ
เเบบที่1 การมีเงื่อนไข
เเบบที่2 การลองผิดลองถูก

การเรียนรู้แบบการใช้เหตุผล
เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากการเรียนรู้ขั้นสูง สัตว์ที่จะแสดง

พฤติกรรมแบบนี้ได้แก่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม เพราะมีสมองส่วนเซรีบรับ
เจริญดีกว่าสัตว์ชนิดอื่นๆมีความสามารถในการรับรู้ ว่าปัญหาหรือสิ่ง
เร้านั้นคืออะไรและยังมีความสามารถในการสร้างแนวคิดเห็นเเละเหตุผล
ได้

ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรมเเละ
วิวัฒนาการของระบบประสาท

นายรพีพัฒน์ ทาประโคน เลขที่ 7
นำเสนอ

ครูอรวรรณ ศรีสุข

พฤติกรรมแต่ละแบบของสิ่งมีชีวิตที่แสดงออกมาจะมีความสัมพันธ์กับระบบประสาทของสิ่งมีชีวิตชนิดนั้น
สิ่งมีชีวิตระดับแรกๆ เช่น พวกโพรทิสต์ จะมีพฤติกรรมเป็นแบบไคนิซิส และแทกซิสเท่านั้น ส่วนในสัตว์ชั้น
สูง เช่นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม จะมีพฤติกรรมที่ซับซ้อนกว่า มีทั้งพฤติกรรมแบบรีเฟลกซ์ รีเฟลกซ์ต่อเนื่อง

Add a subheadingและพฤติกรรมการเรียนรู้ ซึ่งเป็นพฤติกรรมชั้นสูง ความสัมพันธ์ระหว่างพฤติกรรม และระบบประสาท

ชนิดสิ่งมีชีวิต ระบบประสาท พฤติกรรมที่สำคัญ





มนุษย์ - สมองส่วนหน้าเจริญดี - การใช้เหตุผลที่สับซ้อน



- สมองส่วนหน้าเจริญขึ้น
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม - สมองส่วนกลางขนาดลดลง - การเรียนรู้ที่สับซ้อน
- ใช้เหตุผลบ้าง
สัตว์มีกระดูกสันหลังชั้นต่ำ - สมองส่วนหน้ายังไม่พัฒนา

เมื่อเทียบกับสมองส่วนกลาง - การเรียนรู้แบบง่าย

สัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง - ไม่มีสมองที่แท้จริง - พฤติกรรมที่มีมาแต่กำเนิด

- ระบบประสาทไม่สับซ้อน มีปม - รีเฟล็กซ์ต่อเนื่อง
ประสาทอยู่บ้างและเซลล์ประสาทต่อ
โพรทิสต์เซลล์เดียว - แทกซิส

กันเป็นร่างแห - ไคนีซิส
- รีเฟล็กซ์
- ไม่มีระบบประสาท



การสื่อสารระหว่างสัตว์

นายกฤตนัย สุดฉลาด เลขที่ 5
นำเสนอ

ครูอรวรรณ ศรีสุข

การถ่ายทอดข่าวสารในรูปแบบสัญญาณทั้งแบบ

1. การสื่อสารด้วยเสียง ( Sound Communication)
2. การสื่อสารด้วยท่าทาง ( Visual Communication
3. การสื่อสารด้วยสารเคมี ( Chemical Communication)
4. การสื่อสารด้วยการสัมผัส (Tactile Communication)

1. การสื่อสารด้วยเสียง ( Sound Communication)

เสียงของสัตว์ที่เปล่งออกมาในแต่ละครั้งจะแสดงถึงการตอบสนองสิ่งเร้าต่างๆ และสื่อความหมายที่แตกต่างกัน เช่น



- เสียงที่ทำให้เกิดการรวมกลุ่ม เช่น เสียงของนกร้อง ไก่ แกะ และกระรอก
- เสียงเรียกคู่เพื่อผสมพันธ์ เช่น เสียงร้องของกบและคางคก เสียงขยับปีกของยุงตัวเมียเพื่อเรียกยุงตัวผู้
- เสียงเตือนภัย เช่น เสียงร้องของเป็ด นก และเสียงเห่าของสุนัข
- เสียงแสดงความโกรธ เช่น เสียงร้องของแมว สุนัข และช้าง

2. การสื่อสารด้วยท่าทาง ( Visual Communication )

เป็นท่าทางที่สัตว์แสดงออกมาอาจจะเป็นแบบง่ายๆ หรืออาจมีหลายขั้นตอนที่สัมพันธ์กัน เช่น

- การแยกเขี้ยวของแมว
- การเปลี่ยนสีของปลากัดขณะต่อสู้กัน
- สุนัขหางตกเมื่อต่อสู้แพ้และวิ่งหนี
- นกยูงตัวผู้รำแพนหางขณะเกี้ยวพาราสี นกยูงตัวเมีย

3. การสื่อสารด้วยสารเคมี ( Chemical Communication)

สัตว์หลายชนิดใช้สารเคมีที่เรียกว่า
ฟีโรโมน( Pheromone ) ซึ่งเป็นสารเคมีที่สัตว์สร้างขึ้น
เมื่ อหลั่งออกมาภายนอกร่างกายจะมีผลต่อสัตว์อื่ นที่เป็นชนิดเดียวกัน
ทำให้เกิดพฤติกรรมต่างๆได้ เช่น

- ดึงดูดเพศตรงข้าม เช่น
การที่ผีเสื้อกลางคืนตัวเมียหลั่งสารเคมีออกมา
เพื่อให้ดึงดูดผีเสื้อกลางคืนตัวผู้ที่อยู่ห่างหลายกิโลเมตรให้บินมาหาได้

- บอกอาณาเขต เช่น

การที่เสือดาวหรือสุนัขถ่ายปัสสาวะไว้ในที่ต่างๆ เพื่อบอกอาณาเขต

- นำทาง เช่น

การหาอาหารของมด มดจะใช้ปลายท้องแตะที่พื้นแล้วปล่อยสารเคมีออกมาเป็นระยะๆ

ทำให้มดตัวอื่นๆ ติดตามไปยังแหล่งอาหารได้ถูก

4. การสื่อสารด้วยการสัมผัส (Tactile Communication)

เป็นการสื่อสารโดยใช้อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งสัมผัสกับสัตว์พวกเดียวกันหรือต่างพวกกัน เพื่อนกระตุ้นให้เกิด
พฤติกรรมโต้ตอบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม การสัมผัสจะเป็นการถ่ายทอดความรัก และมีส่วน
สำคัญต่อการพัฒนาของลูกอ่อน ทำให้ลูกเกิดความรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย

ตัวอย่างสัตว์ที่มีการสื่อสารด้วยวิธีนี้ ได้แก่

- สุนัขเข้าไปเลียปากสุนัขตัวที่เหนือกว่า เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นมิตรหรืออ่อนน้อมด้วย
- ลิงชิมแพนซียื่นมือให้ลิงตัวที่มีอำนาจเหนือกว่าจับในลักษณะหงายมือให้จับ

งานนำเสนอ

พฤติกรรมของสัตว์

นายกฤตนัย สุดฉลาด เลขที่ 5
นายรพีพัฒน์ ทาประโคน เลขที่ 7
นางสาวนิติญา เเยนเซ่น เลขที่12
นางสาวณัชชา กระมล เลขที่ 20
นางสาววันเพ็ญ ภาษี เลขที่ 22
นายบัญญวัต นาถมทอง เลขที่ 29


Click to View FlipBook Version