The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Fiitrqh Ma-song, 2023-02-02 01:59:39

EC4FD3AD-33AE-47E1-BA1A-64370BD64711

EC4FD3AD-33AE-47E1-BA1A-64370BD64711

ANATOMY & PHYSIOLOGY


คำ นำ


สารบัญ


บทนำ บทนำ :: Introduction to The Humen Anatomy 1. Anatomical Position 2.การบรรยายความ (Relationship) ระนาบต่างๆของร่าร่งกาย แบ่งบ่ ได้ 3 ลักษณะ 1. Sagitattal or Median plane 2. Frontal or Coronal plane 3. Horizontal or Transverse plane ศัพศัท์ต่าง ๆที่ใที่ช้ (Terms) 1. Superior / Inferior 2. Anterior / Posterior 3. Dorsal / Vental 4. Cranial / Cephalic / Caudal 5. Medial / Lateral 6. Proximal / Distal 7. Superficial / Deep ช่อช่งว่างภายในร่าร่งกาย (Body cavity) แบ่งบ่เป็น ป็ 2 ช่อช่งหลัก คือ 1. Dorsal Cavity แบ่งบ่เป็น ป็ 2 ช่อช่งย่อย่ย - Cranial cavity - Spinal cavity 2. Ventral Cavity ประกอบด้วย 2 ช่อช่งย่อย่ย คือ - Thoracic cavity - Abdominal pelvic cavity Branches of Anatomy 1 . Gross 2.Microscopic Cytology Histology 3.Development Embryology 4.Comparative


ระบบอวัยวะ 1.Integumentary : ระบบห่อห่หุ้มร่าร่งกาย 2.Skeletal :ระบบโครงร่าร่ง 3.Muscular : ระบบกล้ามเนื้อ 4.Nervous :ระบบประสาท 5.Endocrine : ระบบต่อมไร้ท่ร้ ท่อ 6.Cardiovascular : ระบบหัวใจและหลอดเลือด 7.Lymphatic / Immune: ระบบน้ำ เหลืองและภูมิภูมิคุ้มกันของร่าร่งกาย 8.Respiratory: ระบบหายใจ 9.Digestive : ระบบย่อย่ยอาหาร 10.Urinary: ระบบขับขัถ่ายปัสปัสาวะ 11.Reproductive : ระบบสืบพันธุ์


บทที่ 1 ความรู้เรู้บื้อ บื้ งต้นเกี่ยกี่วกับกายวิภาคและสรีร รี วิทยา Introduction to Anatomy and Physiology กายวิภาคและสรีร รี วิทยา กายวิภาคศาสตร์ (anatomy) เป็น ป็ แขนงหนึ่งของวิชาชีว ชี วิทยาที่ศึที่ก ศึ ษาเกี่ยกี่วกับ ขนาด รูปร่าร่ง โครงสร้าร้งและตำ แหน่งของอวัยวะในร่าร่งกาย อาจกล่าวได้ว่าเป็น ป็ ความ รู้ทรู้างวิทยาศาสตร์ที่ ร์ เที่กี่ยกี่วข้อข้งกับสิ่งมีชี มี วิ ชีวิตสาขาหนึ่ง ซึ่งต้องมีก มี ารตัดชิ้นส่วส่นของ ร่าร่งกายมาเกี่ยกี่วเพราะคำ ว่า anatomy มีร มี ากศัพศัท์มาจากภาษากรีก รี โดยคำ ว่า ana แปลว่า แยกออก ส่วส่นคำ ว่า tomy หรือ รื tome แปลว่า ตัด แต่ สรีร รี วิทสรีร รี วิทยา (physiology) เป็น ป็ วิชาที่ศึที่ก ศึ ษาเกี่ยกี่วกับหน้าที่หที่รือ รื การทำ งานของอวัยวะต่างๆใน ร่าร่งกาย ซึ่งรวมถึงหน้าที่ใที่นระดับเซลล์ที่เที่ป็น ป็ ส่วส่นประกอบด้วย โดยทั่วไปการศึก ศึ ษา ด้านกายวิภาคและการศึก ศึ ษาด้านสรีวิ รีวิทยาจะเป็น ป็ การศึก ศึ ษาที่คที่วบคู่กันไปก็ได้ เพื่อจะ ได้ทราบว่าอวัยวะแต่ละอย่าย่งในร่าร่งกายมีรู มีรูปร่าร่งอย่าย่งไร มีข มี นาดหรือ รื อยู่ที่ยู่ตำที่ตำแหน่งใด ของร่าร่งกายและอวัยวะนั้นๆทำ หน้าที่อที่ย่าย่งไร เป็น ป็ ต้น แนววิชาของกายวิภาคศาสตร์ สามารถแบ่งบ่ออกได้ดังนี้ 1.กายวิภาคศาสตร์เ ร์ ฉพาะทาง (special anatomy) หมายถึงการศึก ศึ ษาทางลักษณะ โครงสร้าร้งของสัตสัว์แต่ละชนิด โดยเฉพาะศึก ศึ ษาในทุกระบบของร่าร่งกาย เช่นช่ กายวิภาคศาสตร์ข ร์ องโค ,ม้า,สุกสุร,สุนัขและสัตว์ปักปัเป็น ป็ ต้น 2.จุลกายวิภาคศาสตร์ (histology หรือ รื microscopic anatomy) หมายถึงการศึก ศึ ษา ลักษณะโครงสร้าร้งของร่าร่งกาย โดยอาศัยศักล้องจุลทรรศน์ การศึก ศึ ษานี้เนี้ป็น ป็ การศึก ศึ ษา เนื้อเยื่อต่างๆของร่าร่งกายว่าประกอบด้วยเซลล์ประเภทใดบ้าบ้ง ลักษณะเซลล์มีรู มีรูปร่าร่ง อย่าย่งไร ขนาด เป็น ป็ อย่าย่งไร เป็น ป็ ต้น 3. มหกายวิภาคศาสตร์ (gross anatomy หรือ รื macroscopic anatomy) หมายถึง การศึก ศึ ษาลักษณะโครงสร้าร้งของอวัยวะต่างๆที่สที่ามารถจะเห็นได้ด้วยตาเปล่า โดยวิธี การแยกหรือ รื ชำ แหละแยกอวัยวะออกเป็น ป็ ส่วส่นๆ 4. คัพภะวิทยา (embryology หรือ รื developmental anatomy) หมายถึงการศึก ศึ ษา การเจริญริเติบโตเปลี่ยลี่นแปลงของเซลล์ตลอดจนเนื้อเยื่อ ยื่ และอวัยวะในร่าร่งกาย ตั้งแต่ เป็น ป็ ตัวอ่อนในระยะแรก (zygote)จนกระทั่งถึงระยะก่อนคลอด


5.กายวิภาคศาสตร์เ ร์ปรีย รี บทีย ที บ (comparative anatomy) หมายถึงการศึก ศึ ษา ด้านโครงสร้าร้ง รูปร่าร่งของอวัยวะของสัตว์ที่มีที่ก มี ระดูกดูสันหลังชนิดต่างๆ ว่ามี ความแตกต่างกันอย่าย่งไร เช่นช่ โคมีก มี ระเพาะรวม สุกรมีก มี ระเพาะเดี่ยดี่วเป็น ป็ ต้น 6.กายวิภาคศาสตร์ท ร์ างสัตสัว์แพทย์ (veterinary anatomy)หมายถึงการศึก ศึ ษา กายวิภาคศาสตร์ข ร์ องสัตว์เลี้ยลี้ง เพื่อประโยชน์ในอาชีพ ชี สัตว์แพทย์ สำ หรับรัการศึก ศึ ษากายวิภาคศาสตร์เ ร์ พื่อให้ผู้เรีย รี นเข้าใจได้ง่าย มักนิยม ศึก ศึ ษาแยกเป็น ป็ ระบบ เรีย รี กว่า systemic anatomy หรือ รื ศึก ศึ ษาแยกเป็น ป็ ส่วส่นๆ เฉพาะแต่ละแห่งห่เรีย รี กว่า topographic anatomy 1.การศึก ศึ ษากายวิภาคศาสตร์โร์ ดยศึก ศึ ษาโครงสร้าร้งของร่าร่งกายแยกเป็น ป็ ระบบ(systemicanatomy) จะทำ ให้เกิดสาขาวิชาเฉพาะตามระบบหรือ รื สาขา วิชาเฉพาะตามอวัยวะที่ใที่ช้ศึช้ก ศึ ษาแบ่งบ่ออกได้ดังแสดงในตารางที่ 1.1 ตารางที่ 1.1 แสดงระบบของอวัยวะและการแบ่งบ่สาขาวิชาที่ศึที่ก ศึ ษา ระบบ ระบบโครงร่าร่ง (skeleton system) ระบบข้อต่อ (articular system) ระบบกล้ามเนื้อ (muscular system) ระบบประสาท (nervous system) ระบบปกคลุมร่าร่งกาย (integumentary system) ระบบรับรัความรู้สึรู้ สึก (sensory system) ระบบหมุนเวียวีนโลหิต (circular system) ระบบขับถ่ายปัสปัสาวะ (urinary system) ระบบหายใจ (respiratory system) ระบบย่อย่ยอาหาร (digestive system) ระบบสืบพันธุ์ (reproductive system) ชื่อสาขาวิชา osteology arthropology myology neurology dermatology esthesiology angiology splanchnology splanchnology splachnology splanchnology อวัยวะที่ศึที่กศึษา กระดูกอ่อน, กระดูก ข้อต่อแขนขา กล้ามเนื้อลาย เรียรีบ หัวใจ สมอง ไขสันหลัง เส้นประสาท ผิวหนัง ต่อมเหงื่อ ต่อมน้ำ นม ขน กีบกีเขา ตา หูจมูก ลิ้น อวัยวะรับรัสัมผัส หัวใจ เส้นเลือด เส้นน้ำ เหลือง ไต กระเพาะปัสปัสาวะ ปอด ทางเดินหายใจ กระเพาะ ลำ ไส้ ตับ ตับอ่อน รังรัไข่ และ ลูกอัณฑะ 2.การศึก ศึ ษาระบบเฉพาะเป็น ป็ แห่งห่ (topographic anatomy) เป็น ป็ การศึก ศึ ษา ระบบแยกส่วส่นต่างๆของร่าร่งกาย เพื่อศึก ศึ ษาความสัมพันธ์ที่เที่กี่ยกี่วข้องของอวัยวะ และตำ แหน่งที่ตั้ที่ ตั้ง จัดเป็น ป็ การศึก ศึ ษาที่เที่ป็น ป็ พื้นฐานสำ หรับรัวิชาศัลศัยศาสตร์ต่ ร์ ต่อไป แบ่งบ่ส่วส่นศึก ศึ ษาดังนี้คืนี้คื อ - การศึก ศึ ษาในส่วส่นหัว(head, throat, neck) - การศึก ศึ ษาในส่วส่นขาหน้า( fore limb) -การศึก ศึ ษาในส่วส่นท้อง (abdominal)


- การศึก ศึ ษาในส่วส่นขาหลัง (hind limb) ท่ามาตราฐานทางกายวิภาคศาสตร์ (anatomical position) การศึก ศึ ษาท่ามาตรฐานทางกายวิภาคศาสตร์เ ร์ป็น ป็ การศึก ศึ ษาเกี่ยกี่วกับท่าต่างๆที่ใที่ช้ อ้างอิงในการศึก ศึ ษา เมื่อจะกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะต่างๆ เพื่อ เป็น ป็ การป้อป้งกันความสับสัสนในการบอกทิศทางของอวัยวะต่างๆ โดยกำ หนดว่า ท่านี้เนี้ป็น ป็ ท่าคนยืนตัวตรง ตาทั้งสองข้างมองตรงไปข้างหน้าในแนวระดับ แขนทั้ง สองข้าข้งแนบชิดชิลำ ตัว โดยหันผ่าผ่ มือทั้งสองข้างแบออกไปทางด้านหน้า และเท้า ทั้งสองข้าข้งชิดชิกันตลอด สำ หรับรัการศึก ศึ ษาทางกายวิภาคศาสตร์สั ร์ สัตว์เลี้ยลี้งจำ เป็น ป็ ต้องยึดหลักท่ามาตรฐานทางกายวิภาคของคนเช่นช่กัน ระนาบหรือ รื แนวตัดแบ่งบ่ร่าร่งกาย (plane of body section) ในการกำ หนดตำ แหน่งและการบอกความสัมพันธ์ระหว่างอวัยวะในร่าร่งกาย จำ เป็น ป็ ต้องมีก มี ารแบ่งบ่ระนาบของร่าร่งกายออกเป็น ป็ ระนาบต่างๆดังนี้ 1.ระนาบข้าข้ง (sagittal plane)หมายถึงระนาบในแนวดิ่งที่แที่บ่งบ่ร่าร่งกายมนุษย์ หรือ รื สัตสัว์เลี้ยลี้งออกเป็น ป็ สองซีก ซี ขวาและซ้าย แต่ละซีก ซีไม่จำม่ จำเป็น ป็ ต้องเท่ากันพอดี ถ้าเป็น ป็ การผ่าผ่แบ่งบ่ตามแนวกึ่งกลางร่าร่งกายตามแนวดิ่งพอดีจ ดี ะแบ่งบ่ร่าร่งกายออก เป็น ป็ สองซีก ซี เท่ากันทั้งช้ายและขวาเรีย รี กว่าmidsagittal plane หรือ รื median plane 2.ระนาบหน้าหลัง (coronal plane) หมายถึงระนาบที่แที่บ่งบ่ร่าร่งกายคนตามแนว ดิ่งตัดขนานกับรอยต่อของกะโหลก แบ่งบ่ร่าร่งกายออกเป็น ป็ ซีก ซี หน้าและซีก ซี หลัง แต่ ในสัตสัว์เลี้ยลี้งเนื่องจากยืนด้วยเท้าทั้งสี่ จะทำ ให้มีค มี วามแตกต่างกับในคน ในสัตว์ เลี้ยลี้งระนาบนี้จนี้ะแบ่งบ่ร่าร่งกายออกเป็น ป็ ครึ่งรึ่บนและครึ่งรึ่ล่าง อาจเรีย รี กว่า horizontal plane 3.ระนาบขวาง (transverse plane) เป็น ป็ ระนาบที่ตั้ที่ ตั้งฉากกับระนาบข้าง และ ระนาบหลังซึ่งจะแบ่งบ่ร่าร่งกายออกเป็น ป็ ซีก ซี หน้าและชีก ชี หลัง แต่ในร่าร่งกายคนจะ แบ่งบ่ออกเป็น ป็ ครึ่งรึ่บนและครึ่งรึ่ล่าง


ภาพที่ 1.1 แสดงระนาบและแนวตัดแบ่งบ่ของร่าร่งกายโค ดัดแปลงจาก : Dyce และคณะ 1996 แนวแกนร่าร่งกาย (body axis) แนวแกนร่าร่งกายเป็น ป็ แนวแกนที่กำที่กำหนดขึ้นมาเพื่อความสะดวกในการ กำ หนดจุดหมุนของการเคลื่อนไหวของร่าร่งกาย สามารถกำ หนดแกนร่าร่งกาย ออกเป็น ป็ 3 แกนคือ 1. แกนหน้าหลัง (anteriorposterior axis) เป็น ป็ แนวแกนที่ทที่อดผ่าผ่นจากส่วส่น หน้าของสัตสัว์ไปส่วส่นหลังของสัตสัว์ตามแนวนอน 2. แกนขวาง (transverse axis หรือ รื horizontal axis) เป็น ป็ แนวแกนที่ทที่อดผ่าผ่น ร่าร่งกายจากด้านซ้ายไปด้านขวาของร่าร่งกายสัตว์หรือ รื มนุษย์ต ย์ ามแนวนอน 3. แกนดิ่ง (vertical axis) เป็น ป็ แนวแกนในแนวดิ่งที่ตั้ที่ ตั้งฉากกับสองแกนแรก


ศัพศัท์ที่ใที่ช้ชี้ช้บชี้อกตำ แหน่งและความสัมพันธ์ของอวัยวะ (terms of relationship) เพื่อ พื่ให้มีห้ค มี วามเข้าข้ใจในทางเดีย ดี วกันหรือ รื มีค มี วามเข้าใจตรงกันในการกล่าวถึง ตำ แหน่งของอวัยวะในร่าร่งกายสัตว์เลี้ยลี้ง จึงได้มีก มี ารกำ หนดศัพศัท์เฉพาะขึ้น เพื่อ ใช้ชี้ช้บชี้อกว่าโครงสร้าร้งหรือ รื อวัยวะนั้นๆ อยู่ที่ยู่ ใที่ดในร่าร่งกาย และมีค มี วามสัมพันธ์กับ อวัยวะอื่นๆ อย่าย่งไร โดยคำ ศัพศัท์ที่จที่ะกล่าวถึงต่อไปเป็น ป็ คำ ศัพศัท์ที่ใที่ช้บอก ตำ แหน่งของอวัยวะบนร่าร่งกาย เช่นช่ ตารางที่ 1.2 คำ ศัพศัท์ที่ใที่ช้ในการบอกตำ แหน่งของร่าร่งกาย ส่วส่นหัวหัหรือรืด้านหน้าของสัตสัว์ หรือรืส่วส่นที่ค่ที่ค่อนไปทางด้านหน้า ของสัตสัว์ ส่วส่นท้ายหรือรืด้านหลังของสัตสัว์ หรือรืส่วส่นที่ค่ที่ค่อนไปทางด้าน หลังของสัตสัว์ ด้านล่างหรือรืด้านที่ค่ที่ค่อนไปทางด้านท้องของสัตสัว์ ด้านบนหรือรืด้านหลังของร่าร่งกายสัตสัว์ ด้านที่อที่ยู่สูยู่งสูกว่าหรือรืเหนือกว่าหรือรือยู่ใยู่กล้กับเส้นส้กลางตัว มากกว่าหรือรืใกล้แนวกระดูกดูสันสัหลังมากกว่า ด้านที่อที่ยู่ต่ำยู่ ต่ำ กว่าหรือรืไกลกว่าแนวกระดูกดูสันสัหลัง ส่วส่นบนเหนือหัวหัหรือรืส่วส่นหัวหั ส่วส่นล่างของร่าร่งกาย ส่วส่นที่อที่ยู่ใยู่นแนวกลางตัวพอดี อยู่ใยู่กล้กับแนวกลางตัว ส่วส่นที่อที่ยู่ห่ยู่าห่งจากแนวกระดูกดูสันสัหลังหรือรืเส้นส้แนวกลางตัว ส่วส่นที่อที่ยู่ตยู่รงกลางระหว่างสองสิ่งสิ่ ส่วส่นที่อที่ยู่ใยู่กล้ผิวผิหรือรือยู่ตื้ยู่ตื้น ส่วส่นที่อที่ยู่ลึยู่ ลึกลงไป ส่วส่นที่อที่ยู่ด้ยู่ ด้านนอกของผนัง(มักมั ใช้กัช้ กับอวัยวะที่มีที่โมีพรง) อยู่ข้ยู่าข้งในของผนัง(มักมั ใช้กัช้ กับอวัยวะที่มีที่โมีพรง) อยู่ใยู่กล้ศูนศูย์กย์ลางหรือรืใกล้อวัยวะมากกว่า อยู่ห่ยู่าห่งจากศูนศูย์กย์ลางหรือรืไกลอวัยวะมากกว่า ชั้นชั้ที่แที่นบติดกับผิวผิอวัยวะภายใน ชั้นชั้ที่บุที่บุผนังด้านในของช่อช่งว่างในร่าร่งกาย anterior หรือรืcranial posterior หรือรืcaudal ventral dorsal proximal distal superior inferior median medial lateral intermediate superficial deep external internal central peripheral visceral parietal คำ ศัพศัท์ ความหมาย


ศัพศัท์ที่เที่กี่ยกี่วข้อข้งกับการเคลื่อนไหวของอวัยวะในลักษณะต่างๆ(terminology of movement) เนื่องจากร่าร่งกายของสัตสัว์สามารถมีก มี ารเคลื่อนไหวได้เพราะมีร มี ะบบ โครงสร้าร้งและกล้ามเนื้อรวมทั้งข้อข้ต่อ จึงได้มีก มี ารกำ หนดศัพศัท์ที่ใที่ช้เรีย รี กท่สการ เคลื่อนไหวต่างๆไว้ เพื่อ พื่ สะดวกในการอ้างอิงและเพื่อให้เกิดความเข้าใจตรงกัน คำ ศัพศัท์ที่เที่กี่ยกี่วกับการเคลื่อนไหวมักเป็น ป็ คำ ศัพศัท์ที่จัที่จัดไว้เป็น ป็ คู่ดังนี้ ตารางที่ 1.3 คำ ศัพศัท์ที่เที่กี่ยกี่วข้องกับการเคลื่อนไหวของร่าร่งกาย ศัพศัท์ abduction flexion elevation protection คำ ศัพศัท์ที่คู่ที่คู่กัคู่กัน adduction extension depression retraction ความหมาย การเคลื่อนไหวที่อที่อกจากแนวกลางตัวและการ เคลื่อนไหวเข้าข้หาแนวกลางตัว การงอข้อข้ต่อข้อข้ ใดข้อข้หนึ่งและการยืดยืข้อข้ต่อข้อข้ ใดข้อข้ หนึ่งที่มีที่ทิมี ทิศทางตรงกันข้าข้ม การเคลื่อนส่วส่นของร่าร่งกายเช่นช่ ฝาเท้าให้เห้ลื่อนไป ทางส่วส่นหัวหัหรือรืด้านบนและการเลื่อนส่วส่นของ ร่าร่งกายให้ลห้งไปทางด้านล่าง เป็น ป็ การเคลื่อนที่ขที่องส่วส่นยื่นยื่ส่วส่ยใดส่วส่นหนึ่งของ ร่าร่งกายออกไปข้าข้งหน้าและดึงกลับทางด้านท้าย


ภาพที่ 1.2 คำ ศัพศัท์ที่เที่กี่ยกี่วข้อข้งกับการเคลื่อนไหวของอวัยวะ ดัดแปลงจาก : Frandson, 1981


บทที่2ที่ โครงสร้าร้งการทำ งานของเซลล์และส่วส่นเนื้อเยื่อ ยื่ functional structure of cells and tissues


บทที่3ที่ ระบบกระดูก The skeletal system ระบบกระดูก ( The skeletal system ) เป็น ป็ โครงสร้าร้งหลักอย่าย่งหนึ่งของร่าร่งกาย ที่ ช่วช่ยป้อป้งกันอวัยวะบอบบางต่างๆที่อที่ยู่ภยู่ายใน การทำ งานของระบบโครงกระดูก ทำ ให้ เราสามารถ ลุกลุนั่ง เดิน นอน หรือ รื ทำ อิริยริาบถอื่นๆได้โดยอาศัยศัมัดกล้ามเนื้อต่างๆที่เที่กาะ เกี่ยกี่วอยู่กัยู่ กับกระดูกแต่ละส่วส่นของร่าร่งกาย ระบบกระดูก เป็น ป็ ระบบที่ปที่ระกอบด้วย กระดูกดูกระดูกดูอ่อน ข้อต่อ และเอ็นเชื่อม กระดูก กระดูกนับเป็น ป็ ส่วส่นที่แที่ข็งที่สุที่สุดในร่าร่งกาย กระดูกในร่าร่งกายมีรู มีรูปร่าร่งต่างๆกัน กระดูกแต่ละท่อนหรือ รื แต่ละข้อข้จะเชื่อ ชื่ มต่อกันด้วยเอ็นเชื่อ ชื่ มกระดูกตรงบริเริวณข้อต่อ ซึ่ง จะช่วช่ยให้กห้ระดูกยืดหยุ่นยุ่และร่าร่งกายเคลื่อนไหวได้สะดวก กระดูก ( Bone ) ในร่าร่งกายเราในระยะแรกจะเจริญริ ในรูปของกระดูกอ่อน เมื่อ มีอ มี ายุมากขึ้น ขึ้ กระดูกอ่อนจะเปลี่ยลี่นเป็น ป็ กระดูกที่แที่ข็งแกร่งร่รองรับรัน้ำ หนักได้มากขึ้น ยกเว้นบางส่วส่นที่ยัที่งคงเป็น ป็ กระดูกอ่อน เช่นช่ ใบหู ปลายจมูก ในเด็กแรกเกิดจะมีก มี ระดูก มากถึง350 ชิ้นชิ้เมื่อโตเป็น ป็ ผู้ใหญ่กญ่ระดูกดูบางส่วส่นจะต่อกันเหลือเพีย พี ง 206 ชิ้น ซึ่งจำ แนก กระดูกออกเป็น ป็ 2 ส่วส่นใหญ่ๆญ่คือ 1.กระดูกแกน ( Axial skeleton ) คือกระดูกดูที่เที่ป็น ป็ แกนกลางของลำ ตัวมีอ มี ยู่ 80 ชิ้น ประกอบด้วย 1.1 กระดูกกะโหลกศรีษ รี ะ (Skull) ประกอบด้วยกระดูกดู29 ชิ้นชิ้มีห มี น้าที่ห่ที่อห่หุ้มและ ป้อป้งกันสมอง แบ่งบ่ออกได้เป็น ป็ 4 ส่วส่น คือ 1.1.1 กระดูกกะโหลก (Craniumbone) มีทั้ มีทั้งหมดด้วยกัน 8 ชิ้น ต่อกันเป็น ป็ ลูก กลมช่วช่ยห่อห่หุ้มหุ้ สมองไว้ทั้งหมด คือกระดูกดูหลังคา (Parictal) ผีเ ผี สื้อ (Sphenoid) ขมับ (Temporal) หน้าผาก (Frontal) และใต้สันจมูก (Ethmoid) 1.1.2 กระดูกส่วส่นหน้า (Face bone) มีด้ มีด้วยกันทั้งหมด 14 ชิ้น คือ ขากรรไกร ล่าง (Mandible) ขากรรไกรบน (Maxilla) สันจมูก (Nasal) โหนกแก้ม (Zygomatic) ข้าข้งในจมูก (Interior Conchac) กลางจมูก (Vomer) ข้างถุงถุน้ำ ตา (Lacrimal) เพดาน ปาก (Paratine) เบ้าบ้ตา (Orbit) 1.1.3 กระดูกดูหู (Auditory Ossicles) มี 6 ชิ้นชิ้คือ กระดูกดูค้อน (Malleus) ทั่ง (Incus) โกลน (Stap) กับส่วส่นอื่นๆอีก อี 3 ชิ้นชิ้รวมเป็น ป็ 6 ชิ้นชิ้ 1.1.4 กระดูกดูโคนลิ้น (Hyoid) เป็น ป็ กระดูกดูรูปเกือกม้าม้ตั้งอยู่ที่ยู่ โที่คนลิ้นข้าข้งหน้า ของลำ คอเหนือลูกลูกระเดือก ซึ่งลอยอยู่เยู่ฉยๆไม่ติม่ ติดอยู่กัยู่ กับกระดูกดูชิ้นชิ้อื่นๆเลย 1.2 กระดูกดูทรวงอก (Thorax) ซึ่งหมายรวมถึงกระดูกดูที่เที่ป็น ป็ ส่วส่นประกอบสำ คัญ อีก อี สองส่วส่นคือ สันสัอก (Stemum) กับซี่โซี่ครง (Rips) ทั้ง 12 ซี่ด้ซี่ด้วย กระดูกดูทรวงอกนี้เนี้ป็น ป็ ส่วส่นสำ คัญของร่าร่งกายอีก อี ส่วส่นหนึ่งทีช่ ที วช่ยห่อห่หุ้มหุ้ และป้อป้งกันอันตรายให้กัห้ กับอวัยวะสำ คัญ คือ ปอดและหัวหัใจ หากบอบช้ำหรือ รื สิ้นสิ้สภาพเมื่อ มื่ใดก็หมายถึงชีวิ ชีวิตต้องดับดิ้นทันที


1.3 กระดูกสันสัหลัง ( Vertebral Column ) กระดูกดูแต่ละชิ้นชิ้ที่มที่าเรีย รี งต่อกันและมีลั มีลักษณะ ต่างกันตามหน้าที่แที่ละตำ แหน่งที่อที่ยู่ขยู่องมันเริ่มริ่ตั้งแต่ต้นคอลงมาถึงก้นกบรวมทั้งหมดได้ 33 ชิ้นชิ้ดังนี้ คือ 1.3.1 กระดูกบริเริวณต้นคอ ( Cervical Vertebra ) มี 7 ชิ้นชิ้ 1.3.2 กระดูกตรงบริเริวณทรวงอก ( Thorax Vertebra ) มี 12 ชิ้นชิ้ 1.3.3 กระดูกตรงบริเริวณบั้นเอว ( Lumber Vertebra ) มี 5 ชิ้นชิ้ 1.3.4 กระดูกตรงกระเบนเหน็บ ( Sacrum Vertebra ) มี 5 ชิ้น ยึดติดกันเป็น ป็ แผ่นผ่เดีย ดี ว 1.3.5 กระดูกหางหรือ รื กระดูกก้นกบ ( Ischium Vertebra ) มี 4 ชิ้น ยึดติดเป็น ป็ ชิ้นเดีย ดี วเช่นช่ กัน 2. กระดูกระยางค์ ( Appendicular Skeleton ) คือกระดูกที่นที่อกเหนือไปจากกระดูกลำ ตัวซึ่ง รวมทั้งหมดได้ 126 ชิ้นชิ้ ได้แก่ 2.1 กระดูกแขน ( Upper extremities ) กับกระดูกดูรองรับรัแขน ( Picteral girdle ) 64 ชิ้น เป็น ป็ กระดูกที่มีที่ข มี นาดใหญ่แญ่ละแข็งแรงมากทำ หน้าที่เที่ป็น ป็ ฐานเชื่อ ชื่มโยงกับกระดูกส่วส่นอื่นๆ 2.2 กระดูกขา ( Pelvic ) กับกระดูกเชิงชิกราน ( Hip Girdle ) 62 ชิ้น กระดูกขาเป็น ป็ กระดูกที่มีที่มี ขนาด ใหญ่แญ่ละแข็ง ข็ แรงมากจะทำ หน้าที่รัที่บรัน้ำ หนักของร่าร่งกาย ชนิดของกระดูก กระดูกคนเราจะมีลั มีลักษณะรูปร่าร่งต่างๆกันไปกระดูกดูแยกตามรูปร่าร่งได้ 4 ชนิด คือ 1. กระดูกยาว ( Long bones ) พบได้ที่กที่ระดูกต้นแขน แขนท่อนปลาย ต้นขา และขา ฝ่าฝ่ มือ ฝ่าฝ่เท้า นิ้วมือ และนิ้วเท้า เป็น ป็ กระดูกดูยาวขนาดเล็ก ในส่วส่นลำ ของกระดูกยาวเรีย รี งตัวกันเป็น ป็ รูปทรงกระบอก ตรงกลางเป็น ป็ โพรง ที่ขที่อบภายในเป็น ป็ กระดูกเล็กๆติดต่อกันคล้ายฟองน้ำ เรีย รี กว่า กระดูกพรุน กระดูกชนิดนี้มีนี้ ไมี ว้สำ หรับรัรับรัน้ำ หนักของร่าร่งกายและเคลื่อนไหว มากกว่ากระดูกชนิดอื่นๆ มีทั้ มีทั้งหมด 90 ชิ้นชิ้ 2. กระดูกสั้นสั้ ( Short bones ) มีอ มี ยู่ตยู่ามร่าร่งกายส่วส่นที่แที่ข็งแรงสำ หรับรัออกแรงเมื่อเวลา ทำ งานที่ไที่ม่มีม่ก มี ารเคลื่อนไหวมาก ได้แก่ กระดูกข้อมือ ข้อเท้า กระดูกเหล่านี้เนี้ป็น ป็ ท่อนสั้นๆ ไม่มีม่ส่ มี วส่นลำ แต่จะมีก มี ระดูกเนื้อแน่น บางๆอยู่ที่ยู่ขที่อบ ภายในเป็น ป็ กระดูกฟองน้ำ กระดูกสั้นมี ทั้งหมด 30 ชิ้น 3. กระดูกแบน ( Flat bones ) มีลั มีลักษณะเป็น ป็ แผ่นผ่แบนกว้างออกไป ประกอบด้วยกระดูกเนื้อ แน่นสอง แผ่นผ่เชื่อ ชื่ มติดกัน ภายในเป็น ป็ กระดูกดูพรุน กระดูกดูชนิดนี้จนี้ะช่วช่ยป้อป้งกันอวัยวะ ภายในไม่ใม่ห้ไห้ด้รับรัอันตรายง่าย ได้แก่ กระดูกกะโหลกศรีษ รี ะ กระดูกซี่โซี่ครง กระดูกสะบัก กระดูกหน้าอก และกระดูกเชิงชิกราน กระดูกดูแบนมีทั้ มีทั้งหมด 40ชิ้น 4. กระดูกรูปร่าร่งไม่แม่น่นอน ( Irrigular bone ) หรือ รื มีรู มีรูปแปลกๆ ได้แก่ กระดูกสันหลัง กระดูกก้นกบ กระดูกขากรรไกร กระดูกดูโคนลิ้น กระดูกดูหู กระดูกดูชนิดนี้มีนี้แ มี ง่ มีเ มี หลี่ยลี่มหรือ รื ช่อช่งโค้งไปมามากเพื่อให้เห้หมาะกับการประกอบเข้าได้กับกระดูกดูชิ้นอื่นที่เที่ป็น ป็ โครงร่าร่งของ ร่าร่งกาย กระดูกชนิดนี้มีนี้ทั้ มีทั้งหมด 46 ชิ้นชิ้


5. กระดูกอ่อน ( Cartilage ) กระดูกอ่อนจัดเป็น ป็ เนื้อเยื่อ ยื่ ยึด ยึ เหนี่ยนี่วชนิดหนึ่ง ซึ่งมีส มี าร ระหว่างเซลล์เหนีย นี ว หนืดมีห มี น้าที่รที่องรับรัเนื้อเยื่ออ่อนๆ และช่วช่ยทำ ให้ข้อต่อเคลื่อนไหวได้ สะดวกขึ้น ขึ้ กระดูกอ่อนไม่แม่ข็ง ข็ แรงเท่ากระดูกดูเพราะไม่มีม่แ มี ร่ธร่าตุ แต่มีค มี วามยืดหยุ่นยุ่ มากกว่ากระดูก กระดูกอ่อนแบ่งบ่ออกเป็น ป็ 3 ชนิดคือ 1. กระดูกอ่อนขาว ปรากฏเป็น ป็ เส้นส้สีข สี าวปนสีน้ำ สี น้ำ เงิน พบได้ที่ด้ที่ด้านข้อต่อของกระดูก กระดูก อ่อนซี่โซี่ครง กระดูกอ่อนกล่องเสีย สี ง และกระดูกดูอ่อนหลอดลม 2. กระดูกอ่อนยืดหยุ่นยุ่สีค่ สีค่อนข้าข้งเหลือง ยืดหยุ่นยุ่ ได้มาก เพราะมีเ มี ส้นใยมากพบได้ที่กที่ระดูก อ่อนใบหู และฝาปิดปิกล่องเสีย สี ง 3. กระดูกอ่อนพังพัพืด พื มีเ มี ส้นส้ ใยพังพืดมาก พบได้ที่หที่มอนรองกระดูกสันหลัง และข้อต่อหัว หน่าว ข้อข้ต่อและเอ็นเชื่อมกระดูก ข้อข้ต่อ ( Joint ) เกิดจากกระดูกตั้งแต่ 2 ชิ้นชิ้ขึ้นไปที่อที่ยู่ใยู่กล้กันมาเชื่อม หรือ รื ต่อกันโดยมีเ มี อ็น และกล้ามเนื้อช่วช่ยยึดเสริมริความแข็งแรงให้แก่ข้อต่อ ทำ ให้โครงกระดูกยืดหยุ่นยุ่ส่วส่นต่างๆ ของร่าร่งกายเคลื่อนไหวได้สะดวก ข้อต่อในร่าร่งกายมีรู มีรูปร่าร่ง ลักษณะและหน้าที่แที่ยกเป็น ป็ ประเภทดังนี้ 1.ข้อข้ต่อเอ็น เป็น ป็ ข้อต่อที่ยึที่ดกันด้วยเอ็นพังพืดขาว ได้แก่ ข้อต่อระหว่างกระดูกกะโหลกศรีษ รี ะ ส่วส่นบน ข้อข้ต่อชนิดนี้จนี้ะไม่มีม่ก มี ารเคลื่อนไหวเลย 2.ข้อข้ต่อกระดูกอ่อน เป็น ป็ ข้อข้ต่อที่เที่ชื่อ ชื่ มกันด้วยกระดูกดูอ่อนและมีเ มี อ็นช่วช่ยเสริมริด้วย ทำ ให้ สามารถ เคลื่อนไหวได้เล็กน้อย ได้แก่ ข้อต่อระหว่างกระดูกดูอ่อนซี่โซี่ครงซี่ที่ซี่ ที่ 1 กับกระดูก หน้าอกและข้อข้ต่อระหว่างกระดูกสันหลัง 3.ข้อข้ต่อซิลโนเวีย วี ล เป็น ป็ ข้อข้ต่อที่พที่บมากในร่าร่งกายเรา ด้วยข้อต่อของกระดูกคลุมด้วยกระดูก อ่อนขาว หรือ รื กระดูกอ่อนพังพืด พื ทำ ให้เคลื่อนไหวได้คล่อง มีเ มี อ็นรอบข้อ ชั้นนอกเป็น ป็ เยื่อพัง พืด พื สีข สี าว ชั้นชั้ ในเป็น ป็ เยื่อบุซินโนเวีย วี ล ซึ่งเป็น ป็ ที่สที่ร้าร้งน้ำ ไขข้อ สำ หรับรัช่วช่ยในการหล่อลื่น เพราะกระดูกมีก มี ารเสีย สี ดสีอ สี ยู่เยู่ ป็น ป็ เวลานาน และยังยัทำ หน้าที่นำที่นำอาหารจากหลอดเลือดมาสู่ กระดูกอ่อนที่คที่ลุมลุปลายกระดูกด้วย ข้อต่อซิลโนเวีย วี ลมีโมี พรงข้อ ซึ่งมีลั มีลักษณะแตกต่างกัน และมีผ มี ลให้เห้กิดการเคลื่อนไหวในลักษณะที่แที่ตกต่างกัน ดังนี้ 1.ข้อข้ที่เที่คลื่อนไหวได้ทิศทางเดีย ดี ว เช่นช่ข้อศอก ข้อเข่าข่ข้อเท้า ข้อระหว่างกระดูกนิ้วมือ นิ้ว เท้า เคลื่อนไหวเข้าข้หรือ รื อกเหมือนบานพับ


2.ข้อข้ที่เที่คลื่อนไหวได้สองทิศทาง คือ ข้อต่อที่กที่ระดูกข้อมือต่อกับฝ่าฝ่ มือของนิ้วหัวแม่มื ม่อมี ลักษณะเหมือน อานม้า ซึ่งปลายกระดูกดูข้างหนึ่งเว้า และปลายกระดูกอีก อี ข้างหนึ่งนูนรับรักัน จึงเคลื่อนไหวได้ 2 แบบ คือการงอเข้า – ยืด ยื ออก และหมุนทำ ให้เราสามารถงอนิ้วหัวแม่มื ม่อ มาสู่ฝ่สู่าฝ่ มือในการกำ ของได้ ลักษณะของข้อต่อซินโนเวีย วี ล 3. ข้อข้ต่อที่เที่คลื่อนไหวได้หลายทิศทาง ซึ่งมีห มี ลายลักษณะ เช่นช่ลักษณะของข้อที่เที่ชื่อมกัน เกิดจากปลาย กระดูกข้าข้งหนึ่งมีหั มี หัวกลมเข้าไปในเบ้าของกระดูกดูอีก อี ข้างหนึ่งมีลั มีลักษณะคล้าย ลูกลูบอล ทำ ให้เห้คลื่อนไหวได้ทุกทุทิศทาง รวมทั้งการหมุนด้วย ซึ่งได้แก่ ข้อไหล่ ข้อสะโพก กระดูกต้นคอ กระดูกสันหลัง โครงสร้าร้งของกระดูกดูพรุน โดยเฉพาะกระดูกดูพรุนที่เที่ป็น ป็ ท่อนยาว เช่นช่กระดูกดูแขนและขา จะมีช่ มี อช่งว่างภายในเต็มไป ด้วยสาระสำ คัญ คือ ไขกระดูกดู ( bone marrow ) ที่ทำที่ทำหน้าที่ผที่ลิตสิ่งสิ่ต่อไปนี้คืนี้คื อ 1. เม็ด ม็ โลหิตหิแดง ( red blood cell ) ทำ หน้าที่นำที่นำออกซิเซิจนจากปอดไปสู่เสู่นื้อเยื่อ ยื่ ต่างๆ 2. เม็ด ม็ โลหิตหิขาว ( white blood cell ) ทำ หน้าที่ต่ที่ต่อสู้กัสู้ กับเชื้อ ชื้โรค 3. เกล็ดเลือด ( blood platelet ) หรือ รื ทรอมโบไซด์ ( thrombocytes ) มีห มี น้าที่ช่ที่วช่ยทำ ให้ เลือดแข็งตัวเป็น ป็ ลิ่ม เลือดจะหยุดไหลเมื่อ มื่ เกิดบาดแผล กระดูกดูจะเจริญริเติบโตแข็งแรงจะต้องได้อาหารที่อุที่อุดมด้วยแคลเซีย ซี ม ( Ca ) ฟอสฟอรัสรั ( P ) ไวตามินมิดีร ดี วมทั้งฮอร์โร์ มนจากต่อมใต้สมองและพาราไทรอยด์ หน้าที่ขที่องกระดูก 1. เป็น ป็ โครงร่าร่งของร่าร่งกาย ช่วช่ยค้ำ จุนและรองรับรัน้ำ หนักทำ ให้ร่าร่งกายทรงรูปร่าร่งอยู่ไยู่ด้ 2. ช่วช่ยยกและพยุงอวัยวะต่างๆของร่าร่งกาย เช่นช่ลำ ไส้ มดลูก 3. ป้อป้งกันอวัยวะภายในร่าร่งกายไม่ใม่ห้เป็น ป็ อันตราย เช่นช่สมอง หัวใจ ปอด 4. เป็น ป็ ที่ยึที่ดเกาะของกล้ามเนื้อ ทำ ให้ร่าร่งกายเคลื่อนไหวได้ 5. ภายในกระดูกมีไมี ขกระดูกที่ทำที่ทำหน้าที่สที่ร้าร้งเม็ดเลือดชนิดต่างๆ และเกล็ดเลือด


การบำ รุงรักรัษากระดูก กระดูกมีค มี วามสำ คัญต่อร่าร่งกายของเรามากมายดังได้กล่าวไปแล้ว ดังนั้นจึงควรบำ รุง รักรัษากระดูกให้เห้จริญริเติบโตอย่าย่งแข็งแรง หากเราเริ่มริ่ดูแลกระดูกอย่าย่งถูกวิธีตั้ ธีตั้งแต่วันนี้จนี้ะ ช่วช่ยให้มีห้ก มี ระดูกที่แที่ข็งแรงในช่วช่งวัยต่อๆไปของชีวิ ชีวิต ในทางตรงกันข้ามหากเราไม่รู้ม่รู้จัรู้ จักถนอม ดูแลแล้ว เราก็อาจเจ็บป่วป่ยด้วยโรคกระดูกและข้อต่างๆได้ เช่นช่ข้อเสื่อมในผู้สูงอายุ ราก ประสาทถูกถูกดจากความผิดผิปกติของกระดูกดูสันหลังในคนที่แที่บกของหนักอย่าย่งผิดวิธี เป็น ป็ ต้น แนวทางในการบำ รุงรักรัษากระดูกดูมีดั มีดังนี้ 1.รับรัประทานอาหารให้คห้รบ5หมู่โมู่ดยเฉพาะอาหารที่มีที่แ มี ร่ธร่าตุแตุคลเซีย ซี มและฟอสฟอรัสรัซึ่ง ซึ่ เป็น ป็ ส่วส่นประกอบสำ คัญของกระดูกดูและฟันฟั 2.ออกกำ ลังกายกลางแจ้งสม่ำ เสมอ ควรออกกำ ลังกายกลางแจ้งโดยเฉพาะในช่วช่งเช้าช้หรือ รื เย็น ย็ เป็น ป็ ประจำ เพราะจะทำ ให้ร่ห้าร่งกายได้รับรัวิตามินมิดีจ ดี ากแสงอัลตราไวโอเลตอย่าย่งเพีย พี งพอ 3.เคลื่อนไหวร่าร่งกายอย่าย่งถูกถูต้อง การพัฒพันาท่าทางการทรงตัวหรือ รื การเคลื่อนไหวของ ร่าร่งกาย ได้แก่ การยืน ยื เดิน นั่ง นอนให้ถูห้กถูต้อง เป็น ป็ สิ่งสิ่ที่สที่ามารถฝึก ฝึฝนได้ และจะช่วช่ยให้มีห้ มี โครงร่าร่งและบุคลิกภาพที่ดีที่ดี ท่าทางการยืนที่ถูที่กถู สุขสุลักษณะ ท่าการนั่งที่ถูที่ถูกต้อง ท่าทางการนอนที่ถูที่ถูก สุขลักษณะ


ระบบการหายใจ คือ ระบบที่ปที่ระกอบด้วยอวัยวะเกี่ยกี่วข้องกับการหายใจ เป็น ป็ การนำ อากาศเข้าข้และออกจากร่าร่งกายส่งส่ผลให้แก๊สออกซิเจนทำ ปฏิกิริยริากับสารอาหาร ได้ พลังงาน น้ำ และแก๊สคาร์บ ร์ อนไดออกไซต์ กระบวนการหายใจเกิดขึ้นกับทุกเซลล์ตลอด เวลา การหายใจจำ เป็น ป็ ต้องอาศัย ศั โครงสร้าร้ง 2 ชนิดคือ กล้ามเนื้อกะบังลม และกระดูก ซี่โซี่ครง ซึ่งมีก มี ลไกการทำ งานของระบบหายใจ ดังนี้ มนุษย์ทุกทุคนต้องหายใจเพื่อมีชี มี วิ ชีวิตอยู่ การหายใจเข้า อากาศผ่าผ่นไปตามอวัยวะของ ระบบหายใจตามลำ ดับ ดังนี้ 1. รูจมูก (Nostrils หรือ รื Nares) เป็น ป็ รูเปิดปิด้านนอกของทางเดินอากาศเข้าสู่ โพรงจมูก ในม้ารูจมูกสามารถปรับรัขนาดได้ ในขณะที่ใที่นสุกรจะแข็งไม่สม่ามารถปรับรั ขนาดได้ การที่รูที่รูจมูกสามารถขยายได้ในม้าเป็น ป็ ข้อดีเ ดี นื่องจากทำ ให้ได้รับรัอากาศมาก ในเวลาที่ต้ที่ต้องออกกำ ลัง รูจมูกม้าสามารถปรับรัขยายได้มาก 2. โพรงจมูก (Nasal cavities) รูจมูกนำ อากาศเข้ามาสู่โสู่พรงจมูกซึ่งแยกเป็น ป็ 2 ข้าข้งด้วย nasal septum และแยกจากช่อช่งปากโดย soft และ hard palate ใน โพรงจมูกจะมี nasal conchae (turbinate bones) แบ่งบ่ โพรงจมูกเป็น ป็ ช่อช่งๆ mucosa ของ nasal conchae มีเ มี ส้นเลือดมาเลี้ยลี้งมากเพื่อคอยอุ่นอากาศและให้ ความชื้น ชื้ แก่อากาศที่หที่ายใจเข้าก่อนผ่าผ่นไปสู่ทสู่างเดินอากาศที่ลึที่ลึ กเข้าไปในร่าร่งกาย ในขณะเดีย ดี วกันเลือดที่ผ่ที่าผ่นเข้าข้มาอุ่นอากาศก็จะมีอุ มีอุณหภูมิภูมิลดลงก่อนที่จที่ะผ่าผ่นไป สู่สสู่มอง ดังนั้นในทางกลับกันก็คืออากาศจะช่วช่ยทำ ให้เลือดเย็น ย็ ลง เลือดที่ไที่ปเลี้ยลี้ง สมองจะมีอุ มีอุณหภูมิภูต่ำ กว่าอุณหภูมิแกนกลางของร่าร่งกายประมาณ 20- 30 oC ดัง นั้นระบบการทำ ให้เห้ลือดมีอุ มีอุณหภูมิลดลงก่อนไปเลี้ยลี้งสมองจะเป็น ป็ ประโยชน์เพราะ สมองเป็น ป็ อวัยวะที่ sensitive ต่อความร้อร้น


Click to View FlipBook Version