การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่3 โดยใช้กิจกรรมเสริมประสบการณ์ สุภาพร กุลภา¹, อำพร พินธุรักษ์², ญาดา ช่อสูงเนิน³ บทคัดย่อ การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์1) เพื่อพัฒนากิจกรรมเสริมประสบการณ์ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยปีชั้นที่ 3 ที่เรียนด้วยกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเสริมประสบการณ์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่ม ตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียน ชาย - หญิง อายุระหว่าง 5 – 6 ปีภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2566 โรงเรียนหนองสำโรงวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 จำนวน 1 ห้องเรียน จำนวนนักเรียน 24 คน ได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการ จัดประสบการณ์โดยใช้กิจกรรมเสริมประสบการณ์ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 จำนวน 24 แผน และ แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อย ละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และ t-test แบบกลุ่มไม่อิสระ (Dependent Samples ttest) สรุปผลการใช้แผนได้ดังนี้ 1. เด็กปฐมวัยวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 2. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ มีทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพิ่มขึ้นจากพื้นฐานเดิมเฉลี่ย 9.66 คะแนน นิยามศัพท์เฉพาะ : เด็กปฐมวัย,กิจกรรมเสริมประสบการณ์,ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ความเป็นมาและความสำคัญ ป ั จ จ ุ บ ั น ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ก ำ ลั ง เจริญก้าวหน้ากับการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ มากมาย เช่น การสื่อสาร การคมนาคม การแพทย์ การศึกษา เป็นต้น สาเหตุของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ก็คือ ผลของการพัฒนาวิทยาศาสตร์แลเทคโนโลยี ที่เจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว ชีวิตแต่ละบุคคลจึง ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อม ¹นักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ²ครูโรงเรียนหนองสำโรงวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานีเขต 1 ³อาจารย์ประจำสาขาวิชาการศึกษาปฐมวัย คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี
ที่กำลังเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกันก็ต้อง ประสบกับปัญหานานาชนิดและจะต้องพยายาม แก้ปัญหาเพื่อปรับปรุงชีวิตและความเป็นอยู่ให้ดี ขึ้น ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งในแง่บวกและแง่ลบ การพัฒนาคุณภาพของ คนจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งการพัฒนาระบบ การศึกษาที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพเท่านั้น จึงจะเอื้อต่อการพัฒนาสมรรถะแความสามารถ ตลอดจนคุณลักษณะต่างๆ ของคนที่ต้องเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต สอดคล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แห่งชาติ ฉบับที่ 11 (2555: ช-18) ซึ่งให้ ความสำคัญกับสร้างภูมิคุ้มกันในการพัฒนาด้าน ต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยสามารถรองรับ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับ การพัฒนาคนและสังคมไทยให้มีคุณภาพ ก้าว ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ด้วยการใช้การวิจัย พัฒนาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นแรง ขับเคลื่อนที่สำคัญสำหรับการพัฒนาประเทศ เ พ ื ่ อ ปร ั บเ ปลี ่ ย น ก าร ผลิ ต จาก ก าร ใช้ ทรัพยากรธรรมชาติ เงินทุนและแรงงานที่มี ประสิทธิภาพต่ำ ไปสู่การใช้ดวามรู้และความ ชำนาญด้าน ดังนั้นการจัดประสบการณ์ ให้กับเด็ก ปฐมวัยควรยึดหลักพัฒนาการและการเรียนรู้ที่ สอดคล้องกับความต้องการของเด็กในแต่ละวัย เป็นสำคัญเด็กมี โอกาสพัฒนาตนเองตามลำดับ ขั้นของพัฒนาการทุกด้านอย่างสมดุลและเต็ม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบนพื้นฐานการ ผลิตและการบริโภดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นำไปสู่การพัฒนาประเทศที่มั่นคงและยั่งยืน ฉะนั้นประเทศไทยจึงต้องมุ่งเน้นพัฒนาคนที่ มีคุณภาพ โดยเฉพาะในด้านวิทยาตา สตร์และเทคโนโลยี เพราะวิทยาศาสตร์ทำให้ คนได้พัฒนาความรู้ พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิด เป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิดวิเคราะห์ คิดวิจารณ์ มีทักษะที่สำคัญในการค้นดว้าหา ความรู้ มีความสามารถในการแก้ปัญหา อย่างเป็นระบบ สามารถตัดสินใจโดยใช้ ข้อมูลที่หลากหลายและตรวจสอบได้ (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยี. 2551:1-2)ดังนั้น การสนับสนุน สมรรถภาพทาวิทยาศาสตร์จึงมีบทบาท สำคัญ โดยเฉพาะในด้านทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ เพราะทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์เป็นเครื่องมือแรกในการ แสวงหาความรู้ แล้วนำไปสู่กระบวนการคิด และแก้ปัญหาที่ถูกต้องตามขั้นตอนและ ระบบวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จึง เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่สำคัญขอ ง วิทยาศาสตร์ซึ่งมีความจำเป็นที่จะต้องฝึก ให้กับเด็กจนสามารถนำไปใช้อย่าง คล่องแคล่วและเกิดความชำนาญใน
ตามศักยภาพของเด็กที่เกิดขึ้น จากการเรียนรู้ที่ ผ่านการเล่นเด็กได้เรียนรู้จากประสบการณ์ตรง เกิดการเรียนรู้ ทักษะ คุณธรรม จริยธรรม และ ประสบการณ์สำคัญที่ควรส่งเสริมประกอบด้วย การสังเกต การฟัง การคิดการแก้ปัญหาและเด็ก ควรได้รับการชี้แนะให้รู้จักคุณลักษณะหรือ คุณสมบัติของสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เด็กได้มี โอกาส สำรวจ ค้นคว้าหาคำตอบทดลองวัตถุสิ่งของที่ เป็นของจริง สิ่งที่เลียนแบบของจริงและสิ่งของ ที่ไม่มีรูปแบบชัดเจน ตลอดจนฝึกให้เด็กได้คิด วางเผน คิดตัดสินใจหรือคิดแก้ปัญหาในเรื่อง ง่าย ๆ ด้วยตนเอง แสดงจินตนาการความคิด สร้างสรรค์ต่าง ๆ ออกมาเป็นภาพวาดหรือบอก เล่าเรื่องราวตามความสามารถของวัย (สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน, 2546) การจัดประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับ เด็กปฐมวัยนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งครูเป็นผู้ ที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการเลือกการ จัดประสบการณ์มาใช้สริมสร้างทักษะทางสังคม ของเด็กปฐมวัย โดยจัดกิจกรรมให้เด็กปฐมวัย เกิดการเรียนรู้ และเกิดพฤติกรรมที่ดีในการเข้า สังคมสอดคล้องกับคู่มือหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัยพุทธศักราช (2546) ซึ่งสอดคล้องกับ ไพเราะ พุ่มมั่น (2551 : 10)ที่กล่าวว่า การจัด ประสบการณ์เป็นการจัดกิจกรรมนูรณาการผ่าน การเล่น การฟัง การปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ด้วย การเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมกับเรื่องราว หรือปัญหาที่ต้องการคำตอบ นักการศึกษา หลายท่านได้ยืนยันในทำนองเดียวกันว่า กระบวนการดังกล่าวจะทำให้เด็กสามารถ พัฒนาความคิดรวบยอดและหลักการทาง วิทยาศาสตร์ รู้จักการใช้สติปัญญาในการ แก้ปัญหา ตลอดจนค้นหาความรู้ใหม่ๆเชิง วิทยาศาสตร์ได้อยู่เสมอ อีกทั้งสามารถ นำไปใช้ในวิชาอื่นๆ ได้อย่างกว้างขวาง พิมพันธ์ เดชะคุปต์ (2545 : 9) กล่าวว่า ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คือ ความ ชำนาญ หรือความสามารถในการใช้ความคิด เพื่อดันหาความรู้รวมทั้งการแก้ปัญหา ซึ่ง ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะ ทางปัญญา (Intellectual Skill) เพราะเป็น การทำงานของสมองในรูปแบบการคิด พื้นฐาน เช่น ทักษะการสื่อความหมาย ได้แก่ การอ่าน การจำ การจำถาวรการพูด การ เขียนนอกจากนี้ยังมีทักษะการสังเกต การ ระบุ การจำแนก การเรียงลำดับ การ เปรียบเทียบ การลงข้อสรุปและการใช้ ตัวเลข การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์และปลูกฝังทัศนคติที่ดีของ วิทยาศาสตร์ให้กับเด็กจึงมีความจำเป็นอย่าง ยิ่งและควรเริ่มต้นตั้งแต่ระดับปฐมวัย เพราะ เด็กปฐมวัย เป็นวัยแห่งการเริ่มต้นการเรียนรู้ที่มี ความสำคัญมากที่สุดของชีวิตมนุษย์และ พัฒนาการในแต่ละด้านของเด็กจะพัฒนา
ตนเอง เพื่อให้เด็กได้รับประสบการณ์ตรง กิจกรรมที่จัดมีทั้งกิจกรรมในห้องเรียน นอก ห้องเรียน ดังที่ ทองใบ สวัสดิ์ผล (256 1 : 32) กล่าวว่ากิจกรรมเสริมประสบการณ์เป็น กิจกรรมที่ส่งเสริมพัฒนาการทางด้านร่างกาย อารมณ์จิตใจ สังคมและสติปัญญาของเด็ก ซึ่ง กิจกรรมมีลักษณะที่เปิดโอกาสให้เด็กได้ แสดงออกอย่างเสรีช่วยผ่อนคลายความเครียด ทางอารมณ์ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และ จินตนาการ ส่งเสริมพัฒนาการทางภาษาช่วยให้ เด็กมีนิสัยรักและรู้จักการทำงานพร้อมกับผู้อื่น มีความเชื่อมั่นในตนเองกล้าคิด กล้าแสดงออก มีเหตุผล รู้จักการสังเกต กล้าตัดสินใจตลอดจน สามารถคิดแก้ปัญหาได้เป็นอย่างดี อย่างรวดเร็ว ซึ่งสิริมา ภิญโญอนันตพงษ์ (2553: 36-39) กล่าวว่า ธรรมชาติการ เรียนรู้ของเด็กปฐมวัยจะเกิดขึ้น เมื่อเด็กให้ ความสนใจในการเรียนรู้ต่อสิ่งนั้นๆ การเปิด โอกาสให้เด็กได้เล่น ทดลองและสำรวจ ตาม ความสนใจเป็นการฝึกให้เด็กได้รู้จักการคิด หาเหตุผลจากการลงมือปฏิบัติสิ่งต่างๆ ด้วย ตนเองเกิดเป็นองค์ความรู้ของตนเพาะฉะนั้น การเรียนรู้จึงมีอิทธิพลต่ออนาคตของเด็ก เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จึงมีอิทธิพลต่อชีวิต ในอนาคตของเด็ก (กุลยา ตันติผลาชีวะ. 255 1: 24-25) ดังนั้น การจัดประสบการณ์ ทางวิทยาศาสตร์ที่น่าตื่นเต้น สนุกสนานและ เน้นให้เด็กได้ลงมือฝึกฝนทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ด้วยตนเอง จึงเป็นกิจกรรมที่ ตอบสนองต่อความต้องการของเด็ก เพราะ เป็นกิจกรรมที่ทำให้เด็กเกิดความสนใจ อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่งๆรอบตัว เกิด ความกระตือรือรันที่จะเรียนรู้และทำความ เข้าใจในวิทยาศาสตร์มากขึ้น จนกลายเป็น รากฐานที่สำคัญในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ใน อนาคต
อาจมีหลายคำตอบขึ้นอยู่กับเหตุผลของผู้ตอบ (ระยับ ทฤษฎีคุณ, 2546: 72-73) เนื่องจาก คำถาม ปลายเปิดจะช่วยให้เด็กหาคำตอบ กระตุ้นการหาเหตุและผลช่วยปลูกเร้าความ สนใจของผู้เรียน และทำให้นักเรียนมีส่วนร่วม ในการเรียนการฝึกให้เด็กคิดบ่อย ๆ จะส่งผลให้ ความสามารถทางสติปัญญาสูงขึ้น จากความสำคัญและปัญหาที่กล่าวมา ข้างต้นนั้น ผู้ศึกษาได้เห็นว่าควรนำกิจกรรม เสริมประสบการณ์มาบูรณาการให้มีกิจกรรมที่ หลากหลายทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียน มาให้เด็กได้ใช้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ให้เด็กได้เรียนรู้ ตัดสินใจ ลงมือทำด้วยตนเอง ผู้ ศึกษาหวังว่าผลการศึกษาในครั้งนี้จะเป็น แนวทางในการพัฒนาทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ให้กับเด็กปฐมวัยได้อย่างเหมาะสม และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น วัตถุประสงค์การวิจัย 1 . เ พ ื ่ อ พ ั ฒ น า ก ิ จ ก ร ร ม เ ส ริม ประสบการณ์ของเด็กปฐมวัยชั้นอนุบาลปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบทักษะพื้นทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยปีที่ 3 ที่เรียนด้วย กิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรมเสริม ประสบการณ์ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน วิธีการดำเนินวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง ประชากรที่ไช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ระดับชั้นปฐมวัยปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 ของโรงเรียนหนองสำโรง วิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 ประชากรที่ไช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักเรียนชาย - หญิง อายุระหว่าง 5 - 6 ปี ระดับชั้นปฐมวัยปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2566 ของโรงเรียนหนองสำโรง วิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ประถมศึกษาอุดรธานี เขต 1 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย 1. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ ซึ่ง ผู้วิจัยเขียนแผนขึ้นและผ่านการตรวจ แก้ไข ปรับปรุงจากผู้เชี่ยวชาญแล้วนำไปทดลองใช้ กับเด็กนักเรียนชั้นปฐมวัยปีที่ 3 ที่มีอายุ 5 - 6 ปี จำนวน 24 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มตัวอย่าง จากนั้นนำมาปรับปรุงการใช้ภาษาในข้อ คำถามให้เหมาะสมและจัดทำเป็นฉบับ สมบูรณ์เพื่อนำไปใช้กับกลุ่มทดลอง 2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ผู้วิจัย
สมมติฐานการวิจัย 1. หลังจากเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมเสริมประสบการณ์ เด็กปฐมวัยมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. หลังจากเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมเสริมประสบการณ์มีทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์หลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้นกว่าก่อน จัดกิจกรรม วิธีการดำเนินการทดลอง การดำเนินการจัดกิจกรรม 1. ทำหนังสือขออนุญาตดำเนิน การศึกษาเรื่อง การเปรียบเทียบทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด ก ิ จก ร ร มเ สริ มประ สบการณ ์ เ สน อ ต่อ ผู้อำนวยการโรงเรียนหนองสำโรงวิทยา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อุดรธานี เขต 1 2. สร้างความคุ้นเคยกับเด็กที่เป็นกลุ่ม ตัวอย่างในห้องเรียน เป็นระยะเวลา 1 สัปดาห์ 3. แจ้งข้อมูลเกี่ยวกับการจัประสบ การณ์ เพื่อส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ให้ผู้ปกครองของ กลุ่มตัวอย่างทราบถึงกระบวนการในดำเนินการ จัดประสบการณ์และบทบาทของผู้ปกครองใน การส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ให้กับเด็กโดยการสนทนาพูดคุยเรื่องราว เกี่ยวกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ สร้างขึ้น 20 ข้อ เป็น 4 ทักษะ ได้แก่ 1. ทักษะการสังเกต 2.ทักษะการจำแนก 3. ทักษะการวัด 4. ทักษะการสื่อความหมาย หลังจากการนั้นได้รับการพิจารณาจาก ผู้เชี่ยวชาญตลอดจนผ่านการทดลองใช้เด็ก ชั้นอนุบาลปีที่ 3 อายุ 5 - 6 ปี จำนวน 24 คน ที่ไม่ใช้กลุ่มตัวอย่าง แล้วนำผลการ ทดลองมาวิเคราะห์หาคุณภาพเพื่อคัดเลือก ข้อสอบที่มีคุณภาพค่าความเชื่อมั่นของ แบบทดสอบความสามารถในการแก้ปัญหา ของเด็ปฐมวัย ซึ่งแบบทดสอบความสามารถ ในกาแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้คุณภาพนี้ มี 20 ข้อ 5. ผู้วิจัยดำเนินการทดลองกับเด็กที่ เป็นกลุ่มตั วอย ่ าง ตามแผนก าร จั ด ประสบการณ์ วิทยาศาสตร์ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เป็นเวลา 6 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 วัน ซึ่งเป็นวันอังคาร วันพุธ พฤหัสบดีและวันศุกร์ วันละ 30 นาที ในช่วงกิจกรรมเสริมประสบการณ์ เวลา 10.00 - 10.30 น. 6. เมื่อครบ 6 สัปดาห์แล้ว ทำการ ทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์หลัง การทดลอง (Posttest) ด้วยแบบทดสอบ ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ฉบับเดียวกับ ก่อนการทดลอง
4. ก่อนทำการทดลองผู้วิจัยทำการทดสอบ (Pretest) กับกลุ่มตัวอย่าง 24 คน โดยใช้ แบบทดสอบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของ เด็กปฐมวัยเป็นรายบุคคล จำนวน 20 ข้อ ใช้ เวลาข้อละไม่เกิน 2 นาที ผลการวิเคราะห์ข้อมูล 1. ผลการวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ ของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็ก ปฐมวัยชั้นปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรมเสริม ประสบการณ์ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หา ประสิทธิภาพของทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 โดยใช้ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ โดยนำคะแนน ระหว่างเรียนและคะแนนหลังเรียนมา วิเคราะห์ ปรากฎผลดังตารางที่ 1 ตารางที่ 1 ประสิทธิภาพของทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 โดยใช้กิจกรรมเสริม ประสบการณ์ คะแนน คะแนนเต็ม X S.D. ร้อยละของคะแนนเฉลี่ย - ก่อนเรียน - หลังเรียน 20 20 9.86 16.89 1.07 1.09 49.3 84.38 จากตารางที่ 1 พบว่า คะแนนเฉลี่ย ก่อนเรียนมีค่าเท่ากับ 9.86 คิดเป็นร้อยละ 49.3 และคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนมีค่าเท่ากับ 16.89 คิดเป็นร้อยละ 84.38 ซึ่งแสดงว่า กิจกรรมเสริมประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยปี ที่ 3 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 49.3/84.38 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 2. ผลการวิเคราะห์การศึกษทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยปีที่ 3 ที่ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์
ตารางที่ 2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยชั้นปีที่ 3 ที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ การทดสอบ n X S.D. t p ก่อนเรียน 24 7.23 1.38 34.691* .05 หลังเรียน 24 16.89 1.09 จากตารางที่ 2 พบว่า ทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยปีที่ 3 ที่ได้รับ การจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ มีคะแนน เฉลี่ยก่อนเรียนเท่ากับ 7.23 และมีคะแนน เฉลี่ยหลังเรียนเท่ากับ 16.89 เมื่อทดสอบ ความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติ t พบว่า ค่าสถิติ t เท่ากับ 34.691 มีนัยสำคัญทาง สถิติที่ระดับ .05 แสดงว่า เด็กปฐมวัยปีที่ 3 ที่ ได้รับการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ มี ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ หลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมุติฐานที่ตั้งไว้ สรุปผลการการวิจัย 1. เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรม เสริมประสบการณ์ มีทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์หลังการจัดกิจกรรมสูงขึ้นอย่างมี นัยสำคัญทางสถิตที่ระดับ .05 2.ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพิ่มขึ้นจากพื้นฐานเดิมเฉลี่ย 9.66 คะแนน 1. ด้านการสังเกต แสดงว่าการจัด กิจกรรมเสริมประสบการณ์ส่งเสริมในเรื่อง การสังเกตได้ เพราะกิจกรรมเสริ ม ประสบการณ์เป็นกิจกรรมที่เด็กได้เรียนรู้โดย การคันคว้าและลงมือกระทำด้วยตัวเด็กเอง ด้วยการใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกต ไม่ว่าจะเป็นการดู การสัมผัสการชิมรส การ ฟังเสียงและการดมกลิ่น จากสื่อและวัสดุ อุปกรณ์ของจริง นอกจากเด็กยังได้สังเกตนี้ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆตลอดกิจกรรมเสริม ประสบการณ์ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ มาร์ดิน(Martin. 200 1: 36) กล่าวว่า การ สังเกต คือความสามารถในการใช้ประสาท สัมผัสทั้งห้า หรือใช้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมเข้าสัมผัสโดยตรงกับ วัตถุสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดประสบการณ์ตรง และเกิดการเรียนรู้ 2. ทักษะการจำแนก แสดงว่าการ จัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ช่วยส่งเสริม
การอภิปรายผลการวิจัย จากผลการทดลอง พบว่า เด็กปฐมวัยมี ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงขึ้นทั้งโดยรวม และรายด้าน หลังจากได้รับการจัดกิจกรรม เสริมประสบการณ์อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ได้ตั้งไว้ แสดงให้เห็นว่าการจัดกิจกรรมการทำเครื่องดื่ม สมุนไพร ช่วยส่งเสริมทักษะพื้นฐานทาง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยให้พัฒนาอยู่ใน ระดับที่ดีขึ้น ทั้งนี้สามารถอภิปรายได้ ดังนี้ คือ 1 . ร ะ ด ั บ ท ั ก ษ ะ พ ื ้ น ฐ า น ท า ง วิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยปีที่ 3 โดยรวมและ รายด้านพบว่า เด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัด กิจกรรมเสริมประสบการณ์มีระดับทักษะ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สูงกว่าก่อนการทดลอง ทุกด้าน อภิปรายได้ดังนี้ 1.1 เด็กปฐมวัยมีระดับทักษะพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์ก่อนการจัดกิจกรรมอยู่ใน ระดับควรปรับปรุง ค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 7.23 คะแนน แต่หลังการจัดกิจกรรมอยู่ในระดับดี มาก ค่าคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 16.89 คะแนน ข้อเสนอแนะ 1. ข้อเสนอแนะสำหรับการนำไปใช้ 1.1 การเลือกกิจกรรมการทำเครื่องดื่ม สมุนไพรควรเป็นกิจกรรมที่ไม่ซับซ้อนและเริ่ม จากการทำกิจกรรมง่าย ๆ ไปสู่กิจกรรมยาก ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ในด้านการ จำแนกสำหรับเด็กปฐมวัยได้ เพราะลักษณะ ของกิจกรรมการทำเครื่องดื่มสมุนไพรมีการ สอดแทรกการเปรียบเทียบ ความเหมือน ความแตกต่างของคุณสมบัติต่างๆ เช่น สี รูปร่าง ขนาด กลิ่น รสชาติอยู่เสมอๆ สอดคล้องกับพิมพันธ์เดชะคุปต์ (2548: 10) ที่กล่าวว่า ความสามารถในการจำแนกสิ่งที่มี อยู่โดยมีเกณฑ์ในการจัดแบ่งอาจใช้เกณฑ์ ความเหมือนความแตกต่าง หรืความสัมพันธ์ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือใช้เกณฑ์ที่กำหนด 3. ด้านการวัด แสดงว่าการจัด กิจกรรมการทำเครื่องดื่มสมุนไพรช่วย ส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ใน ด้านการวัดได้ เพราะลักษณะของกิจกรรม การทำเครื่องดื่มสมุนไพรเป็นกิจกรรม ประกอบอาหารส่วนมากเด็กต้อ งกะ ปร ะ ม าณ ปริ มาณ ส่วน ประก อบและ เครื่องปรุงด้วยตนเอง โดยครูสอดแทรก ความรู้ในด้านการวัดให้เชื่อมโยงเข้ากับวัสดุ อุปกรณ์และกรรมวิธีในการทำเครื่องดื่ม สมุนไพร ซึ่งเด็กจะได้เรียนรู้และทำความ เข้าใจเกี่ยวกับอุปกรณ์ทางวิทยาศาสตร์ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์ที่อยู่ใน ช ี ว ิ ต ป ร ะ จ ำ ว ั น (Bosse, Jacobs; & Anderson 2009: 13) 4. ด้านการสื่อความหมายข้อมูล แสดงว่าการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ ช่วยส่งเสริมทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์
เพื่อให้เด็กสามารถวางแผนการทำเครื่องดื่ม สมุนไพรเองได้ 1.2 ในการจัดกิจกรรมการทำเครื่องดื่ม สมุนไพร ครูควรใช้วัตถุดิบที่หลากหลายในการ ทำเครื่องดื่มสมุนไพรจะทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ เพิ่มขึ้นด้วย เช่น การใช้น้ำตาลทรายแดง น้ำตาลกรวดมาแทนน้ำตาลทรายขาว การใช้ น้ำผึ้งแทนน้ำเชื่อม เป็นต้น 1.3 ครูควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำ กิจกรรมอย่างอิสระ ไม่ควรกำหนดเวลา เนื่องจากเด็กยังมีความสนใจในกิจกรรมที่ทำอยู่ เด็กจะให้ความสนใจกับกิจกรรมที่ท้าทาย และ เป็นกิจกรรมที่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ในขณะทำกิจกรรมได้อย่างชัดเจน 2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป 2.1 ควรมีการศึกษาและวิจัยการจัด กิจกรรมการทำเครื่องดื่มสมุนไพรที่มีผลต่อตัว แปรตามด้านอื่นๆ เช่น ทักษะพื้นฐานทาง คณิตศาสตร์ ความภาคภูมิใจในตนเอง การ ทำงานร่วมกับผู้อื่นการคิดวิเคราะห์ การคิดเชิง เหตุผล เป็นต้น ในด้านการสื่อความหมายข้อมูลได้ เพราะ การจัดกิจกรรมการทำกิจกรรมเสริม ประสบการณ์ให้เด็กได้เรียนรู้จากการปฏิบัติ จริงกับสิ่งของที่เป็นรูปธรรม โดยมุ่งเน้นให้ เด็กได้มีการสนทนาโต้ตอบ การตั้งคำถาม การแลกเปลี่ยนพูดคุย การพูดแสดงความ คิดเห็นและเล่าเรื่องประสบการณ์เดิมจาก รูปภาพสอดคล้องกับฮาร์ซี่และบูทเลอร์ (Hachey: & Buter 2009: 43) ซึ่งกล่าวว่า เด็กเรียนรู้ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ จากปัญหาที่เป็นรูปธรรมและการดันคว้าโดย เน้นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ด้วยการลงมือ ทำ สังเกต สำรวจ เก็บข้อมูลและสื่อ ความหมาย 2.2 ควรมีการศึกษาเปรียบเทียบผล การจัดกิจกรรมการทำเครื่องดื่มสมุนไพรกับ การจัดกิจกรรมการสอนแบบอื่น เพื่อนำผล มาเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนรู้ด้าน ทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็ก ปฐมวัย
เอกสารอ้างอิง กรรณิการ์ คลังวิเชียร. (2541). การศึกษาพฤติกรรมการสอนของครูอนุบาลในการจัดประสบการณ์ แบบเตรียมความพร้อม กรณีศึกษา โรงเรียนอนุบาลเชียงใหม่. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. กุลยา ตันติผลาชีวะ. (2551). การจัดกิจกรรมการเรียนรู้สำหรับเด็กปฐมวัย. กรุงเทพฯ : เบรน- เบส บุ๊คส์. จิตเกษม ทองนาค. (2548). การพัฒนาทักษะกระบวนการวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัยโดยใช้กิจกรรม การเรียนการสอนแบบจิตปัญญา. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. ปรานีต มาลัยวงษ์. (2550). วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย. อุดรธานี : คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัย ราชภัฏอุดรธานี. ปริญญา ภูหวล. (2563). ผลการจัดประสบการณ์การเรียนรู้โดยใช้ 20 กิจกรรม โครงการบ้าน นักวิทยาศาสตร์น้อย ประเทศไทยเพื่อพัฒนาทักษะทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย. รายงาน การวิจัยในชั้นเรียน. กาฬสินธุ์ : โรงเรียนคำโพนคำม่วงวิทยา จังหวัดกาฬสินธุ์. พัชรา อยู่สมบูรณ์. (2553). ผลการจัดกิจกรรมเสริมประสบการณ์ เรื่อง แสง ที่มีต่อทักษะการแสวงหา ความรู้ของเด็กปฐมวัย. ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. (การศึกษาปฐมวัย). กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศรี นครินทรวิโรฒ. พัทธนันท์ ไตรทามา. (2563). การพัฒนาทักษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ของเด็กปฐมวัย ด้วยการจัด ประสบการณ์การเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา. ปริญญานิพนธ์ ค.ม. (วิจัยหลักสูตรและการ สอน). สกลนคร: มหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร.