z ตามแนวคิดศาสนวิทยา เทพและเทวดา
z เทพ ศาสนาพราหมณ์ หมายถึง "เทพเจ้า" ศาสนาพุทธ หมายถึง "เทวดา"
z เทพ คือ วิญญาณผู้เป็นใหญ่และมีอ านาจบนสวรรค์ เทวดา คือ วิญญาณของมนุษย์ที่เสียชีวิตไปแล้วไปมี สภาพเป็นทิพย์อยู่บนสวรรค์ตามภพภูมิต่างๆ
z ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ▪ เชื่อว่าเทพหรือเทพเจ้านี ้ มีอ านาจควบคุมความเป็นไป ของชีวิตสรรพสิ่งต่างๆและโลก สามารถท าให้ดีหรือ ร้าย และหากคนไปวิงวอนขอให้ช่วยก็จะดลบันดาล ให้เกิดสิ่งดีๆและปัดเป่ าสิ่งไม่ดีออกไปได้ ฉะนั ้นเทพ เจ้าจึงอิทธิพลต่อวิธีชีวิตมาก
z เทพเจ้าพราหมณ์-ฮินดู ▪ พระพรหม เป็นเทพเจ้าสูงสุด (ตรีมูรติ) ในคติของ ศาสนาฮินดูเป็นเทพเจ้าแห่งการสร้างสรรค์ ความเมตตา เป็นพระผู้สร้างโลกและให้ก าเนิดสิ่งต่าง ๆ ในจักรวาล และ ให้ก าเนิดคัมภีร์พระเวท[
z ▪ พระพรหมมีสี่พักตร์ พระศอสวม ลูกประค า พระหัตถ์แต่ละข้างถือ ดอกบัว, คัมภีร์ และหม้อน ้า มี พาหนะเป็นหงส์หรือห่าน พระ ชายาคือพระสุรัสวดีเทพีแห่ง ศิลปะวิทยาการและความรอบรู้
z ▪ ในคติของชาวไทยที่รับคติความเชื่อจากศาสนาพรหมณ์-ฮินดู เชื่อว่าพระพรหม เป็นผู้ลิขิต ชะตาชีวิตของบุคคลต่าง ๆ ตั ้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า "พรหมลิขิต" และผู้ใดที่บูชาพระพรหมอยู่เป็นนิจ พระองค์จะประทานพรให้สมหวัง เรียกว่า "พรพรหม" หรือ "พรหมพร" [1] และยังเป็นเทพประจ าทิศเบื ้องบนอีกด้วย โดยความหมายของค าว่า "พรหม" หมายถึง "ความเจริญ, ความกว้างขวาง, ความขยายตัว หรือความเบิกบาน" ดังนั ้นตามคติและวัตรปฏิบัติต่าง ๆ ทั ้งใน ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู และพุทธศาสนาจึงมีค าว่า พรหม ประกอบค าศัพท์ เช่น "พรหมจรรย์" , "พรหมบุตร" หรือ "พรหมวิหาร 4" เป็นต้น
z พระพรหมตามความเชื่อของศาสนาพุทธ ▪ พระพรหม เป็นเทวดาชั ้นสูงกว่าเทวดาทั่วไปในฉกามาพจรแต่มีการเวียนว่ายตายเกิด ด้วยอ านาจกิเลส (โลภะ โทสะ โมหะ แต่ในภพชาติก่อนจุติและปฏิสนธิเป็นพรหมมีกุศล มาก มีฌาณสมาบัติเป็นอารมณ์ เมื่อตายจึงไปเกิดที่สวรรค์ชั ้นนี ้) อยู่ในสวรรค์ที่เรียกว่า ชั ้นพรหม (พรหมภูมิ) ▪ พระพรหมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่มีรูป เรียกว่า "รูปพรหม" มีทั ้งหมด 16ชั ้น และพรหมที่ไม่มีรูป เรียกว่า "อรูปพรหม" มีทั ้งหมด 4ชั ้น โดยอรูปพรหมจะสูงกว่ารูป พรหม ▪ พระพรหมไม่มีเพศ ไม่ต้องกินไม่ต้องบริโภคอาหาร เหมือนสัตวโลกในภูมิอื่น ด้วยว่าแช่ม ชื่นอิ่มเอิบโดยมีฌานสมาบัติเป็นอาหาร จึงไม่ต้องขับถ่าย
z ▪ พระวิษณุ หรือที่รู้จักกันในพระนามอีกอย่างหนึ่ง ว่า พระนารายณ์ เป็นหนึ่งในสามตรีมูรติ ▪ มีหน้าที่คุ้มครองแลดูแลรักษาทั ้ง ๓ โลกตามความเชื่อของชาว ฮินดู จากคัมภีร์พราหมณ์ รูปร่างลักษณะมีพระวรกายจะมีสีที่ เปลี่ยนไปตามยุค ฉลองพระองค์ดั่งกษัตริย์ มีมงกุฎทอง อาภรณ์สี เหลือง มี ๔ กร ถือ สังข์จักรสุทรรศน์คทาเกาโมทกีแต่ที่จะพบ เห็นได้บ่อยที่สุดคือถือ จักร์ สังข์ คทา ส่วนอีกกรจะถือ ดอกบัว บ้าง หรือ ไม่ถืออะไรเลยบ้าง (โดยจะอยู่ในลักษณะ"ประทานพร") ▪ โดยปรกติ พระวิษณุ จะทรงประทับอยู่ที่เกษียรสมุทร โดย ส่วนมากจะบรรทมอยู่บนหลังพญาอนันตนาคราชโดยมีพระ ชายาคือพระแม่ลักษมีมหาเทวี คอยฝ้าดูแลปรนิบัติอยู่ข้าง ๆ เสมอ พาหนะของพระวิษณุคือ พญาครุฑ
z พระศิวะ หรือ พระอิศวร (หนึ่งในตรีมูรติ หรือเทพเจ้าสูงสุด สามองค์ตามความเชื่อในศาสนา ทรงมีพระลักษณะมีรูปกายเป็นชายหนุ่ม ร่างก าย า วรรณะขาว (สีผิวขาว) นุ่งห่มหนังเสือเหมือนฤๅษี มีสังวาลย์เป็น ลูกประค าหรือกะโหลกมนุษย์ มีงูเห่าคล้องพระศอ ไว้พระเกศายาว ซึ่งจะ ม้วนเป็นจุฑา (มวยผม) มีพระจันทร์เป็นปิ่นและแม่คงคาอยู่บนยอดจุฑา ซึ่งพ่นน ้ามาตลอด และมีตาที่สามกลางพระนลาฏ (หน้าผาก) ซึ่งโดยปกติ จะปิดอยู่เสมอ เชื่อว่าหากเปิดขึ ้นเมื่อไหร่จะบันดาลให้ไฟบรรลัยกัลป์ จะ เผาผลาญล้างโลก (บ้างว่าเป็นพระพรหม) ถือว่าเป็นการสิ ้นสุดกัปหนึ่ง ก่อนที่พระพรหมจะสร้างโลกขึ ้นมาใหม่ ทรงมีพระพาหนะคือโคนนทิ (วัวเพศผู้สีขาวล้วน) มีพระชายาคือพระ ปารวตี มีโอรส 2 องค์ คือ พระขันทกุมารและพระพิฆเนศ ทรงประทับอยู่ ณ เขาไกรลาส อันเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล ชายาอีกองค์คือพระแม่คง คา มีธิดาคือพระแม่มนสาเทวีหรือพระยามี
z ▪ นอกจากนี ้ยังเชื่อว่าพระศอของพระศิวะมีสีด า ทั ้งนี ้เนื่องจากพระองค์ได้ พิษนาคไว้เมื่อครั ้งกวนเกษียรสมุทรท าน ้าอมฤตเพื่อช่วยโลก ซึ่งบทหนึ่ง ในกามนิต-วาสิฏฐีวรรณกรรมอิงพุทธศาสนาได้อ้างถึง สีของความรักว่า เป็นสีด า เสมือนสีคอพระศิวะ "ท่านโสมทัตตตต ท่านเข้าใจผิดถนัด ความรักของฉันจะเปรียบด้วยสีดอกไม้ไรๆ ไม่ได้ เพราะฉันได้ยินกล่าวกันว่าความรักที่แท้จริงไม่ใช่สีแดง ย่อมมีสีด าดั่งสีนิล เหมือนดั่งสีศอ พระศิวะ เมื่อทรงดื่มพิษร้ายเพื่อรักษาโลกไว้ให้พ้นภัย ความร ั กแท ้ จร ิ งต ้ องสามารถต ้ านทานพษ ิ แห่งชี วต ิ และต ้ องเตม ็ใจยอมลม ิ ้ รสท ี่ ขมข ื่นทส ีุ่ ดเพ ื่อเส ี ยสละให ้ ผ ้ ู ทเ ี่ราร ั กคงชี พอยู่ และเพราะด ้ วยความขมข ื่นทส ีุ่ ดน ี ้ ความร ั กย่อมเตม ็ใจเล ื อกเอาส ี น ิ ล ค ื อ ความขมข ื่นไว ้ ด ี กว่าจะเล ื อกเอาส ี อ ื่นๆ คือ มุ่งแต่จะหาความบันเทิงสุขอย่างเดียว"
z
z พ ิ ธ ี กวนเกษ ี ยรสม ุ ทรน ้ น ั มาจากเร ื่องเล ่ าปางท ี่2 ที่พระนารายณ์(วิษณุ) อวตารเป็ นเต ่ า ยก ั ษ ์ ช ื่อกร ู มะจ ึ งเร ี ยก ปางน ้ ี วา ่ กร ู มาวตาร(Kurma avatara) เกษียรสมุทรเป็นทะเลของน ้านมตามคติความเชื่อของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
▪ zพระอินทร์และเหล่าเทวดา จึงพากันไปที่ทะเลน ้านม (Milk Sea) ที่ประทับ ของพระนารายณ์ พระนารายณ์แนะให้ท าพิธีกวนน ้าอมฤต แล้วให้เหล่าเทวดา แบ่งกันกินจะได้มีร่างกายอมตะ ฆ่าไม่ตาย ▪ พระนารายณ์ประทาน ทะเลน ้านม เป็น หม้อกวน เขามันทระ เป็น ไม้กวน ขอพญานาควาสุกรี เป็น เชือกพันเขามันทระ น าสมุนไพรทั ้งสามโลก มาใส่ในหม้อกวน ▪ เทวดาจึงได้ไปหลอกอสูรให้มาช่วย โดยบอกว่า หากได้น ้าอมฤตแล้วจะแบ่งให้กิน (ซึ่งเทวดาวางแผนจะหักหลังในตอนท้าย) แถมยังหลอกซ ้าสอง ให้อสูรไปชักทาง หัวของพญานาควาสุกรี ส่วนเทวดาขอไปอยู่ทางด้านหางของนาค
z ▪ ผ่ายเทวดาอยู่ทางหางนาค พระอินทร์ก็ท าหน้าที่คอยดลบันดาลให้ฝนตกเย็นช ่า และคอยประคองไม่ให้เขามันทระทรุดเอียง ส่วนพระพรหม คอยกดเขาไม่ให้สั่นไหว เมื่อกวนกันนานเข้า เขามันทระค่อยๆหมุนเจาะแกนโลกจนเกือบทะลุ พระ นารายณ์จึงอวตารเป็นเต่าขนาดใหญ่ไปรองรับเขามันทระ เพื่อไม่ให้แกนโลกทะลุ มิ เช่นนั ้นมนุษย์และสรรพสัตว์จะล้มตายกันหมดโลก
z เม ื ่ อผา ่ นไป 1พน ั ปี จ ึ งไดเ ้ ก ิ ดของว ิ เศษ 10อยา ่ งกระเดน ็ ออกมาจาก การกวนเกษ ี ยรสม ุ ทรนน ั ่ ค ื อ 1 เกิดขนมนมเนยชั ้นดี (เนยที่ว่าจะลอยบนทะเล กลายเป็นแผ่นดินทวีปต่างๆให้มนุษย์อยู่อาศัย) และแม่โคสารพัดนึก ชื่อ สุรภี 2 เกิดสุราชั ้นดี และเทวีวารุณี เทพีแห่งสุรา เกิดมาด้วย 3เกิดต้นปาริชาติ (ว่ากันว่า หากผู้ใดได้ดมกลิ่นดอกปาริชาติ จะสามารถระลึกชาติได้) 4 เกิดนางอัปสร (เหล่านางฟ้า)จ านวน 35 ล้านตน ฟุ้งกระจายมาเต็มท้องฟ้า หมู่เทวดาและอสูรรับไปเป็นบริวาร 5เกิด พระจันทร์เสี ้ยว พระศิวะเอาไปเป็นปิ่นปักผม 6เกิดพิษร้าย (ว่ากันว่า นาคและสัตว์บางชนิด เช่น แมงป่ อง ตะขาบ มดฯลฯ รับไป ) 7 มีสาวงามที่เกิดจากดอกบัว คือ พระลักษมี (เทพีแห่งความงาม) พระนารายณ์รับไปเป็นพระชายา (ที่จริง พระนารายณ์มีพระชายา อยู่แล้ว คือ พระสุวัสวดี เทพีแห่งความฉลาด ดังนั ้น พระองค์จึงได้ยกพระสุรัสวดีไปเป็นพระชายาของพระพรหม เพื่อที่พระองค์จะ ได้รับพระลักษมีมาเป็นชายาแทนที่) 8เกิด ม้าวิเศษ 5 เศียร “อุจไฉรพ” พระอินทร์รับไปเป็นพาหนะ (ม้าที่แม่ของครุฑ และนาค พนันทายสีขนกัน) 9เกิด ช้าง 3 เศียร “เอราวัณ” พระอินทร์รับไปเป็นพาหนะอีกเช่นกัน 10. เกิดเทพ ธันวัณตแพทย์ บนหัวทูนหม้อน ้าอมฤตขึ ้นมา
z ▪ พระอินทร์เป็นเทวราชตามคติในศาสนา ฮินดูและศาสนาเชน มีหน้าที่ปกครองสวรรค์และ อภิบาลโลก ถือก าเนิดขึ ้นในสมัยฤคเวท ต่อมาใน สมัยที่ตรีมูรติอุบัติขึ ้น พระอินทร์ก็ถูกลดบทบาทลง และเริ่มมีพฤติกรรมทางเพศมากขึ ้น กระทั่ง กลายเป็นเทวดาชั ้นรองจากมหาเทพตรีมูรติใน ปัจจุบัน แต่ในรามเก ี ยรต ิ ์ พระอินทร์มีภรรยาชื่อ นางกาลอัจนา มีลูกชื่อ พาลีมีน้องชื่อสุครีพ ลูก ของพระอาทิตย์
z ▪ สมัยฤคเวท พระอินทร์มีร่างกายก าย า ผม เครา และเล็บสีทอง มีตาทั่วตัว มี 4 กร ในสมัยต่อมา พระ อินทร์เริ่มมีหน้าตาและรูปร่างสวยขึ ้น โดยมีร่างกายสีแดง สีขาวนวล และกลายเป็นสีเขียวในปัจจุบัน อาวุธประจ ากายของพระอินทร์ได้แก่วชิราวุธ คือ วัชระ (สายฟ้า), พระขรรค์ชื่อ "ปรัญชะ," ศักรธนู, บ่วงบาศ, จักร, สังข์ ตะขอ แหตาข่าย ฯลฯ. ▪ พระอินทร์มีพาหนะคือช้างเอราวัณ ▪ พระอินทร์มีหนึ่งหน้า สี่มือ แต่โดยปรกติแล้วในจิตรกรรมต่าง ๆ มักปรากฏเพียงสองมือ มือหนึ่งถือ วชิราวุธ ▪ ที่พักของพระอินทร์เรียก "ไวชยนต์" ตั ้งอยู่ในเมืองอมราวดี บนเขาพระสุเมรุ เขาพระสุเมรุนี ้เป็นที่ตั ้งของชั ้น ฟ้าหรือสวรรคโลก บรรดาเทวดาในอมราวดีนครไร้ทุกข์ทุกประเภท วันหนึ่ง ๆ ชื่นชมและสมสู่กับอัปสร และเล่นสนุกบรรดามี
z ▪ แต่ของศาสนาพุทธ (รวมทั ้งศาสนาเชน) มักเรียกพระอินทร์ โดยทั่วไปในชื่อท้าวสักกะหรือท้าวศักระ ซึ่งเป็นเทวดาผู้ปกครอง สวรรค์ชั ้นดาวดึงส์ ท้าวสักกะนั ้นในบางครั ้งมักถูกเรียกด้วยชื่อ "อินทระ" หรือในชื่อที่เรียกขานทั่วไปอีกชื่อว่า "เทวานัม อินทระ" อัน หมายถึง "จอมเทพ" หรือ "หัวหน้าแห่งเทพทั ้งหลาย" ชื่อของ "พระ อินทร์" หรือท้าวสักกะเทวราช ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกหลายพระ สูตรด้วยกัน
z