The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

3. 40101 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป-1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by sun_wanrawee8, 2021-11-04 23:42:51

3. 40101 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป-1

3. 40101 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายทั่วไป-1

1

40101 ความรเู้ บอ้ื งตน้ เกยี่ วกบั กฎหมายทว่ั ไป

หนว่ ยท่ี 1 พฒั นาการกาเนดิ ความคดิ ทางกฎหมาย

1. การทาความเขา้ ใจความหมายของ “กฎหมาย” ตอ้ งทาความเขา้ ใจในปรชั ญากฎหมายในสานัก
ความคดิ ตา่ งๆ และจะทาใหผ้ ศู ้ กึ ษามที ศั นะคตทิ กี่ วา้ งขนึ้

2. สานักความคดิ ตา่ งๆ หมายถงึ แนวคดิ หรอื ทฤษฎที างกฎหมายทน่ี ักปราชญก์ ฎหมายกลมุ่ หนงึ่ มี
ความคดิ เห็นหรอื ความเชอ่ื ตรงกนั แมว้ า่ จะเกดิ ขนึ้ ตา่ งยคุ ตา่ งสมยั ก็ตาม

3. ปัจจัยทม่ี ผี ลกระทบตอ่ กฎหมายมสี ว่ นสาคัญหลายประการ ทัง้ แนวความคดิ ทางศาสนา จารตี
ประเพณี ความคดิ เห็นของนักปรชั ญากฎหมาย เหตกุ ารณ์ตา่ งๆ ทเี่ กดิ ขนึ้ ลว้ นเป็ นปัจจยั ทส่ี าคัญในการเกดิ
การเปลยี่ นแปลง การใชแ้ ละการพฒั นากฎหมาย

1.1 ประวตั สิ านกั ความคดิ ตา่ งๆ ในทางกฎหมาย
1. แนวความคดิ ของสานักความคดิ กฎหมายธรรมชาติ ใหค้ วามสาคญั อยทู่ กี่ ารใชเ้ หตผุ ลของมนุษย์
ตามธรรมชาตขิ องมนุษย์ กฎหมายทแ่ี ทจ้ รงิ คอื เหตผุ ลทถี่ กู ตอ้ ง สอดคลอ้ งกบั หลกั ธรรมชาติ ใชป้ ระโยชน์
ใหส้ อดคลอ้ งกบั การใชอ้ านาจโดยชอบธรรม เป็ นกระแสความคดิ หลกั ในระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตยทม่ี งุ่ เนน้
ในการคมุ ้ ครองสทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชน และถกู ใชเ้ ป็ นเครอ่ื งมอื ในการใชเ้ หตผุ ลในการโตแ้ ยง้ การ
ใชอ้ านาจรัฐ
2. แนวความคดิ ของสานักกฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง เนน้ การมรี ะบบกฎหมายทแ่ี น่นอน มรี ะเบยี บและมี
ประสทิ ธภิ าพ ทาใหเ้ กดิ การพฒั นาแนวความคดิ ทางการเมอื งและทฤษฎกี ฎหมายทจี่ ะสนับสนุนความชอบ
ธรรมของการใชอ้ านาจโดยเด็ดขาดของรัฐ ในการตรากฎหมายตา่ งๆ ขนึ้ ใชบ้ งั คบั ในการปกครองประเทศ
อยา่ งไมม่ ขี อ้ แมใ้ ดๆ
3. แนวความคดิ ของสานักความคดิ ทางกฎหมาย ฝ่ ายคอมมวิ นสิ ตใ์ หค้ วามหมายของกฎหมาย คอื
ปรากฏการณ์ อนั หนงึ่ ซง่ึ เป็ นผลสะทอ้ นมาจากการเมอื ง กลา่ วคอื เศรษฐกจิ และการเมอื งตอ้ งการจะแสดง
คาสงั่ คาบญั ชาอยา่ งไร สง่ิ ทแ่ี สดงออกมาคอื กฎหมาย
4. แนวความคดิ ของสานักความคดิ ฝ่ ายสงั คมวทิ ยากฎหมายเห็นวา่ หากกฎหมายมสี ภาพทต่ี รงตอ่
ความจรงิ ในสงั คม กค็ วรมกี ารเปลยี่ นหลกั แหง่ กฎหมายทกุ ครงั้ ทส่ี งั คมเปลย่ี นแปลง และหากผใู ้ ชก้ ฎหมาย
เขา้ ใจในบรบิ ทของสงั คม การใชก้ ฎหมายจะลดความขดั แยง้ รวมทัง้ ทาใหม้ กี ารพฒั นากฎหมายใหด้ ขี นึ้

1.1.1 ความหมายและความสาคญั ของสานักความคดิ ในทางกฎหมาย
การศกึ ษาและจาแนกความคดิ ในสานักความคดิ ทางกฎหมายเป็ นไปเพอื่ ประโยชนใ์ ด
สานักความคดิ ทางกฎหมายสานักตา่ งๆ เป็ นพยายามสกดั เอาอดุ มคตหิ รอื คณุ คา่ ทแี่ ทจ้ รงิ หรอื แกน่
สารของกฎหมาย เพอ่ื พยายามหาคาตอบวา่ ดว้ ยความมงุ่ หมายหรอื วตั ถปุ ระสงคข์ องกฎหมาย หรอื บทบาท
และหนา้ ทขี่ องกฎหมาย เพอ่ื หาหลักการพน้ื ฐานของกฎหมาย โดยวธิ กี ารแสวงหาคาตอบทแ่ี ตกตา่ งกนั
กลมุ่ ทมี่ คี วามคดิ อยา่ งเดยี วกนั ถงึ แมจ้ ะเกดิ ขนึ้ กอ่ นหรอื ภายหลงั แตห่ ากมคี วามคดิ เห็นทสี่ อดคลอ้ งไปใน
แนวทางเดยี วกนั หรอื ใกลเ้ คยี งกนั หรอื เพอ่ื ใหท้ ราบถงึ แนวความคดิ ทส่ี ง่ ผล หรอื มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ระบบ
กฎหมายหรอื หลกั กฎหมายทใ่ี ชอ้ ยใู่ นแตล่ ะยคุ สมยั

1.1.2 สานักความคดิ กฎหมายธรรมชาติ (School of Natural Law)
แนวความคดิ สานักกฎหมายธรรมชาตสิ ามารถใชป้ ระโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งไร
สานักความคดิ กฎหมายธรรมชาติ เนน้ การใชเ้ หตผุ ลตามธรรมชาตเิ ป็ นหลกั การพนื้ ฐานในการตอ่ สู ้
และปกป้องสทิ ธขิ นั้ พนื้ ฐานของมนุษยส์ ามารถใชป้ ระโยชน์ ใหส้ อดคลอ้ งกบั การใชอ้ านาจโดยชอบธรรมใน
ระบบเสรปี ระชาธปิ ไตยทมี่ งุ่ เนน้ ในการคมุ ้ ครองสทิ ธแิ ละเสรภี าพของประชาชน และถกู ใชเ้ ป็ นเครอ่ื งมอื ใน
การใชเ้ หตผุ ลในการโตแ้ ยง้ การใชอ้ านาจของรัฐ

1.1.3 สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง (School of Positive Law)
ประเทศไทยรบั แนวความคดิ สาหรับนักกฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื งไดอ้ ยา่ งไร และสง่ ผลตอ่
แนวความคดิ ของนักกฎหมายไทยอยา่ งไร
การสง่ นักเรยี นไทยไปศกึ ษาตอ่ ในประเทศองั กฤษในขณะทคี่ าสอนของออสตนิ ไดเ้ ป็ นทย่ี อมรบั
อยา่ งมากในวงการกฎหมายองั กฤษ ทาใหม้ กี ารนาสอนในประเทศไทย และสง่ ผลใหแ้ นวความคดิ ดงั กลา่ ว
เป็ นทย่ี อมรบั ในระบบความคดิ ของนักกฎหมายไทยมาเป็ นเวลานาน พจิ ารณาไดจ้ ากการบรรยาย

2

ความหมายของกฎหมายทาใหม้ กี ารวพิ ากษ์วจิ ารณว์ า่ นักกฎหมายไทยหมกมนุ่ กบั การเลน่ ในตัวอกั ษร
มากกวา่ คณุ คา่ ทแ่ี ทจ้ รงิ ของกฎหมาย

1.1.4 สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายคอมมวิ นสิ ต์ (School of Communist Jurisprudence)
สานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายคอมมวิ นสิ ตเ์ ห็นวา่ กฎหมายมลี กั ษณะและบทบาทอยา่ งไร
กฎหมายเป็ น “ปรากฏการณ์” (Phenomenon) และไมย่ อมรับวา่ กฎหมายเป็ นสง่ิ จาเป็ นสาหรบั
สงั คมปรชั ญากฎหมายของฝ่ ายคอมมวิ นสิ ต์ คอื ความไมเ่ ชอ่ื ในกฎหมาย ไมเ่ ชอ่ื ในกฎแหง่ ธรรมชาติ หรอื
สง่ิ ทอ่ี ยนู่ อกเหนอื ขอบเขตของกฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง และแมภ้ ายในขอบเขตของกฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง
เอง ฝ่ ายคอมมวิ นสิ ตก์ ไ็ มเ่ ชอ่ื วา่ สงู สดุ หรอื เป็ นสง่ิ สมบรู ณ์ (The Absoluteness) สาหรบั บทบาทของ
กฎหมายมขี อ้ สรปุ หลายประการคอื
1. กฎหมายเป็ นผลผลติ หรอื ผลสะทอ้ นของโครงสรา้ งทางเศรษฐกจิ หรอื เงอื่ นไขทางเศรษฐกจิ
2. กฎหมายเป็ นเสมอื นหนงึ่ เครอื่ งมอื หรอื อาวธุ ทช่ี นชนั้ ปกครองสรา้ งขน้ึ เพอ่ื ปกป้องอานาจของ

ตน
3. ในสงั คมคอมมวิ นสิ ตท์ ส่ี มบรู ณ์ กฎหมายในฐานะทเี่ ป็ นเครอื่ งมอื ของการควบคมุ สงั คมจะเหอื ด
หายและสญู สน้ิ ไป

1.1.5 สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายสงั คมวทิ ยา (School of Sociological Jurisprudence)
การศกึ ษาของสานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายสงั คมวทิ ยา กฎหมายมปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร
การศกึ ษาในทางสงั คมวทิ ยาจะชว่ ยอธบิ ายเหตผุ ล ของกฎเกณฑแ์ ละเหตผุ ลของพฤตกิ รรมของ
คนในกลมุ่ ผลประโยชนแ์ ละบรบิ ทของสงั คมเพอื่ ใชก้ ฎหมายใหส้ อดคลอ้ งกบั จารตี ประเพณี และวถิ ชี วี ติ
ของคนสว่ นใหญเ่ ป็ นการลดความขดั แยง้ ระหวา่ งกฎหมายกบั ความประพฤตขิ องบคุ คล เป็ นเครอื่ งชว่ ยให ้
การใชก้ ฎหมายเป็ นธรรมขนึ้ รวมทัง้ ชว่ ยการพัฒนากฎหมายใหด้ ขี น้ึ โดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญัติ

1.1.6 สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายสจั จนยิ ม (School of Realist Jurisprudence)
สานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายสจั จนยิ ม มองกฎหมายอยา่ งไร
สานักความคดิ ทางกฎหมายฝ่ ายสจั จนยิ ม สนใจในความเป็ นจรงิ เพราะประเด็นขอ้ วพิ ากษ์วจิ ารณ์
เกย่ี วกบั กฎหมายหรอื เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั ผใู ้ ชก้ ฎหมายกอ่ ใหเ้ กดิ ประสบการณ์ทสี่ งั่ สมกนั ทาใหบ้ คุ คล
ผเู ้ กย่ี วขอ้ งเกดิ ความสงสยั หรอื คับขอ้ งใจกบั การหาเหตผุ ลของกฎหมาย จงึ เกดิ แนวความคดิ ทพี่ ยายาม
อธบิ ายหรอื หาคาตอบทม่ี งุ่ แยกแยะหาเหตผุ ลตา่ งๆ วา่ เหตใุ ดกฎหมายจงึ บญั ญตั เิ ชน่ นัน้ หรอื ทาไมศาลจงึ
ตัดสนิ เชน่ นัน้ โดยมกี ารนาวธิ กี ารในวชิ าอนื่ ๆ มาใชอ้ ธบิ ายเรอื่ งตา่ งๆ ในทางกฎหมายดว้ ย

1.1.7 สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายประวตั ศิ าสตร์ (School of Historical Jurisprudence)
ซาวนิ ยมี คี วามคดิ เกย่ี วกบั กฎหมายอยา่ งไร
ซาวนิ ยเี ห็นวา่ กฎหมายมไิ ดเ้ ป็ นเรอื่ งของเหตผุ ล แตเ่ พยี งอยา่ งเดยี ว แตเ่ จอื ไปดว้ ยวฒั นธรรม และ
ความรสู ้ กึ รว่ มกนั เป็ นเอกลกั ษณ์ของชนชาตนิ ัน้ ๆ ตามอารมณ์ ความรสู ้ กึ ทางจติ ใจของแตล่ ะชนชาตมิ คี วาม
แตกตา่ งกนั อารมณ์ ความรสู ้ กึ ทวี่ า่ นคี้ อื “จติ วญิ ญาณประชาชาต”ิ (Volksgeits หรอื The spirit of the
people) และแสดงออกใหเ้ ห็นไดจ้ ากกฎหมายประเพณี (Gewohnheitsercht) และภาษา

1.1.8 แนวโนม้ ใหมๆ่ ในการพัฒนาความคดิ ทางกฎหมาย
แนวโนม้ ของการพฒั นา ความคดิ ทางกฎหมายในปัจจบุ นั มแี นวโนม้ เป็ นอยา่ งไร
แนวโนม้ ในปัจจบุ นั คอื การนาปรชั ญากฎหมายธรรมชาตมิ าผสมกบั ปรัชญากฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง
เพอ่ื หาสว่ นทล่ี ะมา้ ยกนั และเป็ นประโยชนต์ อ่ สงั คมใหม้ ากทสี่ ดุ ปรัชญาใหมไ่ มม่ ชี อื่ เรยี กเป็ นทางการ
บางครงั้ เรยี กวา่ ปรชั ญากฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื งแผนใหม่ (The modern positive law)

1.2 ความคดิ ในเชงิ ปรชั ญากฎหมาย
1. รัฎฐาธปิ ัตย์ คอื ผมู ้ อี านาจสงู สดุ ในรัฐ แตต่ อ้ งเป็ นอานาจดว้ ยความเป็ นธรรม มฉิ ะนัน้ อาจจะถกู ลม้

ลา้ งได ้
2. ความยตุ ธิ รรม ตามความหมายโดยทวั่ ไปนัน้ หมายถงึ ความถกู ตอ้ ง ชอบดว้ ยเหตผุ ล ความหมาย
ของความยตุ ธิ รรมนัน้ ยากทจ่ี ะใหค้ านยิ าม เพราะขน้ึ อยกู่ บั คตนิ ยิ ม ปรชั ญาของแตล่ ะคน
3. ดลุ พนิ จิ ของผใู ้ ชก้ ฎหมาย ทาใหเ้ กดิ การบงั คับใชก้ ฎหมาย และการเปลย่ี นแปลงในกฎหมาย
4. กฎหมายเป็ นเครอ่ื งกาหนดระเบยี บวนิ ัยของสงั คม ประชาชนทัง้ หลายจงึ ตอ้ งเคารพนับถอื กฎหมาย
ผบู ้ รหิ ารประเทศยอ่ มไมม่ อี านาจตามอาเภอใจ ตอ้ งเคารพกฎหมายเชน่ กนั

3

1.2.1 รฎั ฐาธปิ ัตย์
หลกั นติ ริ ัฐและหลกั การแบง่ แยกอานาจมผี ลตอ่ การจากดั การใชอ้ านาจของรฎั ฐาธปิ ัตยอ์ ยา่ งไร
หลกั นติ ริ ัฐหมายถงึ รฐั ทป่ี กครองตามหลกั แหง่ เหตผุ ลเพอื่ ใหก้ ารอาศัยอยรู่ ว่ มกนั ของมนุษยเ์ ป็ นไป
ดว้ ยความสงบสขุ หลักการแบง่ แยกอานาจอธปิ ไตยเป็ นหลกั การทก่ี าหนดขน้ึ เพอื่ คมุ ้ ครองสทิ ธแิ ละ
เสรภี าพของประชาชนจากการใชอ้ านาจอธปิ ไตยของรัฐ ประเทศทปี่ กครองดว้ ยหลกั การดังกลา่ วจะสง่ ผล
ใหร้ ฎั ฐาธปิ ัตยไ์ มส่ ามารถใชอ้ านาจไดอ้ ยา่ งเต็มท่ี

1.2.2 ความยตุ ธิ รรม
อรสิ โตเตลิ ไดก้ ลา่ วถงึ ความยตุ ธิ รรมอยา่ งไร
อยตุ ธิ รรมยอ่ มเกดิ ขนึ้ เมอ่ื ความเทา่ กนั ถกู ทาใหไ้ มท่ ัดเทยี มกนั และเมอื่ ความไมเ่ ทา่ กนั ถกู ทาให ้
กลายเป็ นความทดั เทยี มกนั (In-just arises when equals are treated unequally, and also when
unequals are treated equally) อรสิ โตเตลิ ไมย่ อมรับวา่ ความยตุ ธิ รรมเป็ นคณุ ธรรมดงั ทเี่ ปลโตเขา้ ใจ แต่
บอกวา่ ความยตุ ธิ รรมเป็ นเรอ่ื งของการจดั ระเบยี บความสมั พันธข์ องมนุษยใ์ นสงั คม โดยถอื หลกั วา่ สง่ิ ท่ี
เหมอื นกนั ควรไดร้ ับการปฏบิ ตั เิ ทา่ เทยี มกนั

1.2.3 ดลุ พนิ จิ ของผใู ้ ชก้ ฎหมาย
การใชด้ ลุ พนิ จิ ของนักกฎหมายจะสอดคลอ้ งกบั ความยตุ ธิ รรมในสงั คมคอื อะไร
การใชด้ ลุ พนิ จิ จงึ เป็ นสง่ิ สาคญั สดุ ยอดขอ้ หนง่ึ ในการอานวยความยตุ ธิ รรมเมอื่ ใดทกี่ ฎหมายเปิด
โอกาสใหใ้ ชด้ ลุ พนิ จิ นักกฎหมายควรใชด้ ลุ พนิ จิ ไปในทางสอดคลอ้ งตอ่ “มโนธรรม ศลี ธรรม และความ
ตอ้ งการของสงั คม”

1.2.4 การนับถอื กฎหมาย
ประเทศทเี่ ป็ นนติ ริ ฐั มลี กั ษณะอยา่ งไร
ประเทศทเี่ ป็ นนติ ริ ัฐนัน้ จะตอ้ งมลี ักษณะดงั ตอ่ ไปนี้
1. ในประเทศนัน้ กฎหมายจะตอ้ งอยเู่ หนอื สง่ิ ใดทัง้ หมด การกระทาตา่ งๆ ในทางปกครอง
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ การกระทาของตารวจจะตอ้ งเป็ นไปตามกฎหมายและชอบดว้ ยกฎหมาย หลักประกนั
สทิ ธแิ ละเสรภี าพของราษฎรอยทู่ ก่ี ฎหมาย ถา้ เจา้ พนักงานของรัฐมากล้ากลายสทิ ธแิ ละเสรภี าพของราษฎร
โดยไมม่ กี ฎหมายใหอ้ านาจ เจา้ พนักงานก็ยอ่ มมคี วามผดิ อาญา
2. ในประเทศทเ่ี ป็ นนติ ริ ัฐ ขอบเขตแหง่ อานาจหนา้ ทข่ี องรฐั ยอ่ มกาหนดไวแ้ น่นอน เรมิ่ ตงั้ แตก่ าร
แบง่ แยกอานาจและมขี อบเขตในการใชอ้ านาจทงั้ สามน้ี ถัดจากอานาจรัฐ อานาจของเจา้ พนักงานท่ี
ลดหลัน่ ลงมาเป็ นอานาจทวี่ ดั วดั ได ้ เป็ นอานาจทมี่ ขี อบเขตเชน่ เดยี วกนั และตอ้ งมกี ารควบคมุ การใช ้
อานาจภายในขอบเขตเทา่ นัน้
3. ในประเทศทเี่ ป็ นนติ ริ ัฐ ผพู ้ พิ ากษาตอ้ งมอี สิ สระในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดี โดยจะตอ้ งมี
หลกั ประกนั ดงั กลา่ วไวใ้ นรฐั ธรรมนูญและเพยี งแตร่ ัฐไดจ้ ดั ใหม้ ผี พู ้ พิ ากษาเป็ นอสิ สระสาหรบั พจิ ารณาคดี
แพง่ และคดอี าญาเทา่ นัน้

1.3 ปจั จยั ทมี่ ผี ลตอ่ การพฒั นาความคดิ ในทางกฎหมาย
1. ศาสนาเป็ นปัจจยั ทใี่ หก้ อ่ ใหเ้ กดิ กฎหมาย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การเกดิ และการเปลยี่ นแปลงกฎหมาย
2. จารตี ประเพณี เป็ นปัจจัยทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ กกหมาย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การใชก้ ฎหมาย
3. ความเห็นของนักกฎหมาย เป็ นปัจจัยทาใหเ้ กดิ กฎหมาย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การใชก้ ฎหมาย
4. เหตกุ ารณ์ในสงั คม มสี ว่ นทาใหเ้ กดิ กฎหมาย และมอี ทิ ธพิ ลตอ่ การใชก้ ฎหมาย

1.3.1 ศาสนา
กฎหมายตราสามดวงของประเทศไทยมคี ตคิ วามเชอื่ ในทางศาสนาอยา่ งไร
กฎหมายตราสามดวงของประเทศไทยประกอบดว้ ยสว่ นสาคญั 2 สว่ นคอื พระธรรมศาสตรแ์ ละพระ
ราชศาสตร์ เป็ นกฎหมายทไี่ ดร้ บั อทิ ธพิ ลจากศาสนาในการกอ่ กาเนดิ ขน้ึ ผา่ นคตคิ วามเชอ่ื ในศาสนาฮนิ ดู
และศาสนาพทุ ธ พระธรรมศาสตรเ์ ป็ นสว่ นทเ่ี นน้ อดุ มคตใิ นเรอ่ื งความยตุ ธิ รรม สว่ นพระราชศาสตรซ์ งึ่ เป็ น
เรอ่ื งของบรรดากฎหมาย อรรถคดี พระราชบญั ญตั ิ พระราชกาหนด และพระราชวนิ จิ ฉัยของ
พระมหากษัตรยิ แ์ ละยงั ไดก้ ลา่ วถงึ ลกั ษณะของการเป็ นผพู ้ พิ ากษาทดี่ ตี อ้ งยดึ หลกั อนิ ทภาษ คอื เวลา
พจิ ารณาคดจี ะตอ้ งปราศจากอคติ 4 คอื ฉันทาคติ (รัก) โทษาคติ (หลง) และภะยาคติ (กลัว) ลว้ นแลว้ มี
ความสอดคลอ้ งกบั ความเชอ่ื ในเรอ่ื งสวรรคแ์ ละนรกในความเชอื่ ทางศาสนาทงั้ สน้ิ

1.3.2 จารตี ประเพณี

4

จารตี ประเพณกี อ่ ใหเ้ กดิ กฎหมายไดอ้ ยา่ งไร
เมอ่ื จารตี ประเพณไี ดร้ ับการยอมรับและยดึ ถอื ปฏบิ ตั ิ กจ็ ะมกี ารนามาบญั ญตั ใิ นกฎหมายลายลกั ษณ์
อกั ษรขน้ึ แตจ่ ารตี ประเพณอี กี สว่ นหนง่ึ ทไี่ มไ่ ดม้ กี ารบญั ญตั ไิ วเ้ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร แตส่ งั คมก็ยงั ยอมรับ
ปฏบิ ตั กิ นั ตอ่ มา มผี ลในการยอมรับปฏบิ ตั เิ สมอื นเป็ นกฎเกณฑต์ ามกฎหมาย

1.3.3 ความเห็นของนักปรัชญาทางกฎหมาย
ความเห็นของนักปราชญท์ างกฎหมายมอี ทิ ธพิ ลตอ่ กฎหมายอยา่ งไร
ความเห็นของนักปรัชญาทางกฎหมายหรอื นักปราชญท์ างกฎหมาย หรอื คาพพิ ากษาของศาลหรอื
ระบบของกฎหมายอาจเกดิ ขนึ้ จากขอ้ คดิ เห็น ขอ้ โตแ้ ยง้ ทมี่ ตี อ่ ตัวบทกฎหมายหรอื คาพพิ ากษาของศาล
หรอื ระบบของกฎหมายไดส้ รา้ งบทบาทและเปลยี่ นแปลงขนึ้ ในวงการกฎหมาย อาจสง่ ผลตอ่ ระบบกฎหมาย
ของประเทศ ระบบศาล หรอื มกี ฎหมาย หรอื แกไ้ ขกฎหมาย

1.3.4 เหตกุ ารณ์
เหตกุ ารณแ์ ละสภาพปัจจยั แวดลอ้ มสง่ ผลกระทบตอ่ กฎหมายอยา่ งไร
เหตกุ ารณ์และสภาพปัจจัยแวดลอ้ มของสงั คมหรอื ของประเทศ มสี ว่ นสาคญั อยา่ งยงิ่ ทท่ี าใหเ้ กดิ
การเปลย่ี นแปลงในตวั บทกฎหมายหรอื มบี ทกฎหมายขนึ้ หรอื อาจสง่ ผลตอ่ การใช ้ การตคี วามกฎหมาย
ดว้ ย ดังเชน่ การนาเทคโนโลยโี ดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เครอื่ งคอมพวิ เตอรม์ าใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั การพัฒนาทาง
เทคโนโลยที างคอมพวิ เตอรแ์ ละโทรคมนาคมกอ่ ใหเ้ กดิ ระบบอนิ เทอรเ์ นต สง่ ผลใหต้ อ้ งมกี ารตรากฎหมาย
ขนึ้ รองรับ

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 1

1. สานักความคดิ ทางกฎหมายคอื แนวคดิ หรอื ทฤษฎที างกฎหมายของนักคดิ ทงั้ หลายซงึ่ มคี วามคดิ เห็นตรงกนั
แมว้ า่ แตล่ ะคนหรอื แนวความคดิ แตล่ ะอยา่ งเกดิ ขนึ้ ตา่ งสมยั กนั กต็ าม

2. สานักความคดิ กฎหมายธรรมชาตมิ แี นวคดิ เกย่ี วกับกฎหมายคอื กฎหมายตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ธรรมชาตแิ ละ
ความมเี หตผุ ล

3. การถอื วา่ “กฎหมายทสี่ มบรู ณใ์ ชก้ ารไดจ้ รงิ และเป็ นไปตามเจตจานงของผมู ้ อี านาจรัฐ” เป็ นแนวคดิ ของ
สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายบา้ นเมอื ง

4. แนวความคดิ วา่ “กฎหมายคอื ปรากฏการณ์อนั หนง่ึ ซงึ่ เป็ นผลสะทอ้ นทางการเมอื ง” เป็ นแนวคดิ ของสานัก
ความคดิ ทางกฎหมาย สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายคอมมวิ นสิ ต์

5. การมงุ่ หาความจรงิ วา่ เพราะเหตใุ ดกฎหมายจงึ บญั ญตั เิ ชน่ นัน้ และทาไมศาลจงึ ตดั สนิ คดเี ชน่ นัน้ เป็ นแนว
ความคดิ ของ สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายสจั จะนยิ ม

6. สานักความคดิ ทางกฎหมายใดทเี่ ป็ นวา่ กฎหมายเป็ นสง่ิ ทคี่ น้ พบ ไมไ่ ดถ้ กู สรา้ งขน้ึ มลี กั ษณะเฉพาะ
เชน่ เดยี วกับภาษา เป็ นจติ วญิ ญาณของประชาชาติ สานักความคดิ กฎหมายฝ่ ายนยิ มประวตั ศิ าสตร์

7. รัฐาธปิ ัตย์ มคี วามหมายถงุ ผมู ้ อี านาจสงู สดุ ในรัฐ
8. กฎหมายจะสามารถใชใ้ หเ้ กดิ ความสงบสขุ ไดเ้ มอ่ื ประชาชนและผมู ้ อี านาจตา่ งเคารพนับถอื กฎหมาย
9. ศาสนามผี ลตอ่ กฎหมายคอื (1)เป็ นเครอ่ื งกระตนุ ้ ใหค้ นกระทาในสง่ิ ทเี่ หมาะสมหรอื มคี วามประพฤตเิ หมาะสม
(2) ศาสนาเป็ นเครอื่ งควบคมุ สงั คมเชน่ เดยี วกบั กฎหมาย (3) กฎหมายบางเรอื่ งมที ม่ี าจากหลกั คาสอนทางศาสนา
(4) การนับถอื ศาสนาสง่ ผลใหค้ นปฏบิ ตั สิ อดคลอ้ งกบั กฎหมาย
10. จารตี ประเพณมี คี วามสาคัญตอ่ กฎหมายคอื จารตี ประเพณีเป็ นบอ่ เกดิ ของกฎหมาย

หนว่ ยท่ี 2 ววิ ฒั นาการระบบกฎหมาย

1. กฎหมายนัน้ ไดว้ วิ ัฒนาการมาจากระเบยี บ ความประพฤติ ศลี ธรรม จารตี ประเพณี ศาสนา แลว้
กลายเป็ นมสี ภาพบงั คบั ได ้

2. ระบบกฎหมายไทยไดว้ วิ ฒั นาการมาเป็ นขนั้ ตอนตามสภาพความเป็ นเอกราชตลอดมา
3. ในการพัฒนาระบบกฎหมายไทยใหถ้ งึ เป้าหมายนัน้ ยอ่ มมปี ัญหาและอปุ สรรคหลายประการ

2.1 ววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายทส่ี าคญั ของโลก
1. ในสมยั ดงั้ เดมิ นัน้ ยงั ไมม่ ภี าษาเขยี น จงึ ตอ้ งใชค้ าสงั่ ของหวั หนา้ ประเพณี ศลี ธรรม ศาสนา และ
ความเป็ นธรรมตามความรสู ้ กึ ของมนุษย์ ใหม้ สี ภาพบงั คบั ตามนามธรรมเป็ นกฎหมายได ้
2. เมอื่ มนุษยร์ จู ้ ักภาษาเขยี น กไ็ ดเ้ ขยี นบนั ทกึ สง่ิ ทบ่ี งั คบั ตามนามธรรมขนึ้ ใช ้ และตอ่ มาก็ได ้
พฒั นาขนึ้ ใหเ้ ป็ นกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรหรอื ประมวลกฎหมาย

5

3. ในบางประเทศ เชน่ ประเทศองั กฤษ ยงั คงยดึ จารตี ประเพณที ปี่ ฏบิ ตั มิ าเป็ นหลกั กฎหมายและ
อาศยั คาพพิ ากษาของศาลทพ่ี พิ ากษาวางหลกั ใชเ้ ป็ นกฎหมายในระบบกฎหมายคอมมอนลอว์

4. กฎหมายในระบบอนื่ เชน่ กฎหมายสงั คมนยิ ม กฎหมายอสิ ลาม ยอ่ มจดั อยใู่ นระบบประมวล
กฎหมาย

5. เมอื่ หลกั กฎหมายของประเทศตา่ งๆ คลา้ ยคลงึ กนั ยอ่ มใชก้ ฎหมายฉบบั เดยี วกนั ได ้ นักกฎหมายก็
สามารถใชก้ ฎหมายฉบบั เดยี วกนั ไดท้ ั่วโลก กลายเป็ นหลกั สากลขนึ้

2.1.1 กฎหมายในสงั คมบรรพกาล
คาสง่ั หวั หนา้ เผา่ เป็ นกฎหมายไดอ้ ยา่ งไร
เมอ่ื มกี รณีพพิ าทหรอื โตแ้ ยง้ เกดิ ขน้ึ ผทู ้ เี่ ป็ นหวั หนา้ เผา่ จะตอ้ งเป็ นผชู ้ ข้ี าด ซง่ึ ตอ้ งอาศยั ความ
ถกู ตอ้ งตามกฎเกณฑ์ การชขี าดดงั กลา่ วบงั คับแกค่ กู่ รณีได ้ โดยจะตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามและเชอ่ื ฟังคาชขี้ าดและ
กฎเกณฑเ์ ชน่ นัน้ จงึ เป็ นกฎหมาย
จารตี ประเพณเี ป็ นกฎหมายไดอ้ ยา่ งไร
จารตี ประเพณเี กดิ จากพฤตกิ รรมการเลยี นแบบของมนุษยต์ ามความเคยชนิ ทคี่ นในสงั คมนัน้ จะ
กระทาตามคนสว่ นใหญ่ เมอื่ พฤตกิ รรมเหลา่ นัน้ ไดม้ กี ารปฏบิ ตั ติ อ่ เนอื่ งกนั มาเลอ่ื ยๆ เป็ นระยะเวลาอนั
ยาวนานหากผใู ้ ดฝ่ าฝื นไมย่ อมประพฤตหิ รอื ปฏบิ ตั ติ ามกจ็ ะไดร้ ับการตาหนอิ ยา่ งรนุ แรงจากสงั คม ใน
บางครงั้ กจ็ ะมสี ภาพเป็ นการลงโทษ ในทส่ี ดุ ก็จะกลายเป็ นหลกั บงั คบั ใชก้ บั ประชาชนในถน่ิ นัน้ ๆ และเป็ น
กฎหมายจารตี ประเพณีโดยไมร่ ตู ้ วั

2.1.2 ววิ ัฒนาการของระบบประมวลกฎหมาย
ระบบประมวลกฎหมายนัน้ จะมลี กั ษณะอยา่ งไร
จะมลี ักษณะเป็ นรปู รา่ งของกฎหมาย 3 ประการคอื
1. เป็ นระบบกฎหมายทม่ี าจากกฎหมายโรมนั และใชก้ นั อยทู่ ว่ั ไปในยโุ รป ซง่ึ แตกตา่ งไปจาก
กฎหมายจารตี ประเพณี
2. เป็ นการตัง้ หลกั เกณฑท์ ใี่ ชบ้ งั คบั ถงึ ความสมั พันธร์ ะหวา่ งบคุ คล ซง่ึ แตกตา่ งไปจากกฎหมาย
มหาชนโดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ จะแตกตา่ งไปจากกฎหมายอาญา
3. เป็ นกฎหมายทม่ี สี ภาพบงั คบั ซง่ึ ตรงขา้ มกบั กฎหมายพระหรอื ศาสนจกั ร

2.1.3 ววิ ฒั นาการของระบบคอมมอนลอว์
หลกั เอค็ ควตี ี้ (Equity) หมายความวา่ อยา่ งไร
เป็ นการตดั สนิ ทอ่ี าศัยหลกั มโนธรรม (Conscience) ทใี่ หค้ วามเป็ นธรรมแกค่ กู่ รณี โดยคานงึ ถงึ
ประโยชนส์ ขุ และความยตุ ธิ รรมในสงั คมเป็ นใหญ่

2.1.4 ววิ ัฒนาการของระบบกฎหมายอน่ื ๆ
สตาลนิ ไดเ้ ปลย่ี นหลกั การใหมข่ องกฎหมายสงั คมนยิ มวา่ อยา่ งไร
สตาลนิ ไดเ้ ปลย่ี นหลกั การใหมข่ องกฎหมายสงั คมนยิ มวา่ ความยตุ ธิ รรมมอี ยเู่ ทา่ ทกี่ ฎหมาย
กาหนดเทา่ นัน้ และตอ้ งเป็ นกฎหมายทร่ี ฐั บาลชนั้ กรรมาชพี ซง่ึ อยภู่ ายใตก้ ารนาของพรรคคอมมวิ นสิ ต์

กาหนดขนึ้ เทา่ นัน้

2.1.5 แนวโนม้ ของววิ ัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจบุ นั
แนวโนม้ ของการววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจบุ นั นจี้ ะเป็ นอยา่ งไร
แนวโนม้ ในการววิ ัฒนาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจบุ นั นี้ จะเป็ นการใชร้ ะบบกฎหมายซี
วลิ ลอวท์ ัง้ หมด โดยสามารถจะจัดรปู แบบและพัฒนาไดโ้ ดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั ิ โดยนักนติ ศิ าสตรข์ องประเทศ
ตา่ งๆกจ็ ะนาความคดิ เห็นทเี่ ป็ นธรรมซงึ่ มอี ยโู่ ดยทว่ั ไป ไปบญั ญตั ใิ ชใ้ นกฎหมายในประเทศของตนเพอื่ ให ้
เกดิ ความสอดคลอ้ งกนั ตอ่ ไปนานเขา้ หลกั เกณฑต์ า่ งๆของกฎหมายก็จะคลา้ ยคลงึ กนั ทกุ ประเทศในโลก
เกอื บจะเรยี กวา่ ใชก้ ฎหมายฉบบั เดยี วกนั กนั ซง่ึ นักกฎหมายก็จะสามารถใชก้ ฎหมายเรอื่ งเดยี วกนั ไดท้ ่ัว
โลก ถอื วา่ เป็ นหลกั สากล

2.2 ววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายไทย
1. ระบบกฎหมายไทยกอ่ นทยี่ งั ไมม่ ภี าษาเขยี นเป็ นหนังสอื ซง่ึ เรม่ิ ใชใ้ นสมยั พอ่ ขนุ รามคาแหง
มหาราช ในสมยั สโุ ขทยั ตอนปลาย และสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยาจงึ มกี ฎหมายเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรขน้ึ
2. ในสมยั ตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทรไ์ ดม้ กี ารจัดทากฎหมาย ในรปู ของประมวลกฎหมายไทยสาเร็จ เรยี กวา่
กฎหมายตราสามดวง

6

3. ในปัจจบุ นั นใ้ี นประเทศไทยไดม้ กี ฎหมายในรปู ของประมวลกฎหมายครบถว้ น

2.2.1 ระบบกฎหมายกอ่ นกรงุ รัตนโกสนิ ทร์
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชเทยี บไดก้ บั กฎหมายอะไรทสี่ าคญั และนักนติ ศิ าสตรเ์ รยี กวา่
กฎหมายอะไร
ศลิ าจารกึ พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชเทยี บไดก้ บั มหากฎบตั ร (Magna Carta) ขององั กฤษ ซงึ่ ของ
องั กฤษถอื วา่ เป็ นรัฐธรรมนูญฉบบั แรกขององั กฤษ เพราะในศลิ าจารกึ มขี อ้ ความทเ่ี ป็ นหลักประกนั สทิ ธแิ ละ
เสรภี าพของราษฎรในสมยั นัน้ และนักนติ ศิ าสตรบ์ างทา่ นเรยี กวา่ “กฎหมายสบี่ ท” โดยเกยี่ วกบั เรอ่ื ง
กฎหมายมรดก กฎหมายทด่ี นิ กฎหมายวธิ พี จิ ารณา และกฎหมายรอ้ งทกุ ข์

2.2.2 ระบบกฎหมายตน้ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
ในสมยั ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ประเทศไทยในระบบกฎหมายอะไร อยา่ งไร
ในสมยั ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ ประเทศไทยไดใ้ ชร้ ะบบประมวลกฎหมายหรอื กฎหมายลายลกั ษณ์
อกั ษรเพราะพระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกมหาราช ไดช้ าระกฎหมายขนึ้ ใหมโ่ ดยจดั ทาเป็ น
ประมวลกฎหมายขน้ึ เรยี กวา่ “กฎหมายตราสามดวง” หรอื “ประมวลกฎหมายรชั กาลที่ 1”

2.2.3 ระบบประมวลกฎหมายในประเทศไทย
ประเทศไทยในสมยั กรงุ สโุ ขทยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา และกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ใชก้ ฎหมายระบบใด
ในสมยั กรงุ สโุ ขทัยนัน้ สมยั พอ่ ขนุ รามคาแหงมหาราชเป็ นการใชห้ ลักกฎหมายทว่ั ไปทเี่ ห็นวา่ เป็ น
ธรรมและใชร้ ะบบกฎหมายในสงั คมบรรพกาล ตอ่ มาในสมยั พญาเลอไท มหี ลกั ฐานวา่ ไดม้ กี ารจารกึ ใน
ลกั ษณะเป็ นกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร โดยปรากฏเป็ นเรอ่ื งๆไป และหลักฐานยงั ปรากฏอกี วา่ ในสมยั กรงุ
สโุ ขทัยยงั มกี ารใชก้ ฎหมายพระธรรมศาสตร์ ซงึ่ เป็ นคมั ภรี ท์ ส่ี บื ทอดมาจากมนูศาสตรข์ องชาวฮนิ ดู
นอกจากน้ี ก็ยงั ใชพ้ ระราชศาสตร์ คอื คาสง่ั ของพระมหากษัตรยิ เ์ ป็ นกฎหมายอกี ดว้ ย
ในสมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา มหี ลกั ฐานปรากฏชดั วา่ ไดใ้ ชก้ ฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรอยา่ งสมบรู ณ์
กฎหมายทใ่ี ชก้ ค็ อื พระธรรมศาสตร์ อนั เป็ นหลกั กฎหมายทมี่ ตี น้ กาเนดิ มาจากอนิ เดยี นอกจากน้ี
พระมหากษัตรยิ ไ์ ดท้ รงตรากฎหมายขน้ึ เพอื่ ใชบ้ งั คับแกร่ าษฎร เรยี กวา่ พระราชศาสตร์ ซงึ่ มกี ฎหมายทเี่ ป็ น
ลายลกั ษณ์อกั ษรอยหู่ ลายเรอื่ งดว้ ยกนั
ในสมยั ตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทรค์ งใชก้ ฎหมายเดมิ ของกรงุ ศรอี ยธุ ยา แตต่ อ่ มาไดม้ กี ารตรากฎหมาย
จดั ทาเป็ นประมวลกฎหมายขน้ึ เรยี กวา่ “กฎหมายตราสามดวง” หรอื “ประมวลกฎหมายรัชกาลที่ 1” ทัง้ น้ี
เพอื่ ปรบั ปรงุ ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมยง่ิ ขนึ้ จงึ เป็ นการใชก้ ฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร โดยตรงตอ่ มารัชกาลที่ 5
ไดเ้ รม่ิ ดาเนนิ การชาระกฎหมายขน้ึ เป็ นหมวดหมใู่ นลกั ษณะของระบบประมวลกฎหมาย
ในปัจจบุ นั นปี้ ระเทศไทยไดใ้ ชก้ ฎหมายในระบบประมวลกฎหมายหรอื กฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร
ตามระบบทตี่ า่ งประเทศยอมรบั และพัฒนาแลว้ ซงึ่ มกี ารออกกฎหมายเป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรในระบบรฐั สภา
อยา่ งสมบรู ณ์

2.3 ปญั หาและอปุ สรรคในการพฒั นาระบบกฎหมายไทย
1. ปัจจบุ นั การศกึ ษาวชิ านติ ศิ าสตรไ์ ดก้ ระจายอยใู่ นหลายสถาบนั ทาใหเ้ กดิ แนวความคดิ การใช ้

กฎหมายแตกตา่ งกนั เป็ นภยั ตอ่ แนวความคดิ ทางกฎหมายของประเทศเป็ นอยา่ งยงิ่
2. การฝึกอาชพี ทางกฎหมายมแี ยกจากกนั แลว้ แตห่ นว่ ยงานในอาชพี นัน้ ไมอ่ าจจะพฒั นาความคดิ
ทางกฎหมายไปในแนวทางเดยี วกนั
3. การรา่ งกฎหมายในปัจจบุ นั ไมเ่ ป็ นไปตามระบบของการรา่ งกฎหมายทถ่ี กู ตอ้ ง จงึ ทาใหข้ ดั ตอ่
หลกั การและกฎหมายอนื่
4. ประเทศไทยไมม่ รี ะบบตดิ ตามและประเมนิ ผลการบงั คับใชก้ ฎหมาย จงึ มกี ฎหมายบางฉบบั ไมม่ ี
ประชาชนปฏบิ ตั ติ าม

2.3.1 ระบบการศกึ ษานติ ศิ าสตร์
การศกึ ษาทางนติ ศิ าสตรท์ จ่ี ะทาใหก้ ฎหมายไดม้ กี ารพัฒนาไปโดยถกู ทางจะทอ้ งทาอยา่ งไร
ยอ่ มขนึ้ อยกู่ บั การเรยี นการสอนทถี่ กู ตอ้ งตามระบบของกฎหมายไทย โดยจะตอ้ งมกี ารเรยี น การ
สอนไปในทางเดยี วกนั ใหผ้ ทู ้ าการศกึ ษากฎหมายมแี นวความคดิ เห็นของตนเองเป็ นอสิ ระ และตอ้ งปลกู ฝัง
นักกฎหมายใหม้ คี ณุ ธรรมในการรบั ใชป้ ระชาชน ไมใ่ หม้ กี ารเอารดั เอาเปรยี บสงั คม

2.3.2 สถาบนั วชิ าชพี กฎหมาย
การแยกฝึกอาชพี นักกฎหมายเป็ นแตล่ ะสาขาอาชพี มผี ลตอ่ การพฒั นากฎหมายอยา่ งไร

7

การฝึกอาชพี ทางกฎหมายแตล่ ะสถาบนั ไมอ่ าจจะพฒั นาแนวความคดิ ทางกฎหมายไปในทาง
เดยี วกนั ได ้ เพราะแตล่ ะสถาบนั มคี วามคดิ เห็นของตนเอง จะเกดิ ความแตกตา่ งในการพฒั นากฎหมาย

2.3.3 กระบวนการนติ บิ ญั ญัติ
การบญั ญตั กิ ฎหมายแตล่ ะฉบบั นัน้ จะตอ้ งอาศัยหลักอะไร
จะตอ้ งรา่ งกฎหมายดว้ ยอาศยั หลกั คณุ ธรรมและคานงึ ถงึ ธรรมะเป็ นสาคญั โดยไมอ่ อกกฎหมาย
เพอ่ื รกั ษาผลประโยชนข์ องผหู ้ นง่ึ ผใู ้ ดหรอื หน่วยงานใดหน่วยงานหนง่ึ โดยเฉพาะ

2.3.4 ระบบการตดิ ตามและการประเมนิ ผลการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย
เหตใุ ดทร่ี ะบบกฎหมายไทยไมพ่ ัฒนาไปเทา่ ทคี่ วร
เพราะฝ่ ายนติ บิ ญั ญัตไิ มม่ รี ะบบการตดิ ตามและประเมนิ ผลการบงั คบั ใชก้ ฎหมายในประเทศไทยทา
ใหม้ กี ารออกกฎหมายและยกเลกิ กฎหมายตา่ งๆอยเู่ สมอ และบางครัง้ กฎหมายออกมามากแตล่ ะฉบบั จะ
ขดั แยง้ กนั

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 2

1. ความคดิ เห็นทถี่ กู ตอ้ งตามทานองคลองธรรมเป็ น หลกั กฎหมายท่ัวไป
2. แบบอยา่ งทป่ี ฏบิ ตั สิ อดคลอ้ งตอ้ งกนั มาในทอ้ งถน่ิ ใดเป็ นเวลาชา้ นาน จนสามารถบงั คบั ใชก้ บั
ประชาชนในทอ้ งถน่ิ นัน้ เรยี กวา่ กฎหมายจารตี ประเพณี
3. กฎหมายฮนิ ดู ถอื วา่ เป็ นกฎหมายศาสนา
4. ลักษณะของระบบประมวลกฎหมาย มาจากกฎหมายโรมนั ซงึ่ มสี ภาพบงั คบั ไดถ้ งึ ความสมั พันธ์
ระหวา่ งบคุ คล
5. ประมวลกฎหมายฮมั มรู าบี ถอื วา่ เป็ นววิ ัฒนาการเบอ้ื งตน้ ของระบบประมวลกฎหมาย
6. กฎหมายทอ่ี อกโดยรัฐอยา่ งสมบรู ณ์ฉบบั แรกคอื กฎหมายสบิ สองโต๊ะ
7. หลกั คอมมอนลอว์ เป็ นการตดั สนิ คดที ต่ี อ้ งมเี หตผุ ล
8. หลกั กฎหมายเอค็ ครติ ้ี ใชค้ วบคกู่ นั ไปกบั หลักคอมมอนลอว์
9. พน้ื ฐานหลักกฎหมายคอมมอนลอว์ ไดม้ าจาก ผพู ้ พิ ากษา
10. ในทางอาญา ในประเทศไทยใชก้ ฎหมายลักษณะ กฎหมายลายลักษณอ์ กั ษร
11. กฎหมายเกดิ จาก แนวความคดิ เพอื่ สรา้ งหลกั เกณฑใ์ นการควบคมุ มนุษยท์ อ่ี ยใู่ นสงั คม
12. กฎหมายในสมยั บรรพกาลจะมลี ักษณะ นามธรรม
13. จารตี ประเพณมี าจากลกั ษณะของ การทค่ี นประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามแบบอยา่ งทป่ี ฏบิ ตั สิ อดคลอ้ ง
ตอ้ งกนั มาเป็ นเวลาชา้ นาน หากผใู ้ ดฝ่ าฝืนจะไดร้ บั การตาหนอิ ยา่ งรนุ แรง
14. หลกั กฎหมายทว่ั ไป เป็ นกฎหมายดงั้ เดมิ ของมนุษยใ์ นสงั คม
15. พระเจา้ ฮมั มรู าบี เป็ นคนคดิ วา่ ประชาชนไมส่ ามารถอยอู่ ยา่ งอสิ ระปลอดภยั โดยปราศจากกฎหมาย
16. กฎหมายสบิ สองโตะ๊ ถอื ไดว้ า่ เป็ นการเรม่ิ ตน้ ของวชิ านติ ศิ าสตรด์ ว้ ยหลกั การทว่ี า่ กฎหมายควรเป็ น
สงิ่ เปิดเผยใหค้ นทวั่ ไปไดร้ ไู ้ ดเ้ ห็นและศกึ ษาหาเหตผุ ลได ้
17. ในสมยั แองโกล-แซกซอน ศาลตดั สนิ โดยใชห้ ลกั กฎหมายจารตี ประเพณี

18. กฎหมายอสิ ลามจดั อยใู่ นสกลุ กฎหมายศาสนา
19. แนวโนม้ ในการววิ ฒั นาการของระบบกฎหมายในโลกปัจจบุ นั นจี้ ะใชห้ ลกั กฎหมายระบบ ประมวล
กฎหมายหรอื ซวี ลิ ลอว์

หนว่ ยท่ี 3 ทมี่ า ประเภท และศกั ดข์ิ องกฎหมาย
1. ทม่ี าของกฎหมาย ในระบบกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร ระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร

ระบบกฎหมายสงั คมนยิ มนัน้ ยอ่ มแตกตา่ งกนั ทัง้ น้ี ขน้ึ อยกู่ บั พนื้ ฐานของระบบกฎหมายแตล่ ะระบบ
2. การแบง่ ประเภทของกฎหมาย อาจแบง่ ออกไดเ้ ป็ นหลายลกั ษณะ ทัง้ นข้ี นึ้ อยกู่ บั วา่ จะยดึ อะไรเป็ น

เกณฑใ์ นการแบง่
3. กฎหมายทอี่ อกมาใชใ้ นสงั คมนัน้ เกดิ จากองคก์ รทม่ี อี านาจในการออกกฎหมายตา่ งกนั จงึ มลี าดับ

ความสาคญั ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั
4. กฎหมายทมี่ ศี ักดสิ์ งู กวา่ หรอื มศี ักดเ์ิ ทา่ กนั กบั กฎหมายอกี ฉบบั หนงึ่ ยอ่ มแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ หรอื ยกเลกิ

กฎหมายฉบบั หลงั นัน้ ได ้

8

3.1 ทมี่ าของกฎหมาย
1. ทม่ี าของกฎหมายยอ่ มมคี วามหมายแตกตา่ งกนั ไปตามระบบกฎหมาย
2. ทมี่ าของกฎหมายในระบบลายลกั ษณอ์ กั ษรนัน้ ไดแ้ ก่ กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร จารตี ประเพณี
และหลกั กฎหมายทว่ั ไป
3. ทม่ี าของกฎหมายในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลักษณอ์ กั ษร ไดแ้ ก่ จารตี ประเพณี คาพพิ ากษา
ของศาล กฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร ความเห็นของนักนติ ศิ าสตร์ และหลักความยตุ ธิ รรม
4. ทมี่ าของกฎหมายในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม คอื กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร

3.1.1 ทม่ี าของกฎหมายในระบบกฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร
ลองบอกชอ่ื กฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษร
รจู ้ ักรปู แบบของกฎหมายดงั ตอ่ ไปนี้
1) รัฐธรรมนูญ เชน่ รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2517
2) ประมวลกฎหมาย เชน่ ประมวลกฎหมายทด่ี นิ ประมวลรษั ฎากร
3) พระราชบญั ญตั ิ เชน่ พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองสตั วป์ ่ าสงวนแหง่ ชาติ พระราชบญั ญัตบิ รษิ ัท
มหาชน พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ พาณชิ ยน์ าวี
4) พระราชกฤษฎกี า เชน่ พระราชกฤษฎกี ากาหนดเขตควบคมุ ศลุ กากร เป็ นตน้

จารตี ประเพณีทกี่ ลายมาเป็ นกฎหมาย
ตัวอยา่ งของจารตี ประเพณที กี่ ลายมาเป็ นกฎหมาย คอื การทบี่ ตุ รตอ้ งอปุ การะเลย่ี งดบู ดิ ามารดา
ซง่ึ ไดน้ าไปบญั ญตั ใิ น ป.พ.พ. มาตรา 1563

การใหส้ นิ สอดทฝี่ ่ ายชายใหแ้ กฝ่ ่ ายหญงิ นัน้ เป็ นจารตี ประเพณีหรอื ไม่ และฝ่ ายหญงิ จะเรยี กรอ้ ง
จากฝ่ ายชายไดเ้ สมอไปหรอื ไม่

การใหส้ นิ สอดเป็ นจารตี ประเพณี เพราะเขา้ ตามหลกั เกณฑท์ ัง้ 4 ประการ แตก่ ็มใิ ชเ่ ป็ นเรอื่ งทฝ่ี ่ าย
หญงิ จะบงั คับเอากบั ฝ่ ายชายได ้ เพราะเป็ นเรอ่ื งทฝี่ ่ ายชายตอ้ งสมคั รใจใหแ้ กฝ่ ่ ายหญงิ เพอ่ื ตอบแทนการท่ี
หญงิ ยอมสมรสดว้ ย (ป.พ.พ. มาตรา 1437)

ลองสารวจดสู ภุ าษติ กฎหมายทเี่ คยทราบมาแลว้
สภุ าษิตกฎหมายทเ่ี คยทราบมาแลว้ เชน่
1) เป็ นหนา้ ทข่ี องศาลทจ่ี ะตอ้ งใหค้ วามยตุ ธิ รรมแกค่ นทเี่ ขา้ มาหาศาล (ขอ้ 13)
2) ผพู ้ พิ ากษาทดี่ ยี อ่ มวนิ จิ ฉัยคดตี ามหลกั ความยตุ ธิ รรมและความถกู ตอ้ ง และถอื ความยตุ ธิ รรม
สาคญั กวา่ กฎหมาย (ขอ้ 24)
3) ความทจุ รติ กบั ความยตุ ธิ รรมอยดู่ ว้ ยกนั ไมไ่ ด ้ (ขอ้ 59)

3.1.2 ทมี่ าของกฎหมายในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร
จารตี ประเพณีมคี วามสมั พนั ธต์ อ่ ระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษรอยา่ งไร
จารตี ประเพณเี ป็ นตน้ ตอของกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลักษณอ์ กั ษร เมอ่ื สมยั เรมิ่ แรกของระบบกฎหมาย
นี้ ศาลใชจ้ ารตี ประเพณเี ป็ นกฎหมายในการตดั สนิ คดจี ารตี ประเพณจี งึ เป็ นทม่ี าพนื้ ฐาน ของระบบกฎหมาย
ไมเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร

เหตผุ ลสนับสนุนคากลา่ วทวี่ า่ “กฎหมายทมี่ าจากคาพพิ ากษาของศาลเป็ นหลกั เกณฑท์ มี่ น่ั คง เชน่
เดยี ว กบั หลักทเี่ กดิ จากจารตี ประเพณี”

คาพพิ ากษาของศาลในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษรเป็ นหลกั เกณฑท์ ม่ี น่ั คง เนอ่ื งจาก
ศาลในระบบกฎหมายนยี้ ดึ ถอื หลกั แนวบรรทดั ฐานคาพพิ ากษาของศาล จงึ ทาใหค้ ดที ม่ี ขี อ้ เท็จจรงิ อนั เป็ น
สาระสาคญั อยา่ งเดยี วกนั ไดร้ บั การตดั สนิ ใหม้ ผี ลอยา่ งเดยี วกนั เมอ่ื เวลาผา่ นไปหลักเกณฑท์ ศี่ าลวางไว ้
ในการตดั สนิ คดยี อ่ มไดร้ บั การยอมรับมากยงิ่ ขน้ึ และกลายเป็ นหลกั กฎหมายทมี่ นั่ คงในเวลาตอ่ มา

ในปัจจบุ นั กฎหมายลายลักษณ์อกั ษรกลับมบี ทบาทสาคญั ตอ่ ระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณ์

อกั ษรไมน่ อ้ ยกวา่ กฎหมายทเี่ กดิ จากจารตี ประเพณีและคาพพิ ากษาของศาลนัน้ เป็ นความจรงิ เพยี งใด
ในสมยั ทโ่ี ลกมคี วามเจรญิ กา้ วหนา้ การทจี่ ะรอใหก้ ฎหมายเกดิ ขน้ึ จากจารตี ประเพณีหรอื คา
พพิ ากษาของศาลในคดที ข่ี นึ้ สศู่ าลนัน้ ยอ่ มจะไมท่ นั ตอ่ ความตอ้ งการ จงึ ตอ้ งออกกฎหมายลว่ งหนา้ เพอ่ื วาง

9

ระเบยี บและกฎเกณฑใ์ นสงั คม หากจะรอใหก้ ฎหมายเกดิ ขน้ึ เองจะไมท่ ันตอ่ เหตกุ ารณท์ เ่ี กดิ ขนึ้ หรอื
เปลยี่ นแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว

เอคควติ คี้ อื อะไร
เอคควติ ี้ คอื ระบบกฎหมายทเี่ ป็ นสว่ นหนงึ่ ในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลักษณ์อกั ษร เอคควติ เี้ ป็ น
ระบบทยี่ ดึ ถอื หลกั ความยตุ ธิ รรม โดยมโนธรรมของผพู ้ พิ ากษาเป็ นหลกั จงึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความยดื หยนุ่ ในการ
ตดั สนิ คดดี ว้ ยความเป็ นธรรม โดยไมต่ อ้ งอยใู่ นกรอบของจารตี ประเพณหี รอื แนวบรรทัดฐานคาพพิ ากษา
ของศาล
ศาลไทยยอมรบั นับถอื คาพพิ ากษาของศาลในคดกี อ่ นเพยี งใดหรอื ไม่
ศาลไทยอยใู่ นระบบกฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร จงึ ไมถ่ อื วา่ คาพพิ ากษาเป็ นกฎหมายทศี่ าลทาขน้ึ
ศาลคงยดึ ตวั บทกฎหมายเป็ นสาคญั ในการตัดสนิ คดี แตก่ ค็ านงึ ถงึ ผลและเหตผุ ลของคาพพิ ากษาในคดี
กอ่ นอยบู่ า้ ง โดยเฉพาะคดที ม่ี ขี อ้ เท็จจรงิ เชน่ เดยี วกบั ทศี่ าลสงู เคยตดั สนิ ไวแ้ ลว้ แตห่ ากศาลลา่ ง (ทอี่ ยใู่ น
ชนั้ ตา่ กวา่ ) มเี หตผุุ ลเป็ นอยา่ งอนื่ กอ็ าจตดั สนิ ใหเ้ ป็ นอกี อยา่ งหนง่ึ กไ็ ด ้ โดยไมต่ อ้ คานงึ ถงึ คาพพิ ากษาใน
คดกี อ่ นๆนัน้
ความเห็นของนักนติ ศิ าสตรน์ ัน้ จะไดร้ บั การยอมรับจากศาลในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดเี พยี งใด
แมว้ า่ ความเห็นของนักนติ ศิ าสตรจ์ ะไมเ่ ป็ นทมี่ าของกฎหมายในระบบกฎหมายลายลักษณ์อกั ษรแต่
ความเห็น ของนักนติ ศิ าสตรผ์ ทู ้ รงคณุ วฒุ ิ ซง่ึ เป็ นทย่ี อมรับในวงการกฎหมายโดยทวั่ ไป กอ็ าจจะมอี ทิ ธพิ ล
ตอ่ การตดั สนิ ใจคดตี อ่ มา
3.1.3 ทมี่ าของกฎหมายในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม
พจิ ารณาวา่ การทร่ี ะบบกฎหมายสงั คมนยิ มมที ม่ี าของกฎหมาย คอื กฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษรแต่
เพยี งอยา่ งเดยี วนัน้ จะสามารถใหค้ วามยตุ ธิ รรมแกอ่ รรถคดตี า่ งๆไดเ้ พยี งพอหรอื ไม่
ในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม ใชก้ ฎหมายลายลกั ษณ์อกั ษรเป็ นกลไกในการควบคมุ สงั คมใหเ้ ป็ นไป
ตามทว่ี างเป้าหมายไว ้ ความยตุ ธิ รรมจะมเี พยี งใดยอ่ มขน้ึ อยคู่ วามเป็ นอสิ ระของศาลในการตดั สนิ คดี หาก
ศาลตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามนโยบายของพรรคคอมมวิ นสิ ตอ์ ยา่ งหลกี เลย่ี งไมไ่ ด ้ โอกาสทปี่ ระชาชนจะไดร้ ับความ
ยตุ ธิ รรมก็ยอ่ มนอ้ ยลงไดต้ ามลาดับ
3.2 ประเภทของกฎหมาย
1. การแบง่ ประเภทของกฎหมาย อาจแบง่ ไดห้ ลายลกั ษณะทัง้ นข้ี น้ึ อยกู่ บั วา่ จะยดึ อะไรเป็ นเกณฑ์
ในการแบง่
2. กฎหมายนัน้ อาจแบง่ ไดอ้ ยา่ งครา่ วๆ เป็ น 2 ประเภทคอื กฎหมายภายในและกฎหมายภายนอก
3. กฎหมายภายในอาจแบง่ ไดเ้ ป็ น
1) กฎหมายลายลกั ษณอ์ กั และกฎหมายทไี่ มเ่ ป็ นลายลกั ษณอ์ กั ษร
2) กฎหมายทมี่ สี ภาพบงั คับทางอาญา และกฎหมายทม่ี สี ภาพบงั คบั ทางแพง่
3) กฎหมายสารบญั ญตั ิ และกฎหมายวธิ สี บญั ญตั ิ
4) กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน
4. กฎหมายภายนอกอาจแบง่ ออกไดเ้ ป็ น
1) กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื ง
2) กฎหมายระวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คล
3) กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดอี าญา
3.2.1 บทนา
การแบง่ กฎหมายภายในแบบใดทคี่ วรไดร้ บั การยอมรบั มากทสี่ ดุ เพราะเหตใุ ดจงึ เป็ นเชน่ นัน้
การแบง่ กฎหมายภายในเป็ นกฎหมายมหาชนและกฎหมาเอกชน นา่ จะไดร้ ับการยอมรับมากทสี่ ดุ
เพราะมผี ลในการพจิ ารณาใชห้ ลกั เกณฑใ์ นการใชแ้ ละการตคี วามกฎหมาย เพอื่ กอ่ ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมแต่
คดตี ามลกั ษณะกฎหมาย
3.2.2 ประเภทของกฎหมายภายใน
Unwritten Law คอื อะไร
Unwritten Law คอื กฎหมายทย่ี งั มไิ ดถ้ กู ถา่ ยทอดออกมาเป็ นลายลักษณอ์ กั ษร

10

การแบง่ กฎหมายตามสภาพบงั คบั นัน้ มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง
การแบง่ กฎหมายตามสภาพบงั คับมปี ระโยชนใ์ นการพจิ ารณาคดแี ยกคดเี พอ่ื ฟ้องศาลไดถ้ กู ตอ้ ง
เชน่ คดแี พง่ จะฟ้องศาลใดทก่ี ฎหมายกาหนดไดบ้ า้ ง หรอื คดอี าญาจะฟ้องศาลใดไดบ้ า้ ง

ถา้ ไมม่ กี ฎหมายวธิ สี บญั ญัตจิ ะเกดิ ผลประการใดบา้ งตอ่ ระบบกฎหมายของไทยในปัจจบุ นั
ถา้ ไมม่ กี ฎหมายวธิ สี บญั ญตั กิ ็ไมอ่ าจดาเนนิ คดใี นศาลตา่ งๆ ได ้

การแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนนัน้ มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไรบา้ ง
การแบง่ กฎหมายเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนนัน้ ประเทศไทยยงั ไมอ่ าจมองเห็น
ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งชดั เจน เพราะประเทศไทยยงั ไมไ่ ดแ้ ยกคดที เี่ กย่ี วขอ้ งกบั กฎหมายมหาชนใหข้ นึ้ ศาล
ปกครอง ในปัจจบุ นั คดสี ว่ นใหญข่ นึ้ ศาลยตุ ธิ รรม ยกเวน้ บางคดที จี่ ดั ตงั้ ศาลพเิ ศษไวพ้ จิ ารณาพพิ ากษา
คดโี ดยเฉพาะ
3.2.3 ประเภทของกฎหมายภายนอก
กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื งมคี วามสาคัญและมบี ทบาทตอ่ สงั คมประชาชาตเิ พยี งใด
กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื งมคี วามสาคัญมาก เพราะเป็ นกฎหมายทกี่ าหนดกฎเกณฑ์
ทใ่ี หร้ ฐั ตา่ งๆ ไดป้ ฏบิ ตั ติ ามเพอื่ ความสงบสขุ ของสงั คมประชาชาตแิ ตใ่ นปัจจบุ นั กฎหมายนขี้ าดความ
ศักดส์ิ ทิ ธเิ์ พราะไมม่ อี งคก์ รใดทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ สภาพบงั คบั จงึ กลายเป็ นปัญหาทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความไมส่ งบสขุ
ขน้ึ เสมอมา
กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คลมบี ทบาทตอ่ สงั คมปัจจบุ นั เพยี งใด
กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คลมบี ทบาทสาคญั ตอ่ สงั คมยคุ ปัจจบุ นั ทปี่ ระชาชนในแตล่ ะ
รฐั มโี อกาสตดิ ตอ่ กนั หรอื ความสมั พันธก์ นั ในดา้ นตา่ งๆ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งคนตา่ งรฐั ยอ่ มมปี ัญหาทจี่ ะใช ้
กฎหมายของรฐั ใดบงั คบั จงึ ตอ้ งมกี ฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คลขนึ้ เพอ่ื แกป้ ัญหาวา่ จะใช ้
กฎหมายใดบงั คบั แกค่ วามสมั พันธเ์ หลา่ นัน้

การจเ้ี ครอื่ งบนิ จากประเทศอน่ื แลว้ มารอ่ นลงในประเทศไทย แลว้ บงั คับเครอื่ งบนิ ใหเ้ ดนิ ทางตอ่ ไป
ยงั ประเทศทส่ี าม ประเทศไทยจะมสี ทิ ธเิ รยี กใหส้ ง่ ผรู ้ า้ ยขา้ มแดน ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศแผนก
คดอี าญาหรอื ไม่

การจเี้ ครอ่ื งบนิ เป็ นการกระทาผดิ กฎหมายตามอาญากฎหมายไทย หากผรู ้ า้ ยทก่ี ระทาผดิ บงั คับ
เครอ่ื งบนิ ไปประเทศทสี่ าม และประเทศทส่ี ามมขี อ้ ตกลงทจี่ ะรว่ มมอื กนั สง่ ผรู ้ า้ ยขา้ มแดนกบั ประเทศไทย ก็
อาจจะมกี ารสง่ ผรู ้ า้ ยขา้ มแดนได ้ แตค่ วามผดิ นโ้ี ดยปกตยิ อ่ มเป็ นความผดิ อาญาสากลซง่ึ ประเทศทสี่ ามก็
ยอ่ มจะลงโทษไดอ้ ยแู่ ลว้ เพราะเป็ นความผดิ ทก่ี ระทาอยตู่ อ่ เนอื่ งในอาณาเขตของประเทศนัน้ ดว้ ย

3.3 ศกั ดข์ิ องกฎหมาย
1. กฎหมายทอ่ี อกมาใชใ้ นสงั คมยอ่ มเกดิ จากองคก์ รตา่ งกนั จงึ มลี าดบั ความสาคญั ไมเ่ ทา่ เทยี มกนั
2. รัฐธรรมนูญเป็ นกฎหมายทสี่ งู ทส่ี ดุ จะมกี ฎหมายอน่ื มาขดั กบั รัฐธรรมนูญไมไ่ ด ้
3. กฎหมายทอี่ อกโดยรฐั สภา หรอื รัฐธรรมนูญไดม้ อบอานาจใหต้ ราขนึ้ ไดใ้ นกรณพี เิ ศษ ตามความ
จาเป็ นและตามเงอื่ นไขทก่ี าหนด ยอ่ มมศี ักดส์ิ งู รองลงมาจากรัฐธรรมนูญ
4. กฎหมายทอ่ี อกโดยฝ่ ายบรหิ าร โดยอาศยั อานาจกฎหมายทอ่ี อกโดยรัฐสภา ยอ่ มเป็ นกฎหมาย
ลาดบั รองลงมาจากกฎหมายทอ่ี อกโดยรฐั สภา
5. กฎหมายทอ่ี อกโดยองคก์ รปกครองตนเอง โดยอาศัยอานาจกฎหมายอน่ื ยอ่ มมศี ักดต์ิ า่ กวา่
กฎหมายทอี่ อกโดยรฐั สภาหรอื ฝ่ ายบรหิ าร
6. การจัดลาดบั ของกฎหมายตามศกั ด์ิ กเ็ พอ่ื ใหท้ ราบวา่ กฎหมายฉบบั ใดมคี วามสาคญั มากกวา่ กนั
และสามารถยกเลกิ กฎหมายทม่ี ศี ักดเ์ิ ทา่ กนั หรอื ตา่ กวา่ ได ้ แตไ่ มส่ ามารถยกเลกิ กฎหมายทมี่ ศี กั ดส์ิ งู กวา่ ได ้

3.3.1 การจดั ลาดบั ความสาคญั ของกฎหมาย
เหตใุ ดจงึ ตอ้ งมกี ารจดั ลาดับกฎหมายตามศกั ด์ิ
การจดั ลาดับของกฎหมายนัน้ ยอ่ มขน้ึ อยกู่ ับวา่ กฎหมายนัน้ ออกโดยองคก์ รใด และองคก์ รนัน้ มี
ความสาคญั เพยี งใด เมอื่ ออกกฎหมายมาแลว้ กฎหมายทอ่ี อกมาโดยองคก์ รทมี่ อี านาจออกกฎหมายทสี่ งู
กวา่ ยอ่ มมศี กั ดสิ์ งู กวา่ กฎหมายทอี่ อกโดยองคก์ รทต่ี า่ กวา่ ยอ่ มไมส่ ามารถยกเลกิ เพกิ ถอนกฎหมายทอี่ อก
โดยองคก์ รทสี่ งู กวา่ ซงึ่ มศี กั ดส์ิ งู กวา่ ได ้

11

3.3.2 ประโยชนข์ องการจดั ลาดบั ของกฎหมายตามศกั ด์ิ
หาตวั อยา่ งการออกกฎหมายแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ กฎหมายระดบั เดยี วกนั มาอยา่ งนอ้ ย 1 ตวั อยา่ ง
การแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ลกั ษณะหนุ ้ บรษิ ัทโดยพระราชบญั ญตั แิ กไ้ ข
เพมิ่ เตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ฉบบั ที่ 9 (พ.ศ. 2521)
หาตวั อยา่ งการยกเลกิ กฎหมายระดบั เดยี วกนั มาอยา่ งนอ้ ย 1 ตวั อยา่ ง
พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ฉบบั ท่ี 8 (พ.ศ. 2519) ยกเลกิ ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ 5
แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 3
1. กฎหมายในระบบกฎหมายลายลักษณ์อกั ษรหรอื ซวี ลิ ลอว์ มที ม่ี าจาก กฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษร
จารตี ประเพณี และหลกั กฎหมายท่วั ไป
2. ทมี่ าประการสาคญั ของกฎหมายในระบบกฎหมายไมเ่ ป็ นลายลกั ษณ์อกั ษร (Common Law
System) คอื จารตี ประเพณแี ละคาพพิ ากษา
3. ทมี่ าของกฎหมายในระบบกฎหมายสงั คมนยิ ม (Socialist Law System) คอื กฎหมายลายลักษณ์
อกั ษร
4. ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยจ์ ัดอยใู่ นกฎหมายประเภท กฎหมายสารบญั ญตั ิ
5. ประมวลกฎหมายอาญาจดั อยใู่ นกฎเภท กฎหมายมหาชน
6. บรษิ ัทไทยตอ้ งการทาสญั ญาคา้ ขายกบั บรษิ ัทญป่ี ่ นุ ตา่ งฝ่ ายตา่ งตอ้ งการใชก้ ฎหมายในประเทศ
ของตนบงั คบั ในสญั ญาทท่ี าขนึ้ ระหวา่ งกนั กฎหมายทค่ี วรจะใชบ้ งั คับกรณีทม่ี คี วามขดั แยง้ กนั นี้ คอื
ประมวลกฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คล
7. นายต๋ี ถกู จับและดาเนนิ คดขี อ้ หาคา้ ยาเสพตดิ ระหวา่ งคมุ ขงั อยนู่ ายต๋ี เล็ดลอดหนขี า้ มแดนออกไป
มาเลเซยี ได ้ ตอ่ มาตารวจมาเลเซยี สง่ ตัวนายตม๋ี าใหร้ ฐั บาลไทยดาเนนิ คดแี ละลงโทษตอ่ ไป รัฐบาล
มาเลเซยี ปฏบิ ตั ติ าม กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดอี าญา
8. กฎบตั รสหประชาชาตหิ มายถงึ กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื ง
9. การเรยี งลาดบั ศกั ดข์ิ องกฎหมายจากสงู ไปต่า ควรเป็ นดงั นคี้ อื รัฐธรรมนูญ พระราชบญั ญัติ พระ
ราชกฤษฎกี า เทศบญั ญัติ
10. รฐั ธรรมนูญ มศี กั ดสิ์ งู กวา่ กฎหมายใดๆทัง้ สนิ้

หนว่ ยที่ 4 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั ศาสตรอ์ นื่ ๆ
11. เหตกุ ารณใ์ นประวตั ศิ าสตรม์ คี วามสาคญั ทจี่ ะทาใหเ้ กดิ แนวความคดิ ในการยกรา่ ง ปรับปรงุ แกไ้ ข

กฎหมาย ใหเ้ ป็ นกตกิ าทจ่ี ะกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนต์ อ่ สงั คม
12. รฐั ศาสตรเ์ ป็ นศาสตรท์ จ่ี ดั ระบบกลไกการปกครอง โดยมกี ฎหมายเป็ นเครอ่ื งมอื ในการปกครองและ

การบรหิ ารประเทศ
13. เศรษฐศาสตรเ์ ป็ นศาสตรท์ อี่ าศัยกฎหมายในการกาหนดทศิ ทางและควบคมุ ดแู ลระบบเศรษฐกจิ

ของประเทศ เพอื่ สรา้ งความเป็ นธรรมในสงั คม
14. กฎหมายมบี ทบาทในการควบคมุ การศกึ ษาคน้ ควา้ พัฒนาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เพอื่ มใิ ห ้

เกดิ ผลกระทบทเี่ ป็ นอนั ตรายตอ่ มนุษยโ์ ลก
4.1 กฎหมายกบั ประวตั ศิ าสตร์
1. เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขน้ึ อนั เป็ นประวัตศิ าสตรใ์ นสงั คมหนง่ึ นัน้ ยอ่ มมคี วามสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกบั กฎหมาย

ทมี่ อี ยใู่ นปัจจบุ นั และกฎหมายทจี่ ะรา่ งขนึ้ มาใชใ้ นอนาคต
2. การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นเชงิ วเิ คราะหใ์ นเรอ่ื งใดเรอ่ื งหนง่ึ ทจ่ี ะนามายกรา่ งหรอื ปรบั ปรงุ แกไ้ ข

กฎหมาย ยอ่ มจะทาใหเ้ กดิ ความชดั เจนในการยกรา่ งกฎหมาย หรอื ปรับปรงุ แกไ้ ขกฎหมายใหเ้ หมาะสม
สอดคลอ้ งกบั วถิ ขี องสงั คมยง่ิ ขน้ึ และทาใหส้ งั คมไดร้ บั ประโยชนจ์ ากกฎหมายมากยงิ่ ขนึ้

4.1.1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั ประวตั ศิ าสตร์
ยกตวั อยา่ งในอดตี ทมี่ ผี ลตอ่ มาใหร้ ัฐตอ้ งออกกฎหมายมาควบคมุ ดแู ล รวม 2 เรอ่ื ง

12

1) กรณปี ั่นหนุ ้ ในตลาดหลกั ทรพั ยท์ าใหร้ ัฐตอ้ งปรับปรงุ กฎหมายเดมิ คอื พระราชบญั ญัติ
ตลาดหลกั ทรัพย์ พ.ศ. 2518 มาเป็ นกฎหมายใหม่ คอื พระราชบญั ญตั หิ ลกั ทรพั ยแ์ ละตลาดหลกั ทรัพย์
พ.ศ. 2525 ซง่ึ จะมกี ารลงโทษผทู ้ ปี่ ่ันหนุ ้ ทัง้ ทางแพง่ และทางอาญา

2) กรณที ป่ี ระชาชนถกู ธนาคารและสถาบนั การเงนิ เอาเปรยี บในเรอ่ื งสญั ญาตา่ งๆ ทท่ี ากบั ธนาคาร
และสถาบนั การเงนิ จงึ มกี ารแกไ้ ขกฎหมายพระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองผบู ้ รโิ ภค พ.ศ. 2521 เพม่ิ เตมิ หมวดที่
คมุ ้ ครองผบู ้ รโิ ภคดา้ นสญั ญา เพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมแกผ่ บู ้ รโิ ภคมากขน้ึ

4.1.2 การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรใ์ นเชงิ วเิ คราะหเ์ พอื่ ใชใ้ นการรา่ งและปรบั ปรงุ กฎหมาย
วจิ ารณ์การยกรา่ งกฎหมายโดยไมค่ านงึ ถงึ ความเป็ นมาในทางประวตั ศิ าสตร์ เกดิ ผลเสยี อยา่ งไร
ยกตัวอยา่ งมา 1 ตวั อยา่ งดว้ ย
กรณีเขยี นบทบญั ญตั ใิ นรัฐธรรมนูญเรอ่ื งคณุ สมบตั ขิ องวฒุ สิ มาชกิ หรอื กรณกี ารใชก้ ฎหมายแรงงาน
กบั รัฐวสิ าหกจิ

4.2 กฎหมายกบั รฐั ศาสตร์
1. กฎหมายกบั รัฐศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใกลช้ ดิ รฐั ศาสตรจ์ ดั ระบบกลไกการปกครองโดยให ้
มกี ระบวนการนติ บิ ญั ญตั ิ ซง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ กฎหมายขน้ึ มาใชบ้ งั คบั แกป่ ระชาชน และในขณะเดยี วกนั กฎหมาย
กเ็ ป็ นเครอื่ งมอื ใหแ้ กก่ ารปกครองและการบรหิ ารประเทศ
2. กฎหมายทเี่ ป็ นเครอ่ื งมอื ในการปกครองนัน้ ไดแ้ ก่ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยซงึ่ เป็ น
กฎหมายสงู สดุ และกฎหมายรองลงมา คอื กฎหมายปกครอง และกฎหมายมหาชนอนื่ ๆ ทจี่ ะชว่ ยใหก้ าร
บรหิ ารแผน่ ดนิ บรรลผุ ลตามเป้าหมาย อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บรอ้ ย ความอยดู่ กี นิ ดี และความเป็ น
ธรรมในสงั คมไทย

4.2.1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั รฐั ศาสตร์
วชิ ากฎหมายหรอื นติ ศิ าสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ บั วชิ ารัฐศาสตรเ์ พยี งใด
ศาสตรท์ งั้ สองตวั ตอ้ งพง่ึ พาอาศัยกนั คอื รัฐศาสตรจ์ ะสรา้ งระบบและกลไกในกระบวนการนติ ิ
บญั ญตั ขิ องรัฐ เพอื่ ออกกฎหมายใชบ้ งั คับแกป่ ระชาชน ในขณะเดยี วกนั กฎหมายกจ็ ะเป็ นกลไกสาคญั ใน
การเมอื งการปกครองทจ่ี ะใหอ้ านาจรฐั ในการออกกฎหมายภายใตค้ วามยนิ ยอมของประชาชน

4.2.2 กฎหมายในฐานะเป็ นเครอ่ื งมอื ในการปกครอง
วเิ คราะหว์ า่ กฎหมายใดบา้ งเป็ นเครอื่ งมอื ในการปกครอง และกฎหมายใดมคี วามสาคญั สงู สดุ ใน
ฐานะเป็ นเครอ่ื งมอื ในทางปกครอง
กฎหมายทเ่ี ป็ นเครอื่ งมอื ในการปกครองคอื รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย กฎหมายปกครอง
และกฎหมายมหาชนอนื่ ๆ
กฎหมายทม่ี คี วามสาคญั สงู สดุ ในฐานะทเ่ี ป็ นเครอื่ งมอื ในการปกครองคอื รฐั ธรรมนูญแหง่
ราชอาณาจกั รไทย

4.3 กฎหมายกบั เศรษฐศาสตร์
1. เศรษฐศาสตรก์ บั กฎหมายตา่ งเป็ นวชิ าทางสงั คมศาสตรท์ มี่ คี วามเชอ่ื มโยงกนั เศรษฐศาสตรต์ อ้ ง
อาศัยออกกฎหมายในการสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คม และกฎหมายกต็ อ้ งอาศัยหลกั การใน
เศรษฐศาสตรม์ าประกอบการยกรา่ งกฎหมาย
2. กฎหมายเป็ นเครอ่ื งมอื ของรฐั ในการกาหนดทศิ ทางในดา้ นเศรษฐกจิ ของประเทศ และใชเ้ ป็ น
กลไกควบคมุ ดแู ลระบบเศรษฐกจิ รวมทงั้ การสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กป่ ระชาชนทไ่ี มถ่ กู เอรดั เอาเปรยี บ
จากผปู ้ ระกอบธรุ กจิ

4.3.1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั เศรษฐศาสตร์
กฎหมายและเศรษฐศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร
กฎหมายมสี ว่ นเป็ นกลไกสาคญั ในการควบคมุ ระบบเศรษฐกจิ ทัง้ ในระดับเศรษฐกจิ มหภาค คอื
ระบบการเงนิ การคลงั ของประเทศและในระดับเศรษฐกจิ จลุ ภาค คอื กากบั ดแู ลใหค้ วามเป็ นธรรมระหวา่ ง
ผปู ้ ระกอบการกบั ประชาชนผบู ้ รโิ ภคสนิ คา้ และบรกิ าร

4.3.2 กฎหมายกบั การกากบั ดแู ลระบบเศรษฐกจิ
ยกตัวอยา่ งกฎหมายทกี่ ากบั ดแู ลเศรษฐกจิ มา 2 ฉบบั

13

กฎหมายทก่ี ากบั ดแู ลระบบเศรษฐกจิ คอื ประมวลรษั ฎากร พระราชบญั ญตั วิ ่าดว้ ยราคาสนิ คา้
และบรกิ าร พ.ศ. 2542 พระราชบญั ญตั ศิ ลุ กากร พทุ ธศกั ราช 2469 พระราชบญั ญตั ปิ ้องกนั และปราบปราม
การฟอกเงนิ พ.ศ. 2542 พระราชบญั ญตั สิ ง่ เสรมิ การลงทนุ พ.ศ. 2520 พระราชบญั ญตั สิ ถานสนิ เชอ่ื
ทอ้ งถน่ิ พ.ศ. 2518 พระราชบญั ญตั หิ า้ มเรยี กดอกเบย้ี เกนิ อตั รา พทุ ธศักราช 2475

4.4 กฎหมายกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
1. วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยเี ป็ นศาสตรท์ ม่ี นุษยไ์ ดศ้ กึ ษา คน้ ควา้ และพัฒนา เพอื่ อธบิ ายความ
เป็ นไปของธรรมชาตแิ ละปากฎการณต์ า่ งๆ และนามาใชป้ ระโยชนใ์ นดา้ นตา่ งๆ ใหแ้ กม่ นุษยจ์ งึ ตอ้ งมกี รอบ
การใชป้ ระโยชนท์ เ่ี หมาะสมแกส่ ภาพสงั คม โดยอาศัยกฎหมายเป็ นตวั กาหนดกรอบเพอื่ ใหส้ อดคลอ้ งกบั วถิ ี
ชวี ติ ของคนในสงั คม
2. เมอ่ื มเี หตกุ ารณเ์ รอ่ื งใดทเ่ี กดิ ผลกระทบตอ่ สงั คม กค็ วรจะตอ้ งนากฎหมายมาชว่ ยควบคมุ กากบั
ดแู ล เพอื่ ชว่ ยแกไ้ ขปัญหาทเ่ี กดิ ขนึ้ อนั จะชว่ ยใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บรอ้ ยในสงั คม

4.4.1 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกฎหมายกบั วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
กฎหมายมบี ทบาทตอ่ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยอี ยา่ งไร
กฎหมายมบี ทบาทตอ่ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยคี อื
1) ในดา้ นการควบคมุ การศกึ ษาคน้ ควา้ และพฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ใหอ้ ยใู่ นกรอบท่ี
ไมเ่ ป็ นอนั ตรายตอ่ มนุษย์ และอยใู่ นกรอบของศลี ธรรมจรรยาอนั กอ่ ใหเ้ กดิ ปัญหาแกส่ งั คม และ
2) ในดา้ นการพสิ จู นพ์ ยานหลักฐานในคดคี วาม

4.4.2 กฎหมายกบั การกากบั ดแู ลผลกระทบตอ่ สงั คมอนั เกดิ จากวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี

กฎหมายทก่ี ากบั ดแู ลผลกระทบตอ่ สงั คมอนั เกดิ จากวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยยี กตวั อยา่ งมา 2
ฉบบั

พระราชบญั ญตั ยิ า พ.ศ. 2510 พระราชบญั ญตั โิ รคพษิ สนุ ัขบา้ พ.ศ. 2535 พระราชบญั ญตั ิ
โรคตดิ ตอ่ พ.ศ. 2523 พระราชบญั ญตั วิ ตั ถอุ อกฤทธต์ิ อ่ จติ และประสาท พ.ศ. 2518 พระราชบญั ญตั ิ
เครอื่ งสาอาง พ.ศ. 2535 พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองพนั ธพุ์ ชื พ.ศ. 2542 พระราชบญั ญัตวิ ทิ ยคุ มนาคม
พทุ ธศกั ราช 2498 พระราชบญั ญตั วิ ทิ ยกุ ระจายเสยี งและวทิ ยโุ ทรทศั น์ พ.ศ. 2498 และพระราชบญั ญตั วิ า่
ดว้ ยธรุ กรรมทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ พ.ศ. 2544 เป็ นตน้

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 4

1. การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรม์ สี ว่ นชว่ ยในการศกึ ษาวชิ ากฎหมายเพราะวา่ ชว่ ยใหเ้ ราเขา้ ใจเหตผุ ลของ
เรอื่ งราวทเี่ กดิ ขนึ้

2. วชิ าประวตั ศิ าสตรม์ สี ว่ นเกย่ี วขอ้ งในการรา่ งและปรับปรงุ กฎหมายคอื ใชป้ ระวตั ศิ าสตรม์ าประกอบ
การศกึ ษาและพจิ ารณาในการยกรา่ งกฎหมาย

3. แนวความคดิ ทว่ี า่ “เมอื่ ประชาชนมอบอานาจของตนใหร้ ฐั แลว้ รัฐตอ้ งมหี นา้ ทใ่ี นการใชอ้ านาจของ
รัฐเพอ่ื อานวยประโยชน์ และกอ่ ใหเ้ กดิ ความมนั่ คง ความผาสกุ แกป่ ระชาชน” ขอ้ ความนห้ี มายถงึ ทฤษฎี
สญั ญาประชาคม

4. รัฐธรรมนูญ เป็ นกฎหมายทมี่ คี วามสาคญั สงู สดุ ในการบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ
5. ความสมั พันธร์ ะหวา่ งวชิ านติ ศิ าสตรก์ บั รฐั ศาสตรน์ ัน้ เปรยี บเทยี บกนั แลว้ จดั วา่ เป็ น ลักษณะคแู่ ฝด
6. กฎหมายกบั เศรษฐศาสตรม์ คี วามสมั พนั ธก์ นั คอื นาหลกั เกณฑใ์ นทางวชิ าเศรษฐศาสตรม์ าใชเ้ ป็ น
หลกั การและเหตผุ ลในการออกกฎหมาย
7. กฎหมายฉบบั ทดี่ แู ลสภาพคลอ่ งของการเงนิ ของประเทศคอื พระราชบญั ญตั ธิ นาคารแหง่ ประเทศ
ไทย พ.ศ. 2485
8. กรณที เ่ี ป็ นการพสิ จู นห์ ลักฐานในทางวทิ ยาศาสตรเ์ ชน่ การพสิ จู นส์ าเหตกุ ารตายของศพทพี่ บ
9. การทน่ี ักกฎหมายตอ้ งเรยี นรศู ้ าสตรอ์ นื่ ๆ นอกเหนอื จากวชิ ากฎหมายเพราะ ชว่ ยทาใหน้ ักกฎหมาย
เขา้ ใจศาสตรต์ า่ งๆ และสามารถใชก้ ฎหมายไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ใหค้ วามเป็ นธรรมไดด้ ยี งิ่ ขน้ึ
10. กรณที ย่ี งั ไมม่ กี ฎหมายใดทจี่ ะชว่ ยลดผลกระทบตอ่ คนไทยและมนุษยชาตไิ ดแ้ ก่ ภาวะเรอื นกระจก
บนโลก

14

หนว่ ยท่ี 5 การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมาย

11. การนากฎหมายมาใชบ้ งั คับอาจมผี ลกระทบหรอื เกดิ สภาพบงั คบั แกบ่ คุ คล จาเป็ นตอ้ งมกี ารให ้
เหตผุ ลในการใชบ้ งั คบั กฎหมายทดี่ ี เป็ นธรรม สมเหตผุ ล หรอื รับฟังได ้ เพอ่ื ใหเ้ กดิ การยอมรบั ของสงั คม
และแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงกบั สภาพปัญหาทแี่ ทจ้ รงิ ซงึ่ จะทาใหก้ ฎหมายนัน้ บรรลวุ ัตถปุ ระสงคแ์ ละประสบผล
12. เหตผุ ลในกฎหมายสามารถวเิ คราะหไ์ ดจ้ ากเหตผุ ลของผรู ้ า่ งกฎหมาย ความเป็ นธรรมของตวั
กฎหมายนัน้ เองและนาผลการวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลในกฎหมายมาใชป้ ระโยชนใ์ นการใชก้ ฎหมาย
13. การใชเ้ หตผุ ลในการวนิ จิ ฉัยคดเี ป็ นเรอื่ งสาคญั ทจี่ ะชว่ ยรกั ษาความเป็ นธรรมใหแ้ กค่ คู่ วาม โดยที่
ฝ่ ายแพค้ ดแี ละสงั คมยอมรบั การใชเ้ หตผุ ลในคดมี อี ยใู่ นทกุ ขนั้ ตอน ตัง้ แตใ่ นการตอ่ สคู ้ ดขี องคคู่ วาม การ
ทาคาพพิ ากษา การทาความเห็นแยง้ ในคาพพิ ากษา และในการใหค้ วามเห็นทางกฎหมายโดยทวั่ ไปดว้ ย

5.1 ความสาคญั ของเหตผุ ลในทางกฎหมาย

1. เหตผุ ลของกฎหมายทด่ี แี ละเป็ นธรรมทม่ี มี าจากแนวความคดิ ทางปรชั ญา โดยนักปรชั ญาและนัก
นติ ปิ รชั ญาไดพ้ ยายามพฒั นาแนวความคดิ เกยี่ วกบั เหตผุ ลในการตรากฎหมาย และการใชก้ ฎหมายมาโดย
ตลอด เพอื่ ใหไ้ ดก้ ฎหมายทดี่ แี ละเป็ นธรรมทสี่ ดุ แกส่ งั คม
2. การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายทดี่ มี คี ณุ ลักษณะสาคญั ประการหนง่ึ คอื ความสมเหตผุ ลในทาง
ตรรกวทิ ยา ซงึ่ ชว่ ยใหส้ ามารถตรากฎหมายและนากฎหมายมาใชใ้ นการแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงกบั สภาพ
ปัญหาทแี่ ทจ้ รงิ ไมเ่ บยี่ งเบนไป
3. การใหเ้ หตผุ ลในกฎหมายมคี วามสาคญั เนอ่ื งจากเหตผุ ลทด่ี ี เป็ นธรรม สมเหตสุ มผล หรอื รับฟัง
ได ้ กอ่ ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมและการยอมรับของบคุ คลทเี่ กย่ี วขอ้ งและสงั คม และแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงกบั
สภาพปัญหาทแ่ี ทจ้ รงิ ซงึ่ จะทาใหก้ ฎหมายนัน้ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคแ์ ละประสบผล

5.1.1 ปรชั ญากบั กฎหมาย
ในปัจจบุ นั มกี ารนาหลกั ทฤษฎที างปรชั ญาใดมาใชใ้ นการใหเ้ หตผุ ลทางกฎหมายอยา่ งไร
แนวความคดิ คดิ ทางนติ ปิ รชั ญาทย่ี งั คงใชอ้ ยใู่ นการใหเ้ หตผุ ลทางกฎหมายในปัจจบุ นั เชน่
แนวความคดิ เกย่ี วกบั หลกั นติ ริ ฐั (Legal State) ซง่ึ ปัจจบุ นั มกี ารใชเ้ หตผุ ลทางกฎหมายทเี่ กยี่ วกบั การใช ้
อานาจของเจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐวา่ เจา้ หนา้ ทขี่ องรัฐจะใชอ้ านาจในทางทลี่ ดิ รอนสทิ ธแิ ละเสรภี าพของเอกชน
ไดก้ ต็ อ่ เมอื่ มกี ฎหมายใหอ้ านาจไวอ้ ยา่ งชดั เจนเทา่ นัน้

5.1.2 ตรรกวทิ ยากบั กฎหมาย
การใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายโดยใชห้ ลักตรรกวทิ ยามคี วามสาคญั อยา่ งไร
การใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายโดยใชห้ ลักตรรกวทิ ยามคี วามสาคญั เพราะทาใหเ้ หตผุ ลทยี่ กขนึ้ กลา่ ว
อา้ งมคี วามสมเหตผุ ล และสามารถแกไ้ ขปัญหาไดต้ รงตามสภาพของปัญหาทแ่ี ทจ้ รงิ

5.1.3 แนวคดิ และความสาคญั ของเหตผุ ลในกฎหมาย
การใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายทด่ี มี คี วามสาคญั อยา่ งไร
การใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายทดี่ มี คี วามสาคญั คอื สามารถอานวยความยตุ ธิ รรมแกผ่ เู ้ กยี่ วขอ้ งไดต้ าม
ความเหมาะสมแกก่ รณี และเป็ นทย่ี อมรับของบคุ คลทวั่ ไป

5.2 การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลในกฎหมาย โดยผรู ้ า่ ง
1. กฎหมายสรา้ งขนึ้ โดยผรู ้ า่ งกฎหมายดว้ ยเหตผุ ลหรอื เจตนารมณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ
กฎหมายจะกาหนดโครงสรา้ งและกลไกของกฎหมาย และเขยี นบทบญั ญัตเิ พอื่ ใหก้ ฎหมายบรรลุ
เจตนารมณ์ตามทไ่ี ดม้ งุ่ หมายไว ้ การจะหยง่ั ทราบเหตผุ ลในกฎหมายจงึ สามารถกระทาไดโ้ ดยการคน้ หา
เหตผุ ลของผรู ้ า่ งกฎหมายไดท้ างหนงึ่
2. เมอ่ื กฎหมายไดถ้ กู ตราขนึ้ แลว้ นักกฎหมายฝ่ ายหนง่ึ เห็นวา่ ตวั กฎหมายนัน้ เองเป็ นสงิ่ แสดง
เจตนารมณ์ หรอื เหตผุ ลในตวั เอง การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลของกฎหมายจงึ พจิ ารณาไดจ้ ากความเป็ นธรรม
ของกฎหมายนัน้ เอง
3. เหตผุ ลในกฎหมายจะถกู นามาใชเ้ มอื่ มกี ารใชก้ ฎหมาย เมอื่ ผใู ้ ชก้ ฎหมายไดท้ าการวเิ คราะหเ์ พอ่ื หา
เหตผุ ลในกฎหมายไดโ้ ดยอาศยั กระบวนการตา่ งๆ แลว้ จะสามารถนาเหตผุ ลนัน้ มาใชอ้ ธบิ ายคาวนิ จิ ฉัย

ของตนทัง้ ในการพจิ ารณาคดี และการใหค้ วามเห็นทางกฎหมายโดยทวั่ ไปอยา่ งสมเหตสุ มผลและมคี วาม
เป็ นธรรม

5.2.1 เหตผุ ลของผรู้ า่ งกฎหมาย

15

การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลของผรู ้ า่ งกฎหมายมปี ระโยชนใ์ นการใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายอยา่ งไร
การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลของผรู ้ า่ งกฎหมายมปี ระโยชนใ์ นการใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายเพราะจะทาให ้
วนิ จิ ฉัยคดไี ดต้ รงตามเจตนารมณข์ องกฎหมาย มใิ ชเ่ ป็ นเหตผุ ลทผ่ี ใู ้ ชก้ ฎหมายนกึ คดิ ขนึ้ เอง

5.2.2 ความเป็ นธรรมของกฎหมาย
การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลจากความเป็ นธรรมของกฎหมายสามารถพจิ ารณาไดจ้ ากสงิ่ ใด
การวเิ คราะหเ์ หตผุ ลจากความเป็ นธรรมของกฎหมาย สามารถพจิ ารณาไดจ้ ากตวั บทบญั ญตั ขิ อง
กฎหมายนัน้ เองตามทฤษฎอี าเภอการณ์ อยา่ งไรกด็ ี ในการใชก้ ฎหมาย นักกฎหมายสว่ นใหญม่ กั พจิ ารณา
ประกอบกบั เหตผุ ลของผรู ้ า่ งกฎหมายและหลักการตคี วามกฎหมายตา่ งๆดว้ ย

5.2.3 การนาผลการวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลในกฎหมายมาใชป้ ระโยชน์ แตส่ ามารถ
เหตผุ ลในกฎหมายทวี่ เิ คราะหไ์ ดส้ ามารถนามาใชไ้ ดเ้ ฉพาะในการพจิ ารณาคดหี รอื ไม่
เหตผุ ลในกฎหมายทว่ี เิ คราะหไ์ ดไ้ มเ่ พยี งสามารถใชไ้ ดใ้ นการพจิ ารณาคดเี ทา่ นัน้
นาไปใชใ้ นการใหค้ วามเห็นทางกฎหมายของนักกฎหมายโดยทวั่ ไปได ้

5.3 เหตผุ ลในการวนิ จิ ฉยั คดแี ละการใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย
1. เมอ่ื บคุ คลมขี อ้ พพิ าททางกฎหมายตอ้ เสนอคดตี อ่ ศาลเพอื่ ใหม้ กี ารวนิ จิ ฉัยชข้ี าด คคู่ วามแตล่ ะฝ่ าย
ตา่ งมสี ทิ ธยิ กเหตผุ ลทต่ี นเหน็ วา่ ดที สี่ ดุ ในการตอ่ สคู ้ ดเี พอ่ื โนม้ นา้ วใหศ้ าลเห็นวา่ ฝ่ ายตนสมควรชนะคดี
2. ประเทศไทยเป็ นระบบทใ่ี ชป้ ระมวลกฎหมาย (Civil Law) ตามหลกั แลว้ ตอ้ งพจิ ารณาขอ้ กฎหมาย
ตามตวั บทกฎหมายโดยไมจ่ าเป็ นตอ้ งยดึ ถอื แนวคาพพิ ากษาหรอื คาวนิ จิ ฉัยเป็ นบรรทัดฐาน อยา่ งไรกด็ ี
ในทางปฏบิ ตั ิ คาพพิ ากษาทมี่ กี ารใชเ้ หตผุ ลทด่ี ี สมเหตสุ มผล และเป็ นธรรม สามารถนามาเป็ นแนวทางใน
การใชเ้ หตผุ ลในกฎหมายไดใ้ นกรณีทม่ี ขี อ้ เท็จจรงิ คลา้ ยคลงึ กนั
3. การใหเ้ หตผุ ลในการเขยี นคาพพิ ากษาหรอื การใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย มหี ลักการซง่ึ ตอ้ ง
คานงึ ถงึ หลายประการ เชน่ หลกั หรอื ทฤษฎกี ฎหมาย หลักการรา่ งกฎหมาย หลกั การตคี วามกฎหมายและ
การอดุ ชอ่ งวา่ งกฎหมาย และหลกั อน่ื ๆ เชน่ หลกั ตรรกวทิ ยา สามญั สานกึ และศลี ธรรมเป็ นตน้

4. ในองคค์ ณะผพู ้ จิ ารณาคดหี รอื ผใู ้ หค้ วามเห็นทางกฎหมายอาจมผี ไู ้ มเ่ ห็นดว้ ยกบั ความเห็นของอกี
ฝ่ ายหนงึ่ ซงึ่ เป็ นฝ่ ายขา้ งมาก กฎหมายใหส้ ทิ ธฝิ ่ ายขา้ งนอ้ ยในการแสดงความเห็นแยง้ เพอ่ื ประโยชนใ์ น
การทบทวน หรอื ตรวจสอบคาพพิ ากษา หรอื ความเห็นทางกฎหมายของฝ่ ายขา้ งมาก

5.3.1 เหตผุ ลในการตอ่ สคู้ ดี
การใชเ้ หตผุ ลในการตอ่ สคู ้ ดมี หี ลกั เกณฑเ์ ชน่ เดยี วกบั การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายอนื่ หรอื ไม่
การใชเ้ หตผุ ลในการตอ่ สคู ้ ดมี หี ลกั เกณฑเ์ ชน่ เดยี วกบั การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายอนื่ เพราะเป็ น
การใชก้ ฎหมายเพอื่ รักษาสทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลซง่ึ เป็ นคกู่ รณี จงึ ตอ้ งมคี วามสมเหตสุ มผล เป็ นธรรม
และสามารถจงู ใจใหผ้ อู ้ า่ นคลอ้ ยตามได ้

5.3.2 แนวบรรทดั ฐานแหง่ คาพพิ ากษา
ในประเทศไทยสามารถยดึ แนวบรรทดั ฐานแหง่ คาพพิ ากษาในการใชเ้ หตผุ ลทางกฎหมายได ้
หรอื ไม่
เนอ่ื งจากประเทศไทยเป็ นประเทศในระบบกฎหมายซวี ลิ ลอว์ หรอื ระบบประมวลกฎหมายจงึ ไม่
จาเป็ นตอ้ งยดึ แนวคาพพิ ากษาเป็ นบรรทดั ฐานในการใชเ้ หตผุ ลทางกฎหมายอยา่ งไรก็ดคี าพพิ ากษาทม่ี ี
การใชเ้ หตผุ ลทดี่ ี สมเหตุ สมผลและเป็ นธรรมสามารถนามาใชเ้ ป็ นแนวทางในการใชเ้ หตผุ ลในกรณที มี่ ี
ขอ้ เท็จจรงิ คลา้ ยคลงึ กนั ไดใ้ นทางปฏบิ ตั ิ

5.3.3 เหตผุ ลในการเขยี นคาพพิ ากษาและความเห็นทางกฎหมาย
การหาเหตผุ ลทด่ี มี นี ้าหนักมาอธบิ ายใหผ้ เู ้ กย่ี วขอ้ งยอมรบั นับถอื ได ้ จะตอ้ งคานงึ ถงึ หลกั เกณฑ์
หรอื เครอื่ งมอื ทางกฎหมายทสี่ าคญั อยา่ งใด
การหาเหตผุ ลทด่ี ี มนี ้าหนัก มาอธบิ ายใหผ้ เู ้ กย่ี วขอ้ งยอมรับนับถอื ได ้ จะตอ้ งคานงึ ถงึ หลกั เกณฑ์
หรอื เครอื่ งมอื ทางกฎหมายทส่ี าคญั ดังตอ่ ไปน้ี คอื
1) หลกั หรอื ทฤษฎกี ฎหมาย
2) หลกั การรา่ งกฎหมาย
3) หลกั การตคี วามกฎหมายและการอดุ ชอ่ งวา่ งกฎหมาย
4) หลกั อนื่ ๆ เชน่ หลักตรรกวทิ ยา สามญั สานกึ หรอื ศลี ธรรม

16

5.3.4 การเขยี นความเห็นแยง้ ในคาพพิ ากษาหรอื การใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย
การทาความเห็นแยง้ มปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร
การทาความเห็นแยง้ มปี ระโยชนใ์ นการทาคาพพิ ากษาหรอื ความเห็นทางกฎหมาย โดยเป็ นการ
เปิดโอกาสใหผ้ ใู ้ ชก้ ฎหมายมกี ารพจิ ารณาเรอ่ื งนัน้ ๆ อยา่ งรอบดา้ น และเลอื กใชเ้ หตผุ ลทางกฎหมายทเ่ี ห็น
วา่ เหมาะสมและเป็ นธรรมมากทสี่ ดุ
แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยท่ี 5
1. เหตทุ ก่ี ฎหมายจาเป็ นตอ้ งมเี หตผุ ลทด่ี คี อื เพอ่ื ใหก้ ฎหมายนัน้ เป็ นทยี่ อมรับของสมาชกิ ในสงั คม
2. เหตผุ ลทดี่ คี วรมลี กั ษณะดังน้ี (1) เป็ นธรรม (2) รับฟังได ้ (3) สมเหตสุ มผล (4) มขี อ้ เท็จจรงิ
สนับสนุนทห่ี นักแน่น
3. หลกั ปรัชญาชว่ ยในการใชก้ ฎหมายมเี หตผุ ลทดี่ คี อื เป็ นเหตผุ ลทมี่ คี วามเป็ นธรรมตามยคุ สมยั
4. หลกั ตรรกวทิ ยาชว่ ยใหก้ ฎหมายมเี หตผุ ลทด่ี คี อื (1) เป็ นเหตผุ ลทม่ี คี วามสมเหตสุ มผล (2)
สอดคลอ้ งกบั ความเห็นของนักปรัชญา (3) เป็ นเหตผุ ลทม่ี คี วามเป็ นธรรมตามยคุ สมยั (4) สอดคลอ้ งกบั วถิ ี
ชวี ติ ของสมาชกิ ในสงั คม
5. การวเิ คราะหห์ าเหตผุ ลของกฎหมายสามารถศกึ ษาไดจ้ าก (1) ผรู ้ า่ งกฎหมาย (2) การอภปิ รายใน
สภา (3) บนั ทกึ หลกั การและเหตผุ ล (4) รายงานการประชมุ พจิ ารณารา่ งกฎหมาย
6. การคน้ หาเหตผุ ลของกฎหมายตามทฤษฎอี าเภอการณค์ อื การหาเหตผุ ลจาก ตวั บทบญั ญตั ขิ อง
กฎหมายนัน้ เอง
7. การคน้ หาเหตผุ ลเพอ่ื สรา้ งความเป็ นธรรมควรพจิ ารณาจากเหตผุ ลของ ผรู ้ า่ งกฎหมายประกอบกบั
ตัวบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย
8. ผทู ้ ส่ี ามารถใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายไดค้ อื ทกุ คนทใี่ ชก้ ฎหมาย
9. ในการพจิ ารณาของศาลไทย ศาลไมต่ อ้ งผกู พันตามแนวคาพพิ ากษาเพราะประเทศไทยเป็ นระบบ
ประมวลกฎหมาย
10. การใหเ้ หตผุ ลในการเขยี นคาพพิ ากษาควรคานงึ ถงึ หลกั (1) หลกั ศลี ธรรม (2) ทฤษฎกี ฎหมาย
(3) หลกั ตรรกวทิ ยา (4) หลกั การตคี วามกฎหมายและการอดุ ชอ่ งวา่ ง
11. กฎหมายทมี่ กี ารตราโดยมเี หตผุ ลทดี่ มี ปี ระโยชนค์ อื ทาใหก้ ฎหมายสามารถอานวยความเป็ นธรรม
ไดเ้ หมาะแกก่ รณี
12. เหตผุ ลทดี่ ใี นการใชก้ ฎหมายมที มี่ าจากหลกั การคอื (1) ศลี ธรรม (2) ปรชั ญา (3) นติ ปิ รชั ญา (4)
ตรรกวทิ ยา
13. การศกึ ษารายงานการประชมุ สภาในการพจิ ารณารา่ งกฎหมายเป็ นการคน้ หา เหตผุ ลในลกั ษณะ
เหตผุ ลของผรู ้ า่ งกฎหมาย
14. การทาความเขา้ ใจกฎหมายจากเนอื้ ความของกฎหมายเป็ นการหาเหตผุ ลในลกั ษณะ เหตผุ ลของ
ตัวกฎหมายนัน้ เอง
15. การคน้ หาเจตนารมณข์ องกฎหมายทน่ี ักกฎหมายสว่ นใหญเ่ ห็นวา่ เป็ นวธิ ที ดี่ คี อื (1) คน้ หาจากผู ้
รา่ งกฎหมาย (2) คน้ หาจากตวั กฎหมายนัน้ เอง (3) คน้ หาจากความเห็นของนักวชิ าการ (4) คน้ หาจาก
หลกั การตคี วามกฎหมายท่วั ไป
16. การใชเ้ หตผุ ลในทางกฎหมายสามารถปรากฏไดใ้ น (1) การตอ่ สคู ้ ดี (2) คาพพิ ากษาของศาล (3)
บทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย (4) การใหค้ วามเห็นทางกฎหมาย
17. ลกั ษณะเฉพาะของศาลในระบบซวี ลิ ลอว์ ศาลไมต่ อ้ งผกู พนั ตามแนวบรรทดั ฐาน
18. การใหเ้ หตผุ ลในการใหค้ วามเห็นทางกฎหมายควรคานงึ ถงึ หลกั ในเรอื่ ง (1) หลกั ศลี ธรรม (2)
หลกั ตรรกวทิ ยา (3) หลักการรา่ งกฎหมาย (4) หลักหรอื ทฤษฎกี ฎหมาย

หนว่ ยท่ี 6 กฎหมายกบั การพฒั นาสงั คม
19. สทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลจะมหี ลกั ประกนั ใหม้ นั่ คงอยไู่ ดก้ ต็ อ้ งอาศัยกฎหมายเป็ นสง่ิ สาคัญ
20. กฎหมายกบั สงั คมเป็ นสง่ิ ทมี่ คี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งใกลช้ ดิ การทจี่ ะควบคมุ สงั คมไดย้ อ่ มอาศัย

กฎหมายเขา้ มาชว่ ย
21. ในกรณที ส่ี งั คมจะพฒั นาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ยอ่ มตอ้ งอาศัยกฎหมาย สงั คมจะเปลย่ี นแปลงไป

ไดอ้ ยา่ งมนั่ คง

17

22. กฎหมายมคี วามจาเป็ นตอ้ งตราออกมาควบคกู่ บั สงั คมยคุ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี เพอ่ื ควบคมุ
การใชเ้ ทคโนโลยใี นทางทถ่ี กู ทคี่ วร

6.1 กฎหมายกบั หลกั ประกนั สทิ ธเิ สรภี าพ
1. มนุษยต์ อ้ งมสี ทิ ธติ า่ งๆ อยา่ งทมี่ นุษยม์ กี นั และจะตอ้ งมอี ยอู่ ยา่ งเทา่ เทยี มกนั ไมถ่ กู กดี กนั การ
จากดั สทิ ธจิ ะมไี ดแ้ ตก่ ฎหมายเทา่ นัน้
2. ประเทศไทยไดก้ าหนดหลกั ประกนั สทิ ธิ เสรภี าพของปวงชนชาวไทยไวใ้ นรัฐธรรมนูญแหง่ ราช
อาณา จักรไทย ซงึ่ เป็ นกฎหมายสงู สดุ ในการปกครองประเทศ
3. การใชส้ ทิ ธแิ ละเสรภี าพของมนุษยใ์ นสงั คมจะตอ้ งมกี ฎหมายควบคมุ เสมอ

6.1.1 สทิ ธมิ นษุ ยชน
สทิ ธมิ นุษยชนหมายถงึ อะไร
สทิ ธมิ นุษยชนหมายถงึ สทิ ธคิ วามเป็ นมนุษยห์ รอื สทิ ธใิ นความเป็ นคน อนั เป็ นสทิ ธติ ามธรรมชาติ
ของมนุษยท์ กุ คนทเ่ี กดิ มากม็ สี ทิ ธติ ดิ ตวั มาตงั้ แตเ่ กดิ

6.1.2 หลกั ประกนั สทิ ธิ เสรภี าพตามกฎหมายรฐั ธรรมนญู
รฐั ธรรมนูญไดก้ าหนดขอบเขตการใชส้ ทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลไวเ้ พยี งใด
รฐั ธรรมนูญไดก้ าหนดขอบเขตการใชส้ ทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลไวว้ า่ บคุ คลจะใชส้ ทิ ธแิ ละ
เสรภี าพตามรฐั ธรรมนูญเพอ่ื ลม้ ลา้ งการปกครองระบบอบประชาธปิ ไตยอนั มพี ระมหากษัตรยิ เ์ ป็ นประมขุ
หรอื เพอื่ ใหไ้ ดม้ าซง่ึ อานาจในการปกครองประเทศ โดยวธิ กี ารซง่ึ มไิ ดเ้ ป็ นไปตามวถิ ที างทบ่ี ญั ญัตไิ วใ้ น
รัฐธรรมนูญมไิ ด ้

6.1.3 กฎหมายกบั สงั คม
กฎหมายกบั สงั คมมคี วามสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร
กฎหมายเป็ นสง่ิ สาคญั สาหรบั สงั คม ซงึ่ กฎหมายจะตอ้ งเกดิ ขนึ้ เสมอพรอ้ มกนั ไปกบั การ
เปลยี่ นแปลงของสงั คม ซงึ่ หากมกี ารเปลย่ี นแปลงไปในทางชว่ั รา้ ย กฎหมายจะตอ้ งเขา้ ไปควบคมุ สงั คมนัน้
ใหด้ ี เมอื่ สงั คมไดเ้ ปลย่ี นแปลงไปกต็ อ้ งมกี ารแกไ้ ขกฎหมายใหท้ ันตอ่ เหตกุ ารณน์ ัน้ กฎหมายจงึ ไดอ้ อกมา
ตามการเปลยี่ นแปลงในทางสงั คม ลักษณะของกฎหมายจงึ ตอ้ งบญั ญตั โิ ดยคานงึ ถงึ การเปลยี่ นแปลงของ
สงั คมในอนาคตจงึ จะถอื วา่ เป็ นกฎหมายทด่ี ี

6.2 กฎหมายกบั การควบคมุ สงั คม
1. กฎหมายมคี วามสาคญั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยในสงั คมเป็ นอยา่ งยง่ิ เพราะกฎหมายสามารถควบคมุ
สงั คมใหต้ กอยใู่ นความสงบเรยี บรอ้ ยได ้
2. ความเป็ นธรรมในสงั คมจะมไี ดต้ อ้ งอาศัยความถกู ตอ้ งของกฎหมายเทา่ นัน้
3. ปัญหาทกุ ปัญหาทางสงั คมสามารถแกไ้ ขใหย้ ตุ ไิ ดด้ ว้ ยกฎหมาย

6.2.1 กฎหมายกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คม
กฎหมายเกย่ี วขอ้ งกบั ความสงบเรยี บรอ้ ยของสงั คมอยา่ งไร
ในแตล่ ะสงั คมยอ่ มจะตอ้ งมกี ฎระเบยี บ วนิ ัย ทงั้ นเี้ พอ่ื ใหส้ งั คมนัน้ มคี วามสงบเรยี บรอ้ ยได ้ กฎ
ระเบยี บ วนิ ัย เชน่ วา่ นจี้ ะตอ้ งมสี ภาพบงั คบั ในสงั คมนัน้ ได ้ จงึ จะทาใหส้ งั คมมคี วามสงบเรยี บรอ้ ย กรณที จี่ ะ
ใหม้ สี ภาพบงั คบั ไดจ้ ะตอ้ งตราขนึ้ เป็ นกฎหมาย เมอ่ื ไดต้ รากฎหมายขน้ึ มาแลว้ ผทู ้ ไ่ี มป่ ฏบิ ตั ติ ามบท
กฎหมายนัน้ ยอ่ มเป็ นผกู ้ อ่ ความไมเ่ รยี บรอ้ ยขน้ึ ก็จะตอ้ งถกู ลงโทษไมว่ า่ จะเป็ นทางแพง่ หรอื อาญา ความ
สงบเรยี บรอ้ ยกย็ อ่ มจะมขี น้ึ ได ้

6.2.2 กฎหมายกบั ความเป็ นธรรมในสงั คม
เมอื่ ความไมเ่ ป็ นธรรมในสงั คมเกดิ ขน้ึ จะแกไ้ ขดว้ ยกฎหมายอยา่ งไร เพราะอะไร
สงั คมทข่ี าดความเป็ นธรรม การทจ่ี ะแกไ้ ขตอ้ งออกกฎหมายมาแกไ้ ขเปลย่ี นแปลงสงิ่ ไมเ่ ป็ นธรรม
นัน้ เพราะกฎหมายมสี ภาพบงั คบั สามารถออกกฎหมายใหย้ กเลกิ หรอื เปลยี่ นแปลงการกระทานัน้ เสยี
ความเป็ นธรรมในสงั คมนัน้ กจ็ ะเกดิ ขน้ึ

6.2.3 กฎหมายกบั การแกป้ ญั หาในสงั คม
กฎหมายชว่ ยแกไ้ ขปัญหาทางสงั คมอยา่ งไร

18

เมอ่ื สงั คมนัน้ เกดิ ความขดั แยง้ ยากทจ่ี ะประสานใหเ้ กดิ ความสามคั คกี นั ไดว้ ธิ กี ารทจ่ี ะขจดั
ปัญหาในทางสงั คมไดจ้ ะตอ้ งอาศยั กฎหมายเป็ นสาคญั เพราะหากมกี ฎหมายบญั ญตั ใิ นปัญหานัน้ ไวอ้ ยา่ งไร
แลว้ กต็ อ้ งปฏบิ ตั กิ ารใหเ้ ป็ นไปตามกฎหมายหรอื บงั คับการใหเ้ ป็ นไปตามกฎหมายนัน้ ปัญหาขอ้ ขดั แยง้ ก็
เป็ นอนั ยตุ ไิ ด ้ หากมปี ัญหาขนึ้ แตย่ งั ไมม่ กี ฎหมายบญั ญตั ไิ วโ้ ดยชดั แจง้ ก็สามารถตรากฎหมายเพอ่ื ขจดั
ปัญหานัน้ ใหเ้ สร็จสนิ้ ไปโดยปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย กฎหมายจงึ มคี วามสาคญั ทส่ี ามารถแกป้ ัญหาในสงั คมได ้

6.3 กฎหมายเกย่ี วกบั การพฒั นาสงั คม
1. การพัฒนาการเมอื ง จะตอ้ งตราบทกฎหมายหรอื ระเบยี บแบบแผนตา่ งๆ ใหช้ ดั เจน เพอื่ ให ้
นักการเมอื งไดม้ กี ารพฒั นาคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมนัน้ อยา่ งมสี ภาพบงั คับได ้
2. การทจี่ ะพัฒนาระบบเศรษฐกจิ แบบเสรไี ดต้ อ้ งอาศัยการออกกฎหมายมาบงั คบั เป็ นสาคญั
3. การออกกฎหมายเพอื่ พฒั นาสงั คม สง่ิ แวดลอ้ มนัน้ จะตอ้ งคานงึ ถงึ การพัฒนาคนและจติ ใจของคน
ดว้ ย

6.3.1 กฎหมายกบั การพฒั นาการเมอื ง
รฐั จะตอ้ งพฒั นาทางการเมอื งอยา่ งไร
ตามรัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทยไดก้ าหนดวา่ รัฐตอ้ งจดั ใหม้ แี ผนพฒั นาการเมอื ง จดั ทา
มาตรฐานทางคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง ขา้ ราชการ และพนักงาน หรอื
ลกู จา้ งอนื่ ของรัฐ เพอ่ื ป้องกนั การทุจรติ และประพฤตมิ ชิ อบ และเสรมิ สรา้ งประสทิ ธภิ าพในการปฏบิ ตั หิ นา้ ที่
(รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2540 มาตรา 40)

6.3.2 กฎหมายกบั การพฒั นาเศรษฐกจิ
กฎหมายมสี ว่ นเกยี่ วขอ้ งในการพัฒนาเศรษฐกจิ แบบเสรอี ยา่ งไร
ในการพัฒนาเศรษฐกจิ ของประเทศทบี่ รรลเุ ป้าหมายได ้ ตอ้ งอาศยั และเกยี่ วขอ้ งกบั กฎหมาย
ทัง้ สนิ้ เพราะหากไมม่ กี ฎหมายบงั คบั การพฒั นาเศรษฐกจิ กไ็ มอ่ าจจะกระทาไดส้ าเร็จ และหากกฎหมาย
ใดทมี่ อี ยเู่ ป็ นการขดั ตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ แบบเสรี กต็ อ้ งยกเลกิ กฎหมายฉบบั นัน้ เสยี หรอื อาจจะมกี าร

แกไ้ ขกฎหมายนัน้ ใหส้ อดคลอ้ งกบั การพัฒนาเศรษฐกจิ แบบเสรกี ไ็ ด ้

6.3.3 กฎหมายกบั การพฒั นาสงั คม สง่ิ แวดลอ้ ม
การพฒั นาคนตอ้ งอาศัยกฎหมายใหม้ กี ารพัฒนาทางดา้ นใด จงึ จะทาใหส้ งั คมมคี วามสงบสขุ
การพฒั นาคนควรจะตอ้ งมกี ฎหมายใหม้ กี ารพฒั นาทางดา้ นจติ ใจ เพราะตามหลกั ในการดาเนนิ
ชวี ติ และการดารงประเทศ จะตอ้ งอาศัยจติ ใจของคนเป็ นสาคญั โดยจะตอ้ งพฒั นาทางจติ ใจของคนใน
สงั คมใหม้ ธี รรมะหรอื ใหม้ คี ณุ ธรรม ทาแตค่ วามดี เพอื่ ใหจ้ ติ ใจมคี วามสงบ กจ็ ะทาใหส้ งั คมมคี วามราบรน่ื มี
ความสงบสขุ

6.4 กฎหมายกบั สงั คมยคุ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
1. การทจ่ี ะพฒั นาวทิ ยาศาสตรใ์ หไ้ ปสคู่ วามสาเร็จได ้ ตอ้ งอาศยั การตรากฎหมายขนึ้ มาเพอ่ื ใหม้ ี
สภาพบงั คับได ้
2. การทาธรุ กรรมทางอเิ ล็คทรอนกิ สจ์ ะใหม้ ผี ลบงั คบั กนั ได ้ จะตอ้ งมกี ฎหมายรับรอง
3. การวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตรจ์ ะบรรลเุ ป้าหมายและความสาเร็จได ้ ตอ้ งอาศยั กฎหมายเป็ นสาคญั
4. การทจ่ี ะไมใ่ หม้ กี ารทาลายสง่ิ แวดลอ้ ม ก็ตอ้ งตราเป็ นกฎหมายบงั คบั จงึ จะมโี อกาสสมั ฤทธผ์ิ ลได ้

6.4.1 กฎหมายกบั งานดา้ นวทิ ยาศาสตร์
ขณะนมี้ กี ฎหมายอะไรบา้ งทเี่ กยี่ วกบั งานดา้ นวทิ ยาศาสตร์
ในขณะนมี้ กี ฎหมายทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั งานดา้ นวทิ ยาศาสตรอ์ ยู่ 2 ฉบบั คอื
1) พระราชบญั ญตั พิ ฒั นาวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี พ.ศ. 2534
2) พระราชบญั ญตั พิ ฒั นาระบบมาตรวทิ ยาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2540

6.4.2 กฎหมายกบั คอมพวิ เตอร์
ในปัจจบุ นั มกี ฎหมายเกยี่ วกบั งานดา้ นคอมพวิ เตอรอ์ ยา่ งไร
มกี ฎหมายอยู่ 2 ลกั ษณะดว้ ยกนั คอื
1) กฎหมายวา่ ดว้ ยธรุ กรรมทางอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ซง่ึ ไดแ้ ก่ พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยธรุ กรรมทาง
อเิ ล็กทรอนกิ ส์ พ.ศ. 2544

19

2) กฎหมายวา่ ดว้ ยการประกอบธรุ กจิ ขอ้ มลู เครดติ ซง่ึ ไดแ้ ก่ พระราชบญัตกิ ารประกอบธรุ กจิ
ขอ้ มงู เครดติ พ.ศ. 2545

6.4.3 กฎหมายกบั การวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตร์
ในกรณที จี่ ะพฒั นาการวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตรใ์ หป้ ระสบความสาเร็จตอ่ ไปนัน้ ควรจะตอ้ งทาอยา่ งไร
หากมกี ารพัฒนาใหม้ กี ารวจิ ยั ทางวทิ ยาศาสตรใ์ หส้ าเร็จตอ่ ไปนัน้ จะตอ้ งมกี ารเปลย่ี นแปลง แกไ้ ข
กฎหมายใหม้ ผี ลรองรบั ความกา้ วหนา้ ในการพัฒนานัน้
6.4.4 กฎหมายกบั สงิ่ แวดลอ้ มในอนาคต
สง่ิ แวดลอ้ มทท่ี าใหส้ งั คมเกดิ ความเปลย่ี นแปลงในอนาคตจะอาศยั กฎหมายไดอ้ ยา่ งไร
สง่ิ แวดลอ้ มทที่ าใหส้ งั คมเปลยี่ นแปลงในอนาคตซง่ึ รฐั บาลจะตอ้ งเขา้ ควบคมุ จาเป็ นทรี่ ัฐจะตอ้ ง
ออกกฎหมายเกยี่ วกบั สงั คมและสง่ิ แวดลอ้ มน้ี ทาการควบคมุ และหา้ มกระทาหรอื ใหก้ ระทาเพอื่ ไมใ่ หส้ งั คม
ตอ้ งกระทบ กระเทอื นตอ่ ไปอกี
แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยท่ี 6
1. การพัฒนาสงั คมจะเกดิ ผลสาเร็จไดต้ อ้ งอาศัย กฎหมาย
2. สทิ ธแิ ละเสรภี าพของบคุ คลจะมอี ยใู่ นสงั คมไดน้ ัน้ ตอ้ งอาศยั กฎหมาย รองรบั
3. สทิ ธมิ นุษยชนหมายถงึ สทิ ธคิ วามเป็ นมนุษย์
4. ในเรอ่ื งทรี่ ฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยไดก้ าหนดสทิ ธิ และเสรภี าพของปวงชนชาวไทยไว ้
ไดแ้ ก่ เสรภี าพในการวจิ ัยทางวมิ ทยาศาสตร์
5. กฎหมายไดพ้ ฒั นาขน้ึ มาจาก ระเบยี บทใี่ ชใ้ นสงั คม
6. กฎหมายทต่ี ราขน้ึ เพอ่ื ประโยชนข์ องคนกลมุ่ ใดกลมุ่ หนง่ึ จะเป็ นลักษณะ กฎหมายทขี่ าดความเป็ น
ธรรม
7. เหตทุ กี่ ารแกป้ ัญหาในสงั คมจะตอ้ งอาศยั กฎหมาย เพราะกฎหมายมสี ภาพบงั คบั ใช ้
8. การทจี่ ะพฒั นาระบบเศรษฐกจิ แบบเสรไี ดส้ าเร็จ ตอ้ งใหร้ ัฐเปลยี่ นแปลงกฎหมาย
9. การทจ่ี ะเป็ นนักปกครองบา้ นเมอื งทดี่ ี นักปกครองจะตอ้ งมี ธรรมะประจาใจ
10. การทาธรุ กรรมทางอเิ ลคทรอนกิ สจ์ ะเกดิ ผลเป็ นความสาเร็จไดต้ อ้ งอาศัย กฎหมายทบี่ ญั ญัตขิ น้ึ
11. สง่ิ ทที่ าใหส้ งั คมมรี ะเบยี บไดค้ อื คาสง่ั ของผมู ้ อี านาจปกครองประเทศสงู สดุ
12. สทิ ธขิ องคนหมายความวา่ ประโยชนท์ จี่ ะพงึ มพี งึ ไดแ้ กท่ กุ คนตามหลกั ธรรมชาติ
13. รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยประกาศความเป็ นมนุษยข์ องชนชาวไทยไวว้ ่า องคก์ รของรัฐทกุ
องคก์ รทใี่ ชอ้ านาจตอ้ งคานงึ ถงึ ศักดศิ์ รคี วามเป็ นมนุษย์ และเสรภี าพตามรฐั ธรรมนูญ
14. กฎหมายทจ่ี ะควบคมุ สงั คมไดจ้ ะตอ้ งมลี ักษณะ มสี ภาพบงั คับได ้
15. การทจี่ ะใหส้ งั คมมคี วามสงบเรยี บรอ้ ยไดต้ อ้ งอาศัย กฎหมาย
16. กฎหมาย เป็ นบทบาทสาคญั ทจี่ ะสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คมได ้
17. เมอ่ื สงั คมเกดิ ปัญหาขดั แยง้ รนุ แรงขนึ้ จะตอ้ งอาศยั กฎหมายในการแกไ้ ขปัญหานัน้
18. นโยบายของรัฐตามรัฐธรรมนูญนัน้ ไดก้ ลา่ วถงึ ดา้ นการเมอื งวา่ (ก) รฐั จะตอ้ งจดั ใหม้ แี ผนพัฒนา
การเมอื ง (ข) รฐั จะตอ้ งจัดทามาตรฐานทางคณุ ธรรมและจรยิ ธรรมของผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง
19. ตามรัฐธรรมนูญใหร้ ฐั จะตอ้ งสนับสนุนเศรษฐกจิ แบบ เสรี โดยอาศยั กลไกตลาดกากบั ดแู ลใหม้ ี
การแขง่ ขนั แบบเป็ นธรรม
20. การทจี่ ะไมใ่ หม้ กี ารทาลายสง่ิ แวดลอ้ มนัน้ จะทาไดโ้ ดย ออกเป็ นกฎหมายบงั คับ

หนว่ ยที่ 7 การศกึ ษา คน้ ควา้ และวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์
1. การศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นการเรยี นรอู ้ ยา่ งหนง่ึ ทตี่ อ้ งอาศยั ขนั้ ตอนตา่ งจากการเรยี นรวู ้ ชิ าอนื่

เนอื่ ง จากเป็ นวชิ าทตี่ อ้ งมกี ารประเมนิ สง่ิ ทผ่ี เู ้ รยี นมอี ยู่ อาทิ ดา้ นกายภาพ ดา้ นจติ วทิ ยา ดา้ นศกั ยภาพ เป็ น
ตน้ นอกจากนัน้ ตอ้ งมวี ธิ กี ารศกึ ษาในชนั้ เรยี นในกรณศี กึ ษาการศกึ ษาในระบบปิด หรอื มวี ธิ กี ารใน
การศกึ ษาดว้ ยตนเองในกรณที เ่ี ป็ นการเรยี นในระบบเปิด เชน่ การศกึ ษาทางไกล ซง่ึ ผเู ้ รยี นตอ้ งมสี อ่ื ใน
การศกึ ษา คอื ตาราและหนังสอื ตา่ งๆ รวมถงึ การไดร้ บั การสอนเสรมิ และการศกึ ษาเป็ นกลมุ่ สง่ิ ทสี่ าคญั
สดุ ทา้ ยคอื วธิ ตี อบปัญหาและขอ้ สอบกฎหมาย

20

2. การคน้ ควา้ ทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นวธิ กี ารทค่ี น้ หาแหลง่ ทมี่ าของความรดู ้ า้ นตา่ งๆ ทางดา้ น
นติ ศิ าสตรแ์ ละศาสตรค์ วามรอู ้ นื่ ทน่ี ามาใชผ้ สมผสานกบั ความรทู ้ างดา้ นกฎหมาย เป็ นการคน้ ควา้ จาก
แหลง่ ขอ้ มลู ปฐมภมู แิ ละขอ้ มลู ทตุ ยิ ภมู ิ โดยผา่ นสอ่ื การศกึ ษา เชน่ คน้ ควา้ จากตาราจากหอ้ งสมดุ อาจารย์
หรอื บคุ คลทเี่ ป็ นทย่ี อมรบั ในทางวชิ าการ รวมทงั้ การสงั เกตจากวธิ ปี ฏบิ ตั จิ รงิ นอกจากนี้ แหลง่ คน้ ควา้ ท่ี
สาคญั ทสี่ ดุ คอื ระบบเครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ นต ซงึ่ ผเู ้ รยี นตอ้ งมเี ทคนคิ ในการคน้ หา และทราบเว็บไซตห์ รอื
แหลง่ ทอี่ ยทู่ ส่ี าคญั ตา่ งๆ
3. การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นการคน้ หาความรหู ้ รอื คาตอบทางกฎหมายของแตล่ ะปัญหาทมี่ คี วาม
น่าเชอ่ื ถอื โดยมวี ธิ กี ารวจิ ยั หรอื ทเ่ี รยี กวา่ วทิ ยวธิ ี ทใ่ี ชเ้ ป็ นหลกั ในการทาวจิ ยั การวจิ ัยทางนติ ศิ าสตร์
จาเป็ นตอ้ งอาศัยขอ้ มลู จากตวั บทกฎหมาย คาพพิ ากษา และตาราตา่ งๆ โดยสามารถทาไดท้ งั้ ในเชงิ
คณุ ภาพและเชงิ ปรมิ าณ ในการศกึ ษาชนั้ ปรญิ ญาตรจี ะไมเ่ นน้ การทาวจิ ัย แตผ่ เู ้ รยี นควรทราบไวเ้ ป็ นความรู ้
เบอื้ งตน้ เพอื่ เป็ นแนว หรอื เพอ่ื การศกึ ษาในระดับบณั ฑติ ศกึ ษาตอ่ ไป

7.1 การศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์
1. ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งประเมนิ สงิ่ ทผี่ เู ้ รยี นมอี ยกู่ อ่ นทจ่ี ะศกึ ษา สง่ิ เหลา่ นคี้ อื ความ
พรอ้ มดา้ นกายภาพ ดา้ นจติ วทิ ยา ดา้ นอารมณ์ ดา้ นสงั คม รวมทงั้ ดา้ นการเงนิ เพอื่ ใหก้ ารใชท้ รัพยากรหรอื
สงิ่ ทผี่ เู ้ รยี นมอี ยดู่ ังกลา่ วเป็ นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล โดยคานงึ ถงึ ลาดบั ความสาคญั
2. วธิ กี ารศกึ ษาทางนติ ศิ าสตรม์ ที ัง้ การศกึ ษาในชนั้ เรยี นในกรณกี ารศกึ ษาในระบบปิด หรอื การศกึ ษา
ดว้ ยตนเองในกรณที เ่ี ป็ นการเรยี นในระบบเปิด เชน่ การศกึ ษาทางไกล ซง่ึ ทัง้ สองวธิ ผี เู ้ รยี นตอ้ งมสี อ่ื ใน
การศกึ ษาคอื ตาราและหนังสอื ตา่ งๆ มกี ารเตรยี มตัวกอ่ นศกึ ษา และมกี ารทบทวนหลังการศกึ ษา โดยอาจ
กระทาดว้ ยตนเองหรอื ศกึ ษาเป็ นกลมุ่ ซง่ึ รวมถงึ การไดร้ ับการสอนเสรมิ ในระบบเปิดดว้ ย
3. โดยท่ัวไป วธิ ตี อบปัญหาและขอ้ สอบกฎหมายนยิ มใชแ้ บบอตั นัยในสองรปู แบบ คอื อธบิ ายหลกั
กฎหมาย และทเ่ี ป็ นปัญหาสมมตหิ รอื ตัง้ เป็ นตกุ๊ ตา สว่ นในสถานศกึ ษาบางแหง่ อาจมขี อ้ สอบแบบ ปรนัย
และอตั นัยผสมกนั การตอบขอ้ สอบจงึ ตอ้ งมหี ลกั เกณฑใ์ นการตอบขอ้ สอบกฎหมาย

7.1.1 การประเมนิ สง่ิ ทผี่ เู้ รยี นมอี ยู่
อธบิ ายวา่ ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งประเมนิ สง่ิ ทผ่ี เู ้ รยี นมอี ยกู่ อ่ นทจี่ ะศกึ ษาอยา่ งไร
การทผ่ี เู ้ รยี นตอ้ งประเมนิ สงิ่ ทผี่ เู ้ รยี นมอี ยกู่ อ่ นทจ่ี ะศกึ ษาคอื การพจิ ารณาความพรอ้ มดา้ นกายภาพ
ดา้ นจติ วทิ ยา ดา้ นอารมณ์ ดา้ นสงั คม รวมทัง้ ดา้ นการเงนิ เพอื่ ใหก้ ารใชท้ รพั ยากรหรอื สงิ่ ทผี่ เู ้ รยี นมอี ยู่
ดังกลา่ วเป็ นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธผิ ล

7.1.2 วธิ กี ารศกึ ษา
อธบิ ายวธิ กี ารศกึ ษาตวั บทกฎหมาย
วธิ กี ารศกึ ษาตัวบทกฎหมายจะตอ้ งมคี วามเขา้ ใจมากกวา่ การทอ่ งจา การอา่ นตวั บทกฎหมายนัน้
ตอ้ งอา่ นแลว้ ขดี เสน้ ใตถ้ อ้ ยคาสาคญั ไมต่ อ้ งกลวั วา่ ประมวลกฎหมายหรอื ตวั บทกฎหมายจะดไู มเ่ รยี บรอ้ ย
หรอื สกปรกเมอ่่ื มกี ารขดี เสน้ ใตแ้ ลว้ หากไมเ่ ขา้ ใจอยา่ งชดั แจง้ หรอื ยากตอ่ การเขา้ ใจ ผเู ้ รยี นตอ้ งอาศัย
หลกั การบนั ทกึ ยอ่ ขยายความเอาไว ้ โดยอาจไดม้ าจากเอกสารการสอนหรอื มาตราในตวั บทกฎหมายที่
เกย่ี วโยง หรอื พพิ ากษาศาลฎกี าทพี่ พิ ากษาตคี วามถอ้ ยคานัน้ ไวแ้ ลว้ โดยใหบ้ นั ทกึ ยอ่ ในตวั บทกฎหมาย
นัน้ หากเนอื้ ทไี่ มเ่ พยี งพอใหใ้ ชก้ ระดาษเปลา่ ทาเป็ นบนั ทกึ ตอ่

7.1.3 การตอบปญั หาและขอ้ สอบกฎหมาย
อธบิ ายวธิ กี ารเขยี นตอบขอ้ สอบแบบอตั นัย
ตอ้ งมหี ลกั กฎหมายทเี่ กย่ี วขอ้ งกบั ปัญหานัน้ ตอ้ งวนิ จิ ฉัยปัญหาโดยปรับขอ้ เท็จจรงิ เขา้ กบั หลกั
กฎหมายและสดุ ทา้ ยคอื การสรุปคาตอบ

7.2 การคน้ ควา้ ทางนติ ศิ าสตร์
1. แหลง่ สะสมตวั บทกฎหมาย เอกสารการสอน ตารา และวรรณกรรมกฎหมายทกุ ประเภททดี่ ที สี่ ดุ
ไดแ้ ก่ หอ้ งสมดุ กฎหมาย ผเู ้ รยี นนติ ศิ าสตรจ์ ะตอ้ งเขา้ หอ้ งสมดุ กฎหมายเพอื่ ศกึ ษาการคน้ หาเอกสารที่
ตอ้ งการ ทงั้ จากบตั รรายการและเครอื่ งมอื สบื คน้ ตา่ งๆ รวมถงึ ฐานขอ้ มลู ทางคอมพวิ เตอร์ ซดี รี อม อนิ เทอร์
เนต และอาจเป็ นวธิ กี ารสบื คน้ และยมื เอกสารระหวา่ งหอ้ งสมดุ กฎหมาย
2. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอนื่ อาจเป็ นกรณีการสอนเสรมิ ซงึ่ เป็ นวธิ คี น้ ควา้ จากอาจารย์
ทไี่ ปสอนเสรมิ และพบปะนักศกึ ษาหรอื ผเู ้ รยี นเป็ นคราวๆ หรอื กรณีการแลกเปลยี่ นขอ้ มลู กบั กลมุ่ เพอื่ น หรอื
เป็ นกรณที ไ่ี ดร้ บั คาแนะนาจากผทู ้ เี่ ป็ นทย่ี อมรบั ในวงการกฎหมาย

21

3. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู ทางกฎหมายโดยการสงั เกตและฝึกปฏบิ ตั ิ อาจโดยการสงั เกตจาก
สถานการณ์ทเี่ ป็ นจรงิ เชน่ การพจิ ารณาในศาล หรอื ศาลจาลอง และ การฝึกงานในหน่วยงานทเ่ี กย่ี วกบั
กฎหมาย
4. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู ทางกฎหมายในเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต เป็ นแหลง่ สาคัญในการคน้ ควา้ ทาง
กฎหมาย การคน้ หาจงึ ตอ้ งอาศยั Internet Search Engine เพอ่ื คน้ หาเวบ็ ไซต์ แหลางขอ้ มลู ทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
และแหลง่ ขอ้ มลู ทเ่ี ชอื่ มตอ่ ทเี่ กยี่ วขอ้ ง (Links)

7.2.1 การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากหอ้ งสมดุ
อธบิ ายหนา้ ทแี่ ละวตั ถปุ ระสงคข์ องหอ้ งสมดุ กฎหมาย
หนา้ ทแี่ ละวตั ถปุ ระสงคข์ องหอ้ งสมดุ กฎหมายคอื เพอื่ การศกึ ษา เพอื่ ใหค้ วามรแู ้ ละขา่ วสาร เพอ่ื
การคน้ ควา้ วจิ ัย และเพอื่ ความจรรโลงใจ

7.2.2 การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอน่ื
อธบิ ายวธิ กี ารคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอนื่
อาจเป็ นกรณีสอนเสรมิ ซง่ึ เป็ นวธิ คี น้ ควา้ จากอาจารยท์ ไี่ ปสอนเสรมิ หรอื กรณแี ลกเปลย่ี นขอ้ มลู กบั
กลมุ่ เพอื่ น หรอื เป็ นกรณที ไ่ี ดร้ ับคาแนะนาจากผทู ้ เี่ ป็ นทย่ี อมรับในวงการกฎหมาย

7.2.3 การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากการสงั เกตและฝึ กปฏบิ ตั ิ
อธบิ ายการฝึกงานในสานักงานกฎหมายวา่ มลี ักษณะงานอยา่ งไร
ผเู ้ รยี นจะไดฝ้ ึกในลกั ษณะทค่ี อยชว่ ยเหลอื หรอื ภายใตก้ ารควบคมุ มอบหมายของทนายความท่ี
ดแู ลผเู ้ รยี นทไ่ี ปฝึกหดั จะทางานดา้ นการคน้ ควา้ ขอ้ กฎหมายตา่ งๆ คน้ คาพพิ ากษาฎกี า ทาความเห็นตา่ งๆ
รา่ งเอกสารตา่ งๆ เชน่ หนังสอื ทวงหน้ี หนังสอื บอกกลา่ ว คารอ้ ง หรอื คาฟ้อง เป็ นตน้

7.2.4 การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากเครอื ขา่ ยอนิ เทอรเ์ นต
อธบิ ายวธิ กี ารใชข้ อ้ มลู ทไี่ ดจ้ ากอนิ เทอรเ์ นตทสี่ าคญั
การใชข้ อ้ มลู ทไ่ี ดจ้ ากอนิ เทอรเ์ นต ตอ้ งตรวจสอบความถกู ตอ้ ง ความน่าเชอื่ ถอื ของขอ้ มลู ทไ่ี ดม้ า
กอ่ นนาไปใช ้

7.3 การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์
1. การวจิ ัยเป็ นกระบวนการคน้ ควา้ หาความรู ้ ความเขา้ ใจในสง่ิ หรอื ปรากฏการณ์ทเี่ ป็ นเป้าหมายของ
การศกึ ษาเพอ่ื ใหเ้ กดิ ผลทเี่ ชอื่ มน่ั ได ้
2. วธิ กี ารวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรเ์ ป็ นกระบวนการศกึ ษาจากปัญหากฎหมาย โดยนาขอ้ มลู จากตวั กฎหมาย
บทความ คาพพิ ากษา หลักกฎหมายตา่ งประเทศมาเปรยี บเทยี บ วเิ คราะหก์ บั ปัญหาหรอื หวั ขอ้ ทตี่ งั้ ขนึ้
โดยไมใ่ ชว้ ธิ กี ารทางสถติ ิ แลว้ สรปุ ลงทา้ ยดว้ ยขอ้ เสนอแนะวา่ ควรมกี ารแกไ้ ข กฎหมายทมี่ อี ยใู่ หค้ รอบคลมุ
หรอื มกี ารตรากฎหมายขนึ้ ใหม่ นอกจากนัน้ วธิ กี ารวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรย์ งั รวมถงึ กระบวนการศกึ ษาปัญหา
กฎหมาย โดยไดข้ อ้ มลู จากความจรงิ โดยธรรมชาตมิ กี ารเก็บขอ้ มลู และนาวธิ กี ารทางสถติ มิ าวเิ คราะหเ์ พอื่
ประมาณคา่ วเิ คราะหก์ บั ปัญหาทตี่ งั้ ขน้ึ แลว้ สรปุ วา่ ควรมกี ารแกไ้ ข ปรบั ปรงุ กฎหมาย หรอื ปัญหาทตี่ งั้ ขน้ึ
อยา่ งไร ตามทไี่ ดต้ งั้ ในสมมตฐิ านไว ้
3. การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรม์ ปี ระโยชนต์ อ่ การพัฒนาการวทิ ยาการทางกฎหมาย และเป็ นการถา่ ยทอด
ประสบการณจ์ ากคนรนุ่ หนง่ึ ไปยงั อกี รนุ่ หนงึ่

7.3.1 ลกั ษณะทว่ั ไปของการวจิ ยั
การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์ หากแบง่ ตามสาขาวชิ าการจะเป็ นการวจิ ัยดา้ นใด
การวจิ ัยทางนติ ศิ าสตร์ เป็ นการวจิ ยั ดา้ นสงั คมศาสตร์

7.3.2 วธิ กี ารวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์
การวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรโ์ ดยทว่ั ไปมกี รณใี ดบา้ ง
โดยท่ัวไปแลว้ การวจิ ัยทางนติ ศิ าสตรใ์ นเบอื้ งตน้ มี 2 กรณี คอื กรณแี รก ศกึ ษาจากปัญหากฎหมาย
นาขอ้ มลู จากตัวกฎหมาย บทความ คาพพิ ากษา หลักกฎหมายตา่ งประเทศ มาเปรยี บเทยี บ วเิ คราะหก์ บั
ปัญหาหรอื หวั ขอ้ ทต่ี ัง้ ขนึ้ โดยไมใ่ ชว้ ธิ กี ารทางสถติ ิ แลว้ สรปุ ลงทา้ ยดว้ ยขอ้ เสนอ กบั กรณที ส่ี อง ศกึ ษา
ปัญหากฎหมายโดยไดข้ อ้ มลู จากความจรงิ โดยธรรมชาตหิ รอื ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ มกี ารเกบ็ ขอ้ มลู และวธิ กี าร
ทางสถติ มิ าวเิ คราะหเ์ พอ่ื ประมาณคา่ วเิ คราะหก์ บั ปัญหาทต่ี งั้ ขนึ้ แลว้ สรปุ

22

7.3.3 ประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั จากการวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตร์
การวนิ จิ ฉัยทางนติ ศิ าสตรม์ ปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร อธบิ ายมา 3 ประการ
1) พัฒนากฎหมายทจ่ี ะมผี ลกระทบตอ่ การพฒั นาเศรษฐกจิ สงั คม และการเมอื งของประเทศ
2) เป็ นการถา่ ยทอดประสบการณ์จากนักกฎหมายรนุ่ หนง่ึ ไปยงั นักกฎหมายอกี รนุ่ หนงึ่ ซงึ่ เป็ น
วธิ กี ารทนี่ ักกฎหมายจะไดเ้ พมิ่ พนู วทิ ยาการความรู ้ และความสามารถ
3) ชว่ ยใหค้ น้ พบทฤษฎี หรอื แนวคดิ ทางกฎหมายใหมท่ น่ี ามาปรบั ใชก้ บั สภาพสงั คมปัจจบุ นั ท่ี
เปลย่ี นแปลงตลอดเวลา
แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 7
1. ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งมสี ง่ิ เหลา่ นี้ (ก) แรงจงู ใจในการเรยี นรู ้ (ข) การตดิ ตอ่ และ
รว่ มมอื กบั เพอื่ นๆ (ค) ความเป็ นผตู ้ น่ื ตัว (ง) ความอดทนตอ่ สง่ิ ทกี่ ากวม
2. ในการศกึ ษาทางนติ ศิ าสตร์ ผเู ้ รยี นตอ้ งมคี วามอดทนตอ่ สง่ิ ทก่ี ากวมหมายความวา่ (ก) ตอ้ งคดิ ใน
ปัญหาตา่ งๆ (ข) ตอ้ งมกี ารตคี วามในเรอ่ื งตา่ งๆ (ค) ตอ้ งอธบิ ายและโตแ้ ยง้ ในความคดิ
3. กฎหมายครอบครัวเรอ่ื งอายสุ มรสวา่ ชายหญงิ ตอ้ งมอี ายทุ า่ ใด มศี าสตรท์ เี่ กยี่ วขอ้ งคอื นติ ศิ าสตร์
เศรษฐศาสตร์ ประชากรศาสตร์ ศาสนศาสตร์ รฐั ศาสตร์
4. กฎหมายครอบครัวเรอื่ งอายสุ มรสวา่ ชายและหญงิ ตอ้ งมอี ายเุ ทา่ ใด มศี าสตรท์ เี่ รยี กวา่ ”ประชากร
ศาสตร”์ เกย่ี วขอ้ งคอื เป็ นการกาหนดอตั ราการเพมิ่ และลดของพลเมอื ง
5. วธิ ศี กึ ษาตวั บทกฎหมายทดี่ ี จะตอ้ งทาในสง่ิ ตอ่ ไปรคี้ อื (ก) อา่ นแลว้ ขดี เสน้ ใตค้ าตา่ งๆ (ข) บนั ทกึ
ยอ่ ขอ้ ความ (ค) ศกึ ษาคาพพิ ากษาฎกี าทตี่ คี วามถอ้ ยคาตา่ งๆ (ง) ศกึ ษามาตราอนื่ ทเี่ กย่ี วโยงกนั สว่ นเรอ่ื ง
การทอ่ งจาใหไ้ ดม้ ากทสี่ ดุ นัน้ ไมค่ อ่ ยมคี วามจาเป็ น
6. การศกึ ษาตวั บทกฎหมายทด่ี ี ไมค่ วรใชก้ ารทอ่ งจาใหไ้ ดท้ กุ มาตรา โดยคดิ วา่ จะทาใหต้ อบขอ้ สอบ
ไดม้ ากทส่ี ดุ
7. ในการตอบขอ้ สอบนติ ศิ าสตรแ์ บบอตั นัยนัน้ อยา่ เพง่ิ ตอบในขณะทย่ี งั ตน่ื เตน้
8. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากหอ้ งสมดุ เราสามารถสามารถใชบ้ รกิ ารสง่ิ เหลา่ นค้ี อื (ก) ยมื หนังสอื
ระหวา่ งหอ้ งสมดุ (ข) ใชบ้ รกิ ารหนังสอื อา้ งองิ (ค) สบื คน้ ขอ้ มลู จากคอมพวิ เตอร์ (ง) ยมื หนังสอื เพอ่ื ถา่ ย
อกสาร แตไ่ มส่ ามารถทาได้ คอื การจดั กลมุ่ พูดคยุ ถกปญั หากฎหมาย
9. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอน่ื “คาวา่ บคุ คลอนื่ ” หมายถงึ บคุ คลตอ่ ไปนค้ี อื (ก) อาจารย์
ผสู ้ อนชดุ วชิ า (ข) อาจารยก์ ฎหมายสถาบนั อนื่ (ค) ผพู ้ พิ ากษา พนักงานอยั การ (ง) ปรมาจารยท์ าง
กฎหมาย ยกเวน้ บคุ คล เชน่ เพอื่ นนักศกึ ษาสาขาวชิ าศลิ ปะศาสตร์
10. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายโดยการสงั เกตและฝึกปฏบิ ตั เิ กย่ี วขอ้ งกบั สง่ิ ตอ่ ไปนี้ (ก) ศาลจาลอง
(ข) การฝึกงานในหน่วยงานราชการ (ค) การฝึกงานในบรษิ ัท (ง) การสงั เกตวธิ พี จิ ารณาในศาล ยกเวน้
การสอบถามบคุ คลอน่ื ปากตอ่ ปากไมใ่ ชก่ ารคน้ ควา้
11. การสบื คน้ ขอ้ มลู กฎหมายในเครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ น็ตมปี ัญหาคอื (ก) ไมม่ แี หลง่ ขอ้ มลู ทเี่ พยี งพอ (ข)
ขอ้ มลู ไมถ่ กู ตอ้ งและขาดความน่าเชอื่ ถอื (ค) ขอ้ มลู ไมม่ กี ารจดั เป็ นระเบยี บ
12. การเขยี นรายงานการวจิ ัยทางนติ ศิ าสตรม์ ี 5 ขนั้ ตอน ขนั้ ตอนท่ี 4 คอื บรู ณาการกฎหมายกบั ขอ้ มลู
หรอื ขอ้ เท็จจรงิ ทเ่ี กยี่ วกบั ปัญหา
13. การวจิ ยั เหตขุ องการเลอื่ นคดใี นศาลทท่ี าใหก้ ารพจิ ารณาคดลี า่ ชา้ ผลการวจิ ยั สามารถนามาใชใ้ น
การพัฒนาวธิ จี ดั การและตดั สนิ ใจของบคุ คลตอ่ ไปนี้ (ก) คคู่ วาม (ข) ทนายความ (ค) พนักงานอยั การ (ง)
ผพู ้ พิ ากษา โดยยกเวน้ บคุ คลตอ่ ไปนคี้ อื เจา้ หนา้ ทร่ี าชทัณฑซ์ งึ่ ไมเ่ กยี่ วขอ้ ง
14. การเขยี นตอบขอ้ สอบแบบอตั นัยวา่ “ขา้ พเจา้ เคยครอบครองปรปักษ์ทดี่ นิ เชน่ เดยี วกบั การครอบ
ครองในคาถาม” เป็ นการตอบทไี่ มค่ วรทา เพราะเป็ นการเขยี นประสบการณ์สว่ นตวั ประกอบคาตอบ
15. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากจากหอ้ งสมดุ เราสามารถใชบ้ รกิ ารไดค้ อื (ก) ใชบ้ รกิ ารหนังสอื
อา้ งองิ (ข) สบื คน้ ขอ้ มลู จากคอมพวิ เตอร์ สว่ นการจัดกลมุ่ พดู คยุ ถกปัญหากฎหมายหา้ มทา
16. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายจากบคุ คลอนื่ หมายถงึ สงิ่ ตอ่ ไปน้ี (ก) การสอนเสรมิ ของอาจารยจ์ าก
สถาบนั อน่ื (ข) การสอนเสรมิ จากผทู ้ รงคณุ วฒุ ิ (ค) การไดร้ บั คาแนะนาจากปรมาจารยท์ างกฎหมาย (ง)
การศกึ ษาเป็ นกลมุ่ ยกเวน้ การศกึ ษาจากศาลจาลอง
17. การคน้ ควา้ ขอ้ มลู กฎหมายโดยการฝึกปฏบิ ตั เิ กย่ี วขอ้ งกบั สงิ่ ตอ่ ไปนี้ (ก) ศาลจาลอง (ข) การ
ฝึกงานในหน่วยงานราชการ (ค) การฝึกงานในบรษิ ัท (ง) การเป็ นผชู ้ ว่ ยทนายความ ยกเวน้ การนั่งในหอ้ ง
พจิ ารณาคดใี นศาล
18. ตวั อยา่ งการคน้ ขอ้ มลู กฎหมายในเครอื ขา่ ยอนิ เตอรเ์ น็ตเชน่ www.thailandlaw9.com
19. การเขยี นรายงานการวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรม์ ี 5 ขนั้ ตอน ขนั้ ตอนที่ 5 คอื สรปุ และเสนอแนะ

23

20. การวจิ ัยวา่ วธิ กี ารควบคมุ ระบบสานวนคดโี ดยใชฐ้ านขอ้ มลู หรอื แถบรหัส หรอื ใชม้ อื วธิ กี ารใด
สามารถใชป้ ฏบิ ตั งิ านได ้ เป็ นประโยชนก์ ารทาวจิ ยั ทางนติ ศิ าสตรค์ อื เป็ นการเลอื กวธิ ปี ฏบิ ตั งิ าน

หนว่ ยที่ 8 การบญั ญตั กิ ฎหมาย
1. การบญั ญตั กิ ฎหมายตองทาตามวธิ กี าร เป็ นขนั้ ตอน คอื จดั ทารา่ งกฎหมาย เสนอรา่ งกฎหมายตอ่

ผมู ้ อี านาจพจิ ารณา พจิ ารณารา่ งกฎหมายเพอ่ื รับหลกั การและแกไ้ ข ปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะสม นากฎหมายท่ี
พจิ ารณาเห็นชอบแลว้ ขน้ึ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มเพอื่ พระมหากษัตรยิ ท์ รงลงพระปรมาภไิ ธยและประกาศใน
ราชกจิ จานุเบกษา เพอื่ ใชบ้ งั คบั เป็ นกฎหมาย

2. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคานงึ ถงึ หลกั บางประการไดแ้ ก่ ความถกู ตอ้ ง ความแน่นอน ความสมบรู ณ์
ความศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ และสมั ฤทธผิ์ ล รวมทัง้ ความนยิ มดว้ ย

8.1 วธิ กี ารบญั ญตั กิ ฎหมาย
1. ผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอใหบ้ ญั ญตั กิ ฎหมาย คอื ผทู ้ ร่ี ัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทยกาหนดไว ้
2. การบญั ญตั กิ ฎหมายขนึ้ ใชบ้ งั คับตอ้ งเสนอรา่ งกฎหมายไดแ้ กร่ ฐั สภา การพจิ ารณารา่ งพระราช
บญั ญตั ติ อ้ งดาเนนิ การตามวธิ กี ารทก่ี าหนดไวใ้ นรฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย ขอ้ บงั คบั การประชมุ
สภาผแู ้ ทนราษฎร และขอ้ บงั คบการประชมุ วฒุ สิ ภา
3. การบญั ญตั กิ ฎหมายขนึ้ ใชบ้ งั คับเป็ นพระราชบญั ญตั ิ เป็ นพระราชอานาจของพระมหากษัตรยิ ต์ าม
รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย แตจ่ ะมผี ลใชบ้ งั คบั ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื ไดป้ ระกาศในราชกจิ จานุเบกษาแลว้

8.1.1 การเสนอใหบ้ ญั ญตั กิ ฎหมาย
เป็ นเป็ นผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอรา่ งพระราชบญั ญตั ใิ หร้ ฐั สภาพจิ ารณา ใหบ้ อกมาใหค้ รบ
ผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอรา่ งพระราชบญั ญตั ใิ หร้ ฐั สภาพจิ ารณา คอื
1) คณะรัฐมนตรี
2) สมาชกิ สภาผแู ้ ทนราษฎร
3) ผมู ้ สี ทิ ธเิ ลอื กตัง้ ไมน่ อ้ ยกวา่ 50,000 คน ซง่ึ เขา้ ชอื่ กนั รอ้ งขอตอ่ ประธานสภา เพอ่ื ใหร้ ัฐสภา
พจิ ารณากฎหมายเกยี่ วกบั สทิ ธแิ ละเสรภี าพของชนชาวไทย หรอื เกย่ี วกบั แนวนโยบายพน้ื ฐานแหง่ รฐั
8.1.2 การพจิ ารณารา่ งกฎหมาย
(1) การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั โิ ดยสภาผแู ้ ทนราษฎรตอ้ งกระทากว่ี าระ แตล่ ะวาระใหล้ งมติ
อยา่ งไร
การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญตั โิ ดยสภาผแู ้ ทนราษฎรตอ้ งกระทา 3 วาระ คอื วาระทหี่ นง่ึ ใหล้ ง
มตวิ า่ รับหลักการหรอื ไมร่ บั หลกั การแหง่ พระราชบญั ญตั นิ ัน้ วาระทส่ี อง พจิ ารณาโดยคณะกรรมการทสี่ ภา
ตงั้ ขน้ึ หรอื กรรมาธกิ ารเต็มสภา แลว้ รายงานใหส้ ภาพจิ ารณาลงมตวิ า่ จะแกไ้ ขอยา่ งไร หรอื ไม่ วาระทส่ี าม
ใหล้ งมตวิ า่ เห็นชอบหรอื ไมเ่ ห็นชอบกบั รา่ งพระราชบญั ญัตนิ ัน้
(2) รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ ผี่ า่ นการพจิ ารณาเห็นชอบของสภาผแู ้ ทนราษฎรแลว้ แตต่ อ้ งยบั ยงั้ เพราะ
วฒุ สิ ภาไมเ่ ห็นชอบ สภาผแู ้ ทนราษฎรอาจยกขน้ึ พจิ ารณาใหมไ่ ดเ้ มอื่ ใด
รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ ผ่ี า่ นการพจิ ารณาเห็นชอบของสภาผูแ้ ทนราษฎรแลว้ แตต่ อ้ งยบั ยงั้ เพราะ
วฒุ สิ ภาไมเ่ ห็นชอบ สภาผแู ้ ทนราษฎรอาจยกขนึ้ พจิ ารณาใหมไ่ ด ้ ดังนี้

1) รา่ งพระชาบญั ญตั ทิ เ่ี กย่ี วกบั การเงนิ อาจยกขน้ึ พจิ ารณาใหมไ่ ดท้ นั ท่ี
2) รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ ไ่ี มเ่ กย่ี วกบั การเงนิ อาจยกขนึ้ พจิ ารณาใหมไ่ ดเ้ มอื่ พน้ 180 วนั นับแต่
วนั ทว่ี ฒุ สิ ภาสง่ คนื มายงั สภาผแู ้ ทนราษฎร หรอื วนั ทว่ี ฒุ สิ ภาไมเ่ ห็นชอบกบั รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ ่ี
คณะกรรมาธกิ ารรว่ มกนั พจิ ารณา แลว้ แตก่ รณี
8.1.3 การบญั ญตั เิ ป็ นกฎหมายใชบ้ งั คบั
(1) พระมหากษัตรยิ ท์ รงตราพระราชกาหนดขนึ้ ใชบ้ งั คบั ไดใ้ นกรณใี ด
พระมหากษัตรยิ ท์ รงตราพระราชกาหนดขนึ้ ใชบ้ งั คบั ไดเ้ มอื่ คณะรัฐมนตรเี ห็นวา่ เป็ นกรณฉี ุกเฉนิ ทมี่ ี
ความจาเป็ นรบี ดว่ นอนั มอิ าจหลกี เลยี่ งได ้ เฉพาะเพอื่ ประโยชนใ์ นอนั ทจ่ี ะรักษาความปลอดภยั ของประเทศ
ความปลอดภยั ของสาธารณะ ความมน่ั คงทางเศรษฐกจิ ของประเทศ หอื ป้องปัดภยั พบิ ตั สิ าธารณะ และใน

24

กรณีทมี่ คี วามจาเป็ นตอ้ งมกี ฎหมายเกยี่ วขอ้ งดว้ ยภาษีอากรหรอื เงนิ ตรา ซงึ่ จะตอ้ งไดร้ ับการพจิ ารณา
โดยดว่ นและลับ เพอื่ รักษาประโยชนข์ องแผน่ ดนิ

(2) รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ พ่ี ระมหากษัตรยิ ไ์ มท่ รงเห็นชอบดว้ ยและไมท่ รงลงพระปรมาภไิ ธย อาจ
ประกาศใชบ้ งั คับเป็ นกฎหมายในกรณใี ด หรอื ไม่

รา่ งพระราชบญั ญตั ทิ พี่ ระมหากษัตรยิ ไ์ มท่ รงเห็นชอบดว้ ย และไมท่ รงลงพระปรมาภไิ ธย อาจ
ประกาศใชเ้ ป็ นกฎหมายได ้ เมอ่ื รฐั สภามมี ตยิ นื ยนั ตามเดมิ ดว้ ยคะแนนเสยี งไมน่ อ้ ยกวา่ 2 ใน 3 ของจานวน
สมาชกิ ทัง้ หมดทม่ี อี ยขู่ องทงั้ สองสภา

(3) พระราชกาหนดทส่ี ภาผแู ้ ทนราษฎรอนุมตั ิ แตว่ ฒุ สิ ภาไมอ่ นุมตั ิ จะมผี ลใชบ้ งั คบั ไดใ้ นกรณีใด
หรอื ไม่

พระราชกาหนดทสี่ ภาผแู ้ ทนราษฎรอนุมตั ิ แตว่ ฒุ สิ ภาไมอ่ นุมตั ิ มผี ลใชบ้ งั คบั เป็ นพระราชบญั ญตั ิ
ตอ่ ไปไดเ้ มอื่ สภาผแู ้ ทนยนื ยนั การอนุมตั ดิ ว้ ยคะแนนเสยี งมากกวา่ กงึ่ หนงึ่ ของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ทมี่ ี
อยขู่ องสภาผแู ้ ทนราษฎร

8.2 หลกั ในการบญั ญตั กิ ฎหมาย
1. การบญั ญตั กิ ฎหมายจอ้ งคานงึ ถงึ ความถกู ตอ้ ง คอื ถกู วธิ กี าร ถกู แบบ ถกู เนอ้ื หา ถกู หลกั ภาษาและ
ตอ้ งเป็ นธรรมแกท่ กุ ฝ่ ายในสงั คมดว้ ย
2. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคานงึ ถงึ ความแน่นอนในถอ้ ยคาและขอ้ ความ โดยใหม้ คี วามชดั เจนและ
รดั กมุ
3. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคานงึ ถงึ ความสมบรู ณค์ อื ใหไ้ ดส้ าระครบถว้ นครอบคลมุ ไมข่ าดตก
บกพรอ่ ง สอดคลอ้ งไมข่ ดั กนั และเชอื่ มโยงไมข่ าดตอน
4. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคานงึ ถงึ ความศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ คอื กฎหมายทเ่ี ป็ นคาบงการ (Command) ใหใ้ คร
ทาอะไร ตอ้ งใหม้ สี ภาพบงั คบั (Sanction) และตอ้ งใหส้ มั ฤทธผิ์ ล คอื ใหไ้ ดผ้ ลบรรลจุ ดุ ประสงคใ์ นการตรา
กฎหมายฉบบั นัน้
5. การบญั ญตั กิ ฎหมายตอ้ งคานงึ ถงึ ความนยิ มเกย่ี วกบั ลลี า ถอ้ ยคา และการใชต้ วั เลขแทนตัวหนังสอื

8.2.1 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหถ้ กู ตอ้ ง
ใหบ้ อกขอ้ บกพรอ่ งของขอ้ ความในรา่ งกฎหมายดังตอ่ ไปนี้ และแกไ้ ขใหถ้ กู หลกั ภาษา
(1) “กรรมการรา่ งกฎหมายใหแ้ ตง่ ตงั้ จากผทู ้ รงคณุ วฒุ ดิ า้ นกฎหมาย ซง่ึ มผี ลงานดเี ดน่ ถกู ยอมรับ
โดยวงการกฎหมาย”
ขอ้ บกพรอ่ งคอื การใชค้ าวา่ “ถกู ” ประกอบคากรยิ าในประโยคกรรมวาจกทไ่ี มม่ คี วามหมายในทาง
ไมด่ นี ัน้ ไมเ่ ป็ นทนี่ ยิ มในภาษากฎหมาย ในกรณีนต้ี อ้ งใชค้ าวา่ “เป็ นท”ี่ แทนคาวา่ “ถกู ”
(2) “คาขอนัน้ ตอ้ งระบชุ อื่ อายุ และประวตั ขิ องผขู ้ อ และเอกสารหลกั ฐานประกอบคาขอ”
ขอ้ บกพรอ่ งคอื ขอ้ ความดังกลา่ วมคี าวา่ “ระบ”ุ เป็ นคากรยิ ารว่ มของ 2 ประโยค เมอื่ อา่ นขอ้ ความ
ทัง้ หมดแลว้ จะไดค้ วามวา่ “ตอ้ งระบชุ อ่ื อายุ และประวตั ขิ องผขู ้ อ” ประโยคหนงึ่ และ “ตอ้ งระบเุ อกสาร
หลกั ฐานประกอบคาขอ” อกี ประโยคหนง่ึ ซงึ่ ประโยคหลังนผ้ี ดิ ไปจากความมงุ่ หมายทจี่ ะให ้ “สง่ ” หรอื
“แนบ” เอกสารหลกั ฐานไมใ่ ชเ่ พยี ง “ระบ”ุ เหมอื นอยา่ งระบพุ ยานในการตอ่ สคู ้ ดใี นศาล ควรแกใ้ หถ้ กู ตอ้ ง
และเหมาะสม เป็ น “ใหผ้ ขู ้ อระบชุ อื่ อายุ และประวตั ขิ องตนเองลงในคาขอ และสง่ (แนบ) เอกสาร
หลกั ฐานประกอบคาขอดว้ ย”
(3) “ผผู ้ ลติ สารระเหยตอ้ งจัดใหม้ ี “เครอื่ งหมาย” ทภี่ าชนะบรรจสุ ารระเหยเพอ่ื เป็ นคาเตอื น หรอื
ขอ้ ควรระวังใชส้ ารระเหยนัน้ ”
ขอ้ บกพรอ่ งคอื ใชค้ าวา่ “เครอ่ื งหมาย” เป็ นคาหลกั และใชค้ าวา่ “คาเตอื น” กบั “ขอ้ ควรระวัง” เป็ น
คาขยาย ซงึ่ ไมส่ อดคลอ้ งกนั เพราะ “เครอ่ื งหมาย” ไมไ่ ดเ้ ป็ น “คา” หรอื “ขอ้ ” จงึ ไมถ่ กู หลกั ภาษา ถา้ จะ
ใหถ้ กู ตอ้ งเปลยี่ นคาวา่ “เครอื่ งหมาย” เป็ น “ขอ้ ความ” จงึ จะสอดคลอ้ งกนั เพราะ “ขอ้ ความ” เป็ น “คา” ก็
ได ้ เป็ น “ขอ้ ” กไ็ ด ้
8.2.2 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหแ้ นน่ อน
ใหบ้ อกขอ้ บกพรอ่ งของขอ้ ความในรา่ งกฎหมายดังตอ่ ไปน้ี และแกใ้ หช้ ดั เจนและรัดกมุ
(1) “ใหน้ าพระราชบญั ญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น มาใชบ้ งั คบั แกข่ า้ ราชการกรงุ เทพมหานคร
โดยอนุโลม”

25

ขอ้ บกพรอ่ งคอื ใชค้ าวา่ “พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขอ้ ราชการพลเรอื น” ซงึ่ เป็ นคาเฉพาะ โดย
ไมร่ ะบุ พ.ศ. ทตี่ ราพระราชบญั ญตั ฉิ บบั นัน้ ไมถ่ กู ตอ้ งเพราะไมช่ ดั เจนวา่ เป็ นพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บ
ขา้ ราชการพลเรอื นฉบบั ไหน เนอื่ งจากพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื นมกี ารแกไ้ ขหลายฉบบั
ตอ้ งแกคาวา่ “พระราชบญั ญัตริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น” เป็ น “กฎหมายวา่ ดว้ ยระเบยี บขา้ ราชการพล
เรอื น” ซง่ึ เป็ นคาสามญั ทห่ี มายถงึ ฉบบั ทใ่ี ชอ้ ยรู่ วมทงั้ ฉบบั แกไ้ ขเพมิ่ เตมิ ทใี่ ชอ้ ยดู่ ว้ ย

(2) “เทศบาลมหี นา้ ทจ่ี ดั ใหม้ แี ละบารงุ รักษาสถานทสี่ าหรบั การเลน่ กฬี าและพลศกึ ษา”
ขอ้ บกพรอ่ งคอื คาวา่ “พลศกึ ษา” ซง่ึ หมายถงึ “การสอนวชิ าพละ” มาเขยี น ใหเ้ ป็ นหนา้ ทข่ี อง
เทศบาลทจี่ ะตอ้ งจดั ใหม้ แี ละบารงุ รกั ษารวมกบั สถานทส่ี าหรับการเลน่ กฬี า จงึ ไมช่ ดั เจนและไมต่ รงกบั
ความมงุ่ หมายทจี่ ะใหเ้ ทศบาลจดั ใหม้ แี ละบารงุ รักษาสถานทสี่ าหรบั ออกกาลังกาย จงึ ตอ้ งแกเ้ ป็ น
“เทศบาลมหี นา้ ทจี่ ัดใหม้ แี ละบารงุ รักษาสถานทส่ี าหรบั การเลน่ กฬี าและการออกกาลงั กาย (หรอื การ
บรหิ ารรา่ งกาย)”

(3) “ถา้ พยานหลกั ฐานยนื ยนั สอดคลอ้ งกนั น่าเชอ่ื วา่ ผถู ้ กู กลา่ วหากระทาผดิ วนิ ัยอยา่ งรา้ ยแรง ให ้
สงั่ ลงโทษไลอ่ อกหรอื ปลดออก”

ขอ้ บกพรอ่ งคอื ไมร่ ดั กมุ เพราะคาวา่ “น่าเชอ่ื ” ยงั อยใู่ นลักษณะมมี ลทนิ หรอื มวั หมอง ยงั ฟังไมไ่ ด ้
วา่ กระทาผดิ ทจ่ี ะถกู ลงโทษไลอ่ อกหรอื ปลดออก ถา้ มพี ยานหลกั ฐานยนื ยนั แน่นอนก็ตอ้ ง เชอ่ื ได”้ ไมใ่ ช่
“น่าเชอ่ื ” จงึ ตอ้ งแกเ้ ป็ น “ถา้ มพี ยานหลักฐานยนื ยนั สอดคลอ้ งกนั ฟังไดว้ า่ ผถู ้ กู กลา่ วหากระทาผดิ วนิ ัย
อยา่ งรา้ ยแรง ใหส้ ง่ั ลงโทษไลอ่ อกหรอื ปลดออก”

8.2.3 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหส้ มบรู ณ์
ในการรา่ งเป็ นพระราชบญั ญตั ิ หากมรี ายละเอยี ดเป็ นหลกั เกณฑ์ วธิ กี าร หรอื เงอื่ นไขทตี่ อ้ งปฏบิ ตั ิ
ตามพระราชบญั ญตั นิ ัน้ โดยเหมาะสมกบั เวลาหรอื สถานทซี่ งึ่ ยงั ไมอ่ าจกาหนดไวใ้ นพระราชบญั ญตั นิ ัน้ ได ้
ควรรา่ งอยา่ งไรจงึ จะสมบรู ณ์
ควรรา่ งออกใหเ้ ป็ นกฎหมายลกู อกี ชนั้ หนง่ึ เชน่ ใหต้ ราเป็ นพระราชกฤษฎกี า ใหอ้ อกเป็ น
กฎกระทรวง ขอ้ บงั คับ ระเบยี บ หรอื ประกาศ หรอื ใหร้ ฐั มนตรผี รู ้ กั ษาการตามพระราชบญั ญตั นิ ัน้ หรอื
คณะกรรมการทตี่ งั้ ขนึ้ ตามพระราชบญั ญตั นิ ัน้ กาหนดรายละเอยี ดก็ได ้

8.2.4 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหศ้ กั ดสิ์ ทิ ธแ์ิ ละสมั ฤทธผ์ิ ล
มาตรการบงั คบั (Sanction) ทจี่ ะเขยี นในกฎหมายเพอื่ ดาเนนิ การในกรณที ม่ี ผี ฝู ้ ่ าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ิ
ตามกฎหมายนัน้ มอี ะไรบา้ ง ยกมา 3 ประการ
มาตรการบงั คบั (Sanction) ทจี่ ะเขยี นในกฎหมายมหี ลายประการ เชน่

1) มาตรการทางแพง่ เชน่ ไมร่ บั รผู ้ ลในกฎหมาย คอื ใหก้ ารกระทานัน้ เป็ นโมฆะ
2) มาตรการตามกฎหมายปกครอง เชน่ พกั ใชใ้ บอนุญาต หรอื เพกิ ถอนใบอนญุ าต
3) มาตรการทางอาญา ใหไ้ ดร้ ับโทษทางอาญา เชน่ ประหารชวี ติ จาคกุ ปรับ

8.2.5 การบญั ญตั กิ ฎหมายใหต้ อ้ งตามความนยิ ม
ในการรา่ งพระราชบญั ญตั ิ หากมคี าทเ่ี กย่ี วกบั จานวนนับ หรอื ลาดบั ควรใชต้ วั เลขหรอื ตวั หนังสอื
บางกรณนี ยิ มใชต้ วั เลข บางกรณีนยิ มใชต้ วั หนังสอื คอื
กรณีทใี่ ชต้ วั เลข
(1) วนั ที่ พ.ศ. เชน่ “ใหไ้ ว ้ ณ วนั ท่ี 20 มกราคม พ.ศ. 2518”
(2) จานวนนับทไี่ มใ่ ชเ่ นอื้ หาสาระในกฎหมาย เชน่ “เป็ นปีที่ 30 ในรัชกาลปัจจบุ นั ”
(3) หมวด สว่ น มาตรา และอนุมาตราของกฎหมาย เชน่ “หมวด 1” “สว่ นที่ 1” “มาตรา 6 (1)”
(4) หมายเลขเอกสารแนบทา้ ยกฎหมาย เชน่ “บญั ชหี มายเลข 3”
(5) ลาดับชนั้ หรอื ขนั้ เชน่ “ตาแหน่งระดับ 10 รับเงนิ เดอื นในอนั ดบั 10 ซง่ึ มี 31 ขนั้ ”
(6) อนั ดับขนั้ เงนิ เดอื น เชน่ “อนั ดบั 11 ขนั้ 42,120 บาท”
(7) อตั ราคา่ ธรรมเนยี มในบญั ชที า้ ยกฎหมาย เชน่ “คา่ ธรรมเนยี มตอ่ ใบอนุญาต 100 บาท”
กรณีทใี่ ชต้ วั หนงั สอื
(1) จานวนนับทเี่ ป็ นเนอ้ื หาสาระในกฎหมาย เชน่ “ใบอนุญาตตัง้ โรงรบั จานาใหใ้ ชไ้ ดจ้ นถงึ วันท่ี
31 ธนั วาคม ของปีทห่ี า้ นับแตป่ ีทอี่ อกใบอนุญาต”
(2) วรรคของมาตรา เชน่ “คคู่ วามตามวรรคหนงึ่ ” “พระราชกฤษฎกี าตามวรรคสอง”
(3) อายขุ องบคุ คล เชน่ “มอี ายไุ มต่ ่ากวา่ สบิ แปดปี”
(4) ระยะเวลาเป็ นชว่ั โมง วนั เดอื น ปี เชน่ “ใหอ้ ทุ ธรณไ์ ดภ้ ายในสามสบิ วนั นับจากวันทราบคาสง่ั ”

26

(5) โทษทางอาญา เชน่ “ตอ้ งระวางโทษจาคกุ ไมเ่ กนิ สามเดอื น หรอื ปรบั ไมเ่ กนิ สามหมน่ื บาท
หรอื ทงั้ จาทัง้ ปรบั ”
แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 8

1. หลกั การและเหตผุ ล เป็ นสว่ นสาคญั 2 สว่ นของรา่ งพระราชบญั ญตั ิ
2. นายกรฐั มนตรตี อ้ งนารา่ งพระราชบญั ญตั ทิ สี่ สู่ ภาใหค้ วามเห็นชอบแลว้ ขนึ้ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ ม
ถวายเพอื่ ใหพ้ ระมหากษัตรยิ ท์ รงลงพระปรมาภไิ ธยในระยะ เวลา 20 วนั
3. การเสนอรา่ งพระราชบญั ญตั จิ ะตอ้ งเสนอตอ่ สภาผแู ้ ทนราษฎรกอ่ น
4. กฎหมายทอ่ี อกโดยฝ่ ายบรหิ ารคอื พระราชกาหนด
5. กฎหมายทอี่ อกในกรณีเรง่ ดว่ นคอื พระราชกาหนด
6. รา่ งพระราชบญั ญตั ใิ ดทพ่ี ระมหากษัตรยิ ไ์ มท่ รงเห็นดว้ ย ไมท่ รงลงพระปรมาภไิ ธย ถา้ รฐั สภายนื ยนั
ตามเดมิ จะตอ้ งมี คะแนนเสยี ง 2 ใน 3 ของจานวนสมาชกิ ทงั้ หมดของทงั้ สองสภา
7. พระราชกาหนด เป็ นกฎหมายทพ่ี ระมหากษัตรยิ ท์ รงตราขน้ึ โดยคาแนะนาของคณะรัฐมนตรี
8. การพจิ ารณารา่ งพระราชบญั ญัตใิ นสภาผแู ้ ทนราษฎรจะพจิ ารณาเป็ น 3 วาระ คอื วาระรับหลกั การ
วาระพจิ ารณา และวาระเห็นชอบ
9. วฒุ สิ ภาจะตอ้ งพจิ ารณารา่ งกฎหมายทไ่ี มเ่ กยี่ วกบั การเงนิ ทส่ี ภาผแู ้ ทนราษฎรใหค้ วามเห็นชอบแลว้
ภายในระยะเวลา 60 วนั
10. ความสาคญั ของบทเฉพาะกาลในกฎหมาย คอื เป็ นการเชอื่ มโยงบทกฎหมายเกา่ และกฎหมายใหม่
เขา้ ดว้ ยกนั ไมใ่ หข้ าดตอน

หนว่ ยท่ี 9 หลกั การใชก้ ฎหมาย

1. กฎหมายบญั ญตั ขิ น้ึ ตามหลกั วชิ าในทางนติ ศิ าสตร์ ประสงคใ์ หอ้ า่ นแลว้ เขา้ ใจงา่ ย สามารถนาไป
ปฏบิ ตั ไิ ด ้ อยา่ งไรกด็ ี อาจมกี ารใชภ้ าษากฎหมายหรอื ภาษาเทคนคิ อนื่ ดังนัน้ ผใู ้ ชก้ ฎหมายจงึ ควรทาความ
เขา้ ใจกบั หลกั การรา่ งกฎหมาย และการใชภ้ าษาในกฎหมายโดยทวั่ ไป กอ่ นจะนากฎหมายมาใชก้ บั
ขอ้ เท็จจรงิ
2. การใชก้ ฎหมายกบั ขอ้ เท็จจรงิ มสี องประการคอื การใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎี และการใชก้ ฎหมาย
ในทางปฏบิ ตั ิ
3. การใชก้ ฎหมายเกย่ี วขอ้ งกบั การตคี วามกฎหมายและการใชด้ ลุ พนิ จิ ในทางกฎหมาย เมอ่ื บท
กฎหมายนัน้ มถี อ้ ยคาไมช่ ดั เจนหรอื อาจแปลความไดห้ ลายทาง
4. ในกรณที ไี่ มม่ กี ฎหมายจะนาไปปรับใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ไดโ้ ดยตรง ผใู ้ ชก้ ฎหมายจาเป็ นตอ้ งอดุ
ชอ่ งวา่ งแหง่ กฎหมายนัน้ ตามหลกั เกณฑใ์ นทางนติ ศิ าสตร์

9.1 หลกั การใชก้ ฎหมายกบั ขอ้ เท็จจรงิ
1. กฎหมายเป็ นสง่ิ ทบี่ ญั ญตั ขิ น้ึ ตามหลกั วชิ าในทางนติ ศิ าสตร์ เพอื่ ใชบ้ งั คบั แกบ่ คุ คลเป็ นการท่วั ไป
โดยหลกั จงึ พยายามใชถ้ อ้ ยคาใหผ้ อู ้ น่ื เขา้ ใจไดง้ า่ ย แตบ่ างกรณีอาจจาเป็ นตอ้ งใชภ้ าษากฎหมายหรอื
ภาษาเทคนคิ โดยเฉพาะ ผใู ้ ชก้ ฎหมายจงึ ควรทาความเขา้ ใจกบั หลกั การรา่ งกฎหมายและการใชภ้ าษาใน
กฎหมายโดยทวั่ ไป เพราะสามารถชว่ ยใหเ้ ขา้ ใจความหมายของบทกฎหมายไดด้ ยี ง่ิ ขน้ึ
2. การแปลความหมายของบทบญั ญตั ิ เพอ่ื ใหท้ ราบวา่ กฎหมายบญั ญัตไิ วอ้ ยา่ งไร เป็ นสงิ่ สาคญั
เพราะกฎหมายจะกาหนดสทิ ธิ หนา้ ทขี่ องบคุ คล และสภาพบงั คับแกผ่ ฝู ้ ่ าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายไว ้
การแปลความหมายของบทบญั ญตั สิ ามารถกระทาไดโ้ ดยการทาความเขา้ ใจเนอื้ หาของกฎหมายดว้ ยการ
อา่ นกฎหมายทงั้ ฉบบั
3. การใชก้ ฎหมายกบั ขอ้ เท็จจรงิ มสี องประการ คอื การใชก้ ฎหมายทางทฤษฎี และการใชก้ ฎหมาย
ในทางปฏบิ ตั ิ การใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎี เป็ นเรอ่ื งของหลกั วชิ าเพอื่ ใชใ้ นการบญั ญตั กิ ฎหมาย โดยตอ้ ง
พจิ ารณาถงึ ของเขตการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย เชน่ บคุ คล สถานท่ี และวนั เวลาทเ่ี กยี่ วขอ้ ง ประเภทและลาดับ
ศักดข์ิ องกฎหมาย ตลอดจนอานาจในการตรากฎหมายการใชก้ ฎหมายในทางปฏบิ ตั ิ เป็ นเรอ่ื งของการใช ้
กฎหมายกบั ขอ้ เท็จจรงิ เฉพาะเรอื่ งในชวี ติ ประจาวัน
4. การใชก้ ฎหมายในทางปฏบิ ตั เิ ป็ นเรอื่ งซง่ึ หาหลักเกณฑไ์ ดย้ าก เพราะบคุ คลทเ่ี กยี่ วขอ้ งทกุ คนตา่ ง
เป็ นผใู ้ ชก้ ฎหมายดว้ ยกนั ทงั้ สนิ้ ซง่ึ มกั ใชก้ ฎหมายตามความรู ้ ความเขา้ ใจของตน นอกจากนตี้ วั บท

27

กฎหมายเองก็อาจมคี วามบกพรอ่ ง จงึ อาจนาไปสปู่ ัญหาการใชก้ ฎหมาย ไดแ้ กป่ ัญหาการตคี วาม
กฎหมาย หรอื การเกดิ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายได ้

9.1.1 การอา่ นและการเขา้ ใจกฎหมาย
การอา่ นและเขา้ ใจกฎหมายมปี ระโยชนแ์ กผ่ ใู ้ ชก้ ฎหมายอยา่ งไรบา้ ง
เนอื่ งจากผใู ้ ชก้ ฎหมาย หมายถงึ บคุ คลทกุ คนทม่ี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งกบั กฎหมายฉบบั นัน้ ไมว่ า่ จะเป็ น
ประชาชนผตู ้ อ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมาย เจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐทท่ี าหนา้ ทบ่ี งั คบั การใหเ้ ป็ นไปตามกฎหมาย เชน่
เจา้ พนักงานตามกฎหมาย หรอื ตารวจ ตลอดจนผดู ้ าเนนิ คดหี รอื วนิ จิ ฉัยขอ้ กฎหมายหรอื ชข้ี าดขอ้ พพิ าทที่
เกดิ ขนึ้ เนอื่ งจากการปฏบิ ตั หิ รอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามกฎหมายนัน้ เชน่ นติ กิ ร ทนายความ อยั การ หรอื ศาล ซง่ึ แต่
ละฝ่ ายอาจมคี วามเขา้ ใจหลกั การพน้ื ฐานของบทกฎหมายหรอื แปลความกฎหมายไปในทศิ ทางเดยี วกนั ก็
จะชว่ ยใหเ้ กดิ ปัญหาในการใชก้ ฎหมายนอ้ ยลง หรอื หากเกดิ ปัญหาจะตอ้ งตคี วามกฎหมายหรอื อดุ ชอ่ งวา่ ง
ของกฎหมายกจ็ ะสามารถกระทาไดอ้ ยา่ งเป็ นธรรมและเหมาะสม

9.1.2 การแปลความหมายของบทบญั ญตั ิ
การแปลความหมายบทบญั ญัตขิ องกฎหมายมหี ลกั ในเบอ้ื งตน้ อยา่ งไร
การแปลความหมายบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายกระทาไป เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามวา่ บทกฎหมายนัน้ มขี อ้
กาหนดใหใ้ ครตอ้ งทาอะไร ทไ่ี หน เมอื่ ได อยา่ งไร ถา้ ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามจะมโี ทษหรอื ไม่ อยา่ งไร หรอื หากทา
จะไดร้ บั สทิ ธปิ ระโยชนห์ รอื ไดร้ บั ผลดอี ยา่ งไร มหี ลกั เบอื้ งตน้ คอื ควรทาความเขา้ ใจภาพรวมของกฎหมาย
และหาความหมายของบทบญั ญตั ริ ายมาตรา โดยการอา่ นกฎหมายประกอบกนั ทัง้ ฉบบั มใิ ชเ่ ฉพาะมาตรา
ใดมาตราหนง่ึ

9.1.3 การใชบ้ ทบญั ญตั กิ บั ขอ้ เท็จจรงิ
หน่วยงานของรฐั ซงึ่ มหี นา้ ทด่ี แู ลใหม้ กี ารปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายฉบบั หนงึ่ พบวา่ มกี ารฝ่ าฝืนกฎหมาย
ฉบบั นัน้ บอ่ ยครัง้ จงึ ไดม้ กี ารศกึ ษาขอ้ บกพรอ่ งของกฎหมายและเสนอใหม้ กี ารแกไ้ ขกฎหมายเชน่ น้ี
เจา้ หนา้ ทขี่ องหน่วยงานนัน้ ตอ้ งใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎหี รอื ในทางปฏบิ ตั ิ
เจา้ หนา้ ทข่ี องหน่วยงานนัน้ ตอ้ งใชก้ ฎหมายทงั้ ในทางทฤษฎี และในทางปฏบิ ตั โิ ดยการจะทราบวา่
มผี ฝู ้ ่ าฝืนหรอื ไมเ่ ป็ นการใชก้ ฎหมายในทางปฏบิ ตั ิ เพราะตอ้ งทราบขอ้ เท็จจรงิ ทเ่ี กดิ ขน้ึ ขอ้ กฎหมายทจ่ี ะ
นามาใช ้ จากนัน้ ตอ้ งปรบั ขอ้ เท็จจรงิ เขา้ กบั กฎหมายเพอ่ื ใหท้ ราบผลวา่ มกี ารฝ่ าฝืนกฎหมายหรอื ไม่ และยงั
มกี ารใชก้ ฎหมายในทางทฤษฎเี มอื่ มกี ารเสนอแกไ้ ขกฎหมายเพราะตอ้ งมกี ารพจิ ารณาวา่ กฎหมายนัน้ ยงั
ควรมขี อบเขตการใชบ้ งั คบั กบั บคุ คล ในเวลา หรอื สถานที่ หรอื มหี ลกั เกณฑแ์ ละเงอื่ นไขเชน่ เดมิ หรอื ไม่
หรอื ควรจะมกี ารแกไ้ ขใหมอ่ ยา่ งไร หรอื ควรยกเลกิ กฎหมายนัน้ เสยี กไ็ ด ้

9.1.4 ปญั หาการใชก้ ฎหมาย
ปัญหาการตคี วามกฎหมายและชอ่ งวา่ งในกฎหมายเกดิ ขนึ้ เมอื่ ใด ปัญหาทงั้ สองกรณีมคี วาม
เกย่ี วขอ้ งกนั ไดห้ รอื ไม่ เพราะเหตใุ ด
ปัญหาการตคี วามกฎหมายเกดิ ขนึ้ เมอื่ มกี ฎหมายจะนามาปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ แตบ่ ทบญั ญตั ขิ อง
กฎหมายนัน้ ยงั มคี วามไมช่ ดั เจน กากวม หรอื เคลอื บคลมุ จงึ ตอ้ งมกี ารตคี วามเพอื่ หาความหมายทแ่ี ทจ้ รงิ
สว่ นชอ่ งวา่ งในกฎหมายเกดิ ขน้ึ เมอื่ ไมม่ บี ทกฎหมายลายลกั ษณอ์ กั ษรจะนามาปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ
ปัญหาทัง้ สองกรณอี าจมคี วามเกย่ี วขอ้ งกนั ได ้ เพราะบางครงั้ อาจมกี ารตคี วามกฎหมายผดิ พลาด
โดยคดิ วา่ เกดิ ชอ่ งวา่ งในกฎหมายเพราะไมม่ บี ทกฎหมายจะนามาปรบั ใช ้ แตท่ จ่ี รงิ แลว้ มี เพยี งแตก่ ฎหมาย
นัน้ ไมช่ ดั เจนซงึ่ เป็ นปัญหาการตคี วามกฎหมายตามธรรมดา หรอื คดิ วา่ สามารถนาบทกฎหมายซง่ึ นามาปรบั
ใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ได ้ แตท่ จ่ี รงิ แลว้ ใชไ้ มไ่ ด ้ และไมม่ บี ทกฎหมายอน่ื ทจ่ี ะนามาใชไ้ ด ้ ซง่ึ เป็ นกรณที เี่ กดิ
ปัญหาชอ่ งวา่ งในกฎหมายเป็ นตน้ ซงึ่ จะเห็นไดว้ า่ การตคี วามกฎหมายเป็ นสงิ่ สาคญั ทจ่ี ะเป็ นตวั บง่ ชวี้ า่
กรณีนัน้ ๆ เกดิ ปัญหาในลกั ษณะใด และจะนาไปสกู่ ารปรบั ใชก้ ฎหมายแกข่ อ้ เท็จจรงิ ทถี่ กู ตอ้ งตอ่ ไป

9.2 การตคี วามกฎหมาย
1. การตคี วามกฎหมายคอื การคน้ หาความหมายของบทกฎหมายทเ่ี คลอื บคลมุ ไม่ชดั เจน หรอื อาจ
แปลความไดห้ ลายนัย เพอื่ นากฎหมายนัน้ มาใชป้ รบั กบั ขอ้ เท็จจรงิ
2. การตคี วามกฎหมายตอ้ งอาศัยหลกั วชิ า ความรหู ้ ลายแขนง รวมทงั้ ประสบการณแ์ ละสามญั สานกึ
ดว้ ย อาจแยกไดเ้ ป็ น 2 ประการ คอื การตคี วามตามลายลกั ษณ์อกั ษร และการตคี วามตามเจตนารมณ?
3. การตคี วามตามลายลักษณ์อกั ษรคอื การหยงั่ ทราบความหมายของถอ้ ยคาจากตวั อกั ษรของบท
กฎหมายนัน้ เอง โดยวธิ กี ารตา่ งๆ เชน่ การหาความหมายตามธรรมดาของถอ้ ยคา การหาความหมายจาก
ภาษาเทคนคิ หรอื ภาษาทางวชิ าการ หรอื จากความหมายพเิ ศษ

28

4. การตคี วามตามเจตนารมณ์ คอื การหยง่ั ทราบความหมายของถอ้ ยคาในบทกฎหมายจากจาก
เจตนารมณ์ หรอื ความมงุ่ หมายของกฎหมายนัน้ โดยอาศัยเครอ่ื งมอื ตา่ งๆ ทงั้ จากตวั กฎหมายนัน้ เอง หรอื
สง่ิ ทอ่ี ยภู่ ายนอกกฎหมาย

9.2.1 หลกั การตคี วามกฎหมาย
การตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ ามหี ลกั เกณฑใ์ หญๆ่ กปี่ ระเภท และจะนามาใชเ้ มอื่ ใด อยา่ งไร
การตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ ามี 2 ประเภทใหญๆ่ คอื การตคี วามตามลายลกั ษณอ์ กั ษรหรอื
ตามตวั อกั ษร และการตคี วามตามเจตนารมณ์ หรอื ตามความมงุ่ หมายของบทบญั ญัติ จะนามาใชเ้ มอ่ื เกดิ
ปัญหาความไมช่ ดั เจน เคลอื บคลมุ หรอื กากวมของถอ้ ยคา หากกฎหมายมคี วามชดั เจนอยแู่ ลว้ กไ็ ม่
จาเป็ นตอ้ งมกี ารตคี วาม ในการตคี วามอาจใชห้ ลกั เกณฑใ์ ดหลกั เกณฑห์ นง่ึ กไ็ ด ้ แตโ่ ดยทัว่ ไปมกั ใชก้ าร
ตคี วามตามตวั อกั ษรกบั การตคี วามตามเจตนารมณ์ประกอบกนั เพอื่ ชว่ ยใหห้ ยงั่ ทราบหรอื คน้ หาความหมาย
ของบทบญั ญตั ไิ ดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งเหมาะสมหรอื เป็ นธรรมมากทสี่ ดุ

9.2.2 การตคี วามตามลายลกั ษณ์อกั ษร
พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 9 วรรคแรก บญั ญัตวิ า่ “ในกรณีทนี่ ายจา้ งไม่
คนื เงนิ ประกนั ตามมาตรา 10 วรรคสอง หรอื ไมจ่ า่ ยคา่ จา้ ง คา่ ลว่ งเวลา คา่ ทางานในวันหยดุ และคา่
ลว่ งเวลาในวันหยดุ ภายในเวลาทก่ี าหนดตามมาตรา 70 หรอื คา่ ชดเชยตามมาตรา 118 คา่ ชดเชยพเิ ศษ
ตามมาตรา 120 มาตรา 121 และมาตรา 122 ใหน้ ายจา้ งเสยี ดอกเบยี้ ใหแ้ กล่ กู จา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัด
รอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี” ใหอ้ ธบิ ายวา่ บทบญั ญตั นิ มี้ คี วามหมายวา่ อยา่ งไร อาจมปี ระเด็นการตคี วามถอ้ ยคาตาม
ลายลกั ษณอ์ กั ษรตรงถอ้ ยคาใดบา้ ง และจะสามารถคน้ หาความหมายของถอ้ ยคานัน้ ไดจ้ ากทใ่ี ด
พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เป็ นตวั อยา่ งของกฎหมายทมี่ กี ารเขยี นบทบญั ญตั ใิ น
เชงิ เทคนคิ ทางกฎหมายฉบบั หนงึ่ เมอ่ื พจิ ารณาดกู ฎหมายทงั้ ฉบบั อยา่ งครา่ วๆ แลว้ จะเห็นวา่ การใชน้ ยิ าม
ศัพทแ์ ละการอา้ งองิ ถงึ มาตราอน่ื คอ่ นขา้ งมาก เมอื่ อา่ นเฉพาะมาตรา 9 วรรคแรก ในเบอื้ งตน้ จะพอเขา้ ใจ
ไดว้ า่ เป็ นบทบญั ญตั ทิ กี่ าหนดความรบั ผดิ ชอบของนายจา้ งในกรณที ไ่ี มป่ ฏบิ ตั หิ นา้ ทขี่ องตนในประการ
สาคญั คอื การไมจ่ า่ ยเงนิ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ใหแ้ กล่ กู จา้ งดงั นี้
(1) เงนิ ประกนั หรอื
(2) คา่ จา้ ง คา่ ลว่ งเวลา คา่ ทางานในวนั หยดุ หรอื คา่ ลว่ งเวลาในวันหยดุ หรอื
(3) คา่ ชดเชย หรอื คา่ ชดเชยพเิ ศษ
ซง่ึ หากนายจา้ งผดิ นัดไมจ่ า่ ยเงนิ ดงั กลา่ วใหแ้ กล่ กู จา้ งตามกาหนด กฎหมายกาหนดสภาพบงั คบั
ประการหนง่ึ ใหน้ ายจา้ งคอื ตอ้ งเสยี ดอกเบยี้ ใหแ้ กล่ กู จา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัดรอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี
บทบญั ญตั นิ อ้ี าจมปี ระเด็นการตคี วามถอ้ ยคาแทบจะทกุ ถอ้ ยคาทป่ี รากฏเชน่ “นายจา้ ง” “ลกู จา้ ง”
“เงนิ ประกนั ” “คา่ จา้ ง” “คา่ ลว่ งเวลา” “คา่ ทางานในวันหยดุ ” “คา่ ลว่ งเวลาในวนั หยดุ ” “คา่ ชดเชย”
“คา่ ชดเชยพเิ ศษ” “ผดิ นัด” “ภายในเวลาทกี่ าหนด” หรอื “ดอกเบย้ี ” ซง่ึ ตอ้ งมกี ารคน้ หาความหมายจาก
ตวั บทกฎหมายทป่ี รากฏกอ่ น หากพบแลว้ กถ็ อื วา่ ไมม่ ปี ัญหาการตคี วาม แตห่ ากยงั ยขี อ้ สงสยั อยจู่ ะนามา
ปรับใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ไดห้ รอื ไม่ กต็ อ้ งใชห้ ลกั การตคี วามตา่ งๆ ตคี วามตามถอ้ ยคานัน้ ตอ่ ไป จนกวา่ จะได ้
ความหมายทเี่ ห็นวา่ ถกู ตอ้ งเหมาะสม
ประเด็นทย่ี กตวั อยา่ งขน้ึ มาตคี วาม อาจแยกถอ้ ยคาทอี่ าจมปี ัญหาตอ้ งตคี วามออกเป็ น 2 กลมุ่ โดย
กลมุ่ แรกคอื ถอ้ ยคาทอ่ี าจหาความหมายไดจ้ ากตวั บทกฎหมายฉบบั นเี้ อง และกลมุ่ ทส่ี องคอื ถอ้ ยคาทไ่ี ม่
สามารถหาความหมายโดยตรงจากกฎหมายฉบบั น้ี ซงึ่ อาจตอ้ งคน้ หาความหมายโดยใชเ้ ครอื่ งมอื อยา่ งอนื่
มาชว่ ย ดงั นี้
กลมุ่ แรก ไดแ้ กถ่ อ้ ยคาซง่ึ มนี ยิ ามศัพทไ์ วใ้ นตวั พระราชบญั ญตั คิ มุ ้ ครองแรงงานฯ เชน่ คาวา่
“นายจา้ ง” “ลกู จา้ ง” “คา่ จา้ ง” “คา่ ลว่ งเวลา” “คา่ ทางานในวนั หยดุ ” “คา่ ลว่ งเวลาในวนั หยดุ ” “คา่ ชดเชย”
“หรอื คา่ ชดเชยพเิ ศษ” ซกึ่ ส็ ามารถหาความหมายไดจ้ ากนยิ ามศัพทด์ งั กลา่ วโดยเฉพาะ
นอกนยี้ งั มถี อ้ ยคาอนื่ ทไ่ี มม่ นี ยิ ามศพั ทไ์ วแ้ ตอ่ าจหาความหมายไดร้ ะดบั หนง่ึ จากมาตราอน่ื ทอี่ า้ งองิ
ถงึ เชน่ คาวา่ “เงนิ ประกนั ” ซง่ึ อา้ งองิ อยใู่ นเงนิ ประกนั ตามมาตรา 10 วรรคสอง ซงึ่ เมอ่ื อา่ นเนอื้ ความตาม
มาตราดังกลา่ วแลว้ จะไดม้ าเพมิ่ เตมิ วา่ เงนิ ประกนั นัน้ เป็ นเงนิ ทนี่ ายจา้ งเรยี กหรอื รับหรอื ทาสญั ญาประกนั กบั
ลกู จา้ งเพอื่ ชดใชค้ า่ เสยี หายในกรณีทล่ี กู จา้ งเป็ นผกู ้ ระทา หรอื คาวา่ “ภายในเวลาทกี่ าหนด” เป็ น
กาหนดเวลาทนี่ ายจา้ งจะตอ้ งจา่ ยคา่ จา้ ง คา่ ลว่ งเวลา คา่ ทางานในวนั หยดุ หรอื คา่ ลว่ งเวลาในวนั หยดุ ซงึ่ มี
การอา้ งองิ ถงึ กาหนดเวลาตามมาตรา 70 ซง่ึ มาตราดงั กลา่ วก็ไดม้ กี ารกาหนดรายละเอยี ดเกยี่ วกบั วันท่ี
นายจา้ งจะตอ้ งจา่ ยเงนิ คา่ จา้ ง ฯลฯ ไวเ้ ป็ นตน้
กลมุ่ ทสี่ อง ไดแ้ กถ่ อ้ ยคาเชน่ คาวา่ “ผดิ นัด” ซง่ึ ไมม่ นี ยิ ามศัพทไ์ วใ้ นตวั พระราชบญั ญัตคิ มุ ้ ครอง
แรงงานฯ ซง่ึ คาน้ี หลกั กฎหมายเรอ่ื งหนี้ ตาม ปพพ. แลว้ จะทราบวา่ เป็ นศพั ทท์ ก่ี ฎหมายมบี ญั ญตั ิ เชน่
มาตรา 204 แหง่ ปพพ. อธบิ ายความหมายกรณีลกู หนผ้ี ดิ นัดไวว้ า่ หมายถงึ การทหี่ นถ้ี งึ กาหนดชาระแลว้

29

ลกู หนไี้ มช่ าระหนี้ เชน่ เงนิ กเู ้ ขามา เมอ่ื ถงึ กาหนดจา่ ยคนื แลว้ ไมย่ อมจา่ ย ซงึ่ แยกเป็ น 2 กรณีคอื ถา้
หนน้ี ัน้ ไมไ่ ดก้ าหนดวนั ชาระหนไี้ วล้ กู หนจี้ ะผดิ นัดกต็ อ่ เมอื่ เจา้ หนไ้ี ดเ้ ตอื นใหช้ าระหนแ้ี ลว้ ลกู หนไ้ี มช่ าระหนี้
กบั อกี กรณีหนงึ่ คอื มกี ารกาหนดวนั ชาระหนต้ี ามวนั แหง่ ปฏทิ นิ ไว ้ หากลกู หนไ้ี มช่ าระหนตี้ ามวนั ทก่ี าหนดก็
ถอื วา่ ผดิ นัดทนั ที โดยเจา้ หนไี้ มจ่ าเป็ นตอ้ งเตอื นกอ่ น

เมอื ทราบความหมายของคาวา่ “ผดิ นัด” ก็ใหไ้ ปพจิ ารณามาตรา 9 ของกฎหมายคมุ ้ ครองแรงงานฯ
อกี ครงั้ วา่ นายจา้ ง (ซงึ่ ถอื วา่ เป็ นลกู หนใ้ี นกรณีนเ้ี พราะมหี นา้ ทต่ี อ้ งจา่ ยเงนิ ใหแ้ กล่ กู จา้ ง) จะผดิ นัดเมอื่ ใด
โดยพจิ ารณาประกอบกบั ความหมายคาวา่ “ภายในเวลาทกี่ าหนด” ทไี่ ดค้ น้ หาความหมายไวแ้ ลว้ หาก
ขอ้ เท็จจรงิ นายจา้ งไมจ่ า่ ยเงนิ ใหล้ กู จา้ ง (หรอื มาตรา 204 ปพพ. เรยี กวา่ เป็ นการ “ไมช่ าระหน”้ี ) ภายใน
เวลาทกี่ าหนดดังกลา่ ว ก็ถอื วา่ นายจา้ งผดิ นัด กต็ อ้ งเสยี ดอกเบย้ี ใหแ้ กล่ กู จา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัด ตอ้ ง
เสยี ดอกเบย้ี ใหแ้ กล่ กู จา้ งในระหวา่ งเวลาผดิ นัดนัน้ รอ้ ยละสบิ หา้ ตอ่ ปี

ประเด็นทอ่ี าจจะเป็ นขอ้ สงสยั ซงึ่ ตอ้ งมกี ารตคี วามตอ่ ไปอกี เชน่ หากนายจา้ งจา่ ยเงนิ เป็ นเชค็ หรอื
เป็ นตราสารอน่ื เชน่ นี้ จะถอื วา่ นายจา้ งไดจ้ า่ ยเงนิ แลว้ หรอื ไม่ เพราะในเวลาทล่ี กู จา้ งนาเชค็ ไปขน้ึ เงนิ อาจ
ไมม่ เี งนิ ในบญั ชี หรอื ทเี่ รยี กวา่ เชค็ เดง้ ซง่ึ ก็ตอ้ งตคี วามกนั ตอ่ ไปวา่ การจา่ ยเงนิ ของนายจา้ งดว้ ยวธิ ี
ดังกลา่ วถอื เป็ นการจา่ ยเงนิ ใหล้ กู จา้ งแลว้ หรอื ไม่ ดังนเี้ ป็ นตน้

9.2.3 การตคี วามตามเจตนารมณ์
มปี ระเด็นการตคี วามวา่ “รถเขน็ โรต”ี จะอยใู่ นบงั คบั แหง่ พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522
มาตรา 78 ซงึ่ บญั ญัตกิ รณผี ขู ้ บั รถในทางซง่ึ กอ่ ใหเ้ กดิ ความเสยี หายแกบ่ คุ คลอน่ื หรอื ไม่ โดยขอ้ เท็จจรงิ คอื
จาเลยไดเ้ ขน็ รถขายโรตไี ปตามไหลถ่ นนและถกู รถจกั รยานยนตท์ ผี่ อู ้ นื่ ขบั ตามหลังมาเฉีย่ วชน เป็ นเหตใุ ห ้
ผนู ้ ัน้ ถงึ แกค่ วามตาย โดยจาเลยหลบหนไี ปไมใ่ หค้ วามชว่ ยเหลอื และในเรอ่ื งนม้ี กี ารกาหนดความหมาย
ของถอ้ ยคาทเี่ กยี่ วขอ้ งดงั นี้
พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4(15) บญั ญตั นิ ยิ ามคาวา่ “รถ” วา่ หมายถงึ ยาน
พาหะนะทางบกทกุ ชนดิ เวน้ แตร่ ถไฟและรถราง
พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถานกาหนดความหมายของคาวา่ “ยาน” คอื เครอื่ งนาไป พาหนะ
ตา่ งๆ เชน่ รถ เกวยี น เรอื
คาวา่ “พาหนะ” คอื เครอ่ื งนาไป เครอ่ื งขบั ขย่ี านตา่ งๆ มรี ถและเรอื เป็ นตน้ เรยี กวา่ ยานพาหนะ และ
คาวา่ “ขบั ” คอื บงั คบั ใหเ้ คลอื่ นไป เชน่ ขบั รถ ขบั เรอื
ใหพ้ จิ ารณาตามหลกั การตคี วามตามเจตนารมณข์ องกฎหมายวา่ รถเขน็ โรตจี ะอยใู่ นบงั คบั
พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 หรอื ไม่ ดว้ ยเหตดุ ว้ ยผล
กรณนี เี้ ป็ นเรอื่ งทเ่ี กดิ ขนึ้ จรงิ ตามคาพพิ ากษาฎกี าที่ 4445/2543 ซง่ึ ศาลฎกี าตคี วามกฎหมาย ดังน้ี
พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 4(15) บญั ญตั นิ ยิ ามคาวา่ “รถ” ไวว้ า่
ยานพาหนะทางบกทกุ ชนดิ เวน้ แตร่ ถไฟและรถราง ทัง้ ตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2525
กาหนดความหมายของคาวา่ “ยาน” คอื เครอ่ื งนาไป พาหนะตา่ งๆ เชน่ รถ เกวยี น เรอื คาวา่ “พาหนะ” คอื
เครอื่ งนาไป เครอ่ื งขบั ขี่ คอื บังคบั ใหเ้ คลอ่ื นไป เชน่ ขบั รถ ขบั เรอื ดังนี้ “รถเข็น” ของจาเลยเป็ นเพยี งวสั ดุ
อปุ กรณ์ และเครอื่ งใชใ้ นการประกอบอาชพี ขายโรตี มใิ ชด่ ว้ ยเจตนามงุ่ ประสงคใ์ นอนั ทจี่ ะขนเคลอ่ื นบคุ คล
หรอื ทรพั ยส์ นิ ใดจากทแ่ี หง่ หนงึ่ ไปยงั ทอ่ี กี แหง่ หนงึ่ ในลกั ษณะของยานพาหนะ จงึ มใิ ช่ “รถ” ตาม
ความหมายทบ่ี ญั ญตั นิ ยิ ามไวด้ งั กลา่ ว และยอ่ มไมอ่ ยใู่ นบงั คับแหง่ พระราชบญั ญตั จิ ราจรทางบกฯ มาตรา
78 (แตจ่ าเลยตอ้ งรับผดิ ตามกฎหมายอน่ื เชน่ ตาม ปอ มาตรา 129 ฐานกระทาโดยประมาทใหผ้ อู ้ น่ื ถงึ แก่
ความตาย)
ซงึ่ เห็นไดว้ า่ ศาลฎกี าไดน้ าความหมายจากนยิ ามศัพทค์ าวา่ “รถ” ตามพระราชบญั ญตั จิ ราจรทาง
บกฯ มาพจิ ารณาในชนั้ แรก แตเ่ นอ่ื งจากนยิ ามนัน้ เองยงั มคี วามไมช่ ดั เจนวา่ “ยานพาหนะ” หมายความวา่
อยา่ งไรจงึ ไดน้ าความหมายตามพจนานุกรมมาใชป้ ระกอบ จงึ เห็นเจตนารมณ์ของกฎหมายไดช้ ดั เจนยงิ่ ขน้ึ

9.3 การอดุ ชอ่ งวา่ งในกฎหมาย
1. เมอื่ เกดิ ชอ่ งวา่ งในกฎหมาย คอื การทไี่ มม่ บี ทกฎหมายจะยกมาปรบั แกค่ ดไี ดใ้ นทางแพง่ และ
พาณชิ ย์ ใหว้ นิ จิ ฉัยคดนี ัน้ ตามจารตี ประเพณีแหง่ ทอ้ งถนิ่ หรอื โดยอาศัยเทยี บเคยี งบทกฎหมายใกลเ้ คยี ง
อยา่ งยง่ิ หรอื ตามหลกั กฎหมายท่ัวไปตามลาดับ
2. การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยจารตี ประเพณี เป็ นการพจิ ารณาวา่ ในกรณที ไ่ี มม่ กี ฎหมายจะนามาใชบ้ งั คบั นัน้
ในทอ้ งถน่ิ ทเี่ กดิ คดมี จี ารตี ประเพณี ซง่ึ หมายถงึ สงิ่ ทถ่ี อื ปฏบิ ตั สิ บื ตอ่ กนั มาจนเป็ นกรอบปฏบิ ตั ขิ องกลมุ่ ชน

ในเรอ่ื งนัน้ หรอื ไม่ ถา้ หากมี ใหว้ นิ จิ ฉัยไปตามนัน้
3. การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยเทยี บเคยี งกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ่ เป็ นกรณีทไ่ี มม่ กี ฎหมายและจารตี
ประเพณแี หง่ ทอ้ งถน่ิ จะนามาใชบ้ งั คบั กใ็ หน้ าบทกฎหมายทบี่ ญั ญัตไิ วส้ าหรบั ขอ้ เท็จจรงิ ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั มา
ใชว้ นิ จิ ฉัยแกค่ ดี

30

4. การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยหลกั กฎหมายทว่ั ไป เป็ นกรณที ไ่ี มม่ ที งั้ กฎหมาย จารตี ประเพณีแหง่
ทอ้ งถน่ิ และกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ่ จะนามาใชบ้ งั คับ กใ็ หน้ าหลักกฎหมายทว่ั ไป ไดแ้ กห่ ลักกฎหมายที่
ไดส้ กดั ไดจ้ ากเรอื่ งเฉพาะเรอ่ื งหลายเรอ่ื ง หลกั กฎหมายทใี่ ชก้ นั จนเป็ นหลกั สากล หรอื สภุ าษติ กฎหมาย
เป็ นตน้ มาใชว้ นิ จิ ฉัยแกค่ ดี

5. กฎหมายบางประเภท เชน่ กฎหมายอาญามหี ลักการตคี วามไวโ้ ดยเฉพาะ ไมส่ ามารถใชห้ ลักการ
อดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายในทางแพง่ นไ้ี ด ้ หรอื หากกฎหมายอน่ื ไดก้ าหนดวธิ อี ดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายไว ้
โดยเฉพาะ กใ็ หใ้ ชว้ ธิ อี ดุ ชอ่ งวา่ งตามกาหนดไวน้ ัน้

9.3.1 การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยจารตี ประเพณี
จารตี ประเพณที จี่ ะนามาปรบั แกค่ ดไี ด ้ จะตอ้ งมลี ักษณะอยา่ งไร
จารตี ประเพณีทจี่ ะนามาปรบั แกค่ ดไี ด ้ จะตอ้ งมลี กั ษณะดงั ตอ่ ไปนี้
(1) ตอ้ งใชบ้ งั คบั มาเป็ นเวลานาน
(2) ตอ้ งเป็ นทยี่ อมรบั และถอื ตามของมหาชนทวั่ ไป
(3) ตอ้ งไมข่ ดั หรอื แยง้ กบั กฎหมาย
(4) ตอ้ งไมข่ ดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน
9.3.2 การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยเทยี บเคยี งกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยง่ิ
ในการคน้ หาบทกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ่ เพอ่ื มาปรับใชแ้ กก่ รณีผอู ้ ดุ ชอ่ งวา่ งในกฎหมายควรตอ้ ง
มคี ณุ ลกั ษณะสาคญั อยา่ งไร
เนอ่ื งจากกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยงิ่ คอื บทกฎหมายทบ่ี ญั ญตั ไิ วส้ าหรับขอ้ เท็จจรงิ ทใ่ี กลเ้ คยี งกนั
กบั เรอื่ งทเ่ี ป็ นประเด็นปัญหา ดงั นัน้ ผอู ้ ดุ ชอ่ งวา่ งในกฎหมายซง่ึ ตอ้ งคน้ หาบทกฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยง่ิ
จงึ ควรมคี ณุ สมบตั สิ าคญั คอื ควรศกึ ษาหลกั กฎหมายในเรอื่ งตา่ งๆ ใหแ้ ตกฉานวา่ กฎหมายแตล่ ะลักษณะ
มหี ลกั การสาคัญอยา่ งไร และนามาใชใ้ นกรณใี ดบา้ ง เพราะบอ่ ยครัง้ ทกี่ ฎหมายมลี กั ษณะเบอื้ งตน้ ใกลเ้ คยี ง
กนั มาก เชน่ การซอ้ื ขายเงนิ ผอ่ นและการเชา่ ซอ้ื ซง่ึ มกี ารนาทรพั ยส์ นิ ทต่ี กลงทานติ กิ รรมกนั มาใชไ้ ดก้ อ่ น
และมกี ารชาระราคากนั เป็ นงวดเชน่ เดยี วกนั แตต่ า่ งกนั ทกี่ ารโอนกรรมสทิ ธิ์ โดยการซอ้ื ขายเงนิ ผอ่ น
กรรมสทิ ธจ์ิ ะโอนมายงั ผซู ้ อ้ื ทันที แตก่ ารเชา่ ซอ้ื กรรมสทิ ธจ์ิ ะโอนมายงั ผเู ้ ชา่ ซอื้ ตอ่ เมอ่ื ไดช้ าระเงนิ ครบตาม
งวดทตี่ กลงกนั ไว ้
การเขา้ ใจหลกั กฎหมายจะชว่ ยใหท้ ราบวา่ ในเรอื่ งนัน้ ๆมกี ฎหมายทจ่ี ะนามาปรับใชโ้ ดยตรงหรอื ไม่
หากไมม่ ี จะมบี ทกฎหมายใดทมี่ ลี ักษณะใกลเ้ คยี งกนั ไดบ้ า้ ง ซงึ่ จะสามารถนามาปรบั ใชแ้ กข้ อ้ เท็จจรงิ ท่ี
เป็ นปัญหานัน้ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
9.3.3 การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยกฎหมายทว่ั ไป
การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยใชห้ ลักกฎหมายท่วั ไปในกฎหมายแพง่ ฯ และกฎหมายอาญามคี วามเหมอื น
หรอื ตา่ งกนั อยา่ งไร
การอดุ ชอ่ งวา่ งโดยใชห้ ลกั กฎหมายทั่วไปในกฎหมายแพง่ ฯ และกฎหมายอาญามคี วามเหมอื นกนั
คอื ในกรณีทไ่ี มม่ บี ทกฎหมายหรอื จารตี ประเพณีมาปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ได ้ ผใู ้ ชก้ ฎหมายอาจอดุ ชอ่ งวา่ ง
ในกฎหมายเพอ่ื ความเป็ นธรรมหรอื เป็ นคณุ แกบ่ คุ คลทเี่ กยี่ วขอ้ งได ้ แตก่ ารอดุ ชอ่ งวา่ งในกฎหมายแพง่ และ
กฎหมายอาญามคี วามตา่ งกนั คอื ตามกฎหมายอาญาจะอดุ ชอ่ งวา่ งแหง่ กฎหมายใหเ้ ป็ นการลงโทษแก่
บคุ คลหรอื ใหเ้ ป็ นการลงโทษหนักขนึ้ ไมไ่ ด ้
แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 9
1. บคุ คลทเ่ี ป็ นผใู ้ ชก้ ฎหมายคอื อยั การ ประชาชน ผพู ้ พิ ากษา ทนายความ
2. การบญั ญตั กิ ฎหมาย เป็ นสง่ิ ทม่ี หี ลักเกณฑต์ าม หลกั การรา่ งกฎหมาย
3. ในกฎหมายฉบบั หนง่ึ ๆตามปกตจิ ะขนึ้ ตน้ ดว้ ย ชอ่ื กฎหมาย
4. การทาความเขา้ ใจเนอื้ หาสาระของกฎหมายฉบบั หนงึ่ ๆ ผอู ้ า่ นควรอา่ นและทาความเขา้ ใจกฎหมาย
ทัง้ ฉบบั
5. เมอ่ื ตวั บทกฎหมายเกดิ ความเคลอื บคลมุ ไมช่ ดั เจน ผใู ้ ชก้ ฎหมายจาเป็ นจะตอ้ งใชว้ ธิ กี าร ตคี วาม
กฎหมาย เพอื่ แกไ้ ขปัญหา
6. การตคี วามตามตวั อกั ษร คอื วธิ กี ารตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ าการ
7. การหยงั่ ทราบเจตนารมณใ์ นการตรากฎหมายสามารถพจิ ารณาไดจ้ าก (1) ชอ่ื กฎหมาย (2) คา
ปรารภของกฎหมาย (3) หมายเหตทุ า้ ยกฎหมาย (4) ตัวบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย

31

8. การอดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายในคดแี พง่ ของไทยนาหลกั การมาจาก มาตรา 4 แหง่ ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์

9. เมอื่ ไมม่ กี ฎหมายมาปรบั ใชแ้ กข่ อ้ เท็จจรงิ ใหน้ า จารตี ประเพณมี าปรบั ใช ้
10. กฎหมายอาญาตอ้ งตคี วาม อยา่ งเครง่ ครดั
11. ภาษทใี่ ชใ้ นกฎหมายไดแ้ ก่ ภาษาเทคนคิ ภาษวชิ าการ ภาษาธรรมดา และภาษตา่ งประเทศ
12. ชอื่ กฎหมายมสี ว่ นชว่ ยใหผ้ อู ้ า่ นเขา้ ใจกฎหมายฉบบั นัน้ คอื (1) เพอื่ บง่ ชข้ี อบเขตการใชบ้ งั คับ
กฎหมายโดยรวบยอด (2) เพอื่ บง่ ชป้ี ระเภทของกฎหมาย และเนอื้ หาสาระของกฎหมายโดยรวบยอด
13. การอา่ นกฎหมายทัง้ ฉบบั จงึ จะชว่ ยใหแ้ ปลความกฎหมายไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ งและเหมาะสม
14. ผใู ้ ชก้ ฎหมายจาเป็ นจะตอ้ งตคี วามกฎหมายเมอ่ื บทบญั ญตั ไิ มม่ คี วามชดั เจน
15. การตคี วามกฎหมายตามหลกั วชิ าการ จะตอ้ ง (1) การตคี วามตามตัวอกั ษร (2) การตคี วามตาม
เจตนารมณ์
16. เครอื่ งชว่ ยในการตคึ วามกฎหมายตามเจตนารมณ์ ไดแ้ ก่ คาพพิ ากษาของศาล ความเห็นของ
นักวชิ าการ หลักการตคี วามกฎหมายทวั่ ไป รายงานการประชมุ รัฐสภา
17. สง่ิ ทน่ี ามาใชใ้ นการอดุ ชอ่ งวา่ งของกฎหมายในคดแี พง่ ของไทย ไดแ้ ก่ จารตี ประเพณแี หง่ ทอ้ งถนิ่
กฎหมายใกลเ้ คยี งอยา่ งยง่ิ หลกั กฎหมายทั่วไป

หนว่ ยท่ี 10 การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย และการยกเลกิ กฎหมาย

18. กฎหมายซงึ่ บญั ญตั ขิ น้ึ นัน้ เมอ่ื จะนามาบงั คับใชม้ หี ลกั สาคญั ทตี่ อ้ งพจิ ารณาอยู่ 3 ประการ คอื
เวลา สถานท่ี และบคุ คลทใ่ี ชบ้ งั คบั

19. ในการบงั คบั ใชก้ ฎหมายใหไ้ ดม้ ปี ระสทิ ธผิ ลนัน้ รัฐเองมหี นา้ ทจี่ ะตอ้ งเตรยี มการใหพ้ รอ้ มในดา้ น
สถานที่ บคุ ลากร และประชาสมั พนั ธ์

20. การยกเลกิ กฎหมาย คอื การทก่ี ฎหมายนัน้ สน้ิ สดุ ลง ไมส่ ามารถใชบ้ งั คบั ไดอ้ กี ตอ่ ไป การยกเลกิ
กฎหมายนัน้ แบง่ ออกไดเ้ ป็ น 2 กรณี คอื การยกเลกิ กฎหมายโดยตรง และการยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ าย

10.1 การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย
11. เวลาทก่ี ฎหมายใชบ้ งั คับนัน้ กค็ อื เวลาทกี่ ฎหมายกาหนดไวใ้ นตวั กฎหมายนัน้ เองวา่ จะให ้
กฎหมายนัน้ ใชบ้ งั คับเมอื่ ใด อาจเป็ นวนั ทปี่ ระกาศใช ้ หรอื โดยกาหนดวนั ใชไ้ วแ้ นน่ อน หรอื กาหนดใหใ้ ช ้
เมอื่ ระยะเวลาหนงึ่ ลว่ งพน้ ไป
12. สถานทท่ี กี่ ฎหมายใชบ้ งั คับ กฎหมายของประเทศไดกใ็ ชบ้ งั คับไดใ้ นอาณาเขตของประเทศ
นัน้ ๆ ซง่ึ เป็ นการใชห้ ลกั ดนิ แดน
13. กฎหมายยอ่ มใชบ้ งั คบั แกบ่ คุ คลทกุ คนทอ่ี ยใู่ นอาณาเขตของประเทศนัน้ ๆ ไมว่ า่ จะเป็ นบคุ คล
สญั ญาตนิ ัน้ เองหรอื บคุ คลตา่ งดา้ วกต็ าม
14. การบงั คบั ใชก้ ฎหมายใหไ้ ดผ้ ล ตอ้ งมกี ารเตรยี มการทงั้ ในดา้ นการประชาสมั พันธ์ บคุ ลากร
สถานที่ และอปุ กรณ์

10.1.1 เวลาทก่ี ฎหมายใชบ้ งั คบั
การบงั คบั ใชก้ ฎหมายแบง่ ไดเ้ ป็ นกปี่ ระเภท
การบงั คบั ใชก้ ฎหมายแบง่ ออกเป็ น 3 ประเภท คอื
1) เวลาทใ่ี ชบ้ งั คบั
2) สถานทท่ี ก่ี ฎหมายใชบ้ งั คับ
3) บคุ คลทก่ี ฎหมายใชบ้ งั คบั

อธบิ ายหลักท่ัวไปของกาหนดเวลาทก่ี ฎหมายใชบ้ งั คับ
กาหนดเวลาทกี่ ฎหมายใชบ้ งั คับสามารถแบง่ ไดเ้ ป็ น 4 กรณี คอื
1) กรณีทั่วไป คอื โดยปกตกิ ฎหมายมกั จะกาหนดวนั ใชบ้ งั คบั ในวันถัดจากวันประกาศในราช
กจิ จานุเบกษา
2) กรณเี รง่ ดว่ น เป็ นกรณีทต่ี อ้ งการใชบ้ งั คบั กฎหมายอยา่ งรบี ดว่ นใหท้ ันสถานการณ์ จงึ กาหนด
ใหใ้ ชใ้ นวันทป่ี ระกาศในราชกจิ จานุเบกษา

32

3) กาหนดเวลาใหใ้ ชเ้ มอ่ื ระยะเวลาหนง่ึ ลว่ งไป เชน่ เมอื่ พน้ จากวนั นับแตว่ ันประกาศในราช
กจิ จานุเบกษาทัง้ นี้ เพอ่ื ใหเ้ วลาแกท่ างราชการทเ่ี ตรยี มตัวใหพ้ รอ้ มในการบงั คบั ใชก้ ฎหมายนัน้ และให ้
ประชาชนไดเ้ ตรยี มศกึ ษาเพอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามไดถ้ กู ตอ้ ง

4) กรณีพเิ ศษ กฎหมายอาจกาหนดใหพ้ ระราชบญั ญัตนิ ัน้ ใชบ้ งั คับในวันถดั จากวนั ประกาศในราช
กจิ จานุเบกษา แตพ่ ระราชบญั ญตั นิ ัน้ จะใชไ้ ดจ้ รงิ ในทอ้ งทใ่ี ด เวลาใด

10.1.2 สถานทท่ี กี่ ฎหมายใชบ้ งั คบั
หลกั ดนิ แดนหมายความวา่ อยา่ งไร
“หลกั ดนิ แดน” หมายความวา่ กฎหมายของประเทศใดกใ็ หใ้ ชบ้ งั คับกฎหมายของประเทศนัน้
ภายในอาณาเขตของประเทศนัน้
10.1.3 บคุ คลทกี่ ฎหมายใชบ้ งั คบั
บคุ คลใดบา้ งทรี่ ฐั ธรรมนูญยกเวน้ ไมใ่ หใ้ ชบ้ งั คบั กฎหมาย
บคุ คลทรี่ ฐั ธรรมนูญยกเวน้ ไมใ่ หใ้ ชบ้ งั คับกฎหมายไดแ้ ก่
1. พระมหากษัตรยิ ์ เพราะเป็ นทเี่ คารพสกั การะ ใครจะลว่ งละเมดิ ฟ้องรอ้ งพระมหากษัตรยิ ไ์ มไ่ ด ้
ไมว่ า่ ทางแพง่ หรอื ทางอาญา
2. สมาชกิ วฒุ สิ ภา สมาชกิ สภาผแู ้ ทนราษฎร รัฐมนตรี กรรมาธกิ าร และบคุ คลทปี่ ระธานสภาฯ
อนุญาตใหแ้ ถลงขอ้ เท็จจรงิ หรอื แสดงความคดิ เห็นในสภาตลอดจนบคุ คลผพู ้ มิ พร์ ายงานการประชมุ ตาม
คาสง่ั ของสภาฯ เหตทุ ก่ี ฎหมายใหเ้ อกสทิ ธไิ์ มใ่ หผ้ ใู ้ ดฟ้องบคุ คลดังกลา่ วในขณะปฏบิ ตั หิ นา้ ทใี่ นสภา กเ็ พอื่
แสดงความคดิ เห็นไดเ้ ต็มทเี่ พอ่ื ประโยชนใ์ นการพจิ ารณาของสภานัน้ เอง เวน้ แตก่ ารประชมุ นัน้ จะมกี าร
ถา่ ยทอดทางวทิ ยกุ ระจายเสยี งหรอื วทิ ยโุ ทรทัศน์
10.1.4 การเตรยี มการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย
การเตรยี มการบงั คบั ใชก้ ฎหมายมกี ปี่ ระเภท อะไรบา้ ง
การเตรยี มการบงั คบั ใชก้ ฎหมายแบง่ ออกเป็ น 3 กรณี
1. ดา้ นประชาสมั พันธ์ มกี ารเตรยี มการ โดยผา่ นสอ่ื ตา่ งๆ ไมว่ า่ ทางวทิ ยโุ ทรทศั น์ สอ่ื สง่ิ พมิ พ์
เพอ่ื ใหบ้ คุ คลตา่ งๆ ไดท้ ราบขอ้ มลู
2. ดา้ นเจา้ หนา้ ท่ี ตอ้ งมกี ารเตรยี มการใหเ้ จา้ หนา้ ทผี่ บู ้ งั คบั ใชก้ ฎหมายมคี วามรู ้ ความชานาญ
และความเขา้ ใจ เพอ่ื จะบงั คบั ใชก้ ฎหมายไดถ้ กู ตอ้ ง
3. ดา้ นสถานทแ่ี ละอปุ กรณ์ มกี ารเตรยี มสถานทเี่ พอ่ื ใหเ้ พยี งพอใหเ้ ป็ นไปตามเจตนารมณข์ อง
กฎหมายเพอ่ื ใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพในการบงั คบั ใชก้ ฎหมาย
10.2 การยกเลกิ กฎหมาย
1. การยกเลกิ กฎหมาย คอื การทาใหก้ ฎหมายทเี่ คยใชบ้ งั คบั อยนู่ ัน้ สนิ้ สดุ ลง โดยยกเลกิ โดยตรง และ
ยกเลกิ โดยปรยิ าย
2. การยกเลกิ กฎหมายโดยตรงนัน้ แบง่ ออกเป็ น 3 กรณี คอื
1) ตวั กฎหมายนัน้ เอง กาหนดวนั ทย่ี กเลกิ กฎหมายนัน้ ไว ้
2) ยกเลกิ โดยมกี ฎหมายใหม่ ซงึ่ มลี ักษณะอยา่ งเดยี วกนั กาหนดใหย้ กเลกิ ไวโ้ ดยตรง
3) ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญตั ิ
3. การยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ ายนัน้ เป็ นเรอื่ งทไี่ มม่ กี ฎหมายใหมบ่ ญั ญตั ใิ หย้ กเลกิ กฎหมายเกา่ โดย
ชดั แจง้ แตเ่ ป็ นทเ่ี ห็นไดว้ า่ กฎหมายใหมย่ อ่ มยกเลกิ กฎหมายเกา่ เพราะกฎหมายใหมย่ อ่ มดกี วา่ กฎหมาย
เกา่ และหากประสงคจ์ ะใชก้ ฎหมายเกา่ อยกู่ ็คงไมบ่ ญั ญตั กิ ฎหมายในเรอ่ื งเดยี วกนั ขนึ้ มาใหม่
10.2.1 การยกเลกิ กฎหมายโดยตรง
อธบิ ายการยกเลกิ กฎหมายโดยตรง
การยกเลกิ กฎหมายโดยตรงแบง่ ออกไดเ้ ป็ น 3 กรณี คอื
1. ในกฎหมายนัน้ เองกาหนดวนั ยกเลกิ ไวเ้ ชน่ ใหก้ ฎหมายนสี้ นิ้ สดุ ลงเมอ่ื พน้ กาหนด 3 ปี
2. เมอ่ื มกี ฎหมายใหมม่ ลี กั ษณะเชน่ เดยี วกนั ระบยุ กเลกิ ไวโ้ ดยตรง ซง่ึ อาจจะยกเลกิ ทงั้ ฉบบั หรอื
บางมาตราก็ได ้
3. เมอ่ื พระราชกาหนดทปี่ ระกาศใชถ้ กู ยกเลกิ เมอื่ พระราชกาหนดไดป้ ระกาศใชแ้ ตต่ อ่ มาไดม้ ี
พระราชบญั ญตั ไิ มอ่ นุมตั พิ ระราชกาหนดนัน้ มผี ลทาใหพ้ ระราชกาหนดนัน้ ถกู ยกเลกิ ไป
10.2.2 การยกเลกิ กฎหมายโดยปรยิ าย

33

เมอื่ ยกเลกิ พระราชบญั ญตั แิ ลว้ พระราชกฤษฎกี าทอี่ อกโดยอานาจของกฎหมายนัน้ จะถกู
ยกเลกิ หรอื ไม่
เมอ่ื ยกเลกิ พระราชบญั ญตั แิ ลว้ พระราชกฤษฎกี าทอ่ี อกโดยอานาจของกฎหมายนัน้ จะถกู ยกเลกิ
ไปในตวั ดว้ ยเพราะพระราชบญั ญตั เิ ป็ นกฎหมายแมบ่ ท เมอื่ กฎหมายแมบ่ ทถกู ยกเลกิ ไปแลว้ พระราช
กฤษฎกี าซงึ่ ออกมาเพอื่ จะใหม้ ดี าเนนิ การใหเ้ ป็ นกฎหมายแมบ่ ทก็จะถกู ยกเลกิ ไปดว้ ย

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 10

1. การบงั คบั ใชก้ ฎหมาย มี 3 ประเภท คอื ใชบ้ งั คบั กบั เวลา สถานที่ และบคุ คล
2. “พระราชบญั ญตั นิ ใี้ หใ้ ชบ้ งั คบั ตัง้ แตว่ ันถดั จากวันประกาศในราชกจิ จานุเบกษาเป็ นตน้ ไป” เป็ น
เวลาทก่ี ฎหมายใชบ้ งั คบั ในกรณีท่วั ไป
3. ทะเลหา่ งจากฝ่ังทเี่ ป็ นดนิ แดนไทย 15 ไมลท์ ะเล ไมอ่ ยใู่ นความหมายคาวา่ “ราชอาณาจกั ร” (12

ไมลท์ ะเลจงึ อยใู่ นราชอาณาจกั ร)

4. กรณหี ลกั ดนิ แดน (1) หลกั ดนิ แดนคอื หลักทวี่ า่ กฎหมายของประเทศใดยอ่ มใชบ้ งั คับเฉพาะใน
อาณาเขตของประเทศนัน้ (2) ศาลไทยพพิ ากษาความผดิ ตอ่ ความมนั่ คงแหง่ ราชอาณาจักรไทยไดแ้ มเ้ กดิ
นอกราชอาณาจักร (3) ศาลไทยพพิ ากษาความผดิ เกย่ี วกบั การปลอมเงนิ ตราไดแ้ มเ้ กดิ นอกราชอาณาจกั ร
(4) ศาลไทยพพิ ากษาความผดิ ฐานปลน้ ทรพั ยซ์ ง่ึ ไดก้ ระทาในทะเลหลวงได ้

5. กฎหมายไทยไมส่ ามารถใชบ้ งั คับแกบ่ คุ คลตอ่ ไปนไ้ี ดแ้ ก่ (1) ประมขุ แหง่ รัฐตา่ งๆ (2) ทตู และ
บรวิ าร (ค) กองทัพตา่ งประเทศทเี่ ขา้ มายดึ ครองราชยอ์ าณาจกั ร (ง) บคุ คลทท่ี างานในหน่วยงานองคก์ าร
สหประชาชาติ

6. บคุ คลทรี่ ัฐธรรมนูญใหใ้ ชบ้ งั คับกฎหมายไดแ้ ก่ ทปี่ รกึ ษานายกรฐั มนตรี
7. การเตรยี มการบงั คบั ใชก้ ฎหมายมี 3 ประเภท
8. การยกเลกิ กฎหมายโดยตรงทาได ้ 3 วธิ ี
9. เกยี่ วกบั การยกเลกิ กฎหมาย (1) ไดก้ าหนดวนั ยกเลกิ กฎหมายไวใ้ นกฎหมายนัน้ เอง (2) ไดอ้ อก
กฎหมายใหมท่ มี่ ลี ักษณะเชน่ เดยี วกนั (3) เมอื่ พระราชกาหนดไมไ่ ดร้ ับการอนุมตั ิ (4) เมอ่ื มกี ฎหมายใหม่
ลกั ษณะพเิ ศษ บญั ญตั ใิ นเรอ่ื งเดยี วกบั กฎหมายเกา่ ลกั ษณะท่ัวไป
10. เกย่ี วกบั กฎหมายทมี่ ผี ลยอ้ นหลงั (1) จะออกกฎหมายยอ้ นหลงั ใหล้ งโทษบคุ คลไมไ่ ด ้ (2) จะออก
กฎหมายยอ้ นหลงั เพมิ่ โทษบคุ คลใหส้ งู ขนึ้ ไมไ่ ด ้ (3) โดยหลกั การทว่ั ไปแลว้ กฎหมายไมม่ ผี ลยอ้ นหลงั
(4)มผี ลยอ้ นหลังไดโ้ ดยทก่ี ฎหมายตอ้ งระบไุ วโ้ ดยกฎหมายนัน้

หนว่ ยท่ี 11 กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน

11. ในระบบประมวลกฎหมาย (Civil Law System) มกี ารแบง่ แยกประเภทกฎหมายเอกชนและ
กฎหมายมหาชน

12. กฎหมายเอกชน เป็ นกฎหมายทใ่ี ชร้ ะหวา่ งเอกชนกบั เอกชน ซง่ึ อยบู่ นพน้ื ฐานความเทา่ เทยี มของ
บคุ คล

13. กฎหมายมหาชน เป็ นกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คับระหวา่ งรฐั กบั เอกชน ซง่ึ อยบู่ นพน้ื ฐานทไ่ี มเ่ ทา่ เทยี มกนั

11.1 การแบง่ แยกกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
1. การแบง่ แยกกฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน เป็ นลักษณะเดน่ ของระบบ
กฎหมายแบบโรมาโน-เยอรมานกิ
2. หลกั เกณฑท์ ใ่ี ชใ้ นการแบง่ แยกกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนมหี ลายประการ เชน่ เนอื้ หา
วัตถปุ ระสงค์ นติ วิ ธิ ี เป็ นตน้
3. ประเทศไทยเรมิ่ มกี ารแบง่ แยกกฎหมายเอกชนออกจากกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจน หลงั จากมี
การเปลยี่ นแปลงการปกครองใน พ.ศ. 2475

11.1.1 ความจาเป็ นในการแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
ในสมยั โรมนั มกี ารแบง่ แยกประเภทออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนหรอื ไม่
ในสมยั โรมนั มกี ารแบง่ แยกประเภทออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน แตเ่ ป็ นการแบง่
เพอ่ื จะไมต่ อ้ งศกึ ษากฎหมายมหาขน

34

11.1.2 หลกั เกณฑใ์ นการแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
การแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนใชห้ ลักเกณฑใ์ ดบา้ ง
เกณฑก์ ารแบง่ กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนอาจใชห้ ลกั เกณฑค์ อื
(1) เกณฑท์ เ่ี กย่ี วกบั บคุ คลผกู ้ อ่ นติ สิ มั พนั ธ์
(2) เกณฑท์ เ่ี กย่ี วกบั วตั ถปุ ระสงคข์ องนติ สิ มั พนั ธ์
(3) เกณฑท์ เี่ กย่ี วกบั วธิ กี ารทใี่ ชใ้ นการกอ่ นติ สิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งกนั
(4) เกณฑท์ เี่ กย่ี วกบั เนอื้ หา

11.1.3 พฒั นาการแบง่ แยกกฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนใน
ประเทศไทย

ประเทศไทยมกี ารแบง่ กฎหมายออกเป็ นกฎหมาย เอกชนและกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจน ใน
สมยั ใด

ประเทศไทยมกี ารแบง่ แยกกฎหมายออกเป็ นกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจน
ในชว่ งหลงั จากการเปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475

11.2 การแบง่ แยกสาขายอ่ ยในกฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชน
1. กฎหมายเอกชนประกอบดว้ ยกฎหมายสาขายอ่ ยทส่ี าคญั คอื กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
2. กฎหมายมหาชนประกอบดว้ ยกฎหมายสาขายอ่ ยทส่ี าคญั คอื กฎหมายรัฐธรรมนูญ กฎหมาย
ปกครอง และกฎหมายการคลังและภาษีอากร
3. การแบง่ สาขายอ่ ยของกฎหมายมหาชนในแตล่ ะประเทศอาจมคี วามแตกตา่ งกนั ได ้ ซง่ึ ขน้ึ อยกู่ บั
ประวตั ศิ าสตร์ แนวคดิ ของนักวชิ าการของประเทศนัน้ ๆ

11.2.1 การแบง่ สาขายอ่ ยในกฎหมายเอกชน
กฎหมายใดทถี่ อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายเอกชน
กฎหมายทถี่ อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายเอกชน คอื กฎหมายแพง่ กฎหมายพาณชิ ย์
กฎหมายอาญา กฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่ และธรรมนูญศาล กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดบี คุ คล

11.2.2 การแบง่ สาขายอ่ ยในกฎหมายมหาชน
กฎหมายใดทถ่ี อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายมหาชน
กฎหมายทถี่ อื วา่ อยใู่ นสาขายอ่ ยของกฎหมายมหาชน คอื กฎหมายรฐั ธรรมนูญ กฎหมายปกครอง
กฎหมายการคลังและภาษีอากร กฎหมายระหวา่ งประเทศแผนกคดเี มอื ง

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยท่ี 11

1. กฎหมายการคลัง จดั วา่ เป็ นกฎหมายมหาชน (กฎหมายแพง่ ฯ กฎหมายอาญา กฎหมายพาณชิ ย์
กฎหมายทรัพยส์ นิ ทางปัญญา->ไมเ่ ป็ น)
2. ลักษณะของกฎหมายมหาชนคอื ใชบ้ งั คบั กบั นติ สิ มั พนั ธท์ ไ่ี มต่ อ้ งอาศัยความสมคั รใจของผกู ้ อ่ นติ ิ
สมั พันธข์ องอกี ฝ่ ายหนงึ่
3. กฎหมายรัฐธรรมนูญเป็ น กฎหมายทว่ี างระเบยี บในการปกครองประเทศ
4. ประเทศไทยมกี ารแบง่ แยกกฎหมายมหาชนออกจากกฎหมายมหาชนอยา่ งชดั เจนในสมยั หลงั การ
เปลย่ี นแปลงการปกครอง พ.ศ. 2475
5. ระบบกฎหมายไทยจดั อยใู่ นระบบกฎหมาย โรมาโน-เยอรมานกิ
6. ประเทศไทยมกี ารปฏริ ปู ระบบกฎหมายครงั้ ใหญใ่ นสมยั รชั กาลท่ี 5 แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์
7. กฎหมายตราสามดวง ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ กฎหมายครงั้ ใหญใ่ นชว่ งตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์
8. กอ่ นมกี ารประกาศใชป้ ระมวลกฎหมายและพาณชิ ย์ ประเทศไทยนาหลักกฎหมายของประเทศ
องั กฤษ มาใชส้ อนในโรงเรยี นกฎหมาย
9. การจัดตงั้ ศาลปกครอง พ.ศ. 2542 เป็ นเหตกุ ารณ์ทท่ี าใหม้ กี ารพัฒนากฎหมายมหาชนครงั้ ใหญ่
ในประเทศไทย
10. ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยข์ องไทย ไดร้ ับอทิ ธพิ ลจากประมวลกฎหมายของประเทศ

เยอรมนี
11. กฎหมายจารตี นครบาล เป็ นกฎหมายทมี่ กี ารปรบั ปรงุ กฎหมายครงั้ ใหญใ่ นชว่ งตน้ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์

35

หนว่ ยที่ 12 ระบบกระบวนการยตุ ธิ รรมไทย

1. กระบวนการยตุ ธิ รรมเป็ นเรอื่ งทม่ี คี วามสาคญั อยา่ งยง่ิ เนอ่ื งจากมผี ลกระทบตอ่ ประชาชนในประเทศ
เพราะเป็ นกระบวนการวนิ จิ ฉัยขอ้ ขดั แยง้ ของบคุ คลในสงั คมใหไ้ ดร้ บั ความเป็ นธรรม และกอ่ ใหเ้ กดิ ความ
สงบสขุ แกส่ งั คม ทงั้ ยงั เป็ นสาระสาคญั ของการปกครองในระบบประชาธปิ ไตยภายใตห้ ลกั นติ ธิ รรม
2. กระบวนการยตุ ธิ รรมปัจจบุ นั ของไทยไดเ้ ปลย่ี นแปลงไปจากอดตี ในหลายดา้ น เพอ่ื ใหเ้ หมาะสม
สอดคลอ้ งกบั สภาพสงั คมทเี่ ปลย่ี นไป และสามารถอานวยความยตุ ธิ รรมและคมุ ้ ครองสทิ ธิ เสรภี าพของ
ประชาชนตามกฎหมาย
3. เพอื่ ใหก้ ระบวนการยตุ ธิ รรมดาเนนิ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และประสาทความยตุ ธิ รรมใหแ้ ก่
ประชาชนไดจ้ งึ จาเป็ นตอ้ งมหี ลกั ประกนั ความเป็ นธรรมและความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการ
4. ในปัจจบุ นั ยงั มอี งคก์ รอน่ื ทที่ าหนา้ ทใี่ นการวนิ จิ ฉัยชขี้ าดขอ้ พพิ าทของประชาชน ซง่ึ เป็ นองคก์ ร
อสิ ระทไ่ี มใ่ ชอ่ งคก์ รตลุ าการกไ็ ด ้

12.1 กระบวนการยตุ ธิ รรมไทยในอดตี
1. กระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั สโุ ขทัยไมม่ รี ะบบชดั เจนแนน่ อน ราษฎรเมอ่ื มขี อ้ พพิ าทกอ็ าจไปถวาย
ฎกี าเพอ่ื ขอความเป็ นธรรมจากพระเจา้ แผน่ ดนิ ไดด้ ว้ ยตวั เอง
2. กระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั อยธุ ยาเป็ นระบบและชดั เจนกวา่ สมยั สโุ ขทัย ซงึ่ ในสมยั อยธุ ยามที ัง้
กฎหมายสารบญั ญัติ และกฎหมายวธิ สี บญั ญตั ใิ ช ้ โดยในการบญั ญตั กิ ฎหมายไดร้ บั เอาคัมภรี พ์ ระ
ธรรมศาสตรม์ าเป็ นหลักในการบญั ญตั กิ ฎหมาย
3. กฎหมายตราสามดวงซงึ่ ชาระขน้ึ ในสมยั รชั กาลที่ 1 แหง่ กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ สว่ นใหญเ่ ป็ นกฎหมาย
ทร่ี วบรวมมาจากกฎหมายสมนั อยธุ ยา ซง่ึ แยกออกเป็ นลกั ษณะตา่ งๆ ในสว่ นทเ่ี กยี่ วกบั วธิ พี จิ ารณาความใน
ศาล ไดแ้ ก่ ลกั ษณะพระธรรมนูญ ลกั ษณะรับฟ้อง ลักษณะพยาน ลกั ษณะพสิ จู นด์ าน้า ลยุ เพลงิ ลักษณะ
ตระลาการ และลักษณะอทุ ธรณ์
4. ระบบการศาลไทยกอ่ นยคุ ปฏริ ปู การศาลในสมยั รชั กาลที่ 5 ศาลเป็ นหน่วยงานทข่ี น้ึ อยกู่ บั กรม
ตา่ งๆ มตี ระลาการทาหนา้ ทพี่ จิ ารณาคดตี ามทกี่ รมทตี่ นสงั กดั อยู่ มอบหมายใหม้ ลี กู ขนุ ณ ศาลหลวงทา

หนา้ ทพ่ี พิ ากษาคดี และมผี ทู ้ าหนา้ ทป่ี รับบทความผดิ และวางบทลงโทษผกู ้ ระทาผดิ ใหเ้ หมาะสมแก่
ความผดิ
5. ระบบการศาลไทยหลงั การปฏริ ปู ระบบกฎหมายและการศาลในสมนั รัชกาลท่ี 5 เป็ นระบบศาลเดยี่ ว
โดยระบบศาลไมต่ อ้ งสงั กดั อยกู่ บั กรมตา่ งๆอกี ตอ่ ไป มศี าลยตุ ธิ รรมเป็ นองคก์ รเดยี วทใ่ี ชอ้ านาจตลุ าการทา
หนา้ ทพี่ จิ ารณาพพิ ากษาอรรถคดโี ดยเฉพาะ
6. ปัจจบุ นั ประเทศไทยใชร้ ะบบประมวลกฎหมาย (Civil Law) และระบบศาลเป็ นระบบศาลคู่ คอื มี
ศาลทม่ี คี วามรู ้ ความชานาญ และประสบการณใ์ นคดเี รอื่ งนัน้ ๆ โดยเฉพาะทาหนา้ ทค่ี เู่ คยี งไปกบั ศาล
ยตุ ธิ รรม และมกี ารจดั แบง่ โครงสรา้ งของศาลเป็ นตามลาดบั ชนั้ และประเภทของคดี

12.1.1 กระบวนการยตุ ธิ รรมสมยั สโุ ขทยั
อธบิ ายลกั ษณะของกระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั สโุ ขทยั
ระบบการยตุ ธิ รรมในสมยั กรงุ สโุ ขทัย ไมม่ รี ะบบทชี่ ดั เจน แตเ่ มอ่ื ราษฎรมขี อ้ พพิ าทกนั กส็ ามารถไป
สน่ั กระดง่ิ ทแี่ ขวนไวท้ หี่ นา้ ประตเู พอื่ ใหพ้ ระมหากษัตรยิ ม์ าสอบสวนและตดั สนิ คดคี วามได ้

12.1.2 กระบวนการยตุ ธิ รรมสมยั อยธุ ยา มกี ารจดั ตงั้ ศาลเพอ่ื พจิ ารณาคดี
อธบิ ายลกั ษณะของกระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั อยธุ ยา
กระบวนการยตุ ธิ รรมในสมยั อยธุ ยาเป็ นระบบกวา่ ในสมยั สโุ ขทัย
ตา่ งๆ ซงึ่ กระจายอยตู่ ามตวั กระทรวงตา่ งๆ

12.1.3 กระบวนการยตุ ธิ รรมสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้
เพราะเหตใุ ดในสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทรต์ อนตน้ จงึ ไดม้ ชี าระกฎหมายขน้ึ ใหม่
กฎหมายทใี่ ชใ้ นสมยั กรงุ รตั นโกสนิ ทรต์ อนตน้ นัน้ เป็ นกฎหมายทต่ี กทอดสบื มาจากสมยั กรงุ ศรี
อยธุ ยาตอนปลาย แตเ่ นอื่ งจากกฎหมายตา่ งๆ ถกู เผาทาลายไป กฎหมายทเี่ หลอื อยไู่ มเ่ หมาะสมกบั กาล
สมยั ไมอ่ าจอานวยความยตุ ธิ รรมได ้ พระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลกจงึ ไดโ้ ปรดใหม้ กี ารชาระ
กฎหมายขน้ึ ใหม่

12.1.4 กระบวนการยตุ ธิ รรมในปจั จบุ นั
อธบิ ายถงึ ความเปลยี่ นแปลงทส่ี าคัญของระบบกระบวนการยตุ ธิ รรมไทยในปัจจบุ นั

36

การเปลยี่ นแปลงทส่ี าคญั ของระบบยตุ ธิ รรมไทย คอื มกี ารเปลยี่ นแปลงจากระบบศาลเดย่ี วเป็ น
ระบบศาลคู่ คอื มกี ารจดั ตงั้ ศาลหลายประเภท โดยแบง่ ชนดิ ของตามประเภทของคดี

12.2 หลกั การสาคญั ของการดาเนนิ กระบวนการยตุ ธิ รรมในศาล
1. เพอื่ ใหก้ ระบวนการยตุ ธิ รรมดาเนนิ ไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และกอ่ ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมแก่
ประชาชนจาเป็ นจะตอ้ งการกาหนดหลกั ประกนั ความเป็ นธรรมใหแ้ กผ่ พู ้ พิ ากษา เพอ่ื ใหผ้ พู ้ พิ ากษาสามารถ
อานวยความยตุ ธิ รรมใหแ้ กค่ คู่ วามได ้
2. เพอื่ ใหผ้ พู ้ พิ ากษาไดต้ ดั สนิ คดตี า่ งๆ อยา่ งเทยี่ งธรรมโดยมติ อ้ งเกรงกลวั อทิ ธพิ ลใดๆ หรอื ใหถ้ กู
แทรกแซงโดยอานาจอนื่ จาเป็ นตอ้ งมหี ลกั ประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษา
3. แมน้ ฝ่ ายตลุ าการจะมหี ลักประกนั ความเป็ นธรรมและความเป็ นอสิ ระ แตก่ ระบวนการยตุ ธิ รรมกอ็ าจ
ถกู ตรวจสอบไดแ้ ละตอ้ งมคี วามโปรง่ ใสดว้ ย

12.2.1 หลกั ประกนั ความยตุ ธิ รรมของผพู้ พิ ากษาและตลุ าการ
หลกั ประกนั ความเป็ นธรรมของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการซงึ่ รัฐธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจกั รไทย
พทุ ธศักราช 2540 กาหนดไวไ้ วไ้ ดแ้ กห่ ลกั การใดบา้ ง
หลกั ประกนั ความเป็ นธรรมของผูพ้ พิ ากษาและตลุ าการ ไดแ้ ก่
1) การพจิ ารณาคดจี ะกระทาโดยองคค์ ณะและตอ้ งครบองคค์ ณะ
2) มกี ารพจิ ารณาคดแี บบตอ่ เนอ่ื ง

12.2.2 หลกั ประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู้ พิ ากษาและตลุ าการ
มาตรการทเ่ี ป็ นหลักประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการจากองคก์ รภายนอกไดแ้ ก่
มาตรการใด
มาตรการทเ่ี ป็ นหลักประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการจากองคก์ รภายนอก ไดแ้ ก่
1) มหี น่วยธรการเป็ นอสิ ระ
2) แยกบคุ คลทดี่ ารงตาแหน่งผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการออกจากฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั แิ ละบรหิ าร

12.2.3 หลกั การพจิ ารณาโดยเปิ ดเผย
หลกั การพจิ ารณาคดโี ดยเปิดเผยในศาลมปี ระโยชนใ์ นกรณีใดบา้ ง
หลกั การพจิ ารณาโดยเปิดเผยมปี ระโยชนใ์ นดา้ นการควบคมุ และตรวจสอบการทางานของผู ้
พพิ ากษาและตลุ าการ วา่ ดาเนนิ การไปโดยสจุ รติ และยตุ ธิ รรมหรอื ไม่

12.3 กระบวนการยตุ ธิ รรมอน่ื
1. ในระบอบประชาธปิ ไตยทม่ี กี ารแยกองคก์ รทใ่ี ชอ้ านาจอธปิ ไตยออกเป็ นหลายองคก์ ร ศาลมใิ ช่
องคก์ รเดยี วเทา่ นัน้ ทท่ี าหนา้ ทมี่ นการวนิ จิ ฉัยขอ้ พพิ าท
2. องคก์ รทม่ี อี านาจในการวนิ จิ ฉัยขอ้ พพิ าทอาจเป็ นหน่วยราชการหรอื องคก์ รทไี่ มใ่ ชห่ น่วยราชการก็
ไดซ้ งึ่ เรยี กวา่ องคก์ รกง่ึ ตลุ าการ (Quasi Judicial)

12.3.1 องคก์ รวนิ จิ ฉยั อสิ ระ
ยกตัวอยา่ งองคก์ รวนิ จิ ฉัยอสิ ระทไ่ี มไ่ ดเ้ ป็ นสว่ นราชการ
องคก์ รวนิ จิ ฉัยอสิ ระทไี่ มไ่ ดเ้ ป็ นสว่ นราชการ เชน่
1. คณะกรรมการ ป.ป.ช.
2. คณะกรรมการเลอื กตงั้

12.3.2 องคก์ รวนิ จิ ฉยั ของหนว่ ยราชการ
คาวนิ จิ ฉัยของคณะกรรมการวนิ จิ ฉัยรอ้ งทกุ ข์ เมอ่ื วนิ จิ ฉัยชข้ี าดเรอ่ื งรอ้ งทกุ ขแ์ ลว้ มผี ลประการใด
คาวนิ จิ ฉัยของคณะกรรมการวนิ จิ ฉัยรอ้ งทกุ ขย์ งั ไมม่ ผี ลบงั คบั แกค่ กู่ รณี ตอ้ งสง่ ใหน้ ายกรฐั มนตรสี งั่
การอกี ทหี นง่ึ

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยท่ี 12
1. บคุ คลทมี่ อี านาจฟ้องคดอี าญาไดแ้ ก่ พนักงานอยั การและผเู ้ สยี หาย
2. บคุ คลจะมอี านาจฟ้องคดไี ดเ้ มอื่ สทิ ธหิ รอื หนา้ ทต่ี ามกฎหมายแพง่ ถกู โตแ้ ยง้

37

3. ลักษณะของระบบศาลไทยกอ่ นการปฏริ ปู การศาลในรชั กาลท่ี 5 เป็ นหน่วยงานทข่ี นึ้ อยกู่ บั กรม
ตา่ งๆ ทาหนา้ ทพ่ี จิ ารณาคดตี ามทก่ี รมทต่ี นสงั กดั อยมู่ อบหมาย

4. ลักษณะของระบบศาลคขู่ องประเทศไทยในปัจจบุ นั คอื มศี าลยตุ ธิ รรมคกู่ บั ศาลปกครอง
5. องคก์ รทที่ าหนา้ ทตี่ รวจสอบบญั ชที รพั ยส์ นิ และหนสี้ นิ ของผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง คอื คณะ
กรรมการป้องกนั และปราบปรามการทจุ รติ แหง่ ชาติ
6. องคก์ รทที่ าหนา้ ทไี่ ตส่ วนกรณีการเขา้ ชอ่ื รอ้ งขอถอดถอนนายกรฐั มนตรี เนอ่ื งจากมพี ฤตกิ รรม
รา่ รวยผดิ ปกตคิ อื ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง
7. หลกั ในการพจิ ารณาคดขี องศาลอาญาคอื การพจิ ารณาและสบื พยานตอ้ งกระทาโดยเปิดเผยตอ่
หนา้ จาเลย
8. มาตรการทเี่ ป็ นหลักประกนั ความเป็ นอสิ ระของผพู ้ พิ ากษาและตลุ าการขององคก์ รภายนอกคอื การ
กาหนดใหห้ น่วยงานธรุ การของศาลเป็ นอสิ ระขน้ึ ตอ่ ประธานศาล
9. ในคดมี ากอ่ นการปฏริ ปู ระบบศาลไทย ในสมยั รชั กาลที่ 5 ระบบการพจิ ารณาคดใี นศาลเป็ นระบบ
ไตส่ วน

หนว่ ยที่ 13 ระบบศาลไทย
1. ศาลรฐั ธรรมนูญ เป็ นศาลชานัญพเิ ศษทจี่ ดั ตัง้ ขนึ้ มอี านาจหนา้ ทท่ี สี่ าคญั คอื พจิ ารณาคดที ี่

เกย่ี วขอ้ งกบั รัฐธรรมนูญ
2. ศาลยตุ ธิ รรม เป็ นศาลทม่ี อี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาทเ่ี ป็ นการท่วั ไป คอื คดที ไ่ี มม่ กี ฎหมายบญั ญตั ิ

ใหอ้ ยใู่ นอานาจศาลอน่ื
3. ศาลปกครอง เป็ นศาลชานัญพเิ ศษทจ่ี ดั ตัง้ ขน้ึ มอี านาจทพ่ี จิ ารณาคดปี กครอง
4. ศาลทหาร เป็ นศาลทมี่ อี านาจพจิ ารณาคดที เ่ี กยี่ วกบั วนิ ัยทหารเป็ นหลกั
13.1 ศาลรฐั ธรรมนญู
1. ศาลรฐั ธรรมนูญเป็ นศาลประเภทหนง่ึ ทม่ี อี านาจในการพจิ ารณาคดเี กย่ี วขอ้ งกบั รัฐธรรมนูญ ซง่ึ เป็ น

กฎหมายสงู สดุ ของประเทศ
2. ศาลรฐั ธรรมนูญจะเรม่ิ ดาเนนิ การเองไมไ่ ด ้ ตอ้ งมผี เู ้ สนอคารอ้ งใหพ้ จิ ารณา ผมู ้ อี านาจฟ้องคดตี อ่

ศาลรัฐธรรมนูญไดก้ าหนดไวใ้ นรัฐธรรมนูญ เชน่ ศาล ประธานสภาผแู ้ ทนราษฎร ประธานวฒุ สิ ภา ประธาน
รัฐสภา นายกรฐั มนตรี เป็ นตน้

3. ศาลรฐั ธรรมนูญมวี ธิ พี จิ ารณาคดที ก่ี าหนดขน้ึ มาเอง โดยความเห็นชอบเป็ นเอกลกั ษณ์ของตลุ า
การรัฐธรรมนูญ

4. คาวนิ จิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญใหเ้ ป็ นเด็ดขาด มผี ลผกู พนั รฐั สภา คณะรัฐมนตรี ศาล และองคก์ ร
อนื่ ขงิ รฐั

13.1.1 ขอบเขตอานาจหนา้ ทขี่ องศาลรฐั ธรรมนญู
ยกตวั อยา่ งคดที ใ่ี นขอบเขตอานาจหนา้ ทขี่ องศาลรัฐธรรมนูญ 2 คดี
คดที อี่ ยใู่ นขอบเขตอานาจหนา้ ทขี่ องศาลรัฐธรรมนูญ เชน่
1. กรณีวนิ จิ ฉัยวา่ รา่ งพระราชบญั ญตั หิ รอื รา่ งพระราชกาหนดขดั หรอื แยง้ กบั รฐั ธรรมนูญ
2. วนิ จิ ฉัยวา่ กฎหมายใดขดั หรอื แยง้ กบั รฐั ธรรมนูญ
13.1.2 สทิ ธเิ สนอคารอ้ งตอ่ ศาลรฐั ธรรมนญู
ในกรณีทม่ี ปี ัญหาวา่ กฎหมายใดขดั หรอื แยง้ กบั รัฐธรรมนูญหรอื ไม่ ใครเป็ นผมู ้ สี ทิ ธเิ สนอคารอ้ งให ้
ศาลยตุ ธิ รรมพจิ ารณา
มี 2 กรณีคอื
1. ศาลทกุ ศาล ทัง้ ในกรณที ศ่ี าลเห็นเองหรอื มคี กู่ รณโี ตแ้ ยง้ วา่ บทบญั ญตั ใิ ดของกฎหมายขดั ตอ่
รัฐธรรมนูญ
2. ผตู ้ รวจการแผน่ ดนิ ของรัฐสภาเห็นวา่ บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายมปี ัญหาเกยี่ วกบั ความชอบดว้ ย
รฐั ธรรมนูญ
13.1.3 การดาเนนิ กระบวนพจิ ารณา
วธิ พี จิ ารณาของศาลรัฐธรรมนูญมลี กั ษณะพเิ ศษอยา่ งไร

38

ศาลรัฐธรรมนูญสามารถกาหนดวธิ พี จิ ารณาคดไี ดด้ ว้ ยตนเอง ซงึ่ กระทาโดยมตเิ อกฉันทข์ อง
คณะตลุ าการศาลรัฐธรรมนญู และประกาศในราชกจิ จานุเบกษา แตว่ ธิ พี จิ ารณาคดขี องศาลอน่ื นัน้ จะตอ้ ง
ตราเป็ นกฎหมายโดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั ิ

13.1.4 ผลของคาวนิ จิ ฉยั ของศาลรฐั ธรรมนญู
ผลของคาวนิ จิ ฉัยของศาลรฐั ธรรมนูญมผี ลอยา่ งไร
คาวนิ จิ ฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมผี ลผกู พันทกุ องคก์ รใหป้ ฏบิ ตั ติ าม
13.2 ศาลยตุ ธิ รรม
1. ศาลยตุ ธิ รรมเป็ นศาลทมี่ อี านาจทัว่ ไป คดที ไี่ มม่ กี ฎหมายบญั ญตั ใิ หอ้ ยใู่ นอานาจศาลอน่ื จงึ อยใู่ น
เขตอานาจศาลยตุ ธิ รรม
2. ผมู ้ สี ทิ ธเิ รมิ่ คดไี ดต้ อ้ งเป็ นบคุ คลทกี่ ฎหมายบญั ญตั ใิ หม้ สี ทิ ธฟิ ้องคดไี ด ้
3. การดาเนนิ การกระบวนพจิ ารณาของศาลยตุ ธิ รรมเป็ นระบบกลา่ วหา คอื ผใู ้ ดกลา่ วอา้ ง ผนู ้ ัน้ มี
หนา้ ทนี่ าสบื
4. คาพพิ ากษาของศาลยอ่ มมผี กู พนั คกู่ รณี และการบงั คบั คดกี ระทาโดยศาลออกคาบงั คบั
5. การดาเนนิ คดอี าญาของผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง เป็ นการดาเนนิ คดอี าญากบั ผดู ้ ารงตาแหน่ง
ทางการเมอื ง เพอ่ื เป็ นการสรา้ งระบบควบคมุ ตรวจสอบผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง โดยกาหนดเป็ นวธิ ี
พเิ ศษขน้ึ
13.2.1 ระบบศาลยตุ ธิ รรมและขอบเขตอานาจหนา้ ท่ี
ศาลยตุ ธิ รรมมอี านาจพจิ ารณาคดปี ระเภทใดบา้ ง
คดที กุ ประเภททม่ี ไิ ดม้ กี ฎหมายบญั ญตั ใิ หอ้ ยใู่ นอานาจของศาลอน่ื เชน่ คดแี พง่ คดอี าญา คดี
แรงงาน คดภี าษีอากร คดที รพั ยส์ นิ ทางปัญญาและการคา้ ระหวา่ งประเทศ คดลี ม้ ละลาย คดเี ดก็ เยาวชน
และครอบครัว
13.2.2 การเรมิ่ คดี
ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดอี าญามใี ครบา้ ง
ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดอี าญา ไดแ้ ก่
1) รัฐ
2) ผเู ้ สยี หาย
13.2.3 การดาเนนิ กระบวนการพจิ ารณา
ในคดอี าญา การพจิ ารณาคดตี อ้ งกระทาตอ่ หนา้ จาเลย โดยมขี อ้ ยกเวน้ ในกรณใี ดบา้ ง
ในคดอี าญา การพจิ ารณาคดตี อ้ งกระทาตอ่ หนา้ จาเลย ยกเวน้ กรณีตอ่ ไปนี้
1. ในคดมี อี ตั ราจาคกุ อยา่ งสงู ไมเ่ กนิ สามปี จะมโี ทษปรบั ดว้ ยหรอื ไมก่ ต็ าม หรอื ในคดมี โี ทษปรบั
สถานเดยี ว เมอื่ จาเลยมที นายและจาเลยไดร้ บั อนุญาตจากศาลทจี่ ะไมม่ าฟังการพจิ ารณาและการสบื พยาน
2. ในคดที ม่ี จี าเลยหลายคน ถา้ ศาลพอใจคาแถลงของโจทกว์ า่ การพจิ ารณาและการสบื พยาน
ตามทโี่ จทกข์ อใหก้ ระทาไมเ่ กย่ี วแกจ่ าเลยคนใด ศาลจะพจิ ารณาและสบื พยานลบั หลังจาเลยคนนัน้ กไ็ ด ้
3. คดที มี่ จี าเลยหลายคน ถา้ ศาลเห็นสมควรจะพจิ ารณาและสบื พยานจาเลยคนหนง่ึ ๆ ลบั หลงั
จาเลยคนอนื่ กไ็ ด ้
13.2.4 คาพพิ ากษาและการบงั คบั คดี
การบงั คบั คดที ศี่ าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษประหารชวี ติ และจาเลยไมม่ ฝี ่ ายใดอทุ ธรณจ์ ะตอ้ ง
ดาเนนิ การอยา่ งไร
ในคดที ศ่ี าลชนั้ ตน้ พพิ ากษาลงโทษประหารชวี ติ จาเลยและไมม่ ฝี ่ ายใดอทุ ธรณ์ ศาลชนั้ ตน้ จะตอ้ ง
สง่ สานวนคดนี ัน้ ไปใหศ้ าลอทุ ธรณว์ นิ จิ ฉัยอกี ครงั้ หนง่ึ จะบงั คบั คดที ันทไี มไ่ ด ้ หากศาลอทุ ธรณพ์ พิ ากษา
ยนื ตามคาพพิ ากษาของศาลชนั้ ตน้ จงึ จะถอื วา่ คดนี ัน้ ถงึ ทสี่ ดุ แตย่ งั นาตวั จาเลยไปประหารไมไ่ ด ้ ตอ้ งปฏบิ ตั ิ
ในเรอ่ื งของพระราชทานอภยั โทษกอ่ น
13.2.5 การดาเนนิ คดอี าญาของผดู้ ารงตาแหนง่ ทางการเมอื ง
บคุ คลใดทอี่ าจถกู ฟ้องตอ่ ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง
บคุ คลทอ่ี าจถกู ฟ้องตอ่ ศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื งไดแ้ ก่

39

1) ผดู ้ ารงตาแหน่งทางการเมอื ง เชน่ นายกรฐั มนตรี รฐั มนตรี สมาชกิ สภาผแู ้ ทนราษฎร
สมาชกิ วฒุ สิ ภา ขา้ ราชการการเมอื งอน่ื ผบู ้ รหิ ารทอ้ งถน่ิ บคุ คลทเี่ ป็ นตวั การผใู ้ ชห้ รอื ผสู ้ นับสนุน

2) กรรมการ ป.ป.ช.

13.3 ศาลปกครอง
1. ศาลปกครองเป็ นศาลชานัญพเิ ศษมอี านาจในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดเี ฉพาะทกี่ ฎหมายบญั ญัตไิ ว ้
2. ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดตี อ่ ศาลปกครอง จะตอ้ งเป็ นผไู ้ ดร้ ับความเดอื ดรอ้ นหรอื เสยี หายหรอื อาจจะเดอื ด
รอ้ นหรอื เสยี หายจากการกระทา หรอื งดเวน้ การกระทาของหน่วยงานทางปกครองหรอื เจา้ หนา้ ทข่ี องรัฐ
หรอื มขี อ้ โตแ้ ยง้ เกยี่ วกบั สญั ญาทางปกครอง หรอื กรณอี น่ื ใดทอ่ี ยใู่ นเขตอานาจศาลปกครอง
3. การดาเนนิ กระบวนพจิ ารณาของศาลปกครองใชห้ ลกั การดาเนนิ การ โดยใชพ้ ยานเอกสารเป็ นหลกั
และใชร้ ะบบไตส่ วนในการพจิ ารณา
4. คาพพิ ากษาของศาลปกครองยอ่ มผกู พันคกู่ รณใี หต้ อ้ งปฏบิ ตั ติ าม

13.3.1 ขอบเขตของอานาจหนา้ ท่ี
คาวา่ “หน่วยงานปกครอง” ตาม พ.ร.บ. จดั ตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครองหมายถงึ
หน่วยงานใด
คาวา่ “หน่วยงานปกครอง” หมายถงึ กระทรวง ทบวง กรม สว่ นราชการทเ่ี รยี กชอ่ื อยา่ งอนื่ และมี
ฐานะเป็ นกรม “ราชการสว่ นภมู ภิ าค” เชน่ จงั หวดั อาเภอ “ราชการสว่ นทอ้ งถนิ่ ” เชน่ เทศบาล รฐั วสิ าหกจิ
“หน่วยราชการอน่ื ของรฐั ” ทไ่ี ดร้ บั มอบหมายใหใ้ ชอ้ านาจปกครองหรอื ไดด้ าเนนิ กจิ การทางปกครอง
“องคก์ รมหาชน” หน่วยงานเอกชนทไ่ี ดร้ ับมอบหมายใหใ้ ชอ้ านาจปกครอง

13.3.2 การฟ้ องคดปี กครอง
ในกรณฟี ้องวา่ พระราชกฤษฎกี าไมช่ อบดว้ ยกฎหมายตอ้ งฟ้องตอ่ ศาลใด
ตอ้ งฟ้องตอ่ ศาลปกครองสงู สดุ

13.3.3 การดาเนนิ การกระบวนพจิ ารณา แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม จะมี
วธิ พี จิ ารณาคดขี องศาลปกครองเป็ นแบบใด
ศาลปกครองใชว้ ธิ พี จิ ารณาคดแี บบไตส่ วนและใชพ้ ยานเอกสารเป็ นหลกั
การน่ังพจิ ารณาอยา่ งนอ้ ย 1 ครงั้

13.3.4 การพพิ ากษาและการบงั คบั คดี
คาพพิ ากษาของศาลปกครองมผี ลยอ้ นหลังไดใ้ นกรณใี ด
ในกรณีทศี่ าลปกครองมคี าสง่ั ใหเ้ พกิ ถอนกฎหรอื คาสง่ั หรอื สง่ั หา้ มการกระทาทงั้ หมดหรอื บางสว่ น
ในกรณฟี ้องวา่ หนว่ ยงานทางปกครองหรอื เจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั กระทาการโดยไมช่ อบดว้ ยกฎหมาย

13.4 ศาลทหาร
1. ศาลทหารมอี านาจพจิ ารณาพพิ ากษาลงโทษผกู ้ ระทาผดิ กฎหมายทหาร หรอื กฎหมายอนื่ ในทาง
อาญาในคดซี ง่ึ ผกู ้ ระทาเป็ นบคุ คลทอ่ี ยใู่ นอานาจของศาลทหารในขณะกระทาผดิ
2. ผฟู ้ ้องคดใี นศาลทหารมไี ดเ้ ฉพาะอยั การทหารและผเู ้ สยี หายเทา่ นัน้
3. กระบวนการพจิ ารณาในศาลทหารเป็ นไปตาม พ.ร.บ. ธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498
4. คาพพิ ากษาของศาลทหารยงั ไมม่ ผี ลบงั คบั ทนั ที เมอ่ื ศาลทหารมคี าพพิ ากษาลงโทษแลว้ จะตอ้ ง
ออกหมายแจง้ โทษใหผ้ บู ้ งั คับบญั ชาเป็ นผสู ้ ง่ั ลงโทษจาเลย

13.4.1 ขอบเขตอานาจหนา้ ทข่ี องศาลทหาร
ศาลทหารมอี านาจในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดใี ด
ศาลทหารมอี านาจในการพจิ ารณาพพิ ากษาคดที ผี่ กู ้ ระทาผดิ กฎหมายทหาร หรอื กฎหมายอนื่
ในทางอาญาในคดซี ง่ึ ผกู ้ ระทาเป็ นบคุ คลทอี่ ยใู่ นอานาจของศาลทหารในขณะกระทาความผดิ และมอี านาจ
สงั่ ลงโทษบคุ คลทก่ี ระทาความผดิ ฐานละเมดิ อานาจศาลทหารดว้ ย

13.4.2 การฟ้ องคดใี นศาลอาหาร
บคุ คลใดมสี ทิ ธฟิ ้องคดตี อ่ ศาลทหาร
ผมู ้ สี ทิ ธฟิ ้องคดใี นศาลทหาร ไดแ้ ก่
1) อยั การทหาร

40

2) ผเู ้ สยี หาย ภายใตเ้ งอ่ื นไข คอื
- ผเู ้ สยี หายเป็ นบคุ คลในอานาจศาลทหาร
- ความผดิ ทฟ่ี ้องรอ้ งเกดิ ในเวลาปกติ

13.4.3 กระบวนพจิ ารณาในศาลทหาร
องคค์ ณะของศาลทหารแตกตา่ งจากศาลพลเรอื นหรอื ไม่ อยา่ งไร
องคค์ ณะของศาลทหารแตกตา่ งจากศาลพลเรอื น โดยจะตอ้ งมนี ายทหารเป็ นองคค์ ณะรวมกบั ตลุ า
การพระธรรมนูญดว้ ย

13.4.4 ผลของคาพพิ ากษา
การบงั คบั คดขี องศาลทหารแตกตา่ งจากการบงั คับคดขี องศาลพลเรอื นหรอื ไม่
การบงั คบั คดขี องศาลทหารแตกตา่ งจากการบงั คับคดขี องศาลพลเรอื น โดยเมอ่ื ศาลทหาร
พพิ ากษาลงโทษจาเลยแลว้ จะไมอ่ อกหมายไปยงั เรอื นจา แตจ่ ะออกหมายแจง้ ไปใหผ้ บู ้ งั คบั บญั ชาทหาร
ทราบและสง่ั ลงโทษจาเลย

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยท่ี 13

1. องคก์ รใดทาหนา้ ทว่ี นิ จิ ฉัยชข้ี าดวา่ กฎหมายใดขดั หรอื แยง้ กบั รฐั ธรรมนูญ คอื ศาลรฐั ธรรมนูญ
2. วธิ กี ารพจิ ารณาคดใี นศาลรฐั ธรรมนูญเป็ นแบบไตส่ วน
3. ศาลยตุ ธิ รรม เป็ นศาลทมี่ อี านาจท่วั ไป
4. คดอี ทุ ธรณ์การประเมนิ ภาษีอากร เป็ นคดที ไ่ี มอ่ ยใู่ นอานาจศาลปกครอง
5. การสบื พยานในศาลใชพ้ ยานเอกสารเป็ นหลัก ไมใ่ ชห่ ลกั ในการพจิ ารณาคดแี พง่
6. ผตู ้ รวจการแผน่ ดนิ รฐั สภา เป็ นบคุ คลทไี่ มไ่ ดอ้ ยใู่ นเขตอานาจของศาลฎกี าแผนกคดอี าญาของผู ้
ดารงตาแหน่งทางการเมอื ง
7. ในศาลปกครองใชว้ ธิ กี ารดาเนนิ กระบวนการพจิ ารณาแบบไตส่ วน

8. คดฟี ้องวา่ พระราชกฤษฎกี าขดั ตอ่ พระราชบญั ญตั ิ อาจฟ้องตอ่ ศาลปกครองสงู สดุ ได ้
9. องคค์ ณะของศาลทหารแตกตา่ งจากศาลพลเรอื นคอื มนี ายทหารรว่ มเป็ นคณะกบั ตลุ าการพระ
ธรรมนูญดว้ ย
10. ความแตกตา่ งของการฟ้องคดตี อ่ ศาลปกครองกบั การฟ้องคดใี นศาลยตุ ธิ รรมคอื การฟ้ องคดี
ปกครองอาจฟ้องทางไปรษณียไ์ ด ้

หนว่ ยท่ี 14 กฎหมายกบั ความเป็ นธรรมในสงั คม
11. กฎหมายเป็ นสง่ิ ทร่ี ฐั กาหนดขนึ้ เพอื่ ใหม้ นุษยอ์ ยรู่ ว่ มกนั อยา่ งมคี วามสงบสขุ และเพอื่ เป็ นธรรมใน

สงั คม อยา่ งไรก็ดี กฎหมายบางฉบบั อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรม เชน่ กฎหมายทม่ี บี ทบญั ญตั ลิ า้ สมยั
หรอื มบี ทบญั ญตั ทิ ไี่ มส่ อดคลอ้ งกบั สภาวการณ์ในสงั คม

12. กฎหมายไมส่ ามารถบญั ญตั ขิ น้ึ ใหค้ รอบคลมุ ขอ้ เท็จจรงิ ทกุ กรณไี ด ้ จงึ มบี ทบญั ญตั ใิ หด้ ลุ พนิ จิ แกผ่ ู ้
บงั คบั ใชก้ ฎหมายเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความยดื หยนุ่ โดยอาจกาหนดแนวทางหรอื กรอบในการใชด้ ลุ พนิ จิ ไวห้ รอื ไมก่ ็
ไดต้ ามความเหมาะสม รวมทัง้ มกี ระบวนการแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไ่ี มเ่ ป็ นธรรม

13. ในการสรา้ งความเป็ นธรรมในสงั คมโดยกฎหมาย นอกจากกฎหมายจะตราขนึ้ โดยมเี จตนารมณเ์ พอื่
ความเป็ นธรรมแลว้ ผใู ้ ชก้ ฎหมายตอ้ งใชก้ ฎหมายเพอื่ ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม และเมอื่ พบวา่ กฎหมายใดมี
บทบญั ญตั ทิ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมในสงั คม ยอ่ มจาเป็ นตอ้ งมกี ารแกไ้ ขกฎหมายนัน้ ใหเ้ กดิ ความเป็ น
ธรรมตอ่ ไปดว้ ย

14.1 บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรม
1. ปัจจบุ นั สงั คมมกี ารเปลย่ี นแปลงอยา่ งรวดเร็ว ทาใหแ้ นวความคดิ ของประชาชนในสงั คมไดเ้ ปลย่ี น
แปลงไปโดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ วทิ ยาการและและเทคโนโลยที พ่ี ัฒนาไปอยา่ งไมห่ ยดุ ยงั้ สง่ ผลใหก้ ฎหมายท่ี
บญั ญตั ขิ น้ึ ในสภาพสงั คมยคุ หนงึ่ ๆ ลา้ สมยั ไมเ่ หมาะสมทจ่ี ะนามาใชใ้ นยคุ ปัจจบุ นั การยงั คงใชก้ ฎหมายท่ี
ลา้ สมยั กอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกผ่ เู ้ กยี่ วขอ้ งและสงั คม

41

2. กฎหมายบางฉบบั บญั ญตั ขิ นึ้ บนพนื้ ฐานของสภาวการณช์ ว่ งหนงึ่ ๆ ของสงั คมตอ่ มาเมอื่
สภาวการณน์ ัน้ ๆ ไดส้ นิ้ สดุ ลงหรอื เปลย่ี นแปลงไป การยงั คงใชก้ ฎหมายนัน้ ตอ่ ไปจงึ ไมส่ อดคลอ้ งกบั
สภาวการณใ์ นปัจจบุ นั กอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกส่ งั คมหรอื กฎหมายนัน้ ไมอ่ าจนามาใชบ้ งั คบั ไดโ้ ดย
ปรยิ าย

14.1.1 บทบญั ญตั ทิ ล่ี า้ สมยั
ยกตัวอยา่ งบทบญั ญัตขิ องกฎหมายทเี่ ห็นวา่ ลา้ สมยั และไมเ่ ป็ นธรรม เพราะแนวคดิ ของสงั คมในยคุ
ปัจจบุ นั ไดเ้ ปลย่ี นแปลงไป โดยในปัจจบุ นั ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ขกฎหมายดงั กลา่ วแลว้ หรอื ไมก่ ไ็ ด ้
ตวั อยา่ งบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายอนื่ ทลี่ า้ สมยั และไมเ่ ป็ นธรรม เพราะแนวคดิ ของสงั คมในยคุ
ปัจจบุ นั ไดเ้ ปลย่ี นแปลงไป เชน่ บทบญั ญัตขิ องกฎหมายทเี่ กยี่ วกบั การจัดการทรพั ยส์ นิ ระหวา่ งสามภี รยิ า
ซง่ึ แตเ่ ดมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ 5 พ.ศ. 2478 บญั ญตั ใิ หส้ ามแี ตเ่ พยี งผเู ้ ดยี วเป็ นผมู ้ ี
อานาจในการจดั การสนิ สมรส ซงึ่ สภาพสงั คมปัจจบุ นั ฝ่ ายหญงิ กม็ สี ว่ นชว่ ยหารายไดใ้ หแ้ กค่ รอบครวั และ
รัฐธรรมนูญยอมรับใหม้ สี ทิ ธเิ ทา่ เทยี มกบั ชาย จงึ ไมเ่ ป็ นธรรมทจ่ี ะใหฝ้ ่ ายชายแตเ่ พยี งฝ่ ายเดยี วเป็ นผจู ้ ดั การ
ทรัพยส์ นิ ของครอบครัว ซงึ่ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2519 ไดม้ กี ารแกไ้ ขประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยว์ า่ ดว้ ย
ครอบครัว ใหส้ ามแี ละภรยิ าเป็ นผจู ้ ดั การสนิ สมรสรว่ มกนั และไดม้ กี ารแกไ้ ขเพมิ่ เตมิ หลกั กฎหมายดังกลา่ ว
อกี หลายครงั้ ลา่ สดุ ในปี พ.ศ. 2533 ไดม้ กี ารแกไ้ ขใหส้ ามหี รอื ภรยิ าจดั การสนิ สมรสโดยลาพงั ได ้ เวน้ แต่
ในกจิ การทส่ี าคญั บางประการทต่ี อ้ งจดั การรว่ มกนั หรอื ไดร้ บั ความยนิ ยอมจากอกี ฝ่ ายหนงึ่ ปรากฏตาม
มาตรา 1476 ซง่ึ ยงั มผี ลใชบ้ งั คบั อยใู่ นปัจจบุ นั

14.1.2 บทบญั ญตั ทิ ไี่ มส่ อดคลอ้ ง
ยกตวั อยา่ งบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทเ่ี ห็นวา่ ไมส่ อดคลอ้ งกบั สภาวการณ์ในยคุ ปัจจบุ นั โดย
ปัจจบุ นั ไดม้ กี ารปรบั ปรงุ แกไ้ ข หรอื ยกเลกิ ใชแ้ ลว้
ตัวอยา่ งบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทไี่ มส่ อดคลอ้ งกบั สภาวการณ์ในยคุ ปัจจบุ นั เชน่ พระราชกาหนด
จัดตงั้ ศาลพเิ ศษเพอ่ื พจิ ารณาพพิ ากษาคดคี วามผดิ ฐานขบถภายนอกราชอาณาจกั ร พทุ ธศกั ราช พ.ศ.
2483 และพระราชบญั ญตั อิ นุมตั พิ ระราชกาหนดจดั ตงั้ ศาลพเิ ศษเพอ่ื พจิ ารณาพพิ ากษาคดคี วามผดิ ฐาน
ขบถภายนอกพระราชอาณาจักร พทุ ธศกั ราช 2483 ซงึ่ ในปัจจบุ นั มบี ทบญั ญัตขิ องรฐั ธรรมนูญแหง่
ราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศักราช 2540 มาตรา 234 วรรคสอง บญั ญัตวิ า่ “การตงั้ ศาลขน้ึ ใหมเ่ พอ่ื พจิ ารณา
พพิ ากษาคดใี ดคดหี นงึ่ หรอื คดที มี่ ขี อ้ หาฐานใดฐานหนง่ึ โดยเฉพาะ แทนศาลทม่ี อี ยตู่ ามกฎหมายสาหรับ
พจิ ารณาพพิ ากษาคดนี ัน้ จะกระทามไิ ด”้ และกฎหมายดังกลา่ วถกู ยกเลกิ โดยพระราชบญั ญตั ยิ กเลกิ
กฎหมายบางฉบบั ทไี่ มเ่ หมาะสมกบั กาลปัจจบุ ัน พ.ศ. 2546 แลว้

14.2 ดลุ พนิ จิ ของผใู้ ชก้ ฎหมายกบั ความเป็ นธรรม
1. เนอื่ งจากกฎหมายไมส่ ามารถบญั ญตั ขิ น้ึ ใหค้ รอบคลมุ ขอ้ เท็จจรงิ ทกุ กรณีได ้ จงึ จาเป็ นตอ้ งมบี ท
บญั ญัตทิ ใี่ หด้ ลุ พนิ จิ แกผ่ บู ้ งั คบั ใชก้ ฎหมายเพอ่ื ความยดื หยนุ่ ใหส้ ามารถปรับใชก้ ฎหมายเพอ่ื อานวยความ
ยตุ ธิ รรมไดต้ ามความเหมาะสมแกก่ รณี
2. ในการใหด้ ลุ พนิ จิ ในกฎหมาย อาจเป็ นการใหด้ ลุ พนิ จิ โดยเด็ดขาดแกผ่ ใู ้ ชก้ ฎหมาย หรอื โดย
กาหนดแนวทาง หรอื กรอบในการใชด้ ลุ พนิ จิ หรอื ไมก่ ไ็ ด ้ ตามความเหมาะสมหรอื ความสาคัญของเรอ่ื งที่
กฎหมายนัน้ ใหด้ ลุ พนิ จิ ไว ้
3. การใชด้ ลุ พนิ จิ ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั บคุ คลผใู ้ ชด้ ลุ พนิ จิ ทกี่ ฎหมายกาหนดไว ้ บางครงั้ อาจมกี ารใชด้ ลุ พนิ จิ
อยา่ งไมเ่ หมาะสมหรอื ไมเ่ ป็ นไปตามกฎหมาย จงึ จาเป็ นตอ้ งมกี ระบวนการแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี่ มเ่ ป็ น
ธรรมโดยองคก์ รตา่ งๆ

14.2.1 ดลุ พนิ จิ ในกฎหมาย
กฎหมายฉบบั หนง่ึ บญั ญตั วิ า่ “เมอื่ ปรากฏแกเจา้ พนักงานทอ้ งถน่ิ วา่ อาคารหรอื สว่ นของอาคารใด
หรอื สง่ิ หนง่ึ สง่ิ ใดซงึ่ ตอ่ เนอื่ งกบั อาคาร มสี ภาพชารดุ ทรดุ โทรม หรอื ปลอ่ ยใหม้ สี ภาพรกรงุ รังจนอาจเป็ น
อนั ตรายตอ่ สขุ ภาพของผอู ้ ยอู่ าศัย หรอื มลี กั ษณะไมถ่ กู ตอ้ งดว้ ยสขุ ลกั ษณะของการใชเ้ ป็ นทอี่ ยอู่ าศยั ให ้
เจา้ พนักงานทอ้ งถน่ิ มอี านาจออกคาสง่ั เป็ นหนังสอื ใหเ้ จา้ ของหรอื ผคู ้ รอบครองอาคารนัน้ จัดการแกไ้ ข
เปลย่ี นแปลงรอ้ื ถอนอาคาร หรอื สง่ิ หนงึ่ สง่ิ ใดซงึ่ ตอ่ เนอื่ งกบั อาคารทัง้ หมดหรอื แตบ่ างสว่ นหรอื จดั การอยา่ ง
อนื่ ตามความจาเป็ นเพอื่ มใิ หเ้ ป็ นอนั ตรายตอ่ สขุ ภาพ หรอื ใหถ้ กู ตอ้ งดว้ ยสขุ ลกั ษณะ ภายในเวลาซงึ่
กาหนดใหต้ ามสมควร” บทบญั ญตั ดิ งั กลา่ วมลี กั ษณะเป็ นการใหด้ ลุ พนิ จิ แกเ่ จา้ หนา้ ทข่ี องรฐั หรอื ไม่
บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายขา้ งตน้ มลี กั ษณะเป็ นการใหด้ ลุ พนิ จิ แกเ่ จา้ หนา้ ทขี่ องรฐั เนอ่ื งจากกอ่ น
ออกคาสง่ั เจา้ หนา้ ทที่ อ้ งถนิ่ จะตอ้ งใชด้ ลุ พนิ จิ พจิ ารณาวา่ อาคารมสี ภาพที่ “อาจเป็ นอนั ตราตอ่ สขุ ภาพของ
ผอู ้ ยอู่ าศยั หรอื มลี กั ษณะไมถ่ กู ตอ้ งดว้ ยสขุ ลกั ษณะของการใชเ้ ป็ นทอี่ ยอู่ าศัย” หรอื ไม่

14.2.2 แนวทางการใชด้ ลุ พนิ จิ

42

เหตใุ ดจงึ จาเป็ นตอ้ งมแี นวทางในการใชด้ ลุ พนิ จิ ในกฎหมาย
กฎหมายจาเป็ นตอ้ งกาหนดแนวทางในการใชด้ ลุ พนิ จิ เพอ่ื ใหก้ ารใชด้ ลุ พนิ จิ เป็ นไปในทางเดยี วกนั
เพอ่ื เป็ นหลกั ประกนั การใชด้ ลุ พนิ จิ ในการใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมแกผ่ เู ้ กย่ี วขอ้ งเพราะผใุ ้ ชด้ ลุ พนิ จิ ไดค้ านงึ ถงึ
เงอื่ นไขตา่ งๆทกี่ ฎหมายวางกรอบไว ้ และเพอื่ เป็ นพนื้ ฐานในการตรวจสอบการใชด้ ลุ พนิ จิ อกี ทางหนง่ึ ดว้ ย

14.2.3 การแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี่ มเ่ ป็ นธรรม
การแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี่ มเ่ ป็ นธรรมของฝ่ ายตลุ าการ โดยทัว่ ไปสามารถกระทาไดโ้ ดยวธิ ใี ด
การแกไ้ ขการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไี่ มเ่ ป็ นธรรมของฝ่ ายตลุ าการ โดยทว่ั ไปสามารถกระทาไดโ้ ดยการ
อทุ ธรณ์คาพพิ ากษาหรอื คาสง่ั ของศาลชนั้ ตน้ ตามมาตรา 223-มาตรา 246 และการฎกี าคาพพิ ากษาหรอื
คาสงั่ ของศาลอทุ ธรณ์ ตามมาตรา 247-มาตรา 252 แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความแพง่
ตามลาดับ หรอื การอทุ ธรณฎ์ กี าตามกฎหมายวา่ ดว้ ยวธิ พี จิ ารณาคดขี องศาลชานัญพเิ ศษอนื่ ของศาล
ยตุ ธิ รรม เชน่ ศาลแรงงาน ศาลภาษีอากร

14.3 การใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม
1. กฎหมายทงั้ หลายตราขน้ึ โดยมเี จตนารมณ์ประการหนงึ่ คอื เพอ่ื การรกั ษาความสงบสขุ และความ
เป็ นธรรมของสงั คมโดยรวม บนพน้ื ฐานของความชอบธรรมตามกฎหมายและศลี ธรรม
2. การใชก้ ฎหมายเพอื่ ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม คอื การใชก้ ฎหมายใหต้ รงตามเจตนารมณข์ องกฎหมาย
ใหม้ ากทส่ี ดุ หรอื ในการทต่ี อ่ มาบทบญั ญตั ขิ องกฎหมายอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกบ่ คุ คลผตู ้ อ้ ง
ปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายดว้ ยสาเหตตุ ่างๆ ผใู ้ ชก้ ฎหมายจงึ จาเป็ นตอ้ งหาหนทางใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ น
ธรรมใหม้ ากทสี่ ดุ เทา่ ทจี่ ะสามารถทาได ้
3. เจตนารมณ์ของกฎหมายเพอ่ื สรา้ งความเป็ นธรรมในยคุ หนงึ่ อาจมองวา่ ไมเ่ ป็ นธรรมในอกี ยคุ สมยั
หนง่ึ หากสงั คมมกี ารเปลยี่ นแปลงไป ทาใหก้ ฎหมายทัง้ ฉบบั หรอื บทบญั ญตั บิ างบทบญั ญตั ขิ องกฎหมาย
กอ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมอยา่ งชดั แจง้ โดยทผี่ ใู ้ ชก้ ฎหมายไมส่ ามารถหาหนทางในการใชก้ ฎหมายอยา่ ง
เป็ นธรรมได ้ จาเป็ นตอ้ งแกไ้ ขกฎหมายเพอ่ื ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมตอ่ ไป

14.3.1 เจตนารมณ์ของกฎหมายกบั ความเป็ นธรรม
เพราะเหตใุ ดเจตนารมณข์ องกฎหมายจงึ มสี ว่ นสาคญั ในการสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คม
เจตนารมณ์ของกฎหมายมคี วามสาคญั ในการสรา้ งความเป็ นธรรมใหแ้ กส่ งั คม โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่
ในประเทศไทยซงึ่ เป็ นประเทศในระบบทใี่ ชก้ ฎหมายลายลักษณ์อกั ษร โดยหลักแลว้ ผใู ้ ชก้ ฎหมายจาเป็ น
ตอ้ งใชก้ ฎหมายซงึ่ ตราขน้ึ โดยฝ่ ายนติ บิ ญั ญตั ซิ ง่ึ เป็ นตวั แทนของปวงชน และในการตรากฎหมายฉบบั ใด
ฉบบั หนง่ึ นัน้ ยอ่ มมคี วามมงุ่ หมายทจ่ี ะสรา้ งความสงบสขุ และเป็ นธรรมแกส่ งั คม หรอื เพอ่ื แกไ้ ขปัญหาของ
สงั คมอยแู่ ลว้

14.3.2 การใชก้ ฎหมายเพอื่ ใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม
การใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมเกดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร
การใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมเกดิ ขน้ึ ไดจ้ ากหลายองคป์ ระกอบ เชน่ จากเจตนารมณแ์ ละ
บทบญั ญตั ขิ องกฎหมายทตี่ ราขนึ้ เพอื่ ความเป็ นธรรม และจากตัวของผใู ้ ชก้ ฎหมายทตี่ อ้ งเป็ นผมู ้ คี ณุ ธรรม
ในจติ ใจ

14.3.3 การแกไ้ ขกฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรม และทกุ องคก์ รทงั้ ภาครัฐและ
การแกไ้ ขกฎหมายทไี่ มเ่ ป็ นธรรมเป็ นหนา้ ทขี่ องผใู ้ ด
การแกไ้ ขกฎหมายทไ่ี มเ่ ป็ นธรรมเป็ นหนา้ ทขี่ องประชาชนทกุ คน
เอกชน

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยที่ 14
1. กฎหมายลกั ษณะทกี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความไมเ่ ป็ นธรรมแกส่ งั คม ไดแ้ ก่ กฎหมายทลี่ า้ สมยั
2. กฎหมายทลี่ า้ สมยั เนอ่ื งจากสาเหตุ (1) เทคโนโลยกี า้ วหนา้ ขนึ้ (2) ความคดิ ของคนในสงั คม

เปลยี่ นไป
3. กฎหมายลา้ สมยั เนอื่ งจากสาเหตุ ความคดิ ของคนแตล่ ะยคุ สมยั ทม่ี ตี อ่ กฎหมายนัน้ เปลย่ี นแปลงไป
4. กฎหมายเกยี่ วกบั รถลาก เป็ นกฎหมายทไี่ มเ่ หมาะสมแกส่ ภาวการณ์ปัจจบุ นั

43

5. กฎหมายทไ่ี มเ่ หมาะสมกบั สภาวการณป์ ัจจบุ นั ไดแ้ ก่ (1) กฎหมายวา่ ดว้ ยรถลาก (2) กฎหมาย
ตามชา้ ง ร.ศ. 127 (3) กฎหมายลกั ษณะพยาย ร.ศ. 113 (4) กฎหมายการเปรยี บเทยี บคดอี าญา
พทุ ธศกั ราช 2481

6. ในการใชก้ ฎหมายควรมกี ารใชด้ ลุ พนิ จิ บา้ ง เพราะทาใหส้ ามารถปรับใชก้ ฎหมายใหเ้ หมาะสมในแต่
ละกรณไี ด ้

7. เจา้ หนา้ ทอี่ อกใบอนุญาตเมอื่ กจิ การนัน้ ไมข่ ดั ตอ่ ศลี ธรรม ถอื วา่ เป็ นการใชด้ ลุ พนิ จิ
8. การรับแจง้ การดาเนนิ กจิ การของเอกชน ไมใ่ ชก่ ารใชด้ ลุ พนิ จิ
9. แนวทางการใชด้ ลุ พนิ จิ ของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั อาจพบไดจ้ าก (1) รฐั ธรรมนูญ (2) กฎหมายในเรอื่ ง
นัน้ ๆ (3) ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (4) ประมวลกฎหมายอาญา (5) แนวปฏบิ ตั ขิ องเจา้ หนา้ ทใี่ น
เรอ่ื งนัน้ ๆ
10. บคุ คลหรอื องคก์ รทสี่ ามารถทบทวนการใชด้ ลุ พนิ จิ ทไ่ี มช่ อบของเจา้ หนา้ ทข่ี องรฐั คอื (1) ศาล (2)
รฐั มนตรี (3) นายกรฐั มนตรี (4) คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณ์
11. หากเห็นวา่ เจา้ หนา้ ทใ่ี ชด้ ลุ พนิ จิ โดยไมช่ อบ บคุ คลผถู ้ กู กระทบสทิ ธสิ ามารถดาเนนิ การ (1) ฟ้อง
ศาล (2) ขอใหเ้ จา้ หนา้ ทผ่ี นู ้ ัน้ พจิ ารณาใหม่ (3) อทุ ธรณไ์ ปยงั องคก์ รพจิ ารณาอทุ ธรณ์ (4) รอ้ งเรยี นไปยงั
ผบู ้ งั คบั บญั ชาของเจา้ หนา้ ทผี่ นู ้ ัน้
12. หากเห็นวา่ คาพพิ ากษาของศาลไมถ่ กู ตอ้ ง คคู่ วามสามารถ (1) ฎกี าคาพพิ ากษา (2) อทุ ธรณค์ า
พพิ ากษา
13. ผใู ้ ชก้ ฎหมายสามารถใชก้ ฎหมายใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมไดโ้ ดย ใชก้ ฎหมายตามเจตนารมณข์ อง
กฎหมายนัน้
14. การแกไ้ ขกฎหมายเกดิ ไดจ้ ากเหตผุ ล (1) การเกดิ วกิ ฤตเศรษฐกจิ (2) การปฏริ ปู ระบบราชการ (3)
ความเจรญิ ทางเทคโนโลยี (4) แนวความคดิ ของสงั คมเปลย่ี นไป
15. กฎหมายทส่ี รา้ งความเป็ นธรรมแกส่ งั คม ไดแ้ ก่ กฎหมายทเ่ี หมาะสมแกส่ ภาวการณ์
16. วธิ กี ารตรวจสอบการใชด้ ลุ พนิ จิ ของศาลในการพจิ าณาคดี คอื การอทุ ธรณค์ าสงั่ ของศาล
17. สง่ิ ชว่ ยใหก้ ารใชก้ ฎหมายเกดิ ความเป็ นธรรมไดแ้ ก่ (1) รัฐธรรมนูญ (2) ตวั ผใู ้ ชก้ ฎหมาย (3)
เจตนารมณข์ องกฎหมาย (4) หลกั กฎหมายท่วั ไป เชน่ หลกั ตาม ป.พ.พ.
18. เหตผุ ลของการแกไ้ ขกฎหมายตามหลักการของรฐั ธรรมนูญฯ พทุ ธศกั ราช 2540 ไดแ้ ก่ การมสี ว่ น
รว่ มของประชาชน

หนว่ ยท่ี 15 การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย และจรรยาบรรณของนกั กฎหมาย
1. การประกอบวชิ าชพี กฎหมายแบง่ ออกไดเ้ ป็ นหลายการประกอบวชิ าชพี กฎหมาย โดยตรงไดแ้ ก่

การเป็ นผพู ้ พิ ากษา อยั การ หรอื ทนายความ ซงึ่ อยภู่ ายใตก้ ารควบคมุ ของเนตบิ ณั ฑติ ยสภา สว่ นการ
ประกอบอาชพี กฎหมายโดยท่วั ไป อาจทาไดโ้ ดยเป็ นพนักงานเจา้ หนา้ ทใ่ี นหน่วยงานของรัฐหรอื เอกชน

2. หลกั การของวชิ าชพี กฎหมายโดยทวั่ ไป คอื การอานวยความยตุ ธิ รรมและเป็ นผนู ้ ามตมิ หาชน
นอกจากนผ้ี ปู ้ ระกอบวชิ าชพี กฎหมายยงั ตอ้ งมหี ลกั ธรรมเฉพาะเฉพาะอาชพี ของตนเพอ่ื ทาหนา้ ทบ่ี รกิ าร
ประชาชนใหด้ ที สี่ ดุ และชว่ ยใหเ้ กดิ ความเป็ นธรรมในสงั คม

15.1 การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย
1. วชิ าชพี กฎหมายเป็ นการประกอบวชิ าชพี ซงึ่ มอี งคก์ ารควบคมุ มกี ารศกึ ษาอบรม มเี จตนารมณ์ เพอื่
บรกิ ารประชาชน และเพอื่ อานวยความสะดวกยตุ ธิ รรม
2. การประกอบวชิ าชพี กฎหมายแบง่ ออกไดเ้ ป็ น การประกอบวชิ าชพี กฎหมายโดยตรง ซง่ึ ไดแ้ ก่ การ
เป็ นผพู ้ พิ ากษา อยั การ หรอื ทนายความ อกี ประเภทหนงึ่ คอื การประกอบวชิ าชพี กฎหมายโดยทัว่ ไป โดย
เป็ นพนักงานเจา้ หนา้ ทใี่ นหน่วยงานของรัฐหรอื เอกชน
3. องคก์ ารทค่ี วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมายคอื เนตบิ ณั ฑติ ยสภา

15.1.1 ความหมายของวชิ าชพี กฎหมาย
ใหอ้ ธบิ ายความหมายของ “วชิ าชพี กฎหมาย”
วชิ าชพี กฎหมายเป็ นการศกึ ษาอบรมชนั้ สงู ทเ่ี นน้ ใหผ้ รู ้ บั การศกึ ษาอบรมสามารถนาไปประกอบ
อาชพี เพอ่ื ใหบ้ รกิ ารแกป่ ระชาชนและรกั ษาความยตุ ธิ รรมใหเ้ กดิ ขนึ้ ในสงั คม
15.1.2 การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย
ผสู ้ าเร็จการศกึ ษาเป็ นนติ ศิ าสตรบ์ ณั ฑติ อาจประกอบอาชพี ใดไดบ้ า้ ง

44

ผสู ้ าเร็จการศกึ ษาเป็ นนติ ศิ าสตรบ์ ณั ฑติ อาจประกอบอาชพี ไดด้ ังน้ี
1) ประกอบวชิ าชพี กฎหมายโดยตรง ไดแ้ ก่ การเป็ นผพู ้ พิ ากษา อยั การ หรอื ทนายความ
2) ประกอบอาชพี กฎหมายอนื่ เชน่ เป็ นนติ กิ ร ตารวจ ทหาร อาจารย์ ปลดั อาเภอ หรอื เจา้
พนักงานอน่ื ๆ ในหน่วยงานของรฐั หรอื เป็ นนติ กิ ร หรอื เจา้ หนา้ ทใี่ นหา้ งรา้ น บรษิ ัท และธนาคารพาณชิ ย์
ซงึ่ เป็ นหนว่ ยงานของเอกชน

15.1.3 องคก์ ารทคี่ วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมาย
องคก์ รใดทคี่ วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมายในประเทศไทย
องคก์ ารทค่ี วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมายในประเทศไทยคอื เนตบิ ณั ฑติ ยสภา
15.2 หลกั วชิ าชพี นกั กฎหมาย
1. หลกั การของวชิ าชพี ทางกฎหมาย คอื การอานวยความยตุ ธิ รรมและการเป็ นผนู ้ ามตมิ หาชน
2. ทนายความมหี นา้ ทต่ี อ้ งซอ่ื ตรงตอ่ ตัวเอง ตอ่ ลกู ความ ตเ่ พอื่ นรว่ มอาชพี ตอ่ ชมุ ชน และตอ่ การ
อานวยความยตุ ธิ รรม
3. ผพู ้ พิ ากษาตอ้ งไมม่ ฉี ันทาคติ โทสาคติ และภยาคติ และยงั ตอ้ งมใี จเป็ นธรรม อสิ ระ เปิดเผย เห็น
ใจผอู ้ นื่ และสานกึ ในภาวะสงั คม
4. อยั การเป็ นทนายของแผน่ ดนิ ทัง้ ในคดอี าญาและในคดแี พง่ เป็ นสว่ นหนง่ึ ของราชการ อานวยความ
ยตุ ธิ รรม มอี สิ ระในการดาเนนิ คดคี วามแทนรัฐ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชน

15.2.1 หลกั การของวชิ าชพี ทางกฎหมาย
หลกั การของวชิ าชพี ทางกฎหมายทน่ี ักกฎหมายโดยทวั่ ไปพงึ ตอ้ งมนี ัน้ มปี ระการใดบา้ ง
หลกั การวชิ าชพี ทางกฎหมาย คอื การอานวยความยตุ ธิ รรมและการเป็ นผนู ้ ามตมิ หาชน

หากกฎหมายไมส่ อดคลอ้ งกบั ความยตุ ธิ รรม นักกฎหมายควรปฏบิ ตั อิ ยา่ งไร
หากกฎหมายไมส่ อดคลอ้ งกบั ความยตุ ธิ รรม นักกฎหมายควรตอ้ งแกไ้ ขกฎหมายเขา้ สคู่ วาม
ยตุ ธิ รรม และหากยงั ไมอ่ าจแกไ้ ขกฎหมายได ้ กต็ อ้ งใชก้ ฎหมายใหไ้ ดค้ วามยตุ ธิ รรมมากทสี่ ดุ โดยบรรเทา
ความไมย่ ตุ ธิ รรมใหเ้ หลอื นอ้ ยทสี่ ดุ

เหตใุ ดนักกฎหมายจงึ มกั จะเป็ นผนู ้ ามตมิ หาชนอยเู่ สมอ
เหตทุ น่ี ักกฎหมายเป็ นผนู ้ ามตมิ หาชน เพราะ
1) โดยสภาพของงานวชิ าชพี ทางกฎหมาย นักกฎหมายเป็ นคนกลางประสานประโยชนข์ องกลมุ่
ตา่ งๆในสงั คม
2) ภารกจิ ของนักกฎหมายมสี ว่ นสาคญั และมอี ทิ ธพิ ลในการกาหนดนโยบาย และการตัดสนิ ใจ
ของวงการธรุ กจิ เอกชนและกจิ การของรฐั
3) ความกลา้ ในการแสดงความคดิ เห็นตอ่ มหาชนอยา่ งมเี หตผุ ล

15.2.2 หลกั ธรรมของทนายความ
นักกฎหมายมหี นา้ ทใี่ นทางวชิ าชพี ทจี่ ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ผอู ้ นื่ อยา่ งไร
นักกฎหมายมหี นา้ ทใ่ี นทางวชิ าชพี ทจี่ ะตอ้ งปฏบิ ตั ติ อ่ ผอู ้ น่ื ดงั น้ี คอื
1) หนา้ ทต่ี อ้ งซอ่ื ตรงตอ่ ลกู ความ
2) หนา้ ทต่ี อ้ งซอ่ื ตรงตอ่ กจิ การอานวยความยตุ ธิ รรม ซงึ่ ไดแ้ ก่ ผพู ้ พิ ากษา อยั การ ตัวความและ
พยานในคดี
3) หนา้ ทซี่ งึ่ ตรงตอ่ เพอ่ื นรว่ มวชิ าชพี
4) หนา้ ทซ่ี อ่ื ตรงตอ่ ชมุ ชน โดยสง่ เสรมิ ความยตุ ธิ รรมใหเ้ กดิ ขนึ้ ทัง้ ในและนอกศาล

15.2.3 หลกั ธรรมของผพู้ พิ ากษา
ผพู ้ พิ ากษาจะตอ้ งมหี ลักธรรมประการใดบา้ งจงึ จะประสาทความยตุ ธิ รรมใหแ้ กป่ ระชาชนได ้
ผพู ้ พิ ากษาจะตอ้ งมหี ลักธรรม คอื ปราศจากคตสิ ป่ี ระการคอื ฉันทาคติ โทสาคติ โมหาคติ และ
ภยาคติ และนอกจากคตดิ ังกลา่ วแลว้ ผพู ้ พิ ากษายงั ตอ้ งมหี ลกั ธรรมทยี่ ดึ ปฏบิ ตั อิ กี ดงั นคี้ อื (1) ตอ้ งเป็ น
อสิ ระไมถ่ กู อทิ ธพิ ลแทรกแซง (2) ใหค้ วามสะดวกและเป็ นธรรมในการพจิ ารณาคดี (3) การพจิ ารณาคดี
ตอ้ งเปิดเผยไมง่ บุ งบิ ตกุ ตกิ (4) ในคาสงั่ หรอื คาพพิ ากษาตอ้ งมเี หตมุ ผี ลและกะทัดรดั (5) ความยตุ ธิ รรม
ตอ้ งมโี ดยรวดเร็วและทวั่ ถงึ แมแ้ กค่ นทยี่ ากจนไมส่ ามารถจบั จา่ ยในทางคดไี ด ้

45

15.2.4 หลกั ธรรมของขา้ ราชการอยั การ
หลกั ธรรมของอยั การนัน้ มปี ระการใดบา้ ง จงึ จะชว่ ยใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมในการดาเนนิ คดี
หลกั ธรรมของอยั การนัน้ นอกจากจะมคี ตเิ ชน่ เดยี วกบั นักกฎหมายโดยทวั่ ไป แลว้ ยงั ตอ้ งมคี ติ
เพมิ่ เตมิ ดังนี้ คอื
1) มอี สิ ระในการทางาน เพอื่ ใหเ้ กดิ ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชน
2) สานกึ ในหนา้ ที่ เพอื่ อานวยความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชนเป็ นใหญย่ งิ่ กวา่ อนื่ ใด ไมม่ งุ่ จะเอา
จาเลยเขา้ คกุ ทกุ เรอื่ งไป
3) การสง่ั ฟ้องคดหี รอื ไมฟ่ ้องคดตี อ้ งทาโดยมเี หตผุ ล เพอื่ ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชน
4) การพจิ ารณาใชด้ ลุ พนิ จิ ในการสง่ั คดี การอทุ ธรณ์ ฎกี า ควรใชค้ วามเออื้ เฟ้ือนกึ ถงึ ประโยชน์
เทยี บกบั ความเดอื ดรอ้ นของจาเลยในคดี

แบบประเมนิ ตนเองหนว่ ยท่ี 15

1. วชิ าชพี กฎหมายคอื วชิ าชพี ซงึ่ มอี งคก์ าร การศกึ ษาอบรม และอดุ มการณ์เพอ่ื บรกิ ารประชาชน
2. ผทู ้ ป่ี ระกอบอาชพี กฎหมายโดยตรงคอื ทนายความ
3. ผจู ้ ัดการธนาคารพาณชิ ย์ ไมถ่ อื วา่ เป็ นการประกอบวชิ าชพี กฎหมาย
4. องคก์ ารทค่ี วบคมุ การประกอบวชิ าชพี กฎหมายในประเทศไทยคอื องคก์ ารเนตบิ ณั ฑติ สภา
5. หลกั การของวชิ าชพี กฎหมายคอื การอานวยความยตุ ธิ รรมและการเป็ นผนู ้ ามตมิ หาชน
6. ทนายความยอ่ มมพี ันธะตอ่ ลกู ความคอื (1) ตอ้ งอทุ ศิ ตนเพอ่ื ประโยชนข์ องลกู ความ (2) ตอ้ งรักษา
ความลบั ของลกู ความ
7. ทนายความมหี นา้ ทต่ี อ่ ศาลคอื ไมเ่ สยี้ มสอนพยานใหเ้ บกิ ความเท็จ หรอื อาพรางพยานหลกั ฐาน
ใดๆ
8. ทนายความมหี นา้ ทต่ี อ่ ประชาชนคอื คัดคา้ นผทู ้ ขี่ าดคณุ สมบตั หิ รอื มปี ระวตั หิ รอื พฤตกิ ารณอ์ นั ไม่
เหมาะสมเขา้ มาเป็ นผรู ้ ว่ มวชิ าชพี
9. ผพู ้ พิ ากษาทดี่ ตี อ้ งประพฤตติ นดังนี้ พจิ ารณาคดโี ดยเปิดเผย ไมง่ บุ งบิ ตกุ ตกิ
10. อยั การทด่ี ตี อ้ งประพฤตติ นโดย คานงึ ถงึ ความยตุ ธิ รรมแกป่ ระชาชนยงิ่ กวา่ อนื่ ใด

-------------------------------------------------


Click to View FlipBook Version