ร า ย วิ ช า วิ ธี พิ จ า ร ณ า ค ว า ม อ า ญ า 2
เสนอ
การไต่สวน
มูลฟ้อง
จั ด ทำ โ ด ย
น า ย อ า นั ส อั บ ดุ ล เ ล า ะ
622081089
สารบัญ
รายวิชาวิธีพิจารณาความอาญา 2
การไต่สวน หน้า
มูลฟ้อง 2-7
8
เรื่อง 9-10
11-12
1 การสั่งไต่สวนข้อมูลฟ้อง 13-14
2 วิธีการไต่สวนมูลฟ้อง 15
2.1หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการนำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง 16
2.2หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสอบถามคำให้การจำเลย 17-23
2.3หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการไต่สวนมูลฟ้องต่อหน้าจำเลย
2.4หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมีฐานะเป็น "จำเลย"
3จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
4ผลของการไต่สวนมูลฟ้อง
การไต่สวนมูลฟ้ อง
การไต่สวนมูลฟ้อง เป็นขั้นตอนหนึ่งของการดำเนินคดีอาญาในศาลชั้นต้น และ
เป็นขั้นตอนของการดำเนินกระบวนพิจารณาที่กฎหมายกำหนดให้ศาลชั้นต้นปฏิบัติต่อจาก
กระบวนพิจารณาชั้นตรวจรับคำฟ้องตามมาตรา ๑๖๑ กล่าวคือหากศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้อง
แล้วเห็นว่า "ฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมาย" ศาลชั้นต้นต้องสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง
สั่งยกฟ้องหรือสั่งไม่ประทับฟ้องจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องได้ เพราะการไต่สวนมูลฟ้องจะกระทำ
ได้ต่อเมื่อผ่านขั้นตอนของมาตรา ๑๖๑ แล้ว ดังจะเห็นได้จากความตอนต้นของมาตรา ๑๖๒
ที่บัญญัติว่า "ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ให้ศาลจัดการสั่ง...." และวัตถุประสงค์
ของการไต่สวนมูลฟ้องนั้นก็เพื่อให้ศาลได้ไต่สวนพยานหลักฐานโจทก์ในเบื้องต้นเสียก่อนว่า
คดีอาญาที่โจทก์นำมายื่นฟ้องจำเลยต่อศาลนั้น โจทก์มีพยานหลักฐานเบื้องตันเพียงพอที่
จะพิสูจน์ความผิดของจำเลยในชั้นพิจารณาได้หรือไม่ หากผลการไต่สวนมูลฟ้องปรากฏว่า
คดีมีมูล ศาลก็จะได้มีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะกระทงที่มีมูล ถ้าคดีไม่มีมูล
ก็จะพิพากษายกฟ้องไปตามมาตรา ๑๖๗ จึงเห็นเจตนารมณ์ของการกระบวนการไต่สวน
มูลฟ้องได้ว่าเป็นขั้นตอนของการดำเนินคดีอาญาเพื่อเป็นหลักประกันว่าจำเลยจะไม่ถูกโจทก์
กลั่นแกล้งฟ้องร้องโดยไม่มีมูลความจริง
1
1- การสั่งไต่สวนมูลฟ้ อง
มาตรา ๑๖๒ บัญญัติว่า "ถ้าฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้วให้ศาลจัดการสั่งต่อไปนี้
(๑) ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ให้ไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าคดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้อง
จำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้ว ให้จัดการตามอนุมาตรา (๒)
(๒) ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าศาลเห็น
สมควรจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้ในกรณีที่มีการไต่สวนมูลฟ้องดังกล่าวแล้ว ถ้าจำเลยให้การรับ
สารภาพ ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณา"การไต่สวนมูลฟ้องเป็นขั้นตอนของการดำเนินกระบวนพิจารณา
ภายหลังจากศาลเห็นว่า "ฟ้องถูกต้องตามกฎหมายแล้ว"ถ้อยคำตอนต้นของมาตรา ๑๖๒ ที่ว่า "ถ้าฟ้องถูก
ต้องตามกฎหมายแล้วให้ศาลจัดการสั่งต่อไปนี้..." แสดงให้เห็นว่ามาตรา ๑๖๒ เป็นขั้นตอนการดำเนินคดีที่
ศาลต้องปฏิบัติต่อจากขั้นตอนในมาตรา ๑๖๑ ซึ่งเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นตรวจคำฟ้อง กล่าวคือ
ในการตรวจคำฟ้อง หากศาลเห็นว่าคำฟ้องของโจทก์มีข้อบกพร่องที่พอจะสั่งให้แก้ไขได้
ศาลก็จะมีคำสั่งตามมาตรา ๑๖๑ ให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง หรือหากบกพร่องถึงขนาด
ที่ไม่อาจสั่งให้แก้ฟ้องให้ถูกต้องได้ก็ต้องสั่ยกฟ้องหรือไม่ประทับฟ้อง แต่หากศาลตรวจ
คำฟ้อง หรือคำฟ้องที่โจทก์แก้ไขตามคำสั่งศาลแล้ว เห็นว่าเป็นฟ้องที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว
มาตรา ๑๖ ได้กำหนดขั้นตอนให้ศาลปฏิบัติโดยให้ศาลจัดการสั่งตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติ
ไว้ในมาตรา ๑๖๒ (๑) และ (๒) ซึ่งขึ้นอยู่กับว่า เป็นคดีราษฎรเป็นโจทก์ หรือ พนักงาน
อัยการเป็นโจทก์
2
ในคดีราษฎรเป็นโจทก์
ตามมาตรา ๑๖๒ (๑) ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ กฎหมายบัญญัติในลักษณะเชิง
บังคับว่าให้ศาลสั่งไต่สวนมูลฟ้อง ย่อมหมายความว่าคดีอาญาที่ราษฎรหรือผู้เสียหาย
เป็นโจทก์ยื่นฟ้องเองตามสิทธิของตนในมาตรา ๒๘ (๒) นั้น ศาลจะด่วนสั่งประทับฟ้องโดยไม่ไต่สวนมูล
ฟ้องก่อนไม่ได้ เว้นแต่จะต้องด้วยข้อยกเว้นว่า คดีนั้นพนักงานอัยการ
ได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วยแล้วก็ให้จัดการตามมาตรา ๑๖๒ (๒)
๑.๒ ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์สำหรับกรณีตามมาตรา ๑๖๒ (๒) ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์
นั้น กฎหมายมิได้บัญญัติในลักษณะบังคับให้ต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนเหมือนกรณีราษฎรเป็นโจทก์ตาม
มาตรา๑๖๒ (๑) แต่บัญญัติในลักษณะเป็นดุลพินิจของศาลว่า ในคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์
ไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง แต่ถ้าศาลเห็นสมควรจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้ ดังนั้น
ในทางปฏิบัติ คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ศาลมักจะมีคำสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
ทันที เพราะศาลมิได้อยู่ในบังคับต้องสั่งให้ใต่สวนมูลฟ้องก่อนเหมือนคดีราษฎรเป็นโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ศาลต้องสั่งไต่สวนมูลฟ้อง
๑.๓ มูลเหตุที่กฎหมายกำหนดให้ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อนในคดีราษฎรเป็นโจทก์
3
เหตุผลสำคัญที่ทำให้ขั้นตอนการไต่สวนมูลฟ้องกฎหมายบัญญัติไว้แตกต่างกันในคดี
ที่ราษฎรเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้น เป็นเพราะว่าคดีที่พนักงานอัยการเป็น
โจทก์ มาตรา ๑๒- วางหลักการสำคัญว่า ห้ามมิให้พนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีใดต่อศาล
โดยมิได้มีการสอบสวนในความผิดนั้นมาก่อน ดังนั้น คดีใดที่พนักงานอัยการจะเป็นโจทก์
ยื่นฟ้องจำเลยได้ คดีนั้นจะต้องผ่านกระบวนการสอบสวนพิจารณาสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง
ของพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมาแล้ว และผ่านกระบวนการพิจารณาสั่งคดีของพนักงาน
อัยการ ซึ่งมีระบบตรวจสอบดุลและคานอำนาจกันระหว่างพนักงานสอบสวนและพนักงาน
อัยการรวมทั้งผู้ว่าราชการจังหวัดผู้บัญชาการหรือรองผู้บัญชาการ ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาของ
พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และอัยการสูงสุดตามที่บัญญัติ
ไว้ในมาตรา ๑๔. ถึงมาตรา ๑<๕ และมาตรา ๑๔๕/ ๑ ครบถ้วนตามกระบวนการยุติธรรม
แล้ว จึงเป็นหลักประกันความยุติธรรมเบื้องต้นว่า คดีที่พนักงานอัยการยื่นฟ้องต่อศาลนั้น
น่าจะมีมูลเพียงพอที่ศาลจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาได้โดยไม่จำเป็นที่ศาลต้องไต่สวน
มูลฟ้องก่อน เพราะไม่มีข้อน่าห่วงใยว่าจำเลยจะถูกกลั่นแกล้งฟ้องร้องโดยไม่มีมูลความจริง
แต่คดีที่ราษฎรเป็นโจทก์นั้น ราษฎรมีอำนาจฟ้องคดีโดยไม่จำต้องมีการสอบสวนความผิดนั้น
มาก่อนเหมือนคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์แต่อย่างใด การยื่นฟ้องคดีอาญาของราษฎรนั้น
4
จึงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของราษฎรผู้เสียหายเองว่าจะยื่นฟ้องจำเลยหรือไม่ โดยไม่มีระเบียบ
กฎเกณฑ์ใด ๆ ทั้งมิได้มีการตรวจสอบพยานหลักฐานของเจ้าหน้าที่ในกระ
ยุติธรรมฝ่ายใดมาก่อนด้วย ดังนั้น ก่อนที่ศาลจะประทับรับฟ้องคดีที่ราษฎรเป็นโจทก์ไ
รณา กฎหมายจึงบัญญัติในเชิงบังคับห้ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องก่อน ศาล
นบังคับต้องไสวนมูลฟ้องก่อนได้ก็ต่อเมื่อคดีนั้นพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลยโ
อย่างเดียวกันด้วยแล้ว ซึ่งในกรณีเช่นนี้กฎหมายบัญญัติให้ศาลจัดการตามอนุมาตรา (๒)
กล่าวคือ จะสั่งให้ใต่สวนมูลฟ้องก่อนหรือไม่ก็ได้แล้วแต่ดุลพินิจของศาล
๑.๔ ผลของการที่ศาลปฏิบัติไม่ถูกต้องตามมาตรา ๑๖๒ (๑)
เมื่อมาตรา ๑๖๒ (๑) บัญญัติในเชิงบังคับว่าคดีราษฎรเป็นโจทก์ศาลต้องไต่สวน
มูลฟ้องก่อน ศาลจะด่วนสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ไต่สวนมูลฟ้องก่อนไม่ได้
ดังนั้น หากศาลชั้นต้นมิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามขั้นตอนของกฎหมายดังกล่าว กระบวน
พิจารณาที่ศาลชั้นต้นได้กระทำไปหลังจากนั้น ย่อมพลอยไม่ชอบด้วยกฎหมายไปด้วย
และศาลสูงจะใช้อำนาจตามมาตรา ๒๐๘ (๒) ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้อง
และพิจารณาพิพากษาใหม่ โดยแสดงเหตุผลและความจำเป็นที่ต้องรักษาระบบวิธีการ
ไต่สวนมูลฟ้องเพื่อวินิจฉัยมูลคดีก่อนประทับฟ้องไว้ในเหตุผลแห่งคำวินิจฉัยในคำพิพากษา
ฎีกาที่ ๔๗๗/๒๕๐๘ ดังนี้
5
....สลฎีกาเห็นว่า ในคดีอาญาที่ราษฎรเป็นโจทก์ กฎหมายบัญญัติให้ศาลดำเนินกระบวนไต่สวนเพื่อ
วินิจฉัยมูลคดีก่อนประทับฟ้อง จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องโดยตั้งทนายให้ชักค้านพยานโจทก์
ด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือจำเลยจะไม่มา แต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ก่อนศาลประทับฟ้องมิให้
ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น เมื่อกระบวนไต่สวนเสร็จแล้ว ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไป
เฉพาะกระทงที่มีมูล ตามประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๑๒), ๑๖๒, ๑๖๕, ๑๖๗ ทั้งนี้เพื่อศาลจักได้กลั่นกรอง
ชั้นหนึ่งเสียก่อนว่า การกระทำของจำเลยที่ถูกราษฎรด้วยกันเองฟ้องร้องกล่าวหานั้น มีมูลจะประทับ
ฟ้องให้ตกเป็นจำเลยอยู่ในอำนาจของศาลจะทำการพิจารณาพิพากษาต่อไปหรือไม่ นเป็นวิธีป้องกัน
การแกล้งบีบบังคับโดยทางตรงหรือทางอ้อมที่จะนำความเดือดร้อนมาสู่ราษฎรด้วยกันเองโดยไม่จำเป็น
จึงเป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับ
ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน แม้ไม่มีฝ่ายใดโต้แย้งไว้ ศาลฎีกาก็
หยิบยกขึ้นมาวินิจฉัยได้...."นอกจากนี้คำพิพากษาฎีกาที่ ๔๗๓/๒๕-๘ ยังให้เหตุผลแห่งคำวินิจฉัย
เกี่ยวกับเหตุผลและความจำเป็นที่ควรย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องก่อนเพื่อรักษา
ระบบการไต่สวนมูลฟ้องให้ดำรงอยู่เพื่อความเป็นธรรมแก่จำเลยต่อไปว่า
6
"....ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ระยะเวลาไต่สวนมูลฟ้องล่วงเลยมาถึงชั้นพิจารณาแล้ว เมื่อศาลประทับฟ้อง
จำเลยก็ไม่คัดค้าน จะยกกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบย้อนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่
จะไม่เกิดประโยชน์อันใดอาจเป็นผลร้ายแก่จำเลยยิ่งขึ้นก็ได้นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ประโยชน์สำหรับจำเลย
ในคดีนี้อาจไม่เกิด แต่จะเป็นแบบอย่างเสียประโยชน์ในอนาคต โดยผู้ใดจะตกมาเป็นจำเลยของศาล ผู้
นั้นอาจจะไม่ได้รับการกลั่นกรองจากพยานโจทก์โดยการวินิจฉัยของศาลถึงมูลคดีเสียขั้นหนึ่งก่อนก่อน
ศาลประทับฟ้อง แม้อาจเป็นผลร้ายแก่จำเลยนี้ยิ่งขึ้น เมื่อจำเลยได้กระทำความผิดจริงก็เป็นการสมควร
แล้วที่จำเลยจะได้รับผลร้ายนั้น ๆ เพื่อรักษาระบบการไต่สวนมูลฟ้องให้ดำรงอยู่ตามตัวบทกฎหมายอัน
เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชนดังกล่าวมาแล้วข้างต้น ที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า
ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาพิพากษา
ใหม่นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และศาลชั้นต้นเฉพาะที่เกี่ยวกับ
จำเลยในคดีนี้ โดยให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณาพิพากษาต่อไปตามมูลแห่ง
คดี"๑.๕ ข้อยกเว้นของคดีราษฎรเป็นโจทก์ที่ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งไต่สวนมูลฟ้องก่อนพึงสังเกตว่าข้อ
ยกเว้นของคดีราษฎรเป็นโจทก์ที่ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง
ก่อนนั้น มาตรา ๑๖๒ (๑) วางหลักเกณฑ์ว่า "คดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่าง
เดียวกันด้วยแล้ว" ซึ่งแสดงให้เห็นว่า หาใช่ว่าเพียงแต่คดีนั้นพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยด้วยเท่านั้น
หากแต่ต้องฟ้องจำเลยโดยข้อหาอย่างเดียวกันด้วย ดังนั้น แม้หากคดีนั้นพนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องจำเลย
เช่นกัน แต่ฟ้องคนละข้อหากับราษฎรคดีของราษฎรก็ไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่ศาลจะสั่งให้จัดการตาม
อนุมาตรา (๒) ได้ แต่จะต้องสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้องก่อน มิฉะนั้น ย่อมไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๖๒ (๑)
7
2-วิธีการไต่สวนมูลฟ้ อง
มาตรา ๑๖๕ บัญญัติว่า "ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ในวันไต่สวนมูลฟ้อง
ให้จำเลยมาหรือคุมตัวมาศาล ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป เมื่อศาลเชื่อว่าเป็น
จำเลยจริงแล้ว ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้ฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่จะให้การ
ต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้การก็ให้ศาลจดรายงานไว้
และดำเนินการต่อไปจำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัด
สิทธิในการที่จำเลยจะมีทนายมาช่วยเหลือ
ราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย ให้ศาลส่
ฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบ จำเลยจะมาฟังการไต่สวน
มูลฟ้องโดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์ด้วยหรือไม่ก็ได้ หรือจำเลยจะไม่มาแต่ตั้งทนาย
มาชักค้านพยานโจทก์ก็ได้ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย และก่อนที่ศาลประทับฟ้อง
มีให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะเช่นนั้น"ตามมาตรา ๑๖๕ ดังกล่าวข้างต้น กฎหมายได้วางหลักเกณฑ์
เกี่ยวกับวิธีการไต่สวนมูลฟ้องสำหรับคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์และคดีราษฎรเป็นโจทก์ไว้แตก
ต่างกันดังจะเห็นได้จากตารางเปรียบเทียบวิธีการไต่สวนมูลฟ้องของคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์
และคดีราษฎรเป็นโจทก์ ดังนี้
8
๒.๑ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการนำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้ อง
คดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้น ไม่ว่าจะเป็นกระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวน
มูลฟ้อง (ป.วิ.อ. มาตรา ๑๖๕ วรรคหนึ่ง) หรือในชั้นพิจารณา (ป.วิ.0. มาตรา ๑๗๒
วรรคหนึ่ง) กฎหมายกำหนดเป็นหลักการสำคัญว่า ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องหรือพิจารณา
ต่อหน้าจำเลย ดังนั้น ในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ พนักงานอัยการจึงมีหน้าที่ต้องสั่ง
ให้จำเลยมาศาลหรือควบคุมตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้อง โดยเหตุนี้ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๔๑
วรรคสี่ จึงบัญญัติถึงหน้าที่ของพนักงานอัยการในกรณีที่พิจารณาสำนวนการสอบสวน
กรณีผลการสอบสวนรู้ตัวผู้กระทำผิด แต่เรียกหรือจับตัวยังไม่ได้ แล้วเห็นควรสั่งฟ้องว่า
"ถ้าพนักงานอัยการเห็นว่าควรสั่งฟ้อง ก็ให้จัดการอย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อให้ได้ตัวผู้ต้องหา
มา ถ้าผู้ต้องหาอยู่ต่างประเทศให้พนักงานอัยการจัดการเพื่อให้ส่งตัวข้ามแดนมา"
ดังนั้น เมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องผู้ต้องหาเป็นจำเลยต่อศาล พนักงานอัยการจึงต้อง
นำตัวจำเลยมาศาลพร้อมฟ้อง มิฉะนั้นศาลจะมีคำสั่งไม่ประทับฟ้อง
9
เพราะพนักงานอัยการมีหน้าที่ตามมาตรา ๑๔๑ วรรคสี่ ประกอบมาตรา ๑๖๕ ที่จะต้องจัดให้จำเลยมาหรือ
คุมตัวมาศาลพร้อมฟ้องอย่างไรก็ตาม เนื่องจากในการดำเนินคดีในชั้นสอบสวนของพนักงานสอบสวนก็ดี
ในชั้นพิจารณาสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการก็ดี ทั้งพนักงานสอบสวนและ
พนักงานอัยการต่างมีอำนาจควบคุมตัวผู้ต้องหาได้เพียงจำกัดภายในกรอบระยะเวลาที่
กฎหมายกำหนดไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา ๘๗ หรือพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธี
พิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. ๒๔๙๙ มาตรา ๘ แล้วแต่กรณี เท่านั้น และถ้า
ผู้ต้องหามิได้รับการปล่อยชั่วคราว หากมีเหตุจำเป็นที่จะต้องควบคุมผู้ต้องหาไว้ต่อไปเพื่อ
ทำการสอบสวนหรือการฟ้องคดี พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ต้อง
นำตัวผู้ต้องหาไปศาลเพื่อยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายขังผู้ต้องหานั้นไว้ภายใต้หลักเกณฑ์
ที่กำหนดไว้ใน ป.วิ.อ. มาตรา ๘๗ และพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวง ฯ มาตรา ๘
ดังกล่าวข้างต้น ซึ่งในกรณีเช่นนี้ในทางปฏิบัติเรียกว่าเป็นการนำผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาล
และหากศาลอนุญาตให้ฝากขังผู้ต้องหาได้ตามคำร้องขอ ศาลก็จะออกหมายขังผู้ต้องหา
นั้นไว้ หลังจากนี้ก็ต้องถือว่า ผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้อยู่ในอำนาจศาลแล้ว และในชั้นนี้
หากผู้ต้องหาหรือจำเลยหรือผู้มีประโยชน์เกี่ยวข้องประสงค์จะยื่นคำร้องขอให้ปล่อยผู้ต้องหา
หรือจำเลยชั่วคราว มาตรา ๑0๖ (๒) ก็กำหนดให้ต้องยื่นคำร้องขอต่อศาล หาใช่ยื่นต่อ
พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ แล้วแต่กรณี ตามมาตรา ๑0๖ (๑) ไม่ เพราะเป็น
กรณีที่ ผู้ต้องหาต้องขังตามหมายศาล ตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตราดังกล่าวแล้ว
10
๒.๒ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการสอบถามคำให้การจำเลย
คดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ศาลต้องสอบถามคำให้การจำเลย
ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้น เมื่อพนักงานอัยการนำตัวจำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้องแล้ว มาตรา
๑๖๕ วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องโดยศาลต้องสอบถามคำให้การจำเลยก่อนด้วย
การส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป เมื่อศาลเชื่อว่าเป็นจำเลยจริงแล้ว ให้อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลย
ฟัง และถามว่าได้กระทำผิดจริงหรือไม่ จะให้การต่อสู้อย่างไรบ้าง คำให้การของจำเลยให้จดไว้ ถ้าจำเลย
ไม่ยอมให้การก็ให้ศาลจดรายงานไว้และดำเนินการต่อไป ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการสอบถามคำ
ให้การจำเลยในชั้นพิจารณาดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๗๒ วรรคสอง ทุกประการ
ผลของการสอบถามคำให้การก็คือ หากจำเลยให้การปฏิเสธหรือจำเลยไม่ยอมให้การ ซึ่งก็ถือว่าจำเลย
ให้การปฏิเสธเช่นกัน ศาลก็จะได้ดำเนินการไต่สวนมูลฟ้องต่อไปแต่ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพย่อม
เกิดผลตามมาตรา ๑๖๒ วรรคสอง ที่กฎหมายบัญญัติให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาได้เลย โดยไม่
จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้องอีกต่อไป เพราะเมื่อจำเลยยอมให้การรับสารภาพในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง ย่อม
ถือได้ว่าเป็นอันเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าคดีโจทก์มีมูลพอที่ศาลจะมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาได้เลย
โดยไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องแต่อย่างใดคดีราษฎรเป็นโจทก์ ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย
แต่ในคดีราษฎรเป็นโจทก์นั้น มาตรา ๑๖๕ วรรคสาม บัญญัติเกี่ยวกับการถาม
คำให้การจำเลยไว้ชัดแจ้งว่า "....ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลย..."
11
เพราะคดีราษฎรเป็นโจทก์นั้น จำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องโดยตั้งทนายให้ซักค้านพยานโจทก์
ด้วยหรือไม่ หรือจำเลยจะไม่มา แต่ตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์ก็ได้ เมื่อเป็นสิทธิของจำเลยที่จะมา
ฟังการไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ก็ได้เช่นนี้ แม้ในวันไต่สวนมูลฟ้องจำเลยจะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องด้วย
ตัวเอง ก่อนเริ่มการไต่สวนมูลฟ้องศาลก็จะไม่อ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังและถามคำให้การจำเลย
ก่อนเหมือนในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๑๖๕ วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด
แต่ศาลจะไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ไปทันทีแม้ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ มาตรา ๑๖๕ วรรคสาม บัญญัติ
ห้ามมิให้ศาลถามคำให้การจำเลยก็ตาม แต่กฎหมายก็มิได้ตัดสิทธิของจำเลยที่จะขอให้การเอง ทั้งนี้
เพราะแม้เป็นคดีราษฎรเป็นโจทก์ก่อนถึงวันนัดไต่สวนมูลฟ้องมาตรา ๑๖๕ วรรคสาม ก็บัญญัติว่า
"....ให้ศาลส่งสำเนาฟ้องแก่จำเลยรายตัวไป กับแจ้งวันนัดไต่สวนให้จำเลยทราบ.."เมื่อในวันนัด
ไต่สวนมูลฟ้องนั้น จำเลยที่มาศาลนั้นได้มีโอกาสทราบข้อหาความผิดที่โจทก์
ฟ้องแล้วจากสำเนาคำฟ้องที่ศาลส่งให้ และหากจำเลยได้อ่านและเข้าใจข้อหาได้เป็นอย่างดีแล้ว
จำเลยก็อาจขอให้การต่อศาลได้ ซึ่งหากเป็นการให้การปฏิเสธก็คงไม่มีผลทางกฎหมายอะไร เพราะ
ตามมาตรา ๑๖๕ วรรคสาม จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานหลักฐานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง จำเลย
เพียงมีสิทธิตั้งทนายมาซักค้านพยานโจทก์เท่านั้น แต่ถ้าจำเลยให้การรับสารภาพย่อมมีผลตามมาตรา
๑๖๒ วรรคสอง เช่นเดียวกับกรณีที่ศาลถามคำให้การจำเลยในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์เช่น
กัน กล่าวคือ ต้องถือว่าคำรับสารภาพของจำเลยย่อมเป็นอันเพียงพอจะฟังได้ว่าคดีของโจทก์มีมูลแล้ว
ซึ่งมาตรา ๑๖๒ วรรคสอง
บัญญัติให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาได้ทันที โดยไม่จำต้องไต่สวนมูลฟ้องโจทก์อีกต่อไป
12
๒.๓ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการไต่สวนมูลฟ้ องต่อหน้าจำเลย
คดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ ศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องต่อหน้าจำเลย
ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้น มาตรา ๑๖๕ วรรหนึ่ง วางหลักเกณฑ์ว่า
ในวันไต่สวนมูลฟ้อง ให้จำเลยมาหรือคุมตัวมาศาล ก่อนไต่สวนมูลฟ้องศาลต้องสอบถาม
คำให้การจำเลย โดยสภาพย่อมเป็นที่เห็นได้อยู่ในตัวว่าศาลต้องไต่สวนมูลฟ้องต่อหน้า
จำเลย ศาลจะไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยไม่ได้ ดังนั้น แม้เป็นกรณีที่ก่อนพนักงาน
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยต่อศาล จำเลยเป็นผู้อยู่ในอำนาจของศาลเพราะศาลได้รับฝากขัง
จำเลยไว้ในระหว่างสอบสวน แต่จำเลยหลบหนีไปเสียก่อนโจทก์ยื่นฟ้องก็ดี (คำพิพากษาฎีก
ที่ ๑๗๓๕/๒๕๑๔ (ป) หรือจำเลยหนีประกันของศาลไปก็ดี (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๙๗/
๒๔๙๖ (ป) ซึ่งพนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องจำเลยต่อศาลได้โดยไม่จำเนต้องนำตัว
จำเลยมาส่งศาลพร้อมฟ้อง ในกรณีเช่นนี้เมื่อเป็นคดีพนักงานอัยการเป็นโจทก์ซึ่งตาม
มาตรา ๑๖๒ (๒) ศาลไม่จำเป็นต้องไต่สวนมูลฟ้อง ศาลก็ชอบที่จะสั่งให้ประทับฟ้องโจทก์
ไว้พิจารณาได้เลยโดยไม่ใต่สวนมูลฟ้องก่อนก็ได้ แต่ถ้าศาลเห็นสมควรจะสั่งให้ไต่สวนมูลฟ้อง
ก่อน ศาลก็มีอำนาจที่จะสั่งให้ใต่สวนมูลฟ้องก่อนได้ตามมาตรา ๑๖๒ (๒) แต่ในกรณีที่
ไม่มีตัวจำเลยอยู่เช่นนี้ไม่ว่าศาลจะสั่งให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา หรือสั่งไต่สวนมูลฟ้องก็ตาม
ศาลจะดำเนินการพิจารณาหรือไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยไม่ได้ ศาลต้องออกหมายจับ
จำเลยและรอให้หมายจับที่ได้ออกไว้แล้วนั้น ได้ตัวจำเลยมาศาลเสียก่อน จึงจะดำเนินการ
พิจารณาหรือไต่สวนมูลฟ้องโจทก์ต่อไปได้
13
คดีราษฎรเป็นโจทก์ ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย
แต่ถ้าเป็นคดีราษฎรเป็นโจทก์มาตรา ๑๖๕ วรรคสาม บัญญัติไว้ชัดแจ้งว่า
"...ศาลมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลย.... ทั้งนี้เพราะคดีราษฎรเป็นโจทก์ เมื่อ
กฎหมายให้สิทธิแก่จำเลยที่จะมาฟังการไต่สวนมูลฟ้องหรือไม่ก็ได้ หากจำเลยไม่มาศาสใน
วันไต่สวนมูลฟ้อง ศาลก็ชอบที่จะไต่สวนมูลฟ้องลับหลังจำเลยได้ และกระบวนพิจารณา
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง กฎหมายกำหนดขึ้นเพียงเพื่อให้ศาลตรวจสอบในชั้นต้นก่อนว่า คดีที่โจทก์
ฟ้องนั้นมีมูลเพียงพอที่ศาลสมควรจะสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ยังมิใช่ขั้นพิจารณ๑๔๙
ว่าจำเลยมีความผิดหรือเป็นผู้บริสุทธิ์ ที่ศาลอยู่ในบังคับจะต้องพิจารณาต่อหน้าจำเลยตาม
หลักการในมาตรา ๑๗๒ วรรคหนึ่ง แต่อย่างใด
14
๒.๔- หลักเกณฑ์เกี่ยวกับการมีฐานะเป็ น "จำเลย"
คดีราษฎรเป็นโจทก์ก่อนที่ศาลประทับฟ้อง จำเลยยังไม่มีฐานะเป็น "จำเลย"
ในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์นั้น เมื่อจำเลยเป็นบุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้ว
โดยข้อหาว่าได้กระทำความผิด จำเลยย่อมมีฐานะเป็น "จำเลย" ตามบทนิยามศัพท์ใน
มาตรา ๒ (๓) แล้ว เพราะมาตรา ๑๖๕ วรรคหนึ่ง มิได้บัญญัติให้เห็นเป็นอย่างอื่น กรณี
ย่อมอยู่ในบังคับแห่งมาตรา - ซึ่งบัญญัติว่า "ในประมวลกฎหมายนี้ถ้าคำใดมีคำอธิบาย
ไว้แล้ว ให้ถือตามความหมายดั่งได้อธิบายไว้ เว้นแต่ข้อความในตัวบทจะขัดกับคำอธิบาย
นั้น" แต่ในคดีราษฎรเป็นโจทก์นั้น แม้จำเลยจะเป็นบุคคลซึ่งถูกฟ้องยังศาลแล้ว โดยข้อหา
ว่าได้กระทำความผิด ไม่แตกต่างไปจากคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ก็ตามแต่ในคดีราษฎร
เป็นโจทก์ ข้อความในตัวบทมาตรา ๑๖๕ วรรคสาม บัญญัติไว้ชัดแจ้งขัดกับคำอธิบายใน
บทนิยามศัพท์มาตรา ๒ (๓) ว่า "....ก่อนที่ศาลประทับฟ้องมิให้ถือว่าจำเลยอยู่ในฐานะ
เช่นนั้น" ดังนั้น ในคดีราษฎรเป็นโจทก์ ตราบใดที่ศาลยังมิได้มีคำสั่งประทับฟ้อง จำเลย
ย่อมยังไม่มีฐานะเป็นจำเลย แต่คดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์เมื่อโจทก์ยื่นฟ้อง จำเลยย่อม
มีฐานะเป็นจำเลยทันที (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๔๔o/๒๔๙๓)
ผลของการมีฐานะเป็นจำเลยแล้วหรือยังนั้นจะมีผลสำคัญเกี่ยวข้องถึงการใช้สิทธิ
ในการอุทธรณ์ฎีกา เพราะเมื่อเป็นจำเลยในคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์ก็ย่อมมีฐานะ
เป็นจำเลยทันทีที่ถูกฟ้อง จำเลยจึงเป็น "คู่ความ" ตามบทนิยามศัพท์ในมาตรา ๒ (๑๕)
และมีสิทธิที่จะอุทธรณ์ฎีกาได้ แต่ในคดี ราษฎรเป็นโจทก์เมื่อศาลยังไม่มีคำสั่งประทับฟ้อง
จำเลยยังไม่มีฐานะเป็นจำเลย ย่อม ไม่เป็นคู่ความที่จะมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้
15
๓. จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบในชั้นไต่สวนมูลฟ้ อง
มาตรา ๑๖๕ วรรคสอง บัญญัติว่า "จำเลยไม่มีอำนาจนำพยานมาสืบในชั้นไต่สวน
มูลฟ้อง แต่ทั้งนี้ไม่เป็นการตัดสิทธิ์ในการที่จำเลยจะมีทนายมาช่วยเหลือ"
การไต่สวนมูลฟ้องไม่ว่าจะเป็นคดีซึ่งพนักงานอัยการเป็นโจทก์หรือราษฎรเป็นโจทก์
ก็ตาม เป็นกระบวนไต่สวนของศาลเพื่อวินิจฉัยถึงมูลคดีซึ่งจำเลยต้องหา (มาตรา ๒ (๑๒)
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องนั้น ยังมีใช่ชั้นที่จะพิจารณาว่าจำเลยมีความผิดหรือ
เป็นผู้บริสุทธิ์ ดังนั้น โจทก์ยังไม่จำเป็นต้องกระทำถึงขนาดนำพยานหลักฐานทั้งหมดมาพิสูจน์
ความผิดของจำเลยให้ศาลรับฟังเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัย หากแต่เพียงนำพยานหลักฐาน
ที่พอแสดงให้เห็นว่าคดีของโจทก์มีมูลก็เป็นอันเพียงพอแล้ว อันมีนัยแสดงให้เห็นว่าการไต่สวน
มูลฟ้องเป็นเรื่องระหว่างศาลกับโจทก์เท่านั้น จำเลยยังมิได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเหตุนี้
เพื่อให้กระบวนการไต่สวนมูลฟ้องเกิดความกระชับและสามารถแล้วเสร็จไปภายในเวลา
อันสมควร กฎหมายจึงไม่ให้สิทธิหรืออำนาจแก่จำเลยที่จะนำพยานเข้าสืบในชั้นไต่สวน
มูลฟ้องได้ เพียงแต่ให้สิทธิจำเลยที่จะแต่งทนายเข้ามาซักค้านพยานโจทก์ได้เท่านั้น
16
๔. ผลของการไต่สวนมูลฟ้ อง
มาตรา ๑๖๗ "ถ้าปรากฏว่าคดีมีมูล ให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะ
กระทงที่มีมูล ถ้าคดีไม่มีมูล ให้พิพากษายกฟ้อง"
มาตรา ๑๗0 "คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด แต่คำสั่งที่ว่าคดีไม่มีมูลนั้น
ㆍโจทก์มีอำนาจอุทธรณ์ฎีาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา"
ตามบทบัญญัติแห่งมาตรา ๑๖๗ และมาตรา ๑๗ ดังกล่าวได้กล่าวถึงผลของ
การไต่สวนมูลฟ้อง และสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งของศาลในกรณีสั่งว่าคดีมีมูลและไม่มี
มูลไว้ครบถ้วนชัดเจน ดังต่อไปนี้
17
๔.๑ คำสั่งคดีมีมูล
กรณีผลการไต่สวนมูลฟ้องปรากฏว่าคดีมีมูล มาตรา ๑๖๗ บัญญัติให้ศาลประทับ
ฟ้องไว้พิจารณาต่อไปเฉพาะกระทงที่มีมูล ทั้งนี้เพราะตามมาตรา ๑๖๐ โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องความผิด
หลายกระทงรวมมาในคำฟ้องเดียวกันได้ โดยแยกกระทงเรียงเป็นลำดับ
กันไป ซึ่งในกรณีฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดหลายกระทงเช่นนี้ การพิจารณาว่า
ผลการไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูลพอที่ศาลจะประทับฟ้องไว้พิจารณาหรือไม่ ศาลก็ต้อง
พิจารณาพยานหลักฐานโจทก์เรียงเป็นรายกระทงความผิด และมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณา
เฉพาะกระทงที่มีมูลเท่านั้น ถ้ากระทงใดไม่มีมูลก็ต้องพิพากษายกฟ้องและย่อมเกิดผล
ตามมาเกี่ยวกับสิทธิในการอุทธรณ์ ตามมาตรา ๑๗๐ ต่อไป กล่าวคือ คำสั่งประทับฟ้อง
ในกระทงที่มีมูลย่อมเด็ดขาด ส่วนคำสั่งยกฟ้องในกระทงที่ไม่มีมูล โจทก์ย่อมมีสิทธิอุทธรณ์
ฎีกาได้เฉพาะกระทงที่ไม่มีมูล
18
๔.๒ คำสั่งคดีไม่มีมูล
กรณีสั่งว่าคดีมีมูลซึ่งมาตรา ๑๖๗ ให้ศาลมีคำสั่งประทับฟ้องไว้พิจารณานั้นมีใช่
เป็นคำสั่งที่วินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลทำคำสั่งประทับฟ้องได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงรูปแบบแต่อย่างใด
แต่คำสั่งว่าคดีไม่มีมูลซึ่งมาตรา ๑๖๗ ให้ศาลยกฟ้องนั้น ศาลจะทำเป็นรูปคำพิพากษาหรือ
คำสั่งก็ได้ แต่เมื่อเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดคดี คำพิพากษาหรือคำสั่งยกฟ้องเพราะคดีไม่มีมูล
จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งเรื่องรูปแบบของคำพิพากษาหรือคำสั่งตามมาตรา ๑๘๖ ด้วย
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๔๓/๒๕๑๑ ชั้นไต่สวนมูลฟ้องคดีอาญา ถ้าคดีไม่มีมูลให้
พิพากษายกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๖๗ นั้น จะทเป็นรูปคำ
พิพากษาหรือคำสั่งก็ได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งมาตรา ๑๘๖ โดยต้อง
มีข้อเท็จจริงซึ่งพิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสิน ทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและ
ข้อกฎหมายตามควรแก่รูปคดีในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๘๗๐/๒๕๒๔ คำสั่งศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ในชั้นไต่สวน
ลฟ้องต้องอยู่ภายใต้บังคับประมวลกฏฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา
ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความและเหตุผลในการตัดสินทั้งในปัญหาข้อเท็จจริง
และข้อกฎหมาย จึงจะเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
19
๔.๓ ศาลยกฟ้ องในชั้นไต่สวนมูลฟ้ องโดยไม่จำต้องสั่งประทับ
ฟ้ องไว้ก่อน
เมื่อผลการไต่สวนมูลฟ้อง ศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด ศาล
ก็ชอบที่จะพิพากษายกฟ้องโจทก็โดยไม่จำเป็นต้องประทับฟ้องไว้ก่อนแล้วพิพากษายกฟ้อง
ในภายหลังแต่อย่างใด
คำพิพากษาฎีกาที่ ๒๗๗๓/๒๕๔4 ในชั้นไต่สวนมูลฟ้อง แม้ศาลจะพิจารณา
เพียงว่าคดีโจทก์พอมีมูลที่จะประทับฟ้องไว้หรือไม่ก็ตาม แต่เมื่อศาลเห็นว่าการกระทำของ
จำเลยไม่เป็นความผิดศาลก็ชอบที่จะวินิจฉัยและพิพากษายกฟ้องไปได้เลย ไม่จำเป็น
ต้องประทับฟ้องไว้แล้วพิพากษายกฟ้องในภายหลัง
20
๔.๔ คำพิพากษายกฟ้ องในชั้นไต่สวนมูลฟ้ องต้องประกอบ
ด้วยองค์คณะครบ
ถ้วน
เมื่อมาตรา ๑๖๗ บัญญัติว่า ถ้าคดีไม่มีมูล ให้พิพากษายกฟ้อง ซึ่งมีผลเป็นการ
วินิจฉัยชี้ขาดคดี นอกจากคำพิพากษาหรือคำสั่งยกฟ้องจะต้องทำตามรูปแบบของคำพิพากษา
หรือคำสั่งตามมาตรา ๑๘๖ ดังกล่าวแล้ว คำพิพากษาหรือคำสั่งยกฟ้องเช่นนี้ก็จะต้อง
ประกอบด้วยองค์คณะผู้พิพากษาครบถ้วนตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมด้วย แต่เนื่องจาก
ผู้พิพากษาคนเดียวในศาลชั้นต้นเป็นองค์คณะมีอำนาจไต่สวนมูลฟ้องได้ทุกตัวบทกฎหมาย
ตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา ๒๕ (๓) ซึ่งหากคดีที่ออกนั่งไต่สวนมูลฟ้องนั้นป็นคดีที่ผู้
พิพากษาคนเดียวมีอำนาจพิจารณาพิพากษาได้ตามมาตรา ๒๕ (๕) ก็ไ
ผู้พิพกษาคนเดียวที่ได้สวนมูลฟ้องนั้นก็เป็นองค์คณะทำคำพิพากษาหรือคำ
ตามมาตรา ๑๖๙ ได้ แต่ถ้าคตีนั้นมีอัตราโทษตามที่กฎหมายกำหนดเกินกว่าอัตราโทย
ตามมาตรา ๒๕ (๕) ย่อมเกิดปัญหาว่า ผู้พิพากษาคนเดียวที่ใต่สวนมูลฟ้องนั้น ไม่อาจเป็น
องค์คณะทำคำพิพากษาได้ ในกรณีเช่นนี้พระธรรมนูญศาลยุติธรรมจึงบัญญัติให้เป็นเทตุ
จำเป็นอื่นอันมิอาจก้าวล่วงได้ตามมาตรา ๓๑ (๑) และให้เป็นอำนาจของอธิบดีผู้พิพากษา
ศาลชั้นตัน อธิบดีผู้พิพากษาภาค รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลชั้นต้นรองอธิบดีผู้พิพากษาภาค
หรือผู้พิพากษาหัวหน้าศาล แล้วแต่กรณี หรือผู้ทำการแทน มีอำนาจที่จะลงลายมือชื่อเป็น
องค์คณะทำคำพิพากษาคดีนั้นได้ ทั้งนี้ภายหลังเมื่อได้ตรวจสำนวนคดีนั้นแล้ว
21
๔.๕ การอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งคดีมีมูลหรือไม่มีมูล
เกี่ยวกับสิทธิในการอุทธรณ์คำสั่งคดีมีมูลหรือไม่มีมูลนั้น มาตรา ๑๗๐ บัญญัติ
ว่า "คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด " ซึ่งหมายความว่าคำสั่งว่าคดีมีมูลตาม
มาตรา ๑๖๗ นั้น กฎหมายบัญญัติว่าเป็นคำสั่งที่เด็ดขาด ไม่ให้สิทธิแก่จำเลยที่จะอุทธรณ์
ได้เลยโดยไม่มีข้อยกเว้นใด ๆ ทั้งสิ้น
คำสั่งคดีไม่มีมูลต้องอุทธรณ์ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา
แต่ในกรณีที่ศาลมีคำสั่งว่าคดีไม่มีมูลนั้น มาตรา ๑๗0 บัญญัติว่า "โจทก์มีอำนาจ
อุทธรณ์ฎีกาได้ตามบทบัญญัติว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกา" ซึ่งมีข้อควรสังเกต ว่าแม้
มาตรา ๑๗ จะให้สิทธิแกโจทก์ที่จะอุทธรณ์ฎีกา คำสั่งยกฟ้องเพราะคดีไม่มีมูลได้ก็ตาม
แต่กฎหมายก็ยังกำหนดเงื่อนไขของการอุทธรณ์ฎีกาด้วยว่าต้องอุทธรณ์ฎีกาตามบทบัญญัติ
ว่าด้วยลักษณะอุทธรณ์ฎีกาด้วย ดังนั้น แม้โจทก์จะมีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งคดีไม่มีมูลตาม
มาตรา ๑๗. ได้ ก็ตาม แต่โจทก์ก็ยังต้องอยู่ภายใต้บังคับแห่งบทบัญญัติลักษณะอุทธรณ์
ฎีกาด้วย กล่าวคือ ถ้าคดีของโจทก์มีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมายกำหนดไว้ให้จำคุก
ไม่เกิน ๓ ปี หรือปรับไม่เกิน ๖๑,.๐๐ บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ โจทก์ก็จะต้องห้ามมิให้
อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ตามมาตรา ๑๙๓ ทวิ (คำพิพากษาฎีกาที่ ๔o๗/๒๕๒๔)
22
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งไม่มีมูลของศาลศาลชั้นต้น คดีต้องห้ามฎีกาตาม
มาตรา ๒๒๐
ถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกฟ้องเพราะคดีโจทก์ไม่มี
มูล ก็ต้องถือว่าเป็นคดีที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ ซึ่งโจทก์ย่อมต้อง
ห้ามมิให้ฎีกาทั้งในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายตามมาตรา ๒๒0 (คำพิพากษาฎีกาที่
๒๗๗๓/๒๕๒๕ และ ต๕๓๔/๒๕๔๑) เป็นต้น ยิ่งกว่านั้นโจทก์ที่จะอุทธรณ์ฎีกาคำสั่งคดีไม่มี
มูลนอกจากจะต้องอยู่ในบังคับแห่งบทบัญญัติว่าด้วยการจำกัดสิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาดังกล่าว
แล้ว โจทก์ยังต้องยื่นอุทธรณ์ฎีกาตามหลักเกณฑ์ของการยื่นอุทธรณ์ฎีกาในเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย
เช่น ต้องยื่นอุทธรณ์ฎีกาภายในกำหนด ๑ เดือน ตามมาตรา ๑๙๘, ๒๑๖ ข้อเท็จจริงหรือ
ข้อกฎหมายทั้งปวงที่โจทก์อุทธรณ์หรือฎีกา ต้องแสดงไว้โดยชัดเจนในฟ้องอุทธรณ์หรือฟ้อง
ฎีกาและต้องเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลล่างตามมาตรา ๑๙๕, ๑๙๕ ประกอบ
มาตรา ๒๒๕ หรือ ป.วิ.พ. มาตรา ๒๒๕, ๒๔๙ ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา ๑๕ เป็นต้น
23