The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

วิจัยในชั้นเรียน สุรศักดิ์มนตรี 2565

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Ingrid Panachakorn, 2023-05-20 11:53:35

วิจัยในชั้นเรียน สุรศักดิ์มนตรี 2565

วิจัยในชั้นเรียน สุรศักดิ์มนตรี 2565

ห น ้ า | 1


ห น ้ า | 2 บทคัดย่อ ชื่อเรื่อง : การพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) โดยกลวิธีการเดา คำศัพท์จากบริบท (Context Clue Strategy) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ผู้วิจัย : นายพนัชกร ไชยถาวร ปีการศึกษา : พ.ศ. 2565 คำสำคัญ : กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท การศึกษาครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยการศึกษาผลการจัดการเรียนการสอนเรื่องกลวิธีการเดา คำศัพท์จากบริบท (Context Clue Strategy) ของนักเรียนโรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ในการพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ประสิทธิผลของการใช้แผนการจัดการเรียนการสอนและเปรียบเทียบผลการทำแบบทดสอบก่อนเรียน (Pretest) และหลังเรียน (Post-test) โดยกลุ่มตัวอย่างในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 39 คน จากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Sampling) เครื่องที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ แผนการจัดการเรียน การสอนเรื่อง Context Clues จำนวน 5 ชั่วโมง ประกอบด้วยเอกสารประกอบการเรียน แบบฝึกหัด และ แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน โดยผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ยทางสถิติ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ ทดสอบค่า t-test เพื่อวัดผลสัมฤทธ์ของผู้เรียนหลังการใช้แผนการจัดการเรียนการสอนเรื่องกลวิธีการเดา คำศัพท์จากบริบท ซึ่งผลการวิจัยพบว่าความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจของผู้เรียนสูงกว่าก่อนการใช้ แผนการจัดการเรียนการสอนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05


ห น ้ า | 3 1) ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ทักษะการอ่านถือเป็นหนึ่งในทักษะการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสารที่สำคัญ ในการใช้ทักษะการอ่านให้เกิด ประสิทธิผล ผู้เรียนจะต้องสามารถอ่านแล้วเกิดความเข้าใจในเนื้อเรื่องที่อ่าน สามารถจับใจความสำคัญและรับรู้ถึงสิ่ง ที่ผู้เขียนต้องการจะสื่อได้ อย่างไรก็ตาม จากการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน (อ30202) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ผู้วิจัยพบว่าอุปสรรคที่สำคัญต่อการพัฒนาทักษะการ อ่านเพื่อความเข้าใจของผู้เรียนคือการไม่รู้ศัพท์ รวมถึงคำศัพท์บางกลุ่มที่สามารถสื่อได้มากกว่าหนึ่งความหมายตาม บริบท ทำให้ผู้เรียนเกิดความสับสนและไม่สามารถแปลความหมายของคำศัพท์นั้น ๆ จากเรื่องที่อ่านได้ ประกอบกับ การใช้โปรแกรม แอปพลิเคชันหรือเครื่องมือช่วยแปลอิเล็กทรอนิกส์มากจนเกินไป ทำให้โอกาสในการพัฒนาทักษะ การอ่านของผู้เรียนลดน้อยลง ผู้วิจัยจึงได้หยิบยกเอาประเด็นเรื่องของการใช้กลวิธีเดาคำศัพท์จากบริบท (Context ClueStrategy) มาใช้ร่วมกับบทเรียน โดยออกแบบเป็นการจัดการเรียนการสอน กิจกรรม แบบฝึกหัด และ แบบทดสอบก่อน-หลังเรียน เพื่อให้ผู้เรียนทำความเข้าใจและพัฒนาการใช้ทักษะการอ่านให้มากยิ่งขึ้น 2) แนวคิดเชิงทฤษฎี/เอกสาร/งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ในการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) โดยกลวิธีการเดา คำศัพท์จากบริบท (Context Clue Strategy) ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ผู้วิจัยได้ศึกษาค้นคว้าแนวคิดเชิงทฤษฎีเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) และกลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clues) ดังนี้ 2.1) ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ รวิวรรณ สิทธิสุวรรณ (2564) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอ่าน ของผู้เรียนในระดับความเข้าใจตรงตามอักษร และระดับตีความจากการอ่านได้สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้เขียน ต้องการจะสื่อ สิปปนนท์ ละครขวา (2563) กล่าวว่า การอ่านพื่อความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการเข้าใจ ความหมายที่อ่านได้ตรงตามผู้เขียนต้องการหรือเข้าใจเนื้อเรื่องและข้อความที่อ่านโดยการแปลความ ตีความ เพื่อให้เข้าใจความหมาย ธนดล ดำคำ (2562) กล่าวว่า การอ่านเพื่อความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถของผู้อ่านที่ใช้ กระบวนการคิดเพื่อค้นหาความหมาย ตีความ สรุปความ จากเรื่อง ที่อ่านโดยใช้ประสบการณ์และความรู้เดิม ของผู้อ่านมาเพื่อการสร้างความเข้าใจในสิ่งที่ผู้เขียนต้องการสื่อให้ผู้อ่านได้รับรู้


ห น ้ า | 4 กล่าวโดยสรุป ทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ คือ การอ่านอย่างมีเป้าหมายเพื่อให้ได้มาซึ่งใจความ สำคัญหรือสิ่งที่ผปู้เขียนต้องการจะสื่อจากเรื่องที่อ่านนั้น ๆ ในการอ่านเพื่อความเข้าใจ ผู้อ่านจะต้องใช้ กระบวนการสังเกต วิเคราะห์ และสามารถระบุข้อเท็จจริงจากเรื่องที่ตนอ่านได้ 2.2) กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท ณัฏฐพล คุปตธนโรจน (2559) กล่าวว่า การเดาความหมายคําศัพท์จากบริบท เป็นหนึ่งในวิธีที่นิยมใช้ เพื่อพัฒนาคําศัพท์เนื่องจากผู้อ่านสามารถนํากลวิธีนี้ไปใช้ในการอ่านได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องพึ่งพจนานุกรม หรือผู้สอน ได้มีงานวิจัยสนับสนุนการเดาศัพท์จากบริบทว่าเป็นวิธีการสอนที่ได้ผลทําให้ผู้เรียนสามารถเพิ่ม ปริมาณคําศัพท์ได้ผู้อ่านส่วนใหญ่มักจะอนุมานความหมายของศัพท์คํานั้นจากคําที่อยู่รอบๆ ทณุ เตียวรัตนสกุล (2552) กล่าวว่า การเดาความหมายคําศัพท์จากบริบทเป็นวิธีที่ผู้อ่านใช้เพื่อหา ความหมายของคําโดยดูจากความสัมพันธ์ของคํากับข้อความหรือประโยคที่แวดล้อมคํานั้นๆ อยู่ โดยข้อความ หรือประโยคที่แวดล้อมจะนําเสนอความหมายของคํานั้นๆ ไว้เป็นการวิเคราะห์ข้อความแวดล้อม(Contextual analysis) เพื่อช่วยให้ผู้อ่านสามารถตีความคําศัพท์ที่ผู้อ่านไม่คุ้นเคยได้โดยดูจากตัวชี้แนะในบริบท ( Context clues) ซึ่งอาจเป็นคํา วลีประโยค ข้อความ หรือเครื่องหมายวรรคตอนใดๆ ก็ได้โดยผู้อ่านนําสิ่งเหล่านี้มาใช้ใน การเดาหรือการหาความหมายของคําศัพท์นั้น ตัวแนะจากบริบทช่วยให้ผู้อ่านทราบความหมายที่ถูกต้องชัดเจน ของคําที่ไม่รู้จักโดยไม่ขัดจังหวะการอ่านด้วยการเปิดพจนานุกรมเพื่อหาความหมายคําศัพท์ วัลลภา บุญอนันตบุตร (2547) กล่าวว่า กลวิธีเดาความหมายของคําศัพทจากบริบททําใหทักษะการอ านดีขึ้น คือการวิเคราะห์บริบท (Context) หรือองค์ประกอบ คำศัพท์อื่นๆ ที่แวดล้อมคำศัพท์ที่ผู้อ่านไม่รู้ ความหมายนั้น ๆ เป็นตัวบ่งชี้ (Clue) ในการเดาความหมาย โดยสามารถจำแนกคำบ่งชี้ต่าง ๆ ได้หลาย ประเภท เช่น การคาดเดาความหมายของคําศัพทคําจํากัดความ (Definition clue) การคาดเดาความหมาย ของคําศัพทจากตัวอยาง (Example clue) การคาดเดาความหมายของคําศัพทจากการเปรียบเหมือนและการ เปรียบต่าง ( Comparison and contrast clue) การคาดเดาความหมายของคําศัพทจากคําเหมือนและคํา ตรงขาม (Synonym and antonym clue) การคาดเดาความหมายของคําศัพทจากการใชเหตุผล (Causeeffect clue) และ การคาดเดาความหมายของคําศัพทจากการวินิจฉัย (Inference clue) กล่าวโดยสรุป กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบทนั้น เป็นวิธีที่สำคัญในการหาความหมายของ คำศัพท์โดยไม่ต้องพึ่งพาการใช้พจนานุกรม เป็นการสังเกต วิเคราะห์องค์ประกอบ ข้อมูล รายละเอียด หรือ ที่เรียนโดยรวมว่าบริบท (Context) ของคำศัพท์นั้น ๆ เป็นตัวชี้แนะ (Clue) เพื่อแสดงถึงความหมายของ คำศัพท์ที่ผู้อ่านไม่รู้ ช่วยให้เข้าใจความหมาย จับใจความสำคัญในเรื่องที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น


ห น ้ า | 5 2.3) งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สุทธิดา สุขะอาคม (2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำวิจัยเรื่อง ผลการพัฒนาแบบฝึกเสริมความรู้ด้านคำศัพท์ ภาษาอังกฤษโดยการใช้กลวิธีการเดาความหมายคำศัพท์จากตัวชี้แนะในบริบท (Context Clues) ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ค์เพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกเสริมความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดย การใช้กลวิธีการเดาความหมายคำศัพท์จากบริบท ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกที่ผู้วิจัยพัฒนามีประสิทธิภาพ 77.80/79.31 ตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 75/75; 2) คะแนนแบบฝึกเสริมความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้ กลวิธีการเดาความหมายคำศัพท์จากบริบทของของกลุ่มตัวอย่าง พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้คะแนนรวมสูงสุด อันดับ 1 คือ Example clues อันดับที่ 2 คือ Antonym and contrast clues อันดับที่ 3 คือ Synonym and restatement clues และอันดับที่ 4 คือ Definition clues. 3) คะแนนแบบทดสอบการเรียนรู้ ความหมายคำศัพท์ภาษาอังกฤษหลังใช้แบบฝึก เสริมความรู้ด้านคำศัพท์ภาษาอังกฤษโดยการใช้กลวิธีการเดา ความหมายคำศัพท์จากบริบทของกลุ่มตัวอย่างสูง กว่าก่อนใช้แบบฝึกอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ 0.05 ดารณี จุนเจือวงศ์(2563 : บทคัดย่อ) ได้ทำวิจัยเรื่อง การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเข้าใจความหมาย คำศัพท์ภาษาอังกฤษจากบริบท (Context Clues) โดยใช้เทคนิคการบอกกระบวนการความคิด สำหรับ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อพัฒนาความรู้เกี่ยวกับคำศัพท์จากบริบทและการใช้เทคนิคการบอก กระบวนการคิด เพื่อให้นักเรียนอ่านบทอ่านและเดาความหมายคำศัพท์จากบริบทได้ง่ายขึ้น เพราะการใช้ เทคนิคการบอกกระบวนการคิดเข้ามาช่วยจะทำให้นักเรียนอ่านเนื้อเรื่องได้อย่างเป็นขั้นตอน จากวิธีการ ดังกล่าวจะช่วยส่งเสริมและพัฒนาความเข้าใจความหมายคำศัพท์จากบริบท ซึ่งจะส่งผลให้นักเรียนประสบ ผลสำเร็จในความเข้าใจในเรื่องคำศัพท์ สามารถนำความรู้จากการอ่านคำศัพท์จากบริบทมาพัฒนาการเรียนรู้ ให้ดีขึ้นต่อไป ผลการวิจัยพบว่า หลักการจัดการเรียนการสอน ทักษะการเข้าใจความหมายคำศัพท์ ภาษาอังกฤษจากบริบทของผู้เรียนสูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นราวดี พันธุนรา (2551 : บทคัดย่อ) ได้ทำวิจัยเรื่อง ความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษโดยการ เดาความหมายคำศัพท์จากบริบท (Context Clues) ของนักศึกษาปริญญาตรี ชั้นปีที่ 1 คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม จำนวน 50 คน โดยผู้วิจัยได้ใช้ผลการทดสอบการอ่านก่อน-หลังเรียน ร่วมกับการทดลอง สอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยวิธีเดาความหมายคำศัพท์จากบริบท ซึ่งประกอบด้วยการเดาความหมายคำศัพท์ จากคำจำกัดความ (Definition Clues) การเปรียบเทียบเหมือน (Comparison Clues) การเปรียบต่าง (Contrast Clues) และการเดาคำศัพท์จากตัวอย่าง (Example Clues) ผลการวิจัยพบว่า นักศึกษากลุ่ม ทดลองที่เรียนด้วยวิธีเดาคำศัพท์จากบริบทมีผลสัมฤทธิ์สูงกว่ากลุ่มควบคุมที่ไม่ได้เรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ที่ระดับ .05


ห น ้ า | 6 3) วัตถุประสงค์ของการวิจัย การวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยได้กำหนดวัตถุประสงค์คือ เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ของการพัฒนาทักษะการ อ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) ของผู้เรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนเรื่อง กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clue) 4) นิยามศัพท์เฉพาะ 4.1) การอ่านเพื่อความเข้าใจ นินามเชิงทฤษฎี หมายถึง การสร้างความหมายจากภาษาเขียนโดยมีการ เชื่อมโยงเนื้อเรื่องที่อ่าน กับพื้นความรู้เดิมของ ผู้อ่าน ซึ่งมีลักษณะเป็นกระบวนการเชิง ปฏิสัมพันธ์ระหว่างพื้นความรู้เดิมกับความรู้จากภาษาเขียน ความหมาย ที่ผู้อ่านสร้าง ขึ้นอาจคล้ายคลึงกับความหมายในความคิดของผู้เขียน ผู้อ่านแต่ละคนย่อมสร้างความ นิยามเชิงปฏิบัติ หมายถึง การอ่านประโยค บทอ่านหรือสื่อที่เป็นความเรียงภาษาอังกฤษ ที่ผู้เรียนสามารถระบุ ความหมายรายละเอียด ข้อมูลหรือใจความของเรื่องที่อ่านได้โดยอาศัยการสังเกต วิเคราะห์และตีความคำศัพท์ และบริบทของเรื่องที่อ่าน 4.2) กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท นินามเชิงทฤษฎี หมายถึง ความสามารถในการระบุความหมายของคำศัพท์ที่ตนเองไม่รู้โดยใช้การวิเคราะห์คำหรือ ข้อความแวดลอมในบริบท (Context) เป็นคำบ่งชี้หรือตัวชี้แนะ (Clue) เพื่อช่วยให้ระบุความหมายของคำศัพท์ ที่ตนเองไม่รู้โดยไม่ต้องใช้พจนานุกรม หรือโปรแกรมช่วยแปล โดยตัวชี้แนะดังกล่าวอาจอยู่ในรูปคำ วลี ข้อความ หรือประโยคที่แวดล้อมก็ได้ นิยามเชิงปฏิบัติ หมายถึง กลวิธีที่ผู้เรียนใช้เพื่อวิเคราะห์หาความหมายของคำศัพท์ที่ตนเองไม่รู้ในประโยค โดยสังเกต จากตัวชี้แนะ (Clue) ที่ปรากฏในบริบท (Context) ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนจะจำแนกตัวชี้แนะในบริบท ออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) ตัวชี้แนะแสดงความหมาย (Definition Clues) เช่น be, mean, refer to, be defined as เป็นต้น 2) ตัวชี้แนะแสดงตัวอย่าง (Example Clues) เช่น such as, for example, for instance, e.g. เป็นต้น 3) ตัวชี้แนะเปรียบเทียบแสดงความเหมือน (Comparison Clues) เช่น as, be like, same as, similar to เป็นต้น และ 4) ตัวชี้แนะเปรียบเทียบแสดงความเหมือน (Contrast Clues) เช่น but, while, unlike, although, however เป็นต้น


ห น ้ า | 7 5) วิธีดำเนินการ ในการวิจัย เรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) โดยกลวิธีการ เดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clue Strategy) ผู้วิจัยได้เริ่มศึกษาค้นคว้าข้อมูลที่เกี่ยวข้อง อันประกอบด้วย การพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท และได้มีวิธีการดำเนินการวิจัยเป็น ขั้นตอนดังนี้ ภาพที่ 1 วิธีการดำเนินการ 6) ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรในการวิจัยในครั้งนี้คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ที่กำลังศึกษาอยู่ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 โดยกำหนดเลือกกลุ่มตัวอย่างจากประชากร จำนวน 39 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบ เจาะจง (Purposive Sampling) เนื่องจากเป็นกลุ่มนักเรียนที่ผู้วิจัยมีโอกาสจัดการเรียนการสอนในรายวิชาเพิ่มเติม ภาษาอังกฤษอ่านเขียน รหัสวิชา อ30203 อยู่แล้ว ผู้วิจัยจึงมีแนวคิดในการประยุกต์ใช้กลวิธีดังกล่าวมาใช้ ประกอบการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน อีกทั้งยังให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของรายวิชาที่สอน ประชาการ : นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 กลุ่มตัวอย่าง: นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี จำนวน 39 คน ที่กำลังศึกษาในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 1) ขั้นวางแผน • กําหนดประกรและกลุ่มตัวอย่าง • ศึกษาค้นคว้าแนวคิดทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง 2) ขั้นออกแบบ และสร้าง เครื่องมือ • จัดทําแผนการจัดการเรียนการสอน เรื่อง การเดาคําศัพท์จากบริบท • จัดทําแบบทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน 3) ขั้นปฏิบัติการ และเก็บข้อมูล • ทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) • ดําเนินการสอนตามแผนการจัดการเรียนการสอน • ทดสอบหลังเรียน (Post-test) 4) ขั้นวิเคราะห์ และสรุปผล • นําข้อมูลคะแนนจากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของกลุ่มตัวอย่าง เข้าวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม SPSS เปรียบเทียบสถิติ t-test • สรุปผลการวิจัย


ห น ้ า | 8 7) ตัวแปรที่ศึกษา ตัวแปรอิสระ คือ กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clue Strategy) ตัวแปรตาม คือ การอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) ภาพที่ 2 กรอบแนวคิด 8) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 8.1) แผนการจัดการเรียนการสอน เรื่อง Context Clues จำนวน 5 ชั่วโมง 8.2) แบบทดสอบก่อน และหลังเรียน เรื่อง Context Clues รูปแบบปรนัย 4 ตัวเลือก จำนวน 20 ข้อ และแบบเติมคำตอบสั้น จำนวน 10 ข้อ รวม 30 ข้อ 20 คะแนน 9) ตารางที่ 1 แผนการดำเนินการวิจัย โดยการดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ผู้วิจัยได้กำหนดแผนการดำเนินการวิจัยไว้ดังนี้ วัน เดือน ปี กิจกรรม หมายเหตุ 10 พ.ย. 65 กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง - 11 พ.ย. 65 ออกแบบจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง Context Clues - 11 พ.ย. 65 จัดทำแบบทดสอนก่อน-หลังเรียน - ธ.ค.65 -ม.ค. 66 ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อเก็บข้อมูล - ธ.ค.65 -ม.ค. 66 จัดการเรียนการสอนเรื่อง Context Clue ตามแผนการจัดการเรียนรู้ - 7 ม.ค. 66 ให้กลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบหลังเรียน เพื่อเก็บข้อมูล - 25 ม.ค. 66 วิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ - 25 ม.ค. 66 สรุปผลการวิจัย - ตัวแปรอิสระ การจัดการเรียนการสอนเรื่อง กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clue Strategy) ตัวแปรตาม การอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension)


ห น ้ า | 9 10) วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลโดยมีขั้นตอนดังต่อไปนี้ 10.1) ให้กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 39 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 ในรายวิชาภาษษอังกฤษอ่านเขียน (อ30203) ทำแบบทดสอบก่อน เรียน (Pre-test) 10.2) ดำเนินการจัดการเรียนการสอนเรื่อง การเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clues) ตามแผนการ จัดการเรียนการสอน ประกอบด้วยเอกสารประกอบการเรียน กิจกรรม แบบฝึกหัด และแบบทดสอบ จำนวน 5 ชั่วโมง 10.3) ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบหลังเรียน (Post-test) เพื่อวัดความสามารถในการอ่านของ ผู้เรียนที่ใช้กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท 10.4) นำผลข้อมูล คะแนนผลการทำแบบทดสอบก่อนและหลังเรียนที่ได้ไปคำนวนหาประสิทธิผลของการ จัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านด้วยกลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท เปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทางสถิติแบบ Pair Sampling t-test ด้วยโปรแกรม SPSS 11) สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล การศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้เป็นการศึกษาผลการใช้การจัดการเรียนการสอนเรื่อง การเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clues) เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน การอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) ของนักเรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน ซึ่งผ็วิจัยขอ นำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลดังนี้ ตารางที่ 2 ผลคะแนนทำแบบทดสอบก่อน – หลังเรียน ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2565 จำนวน 39 คน ลำดับ กลุ่มตัวอย่าง คะแนนเต็ม 20 คะแนน ผลต่าง ก่อนเรียน หลังเรียน 1. พชรพล 9 14 +5 2. ศิรภพ 4 11 +6 3. ณภัทร 4 12 +8 4. พลภัทร 6 13 +7 5. ภูธเนศ 4 8 +4 6. สราวุฒิ 6 12 +6 7. อิสระ 8 14 +7 8. มุทา 9 18 +9 9. เนตรรัตณะ 3 2 -1 10. พงศภัค 4 8 +4 11. รัตนชัย 4 6 +2


ห น ้ า | 10 ลำดับ กลุ่มตัวอย่าง คะแนนเต็ม 20 คะแนน ผลต่าง ก่อนเรียน หลังเรียน 12. วีรภัทร 5 9 +4 13. จตุรวิทย์ 6 9 +3 14. เบญจมินทร์ 5 9 +4 15. เทพมงคล 5 8 +3 16. ศุภกิจ 6 9 +3 17. แผ่นดิน 4 12 +8 18. ชนาสิน 5 10 +5 19. ปิยวัช 6 15 +9 20. ภูผา 4 9 +5 21. วริศรา 6 16 +10 22. มนทรัตน์ 6 17 +11 23. ณัฐภูมิ 4 11 +7 24. กันจพัฒน์ 4 10 +6 25. ภูริพัฒน์ 5 11 +6 26. ณฐภัทร 5 12 +7 27. ธีระ 5 9 +4 28. ปัณณวิชญ์ 5 8 +3 29. ภูมิระภวัช 4 8 +4 30. ผุสดี 6 15 +9 31. ศรุตา 5 13 +8 32. ศศิชา 6 17 +11 33. ศศิพัชร์ 5 11 +6 34. ลลิตา 5 10 +5 35. ธัญรดา 5 10 +5 36. ฤดี 5 9 +4 37. ชลลดา 7 17 +10 38. ธิดารัตน์ 6 17 +11 39. นภาพร 4 9 +5 หมายเกตุ ข้อมูลนะวันที่ 15 พฤศจิกายน 2565


ห น ้ า | 11 ตารางที่ 3 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าสถิติทดสอบที และระดับนัยสำคัญทางสถิติของการทดสอบ เปรียบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลังเรียนของนักเรียน4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรี จำนวน 39 (n =39) จากตารางที่ 3 พบว่า การทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียน สุรศักดิ์มนตรี จำนวน 39 คน มีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 5.26 คะแนน และ 11.23 คะแนน ตามลำดับ และเมื่อ เปรียบเทียบระหว่างคะแนนก่อนและหลังเรียน พบว่า คะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่าง มีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 12) สรุปผลการวิจัย การจัดการเรียนการสอนเรื่อง Context Clues สำหรับให้ผู้เรียนได้ใช้กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบทช่วย พัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) ของผู้เรียนได้ เมื่อผู้วิจัยได้ทำการเปรียบเทียบ การใช้ทักษะการอ่านจากคะแนนการทำแบบทดสอบก่อน และหลังเรียนแบบปรนัย 20 ข้อ และแบบเติมคำตอบ สั้น 10 ข้อ ของผู้เรียนจำนวน 39 คน โดยวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติแบบ Pair Sample t-test พบว่าผู้เรียนมี คะแนนการทำแบบทดสอบหลังเรียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติอยู่ที่ระดับ .05 13) อภิปรายผล จากการวิจัยในครั้งนี้ตามวัตถุประสงค์ของการวิจัยสามารถอภิปรายตามแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการ พัฒนาทักษะการอ่านด้วยกลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบทได้ดังนี้ จากการเปรียบเทียบผลคะแนนการทำ แบบทดสอบของผู้เรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนการสอนเรื่องกลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท พบว่า ผู้เรียนมีคะแนนผลการทำแบบทดสอบที่สูงขึ้นอย่างที่นัยสำคัญทางสถิติที่ .05 ซึงสอดคล้องกับแนวคิดและ ตาราง..... คา่เฉลี่ย สว่นเบี่ยงเบนมาตรฐาน คา่สถิตทิดสอบทีและระดบันัยสา คญัทางสถิติ ของการทดสอบเปรยีบเทียบคะแนนสอบก่อนและหลงัเรยีนของนักเรยีน.......... (n = 39 ) S.D. 5.26 1.33 หลงัเรยีน 11.23 3.50 5.97 2.74 การทดสอบ ก่อนเรยีน * 0.0000 t Sig.(1-tailed) 13.62 t-test Paired Samples Statistics Mean N Std. Deviation Pair 1 Pre-test 5.26 39 1.33 Posttest 11.23 39 3.50 Paired Samples Test Mean Std. Deviation Std. Error Mean t df Sig.(2-tailed) Sig.(1-tailed) Pair 1 Posttest - Pretest 5.97 2.74 0.44 13.6242 38 0.0000 0.0000 Paired Differences


ห น ้ า | 12 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง สุทธิดา สุขะอาคม (2563) ดารณี จุนเจือวงศ์ (2563) และ นราวดี พันธุนรา (2551) เกี่ยวกับการใช้กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clues) ซึ่งถือเป็นกลวิธีที่สำคัญในการพัฒนาทักษะ การอ่าน ที่เน้นความเข้าใจ (Reading Comprehension) รวิวรรณ สิทธิสุวรรณ (2564) ว่าเป็นการอ่านที่ ผู้เรียนสามารถระบุความหมาย รายละเอียด ข้อมูลหรือใจความของเรื่องที่อ่านได้ โดยอาศัยการสังเกต วิเคราะห์และตีความคำศัพท์และบริบทของเรื่องที่อ่าน โดยผู้อ่านจะสามารถระบุความหมายของคำศัพท์ที่ ตนเองไม่รู้ในเรื่องที่อ่านได้ 14) ข้อเสนอแนะ จากการวิจัยครั้งนี้เป็นการจัดการวิจัยในครั้งนี้ ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะเพื่อการใช้ประโยชน์และการปฏิบัติที่ เกี่ยวข้องดังนี้ เนื่องด้วยการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจ (Reading Comprehension) ซึ่งกลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบทนี้ ยังสามารถนำมาปรับใช้กับการพัฒนาความสามารถใน การรู้ศัพท์ได้ ดังนั้นกลวิธีดังกล่าวจึงสามารถนำมาประยุคใช้กับการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะและ ความสามารถทางภาษาเพื่อการสื่อสารอื่น ๆ ได้ ระดับของผู้เรียนที่เหมาะสมกับการวิจัยในครั้งนี้คือผู้เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในระดับชั้นมัธยมศึกษาตอน ปลายขึ้นไป เนื่องจากระดับความยากของการใช้ทักษะการอ่าน คำศัพท์ และการคิดวิเคราะห์ที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ สามารถนำมาปรับใช้กับผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นได้ หากผู้วิจัยปรับรูปแบบประโยคให้ง่ายขึ้น หรือ เลือกใช้เครื่องหมาย หรือสัญญาลักษณ์แทน วงคำศัพท์ รูปแบบและโครงสร้างประโยคที่ใช้ควรเหมาะสมตามระดับข้องผู้เรียนโดยยึดตามแบบเรียนที่ สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง รวมถึงการจัดการเรียนการสอน และออกแบบกิจกรรมที่หลากหลายเพื่อกระตุ้น ความสนใจของผู้เรียน การทำแบบทดสอบ หรือการวัดและประเมินผลควรใช้วิธีการที่หลากหลายเพื่อให้ได้ผลการประเมินที่มี ประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การประยุคใช้เรื่องราวรอบตัว เรื่องราวในปัจจุบันในการออกแบบประโยคและ บทความในการฝึกอ่าน 15) ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ การวิจัยเรื่องการพัฒนาทักษะการอ่านเพื่อความเข้าใจด้วยกลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนสุรศักดิ์มนตรีในครั้งนี้ ถือเป็นการจัดการเรียนการสอนที่ฝึกให้ผู้เรียนประยุกต์ใช้ กลวิธีการเดาคำศัพท์จากบริบท (Context Clues) เพื่อพัฒนาความสามารถในการอ่านเพื่อความเข้าใจ และ สามารถระบุความหมายของคำศัพท์ที่ตนเองไม่รู้ได้ โดยไม่ต้องใช้พจนานุกรมเพื่อหาความหมาย ถือเป็นกลวิธีที่ ผู้เรียนสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน และสามารถพัฒนาทักษะการอ่านของผู้เรียนได้ดี


ห น ้ า | 13


Click to View FlipBook Version