คำพิพากษา
รางวัลซีไรต์ปี 2525
01
คำพิพากษา
รางวัลซีไรต์ประจำปี 2525
ผู้แต่ง ชาติ กอบจิตติ
ประเภท นวนิยาย
พิมพ์ขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2525
02
ประวัติของผู้แต่ง
ชาติ กอบจิตติ เกิดเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2497ที่บ้านริม
คลองหมาหอน ตำบลบ้านบ่อ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร
เป็นบุตรคนที่สอง ในจำนวนพี่น้องผู้หญิง 5 คน และผู้ชาย 4
คน รวม 9 คน ชื่อเดิมคือสุชาติ แต่เขาเห็นว่ามีคนใช้ชื่อนี้กัน
มาก จึงเปลี่ยนมาเป็น "ชาติ"
เขาเริ่มเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดใหญ่ บ้านปอ แล้วย้ายไป
เรียนที่โรงเรียนเอกชัยในจังหวัดเดียวกัน เพราะไปอยู่กับยาย
ชั่วคราว เมื่อพ่อไปค้าทรายที่ราชบุรี เขามาเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 1 ที่โรงเรียนปทุมคงคาเมื่อ พ.ศ.2509 โดยอาศัยอยู่กับพระ
ซึ่งเป็นเพื่อนของอาที่วัดตะพาน พอเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปี 3
แล้วก็เรียนต่อเพาะช่าง ในสาขาภาพพิมพ์
03
ประวัติของผู้แต่ง
เขาแต่งงานเมื่อ พ.ศ.2520 กับเพื่อนสาวที่เรียนจบเพาะช่างมาด้วยกัน ชื่อ รุจิรา เตชะศีลพิทักษ์ ซึ่งรับ
ราชการอยู่กองโบราณคดี แผนกซ่อมจิตรกรรมฝาผนัง กรมศิลปากร แล้วลาออก ซึ่งต่อมาได้ช่วยกันทำ
กระเป๋าไปฝากขายตามห้าง ซึ่งมีรายได้ดี เคยได้รวมงานกับรุ่นน้องที่เพาะช่างทำสำนักพิมพ์ “สายธาร”
พิมพ์หนังสือออกมาหลายเล่ม วันหนึ่งได้นำเรื่องสั้นชื่อว่า “ผู้แพ้” มาให้เรืองเดช อ่านซึ่งตอนนั้นเรืองเดช
ได้รวมงานกันอยู่ เรืองเดชได้อ่านแล้วเห็นว่าเรื่องนี้ดีเลยส่งไปให้สุชาติสวัสดิ์ศรีที่กำลังทำ “โลกหนังสือ”
อยู่ในขณะนั้นพิจารณา ปรากฏว่าเรื่องสั้น ของชาติ กอบจิตติ ได้ลงพิมพ์ในโลกหนังสือฉบับเรื่องสั้นชุด
“คลื่นหัวเดิ่ง” เมื่อพ.ศ.2522 และเป็นหนึ่งในสองเรื่องที่ได้รับรางวัล “ช่อการะเกด” ของสุชาติ สวัสดิ์ศรี ซึ่ง
ถือกันว่าเป็นรางวัลที่ได้มาตรฐานมากที่สุดรางวัลหนึ่งและเรื่องเดี่ยวกันนี้ ยังได้รางวัลชมเชยจากการคัด
เลือกเรื่องสั้นดีเด่นประจำปี 2522 ของสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
04
ประวัติของผู้แต่ง
ระหว่างพ.ศ. 2532 – 2535 ได้เดินทางไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกาและออสเตรเลีย ได้มีผลงานออกมาจากการ
เขียนเรื่องสั้นบันทึกชีวิตที่นั้นบางเรื่อง จนพ.ศ. 2536 ก็จัดพิมพ์นวนิยายเรื่อง “เวลา” โดยสำนักพิมพ์
“หอน” ของตัวเอง ปรากฏว่าได้รับรางวัลซีไรต์ ประจำปี 2537 นับเป็นนักเขียนคนแรกที่ได้รับรางวัลซีไรต์
ซ้ำเป็นครั้งที่ 2 และเรื่องเดียวกันนี้ได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นจากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ
และกระทรวงศึกษาธิการประจำปี 2537
05
รางวัลที่ได้รับและ
งานที่ได้รางวัล
ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปี พ.ศ. 2547
เรื่องสั้นเรื่อง ผู้แพ้ ได้รับรางวัล ช่อการะเกด และรางวัลชมเชยจากการคัดเลือกเรื่องสั้นดีเด่นประจำปี
2522 จากสมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย
คำพิพากษา : 2524 (รางวัลซีไรต์) นวนิยาย พิมพ์เผยแพร่มากกว่า20 ครั้ง
นวนิยายเรื่อง เวลา พ.ศ. 2536 ได้รับรางวัลซีไรท์ เป็นครั้งที่ 2 ปี 2537 และได้รับรางวัลนวนิยายดีเด่นจาก
คณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ กระทรวงศึกษาธิการ ประจำปี 2537
06
เนื้อเรื่อง
กล่าวถึง “ฟัก” เด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งห่าง
ไกลความเจริญ ตอนฟักยังเล็ก ครอบครัวของเขามีฐานะยากจน เขา
และพ่อจึงต้องคอยพึ่งพาอาศัยวัดมาโดยตลอด กระทั่งโรงเรียนเปิด
รับภารโรงคนใหม่ พ่อของฟักจึงได้เข้าไปทำงานนับแต่นั้น ส่วนตัวฟัก
เอง ก็ได้เข้าไปบวชเรียน ประกอบกับเป็นคนที่เฉลียวฉลาด ทั้งยังมี
ความประพฤติดี จึงได้รับความนับถือจากบรรดาชาวบ้านเป็นอันมาก
ดูเหมือนชีวิตฟักจะดีขึ้น แต่ไม่เลย เพราะหลังจากที่ฟักบวชเรียนได้
ไม่นาน พ่อของฟักก็ได้ไปนำเมียใหม่เข้ามาอยู่ด้วย อีกทั้งหญิงคนนั้น
ยังไม่ค่อยเต็มมากนัก แต่เพราะฟักอยากให้พ่อมีความสุข เพราะตั้งแต่
แม่ตายไป พ่อก็ไม่ได้มีใครอีก ดังนั้นฟักจึงไม่ได้ว่าอะไร
07
เนื้อเรื่อง
ทว่าไม่นาน สวรรค์ในทางธรรมของฟักก็ต้องสิ้นสุดลง เมื่อพ่อของเขาเสียชีวิต ดังนั้นฟักจึงต้องลา
จากทางธรรมออกมาเพื่อเป็นภารโรงต่อจากพ่อ อีกทั้ง แต่เดิมส่วนตัวฟักเองยังคงคิดอยู่เสมอว่า ตน
เป็นภาระให้แก่พ่อ ถ้าตนไม่สึกออกไป ก็ดูเหมือนจะเอาเปรียบพ่อ ให้พ่อหาเลี้ยงเมียเพียงลำพัง ยิ่งพ่อมา
จากไป เมียของพ่อ ซึ่งไม่ค่อยเต็มมากนักจะอยู่ได้อย่างไร สุดท้าย สมบัติสิ่งสุดท้ายที่พ่อทิ้งเอาไว้ให้เขา ก็
คือเมียของพ่อ กับตำแหน่งภารโรงนั่นเอง
เหตุการณ์เลวร้ายลง เมื่อนางสมทรงเมียที่จิตไม่ปกติของพ่อ อยู่ๆ ก็ไปประกาศต่อหน้าคนมากมายว่า
ฟักคือผัวตน ครั้นชาวบ้านได้ยิน ก็เกิดเชื่อขึ้นมา ว่าฟักเป็นคนไม่ดี กระทั่งเมียของพ่อแท้ๆ ยังไม่เว้น ไม่ว่า
ฟักจะแก้ตัวยังไง ก็หามีใครรับฟังไม่ คนหมู่มากพอใจที่จะเชื่อเช่นนั้น มีหรือที่ความเป็นจริงจากปากคนคน
เดียวจะเกิดผลใด
08
เนื้อเรื่อง
ฟักต้องอยู่อย่างฝืนทนตลอดมา เขาทำงานหามรุ่งหามค่ำ ใช้งานรักษาจิตใจที่อดสูให้ไม่คิดมากกับคำ
พูดของใคร แต่เพราะนางสมทรงมักหาเรื่องมาให้ฟักอยู่เรื่อยๆ ดังนั้นชีวิตเขาจึงมีแต่บรรดาปัญหาแวะเวียน
มาอย่างไม่ขาดช่วง กระทั่งไม่มีใครอยากจ้างเขาทำงาน แต่ยังดีที่ครูใหญ่ ซึ่งเป็นครูประจำโรงเรียนในชุมชน
ยังคงจ้างฟักต่อไป
เหตุการณ์เริ่มเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อในงานเผาศพของพ่อฟัก นอกจากสัปเหร่อ กับนางสมทรงแล้ว กลับ
ไม่มีชาวบ้านคนใด มางานศพเลยแม้แต่น้อย ด้วยความโศกเศร้าน้อยใจ ฟักจึงเผลอกินเหล้าที่สัปเหร่อนำมา
ให้เข้าไปเป็นจำนวนมาก จนเมาไม่รู้เรื่อง ทำให้สัปเหร่อต้องเดินไปส่งถึงบ้าน
09
เนื้อเรื่อง
ฟักรู้สึกติดใจในอาการมึนเมาของเหล้า เนื่องจากเวลาเมาไม่ต้องสนสายตาใคร อยากทำอะไรก็ทำ เหล้า
มอบความกล้าให้แก่เขา ดังนั้นทุกวี่วัน ชายหนุ่มจึงอยู่แต่กับเหล้า จนงานการไม่ทำ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นบ่อย
ครั้ง กระทั่งวันหนึ่ง มีเด็กกลุ่มหนึ่งมาตามให้ฟักไปเปิดประตูห้องเรียน เนื่องจากฟักโมโหกับคำพูดล้อเลียน
ของเด็กๆ จึงเผลอทำเด็กบาดเจ็บจนเกิดเรื่องขึ้น
ทุกคนมองฟักในแง่ลบเพิ่มขึ้น ฟักดื่มหนักจนสุขภาพแย่ลงทุกวัน ยิ่งภายหลังเขาไปถามเอาเงินที่เขา
ฝากไว้กับครูใหญ่ แต่ครูใหญ่กับตอบปฏิเสธที่จะให้ บอกว่าฟักไม่ได้ฝากเงินไว้กับตน ด้วยความโมโห ฟักจึง
ประกาศบอกให้คนอื่นๆ รู้ว่าตนโดนโกง แต่ไม่มีใครเชื่อ แถมยังถูกขังคุก กระทั่งครูใหญ่หวังเอาหน้าไปช่วย
ฟักออกมา โดยแลกกับที่ฟักยอมก้มกราบ ฟักจึงได้ออกจากคุก ในสุดท้าย ฟักตรอมใจ หมดสิ้นแล้วทุกสิ่ง
ทุกอย่าง ตายลงด้วยพิษเหล้าในที่สุด
10
ปมขัดแย้ง
"ฟัก"ถูกกล่าวหาว่าประพฤติผิดในกามกับ"สมทรง"ซึ่งเป็นแม่เลี้ยง
ถูกผลักออกจากการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม
11
เน้นย้ำปมปัญหาเดิม
เพิ่มอุปสรรคและความยากลำบากแก่ฟักให้หนักหนายิ่งขึ้น
สมทรงผู้เป็นเหตุที่ทำให้ชีวิตของฟักพลิกผันและเจอกับปัญหามากขึ้นเรื่อยๆ
12
จุดวิกฤต
ฟักถูกครูใหญ่โกงเงิน
ฟักประนามครูใหญ่แต่ไม่มีใครเชื่อฟัก เพราะทุกคนเชื่อว่าครูใหญ่เป็นคนดี
ฟักถูกจับตัวไปคุมขังในคุก
13
จุดคลี่คลาย
ฟักถูกปล่อยตัวแต่ไม่นานก็ตายลงเพราะพิษเหล้า
ร่างของฟักถูกนำไปทดลองเตาเผาแบบใหม่
ร่างของฟักไม่ได้รับการประกอบพิธีศาสนา
ชาวบ้านยังคงกล่าวถึงฟักในทางแย่ๆต่อไป
14 การจบเรื่อง
เป็นการจบแบบโศกนาฏกรรม
ฟักไม่มีโอกาศที่จะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเอง
แก่นเรื่อง
การพูดว่าร้ายถึงคนอื่นโดยที่ไม่ใช่เรื่องจริง อาจทำให้คนที่ถูกพูดถึงนั้นถูกตัดสินว่าเป็น
คนไม่ดี และโดนสังคมรังเกียจไปตลอดชีวิตจนไม่สามารถที่จะกลับเข้ามาในสังคมได้
15
สื่ อที่อื่ นๆดัดแปลงมากจาก
คำพิพากษา
คำพิพากษา ถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่
ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2532
ครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2547 ชื่อเรื่อง "ไอ้ฟัก"
คำพิพากษา ถูกนำไปสร้างเป็นละครโทรทัศน์ทาง สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ในปี พ.ศ. 2527
ละครเพลง คำพิพากษา ครั้งแรกแห่งปรากฏการณ์บนเวทีละครเพลง ที่มุมมองและการนำเสนอแตกต่างจากทุกครั้งที่ผู้ชม
เคยสัมผัส โดยรักษาแก่นแท้แห่งโศกนาฏกรรมของสามัญชนไว้อย่างไม่บิดเบือน เพื่อสร้างโลกเสมือนที่เราล้วน “พิพากษา”
และ “ถูกพิพากษา” อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว
ละครเพลง คำพิพากษา นำไปจัดแสดงเป็นผลงานนวัตกรรมด้านศิลปะการแสดงสมัยใหม่ตัวแทนของประเทศไทย ในงาน
World Symposium on Global Encounters in Southeast Asian Performing Arts ที่จัดขึ้นในประเทศไทย ที่ Black
Box Theatre มหาวิทยาลัยกรุงเทพ วิทยาเขตรังสิต
16
คำถามจากเรื่องคำพิพากษา
17 คำถาม:ผู้แต่งเรื่องคำพิพากษามีชื่อว่าอะไร
ชาติ กอบกิตติ ชาติ จอบกิตติ
ชาติ กอบจิตติ จาติ จอบจิตจิ
18 คำถาม:ตัวเอกของเรื่องคำพิพากษาคือใคร
สมชาย ฟัก
แฟ้ก สมทรง
19 คำถาม:ชาติ กอบจิตติได้เป็นศิลปินแห่งชาติใน
ปีใด
พ.ศ.2547 พ.ศ.2525
พ.ศ.2564 พ.ศ.2537
20 คำถาม:ใครเป็นคนที่ทำให้ฟักกลายเป็นที่รังเกียจ
สมทรง ครูใหญ่
สัปเหร่อ ชาติ
21 คำถาม:หนังสือของชาติ กอบจิตติที่ได้รับรางวัล
ซีไรต์อีกเล่มคือเรื่องอะไร
ในเวลา อมตะ
คนแคระ เวลา
22
อ้างอิง
http://www.praphansarn.com/home/content/1085
https://www.suriyan.name/node/12
http://sayachai.blogspot.com/2011/02/blog-post_19.html