The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บทที่ 4 รูปแบบการนิเทศ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นายคำแสน สองแดน, 2020-08-19 22:14:36

บทที่ 4 รูปแบบการนิเทศ

บทที่ 4 รูปแบบการนิเทศ

95

บทที่ 4
รูปแบบการนิเทศการศึกษา

รปู แบบการนิเทศการศึกษาที่ใช้ในปัจจุบันมีหลากหลาย และมีลักษณะเฉพาะของ
แตล่ ะรูปแบบ ซึ่งผนู้ ิเทศสามารถนามาประยกุ ต์ใช้ร่วมกันได้ สง่ิ สาคญั คือ ผู้ใช้รูปแบบการนิเทศ
จาเป็นต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมกับสภาพบริบทของสถานศึกษา และวฒั นธรรมองค์กร
ของสถานศึกษาในแต่ละแห่ง ท้ังนี้เพื่อมุ่งพัฒนาการสอนของครู และพัฒนาการเรียนรู้ของ
ผู้เรียนเป็นสาคญั อย่างไรก็ตามเพื่อให้ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศมีความเข้าใจเกี่ยวกับรปู แบบ
การนิเทศต่าง ๆ ในที่นี้จึงได้เสนอรูปแบบการนิเทศตามพัฒนาการของศาสตร์การบริหาร
การศึกษา อาทิ การนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ การนิเทศแบบมนุษยสัมพันธ์ การนิเทศแบบ
ทรัพยากรมนุษย์ การนิเทศแบบมนุษย์นิยม และการนิเทศแบบหลากหลายวิธีการ เป็นต้น
สาหรับการนิเทศแบบหลากหลายวิธีการ สามารถแบ่งเป็นการนิเทศแบบคลินิก การนิเทศแบบ
ร่วมพัฒนาวิชาชีพ การนิเทศโดยผู้บริหาร การนิเทศแบบพัฒนาตนเองและการนิเทศแบบ
พัฒนาการ ซึง่ ปัจจุบันสถานศึกษาต่าง ๆ ได้นารปู แบบการนิเทศดังกล่าวมาใช้ในการนิเทศการ
สอนจานวนมาก ตามความต้องการพัฒนาการเรียนการสอนที่มีเป้าหมายแตกต่างกัน เช่น
หากต้องการพัฒนาครูใหม่หรือนักศึกษาฝึกสอน ควรใช้รูปแบบการนิเทศแบบคลินิก หรือหาก
เพื่อนครูต้องการพัฒนาการเรียนการสอนของตนเองร่วมกันกับครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้
เดยี วกนั ภายใต้การดูแลของผู้เชีย่ วชาญ ควรใช้รปู แบบการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ เปน็ ต้น
จากลักษณะเฉพาะรูปแบบการนิเทศที่นามาใช้แตกต่างกันน้ัน ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศควร
ต้องมีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถเลือกใช้รูปแบบการนิเทศไดอ้ ย่างถูกต้องและเหมาะสม
ในที่นีไ้ ด้นาเสนอรปู แบบการนิเทศ ตามลาดบั ดังนี้

4.1 ความหมายของรปู แบบการนเิ ทศ
คาว่า “รปู แบบ” ตามรูปศพั ท์ มาจากคาว่า “รปู ” และคาว่า “แบบ” ซึ่งเปน็ คานาม

“รูป” หมายถึง ส่ิงที่รบั รู้ได้ด้วยตาเป็นหนึง่ ในขนั ธ์ 5 (รูป เวทนา สัญญา สงั ขาร และวิญญาณ)
สาหรับคาว่า “แบบ” หมายถึง ส่ิงที่กาหนดให้ถือเป็นหลักหรือเป็นแนวทาง ตัวอย่าง ต้นแบบ
ดงั น้ัน ฝ่ายวิชาการภาษาไทย บริษัทซีเอ็ดยูเคชั่น (2553 : 624, 940) จึงให้ความหมายของคา
ว่า “รปู แบบ” ไวว้ ่า “เป็นลักษณะที่กาหนดขนึ้ เปน็ หลกั หรือแนวทางมาตรฐานซึ่งยอมรบั และใช้
กันท่ัวไป”

96

สาหรับ เก็จกนก เอื้อวงศ์ (2554 : 19) กล่าวว่ารูปแบบการนิเทศ หมายถึง
“วิธีการหรือปฏิบัติการนิเทศโดยคานึงถึงลักษณะของการส่ือสารหรือปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้
นิเทศและผู้รบั การนิเทศว่าเป็นไปในลกั ษณะใด”

นอกจากนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2554 : 87) ได้สรุปวิธีการนิเทศหรือรูปแบบของการ
นิเทศการศึกษาว่า “มีหลายวิธีการต้ังแต่เริ่มมีการนิเทศในการศึกษา ซึ่งในแต่ละยคุ แต่ละสมัย
จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับจุดเน้นของการศึกษาในแต่ละยุค ซึ่งมีหลายวิธีที่น่าสนใจ โดยที่
แนวคิดพืน้ ฐานในบางวิธีในอดตี ยงั คงมีให้เหน็ ในการนิเทศการสอน”

ในทานองเดียวกัน สมศักด์ิ เอี่ยมธรรมชาติ (2530 :193) ให้ความหมายรูปแบบ
การนิเทศว่าหมายถึง “วิธีการหรือแนวทางสาหรับดาเนินงานนิเทศการสอน ตามแบบฉบับ
ตามแบบแผน หรือแบบอย่างที่เป็นบรรทัดฐานท่นี ิยมใช้หรือปฏิบตั ิกนั มาในการนิเทศการสอน”

เช่นเดยี วกันกับ ชาญชัย อาจินสมาจาร (ม.ป.ป. : 95) กล่าวถึงรปู แบบการนิเทศได้
อย่างน่าสนใจว่า “รปู แบบของการนิเทศสามารถช่วยผู้นิเทศสร้างแบบการพัฒนาการสอนเป็น
รายบคุ คลสาหรับครู”

จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า รูปแบบการนิเทศเป็นต้นแบบหรือแนวทางในการ
ดาเนินงานในการโดยกาหนดขันตอนไว้อย่างชัดเจน เป็นระบบและมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับใน
การนามาใช้ปฏิบัติในการนิเทศ ซึ่งรูปแบบการนิเทศแต่ละแบบน้ันแตกต่างกันตามพื้นฐาน
ความเชื่อ ความคิด ไม่ว่าจะเปน็ การนิเทศแบบกลมุ่ หรือรายบคุ คล นิเทศทางตรงหรือทางอ้อม
แต่ส่ิงที่คล้ายคลึงกันคือ มุ่งพัฒนาการสอนของครูและประสิทธิผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็น
สาคัญ

ในทีน่ ีไ้ ด้นาเสนอรปู แบบการนิเทศแบบตา่ ง ๆ โดยจาแนกตามจดุ เนน้ ของการศึกษา
ที่มาจากแนวคิดพื้นฐานการศึกษา ซึ่งมีแนวทางเช่นเดียวกันกับพัฒนาการของการบริหาร
การศึกษา โดยมีรายละเอียดแตล่ ะรปู แบบ ดังต่อไปนี้

4.2 การนเิ ทศแบบวิทยาศาสตร์ (Scientific Supervision)
ก.แนวคิดเก่ยี วกับการนิเทศ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2554 : 89-90) ได้ศึกษาแนวคิดการบริหาร

จัดการของเฟรดเดริก ดับบลิว เทย์เลอร์ (Frederick W. Taylor) และคณะในยุคต้นศตวรรษที่
19 พบว่า “อาศัยหลักการบริหารจัดการแบบวิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน (Scientific manage-
ment) โดยเทย์เลอร์เชือ่ ว่า ในการจัดการแบบวิทยาศาสตร์น้ันผู้ปฏิบัติงานไม่ต้องคิดอะไรมาก
เพียงแต่ทางานตามที่บอกอย่างถูกต้องก็พอ โดยมีการติดตามดูแลการปฏิบัติงานให้ถูกต้อง
ตลอดเวลา สาหรับวิธีการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์นี้ดาเนินการตามลาดับข้ันตอนแบบ

97

วิทยาศาสตร์ มีการตรวจสอบติดตามการปฏิบัติงานให้ถูกต้องตามลาดบั ขั้นตอน ใช้ทักษะการ
นิเทศด้วยการตรวจตรามากกว่าการร่วมกันปฏิบัติงานให้บรรลุเป้าหมาย วิธีดาเนินการแบบ
วิทยาศาสตร์ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่แตกต่างกันที่ผู้นิเทศในปัจจุบันไม่ได้ใช้อานาจในการ
ติดตามดูแลแต่มงุ่ ให้ความชว่ ยเหลอื สนับสนุนเป็นสาคัญ”

นอกจากนี้ สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2547 :
58) ได้นาเสนอข้อมูลท่ีน่าสนใจว่า “การนิเทศรูปแบบนพี้ ิจารณาจากผลผลิตของการนิเทศเป็น
หลักและเน้นการปรับปรุงการสอนของครู สาหรับตัวผู้นิเทศนั้นต้องมีความรู้และได้รับการ
ฝึกหัดมาเป็นอย่างดี สามารถนาครูในดา้ นการปรับปรงุ การเรียนการสอนอยา่ งเป็นระบบ บางที
เรียกการนิเทศแบบนี้ว่าเป็น “การนิเทศแบบให้ผลผลิต” (Supervision as Production) เปรียบ
เสมอื นโรงเรียนเป็นแหลง่ ผลติ และครกู ็คือลกู จา้ ง ทีต่ ้องสร้างผลผลิตให้กับโรงเรียน”

ในทานองเดยี วกัน วไลรตั น์ บุญสวสั ด์ิ ( 2538 : 28) กล่าวถึงการนิเทศรปู แบบนวี้ ่า
“การดาเนินงานนิเทศแบบวิทยาศาสตร์มิใช่เป็นวิธีทางเดียวที่จะเกิดประสทิ ธิภาพสูงสุด เพราะ
บางคร้ังขดั กับความรู้สึกของมนษุ ย์ มนุษย์ถูกทางานคล้ายเครื่องจักร อย่างไรกต็ ามถ้าหากนา
วิธีการมาผสมผสานกันแล้วก็จะเกิดประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะวิธีการทางวิทยาศาสตร์สอนให้
แสวงหาวิธีการที่ดอี ยู่เสมอ ประหยดั เวลาและทางานมีระบบระเบียบ กฎเกณฑ์และแบ่งงานกัน
ไปทาตามหน้าที่ระหว่างฝ่ายวางนโยบายและฝ่ายปฏิบัติ โดยมีการประสานสัมพนั ธ์กนั ”

จากความข้างต้น เป็นแนวคิดของการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ ที่สะท้อนถึงการให้
ความสาคัญของงานและผลผลิตมากกว่าคน ซึ่งมีลักษณะสาคัญที่จะกล่าวถึงในลาดับ
ดงั ต่อไปนี้

ข.ลกั ษณะสาคญั
เนือ่ งจากการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะ ซึง่ วัชรา เลา่ เรียนดี (2554 :
91) ได้กล่าวถึงลกั ษณะสาคัญและแนวทางการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ ดังนี้
1. เน้นประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน
2. เน้นการควบคุม ตรวจสอบดูแลการปฏิบัติงานตามข้ันตอนหรือกระบวนการ
อย่างถูกต้อง
3. ให้ความสาคัญต่อความรู้สึกด้านจิตใจและความต้องการด้านมนุษยสัมพันธ์
น้อย
4. เชื่อว่าผลของงานอยู่ที่การปฏิบัติอย่างถูกต้องตามข้ันตอน ตามวิธีการที่ได้
ศึกษามาแลว้
5. มีการสงั เกตดแู ลการปฏิบัตงิ านอย่างใกล้ชิด

98

6. เน้นผู้บริหารหรอื ผู้นิเทศเปน็ สาคัญ
7. จัดบริการเคร่อื งมือเคร่อื งใช้ทีจ่ าเป็นและมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนือ่ ง

ค.ขั้นตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
สาหรับการดาเนินการตามข้ันตอนของการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ เกี่ยวกับเรื่องนี้
สันต์ ธรรมบารุง (2526 : 81-83 อ้างถึงใน วีระศักด์ิ ชมภูคา, 2551 : 192-194) ได้แสดง
ข้ันตอนวิธีการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ 6 ข้ันตอน ดังต่อไปนี้
ข้นั ที่ 1

1.1 สารวจและวิเคราะห์ปัญหา อาจทาได้โดย
1) ศึกษาความมุ่งหมายของหลักสูตร
2) ประชมุ สัมมนาครเู กีย่ วกบั การเรียนการสอน
3) ศึกษาผลการวิจยั ทีเ่ กีย่ วข้องกบั การเรียนการสอน
4) ใช้แบบสอบถาม
5) ศึกษาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยการสังเกต
5.1 วิธีสอน
5.2 ผลงานของนักเรยี นและลักษณะนสิ ัย
5.3 การใช้สือ่ การเรียนการสอน
5.4 การประเมินผล
5.5 การออกขอ้ ทดสอบ

1.2 วิเคราะห์สาเหตขุ องปัญหา อาจทาได้โดย
1) ตั้งสมมุติฐานถึงสาเหตุของปัญหา โดยใช้วิธีการระดมสมอง (Brain

storming)
2) ทดสอบสมมุติฐานและสรุปหาสาเหตุของปัญหา โดยการใช้ข้อมูล

จากข้อ 1.1 และหาข้อมูลเพิม่ เตมิ ในกรณีทีย่ งั ไมไ่ ด้ขอ้ สรุปที่ดี
ขัน้ ที่ 2 จัดลาดับปัญหา โดยคานึงถึง
2.1 จุดมงุ่ หมายของหลกั สตู ร
2.2 นโยบายของโรงเรียน
2.3 นโยบายของหน่วยงานหรอื องค์กร
2.4 นโยบายของชาติ
2.5 ผลที่จะเกิดขึ้น (ถ้าไม่แก้ไขจะเป็นอย่างไร ผลในระยะยาวเปน็ เช่นใด คุ้มค่า

ในการลงทุนเพียงใด)

99

ขั้นที่ 3 กาหนดจดุ มุ่งหมายในการแก้ปัญหาทีไ่ ดเ้ ลอื กแลว้
3.1 จดุ มงุ่ หมายทวั่ ไปซึ่งมีเพียง 1 ข้อ ที่มีความชดั เจน
3.2 จุดมงุ่ หมายเฉพาะ ซึ่งอาจมีหลายข้อตามสาเหตขุ องปัญหา

ขน้ั ที่ 4 สร้างและเลอื กทางเลอื กในการแก้ปญั หา
4.1 พิจารณาหาทางแก้ปัญหาดว้ ยวิธกี ารต่าง ๆ
1) ระดมพลงั สมอง
2) ปรกึ ษาผู้มปี ระสบการณ์
3) ศึกษาวิธีการที่เคยใช้ไดผ้ ลมากอ่ น
4.2 เลอื กทางเลอื กทีเ่ หมาะสมโดยพิจารณาจากแนวทางดังต่อไปนี้
1) เปน็ นวัตกรรม
2) พิจารณาทรพั ยากรและข้อจากดั ประกอบ
3) ใช้เวลาและเงินน้อย ง่ายพอทาได้ มีกาลังคน
4) มีความเป็นไปได้
5) อาจได้วิธกี ารแก้ปัญหา 2-3 วิธีกไ็ ด้
6) พิจารณารวมทางเลือกที่มีลักษณะเดียวกันเข้ามาอยู่ในวิธีการ

แก้ปญั หาเดยี วกัน
ขนั้ ที่ 5 ทดลองนาวิธแี ก้ปญั หาทีเ่ ลอื กแลว้ ไปทาการทดลองโดย
5.1 วางแผน
1) กาหนดสถานที่ ตัวบุคคล งบประมาณ ระยะเวลาที่จะใช้ในการ

ทดลองให้แนน่ อน
2) เตรียมวิธีการและกระบวนการทีจ่ ะทดลองให้พร้อม

5.2 ทดลอง
ดาเนนิ การตามที่กระบวนการวางไว้

5.3 สรปุ ผลการทดลองและนาผลการทดลองไปเปรียบเทียบกับจุดมุ่งหมายที่
ตั้งไว้เปน็ ข้อมลู ย้อนกลับ

5.4 การปรับปรงุ แก้ไข
1) ถ้าข้อมูลป้อนกลับบรรลุจุดมุ่งหมาย ก็นากระบวนการแก้ปัญหา

ดังกล่าวไปใช้ได้
2) ถ้าข้อมูลป้อนกลับไม่บรรลุผลตามจุดมุ่งหมาย ควรตรวจสอบจุด

บกพร่องของข้ันตอนต่าง ๆ ดังนี้

100

- การสร้างจดุ มุ่งหมาย
- การวิเคราะห์ปญั หา
- การเลอื กวิธีแกป้ ญั หา
ข้ันที่ 6 นาไปใช้และประเมินผล
6.1 นาไปใช้ โดยนาวิธแี ก้ปญั หาไปใช้
6.2 ประเมินผลตามแนวทางโครงการแบบเหตุผลสมั พันธ์
จากที่กล่าวมาสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์มุ่งเน้น
ประสิทธิภาพของงานมากกว่ามุ่งเน้นความพึงพอใจของบุคคล รวมถึงไดก้ าหนดเป้าหมายการ
ดาเนินงานในแต่ละขั้นตอนไว้อย่างชัดเจน มีการกากับติดตามการดาเนินงานในทุก ๆ ข้ันตอน
อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดข้อผิดพลาดจึงมีน้อย เนื่องจากหากครูหรือผู้รับการนิเทศ
ได้รับทราบข้อผิดพลาดของตน ในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งก็สามารถปรับปรุงแก้ไขในขั้นตอน
ดงั กล่าวได้ทุก ๆ ระยะของการดาเนนิ การนิเทศ โดยมีผู้นิเทศช่วยดแู ลอย่างใกล้ชิด

4.3 การนเิ ทศแบบมนุษยสัมพนั ธ์ (Human Relations Supervision)
ก.แนวคิดเกย่ี วกบั การนิเทศ
สาหรับการนิเทศลักษณะนี้ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553 : 237) ได้กล่าวถึง

ความเป็นมาว่า “รูปแบบการนิเทศแบบมนุษยสัมพันธ์มีแนวคิดเริ่มต้นจากการศึกษาเกี่ยวกับ
มนุษยสัมพันธ์ซึ่งได้จัดทาอย่างเป็นระบบแบบแผน เมื่อมีการทดลองวิจัยในปี ค.ศ.1920 โดย
เอลตัน เมโย (Elton Mayo) ได้ให้ความสาคัญแก่วิชามนุษยสัมพันธ์ โดยการให้ความสาคัญกับ
การปฏิบัติงานในโรงงานอุตสาหกรรมกล่าวคือ พนักงานเป็นปัจจัยที่สาคัญที่สุดและจากผล
การศึกษากรณีโรงงานฮอร์ธอร์น พบว่า พนักงานเป็นบุคคลที่มีความซับซ้อน มีปัญหา มีการ
โต้ตอบ มีความขดั แย้งกันภายในและมักจะเกิดความเข้าใจผิดกันได้ ดังน้ันในปี ค.ศ.1930 เอล
ตัน มาโย จึงไดเ้ ปิดสอนวิชามนษุ ยสมั พนั ธ์อย่างเป็นทางการที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard
University) ในทานองเดียวกัน วัชรา เล่าเรียนดี (2554 : 88) สรุปไว้ว่า “ต่อมาได้นาแนวคิด
ดังกล่าวมาใช้ในการนิเทศแบบมนุษยสัมพันธ์สาหรับจัดการศึกษ าในโรงเรียน ซึ่งได้ให้
ความสาคัญกับครูในฐานะผู้ที่มีความสามารถ มีทักษะในการปฏิบัติงานและผู้นิเทศเองก็ได้ให้
ความสาคัญกับครูอย่างเท่าเทียมกัน โดยมีวัตถุประสงค์ให้ครูมีความรู้สึกว่าเขามีประโยชน์ มี
ความสาคัญและมีคุณค่าสาหรับโรงเรียน” ซึ่งการที่ผู้รับการนิเทศมีความรู้สึกว่าตนเองมี
คุณค่าก็จะเกิดขวัญและกาลังใจที่จะปฏิบัติงานให้ดีและก้าวหน้าต่อไป อย่างไรก็ตามมนุษย
สมั พันธ์จะเกิดได้อย่างยาวนาน หากสร้างความประทับใจและประสานความสัมพันธ์ที่ดตี ่อกัน

101

อย่างต่อเนือ่ ง” ท้ังนี้การนาหลกั ของส่ือสารและการสอ่ื ความหมายทีม่ ีประสิทธิภาพมาใช้ จะทา
ให้เกิดความสมั พนั ธภาพที่ดีระหว่างผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ

ข.ลักษณะสาคญั
เนือ่ งจากการนิเทศแบบมนุษยสัมพันธ์มีลักษณะเฉพาะซึง่ วัชรา เล่าเรียนดี (2554
: 89) ได้กล่าวถึงลกั ษณะสาคัญ ดังนี้
1. มีความเชื่อว่าถ้าบุคคลในองค์กรมีความสุข มีความพึงพอใจเขาจะทางานหนัก
มากขึน้ ทาให้ง่ายต่อการร่วมทางาน การติดต่อและการบริหารจัดการ
2. เน้นการบรหิ ารจดั การแบบประชาธิปไตย
3. เน้นความสาคญั ของบุคคลมากกว่าผลของงาน
4. ครมู คี วามสาคญั มีสิทธิเสรีภาพในการคิดและการปฏิบัติ
5. ยึดทฤษฎีความต้องการของมนุษย์ของมาสโลว์ (Maslow) และทฤษฎี Y ของ
แมกเกรเ์ กอร์ (McGregor)
6. ต่อตา้ นแนวคิดและทฤษฎีแบบวิทยาศาสตร์
7. มุ่งสร้างความสขุ และความพึงพอใจของครใู นการปฏิบัตงิ าน
8. เน้นความตอ้ งการทางด้านสังคมและความรู้สึกของบุคคลมากข้ึน
9. เน้นการสร้างความรู้สึกว่าตนเองมีความสาคัญ และมีค่าต่อองค์กรโดยการ
สร้างขวญั กาลังใจและความพึงพอใจให้เกิดขนึ้ กับครู
10. ผู้นิเทศทางานร่วมกับครู โดยเน้นที่การมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันในการปฏิบัติ
งาน

ค.ข้นั ตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
สาหรับการดาเนินการตามข้ันตอนของการนิเทศแบบมนุษยสัมพันธ์น้ันเพื่อให้การ
ดาเนินการเป็นระบบ จาเป็นต้องดาเนินการตามลาดับ เกี่ยวกับเรื่องนี้ ปรียาพร วงศ์อนุตร
โรจน์ (2553 : 242-244) ได้ศึกษาแนวคิดของ แมรี ฟิกเกทท์ (Marry Fikkerr) ซึ่งได้นาหลกั การ
มนษุ ยสัมพันธ์สอดแทรกไว้ในกระบวนการบริหารงาน และสามารถนามาประยุกต์ใช้ในรปู แบบ
ของการนิเทศแบบมนษุ ยสัมพันธ์ ได้ดงั นี้
1. ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศร่วมกันกาหนดเป้าหมายการนิเทศเพื่อร่วมกนั รับผิด-
ชอบในการแก้ปญั หาการเรียนการสอนและพฒั นาตนเอง / พฒั นาผู้ร่วมงาน
2. ดาเนินการกาหนดความรบั ผิดชอบร่วมกัน เพื่อให้งานสาเร็จตามเป้าหมายโดย
ปฏิบัตหิ น้าทีต่ ามบทบาทและหน้าทีข่ องตนเอง

102

3. วางแผนและประสานงานความรับผิดชอบของตนเองกับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในการ
นิเทศ

4. ดาเนินการนิเทศและปฏิบัติตามความรับผิดชอบที่ได้กาหนดไว้ โดยให้กาลังใจ
ผู้รบั การนิเทศในการพฒั นาตนเองในฐานะผทู้ ีม่ ีความรคู้ วามสามารถและมีคณุ ค่าต่อองค์กร

5. ให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยการส่ือสารแบบสองทาง (Two ways communication)
จากผู้นิเทศให้ข้อมูลย้อนกลับการสงั เกตการสอน และผู้รับการนิเทศได้เสนอแนวคิดเพือ่ พัฒนา
ตนเองและประเมินผลการนิเทศ

ดังน้ัน สามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการนิเทศแบบมนุษยสัมพันธ์มุ่งเน้นความ
พึงพอใจและความสุขของบุคคลมากกว่าความสาเร็จของงาน เนื่องจากมีรากฐานมาจาก
แนวคิดที่ว่ามนษุ ย์เป็นบุคคลที่สาคัญที่สุด หากมนุษย์มีความพึงพอใจ มีความรักและทุ่มเทใน
การปฏิบัติงานแล้วความสาเร็จในการนิเทศก็จะตามมา ซึ่งความสาเร็จดังกล่าวเกิดจาก
แรงผลักดันภายในของกลุ่มคนเหล่าน้ัน อันเป็นแรงผลักดันที่มีพลังให้เกิดความร่วมมือและ
นาพาไปสเู่ ป้าหมาย

4.4 การนเิ ทศแบบทรัพยากรมนุษย์ (Human Resource Supervision)
ก.แนวคิดเกย่ี วกบั การนิเทศ
การนิเทศในรูปแบบนี้มาจากทฤษฎีของแมกเกรเกอร์ (McGregor) ซึ่งเป็นทฤษฎี

ใหม่ที่เกิดขึ้นหลังจากที่มีแนวคิดของการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์แ ละการนิเทศแบบมนุษย
สมั พันธ์ มีฐานคิดมาจากการมุ่งเน้นมนุษย์เป็นสาคญั โดยทรัพยากรมนุษย์มีความแตกต่างจาก
ทรัพยากรอื่น ๆ กล่าวคือ ทุนมนุษย์น้ันเป็นทรัพยากรที่ผลิตออกมาจะมีความแตกต่างกัน
อย่างไรก็ตาม วัชรา เล่าเรียนดี (2554 : 91) สรุปไว้ว่า “การนิเทศแบบทรัพยากรมนุษย์น้ันให้
ความสาคัญต่อความต้องการของมนุษย์และความพึงพอใจต่อผลงานที่เกิดขึ้น ภาวะผู้นาที่ใช้
การนิเทศแบบนี้จะไม่ใช่ท้ังการชี้นาและการอุปถัมภ์แต่เป็นการให้การสนับสนุนมากกว่า ซึ่ง
สอดคล้องกับทฤษฎีของแมกเกรเกอร์ ที่กล่าวถึงการบริหารจัดการรวมถึงการนิเทศที่อยู่บน
ฐานของการใช้ทฤษฎีใดทฤษฎีหนึ่งเสมอ การนิเทศแบบทรัพยากรมนุษยก์ ล่าวได้ว่า ยึดทฤษฎี Y
ของแมกเกรเกอร์เปน็ หลกั และนามาเป็นแนวทางในการปฏิบตั ดิ ว้ ยเช่นกนั ”

ในทานองเดยี วกัน ภาวัฒน์ พันธ์ุแพ (2546 : 222) ศึกษาแนวคิดของแมกเกรเกอร์
ได้สรุปไว้ว่า “วิธีการกระตุ้นจูงใจการทางานของกลุ่มที่ดีที่สุด คือ การให้คนมีส่วนร่วมในการ
ตัดสินใจ มีความรับผิดชอบ ทางานที่ท้าทายและส่งเสริมให้มีความสัมพันธ์ที่ดีเกิดขึ้นในกลุ่ม
ดงั น้ันคนย่อมตอ้ งการทีจ่ ะรสู้ กึ ว่าตนเองมีความสาคญั ในกลุ่มเสมอ”

103

จากแนวคิดของการนิเทศแบบทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าวพบว่า มุ่งเน้นและให้
ความสาคัญกับบุคลากรมากที่สุด ดังน้ันผู้นิเทศหรือผู้รบั การนิเทศจาเป็นต้องศึกษาเรียนรู้ซึ่ง
กันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกันในฐานะการเป็นเพื่อนร่วมวิชาชีพที่นาไปสู่ความเจริญ
งอกงาม

ข.ลกั ษณะสาคัญ
เนือ่ งจากการนิเทศแต่ละรปู แบบมีลักษณะสาคัญที่แตกต่างกัน เช่นเดยี วกันกบั การ
นิเทศแบบทรัพยากรมนุษย์ซึง่ วัชรา เลา่ เรียนดี (2554 : 92) กล่าวถึงลกั ษณะสาคัญ ไว้ดงั นี้
1. มีความเชื่อว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีคุณค่า มีความสาคัญและมีความหมาย
ต่อองค์กร
2. มุ่งสร้างความรู้สึกที่ดีต่อตนเอง ยอมรับตนเอง รับผิดชอบตนเอง อุทิศตนเอง
ผูกพันตวั เองต่อภาระหน้าที่
3. สร้างความรู้สึกว่าองค์กรหรือโรงเรียนที่ตนเองปฏิบัติงานอยู่น้ัน เป็นของทกุ คน
และทุกคนมีส่วนรับผิดชอบ
4. ใช้การสนบั สนุนสง่ เสริมมากกว่าการชนี้ า
5. มีความเชื่อว่าการนิเทศที่เน้นทรัพยากรมนุษย์ชีวิตครูจะดีขึ้น โรงเรียนจะมี
ประสิทธิภาพยิ่งข้นึ
6. มุ่งให้ทุกคนเกิดความภมู ิใจ พอใจ มีความสขุ จากผลสาเร็จของงานที่ปฏิบัติ
7. มีความเชื่อว่าบคุ คลจะรู้สึกว่าตนเองพัฒนาก้าวหน้าข้นึ จากผลของงานทีป่ ฏิบัติ
8. เน้นผลของงานกอ่ นความสุขและความพึงพอใจ
9. มีความเชือ่ ว่าความสขุ ความพึงพอใจจะเกิดขนึ้ และผลสาเร็จจะเกิดขนึ้ ก็ต่อเมื่อ
มีงานและมีการปฏิบตั งิ านให้เสรจ็ ก่อน
10. ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของบุคคล คือ เป้าหมายที่ต้องการเมื่อได้
ทางานนั้นและประสบผลสาเรจ็
11. ความรู้สึกว่าประสบผลสาเร็จ มีความพึงพอใจ ความสุขเกิดขึ้นซึ่งจะนาไปสู่
ความสาเร็จของโรงเรียน
12. ครูมีเสรีภาพในการตัดสินใจในงานที่ปฏิบัติ มีความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของ
งาน

104

ค.ขน้ั ตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
เนื่องจากการนิเทศแบบทรัพยากรมนุษย์ เป็นการทางานที่ให้ความสาคัญกับงาน
เป็นหลัก ดังน้ันการทางานให้มีประสิทธิภาพต้องมีการเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี ดังเช่น
คณะกรรมการกลุ่มผลิตและบริหารชุดวิชา การบริหารทรัพยากรการศึกษา (2537 : 43-44)
กล่าวถึงกระบวนการในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ที่สามารถนามาประยุกต์ใช้ในการ
ดาเนนิ การ ตามข้ันตอนของการนิเทศให้ประสบผลสาเร็จมีดงั นี้

1. กาหนดนโยบายและเป้าหมายในการนิเทศ
2. วางแผนหรือกาหนดกรอบความต้องการความสาเร็จของการนิเทศ รวมถึง
การสรรหา คัดเลือกผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศ โดยให้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจเกี่ยวกับงานที่
ต้องปฏิบัติ
3. การพัฒนาผู้รับการนิเทศ ซึ่งเป็นแนวทางของการปรับพฤติกรรมการสอน
ให้สอดคลอ้ งกบั เป้าหมายของการนิเทศ ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งข้นึ
4. ให้ข้อมูลย้อนกลบั และผลการนิเทศการสอน จากการมีส่วนร่วมผู้นิเทศและ
ผู้รบั การนิเทศพร้อมทั้งการให้ขอ้ เสนอแนะในการพัฒนาการสอน
5. รายงานผลการนิเทศที่ร่วมกันปฏิบัติแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบและเข้าร่วม
กิจกรรมดงั กลา่ วดว้ ยความเต็มใจ
ดังน้ัน สามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการนิเทศแบบทรัพยากรมนุษย์มุ่งเน้น
ความสาเร็จของงานที่เกิดขึ้น เมื่องานสาเร็จผู้รับการนิเทศก็จะได้รับความสุข ความพึงพอใจ
เกิดความภาคภูมิใจจากผลงานทีต่ นเองปฏิบัติ และเกิดความรู้สึกว่าตนเองมีความก้าวหน้าใน
วิชาชีพจากความสาเร็จนั้นด้วยเช่นกัน ในทานองเดียวกันความต้องการเป็นบุคคลสาคัญของ
กลุ่มนับว่าเป็นส่ิงสาคัญของการนิเทศในรูปแบบนี้ ดังน้ัน ผู้บริหารหรือผู้บังคับบัญชาควร
รายงานผลความสาเร็จของการนิเทศที่ร่วมกันปฏิบัติให้แก่บุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้รับ
ทราบ ซึ่งเป็นการสนับสนุนให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกนั ในกลุ่มจากผลงานที่ปรากฏ

4.5 การนเิ ทศแบบมนุษยนยิ ม (Humanistic Supervision)
ก.แนวคิดเกย่ี วกบั การนิเทศ
การนิเทศรูปแบบนี้มีแนวคิดต้นแบบจากนักจิตวิทยามนุษยนิยมคือ มาสโลว์

(Maslow) โรเจอร์ส (Rogers) และโคมส์ (Combs) ดังที่ สุรางค์ โค้วตระกูล (2553 : 362) ได้
กล่าวไว้ว่า “การนิเทศดงั กล่าวน้ีมีความเชื่อพื้นฐานทีค่ ลา้ ยคลึงกัน คือ มนุษยท์ ุกคนมีศกั ยภาพ
และความโน้มเอียงที่จะขวนขวายที่จะเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยมีแรงจูงใจภายในที่จะสร้าง
สถานการณ์และส่ิงแวดล้อมให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ มีความสามารถที่จะรับผิดชอบ

105

พฤติกรรมของตนเอง ถือว่าตนเองเป็นปัจเจกบุคคลและเป็นบุคคลที่มีค่า” ในทานองเดียวกัน
Abrell, (1974 : 216 อ้างถึงใน วไลรัตน์ บุญสวสั ดิ์, 2538 : 30) สรุปไว้ว่า “การนิเทศในรปู แบบ
นจี้ ึงเน้นถึงความสาคญั และการกระทาของผู้อืน่ ซึ่งทาให้เกิดความงอกงามของตวั ครู ผู้นิเทศที่
ใช้วิธีการนี้จะต้องมีคุณลักษณะ ทักษะ ทัศนคติ และความเข้าใจในการนิเทศการศึกษาที่ยึด
ความสามารถส่วนตัวของบุคคลเป็นหลัก ต้องรู้จักสร้างบรรยากาศ ส่ิงแวดล้อมต่าง ๆ ที่จะ
สามารถกระตุ้น พัฒนาความงอกงาม และความสาเร็จสว่ นบุคคลให้กับบุคคลทีผ่ ู้นิเทศทางาน
ด้วย” เกี่ยวกับเรื่องนี้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2543 : 19-20) กล่าวว่า “การใช้
วิธีการเชิงมนุษยนิยมในการนิเทศนั้นเป็นวิธีการที่ยอมรับนับถือในคุณค่าความเปน็ มนษุ ย์ ทาให้
ทกุ คนรู้สึกว่าตนมีคุณค่า สามารถแสดงความรู้สึกนึกคิด และความสามารถของตนโดยไม่ถูก
บังคับ วิธีการเชิงมนุษย์นิยมได้สอดแทรกไว้ในกระบวนการนิเทศของสถานศึกษาที่สาคัญ ดังนี้

1. แสวงหาความดีเด่นของสถานศึกษา แสดงความชื่นชมและประชาสัมพันธ์
เผยแพร่

2. แรงเสริมด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น ยกย่อง ชมเชย และรายงานผลงานของสถาน
ศึกษาให้ผู้เกี่ยวข้องทราบ

3. ให้บุคลากรในสถานศึกษามีความรู้สึกอิสระที่จะแสวงหาทางเลือก ในการแก้
ปญั หาและพฒั นาสถานศึกษา

จากแนวคิดดงั กล่าวสรุปได้ว่า การนิเทศในลักษณะนมี้ ุ่งเนน้ ในเรือ่ งของคน หากคน
มีความพึงพอใจ มีอิสระในการคิด ตัดสินใจ และได้รับการเสริมแรงที่ดีจะทาให้งานประสบ
ความสาเร็จ

ข.ลกั ษณะสาคัญ
เนือ่ งจากครูหรือผู้รบั การนิเทศมีความรู้ความสามารถในระดบั ที่แตกต่างกัน ดงั นั้น
การนารูปแบบการนิเทศแบบมนษุ ยนิยมมาใช้ ควรตระหนักถึงลักษณะสาคัญและแนวทางการ
นิเทศแบบมนษุ ยนิยมซึ่ง วัชรา เลา่ เรียนดี (2554 : 94) สรุปลกั ษณะสาคญั ไว้ ดังนี้

1. การยอมรบั วิถีทางประชาธิปไตยในการทางานร่วมกัน
2. การให้ความสาคัญกับมนุษย์ และมีความเชื่อว่าทุกคนมีอิสระที่จะเลือกทา
ตามที่ตนเองต้องการด้วยความสามารถของตน
3. ยอมรับและสามารถทาให้คนอื่นรู้สึกว่าตนเองมีคณุ ค่า มีความสาคัญและมี
สุขภาพจิตดี

106

4. การยอมรับบคุ คลในฐานะที่เปน็ มนุษย์ด้วยกนั อย่างมีคุณค่า และมีศกั ยภาพ
ที่จะเรียนรู้

5. มีความเชื่อว่าการนิเทศการศึกษาเป็นกระบวนการที่เสริมสร้างความ
เจริญเติบโต และความก้าวหน้าของบคุ คล

ค.ข้นั ตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
วไลรัตน์ บุญสวัสด์ิ (2538 : 32) ได้กลา่ วถึงการดาเนินงานของกระบวนการนิเทศ
การศึกษาแบบมนษุ ยนิยมให้ประสบความสาเรจ็ ไว้ ดังต่อไปนี้
1. การสร้างความสัมพนั ธ์ที่เปิดเผย ไว้วางใจกนั และเป็นกันเอง
2. การวินิจฉัยความต้องการ ความมุ่งมาดปรารถนา ความสามารถพิเศษและ
เป้าหมายทั้งของครู และของสถาบันทีจ่ ะมีการนิเทศเกิดขนึ้
3. การวางแผนว่าจะทาอะไร จะทาอย่างไรและจะเกิดขนึ้ เมือ่ ใด
4. การสังเกตการกระทาโดยการสมมตุ ิบทบาทของครู นักเรยี นและผู้นิเทศ
5. การวิเคราะห์การกระทา การปรกึ ษาหารอื และการร่วมกนั ประเมินผล
ในกระบวนการนิเทศการศึกษาแบบมนุษยนิยมนั้น จะประสบผลสาเร็จได้หากทุก
คนมสี ว่ นร่วมในการนิเทศโดย
1. รู้ว่าทักษะ ความสามารถพิเศษ และความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ของเขาเองน้ัน
จะต้องนาออกมาใช้ให้เปน็ ประโยชน์ในการทางานร่วมกัน
2. ระลึกเสมอว่าเขาจะต้องมีความรับผิดชอบในตัวเอง จัดการดาเนินการต่าง ๆ
ดว้ ยตนเอง และตดั สินใจดว้ ยตนเอง
3. ยอมรบั สภาพความเปน็ จริง และความสามารถของบคุ คลตามทีเ่ ขามีอยู่
ดงั น้ัน สามารถสรุปได้ว่า รูปแบบการนิเทศแบบมนุษยนิยม ให้ความสาคัญกบั ผู้รับ
การนิเทศว่าเป็นบุคคลที่มีคุณค่า มีความดีงาม รวมถึงมีความสามารถในการปฏิบัติงานโดย
เป็นบุคคลที่มีความรบั ผิดชอบในงานที่ได้รบั มอบหมาย ความสาเรจ็ ของงานเกิดจากแรงจูงใจที่
มีอยู่ภายในตนเอง อย่างไรก็ตามการที่เน้นในตัวบุคคลหรือครูมากเกินไปอาจทาให้ผู้บริหาร
รู้สึกอึดอัดใจ เนื่องจากการตัดสินใจและปฏิบัติงานการนิเทศต้องดาเนินการร่วมกัน โดย
ผู้บริหารจะต้องให้ความสาคัญและยอมรบั ความสามารถของครูทุก ๆ คน เพราะความสาเร็จ
ขององค์กรเกิดจากความสาเร็จที่มาจากครูทกุ ๆ คน

107

4.6 การนเิ ทศแบบหลากหลายวิธีการ
การนิเทศในรูปแบบนี้มีวิธีการดาเนินการที่เฉพาะเจาะจง และสามารถนาไปใช้

เฉพาะกิจตามสภาพบริบทของสถานศึกษาแต่ละแห่ง ซึ่งในที่นี้ไดเ้ สนอรูปแบบที่พบเห็นและใช้
อย่างแพร่หลาย ดงั ต่อไปนี้

4.6.1 การนเิ ทศแบบคลินกิ (Clinical Supervision)
ก.แนวคิดเก่ยี วกับการนิเทศ
มี นั ก ก า ร ศึ ก ษ า ได้ ศึ ก ษ า แ น ว คิ ด เกี่ ย ว กั บ ก า ร นิ เ ท ศ แ บ บ ค ลิ นิ ก ไว้ อ ย่ า ง

หลากหลาย อาทิ รูปแบบการนิเทศของโกลด์แฮมเมอร์ (Goldhammer) คารล์ ดี กลกิ แมน (Carl
D. Glickman) โคแกน (Cogan) โบยาน และโคพแลนด์ (Boyan and Copeland) แอคคีสัน และ
แกลล์ (Acheson and Gall) เบล์ลอนและฮัฟฟ์แมน (Bellon and Huffman) เป็นต้น แม้ว่านกั การ
ศึกษาแต่ละท่าน ไดน้ าเสนอกระบวนการและขั้นตอนทีแ่ ตกต่างกันในรายละเอียดย่อย ๆ แต่ใน
สาระหลกั ๆ ยงั คงมีความคลา้ ยคลึงกัน ดังต่อไปนี้

นิพนธ์ ไทยพานิช (2535 : 17-18) สรุปไว้ว่า “การนิเทศแบบคลินิกน้ันเป็นชุด
ย่อย (Subset) ของการนิเทศการสอน เป็นกิจกรรมทุกอย่างที่ดาเนินตามกระบวนการและ
ขั้นตอนของการนิเทศแบบคลินิกซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงในช้ันเรียน เป็นกระบวนการของการนิเทศ
การสอนในช้ันเรียนโดยตรง”

ซึ่งสอดคล้องกับ คาร์ล ดี กลกิ แมน (Carl D. Glickman, 2546 : 20-21) กลา่ ว
ว่า “การนิเทศแบบคลินิกเป็นโครงสร้างการทางานโดยตรงกับครูผู้สอน ซึ่งรู้จักกนั ดีและใช้กัน
อย่างแพร่หลายมานาน การนิเทศแบบนมี้ ักใช้กับลักษณะงานที่มีความสัมพันธ์ต่อเป็นสายตรง
เช่น ผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศ ครูใหญ่กับผู้ช่วยครูใหญ่ หัวหน้าหมวดวิชากับครูผู้สอน ครูพี่
เล้ยี งกบั ครฝู ึกสอน ครตู ้นแบบกบั ครูฝึกงาน เปน็ ต้น”

ในทานองเดียวกัน ชารี มณีศรี (2542 : 123) ได้สรุปการนิเทศแบบคลินิกว่า
“เปน็ การช่วยเหลือแก่ครูโดยตรงในชั้นเรียน โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่าง
ศกึ ษานเิ ทศก์และครู หัวใจของการนิเทศแบบคลนิ ิก คือความต่อเนื่องของความสัมพนั ธ์ระหว่าง
ผู้ทาหน้าทีใ่ นการนิเทศกับครโู ดยมีเป้าหมายในการปรับปรุงวิชาชีพ”

จากแนวคิดดังกลา่ ว สรปุ ได้ว่าการนิเทศแบบคลินิกนั้น มุ่งเน้นพัฒนาการสอน
ของครูโดยตรง ซึ่งเป็นการส่งเสริมให้ครูจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนบรรลุตามเป้าหมาย

108

ข.ลกั ษณะสาคญั
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รุ่ง พูลสวัสด์ิ (ม.ป.ป. : 105-106) ได้กล่าวถึงการนิเทศแบบ
คลินิกว่ามีลักษณะทีส่ าคัญดงั นี้
1. เป็นการให้ข้อมูลป้อนกลับที่มีความเด่นชัด จาเพาะเจาะจง เกี่ยวกับ
พฤติกรรมในการสอนต่อตัวครู เนื่องจากการนิเทศแบบคลนิ ิกเปรียบเสมือนกับการทีผ่ ู้ให้การ
นิเทศได้ถือกระจกอยู่ข้างหลังห้องเรียน ซึ่งจะช่วยทาให้ครูได้เห็นภาพที่แท้จริงว่าเขาทาอะไร
ทาอย่างไรบ้างในขณะที่เขาสอนอยู่ พฤติกรรมของครทู ี่ไดก้ ระทาลงไปในห้องเรียนอาจต่างกัน
ออกไปจากสิ่งที่เขาคิดว่าเขากาลังกระทาอยู่ ตวั อย่างเชน่ ครูจานวนมากมีความเชือ่ ว่าเขาทาได้
ดมี ากเกี่ยวกับการสง่ เสริมให้นักเรียนได้แสดงออกทางความคิดเห็น จนกระทั่งได้ดูตนเองสอน
ผ่านวีดีทัศน์จึงได้พบว่า ตนเองพูดมากตลอดเวลามากกว่าส่งเสริมให้นักเรียนได้พูดแสดงออก
ทางความคิดเห็น เพราะฉะน้ันการที่ครูได้รับข้อมูลป้อนกลับจาเพาะเจาะจงอยู่เสมอ จะเป็น
แรงกระตนุ้ ให้ครูไดร้ ู้จกั ทีจ่ ะปรบั ปรุงวิธีการสอนของตนเอง
2. เป็นการวินิจฉัยและแก้ไขกระบวนการสอน ผู้นิเทศได้ใช้เทคนิคของการ
ประชุมปรึกษาหารือ และข้อมลู หลกั ฐานทีไ่ ดจ้ ากการสังเกตการสอน เพื่อที่จะชี้เฉพาะเจาะจง
ลงไปว่า พฤติกรรมในการสอนน้ันมีความคลาดเคล่ือนไปอย่างไร ระหว่างส่ิงที่ครูได้สอนและ
จดุ มงุ่ หมายของบทเรียนและการสอนทีค่ รูได้ต้ังเอาไว้
3. เป็นวิธีการที่ให้ความช่วยเหลอื ครูได้พัฒนาทักษะในการใช้ยุทธศาสตร์การ
สอน
4. ช่วยให้ครูได้พัฒนาทัศนคติในทางดีงามและเต็มใจ ที่จะค้นคว้าศึกษาอย่าง
ต่อเนื่องในเรือ่ งของการพัฒนาวิชาชีพในการสอน ดว้ ยเหตุนจี้ ึงเปน็ คุณค่าทีส่ าคญั มากประการ
หนึ่ง ซึ่งเป็นส่งิ ที่จะช่วยเหลอื ให้ครูได้รู้แจ้งเห็นจริงว่าการฝึกอบรมในการเปน็ ครูนั้น ไมไ่ ด้ยุติแต่
เพียงหลงั จากไดร้ บั ประกาศนียบัตรหรือปรญิ ญาบตั รเพียงเท่านนั้ ครูจะต้องมีทศั นคตติ ่อตวั เอง
ว่าเป็นผู้ที่มีวิชาชีพ ซึ่งหมายถึง การเรียนรู้เพิ่มเติมส่ิงใหม่ ๆ เทคนิคใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลาและ
ตลอดชีวิตของวิชาชีพในการสอน
5. เป็นการช่วยให้ผู้นิเทศไดพ้ ฒั นาตนเองอย่างจริงจัง เพือ่ เปน็ แบบอย่างให้กับ
ครู และช่วยให้ผู้นิเทศที่ดาเนินการนิเทศแบบคลินิกได้พัฒนาตนเอง ทั้งทางด้านทัศนคติ และ
ทกั ษะของการนิเทศการสอน เพื่อส่งเสริมให้เปน็ นักวิชาการและเป็นผู้ที่มีวิชาชีพทีส่ มบรู ณ์แบบ
ยิง่ ๆ ขนึ้ ไป
ค.ขัน้ ตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
คาร์ล ดี กลิกแมน (2546 : 21-24) ได้สรุปขั้นตอนของการนิเทศแบบคลินิกไว้
5 ขั้นตอน ตามลาดบั ดงั นี้

109

ขน้ั ที่ 1 การพูดคุยกับครูก่อนเข้าสงั เกตการสอน
การพูดคุยก่อนเข้าสังเกตการสอนนั้น ผู้นิเทศจะนั่งพูดคุยกับครูเพื่อกาหนด
ประเดน็ ต่าง ๆ ได้แก่ เหตผุ ลและความมุ่งหมายของการสงั เกตการสอน จดุ มงุ่ เน้นในการสงั เกต
วิธีการและแบบบันทึกการสังเกตที่ใช้ เวลาที่ใช้ในการสังเกต และเวลาสาหรับการพูดคุย
หลังจากการสังเกต ข้อกาหนดเหล่านี้ต้องตกลงกันก่อนการสังเกตการสอนจริง เพื่อให้ท้ังผู้
นิเทศและผู้รับการนิเทศเข้าใจส่ิงที่จะเกิดขึ้น ความมุ่งหมายของการสังเกตการสอนเป็น
ตัวกาหนดเกณฑ์ในการพิจารณาเลอื กจุดมงุ่ เน้น วิธีการ และเวลาในการสงั เกตการสอนทีเ่ หลือ
ต่อไป แสดงได้ดังแผนภาพดงั นี้

แผนภาพที่ 4.1 แสดงการพดู คยุ กับนกั ศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูก่อนสงั เกต
การสอน

ขั้นที่ 2 การสงั เกตการสอนในช้ันเรียน
ข้ันต่อไปคือ การสงั เกตซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ต้องดาเนินการให้ลุลว่ งตามข้อตกลง
ที่กาหนดไว้ในการพูดคุยก่อนการสังเกต ผู้สังเกตอาจใช้การสังเกตแบบเดียวหรือหลายแบบ
ผสมผสานกัน และควรตระหนักถึงความแตกต่างระหว่างการบรรยายความเหตุการณ์
(Descriptions) กับการตีความเหตุการณ์ (Interpretation) นั้น ๆ การบรรยายความคือ
เหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นและมีบันทึกไว้ การตีความคือ ความหมายที่สรุปได้จากเหตุการณ์
เหลา่ นนั้ แสดงได้ดงั แผนภาพดงั นี้

110

แผนภาพที่ 4.2 แสดงการสงั เกตการสอนในช้ันเรียน
ขัน้ ที่ 3 การวิเคราะห์และตีความการสงั เกต และการกาหนดวิธกี ารพูดคยุ
ขั้นการวิเคราะห์และตคี วามการสังเกต และการกาหนดวิธีการสังเกตสามารถ

กระทาได้หลงั จากที่ผู้นิเทศสังเกตการสอนในชั้นเรียนพร้อมด้วยการบันทึกการสงั เกต แล้วปลีก
ตัวไปอยู่ในห้องทางานหรือมุมใดมมุ หนึ่งเพื่อศึกษาข้อมูล ถึงแม้จะไมม่ ีเคร่ืองมือ แบบสอบถาม
หรือแบบฟอร์มปลายเปิดใช้ ผู้นิเทศก็สามารถเข้าใจได้จากข้อมูลจานวนมากที่มาจากการ
สงั เกตนั้น แสดงได้ดงั แผนภาพดังนี้

แผนภาพที่ 4.3 แสดงการวิเคราะห์และตีความการสังเกตและการกาหนดวิธกี าร
พดู คุย

111

ขน้ั ที่ 4 การพูดคุยหลงั การสังเกตการสอน
กิจกรรมลาดับแรกที่ต้องทาคือ เชิญผู้รับการนิเทศเข้าพบเพื่อรับทราบ
ข้อสังเกตจากบันทึก และส่ิงที่ประทับใจจากการสังเกต เพื่อสะท้อนให้ครูเห็นว่าผู้นิเทศเห็น
อะไรบ้าง จากนั้นผู้นิเทศก็จะดาเนินการตามวิธีการที่เลือกไว้ และเมื่อได้แบบสังเกตการสอน
แบบการวิเคราะห์ ตีความที่สมบูรณ์และกาหนดวิธีการพบครูโดยใช้วิธีการแบบมีปฏิสัมพันธ์
ส่วนตัวแล้ว ผู้นิเทศก็พร้อมพบครูในการพูดคุยหลังการสังเกต ซึ่งจัดขึ้นเพื่ออภิปรายผลการ
วิเคราะห์การสงั เกต และถ้าจาเปน็ กอ็ าจต้องจัดทาแผนเพือ่ พัฒนาการสอนดว้ ย

ขน้ั ที่ 5 การติชมข้ันตอนท้ัง 4 ข้ันที่ผ่านมา
เปน็ ช่วงเวลาสาหรบั ทบทวนรูปแบบและกระบวนการ ตั้งแต่การพูดคุยก่อนเข้า
สังเกตจนถึงการพูดคุยหลังสังเกตว่าน่าพอใจแล้ว หรือจาเป็นต้องทบทวนก่อนดาเนินการอีก
ครั้งหนึ่ง อาจจัดการติชมไว้ในช่วงสุดท้ายของการพูดคุยหลังการสังเกต หรือแยกพูดคุยในอีก
2-3 วันต่อมาโดยไม่จาเป็นต้องเป็นทางการ แต่อาจเป็นการอภิปรายพอสังเขป ซึ่ง
ประกอบด้วยคาถามดังนี้ อะไรคือจุดเด่นและจุดด้อยในการดาเนินการ ควรเสนอแนะให้
เปลย่ี นแปลงอะไรบ้าง การติชมมีคณุ ค่าท้ังทางดา้ นสัญลักษณ์และทางปฏิบัติ แสดงให้เห็นว่าผู้
นิเทศมีส่วนในความพยายามพัฒนาเช่นเดียวกับผู้รับการนิเทศ นอกจากน้ันข้อคิดเห็นจากครู
ยังให้โอกาสผู้นิเทศได้ตัดสินใจว่ามีกิจกรรมใดบ้างที่จะทาต่อไป ทบทวนหรือเปลย่ี นแปลงเพื่อ
จะได้ทางานร่วมกบั ครูอีกในอนาคต แสดงได้ดังแผนภาพดังนี้

แผนภาพที่ 4.4 แสดงการพดู คยุ หลงั การสงั เกตการสอน และการติชมข้ันตอนทั้ง
4 ข้ันทีผ่ ่านมา

112

เช่นเดยี วกันกบั โบยาน และโคพแลนด์ (Boyan and Copeland 1978, อ้างถึงใน
นิพนธ์ ไทยพานิช 2535 : 155) ได้เสนอกระบวนการของการนิเทศแบบคลินิกประกอบด้วย 4
ขั้นตอน ดังนี้

ขนั้ ที่ 1 การประชุมก่อนการสงั เกตการสอน (Pre-Observation Conference)
1.1 พฤติกรรมการสอนที่เปน็ ปญั หา
1.2 เลอื กแนวทาง วิธีการปรับปรงุ /พฒั นาพฤติกรรมการสอน
1.3 เลอื กเครื่องมือหรือสร้างเครื่องมือสาหรับใช้ในการสงั เกตการสอน

ขั้นที่ 2 การสงั เกตการสอน (Observation)
พฤติกรรมการสอนที่ระบใุ นข้ันที่ 1

ขั้นที่ 3 การวิเคราะห์การสอน (Analysis)
3.1 การวิเคราะห์ผลทีไ่ ด้จากการสงั เกตการสอน
3.2 ระบุพฤติกรรมการสอนที่ต้องการคงเอาไว้หรือพฤติกรรมการ

สอนทีค่ วรมกี ารปรับปรงุ
ขั้นที่ 4 การประชมุ หลงั การสังเกตการสอน (Post-Observation Conference)
4.1 ให้ข้อมลู ป้อนกลับจากผลของการวิเคราะห์
4.2 พิจารณาเลอื กยุทธวิธกี ารปรบั ปรุง/และพัฒนาครั้งต่อไป
ดงั นั้นเมื่อพิจารณาถึงการนิเทศแบบคลินิกดังที่กล่าวมาข้างต้นแลว้ สรปุ ได้ว่า

เป็นการนิเทศการเรียนการสอนที่ช่วยเหลือครูโดยตรง ซึ่งเป็นการทางานระหว่างผู้นิเทศกับ
ผู้รับการนิเทศอย่างใกล้ชิด และผู้นิเทศเองจาเป็นต้องมีความรู้และทักษะในการนิเทศ รวมถึง
เป็นผทู้ ี่มีประสบการณ์ในการสอนมากเพียงพอทีจ่ ะให้ขอ้ คิด และข้อมลู สาคัญแก่ผรู้ บั การนิเทศ
โดยจาเป็นต้องกระทาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 3-4 คร้ัง ต่อภาคเรียน จึงจะช่วยให้เกิด
พฒั นาการสอนที่ดี

4.6.2 การนเิ ทศแบบร่วมพฒั นาวิชาชีพ (Collaborative Professional
Supervision)

ก.แนวคิดเกย่ี วกับการนิเทศ
วัชรา เล่าเรียนดี (2554 : 100) ได้กล่างถึงแนวคิดของการนิเทศแบบร่วม
พัฒนาวิชาชีพว่า “เป็นกระบวนการนิเทศที่ครูต้ังแต่ 2 คนขึ้นไป ร่วมมือร่วมใจกันปฏิบัติงาน
เพือ่ ปรบั ปรุงความเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพของตนเอง โดยปกติจะมีการสังเกตการสอนกันและ
กันในช้ันเรียน แลกเปล่ียนกันให้ข้อมูลย้อนกลับจากการสังเกตการสอน และอภิปราย

113

แลกเปล่ยี นความคิดเหน็ บางคร้ังอาจเรียกวิธีการนิเทศแบบน้วี ่า การนิเทศแบบเพือ่ นช่วยเพื่อน
หรือ การนิเทศแบบเพือ่ นร่วมอาชีพ”

ในทานองเดียวกัน บีช และเรนฮาร์ซ (Beach and Reinhartz 2000 :141-145
อ้างถึงในเก็จกนก เอือ้ วงศ์, 2554 : 25-27) ได้กลา่ วเกี่ยวกับการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ
ว่า “มีลกั ษณะต่าง ๆ กนั เช่น การนิเทศแบบเพือ่ นนิเทศเพื่อน (Peer Coaching) การนิเทศแบบ
ชี้แนะทางปัญญา (Cognitive Coaching) และการนิเทศโดยครูพี่เล้ียง (Mentoring) ซึ่งรูปแบบ
การนิเทศดังกล่าวมีแนวคิดหลกั คือ ความรว่ มมือกนั ของครู แตร่ ปู แบบท้ัง 3 ลกั ษณะก็มีจุดเน้น
บางส่วนที่แตกต่างกนั ” ซึง่ สาระสาคัญของรูปแบบท้ัง 3 มีดงั นี้

1. รูปแบบการนิเทศแบบเพื่อนนิเทศเพื่อน (Peer Coaching) เป็นการนิเทศที่ใช้
ทีมครูข้ามระดับและข้ามกลุ่มสาระการเรียนรู้ในการให้ความช่วยเหลือสนับสนุน และการให้
กาลังใจซึ่งกันและกันในการพัฒนาการเรียนการสอน โดยบทบาทของผู้นิเทศเปน็ ผู้เอื้ออานวย
ในขณะร่วมงานกับครูในกลุ่มเพื่อน แนวทางที่ใช้จะดาเนินการเป็นกลุ่มเล็กในการเรียนรู้ โดย
อาจนากระบวนการนิเทศแบบคลินิกมาประยุกต์ใช้ในระหว่างการเรียนรู้ในกลมุ่ มีการตั้งคาถาม
เพื่อช่วยให้ครูมีความเข้าใจในด้านการเรียนการสอนของตนอย่างชัดเจน ทั้งนี้สมาชิกในกลุ่ม
และผู้นิเทศต้องร่วมกันวิเคราะห์ และให้ข้อมูลย้อนกลับเพื่อช่วยให้ครูตัดสินใจในการปรับปรุง
การเรียนการสอนของตนเอง ทักษะที่สามารถนามาใช้ประกอบด้วย ทักษะการสังเกต ทักษะ
การส่ือสาร และทักษะการแก้ปัญหา การนิเทศแบบเพื่อนนิเทศเพื่อนนี้ช่วยให้ครูประยุกต์ใช้
ทกั ษะการสอนใหม่ ๆ มาใช้ในการปฏิบัตงิ านให้มากข้นึ

2. การนิเทศแบบชแี้ นะทางปญั ญา (Cognitive Coaching) เป็นกระบวนการที่ไม่
เน้นการตัดสินความถูกผิดแต่จะใช้การประชุมวางแผน การสังเกต และการประชมุ เพื่อสะท้อน
พฤติกรรมการสอน และยังใช้ในการวางกลยุทธ์ที่มีลักษณะเฉพาะ เพื่อจะเสริมสร้างการรับรู้
การตัดสนิ ใจเกี่ยวกับการพฒั นาการเรียนของนักเรียน เป็นการพัฒนาปรับปรุงกระบวนการคิด
ของครู จุดมุ่งหมายสาคัญของรูปแบบการนิเทศนี้ คือ 1. การพัฒนาและรักษาความไว้วางใจ
2. การสนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ และ 3. การส่งเสริมความงอกงามในพฤติกรรมที่เป็นอิสระ
และพึง่ พาอาศัยกัน การนิเทศแบบช้แี นะทางปัญญามีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ

1) การประชุมวางแผน ซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้มีการสร้างความไว้
วางใจระหว่างสมาชิกในกลุ่ม มุ่งเน้นเป้าหมายเพื่อการเตรียมการสอนและสร้างตัวชี้วัดเพื่อ
สะท้อนพฤติกรรมการสอน

2) การสังเกตการสอนเป็นการให้บริบทสาหรับการสอนแนะเพื่อ
นาไปใช้ในการกาหนดกลยุทธ์ การเก็บรวบรวมข้อมลู ที่สอดคลอ้ งกบั ส่งิ ที่กาหนดไว้ในแผน

114

3) การประชุมเพื่อสะท้อนพฤติกรรมการสอน เกิดขึ้นภายหลังการ
สังเกตพฤติกรรมการสอน เพื่อให้ครูสามารถพิจารณาบทเรียนและพฤติกรรมก่อนเข้ามามีส่วน
ร่วมในการประชุม การสอนแนะจะช่วยให้ครูได้บอกถึงความรู้สึกประทับใจในการสอนของ
ตนเอง โดยนาพฤติกรรมการสอนที่กาหนดให้ไปสังเกตในข้ันตอนการวางแผน และการสังเกต
การสอนให้มาอภิปรายร่วมกันรูปแบบนี้จะประสบความสาเร็จ ก็ต่อเมื่อผู้นิเทศมีเวลาเพียงพอ
ให้สมาชิกในกลุ่มได้ทางานร่วมกันดว้ ยบรรยากาศทีม่ ีอิสระในการพิจารณาประเด็นที่ไม่คุ้นเคย
และทาการสังเกตซึ่งกันและกัน จึงเป็นรูปแบบที่อยู่บนพื้นฐานของความไว้วางใจ ผลของการ
นิเทศแบบนีท้ าให้ครมู ีความเป็นตวั ของตวั เอง มั่นใจในตนเอง และมีการปรับเปล่ียนพฤติกรรม
การสอน

3. รูปแบบการนิเทศโดยครูพี่เล้ียง (Mentoring) เป็นรูปแบบที่ใช้วิธีการร่วมมือ
กัน โดยมีการช่วยเหลอื เพื่อจะถ่ายโอนบทเรียนของประสบการณ์วิชาชีพ โดยเน้นความสมั พันธ์
ระหว่างบุคคลสาคัญว่าจะมี 5 บทบาท คือ บทบาทการสอน การสนับสนุน การให้กาลังใจ
การให้คาปรกึ ษา และการสร้างสัมพนั ธภาพ ซึง่ ผู้ทีท่ าหน้าที่เป็นครพู ีเ่ ล้ียงควรมีบทบาท ดังนี้

1) การให้ข้อเสนอแนะโดยช่วยให้ผู้รบั การนิเทศได้เข้าใจวฒั นธรรมของ
สถานศึกษา และเข้าใจนโยบาย ตลอดจนแนวทางการปฏิบัติงานภายในสถานศึกษา

2) การให้การสอนแนะในการฝึกฝนเพื่อช่วยให้เกิดการพัฒนาวิชาชีพ
โดยใช้รปู แบบการช่วยเหลอื

3) ครูพี่เล้ียงจะเป็นเพื่อนหรือที่ปรึกษาที่จะให้ความสนใจในการที่จะ
ระบุ วิเคราะห์และแก้ปัญหาการเรียนการสอนให้กับผู้รับการนิเทศ

4) ครูพี่เล้ียงจะเป็นผู้ให้กาลังใจและพฒั นา โดยให้การยกย่องและร่วม
ฉลองความสาเรจ็

การนิเทศโดยครูพี่เล้ียงเป็นรูปแบบที่เหมาะสมสาหรับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่
เพราะช่วยให้เกิดการเรียนรู้และปรับปรุงพฤติกรรมการสอนในระยะเวลาอันส้ัน การใช้ครูพี่
เล้ียงช่วยให้เกิดการถ่ายโอนประสบการณ์ระหว่างครูและครูพี่เล้ียง ซึ่งเป็นการพัฒนาวิชาชีพ
อย่างไรก็ตามรูปแบบการนิเทศนี้จะประสบความสาเร็จได้ ครูพี่เล้ียงซึ่งเป็นแบบอย่างการ
ปฏิบัติจะต้องได้รับการคัดเลือกและฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ในการสร้างสัมพันธภาพเพื่อให้เกิด
การส่อื สารที่ดีซ่งึ จะขจดั อคตแิ ละทัศนคตทิ ี่ไมด่ ใี นการรับการนิเทศ

ข.ลกั ษณะสาคัญ
วีระศักด์ิ ชมภูคา (2551 : 57) ได้ศึกษาเกี่ยวกับการนิเทศแบบร่วมพัฒนา
วิชาชีพ และสรปุ ลกั ษณะสาคัญไว้ ดงั นี้

115

1. การจดั กลมุ่ เพื่อพัฒนาวิชาชีพร่วมกัน ควรมีรูปแบบและเน้นความเป็นระบบ
พอสมควร โดยกาหนดเป็นแผนหรือโครงการนิเทศอย่างกว้าง ๆ เพื่อให้สามารถยืดหยุ่นได้ใน
การนาไปใช้แตก่ ส็ ามารถติดตามผลการปฏิบัตไิ ด้

2. การสังเกตของครูที่มีต่อกัน ควรทาอย่างน้อยไม่ต่ากว่าคนละ 2 คร้ัง/ภาค
เรียน ต้องมีการประชมุ เพือ่ ปรึกษาหารอื หลังการสงั เกต

3. แม้ว่าผู้บริหารและผู้นิเทศจะต้องรบั รู้และเกี่ยวข้องในดา้ นการจัดและ
ควบคุมหรือโครงการการนิเทศด้วย แต่ในเรื่องของการสังเกตการสอนข้อมูลที่ได้การให้คา
ปรึกษาหารือ และการอภิปรายแสดงความคิดเห็นกันนั้น ต้องเป็นเรื่องของครูกลุ่มน้ัน
โดยเฉพาะ

4. การประเมินผลของครู อาจไมม่ ีรูปแบบหรือระบบที่เป็นมาตรฐานมากนักแต่
ต้องเป็นเรื่องของครูกลุ่มนั้นเท่านั้น ผู้บริหารจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมท้ังการสังเกต การให้
คาปรึกษา และผลที่ได้ก็ต้องไม่เกี่ยวข้องกบั ส่วนหนึ่งส่วนใดของกระบวนการพิจารณาความดี
ความชอบ

ในประเด็นดังกล่าวผู้เขียนมีความเห็นว่า แม้ผู้บริหารมิได้เข้าไปมีส่วนร่วมใน
การสังเกตการสอนแต่อาจเข้าไปมีส่วนร่วมในการเป็นผู้อานวยความสะดวก รวมถึงรับทราบ
ข้อมูลข้ันตอน/ กระบวนการนิเทศทั้งระบบร่วมกันกับผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศแล้ว ซึ่งจะช่วย
ส่งเสริมให้การนิเทศดาเนินไปอย่างราบรื่น ตลอดจนผู้บริหารเองไม่ควรนาผลที่ได้จากการ
นิเทศการสอนมาประกอบการพิจารณาความดีความชอบของครู เนื่องจากการนิเทศมีความ
จาเปน็ ต้องสังเกตพฒั นาการสอนของครตู ามลาดบั โดยมุ่งประโยชน์ของผู้เรยี นเป็นสาคัญ หาก
ผู้บริหารนาข้อมูลดังกล่าวมาพิจารณาร่วมด้วยแล้ว อาจทาให้ผลข้อมูลที่ได้บิดเบือนไปจาก
ความเปน็ จริง

ค.ข้ันตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
สาหรับการดาเนินการนิเทศ วัชรา เลา่ เรียนดี (2554 : 101) ได้สรุปไวด้ ังนี้
1. การวางแผนร่วมกนั ของครูหรือคณะครูทีส่ นใจจะช่วยพฒั นางานของตนเอง
2. ร่วมกนั เลอื กประเดน็ ทีส่ นใจจะปรับปรงุ หรือพัฒนา
3. นาเสนอโครงการและข้ันตอนการปฏิบตั ใิ ห้ผู้บังคับบัญชา
4. ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกบั วิธีการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ วิธีการสังเกต
การสอน วิธสี ังเคราะห์การสอน และการให้ข้อมูลย้อนกลับ
5. กาหนดวัน เวลาที่จะทาการสังเกตการสอนกันและกัน รวมทั้งประชุมเพื่อ
อภิปรายแลกเปล่ียนความคิดเห็น

116

6. ดาเนินการตามแผนและกระบวนการที่ระบุในโครงการ สังเกตการสอนใน
แตล่ ะประเดน็ ทีส่ นใจอย่างน้อย 2 ครงั้ ในแตล่ ะเรอ่ื งหรือแต่ละประเดน็ ที่จะปรับปรงุ หรือพฒั นา

7. สรปุ ผลการพัฒนา รายงานผลความสาเรจ็
ดงั นั้นสรุปได้ว่า การนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพ เป็นการพัฒนาการสอนของ
ครูร่วมกนั ซึ่งผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศมักอยู่ในสาขาวิชาเดียวกันหรือใกลเ้ คียงกัน ภายใต้การ
ดูแลให้คาแนะนา คาปรึกษาของผู้ที่มีความรู้ความชานาญในการนิเทศ การนิเทศการสอน
รูปแบบนี้สามารถนามาใช้ได้อย่างแพร่หลาย เนื่องจากคณะครูในโรงเรียนที่ต้องการพัฒนา
วิชาชีพของตนสามารถดาเนินการได้ โดยไม่จาเป็นต้องรอผู้นิเทศจากภายนอก อย่างไรก็ตาม
การนิเทศแบบนี้จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศได้รับการพัฒนา
ด้านความรู้และทักษะในด้านการนิเทศ รวมถึงการจัดการเรียนรู้เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่
ถูกต้องและชัดเจนก่อนดาเนินการนิเทศ

4.6.3 การนเิ ทศโดยผ้บู รหิ าร (Administrative Monitoring)
ก.แนวคิดเกย่ี วกบั การนิเทศ
รุ่ง พูลสวัสด์ิ (ม.ป.ป. : 53) กล่าวไว้ว่า “การนิเทศการศึกษาไม่ว่าจะในอดีต

หรือปัจจบุ ันต่างก็มีเป้าหมายที่จะสนับสนุนระบบการบริหารการศึกษา การเรียนการสอนที่ให้
ประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสาคัญ เมื่อเป้าหมายเป็นเช่นนี้ผู้ที่จะนาวิธีการนิเทศไป
ปฏิบัติให้บรรลุผลจริง ๆ ก็คือผู้บริหารซึ่งจะต้องทาหน้าที่เป็นทั้งผู้บริหารสถานศึกษา และให้
การนิเทศการศึกษาภายในโรงเรียนดว้ ย”

ในทานองเดียวกัน ชารี มณีศรี (2542 : 63) กล่าวถึงผู้บริหารสถานศึกษาว่า
“นอกจากจะมีบทบาทหน้าที่ในฐานะผู้บริหารผู้ใช้พระเดชพระคุณในการบังคับบัญชาตาม
กฎหมายแล้ว หน้าที่ในการนิเทศเป็นหน้าที่ที่ต้องทาด้วยความเข้าใจเพือ่ นร่วมงาน การทางาน
แบบมีสว่ นร่วมในการสนบั สนุนครูทกุ วิถีทางที่เกีย่ วกับการเรียนการสอน รวมท้ังการสร้างขวัญ
และกาลังใจ โดยมีเป้าหมายอยทู่ ี่การนิเทศให้มีประสทิ ธิภาพ”

อย่างไรก็ตามการนิเทศโดยผู้บริหารต้องอาศัยหลกั ของความเปน็ กัลยาณมิตร
เนื่องจากโดยทั่วไป ครูยังคงมีความเกรงใจในฐานะที่ผู้นิเทศเป็นผู้บริหารและมักมีความ
เชื่อมโยงกับความก้าวหน้าในตาแหน่ง หน้าที่การงาน ตลอดจนผู้บริหารมักมีภารกิจหลายดา้ น
จึงทาให้การนิเทศในลักษณะดังกล่าวมีแนวโน้มเป็นการดาเนินงานในลักษณะของการกากับ
ดูแล และอานวยความสะดวกให้แก่ครู รวมถึงสนับสนุนให้ทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมพัฒนาการ
เรียนการสอนร่วมกนั มากยิง่ ข้นึ

117

ข.ลักษณะสาคัญ
การนิเทศโดยผู้บริหารถือว่าเปน็ ความรับผิดชอบสาคัญที่จะช่วยผลกั ดันให้การ
นิเทศบรรลุผลและเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงการเรียนการสอนให้โรงเรียนมีประสิทธิภาพ
ซึ่ง ชารี มณีศรี (2542 : 53) กล่าวถึงลกั ษณะสาคญั ดงั นี้
1. ผู้บริหารช่วยให้ครแู ต่ละคนทาการสอนให้ได้ผลดี แก้ปัญหาของครูแตล่ ะคน
ท้ังในด้านการสอนและปัญหาส่วนตัว นอกจากน้ันยังช่วยส่งเสริมครูแต่ละคนให้มีความเจริญ
งอกงามในอาชีพอีกด้วย
2. ผู้บริหารเป็นผู้ประสานงานและให้บริการแก่ครูทุก ๆ คนในด้านการสอน
คือ ต้องช่วยเหลือครูท้ังด้านเนื้อหาที่จะสอน วิธีสอน การใช้อุปกรณ์ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ตลอดจนการวดั ผลการสอน
3. ผู้บริหารทาหน้าที่เป็นวิทยากรที่ดีของครูในทุกโอกาส คือ สามารถให้
คาปรกึ ษาแนะนา ชีแ้ จง หรือช้แี หลง่ วิทยากรทีเ่ หมาะสมให้แก่ครู
4. ผู้บริหารมีส่วนร่วมทาหน้าที่ประเมินผลการเรียนการสอน และโปรแกรม
ของโรงเรียนทั้งหมดเพือ่ ปรบั ปรงุ ให้ดขี นึ้

ค.ขัน้ ตอน/ วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วัชรา เล่าเรียนดี (2554 : 105) ได้กล่าวถึงข้ันตอนการดาเนิน
การนิเทศโดยผู้บริหาร ไว้ดังนี้
1. ประชมุ วางแผนการสงั เกตการสอน กาหนดเรือ่ ง ประเด็นที่จะสังเกต วิธีการ
สงั เกต
2. สงั เกตการสอนหรือปฏิบตั ิงานตามแผนทีว่ างไว้
3. ให้ข้อมูลย้อนกลับที่ชัดเจน ตรงประเด็นและทบทวนประเด็นที่จะสงั เกตการ
สอนในครง้ั ต่อไป
4. ในกรณีเกีย่ วกับการดาเนินการนิเทศ ควรมีการประเมินผลการนิเทศทั้งตวั ผู้
นิเทศและผู้รับการนิเทศและผลที่เกิดขึ้นกับผู้เรียน เผยแพร่ผลสาเร็จของการนิเทศให้ครูคน
อืน่ ๆ ได้รับทราบ เพื่อจูงใจให้ปรับปรงุ และพฒั นาในวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ได้สรุปแนวคิดเกีย่ วกบั ข้ันตอนการดาเนินการนิเทศโดยผู้บริหาร ไว้
ดงั นี้
1. คณะกรรมการบริหารโรงเรียนหรือฝ่ายบริหารโรงเรียน เลือกผู้ที่จะทา
หน้าที่นิเทศ ซึ่งควรเป็นผู้บริหารงานวิชาการที่มีความรู้ความสามารถดา้ นการจัดการเรียนการ
สอน

118

2. วางแผนกบั หัวหน้าฝ่ายหรือหัวหน้าสายช้ัน เพื่อสอบถามความสมัครใจของ
ครทู ีเ่ ตม็ ใจจะรบั การนิเทศโดยผู้บริหาร ซึง่ ครูที่รบั การนิเทศโดยผู้บริหารไม่ควรจะมากเกินไป

3. ผู้บริหารทีท่ าหน้าทีน่ ิเทศ ควรประชมุ วางแผนร่วมกบั ครูผู้รับการนิเทศ วาง
แผนการนิเทศ กาหนดเครื่องมือสังเกตการสอนหรือการปฏิบัติที่ไม่ซับซ้อน แต่ได้ข้อมูลที่มี
ความหมายและกาหนดวนั เวลาที่จะสามารถสงั เกตการสอน การให้ขอ้ มูลย้อนกลับเพือ่ ให้ครูได้
นาไปปฏิบตั ิ เพื่อการปรบั ปรุงแก้ไขและพัฒนาการสอนต่อไป

4. การนิเทศโดยผู้บริหารควรดาเนินการควบคู่กับการนิเทศภายใน ในรปู แบบ
อื่น ๆ เพื่อการร่วมมือกันพฒั นาคุณภาพการศึกษาอย่างจริงจงั

ดังน้ัน สามารถสรุปได้ว่าการนิเทศโดยผู้บริหาร เป็นวิธีการนิเทศในรูปแบบ
หนึ่งที่ผู้นาของสถานศึกษาเป็นผู้ดาเนินการนิเทศการสอนโดยตรง ในขณ ะเดียวกันก็เป็นผู้
อานวยความสะดวกให้คาปรึกษา แนะนาด้านการเรียนการสอนและด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
ตัวครู แม้ว่าผู้บริหารอาจมีภารกิจที่จาเป็นต้องปฏิบัติหลายด้าน ผู้รับการนิเทศจึงไม่ควรมี
จานวนมาก และผู้บริหารอาจมอบหมายให้บุคคลผู้ที่มีความรู้ความสามารถดาเนินการนิเทศ
ร่วมด้วย เช่น หัวหน้าฝ่ายวิชาการ ครูแกนนา ครูผู้มีความรู้ ความสามารถในกลุ่มสาระการ
เรียนรู้น้ัน ๆ เป็นต้น

4.6.4 การนเิ ทศแบบพัฒนาตนเอง (Self-directed Development)
ก.แนวคิดเก่ยี วกบั การนิเทศ
การนิเทศในรปู แบบนมี้ าจากแนวคิดของแกลทธอร์น (วชั รา เล่าเรียนดี , 2554

: 106-107) “ซึ่งเป็นอีกวิธีหนึ่งของการนิเทศแบบหลากหลายวิธีการ โดยเหมาะกับครูที่มี
ความรู้ความสามารถทีต่ ้องการจะพัฒนาวิชาชีพของตนเอง ด้วยตนเองและนาตนเองให้พฒั นา
ก้าวหน้าโดยไม่ต้องการการนิเทศในรูปแบบอื่น ๆ ทั้งนี้มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อให้ครูที่มีความ
พร้อมทั้งทางสติปญั ญาความสามารถและแรงจงู ใจ ได้มีการพัฒนาความรู้และทักษะจากการ
เรียนรู้ด้วยตนเองอย่างอิสระ โดยมีโอกาสเลือกวิธีที่จะพัฒนาตนเองและวิชาชีพทางการสอน
ซึ่งจะช่วยให้เข้าใจตนเองปฏิบตั งิ านของตนเอง และสามารถนาตนเองให้พฒั นาได้มากยิ่งข้นึ ”

ข.ลกั ษณะสาคญั
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วีระศักด์ิ ชมภูคา (2551 : 63) กล่าวถึงการนิเทศแบบพัฒนา
ตนเอง โดยมีลกั ษณะสาคญั สรุปได้ดังนี้
1. ครคู นเดยี วทางานอย่างเป็นอิสระ ตามโครงการพัฒนาวิชาชีพทีต่ นวางแผน
ขนึ้ แล้วดาเนินการตามโครงการน้ัน

119

2. เป้าหมายของโครงการ ควรเกิดจากความต้องการของครใู นการประเมินผล
การปฏิบัติวิชาชีพของตน ซึ่งควรจะพัฒนาและกระทาตามเป้าหมายของหลักการปรับปรุง
วิชาชีพและไมจ่ าเป็นต้องสบื ทอดเจตนารมณเ์ ป้าหมายของโรงเรียน

3. ครูสามารถใช้วิธีการหลาย ๆ อย่างเพื่อทางานให้สนองเป้าหมายที่ต้องการ
กล่าวคือ สามารถตัดสนิ ใจเลือกจากแหล่งทรัพยากร รวมทั้งประสบการณ์ที่เหมาะสมหลาย ๆ
อย่าง ได้แก่ การบันทึกเทปหรือวีดิทัศน์ของครู ข้อมูลย้อนกลับจากนักเรียน หนังสือคู่มือครู
การบริการความรู้จากแหล่งต่าง ๆ รายวิชาเรียน การเข้ารับการอบรม การสนับสนุนจาก
โรงเรียน ผู้บริหาร ศกึ ษานเิ ทศก์ และการเยี่ยมเยียนโรงเรียนอืน่ ๆ เป็นต้น

4. ผลที่ได้จากการประเมินผลตามโครงการนี้ จะไม่มีการนาไปใช้ในการ
ประเมินความดคี วามชอบของครู

ค.ข้นั ตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
สาหรับวิธดี าเนนิ การนิเทศ อญั ชลี โพธิท์ อง (2549 : 207) ได้สรปุ ไว้ดงั นี้
1. ข้ันเตรียมการ ในข้ันตอนนเี้ ปน็ การเสนอโครงการทีป่ ระกอบดว้ ย

1.1 เป้าหมายโครงการ
1.2 วิธีการในการพฒั นาตนเอง
1.3 แหลง่ ทรพั ยากรทีต่ ้องการ
1.4 วิธีการประเมินผล
1.5 ความช่วยเหลือจากผู้บริหารเสนอ และปรึกษาหารือกับผู้บริหาร
เพือ่ ขอรบั การสนบั สนุน
2. ข้ันปฏิบตั กิ าร
ในขั้นนี้ได้กาหนดกิจกรรมการพัฒนาตนเอง เช่น การอ่าน การ
อภิปราย การอบรม การเยี่ยมเยียนโรงเรียนอื่น ๆ การบันทึกเทป วีดิทัศน์การสอนของตนเอง
การให้นักเรียนประเมินผลการสอนของตนเอง เป็นต้น รวมถึงปรึกษาหารือ รายงานผล
ความก้าวหน้าและปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นต่อผู้บริหารเป็นระยะ ๆ ส่วนผู้บริหารต้องคอยให้
การสนับสนนุ ดา้ นทรพั ยากรที่ครูหรือผู้รับการนิเทศต้องการ
3. ขั้นประเมินผล
ครูและผู้บริหารร่วมกันสรุปผลการปฏิบัติงานตามกิจกรรมที่เลือก โดย
ผู้บริหารมีบทบาทในการให้ข้อมูลย้อนกลับจากส่ิงที่ได้รับฟัง และช่วยครูให้เห็นความสาคัญ
ของประสบการณท์ ี่ได้รบั

120

จากที่กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า แม้ว่ารูปแบบการนิเทศนี้ไม่สามารถ
นาไปใช้ในสถานศึกษาได้ทุกแห่งแต่ยังคงมีความจาเป็น เนื่องจากครูผู้รับการนิเทศมีความ
แตกต่างกัน ครูบางคนมีความรู้ความสามารถในระดับสูง สามารถคิดและนาตนเองได้ ในทาง
ตรงกันข้ามครบู างคนจาเป็นต้องมีผู้แนะนา ให้ความช่วยเหลอื อย่างต่อเนือ่ งและสม่าเสมอ และ
จากความเชื่อบนฐานคิดที่ว่ามนุษย์สามารถพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพนั้น เมื่อครูมี
แรงจูงใจภายใน และมีความสนใจที่จะพัฒนาศักยภาพของตนเองแล้ว ก็จะสามารถกาหนด
เป้าหมายของโครงการ หรือเป้าหมายในการพัฒนาการเรียนการสอนของตนได้อยา่ งอิสระ

4.6.5 การนเิ ทศแบบพัฒนาการ (Developmental Supervision)
ก.แนวคิดเก่ยี วกับการนิเทศ
ครูเป็นบุคคลที่เป็นผู้ใหญ่ มีลักษณ ะที่แตกต่างกันท้ังในด้านความรู้

ความสามารถและระดับของการคิด ทาให้ความสามารถด้านทักษะปฏิบตั ิของครูแตกต่างด้วย
เช่นกนั ดังนั้นการนิเทศแบบพฒั นาการจงึ ช่วยพัฒนาครทู ี่แตกต่างกันได้เป็นอย่างดี

ในขณะที่ ปรยี าพร วงศ์อนตุ รโรจน์ (2548 : 37-38) กล่าวไว้ว่า “การนิเทศใน
รูปแบบนีม้ องครใู นฐานะผแู้ ก้ปัญหา และการนิเทศมุ่งทีก่ ระบวนการแก้ปัญหา”

ในทานองเดียวกัน กล๊ิกแมน และคณะ (Glickman and others 2001, อ้างถึง
ในวชั รา เลา่ เรียนดี 2550 : 129-130) ได้กลา่ วถึงจุดมุ่งหมายของการนิเทศแบบพฒั นาการว่า
“เพื่อช่วยครูให้สามารถปรับปรุงพัฒนางานในวิชาชีพของตนเองได้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เกิด
ประสิทธิผลสูงสดุ ต่อผู้เรียนและเพื่อสร้างโรงเรียนที่มีคุณภาพ สร้างผู้เรียนที่มีประสิทธิภาพ มี
ผลการเรียนรู้ที่ไดม้ าตรฐานตามที่คาดหวัง ซึง่ การดาเนินงานนิเทศเพื่อให้บรรลุเป้าหมายและ
ประสบผลสาเร็จดังกล่าว ประกอบด้วยงาน 5 ด้านได้แก่ 1) งานด้านการให้การช่วยเหลือครู
โดยตรง (Direct Assistance) 2) งานพัฒนากลุ่ม (Group Development) 3) งานพัฒนาวิชาชีพ
(Professional Development) 4) งานพัฒนาหลักสูตร (Curriculum Development) และ 5) งาน
การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ตามรูปแบบและองค์ประกอบของการนิเทศแบบ
พัฒนาการ (Developmental Supervision) ตามแนวคิดของกล๊ิกแมน กอร์ดอน และรอสกอร์
ดอน (Glickman, Gordon and Ross-Gordon 2010 : 11) ดงั แผนภมู ิแสดงการนิเทศการเรียนการ
สอนเพื่อให้โรงเรียนประสบความสาเร็จต่อไปนี้

121

ปัจจยั พื้นฐาน หน้าที่ ภารกิจด้านเทคนิค การสรา้ งเอกภาพ ผลงาน
(Prerequisites) (Function) (Technical Tasks) (Unification) (Outcome)

ความรู้ นิเทศ การช่วยเหลือโดยตรง เปา้ หมายของโรงเรียน
(Knowledge) แบบ (Direct Assistance) และชมุ ชน (School
พฒั นากา /Community Goals)
ทักษะด้านการ ร การพฒั นากลุ่ม
ประสานสมั พันธ์ (Group Development)
ระหว่างบุคคล
(Interpersonal การพัฒนาวิชาชีพ
(Professional
Skills) Development)

ทกั ษะด้าน การพัฒนาหลักสูตร ผเู้ รียนมีพัฒนาการ
เทคนิค (Curriculum Development) ด้านการเรียนรู้
(Technical Skills)
การวิจยั ในช้ันเรียน (Improved Student
(Action Research) Learning)

ภารกิจด้านวัฒนธรรม
(Cultural Tasks)

ความแตกต่างในการอานวย เป้าหมายส่วนบคุ คล
ความสะดวก (Individual Goals)

(Facilitating Change)

ความหลากหลายของที่อยู่
(Addressing Diversity)

122

การสร้างชมุ ชน
(Building Community)

หลกั การ แนวคิดเก่ยี วกบั การนิเทศแบบคลินกิ (Clinical Supervision )
จากการศึกษาความหมายของการนิเทศแบบคลนิ ิก(วชั รา เลา่ เรียนดี 2550 : 103,

แผนภูมิที่ 4.1 แสดงการนิเทศการเรียนการสอนเพือ่ ให้โรงเรียนประสบความสาเรจ็ ตามแนวคิดของ
กลิ๊กแมนและคณะ (Glickman, Gordon and Ross-Gordon, 2010 : 11 อ้างถงึ ใน วชริ า เครอื คาอ้าย,
2552 : 67)

นอกจากนี้ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2548 : 37-38) กล่าวถึงลักษณะสาคัญของ
การนิเทศแบบพฒั นาการ ไว้ดงั นี้

1. ครูอยู่ในฐานะเป็นผู้แก้ปัญหาและการนิเทศมุ่งที่กระบวนการแก้ปัญหา ซึ่ง
กลิกแมน (Glickman) ได้ให้แนวคิดของการนิเทศเพื่อพัฒ นาโดยมองตัวแปรที่ครูและ
สถานการณท์ ี่เกิดขนึ้ โดยแบ่งวิธกี ารของการนิเทศเพือ่ พัฒนาเปน็ 3 วิธี คือ

1.1 การนิเทศแบบชี้นา (Directive Approach) โดยผู้นิเทศเป็นผู้ชนี้ า เมื่อครูหรือ
ผู้รับการนิเทศมีความรแู้ ละความสามารถแตย่ งั ขาดประสบการณ์

1.2 การนิเทศแบบไม่ชนี้ า (Non-directive Approach) วิธีนจี้ ะใช้เมื่อครูหรือผู้รับ
การนิเทศมีคุณภาพสงู มีประสบการณ์และมีความสามารถ

1.3 การนิเทศแบบรว่ มมือ (Collaborative Approach) เปน็ วิธกี ารที่ผู้นิเทศใช้เมื่อ
คณุ ภาพของครูมีลักษณะผสมผสานระหว่างสองแบบข้างต้น

2. เนื่องจากผู้นิเทศแบบพัฒนาการมองเห็นว่า ผู้รับการนิเทศเป็นผู้ที่มีความคิด
อิสระ และเป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบผูกพันกับงานของตน หากครูมีความสามารถต่าการ
แนะนาสามารถชี้นาให้ครูนาไปปฏิบตั ิได้ สว่ นครูที่มีความรู้ความสามารถแลว้ การเสนอปัญหา
สามารถช่วยให้ครคู ิดถึงการแก้ปญั หารว่ มกันได้

3. ส่ิงที่ผู้นิเทศควรตระหนักคือ จะใช้วิธีการอย่างไรที่นาวิธีการนิเทศจากสถาน-
การณ์หนึ่งไปสู่อีกสถานการณ์หนึ่งได้ เช่น การนิเทศด้วยวิธีชี้นาให้แก่ครูกลุ่มหนึ่งและนิเทศ
ดว้ ยวิธีไม่ชี้นาแก่ครอู ีกกลุ่มหนึ่ง หรือใช้ท้ังสองวิธีผสมผสานกันโดยไม่ให้ครูเสียกาลังใจในการ
ปฏิบัตงิ าน

ข.ลักษณะสาคญั

123

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชาญชัย อาจินสมาจาร (ม.ป.ป. : 105-107) กล่าวถึงลักษณะ
สาคัญของการนิเทศแบบพฒั นาการ ดงั นี้

1. รูปแบบการนิเทศนยี้ อมรับครูในฐานะเป็นเอกัตบุคคล ซึ่งมีความเจริญงอก
งามและพัฒนาการในระดบั ต่าง ๆ

2. ผู้นิเทศต้องสนับสนุนทักษะการคิดในตัวครู เพื่อช่วยให้เขาสามารถ
พยากรณ์การเรียนการสอนในชั้นเรียนของเขาได้ และให้ตระหนักถึงทางเลือกหลาย ๆ
ทางเลอื กสาหรบั การเปลย่ี นแปลง

3. ส่ิงแวดล้อมและแรงจูงใจ เป็นส่วนสาคัญที่ช่วยสนับสนุนความสามารถใน
การคิดของผู้รบั การนิเทศให้สูงขึน้

4. บทบาทหน้าที่ที่สาคัญของผู้นิเทศ คือ การมอบหน้าที่ที่รับผิดชอบในการ
ปรับปรุงการเรียนการสอนให้ผู้รับการนิเทศมากขึ้น และใช้แนวทางการแก้ปัญหาที่ร่วมมือกัน
โดยผู้นิเทศควรตัดสินใจร่วมกันกับผู้รับการนิเทศ ซึ่งทาให้ผู้รับการนิเทศสามารถควบคุมการ
พัฒนาวิชาชีพของตัวเองได้มากข้ึน

ค.ข้นั ตอน/วิธีดาเนนิ การนเิ ทศ
สาหรบั วิธดี าเนนิ การนิเทศ วชั รา เลา่ เรียนดี (2554 : 125-126) ได้สรปุ ไว้ดังนี้
ข้ันตอนการดาเนนิ การนิเทศแบบพัฒนาการ มีดงั นี้
1. เลอื กวิธีนิเทศทีด่ ีที่สุดและเหมาะสมทีส่ ดุ การเลือกวิธีที่ดแี ละเหมาะสมทีส่ ุด
ทาได้ดว้ ยการประเมินระดับพัฒนาการของครู ระดับความเชี่ยวชาญและระดับความผูกพันต่อ
ภาระหน้าที่ ทาได้โดยการสังเกตครูขณะทาการสอนหรือทางานร่วมกับครู และอีกวิธีหนึ่งคือ
อภิปรายกับครู พูดคุยถามความคิดเห็นเกี่ยวกับนักเรียน การปรับปรุงการเรียนการสอนและ
สงั เกตการสอน
2. นาวิธนี ิเทศทีไ่ ด้เลอื กแลว้ ไปใช้ปฏิบัตซิ ึ่งวิธีการนิเทศแตล่ ะแบบ จะเหมาะสม
กบั ครูแตล่ ะคนแตกต่างกัน
3. ขั้นนี้เป็นการส่งเสริมพัฒนาการของครู วิธีการส่งเสริมพัฒนาการของครู
คือ การช่วยเหลือด้วยการชี้นา แนะนาโดยตรงให้แก่ครู พยายามกระตุ้นให้คิด แสดงความ
คิดเห็นมากขึ้น และให้มีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจเพิ่มมากขึ้น อีกวิธีหนึ่งที่จะช่วย
ส่งเสริมพัฒนาการของครูคือ 1) การแนะนาข้อมูลความรู้ใหม่ ๆ เกี่ยวกับการเรียนรู้ของ
นักเรียน 2) แนะนายุทธวิธีสอนและนวัตกรรมใหม่ ๆ 3) แนะนาวิธีแปลกใหม่ในการแก้ปัญหา
โดยหลักการส่งเสริมพัฒนาการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ การเริ่มต้นวิธีคิดใหม่หรือวิธีปฏิบัติใหม่ ๆ

124

ให้แก่ครูควรจะเชื่อมโยงกับความรู้ประสบการณ์และค่านิยมที่มีมาก่อน และ 4) จัดครูให้เข้า
กลุ่มกนั และร่วมกันตดั สินใจหรือให้เข้ากลุ่มร่วมกนั เรียนรู้

จากข้อมูลดังกล่าวสามารถสรปุ ได้ว่า การนิเทศรูปแบบนี้อยู่บนฐานความเชื่อ
ที่ว่าครูหรือผู้รับการนิเทศมีลักษณะที่แตกต่างกันท้ังในด้านความสนใจในการพัฒนาตนเอง
ความสามารถ ความรู้ ความคิด และประสบการณ์ ดังน้ันการให้อิสระครใู นการเลอื กกิจกรรม
การพัฒนาตามที่ตนเองสนใจ ทาให้ครูสามารถเข้าใจตนเองพร้อมกับชี้นาตนเองไดม้ ากขึ้น ใน
ขณะเดียวกันผู้บริหารควรต้องให้ความสาคัญโดยเป็นผู้อานวยความสะดวกด้านทรัพยากรที่
จาเป็น ซึ่งจะช่วยให้การนิเทศประสบความสาเรจ็ และมปี ระสิทธิภาพมากขนึ้

จากที่กลา่ วมาข้างต้นพบว่า รูปแบบการนิเทศแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาแลว้ น้ัน มี
แนวคิด ลักษณะสาคัญ ข้ันตอน/วิธีดาเนินการ ที่มีจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนาทั้งที่มีความ
คล้ายคลึงกันและแตกต่างกัน ซึ่งให้ง่ายแก่ความเข้าใจผู้เขียนจึงเปรียบเทียบการนิเทศรปู แบบ
ต่าง ๆ แสดงได้ดังตารางต่อไปนี้

ตารางที่ 4.1 แสดงเปรียบเทียบจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนาของการนิเทศในรูปแบบ
ต่าง ๆ

รปู แบบการนเิ ทศ จุดเด่น จุดทีค่ วรพฒั นา
1.การนิเทศแบบ
วิทยาศาสตร์ - ผลงานของผู้รับการนิเทศมี - ผู้รับการนิเทศทางานเสมือน
(Scientific
Supervision) ประสิทธิภาพสูงและโอกาสเกิด เครื่องจักร โอกาสเกิดความคิด

2.การนิเทศแบบ ข้อผิดพลาดมีน้อย เนื่องจาก สร้างสรรค์มีน้อย
มนษุ ยสัมพนั ธ์
(Human Relations ดาเนนิ การตามข้ันตอนทีช่ ัดเจน - มุ่งเนน้ ประสิทธิภาพของงาน
Supervision)
และเปน็ ระบบ มีการตรวจสอบใน มากกว่ามุ่งเน้นความพึงพอใจ

ทกุ ๆ ขั้นตอน ทาให้ทราบปัญหา/ ของผู้รับการนิเทศ อาจทาให้

อุปสรรค และสามารถแก้ไขได้ ผู้รับการนิเทศขาดขวัญ และ

ทนั ที กาลังใจในการปฏิบัติงาน

- ผู้รับการนิเทศมีความสุข มี - หากผู้รับการนิเทศไม่พึงพอใจ

ความพึงพอใจในการทางานและ ใน ง า น ที่ ป ฏิ บั ติ จ ะ เกิ ด ผ ล

มีขวัญกาลังใจในการพัฒนาการ กระทบต่อประสทิ ธิภาพของการ

สอนของตนเอง สอนโดยตรง

- ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศมี - การมุ่งสร้างความสุขของผู้รับ

ส่วนร่วมเกี่ยวกับงานที่ปฏิบัติ การนิเทศเพียงอย่างเดียวไม่

125

มุ่งเน้นการบริหารจัดการแบบ ส า ม า ร ถ เพิ่ ม ผ ล ผ ลิ ต แ ล ะ

ประชาธิปไตย คณุ ภาพการสอนไดอ้ ย่างเต็มที่

3.การนิเทศแบบ - ผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศมี - ก า ร ให้ ค ว า ม ส า คั ญ กั บ
ทรพั ยากรมนษุ ย์
(Human Resource ส่วนร่วมเกี่ยวกับงานที่ปฏิบัติ ประสิทธิภาพการสอนมาเป็น
Supervision)
มุ่งเน้นการบริหารจัดการแบบ ลาดับแรก อาจเกิดผลกระทบ
รูปแบบการนเิ ทศ
ประชาธิปไตย กับผู้รับการนิเทศที่ไม่มีความ
4.การนิเทศแบบ
มนุษยนิยม - ค่าของคนอยทู่ ี่ผลของงาน ม่ั นใจใน ตนเอ งห รือ มีค วาม
(Humanistic
Supervision) ผู้รับการนิเทศเกิดความภาค สามารถการสอนในระดับต่า
5.การนิเทศแบบ
คลินิก (Clinical ภูมิใจในความสาเร็จจากงานที่ เนื่องจากเกิดความกังวลใจใน
Supervision)
ตนเองปฏิบตั ิ ความสาเร็จของงาน
6.การนิเทศแบบ
จดุ เด่น จดุ ทีค่ วรพฒั นา

- วิธีการสนับสนุนส่งเสริมมาก

กว่าใช้การชนี้ า อาจใช้ได้สาหรับ

ผู้รบั การนิเทศบางคนเท่านั้น

- มีความเชื่อว่าครผู ู้รับการนิเทศ - การที่ให้ความสาคัญแก่ผู้รับ

จะมี ค ว า ม เจริญ งอ ก งา ม ใน การนิเทศมากเกินไปอาจทาให้ผู้

วิชาชีพ นิเทศหรือผู้บังคับบัญชารู้สึกอึด

- ให้ความสาคัญแก่ครูผู้รับการ อั ด ใจ ท า ให้ ตั ด สิ น ใจ ห รื อ

นิเทศมากกว่าส่งิ อืน่ ใด กระทาการใดด้วยความลาบาก

- กระบวนการนิเทศมีเป้าหมาย - หากผู้นิเทศมิได้ดูแลครู/ผู้รับ

และวตั ถุประสงค์ทีช่ ัดเจน ทาให้ การนิเทศอย่างใกล้ชิด หรือ

สามารถแก้ปัญหาการเรียนการ มิได้ดาเนินการนิเทศการสอน

สอนได้ตรงประเด็นเหมาะกับ อย่างต่อเนื่อง อาจทาให้พัฒนา

ผู้รับการนิเทศต้องการพัฒนา การการสอนไม่มีประสิทธิภาพ

ตนเองโดยเฉพาะครูใหม่ หรือ เท่าที่ควร

นักศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ - พัฒนาการสอนของผู้รับการ

ครู นิเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อนา

ข้อมูลย้อนกลับจากผู้นิเทศไป

พิจารณาและปรับปรุงการสอน

ของตนเท่านนั้

- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่าง - หากผู้บริหารนาผลการ

126

ร่วมพัฒนาวิชาชีพ ครูในโรงเรียนเดียวกัน ได้พัฒนา นิเทศมาเป็นส่วนหนึ่งของการ
(Collaborative
Professional ความเจริญงอกงามในวิชาชีพ พิจารณาความดีความชอบของ
Supervision)
ร่วมกัน ค รู จ ะ ก่ อ ให้ เ กิ ด ผ ล ก ร ะ ท บ ใ น

- สะดวกในการดาเนินการ และ ดา้ นลบมากกว่าด้านบวก

มีความยืดหยุ่นสูง เนื่อง จากผู้ - ความเกรงใจระหว่างผู้นิเทศ

นิเทศและผู้รับการนิเทศอยู่ใน และผู้รับการนิเทศที่เป็นเพื่อน

ศาสตร์/สาขาเดียวกัน ท าให้ กัน อาจทาให้ได้ขอ้ มูลใน

เข้าใจในธรรมชาติของวิชาอย่าง การสอนทีบ่ ดิ เบือนไปจาก

แท้จริง ความเปน็ จริง

รูปแบบการนเิ ทศ จุดเด่น จุดที่ควรพัฒนา
7.การนิเทศโดย
ผู้บริหาร - ผู้ บ ริ ห า ร เป็ น ผู้ น า ใน ก า ร - เนื่อ งจากผู้บ ริห ารมี เวลา
(Administrative
Monitoring) เปล่ยี นแปลงทีส่ าคญั จากัด จึงไม่สามารถนามาใช้ได้

8.การนิเทศแบบ - ส่งเสริมให้ครูแต่ละคนให้มี อย่างเตม็ รปู แบบ ซึง่ จาเปน็ ต้อง
พฒั นาตนเอง
(Self-directed ความเจริญงอกงามในวิชาชีพ ใน ใช้ ร่ ว ม กั น กั บ ก า ร นิ เท ศ ใน
Development)
ทุก ๆ ด้าน มิใช่แก้ปัญหาเฉพาะ รูปแบบอื่น ๆ จึงจะเกิดผลดี
9.การนิเทศแบบ
พัฒนาการ ด้ า น ก า ร ส อ น แ ต่ ร ว ม ถึ ง ปั ญ ห า
(Developmental
Supervision) สว่ นตัวของครูด้วย

- เปิดโอกาสให้ครูได้กาหนด - การกาหนดเป้าหมายของ

กิจกรรมการพัฒนาตนเองและ โครงการที่มาจากความต้อง

ดาเนินการตามความสนใจอย่าง การของตัวครูโดยไม่คานึงถึง

เตม็ ศักยภาพ นโยบ ายแล ะเป้าห ม ายขอ ง

โรงเรียน อาจทาให้ทิศทางการ

พั ฒ น า ก า ร ส อ น เป็ น ไป ค น ล ะ

แนวทาง

- สามารถนามาใช้ได้กับครู/ผู้รับ - หากครูผู้รับการนิเทศไม่

การนิเทศที่มีความสามารถใน เข้าใจระดบั ความสามารถของ

ระดับที่แตกต่างกัน ตนเองอย่างแท้จริง อาจทาให้

พฤติกรรมการรบั การนิเทศไม่

สอดคลอ้ งกับความเป็นจริง

127

จากรปู แบบการนิเทศแบบต่าง ๆ ที่กล่าวมาน้ัน อาจกล่าวได้ว่าไม่มีรูปแบบใดที่ดี
ที่สุด ซึง่ แต่ละรูปแบบต่างก็มีจุดเดน่ และจุดท่ีต้องพฒั นาแตกต่างกันไปดังที่เสนอไว้ข้างต้นแล้ว
แต่ส่ิงสาคัญและจาเป็นเพื่อให้การนารูปแบบการนิเทศไปใช้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล
สูงสุดคือ ควรคานึงถึงความเหมาะสมกับสภาพบริบทของสถานศึกษา ตลอดจนผู้นิเทศและ
ผู้รับการนิเทศรวมถึงผู้บริหารสถานศึกษาเอง ควรมีส่วนร่วมในการรับรู้ข้อมูลและวิธีการ
ดาเนินการนิเทศในทุกข้ันตอนและการนาเสนอข้อมูลการเรียนการสอนของครูผู้รับการนิเทศ
ต้องเป็นข้อเท็จจริง ท้ังนี้หากมีปัญหาหรืออุปสรรคอันใดจะได้ช่วยกันหาแนวทางแก้ไขได้
ทันท่วงที ในขณะเดียวกันผู้นิเทศและผู้รับการนิเทศเอง จาเป็นต้องมีความรู้และทักษะในด้าน
การนิเทศและการจัดการเรียนรู้ท้ังนี้ เพื่อให้การนิเทศดาเนินอย่างถูกต้อง ชัดเจนและมีความ
เข้าใจที่ตรงกนั อนั ทาให้การดาเนนิ การนิเทศเป็นไปอย่างราบรื่นและสาเร็จตามเป้าหมาย
4.7 สรุปท้ายบท

รูปแบบการนิเทศการศึกษาที่นิยมนามาใช้ในปัจจุบัน มักเป็นรูปแบบที่นามา
ดัดแปลง และประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพบริบท ความเชื่อ วัฒนธรรมองค์กร ฯลฯ ที่มี
ความแตกต่างกัน ซึ่งล้วนพัฒนามาจากรูปแบบการนิเทศพื้นฐาน ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายใน
วงการนิเทศการศึกษาทั้งในและต่างประเทศ ได้แก่ การนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ การนิเทศแบบ
มนุษยสัมพันธ์ การนิเทศแบบทรัพยากรมนุษย์ การนิเทศแบบมนุษย์นิยม และการนิเทศแบบ
หลากหลายวิธีการ โดยการนิเทศแต่ละรูปแบบนนั้ ต่างมีจุดเดน่ และจุดที่ต้องพฒั นาแตกต่างกัน
ซึง่ ผู้นิเทศจาเป็นต้องศึกษาแนวคิด ลักษณะสาคญั และขั้นตอนการดาเนินการนิเทศของแต่ละ
รูปแบบให้ชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้สามารถนารูปแบบดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ได้อย่างถูกต้องและ
เหมาะสม อย่างไรก็ตามการนิเทศแบบหลากหลายวิธีที่นิยมนามาใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ การ
นิเทศแบบคลินิก ซึ่งเหมาะสมสาหรับการพัฒนาครูใหม่และนกั ศึกษาฝึกประสบการณ์วิชาชีพ
ครู สว่ นการนิเทศแบบร่วมพัฒนาวิชาชีพเหมาะสมสาหรับการพัฒนาครูที่สอนอยู่ในกลมุ่ สาระ
การเรียนรู้เดยี วกันหรือใกลเ้ คียงกัน ร่วมมือร่วมใจกันปรบั ปรุงการเรียนการสอนของตนเอง ซึ่ง
อาจเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “การนิเทศแบบเพื่อนช่วยเพื่อน” สาหรับการนิเทศโดยผู้บริหารนั้น
แม้ว่าในอดตี นิยมนามาใช้กนั มากและในปจั จบุ ันก็ยงั คงใช้อยู่ ท้ังนเี้ พื่อให้ผู้เรียนได้รบั การพัฒนา
อย่างแท้จริง การนิเทศในลักษณะนี้จึงไม่ควรนาผลมาที่ได้มาพิจารณาประเมินความดี
ความชอบของครู แต่ควรเป็นไปในลักษณะของการเป็นผู้อานวยความสะดวกและการให้
คาปรึกษาแนะนาแก่ครู ส่วนการนิเทศแบบพัฒนาตนเองเหมาะสมสาหรับครูที่มีความรู้
ความสามารถในการนาตนเองไปสู่การพัฒนาวิชาชีพ อย่างไรก็ตามจาเป็นต้องมีผู้นิเทศเป็น
ผู้ดูแลส่งเสริมให้ครเู กิดแรงจูงใจ กระตนุ้ ให้ปฏิบตั มิ ากกว่าที่จะเปน็ ผู้ชนี้ า สาหรบั การนิเทศแบบ
พัฒนาการมีหลักสาคัญคือ พัฒนาครูตามศักยภาพ และระดับความสามารถของครูที่มีความ

128

แตกต่างกัน จากรูปแบบการนิเทศการศึกษาต่าง ๆ ผู้นิเทศร่วมกับผู้รับการนิเทศจาเป็นต้อง
ตกลงและร่วมมือกันว่าจะใช้รูปแบบใดจึงจะประสบความสาเร็จ ทั้งนี้ผู้นิเทศต้องพิจารณาให้
ถ่องแท้ก่อนที่จะนาไปใช้ปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิดความม่ันใจหากนามาใช้แล้วยังไม่เหมาะสมกับ
สถานการณ์อย่างแท้จริงก็สามารถยืดหยุ่น และปรบั ใช้ให้เหมาะสมโดยตระหนักถึงคณุ ค่าและ
ประโยชน์ทีค่ รผู ู้รบั การนิเทศและผู้เรียนจะได้รบั เปน็ สาคัญ

4.8 คาถามทบทวน
1. จงให้คานิยามของ “รปู แบบการนิเทศ” ตามความเข้าใจของท่าน
2.“หากรูปแบบการนิเทศมีเพียงรูปแบบเดียว เปรียบได้กับการตัดเส้ือที่มีขนาด

เดยี วกันให้สาหรบั ทุก ๆ คนไดส้ วมใส”่ ท่านมคี วามคิดเห็นเช่นไรกับประโยคดังกล่าว
3. รูปแบบการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์เป็นเช่นใด และควรนามาใช้กับผู้รับการ

นเิ ทศในลักษณะใดจึงจะเหมาะสมทีส่ ุด
4. จงอธิบายขั้นตอนการนิเทศแบบวิทยาศาสตร์ในลักษณะแผนภูมิหรือแผนภาพ

ความคิด (Mind Mapping)
5. ลักษณะสาคัญของการนิเทศแบบมนษุ ยสัมพันธ์เป็นเช่นใด จงอธิบาย
6. รปู แบบการนิเทศแบบมนุษยสัมพันธ์กับแบบมนุษย์นิยมเหมือนหรือแตกต่างกัน

อย่างไร
7. การนิเทศแบบหลากหลายวิธีการมกี ี่รูปแบบ อะไรบ้าง
8. การนิเทศแบบคลนิ ิกเหมาะสมกบั ผู้รับการนิเทศที่มีลกั ษณะเช่นใด เพราะเหตุใด
9. จงแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกบั แผนภูมิแสดงการนิเทศการเรียนการสอน เพื่อให้

โรงเรียนประสบความสาเรจ็ ตามแนวคิดของกลิก๊ แมน (Glickman) มาพอสงั เขป
10.จงเปรียบเทียบให้เห็นถึงจุดเด่นและจุดที่ควรพัฒนาของรูปแบบการนิเทศมา

อย่างน้อย 3 รูปแบบ

129

เอกสารอา้ งอิง

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. (2543). แนวทางการนิเทศช่วยเหลือโรงเรียนปฏิรูป
การเรยี นร้อู ย่างตอ่ เน่อื ง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพร้าว.

เก็จกนก เอื้อวงศ์. (2554). การนิเทศในสถานศึกษา, สืบค้นวันที่ 25 กันยายน 2555, จาก :
http://mystou.files.wordpress.com/2012/02/23503-8-t.pdf.

คณะกรรมการกลุ่มผลิตและบริหารชุดวิชา การบริหารทรัพยากรการศึกษา. (2537). แนว
การศึกษา ชุดวิชาการบริหารทรัพยากรการศึกษา. สาขาวิชาศึกษาศาสตร์
มหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราช.

คาร์ล ดี, กลิกแมน. (2546). ภาวะผู้นาการเรียนรู้ ช่วยครูสู่ความสาเร็จ. (แปลจาก
Leadership for Learning How to Help Teachers Succeed โดย นักแปลเครือข่าย
ของกรมวิชาการ). กรุงเทพฯ : กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ.

ภาวัฒน์ พันธ์ุแพ. (2546). เอกสารประกอบการสอนวิชาภาวะผู้นา. เชียงใหม่ : คณะ
บรหิ ารธุรกิจ มหาวิทยาลยั พายพั .

วไลรัตน์ บุญสวัสดิ.์ (2538). หลักการนิเทศการศึกษา. กรงุ เทพฯ : พรศิวการพิมพ์.
วชั รา เล่าเรียนดี. (2554) . นิเทศการสอน. นครปฐม : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยา

เขตพระราชวังสนามจนั ทร์.
วีระศักด์ิ ชมภูคา. (2551). การนิเทศการศึกษา. เชียงใหม่ : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย

ราชภฏั เชียงใหม่.
ชารี มณีศรี (2542). การนเิ ทศการศึกษา. กรงุ เทพฯ : สานกั พิมพ์ศิลปาบรรณาคาร.

130

ชาญชยั อาจินสมาจาร. (ม.ป.ป.). การนิเทศการศึกษา. ปัตตานี : สถาบันเพื่อความก้าวหน้า
ทางวิชาการ.

_______. (ม.ป.ป.). การนิเทศการสอนแผนใหม่. ปัตตานี : สถาบันเพื่อความก้าวหน้าทาง
วิชาการ.

นิพนธ์ ไทยพานิช. (2535) . การนิเทศแบบคลีนิค. กรุงเทพฯ : คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.

ปรยี าพร วงศอ์ นุตรโรจน์. (2553). จติ วิทยาอตุ สาหกรรม. กรงุ เทพฯ : บรษิ ัทพิมพ์ดีจากัด.
_______. (2548). การนเิ ทศการสอน. กรุงเทพฯ : บรษิ ทั พิมพ์ดีจากัด.
ฝ่ายวิชาการภาษาไทย บริษัทซีเอ็ดยูเคชั่น. (2553). พจนานุกรมไทยฉบับทันสมัยและ

สมบรู ณ.์ กรุงเทพฯ : บรษิ ัท พิมพ์ดี จากัด.
รุ่ง พูลสวัสด์ิ. (ม.ป.ป.). หลักการนิเทศการศึกษา. เชียงใหม่ : คณ ะศึกษาศาสตร์

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.
สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ. (2547). เอกสารสาระการ

เรียนรู้ประกอบชุดวิชา หลักเทคนิคการบรหิ ารและการวางแผน. กรุงเทพฯ :
ผู้แตง่ .
สุรางค์ โค้วตระกูล. (2553) . จิตวิทยาการศึกษา. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
สมศกั ดิ์ เอีย่ มธรรมชาติ. (2530). ชุดการเรยี นรายวิชาศึกษา 373 หลักการนเิ ทศการสอน.
เชียงใหม่ : ภาควิชาหลักสูตรและการสอน คณะวิชาครุศาสตร์ วิทยาลัยครู
เชียงใหม่ สหวิทยาลัยลา้ นนา.
อัญชลี โพธิ์ทอง. (2549) , การนิเทศการศึกษา, สืบค้นวันที่ 25 มิถุนายน 2555, จาก:
http://e-book.ram.edu/e-book/e/ea615/ea615.htm.

131


Click to View FlipBook Version