The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เพื่อนำเสนอนิทานพื้นบ้านภาคอีสาน

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by tibetteerapat, 2022-01-18 09:36:04

รายงานนิทานพื้นบ้านภาคอีสาน

เพื่อนำเสนอนิทานพื้นบ้านภาคอีสาน

รายงาน

เรื่อง นิทานพ้ืนบา้ นภาคอีสาน

จดั ทำโดย

เดก็ ชายปฐมฤกษ์ เอกอุฬารพนั ธ์ เลขที่ ๗
เดก็ ชายภทั รกร มนั ตะ เลขที่ ๑๓
เดก็ ชายธีรภทั ร อ่อนใจ เลขที่ ๑๖
เดก็ ชายพงศภคั เลิศรัศมี เลขที่ ๑๘

เดก็ ชายนฐั ธนกฤษต์ ไหมอินทร์ เลขที่ ๒๐

ช้นั มธั ยมศึกษาปี ท่ี ๑.๓

เสนอ

นางสาวสุวณิชย์ ศิริจนั ทร์

รายงานน้ีเป็นส่วนหน่ึงของการเรียนวชิ า ท ๒๑๑๗๑ ภาษาไทย
ภาคเรียนท่ี ๒ ปี การศึกษา ๒๕๖๔
โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม



คำนำ

รายงานเรอ่ื งนทิ านพน้ื บา้ นภาคอสี านฉบบั น้ี เป็ นสว่ นหนงึ่ ของ

วชิ าภาษาไทย ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปีที่ ๑ โดยมจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื ศกึ ษา

รวบรวม และวเิ คราะหค์ ณุ คา่ ทไี่ ดร้ ับจากนทิ านพนื้ บา้ นภาคอสี าน

รายงานนม้ี เี นอื้ หาประกอบไปดว้ ย ขอ้ มลู พน้ื ฐานภาคอสี าน ศลิ ปและ

วฒั นธรรมของภาคอสี าน ประเพณีสําคญั ของภาคอสี าน และนทิ าน

พน้ื บา้ นภาคอสี าน จำนวน ๕ เรอื่ ง พรอ้ มขอ้ คดิ คตสิ อนใจ ซง่ึ ไดค้ น้ ควา้

และรวบรวมจากแหลง่ ขอ้ มลู ตา่ งๆ

ผจู ้ ัดทำหวงั เป็ นอยา่ งยงิ่ วา่ รายงานเลม่ นจ้ี ะใหค้ วามรู ้ และเป็ น

ประโยชนก์ บั ผอู ้ า่ นทกุ ทา่ น ทก่ี ำลงั หาขอ้ มลู เรอื่ งนอี้ ยู่ หากมขี อ้ เเนะนำ

หรอื ขอ้ ผดิ พลาดประการใด ผจู ้ ัดทำขออภยั มา ณ ทนี่ ด้ี ว้ ย

ปฐมฤกษ์ เอกอฬุ ารพันธ์ และคณะ

สารบญั ข

เรอื่ ง หนา้

คำนำ ก
สารบญั ข
ขอ้ มลู พน้ื ฐานของภาคอสี าน ๑
ศลิ ปะและวฒั นธรรมของภาคอสี าน ๓
ประเพณีทอ้ งถนิ่ ภาคอสี าน ๔
นทิ านพน้ื บา้ นภาคอสี าน

๑. เรอ่ื ง ตำนานผาแดงนางไอ่ ๙
๒. เรอื่ ง พญาคนั คาก ๑๐
๓. เรอื่ ง กอ่ งขา้ วนอ้ ยฆา่ แม่ ๑๑
๔. เรอื่ ง ยายหมาขาว ๑๒
๕. เรอ่ื ง ป่ ปู ะหลาน ๑๔
บรรณานุกรม

1

ขอ้ มลู พ้ืนฐานของภาคอีสาน

ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ หรือภาคอีสาน ประกอบดว้ ย ๒0 จงั หวดั ไดแ้ ก่ กาฬสินธุ์ ขอนแก่น
ชยั ภมู ิ นครพนม นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม มุกดาหาร ยโสธร ร้อยเอด็ เลย ศรีสะเกษ สกลนคร
สุรินทร์ หนองคาย หนองบวั ลำภู อำนาจเจริญ อุดรธานี อุบลราชธานี และบึงกาฬ

มีพ้ืนท่ีประมาณ ๑๗0,๒๒๖ ตารางกิโลเมตร หรือ ๑ ใน ๓ ของพ้ืนท่ีท้งั ประเทศ ต้งั อยบู่ น
ท่ีราบสูง โคราช ภมู ิประเทศ ท้งั ภาคยกตวั สูงเป็นขอบแยกตวั ออกจากภาคกลางอยา่ งชดั เจน ประกอบดว้ ย
เทือกเขาสูงทางทิศตะวนั ตกและทิศใต้ เทือกเขาท่ีตะวนั ตกมีความสูงเฉลี่ย ๕00 ถึง ๑,000 เมตร เหนือระดบั
น้ำทะเล มียอดเขาที่สูงท่ีสุดในภาคอีสานคือ ยอดภหู ลวง มีความสูง ๑,๕๗๑ เมตร และภกู ระดึงสูง ๑,๓๒๕
เมตร เป็นแหล่งตน้ น้ำของแม่น้ำหลายสาย ไดแ้ ก่ แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำชี และลำตะคอง
ทางดา้ นทิศใต้ มีเทือกเขาสนั กำแพง และเทือกเขาพนมดงรัก ก้นั ระหวา่ งภาคอีสานของไทย กบั กมั พชู า และ
ลาว มีความสูงเฉลี่ย ๔00 ถึง ๗00 เมตร ยอดเขาเขียวเป็นยอดเขาท่ีสูงที่สุดอยทู่ างตอนใต้ สูงประมาณ
๑,๒๙๒ เมตร ส่วนตอนกลางของภาค มีเทือกเขาภพู าน ทอดตวั จากเหนือลงสู่ทิศใต้ แบ่งภาคอีสานออกเป็น
๒ ส่วน คือ แอ่งโคราช คือบริเวณแถบลุ่มแม่น้ำชีและแม่น้ำมลู มีพ้ืนท่ี ๓ ใน ๔ ของภาคอีสานท้งั หมด แอ่ง
สกลนคร คือบริเวณตอนเหนือของเทือกเขาภพู าน และบริเวณที่ราบลุ่มน้ำโขง

แมว้ า่ ชาวอีสานท่ีอาศยั อยใู่ นที่ราบสูงโคราชน้ีจะประกอบดว้ ยกลุ่มชนหลายเผา่ เช่น ชาวไทย อีสาน
ลาว เวยี ดนาม(ญวน) เขมร สวย(กยุ ) แสก ยอ้ ภไู ท กะโส้ (โซ่) รวมท้งั ไทยโคราช ซ่ึงแต่ละเผา่ มีความแตก
ต่างกนั ท้งั ทางดา้ นภาษา ศิลปะวฒั นธรรมประเพณี วธิ ีการดำเนินชีวติ และวถิ ีชีวติ ความเป็นอยทู่ ่ียดึ มน่ั อยใู่ น
จารีตประเพณี ท่ีเรียกวา่ “ฮีตบา้ นคองเมือง” และ “ฮีตสิบสอง คองสิบส่ี” สอนใหเ้ กิดการช่วยเหลือเก้ือกลู ซ่ึง
กนั และกนั ร่วมกิจกรรมสงั คมและงานบุญงานกศุ ลเป็นประจำ ทำใหก้ ารใชช้ ีวติ อยรู่ ่วมกนั ของกลุ่มชนต่างๆ
เหล่าน้ีมีความสงบสุขตลอดมาตากทุกปัจจุบนั

ดว้ ยนิสยั ขยนั ขนั แขง็ และสุขภาพร่างกายท่ีสมบูรณ์ จิตใจผอ่ งใสอ่อนโยน แลว้ เวลาที่วา่ งจากการทำ
นา จึงคิดคน้ สร้างสรรคง์ านศิลป์ ในรูปแบบต่างๆ เช่น ผา้ ไหมลายสวย ผา้ ฝ้ ายทอมือที่นบั วนั จะหายาก
ขา้ วของเคร่ืองใช้ เคร่ืองจกั สาน และเคร่ืองป้ันดินเผา เดิมผลิตเพื่อใชเ้ องในครัวเรือน และแลกเปลี่ยน
ระหวา่ งกนั ในชุมชน ต่อมาผลิตไดเ้ ป็นจำนวนมาก จึงนำออกจำหน่ายสร้างรายไดแ้ ก่ครอบครัวอีกทางหน่ึง
ความอุดมสมบูรณ์ดว้ ยธรรมชาติท่ีสวยงามบนยอดเขาสูงหลายแห่ง แหล่งรวมอารยธรรมโบราณนบั พนั ปี ท่ี

2

ทรงคุณค่าทางประวตั ิศาสตร์ ตลอดจนวฒั นธรรมพ้ืนบา้ น วถิ ีชีวติ ท่ีเรียบง่าย และความมีน้ำใจของชาวอีสาน
ยงั คงเป็นเสน่ห์ท่ีมดั ใจ ใหน้ กั ท่องเท่ียวเดินทางมาเยอื นภาคอีสานอยา่ งต่อเนื่อง

อาณาเขต
ทิศเหนือ - ติดสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศตะวนั ออก - ติดแม่น้ำโขง ฝั่งตรงขา้ มแม่น้ำโขง คือ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว
ทิศใต้ - ติดประเทศกมั พชู า โดยมีเทือกเขาพนมดงรักก้นั เขตแดน
ทิศตะวนั ตก - ปิ ดภาคกลางและบางส่วนของภาคเหนือ

การแบ่งเขตการปกครอง
ภาคอีสานตอนบน : กาฬสินธุ์ ขอนแก่น นครพนม มหาสารคาม มุกดาหาร ร้อยเอด็ สกลนคร
หนองคาย หนองบวั ลำภู อุดรธานี เลย
ภาคอีสานตอนล่าง : ชยั ภมู ิ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อำนาจเจริญ
อุบลราชธานี บึงกาฬ ( แบ่งตามที่ต้งั ภาคอีสานตอนบนต้งั อยบู่ นแอ่งสกลนคร ส่วนภาคอีสานตอนล่างต้งั อยู่
บนแอ่งโคราช)

ประชากร
ดว้ ยความที่ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ มีขนาดพ้ืนท่ีมากท่ีสุดของประเทศไทย ทำใหม้ ีประชากรมาก
ท่ีสุด และมีความหลากหลายทางดา้ นกลุ่มชาติพนั ธุ์ ประชากรกลุ่มท่ีใหญ่ที่สุดของภมู ิภาค คือ ชาวไทยอีสาน
ซ่ึงกค็ ือประชากรทว่ั ไปที่อาศยั อยใู่ นภาคอีสานและใชภ้ าษาไทยอีสานเป็นภาษาพดู หลกั นอกจากน้ีกจ็ ะมี
กลุ่มชนเผา่ ต่างๆอีกมากมาย เช่น ชาวภไู ท ไทโซ่ กะเลิ้ง แสก กลุ า ญวน (คือ ชาวเวยี ดนามท่ีอพยพเขา้ มา
อาศยั อยใู่ นประเทศไทยต้งั แต่สมยั สงครามเวยี ดนาม) ลาว ฯลฯ กลุ่มคนเหล่าน้ีจะมีภาษาพดู เป็นของตวั เอง
สามารถส่ือสารภาษาไทยอีสานได้ (เดินพดู ภาษาไทยอีสานไดเ้ ป็นบางคนเท่าน้นั ) และในปัจจุบนั ประชากร
ของเผา่ ต่าง ๆ กย็ งั สามารถพดู ภาษาไทยกลางไดอ้ ยดู่ ว้ ย

3

ศิลปะและวฒั นธรรมของภาคอีสาน

ศิลปะและวฒั นธรรมของภาคอีสานโดยภาพรวมมีดงั น้ี
การทอผา้ มีการสืบทอดการทอผา้ ต่อๆกนั มาไม่ขาดสาย ชนิดของผา้ เป็นประเภทผา้ ไหม และผา้ ฝ้ าย

เช่น ผา้ ไหมมดั หมี่ (หมายเหตุ คำวา่ มดั หมี่ คือ กรรมวธิ ีทอผา้ ชนิดหน่ึง โดยวธิ ีการมดั เสน้ ดา้ ยก่อนนำมา
ยอ้ มสีเพื่อนำไปทอเป็นผา้ ต่อไป)

เพลงพ้ืนบา้ น แบ่งแยกไดเ้ ป็น ๒ ประเภทคือ เพลงพิธีกรรม และ เพลงการละเล่น
๑) เพลงพิธีกรรม ไดแ้ ก่ เพลงท่ีใชใ้ นการขบั ประกอบพิธีบวงสรวงเซ่นไหวห้ รือใชป้ ระกอบในการ
แสดงหรือเทศนาธรรม เช่น ลำพระเวส (เทศนเ์ ร่ืองพระเวสสนั ดรชาดกหรือเทศนม์ หาชาติ) หรือเเรียกวา่
เทศนแ์ หล่, ลำผฟี ้ า ซ่ึงเป็นพิธีกรรมเพื่อรักษาคนป่ วย และเพลงท่ีใชป้ ระกอบพิธีบายศรีสู่ขวญั
๒) เพลงการละเล่น มีหมอลำพ้ืน หมอลำกลอน หมอลาํ เพลิน และเพลงโคราชเป็นตน้
การฟ้ อนรำ ประเภทฟ้ อนรำใชใ้ นพิธีกรรม ไดแ้ ก่ ฟ้ อนผฟี ้ า, ฟ้ อนภไู ท, ฟ้ อนไทยดำ, เซิ้งบ้งั ไฟ, รำ
บายศรี เป็นตน้
เคร่ืองดนตรีอีสาน เคร่ืองเป่ า ไดแ้ ก่ แคน, โหวด และปี่ ไสล เคร่ืองดีด ไดแ้ ก่ พิณ, กระจบั ป่ี และ
เครื่องสี เช่น ซอกนั ตรึม เป็นตน้
อาหารประจาํ ถิ่นภาคอีสาน อาหารประจำถ่ินยอดนิยมภาคอีสาน คือ สม้ ตำ ทำจากมะละกอดิบ น้ำ
มาสบั เป็นเสน้ ๆ ปรุงรสจดั นอกจากน้นั กม็ ี ปลาร้า, ไสก้ รอกอีสาน, ลาบ, กอ้ ย, แกงผกั หวาน, แกงอ่อม, ผดั
หมี่โคราช เป็นตน้
ประเพณีพิธีกรรม ประเพณีที่โดดเด่นของภาคอีสาน คือ บุญบ้งั ไฟ ซ่ึงนิยมทำกนั ในเดือน ๖ จุด
ประสงคเ์ พื่อขอใหฝ้ นตกตามฤดูกาล และเป็นการบวงสรวงบูชาเทวดารักษาบา้ นรักษาเมือง ตำนานบุญ
บ้งั ไฟ เล่าสืบต่อกนั มาวา่ ในสมยั ก่อนพทุ ธกาล มีผมู้ ีบุญชื่อวา่ พญาคนั คาก เป็นที่นบั ถือของชาวบา้ นชาว
เมืองมากจนทำให้ พญาแถน ซ่ึงเป็นเทพเจา้ แห่งฝน เกิดความอิจฉาไม่ชอบใจ กินไดบ้ นั ดาลใหฝ้ นไม่ตกเป็น
เวลา ๘ ปี ๘ เดือน พญาคนั คาก ไดส้ ูร้ บกบั พญาแถน และสามารถรบชนะพญาแถน โดยพญาแถนที่พา่ ยแพ้
ตอ้ งทำสญั ญาต่อ พญาคนั คาก วา่ เม่ือถึงเดือน ๖ ถา้ มนุษยจ์ ุดบ้งั ไฟข้ึนเป็นสญั ญาณ พญาแถน ตอ้ งปล่อย
น้ำลงมา

4

ประเพณีทอ้ งถิ่นภาคอีสาน

ประเพณีลว้ นไดร้ ับอิทธิพลมาจากสิ่งแวดลอ้ มภายนอกที่เขา้ สู่สงั คมรับเอาเป็นแบบปฏิบตั ิที่หลาก
หลายเขา้ มาผสมผสานในการดำเนินชีวติ ประเพณีจึงเรียกไดว้ า่ เป็น วถิ ีแห่งการดำเนินชีวติ ของสงั คม โดย
เฉพาะศาสนาซ่ึงมีอิทธิพลต่อประเพณีไทยมากท่ีสุด วดั วาอารามต่างๆในประเทศไทยสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึง
อิทธิพลของพทุ ธศาสนาท่ีมีต่อสงั คมไทย และช้ีใหเ้ ห็นวา่ ชาวไทยใหค้ วามสำคญั ในการบำรุงพทุ ธศาสนา
ดว้ ยศิลปกรรมท่ีงดงามเพื่อใชใ้ นพิธีกรรมทางศาสนาต้งั แต่โบราณกาล เป็นตน้

ประเพณีท่ีสำคญั ของภาคอีสานมีดงั น้ี
๑. ประเพณี ฮีตสิบสอง ของจงั หวดั กาฬสินธุ์ คำวา่ “ฮีต” หมายถึง จารีต ขนบธรรมเนียมประเพณี
แบบแผนฮีตที่ถือปฏิบตั ิกนั อยู่ ๑๒ อยา่ ง ภาษาพ้ืนบา้ นเรียกวา่ “บุญ” ดงั น้ี
- บุญขา้ วกรรม เก่ียวกบั พระภิกษุตอ้ งอาบตั ิสงั ฆาทิเสส ตอ้ งอยกู่ รรมจึงจะพน้ อาบตั ิ ถือวา่ เป็นผู้
บริสุทธ์ิในระหวา่ งภิกษุเขา้ กรรม ญาติ โยม สาธุชน ผหู้ วงั บุญกศุ ล จะไปร่วมทำบุญบริจาคทาน รักษาศีล
เจริญภาวนา แลว้ ฟังธรรม เป็นการร่วมทำบุญระหวา่ งพระภิกษุ สามเณร และชาวบา้ น กำหนดวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ
เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ “บุญเดือนอา้ ย”
- บุญคูณลาน จะทำที่วดั หรือที่บา้ นกไ็ ด้ โดยชาวบา้ นจะเอาขา้ วมารวมกนั แลว้ นิมนตพ์ ระภิกษุมา
เจริญพระพทุ ธมนต์ จดั น้ำอบน้ำหอมไวป้ ระพรม มว้ นดา้ ยสายสิญจนบ์ ริเวณรอบกองขา้ ว ตอนเชา้ มีการ
ถวายอาหาร บิณฑบาต และนำเอาน้ำพระพทุ ธมนตไ์ ปรดกองขา้ ว ถา้ ทำท่ีบา้ นเรียกวา่ “บุญกมุ้ ขา้ ว” กำหนด
ในเดือนย่ี เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ “บุญเดือนย”่ี
- บุญขา้ วจ่ี เดือน ๓ บา้ นนิยมทำบุญขา้ วจี่ เพ่ือถวายพระ เป็นการละทานชนิดหน่ึง และถือวา่ ไดร้ ับ
อานิสงส์มากงานหน่ึง กำหนดทำบุญในเดือนสาม
- บุญพระเวส บุญที่มีการเทศนพ์ ระเวส หรือบุญมหาชาติ หนงั สือมหาชาติเป็นหนงั สือชาดกท่ี
แสดงจริยวตั รของพระพทุ ธเจา้ เมื่อเสวยชาติเป็นพระเวสสนั ดร กำหนดทำบุญเดือนส่ี จึงเรียกอีกอยา่ งหน่ึง
วา่ “บุญเดือนส่ี”
- บุญสรงน้ำ มีการรดน้ำ หรือสรงน้ำพระพทุ ธรูป พระสงฆ์ และผหู้ ลกั ผใู้ หญ่ มีการทำบุญทำทาน
เรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่ “บุญตรุษสงกรานต”์ กำหนดทำบุญในเดือนหา้

5

- บุญบ้งั ไฟ ก่อนทำนาชาวบา้ นในจงั หวดั ในภาคอีสาน จะมีการฉลองอยา่ งสนุกสนาน โดยการจุด
บ้งั ไฟ เพื่อไปบอกพญาแถน เช่ือวา่ จะทำใหฝ้ นตกถกู ตอ้ งตามฤดูกาล มีการตกแต่งบา้ นใหส้ วยงาม นำมา
ประกวดแห่แข่งขนั กนั ในวนั รุ่งข้ึน กำหนดทำบุญในเดือนหก

- บุญซำฮะ ซำฮะ คือ การชำระลา้ งสิ่งสกปรกใหส้ ะอาดหมดจด เมื่อถึงเดือน ๗ ชาวบา้ นจะร่วมกนั
ทำบุญโดยยดึ เอา “ผาม หรือศาลากลางบา้ น” เป็นสถานท่ีทำบุญ ชาวบา้ นจะเตรียมดอกไมธ้ ูปเทียน โอน้ำ
ฝ้ ายใน ไหมหลอด ฝ้ ายผกู แขน แห่ทรายมารวมกนั ท่ี ถามหรือศาลากลางบา้ น ตอนเยน็ นิมนตพ์ ระสงฆม์ า
เจริญพระพทุ ธมนต์ นอนเชา้ ถวายอาหาร เมื่อเสร็จพิธีทุกคนจะทำน้ำพระพทุ ธมนต์ ฝ้ ายผกู แขน แห่ซา้ ยของ
ตนกลบั บา้ น นำน้ำมนตไ์ ปรดลกู หลาน ทราบนำไปหวา่ นรอบบา้ น ฝ้ ายผกู แขนนำไปผกู ขอ้ มือลกู หลาน
เพ่ือใหเ้ กิดสวสั ดีมงคลตลอดไป ถา้ มีการเจบ็ ไขไ้ ดป้ ่ วยตอ้ งมีการสวดถอด เป็นตน้ กำหนดทำบุญในเดือน
เจด็

- บุญเขา้ พรรษา เทศกาลเขา้ พรรษาเป็นเวลาที่พระภิกษุสงฆจ์ ะตอ้ งบำเพญ็ ไตรสิกขา ศีล สมาธิ
ปัญญา ใหบ้ ริบูรณ์ ส่วนพฤหสั บดีกจ็ ะตอ้ งบำเพญ็ บุญกิริยาวตั ถุ ๓ คือ ทาน ศีล ภาวนา ใหเ้ ตม็ เป่ี ยม ตอนเชา้
ญาติโยมจะนำอาหารมาถวายพระภิกษุ ตอนบ่ายนำดอกไมธ้ ูปเทียน ขา้ วสาร ผา้ อาบน้ำฝน รวมกนั ที่ศาลาวดั
ตอนเยน็ ญาติโยมพากนั มาทำวตั รเยน็ แลว้ ฟังเทศน์ กำหนดวนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ จึงเรียกอีกอยา่ งหน่ึงวา่
“บุญเดือนแปด”

- บุญขา้ วประดบั ดิน ห่ออาหาร และของขบเค้ียวเป็นห่อๆ แลว้ นำไปถวายวางแบไวก้ บั ดิน จึงเรียก
วา่ “บุญขา้ วประดบั ดิน” ชาวบา้ นจะจดั อาหารคาว หวาน และหมากพลู บุหรี่ กะวา่ ใหไ้ ด้ ๔ ส่วน

ส่วนท่ี ๑ เล้ียงดูกนั ในครอบครัว
ส่วนที่ ๒ แจกใหญ้ าติพ่ีนอ้ ง
ส่วนที่ ๓ อุทิศไปใหญ้ าติที่ตาย
ส่วนที่ ๔ นำไปถวายพระสงฆ์
ทำเป็นห่อใหไ้ ดพ้ อควร โดยนำใบตองกลว้ ยมาห่อของคาว หวาน หมากพลู บุหร่ี แลว้ เยบ็ รวมกนั
เป็นห่อใหญ่ ในระหวา่ ง เชา้ มืดในวนั รุ่งข้ึนจะนำห่อเหล่าน้ีไปวางไวบ้ ริเวณวดั ดว้ ยถือวา่ ญาติพ่ีนอ้ งจะมารับ
ของที่นนั่ ตอนเชา้ ทำอาหารอีกส่วนหน่ึงไปถวายพระ ฟังพระธรรมเทศนา เสร็จแลว้ ทำพิธีอุทิศส่วนกศุ ลให้
แก่ญาติผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ กำหนดทำบุญในเดือนเกา้
- บุญขา้ วสาก ญาติโยมจะจดั อาหารเป็นห่อ ๆ แลว้ นำไปแขวนไวต้ ามตน้ ไม้ โดยทำการในตอน

6

กลางวนั ก่อนเพล เป็นอาหาร คาว หวาน พอถึงเวลา ส่ีโมงเชา้ พระสงฆจ์ ะตีกลองโฮม ญาติโยมจะนำพา
ขา้ วของตน้ มารวมกนั ณ ศาลาการเปรียญ เจา้ ภาพจะเขียนชื่อลงในกระดาษมว้ นลงในบาตร เม่ือพร้อมแลว้
หวั หนา้ กล่าวนำคำถวายสลากภตั ร จบแลว้ ยกบาทสลากไปใหพ้ ระจบั ถกู ช่ือใคร กใ็ หไ้ ปถวายพระองคน์ ้นั
ก่อนจะถวายพาขา้ ว ใหน้ ำพาขา้ ว ๑ พา มาวางหนา้ พระเถระ แลว้ ใหพ้ ระเถระ กล่าวคำอุปโลกน์ กำหนดบุญ
ขา้ วสากนิยมทำกนั ในเดือนสิบ

- บุญออกพรรษา การทำบุญออกพรรษาน้ี เป็นการเปิ ดโอกาสใหพ้ ระภิกษุสงฆว์ า่ กล่าวตกั เตือนกนั
พระภิกษุสงฆ์ สามารถเดินทางไปอบรมศีลธรรม หรือไปเยย่ี ม ถามข่าวคราวญาติพ่ีนอ้ งได้ และพระภิกษุ
สงฆส์ ามารถหาผา้ มาผลดั เปล่ียนได้ เม่ือถึงวนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ต้งั แต่เชา้ มืดจะมีการตีระฆงั ใหพ้ ระสงฆ์
ไปรวมกนั ท่ีโบสถแ์ สดงอาบตั ิเชา้ จบแลว้ มีการปวารณา คือเปิ ดโอกาสใหพ้ ระภิกษุสงฆด์ ว้ ยกนั วา่ กล่าว
ตกั เตือนกนั ได้ กำหนดบุญออกพรรษาในเดือนสิบเอด็

- บุญกฐิน ผา้ ที่ใชส้ ะดึงทำเป็นกรอบขึงเยบ็ จีวร เรียกวา่ ผใู้ ดศรัทธา ปรารถนาจะถวายผา้ กฐิน ณวดั
ใดวดั หน่ึง ใหเ้ ขียนสลาก (ใบจอง) ไปติดไวท้ ี่ผนงั โบสถ์ อยศู่ าลาวดั ท้งั น้ีเพ่ือไม่ใหผ้ อู้ ่ืนจองทบั เม่ือถึงวนั
กำหนด กบ็ อกญาติโยมใหม้ าร่วมทำบุญ มีมหรสพสมโภช และฟังเทศน์ รุ่งเชา้ กน็ ำผา้ กฐินไปทอดถวายท่ีวดั
เป็นอนั เสร็จพิธี กำหนดทำบุญระหวา่ งวนั แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึง วนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒

๒. งานเทศกาลไหม และประเพณีผกู เสี่ยว จงั หวดั ขอนแก่น
ช่วงเวลา : วนั ที่ ๒๙ พฤศจิกายน - ๑๐ ธนั วาคมของทุกปี
งานเทศกาลไหม เป็นงานที่จงั หวดั ขอนแก่นไดจ้ ดั ข้ึนทุกปี เริ่มต้งั แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๒ จนถึง

ปัจจุบนั โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อส่งเสริมอาชีพการทอผา้ มีหน่วยงานท้งั ภาครัฐและเอกชนร่วมออกร้านแสดง
ผลิตภณั ฑแ์ ละจำหน่ายสินคา้ พ้ืนเมือง (ผา้ ไหม) และของที่ระลึกอื่นๆ นอกจากน้ียงั มีการแสดงเพื่อฟ้ื นฟแู ละ
ส่งเสริมศิลปวฒั นธรรมทอ้ งถิ่น

ประเพณีผกู เส่ียว เป็นประเพณีสำคญั ท่ีจดั ข้ึนพร้อมกนั กบั งานเทศกาลไหม โดยมีวตั ถุประสงค์
เพ่ือใหค้ นในทอ้ งถิ่นและคนในชาติมีความรักใคร่กลมเกลียว สมคั รสมานสามคั คีและช่วยเหลือเก้ือกลู กนั
คำวา่ “เสี่ยว” เป็นภาษาถ่ินอีสาน แปลวา่ มิตรแท้ เพื่อนแท้ เพื่อนตาย มีความผกู พนั ชื่อสตั ย์ และจริงใจต่อ
กนั

พิธีกรรม อุปกรณ์ท่ีสำคญั มีพานบายศรี อาจเป็นบายศรี ๓ ช้นั ๕ ช้นั หรือ ๗ ช้นั และมีเครื่อง
ประกอบอีกหลายอยา่ ง คือ สุรา ๑ ขวด ไข่ไก่ตม้ ๑ ฟอง ขา้ วตม้ มดั ๔ ห่อ กลว้ ยสุก ๔ ผล ขา้ วเหนียวน่ึง ๑

7

ป้ัน ใบพืชที่เป็นมงคล เช่น ใบคูณ ใบเงิน ใบทอง ใบยอ ดอกรัก และท่ีขาดไม่ไดค้ ือ ฝ้ ายผกู แขน งานบายศรี
สู่ขวญั ทำเน่ืองในโอกาสต่างๆ เช่น งานมงคลสมรส มีบุตรใหม่ ข้ึนบา้ นใหม่ การเลื่อนยศ การบวชนาค

๓. ประเพณีไหลเรือไฟ จงั หวดั นครพนม ช่วงเวลา : วนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงวนั แรม ๑ ค่ำ เดือน
๑๑ (ประมาณเดือนตุลาคม) เพื่อบูชารอยพระพทุ ธบาทท่ีประทบั ไวร้ ิมฝั่งแม่น้ำนมั มทานาที ในแควน้
ทกั ษิณาบทประเทศอินเดีย เพ่ือบูชาทา้ วผกาพรหม เพ่ือขอขมาลาโทษแม่น้ำที่เราทำใหส้ กปรก เพื่อเอาไฟเผา
ความทุกขใ์ หห้ มดไปแลว้ ลอยไปกบั แม่น้ำ

๔. ประเพณีแห่ปราสาทผ้งึ จงั หวดั สกลนคร ช่วงเวลา : เทศกาลวนั ออกพรรษา วนั ข้ึน ๑๕ ค่ำ เดือน
๑๑ งานแห่ปราสาทผ้งึ ในเทศกาลออกพรรษาของชาวอีสาน แมว้ า่ จะมีอยทู่ วั่ ไปในหลายจงั หวดั แต่กไ็ ม่จดั
ใหญ่โตและปฏิบตั ิต่อเนื่องเช่นของเมืองสกลนคร การพฒั นารูปแบบปราสาททรงโบราณเป็นทรงตะลุ่ม
ทรงหอผ้งึ แบบโบราณ รูปแบบปราสาทผ้งึ ทำดว้ ยไมไ้ ผเ่ หลาเป็นเสน้ หรืออาจทำดว้ ยโครงไมร้ ะแนงมีดอก
ท่ีประดบั ตามกาบกลว้ ย ซ่ึงใชศ้ ิลปะการแทงหยวก เนน้ ความประณีตในการตกแต่งลวดลาย ประเพณี
ปราสาทผ้งึ สาระสำคญั อยทู่ ี่ความรู้สึก จิตใจท่ีไดป้ ฏิบตั ิงานตามจารีตประเพณีเกิดความมน่ั คงทางจิตใจเป็น
สำคญั เกิดบุญกศุ ล

๕. ประเพณีข้ึนเขาพนมรุ้ง จงั หวดั บุรีรัมย์ ช่วงเวลา : เดือนเมษายนของทุกปี (วนั เพญ็ เดือนหา้ )
ประเพณีข้ึนเขาพนมรุ้งเร่ิมข้ึนเป็นคร้ังแรก เม่ือปี พ.ศ. ๒๔๘๑ โดยความคิดริเริ่มของท่านเจา้ คุณโอภาส
ธรรมญาณ จากวดั ท่าประสิทธ์ิ จงั หวดั สุรินทร์ ซ่ึงเดินทางมาเพ่ือปฏิบตั ิธรรมวปิ ัสสนากรรมฐานท่ีเขาพนม
รุ้ง ซ่ึงขณะน้นั ยงั ไม่มีทางข้ึนสู่ตวั ประสาท ผทู้ ี่สนใจอยา่ งช่ืนชมปราสาทต่างคนต่างข้ึนมาเองโดยไม่กำหนด
เวลา ท่านเจา้ คุณโอภาสธรรมญาณ เห็นวา่ ประเพณีข้ึนเขาเป็นส่ิงดี เพ่ือใหป้ ระชาชนไดร้ ่วมกนั ทำบุญพบปะ
สงั สรรค์ สร้างความสามคั คีแลว้ มีโอกาสไดพ้ กั ผอ่ นหยอ่ นใจอินด้ีเริ่มจดั งานประเพณีข้ึนเขาพนมรุ้งข้ึน

นิทานพ้ืนบา้ นภาคอีสาน

๑. เรื่อง ตาํ นานผาแดงนางไอ่

นิทานพ้ืนบา้ นภาคอีสาน ผาแดงนางไอ่ อดีตกาลผา่ นมาไกลโพน้ ยงั มีเมืองอยเู่ มืองหน่ึงช่ือ “นคร
เอกชะทีตา” มีพระยาขอบเป็นกษตั ริยป์ กครองเมืองดว้ ยความร่มเยน็ พระยาขอมมีพระธิดา ซ่ึงมีพระสิริโฉม

8

งดงามพระนามวา่ “นางไอ่คำ” ซ่ึงเป็นท่ีรักและหวงแหนมาก จึงสร้างปราสาท ๗ ฉนั ใหอ้ ยพู่ ร้อมเหล่าสนม
กำนลั คอยดูแลอยา่ งดี

ขณะเดียวกนั ยงั มีเมืองอีกเมืองหน่ึงชื่อ “เมืองผาโพง” มีเจา้ ชายนามวา่ “ทา้ วผาแดง” เป็นกษตั ริย์
ปกครองอยู่ ทา้ วผาแดงแห่งเมืองผาพงุ ไดย้ นิ กิตติศพั ทค์ วามงามของธิดาไอ่คำมาก่อนแลว้ ใคร่อยากเห็น
หนา้ จึงปลอมตวั เป็นพอ่ คา้ พเนจร ถึงนครเอกชะทีตา และติดสินบนนางสนมกำนลั ใหน้ ำของขวญั ลอบ
เขา้ ไปใหน้ างไอ่คำ ดว้ ยผลกรรมท่ีผกู พนั กนั มาแต่ชาติปางก่อน นางไอ่คำกบั ทา้ วผาแดง จึงไดม้ ีใจปฏิพทั ธ์
ต่อกนั จนในท่ีสุดท้งั สองกไ็ ดอ้ ภิรมยส์ มรักษก์ นั

ซ่ึงก่อนทา้ วผาแดงจะจากไป เมื่อจดั ขบวนขนั หมากมาสู่ขอ ท้งั สองไดค้ ร่ำครวญต่อกนั ดว้ ยความ
อาลยั ยง่ิ วนั เวลาผา่ นไปถึงเดือน ๖ เป็นประเพณีแต่โบราณของเมืองเอกชะทีตาิจะตอ้ งมีการทำบุญบ้งั ไฟ
บูชาพญาแถนพระยาขอม จึงไดป้ ระกาศบอกไปตามหวั เมืองต่างๆวา่ “บุญบ้งั ไฟปี น้ีจะเป็นการหาผทู้ ่ีจะมา
เป็นลกู เขย ขอใหเ้ จา้ ชายหวั เมืองต่างๆ จดั ทำบ้งั ไฟมาจุดแข่งขนั กนั ผใู้ ดชนะกจ็ ะไดอ้ ภิเษกกบั พระธิดาไอ่คำ
ดว้ ย” ข่าวน้ีไดร้ ่ำลือไปทวั่ สารทิศ ทุกเมืองในขอบเขตแวน่ แควน้ ต่างกส็ ่งบ้งั ไฟเขา้ มาแข่งขนั เช่น เมืองฟ้ า
แดดสูงยาง เมืองเชียงเหียน เชียงทอง แมก้ ระทงั่ พญานาคใตเ้ มืองบาดาลกใ็ จไม่ไหว ปลอมตวั เป็นกระรอก
เผอื กมาดูโฉมงามนางไอ่คำดว้ ยในวนั งานบุญบ้งั ไฟ

เมื่อถึงวนั แข่งขนั จุดบ้งั ไฟ ปรากฏวา่ บ้งั ไฟทา้ วผาแดงจุดไม่ข้ึน พน่ ควนั ดำอยถู่ ึง ๓ วนั ๓ คืน จึง
ระเบิดแตกออกเป็นเส่ียงทำใหค้ วามหวงั ทา้ วผาแดงหมดสิ้นลง ขณะเดียวกนั ทา้ วพงั คีพญานาค ท่ีปลอมเป็น
กระรอกเผอื ก มีกระด่ิงผกู คอน่ารัก มาใส่เตน้ ไปมาอยบู่ นยอดไมข้ า้ งปราสาทนางไอ่คำ กป็ รากฏร่างใหน้ าง
ไอ่คำเห็น นางจึงคิดอยากไดม้ าเล้ียงแต่แลว้ กจ็ บั ไม่ได้ จึงบอกใหน้ ายพรานยงิ เอาตวั ตายมา ในท่ีสุดกระรอก
เผอื กพงั คีกถ็ กู ยงิ ดว้ ยลกู ดอกจนตาย ก่อนตายทา้ วพงั คีไดอ้ ธิษฐานไวว้ า่ “ขอใหเ้ น้ือของขา้ ไดแ้ ปดพนั เกวยี น
คนท้งั เมืองอยากไดก้ ินหมดเกล้ียง” จากน้นั ร่างของกระรอกเผอื กกใ็ หญ่ข้ึน จนผคู้ นแตกตื่นมาดูกนั และ
จดั การแลกเน้ือแบ่งกนั ไปกินทว่ั เมืองดว้ ยวา่ เป็นอาหารทิพย์ ยกเวน้ แต่พวกแม่ม่ายที่ชาวเมืองรังเกียจ ไม่แบ่ง
เน้ือกระรอกให้

พญานาคแห่งเมืองบาดาลทราบข่าวทา้ วพงั คีถกู มนุษยฆ์ ่าตาย แล่เน้ือไปกินกนั ท้งั เมือง จึงโกรธแคน้
ยง่ิ นกั ดึกสงดั ของคืนน้นั ขณะท่ีชาวเมืองชะทีตากำลงั หลบั ไหล เหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันกเ็ กิดข้ึน ทอ้ งฟ้ าคร้ึม
ไปดว้ ยพายฝุ นฟ้ ากระหน่ำลงมาอยา่ งหนกั ฟ้ าแลบอยมู่ ิไดข้ าด แผน่ ดินเริ่มถล่มยบุ ตวั ลงไปทีละนอ้ ย
ท่ามกลางเสียงหวดี ร้องของผคู้ นที่วงิ่ หนีตาย เหลา้ พญานาคผดุ ข้ึนมานบั หมื่นนบั แสนตวั ถล่มเมืองชะทีตา

9

จมลงใตบ้ าดาลทนั ที คงเหลือไวเ้ ป็นดอน ๓-๔ แห่ง ซ่ึงเป็นที่อยขู่ องพวกแม่ม่าย ท่ีไม่ไดก้ ินเน้ือกระรอก
เผอื กจึงรอดตาย

ฝ่ ายทา้ วผาแดงไดโ้ อกาสรีบมาหนีออกจากเมือง โดยไม่ลืมแวะรับพระธิดาไอ่คำไปดว้ ย แต่แมจ้ ะเร่ง
ฝีเทา้ มา้ เท่าใด กห็ นีไม่พน้ ทพั พญานาค ที่ทำใหแ้ ผน่ ดินถล่มตามมาติดๆ ในท่ีสุดกก็ ลืนทา้ วผาแดงและพระ
ธิดาไอคำพร้อมมา้ แสนรู้ชื่อ “บกั สาม” จมหายไปใตพ้ ้ืนดิน

รุ่งเชา้ ภาพของเมืองเอกชะทีตา ที่เคยรุ่งเรืองโอฬาร กอ็ นั ตรธานหายไปสิ้น คงเห็นพ้ืนน้ำกวา้ งยาว
สุดตา ทุกชีวติ ในเมืองเอกชะท่ีตา จมสู่ใตบ้ าดาลจนหมดสิ้น เหลือไวแ้ ต่แม่หมา้ ยบนเกาะร้าง ๓-๔ แห่ง ใน
ผนื น้ำอนั กวา้ งน้ี ซ่ึงต่อมาไดก้ ลายเป็นหนองหารหลวง ดงั ปรากฏในปัจจุบนั

นิทานเรื่อง ตาํ นานผาแดงนางไอ่ ใหแ้ นวคิดดงั น้ี
๑. เวรยอ่ มระงบั ดว้ ยความไม่จองเวร
๒. ควรมีคติประจำใจ คือ ความไม่โลภ ความไม่โกรธ และความไม่หลง

๒. เรื่อง พญาคนั คาก

“คนั คาก” ในภาษาอีสานแปลวา่ “คางคก” เร่ือง “พญาคนั คาก” เป็นตน้ กำเนิดของประเพณีบุญ
บ้งั ไฟ ซ่ึงเป็นบุญเดือนหกในฮีตสิบสองคองสิบสี่ของชาวอีสาน

ณ เมืองชมพู พระนางสีดา พระมเหสีของพญาเอกราชผคู้ รองเมือง ไดใ้ หก้ ำเนิดโอรสลกั ษณะแปลก
ประหลาด คือ ผวิ กายเหลืองอร่ามดง่ั ทองคำ แต่เป็นตุ่มตอเหมือนผวิ คางคก คนท้งั หลายจึงขนานนามพระ
กมุ ารวา่ ทา้ วคนั คาก

เม่ือเติบใหญ่ข้ึน พระกมุ ารประสงคจ์ ะไดพ้ ระชายาท่ีมีสิริโฉมงดงาม พญาเอกราชไดห้ า้ มปรามไว้
ดว้ ยอบั อายในรูปกายของทา้ วคนั คาก แต่ทา้ วคนั คากกไ็ ม่ยอ่ ทอ้ ไดต้ ้งั จิตอธิษฐานขอพรจากพระอินทร์ ดว้ ย
บุญบารมีแต่ถา้ ปางก่อนของทา้ วคนั คาก พระอินทร์จึงเนรมิตปราสาทพร้อมท้งั ประทานนางอุดรกรุ ุทวปี ผู้
เป็นเน้ือคู่ใหเ้ ป็นชายา ส่วนทา้ วคนั คากเอง กถ็ อดรูปกายคนั คากออกให้ กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม

พญาเอกราชยนิ ดีกบั พระโอรส ทรงสละราชบลั ลงั กใ์ หค้ รองเมืองต่อ ทรงพระนามวา่ พญาคนั คาก
พญาคนั คากต้งั อยใู่ นทศพิธราชธรรม มีเดชานุภาพเป็นที่เล่ืองลือ จนเมืองนอ้ ยใหญ่ต่างมาสวามิภกั ด์ิ แต่ก็
ทำใหม้ ีผเู้ ดือดร้อน คือพญาแถน ผอู้ ยบู่ นฟากฟ้ า เพราะมนุษยห์ นั ไปส่งส่วยใหพ้ ญาคนั คากจนลืมบูชาพญา

10

แถน จึงแกลง้ สง่ั พญานาคใหง้ ดไปใหน้ ้ำในฤดูทำนา ทำใหเ้ กิดความแหง้ แลง้ ขา้ วยากหมากแพง ชาวเมืองจึง
ไปร้องขอพญาคนั คากใหช้ ่วย

พญาคนั คากจึงเกณฑก์ องทพั สตั วม์ ีพิษท้งั หลาย ไดแ้ ก่ มด ผ้งึ แตน ตะขาบ กบ เขียด เป็นตน้ ทำทาง
และยกทพั ข้ึนไปสูก้ บั พญาแถน จึงส่งมดปลวกไปกดั กินศาสตราวธุ ของพญาแถนท่ีตระเตรียมไวก้ ่อน ทำให้
เมื่อถึงเวลารบ พญาแถนไม่มีอาวธุ แมจ้ ะร่ายมนต์ กถ็ กู เสียงกบ เขียด ไก่ กา กลบหมด เสกงูมากดั กินกบ
เขียด กโ็ ดนรุ้ง (แปลวา่ เหยยี่ ว) ของพญาคนั คากจบั กิน ท้งั สตั วม์ ีพิษกย็ งั ไปกดั ต่อยพญาแถนจนตอ้ งยอมแพ้
ในที่สุด

พญาคนั คากจึงเร่ิมเจรจาต่อพญาแถน ขอใหเ้ มตตาชาวเมือง ประทานฝนตามฤดูกาลทุกปี พญาแถน
แสร้งวา่ ลืม พญาคนั คากจึงทูลเสนอวา่ จะใหช้ าวบา้ นจุดบ้งั ไฟข้ึนมาเตือน พญาแถนกเ็ ห็นชอบดว้ ย

ต้งั แต่น้นั เป็นตน้ มา ทุกๆเดือนหกซ่ึงเป็นช่วงเร่ิมฤดูทำนา ชาวอีสานจึงมีประเพณีบุญบ้งั ไฟ เพื่อบูชา
พญาแถน เพื่อจะไดอ้ ำนวยความสะดวกตลอดฤดูเพาะปลกู และเม่ือพญาแถนประทานฝนลงมาถึงพ้ืนโลก
แลว้ บรรดากบเขียด คางคกที่เป็นบริวารของพญาคนั คาก กจ็ ะร้องประสานเพ่ือแสดงความขอบคุณต่อพญา
แถน

นิทานเร่ือง พระยาคนั คาก ใหแ้ นวคิดดงั น้ี
๑. อยา่ ตดั สินใครจากรูปลกั ษณ์ภายนอก
๒. ผปู้ กครองท่ีดี ควรปกครองผอู้ ื่นดว้ ยหลกั ธรรม โดยเฉพาะหลกั ธรรมของผปู้ กครองคือ หลกั
ทศพิธราชธรรม

๓. เรื่อง ก่องขา้ วนอ้ ยฆ่าแม่

คร้ังหน่ึงนานมาแลว้ ในฤดูฝน มีการเตรียมปักดำกลา้ ขา้ ว ทุกครอบครัวจะออกไปไถนา เพื่อเตรียม
การเพาะปลกู มีครอบครัวของชายหนุ่มคนหน่ึงที่กำพร้าพอ่ กจ็ ะออกไปปฏิบตั ิภารกิจเช่นเดียวกนั วนั หน่ึง
เขาไถนาอยนู่ านจนสายตะวนั ข้ึนสูงแลว้ เขารู้สึกเหน็ดเหน่ือยอ่อนเพลียมากกวา่ ปกติ และหิวขา้ วมากกวา่ ทุก
วนั ปกติแลว้ แม่ผชู้ ราจะมาส่งขา้ วใหท้ ุกวนั แต่วนั น้ีกลบั มาชา้ ผดิ ปกติ เขาจะหยดุ ไถนาเขา้ มาพกั ผอ่ นอยใู่ ต้
ตน้ ไม้ ปล่อยเจา้ ทุยไปกินหญา้ สายตาเหลือบมองไปทางบา้ น รอคอยแม่ที่จะมาส่งขา้ วดว้ ยความรู้สึก
กระวนกระวายใจ ยง่ิ สายตะวนั ข้ึนสูงแดดยง่ิ ร้อนความหิวกระหายยง่ิ ทวคี ูณข้ึน

11

ทนั ใดน้นั เขามองเห็นแม่เดินเลียบมาตามคนั นา พร้อมกบั ก่องขา้ วนอ้ ย เขารู้สึกไม่พอใจที่แม่เอา
ก่องขา้ วนอ้ ยน้นั มาชา้ มาก ดว้ ยความหิวกระหายจนตาลายอารมณ์พลุ่งพล่าน เขาคิดวา่ ในก่องขา้ วนอ้ ยน้นั คง
กินไม่อ่ิมเป็นแน่ จึงเอ่ยต่อวา่ แม่ของตนวา่

“อีแก่มึงไปทำอะไรอยถู่ ึงมาส่งขา้ วใหก้ กู ินชา้ นกั ก่องขา้ วกเ็ อามาแต่ก่องนอ้ ย ๆ กจู ะกินอิ่มหรือ”
ผเู้ ป็นแม่เอ่ยปากตอบลกู วา่
“ถึงก่องขา้ วจะนอ้ ยแต่ก็ นอ้ ยตอ้ นแตน้ แน่นใน ดอกลกู เอ๋ย ลองกินดูก่อน”
ดว้ ยความหิว ความเหน็ดเหน่ือย ความโมโห หูอ้ือตาลาย ไม่ยอมฟังเสียงใดๆ เกิดบนั ดาลโทสะอยา่ ง
แรง จึงควา้ ไมเ้ ขา้ ตีแม่ที่แก่ชราลม้ ลง แลว้ เดินไปกินขา้ วจนอิ่ม แต่แลว้ ขา้ วยงั ไม่หมดก่อง จึงรู้สึกผดิ ชอบชว่ั
ดีรีบไปดูอาการของแม่ และเขา้ สวมกอดแม่ ชายหนุ่มร้องไหโ้ ฮ สำนึกผดิ ที่ฆ่าแม่ของตนดว้ ยอารมณ์เพียงชว่ั
วบู เม่ือชายหนุ่มปลงศพแม่แลว้ ขอร้องชกั ชวนญาติมิตรชาวบา้ น ช่วยกนั ป้ันอิฐกเ็ ป็นธาตุเจดียบ์ รรจุอฐั ิแม่
ไวจ้ ึงใหช้ ื่อวา่ “ธาตุก่องขา้ วนอ้ ยฆ่าแม่” จนตราบทุกวนั น้ี
นิทานเร่ือง ก่องขา้ วนอ้ ยฆ่าแม่ ใหข้ อ้ คิดดงั น้ี
๑. เราเป็นลกู ควรจะมีความกตญั ญูกตเวทีต่อพอ่ แม่
๒. ไม่ววู่ ามเอาแต่ใจตนเอง
๓. ทำดีกบั พอ่ แม่ เม่ือยามท่านยงั มีชีวติ ดีกวา่ ไปสำนึกไดเ้ ม่ือยามจากไป

๔. เรื่อง ยายหมาขาว

ยงั มีสองผวั เมียอาศยั อยใู่ นหม่บู า้ นจนั ทคาม ซ่ึงฝ่ ายเป็นเมียน้นั ไดท้ อ้ งแก่จวนคลอดแลว้ ในตอนน้นั
เกิดโรคระบาด ผคู้ นลม้ ตายเป็นอนั มาก สองผวั เมียจะอพยพหนีจากหม่บู า้ นมาอยกู่ ลางป่ า ต่อมาเมียคลอดลกู
แลว้ กต็ าย ผวั เห็นกต็ รอมใจตายตามดว้ ย ปล่อยใหเ้ ดก็ ทารกเกิดใหม่ร้องไหอ้ ยใู่ นป่ าอยา่ งน้นั

ต่อมายงั มีหมาขาวตวั หน่ึง เ ป็นตวั เมียออกมาหากิน ไม่เห็นเดก็ ท้งั สองกเ็ กิดสงสาร จึงเอาไปเล้ียง
เป็นลกู ใหก้ ินนมของตวั และหาอาหารเล้ียงมาจนเติบโตเป็นสาวสวย ทุกวนั นางหมาขาวตวั น้ีจะพาลกู สาว
ท้งั สองออกไปหากินในป่ า

ในวนั หน่ึงเกิดพายพุ ดั ใหน้ างหมาขาวตอ้ งพลดั พรากจากลกู ไป ลกู สาวท้งั สองกโ็ ดนลมพดั ไปถึงเขต
บา้ นนายพราน เม่ือนายพรานเห็นหญิงสาวท้งั สองงดงามมาก อยากไดร้ างวลั จึงนำหญิงสาวท้งั สองข้ึนถวาย

12

แก่พระราชาที่ยงั โสด พระราชามีพระอนุชาซ่ึงยงั โสดเหมือนกนั ฝ่ ายพระราชากไ็ ดผ้ พู้ ี่เป็นมเหสี ฝ่ ายอนุชาก็
รับผนู้ อ้ งเป็นชายา

กล่าวถึงนางหมาขาว เม่ือพลดั พรากจากลกู แลว้ นางกต็ ิดตามหาลกู จนไดย้ นิ ข่าววา่ นายพรานเป็นผู้
อุปการะ จึงมาหานายพรานเพื่อถามหาลกู สาว เมื่อนายพรานรู้กบ็ อกความจริง นางหมาขาวจึงขอร้องใหน้ าย
พรานพาไปหาลกู สาวท่ีไหนวะ เม่ือพามาถึงพระราชวงั นายพรานกท็ ูลพระราชาตามความจริง แต่พระมเหสี
น้นั อบั อายขายหนา้ เกรงวา่ คนจะรู้วา่ ตนเป็นลกู ของหมาขาว จึงทูลเทจ็ ต่อพระสวามีไปวา่ ไม่เป็นความจริง
ฟ้ องขบั ไล่นายพรานและหมาขาวตวั น้นั ไป แต่นางหมาขาวไม่ยอมไป นางจึงเอาน้ำร้อนเทใส่กลางหลงั นาง
หมาขาว นางหมาขาวถกู น้ำร้อนลงกลางหลงั ทำใหน้ างบาดเจบ็ สาหสั นางกซ็ ดั เซพเนจรไปลม้ ลงท่ีวงั ของลกู
สาวคนเลก็ เม่ือลกู สาวคนเลก็ มาพบมารดา กจ็ ำได้ จึงอุม้ มารดามาเพื่อจะรักษา แต่นางทนพิษบาดแผลไม่
ไหวจึงสิ้นใจตาย ก่อนตายนางบอกวา่ หา้ มเผาหรือฝัง ใหเ้ กบ็ กระดูกไวบ้ ูชาในวงั ลกู สาวกท็ ำตาม

จากน้นั ไม่นาน กเ็ กิดเป็นบ่อทองคำ ข่าวน้นั เล่ืองลือไปถึงพ่ีสาว พี่สาวกม็ าขอส่วนแบ่งทองคำ แต่
นอ้ งไม่ยนิ ยอมให้ จึงเกิดโตเ้ ถียงกนั จนดงั ข้ึนไปถึงหูพระราชา พระราชาจึงไดเ้ รียกท้งั สองเขา้ มาถามความ
จริง ในที่สุดเรื่องจริงกป็ รากฏ พระราชาโกรธท่ีพระมเหสีของพระองคน์ ้นั ทูลเทจ็ และอกตญั ญูต่อผมู้ ีพระ
คุณ จึงตดั สินใหป้ ระหารชีวติ เสีย

นิทานเรื่อง ยายหมาขาว ใหข้ อ้ คิดดงั น้ี
๑. สอนใหท้ ุกคนรู้จกั กตญั ญูต่อผมู้ ีพระคุณ

๕. เรื่อง ป่ ูปะหลาน

ป่ ูกบั หลานไดเ้ ดินทางไกลผา่ นมายงั ทุ่งกลุ าร้องไหน้ ้ี เดินขา้ มอยา่ งไรกไ็ ม่พน้ สกั ที ป่ ูกจ็ วนเจียนจะ
หมดแรงอยรู่ อมล่อ ส่วนหลานน้นั กเ็ อาแต่ร้องไหง้ อแง ดว้ ยความเหนื่อยลา้ ท้งั ยงั กระหายน้ำจนดูท่าวา่ จะ
เดินทางต่อไปไม่ไหว จนกระทง่ั ไดพ้ ล่อยหลบั ไปดว้ ยความอ่อนเพลีย (แต่ก่อนน้ีทุ่งกลุ าร้องไหม้ ีความ
ทุรกนั ดารมาก ท้งั ยงั มีพ้ืนท่ีกวา้ งใหญ่ มีอาณาเขตติดต่อกนั ถึงหา้ จงั หวดั ) ป่ ูจึงไดใ้ ชผ้ า้ ขาวมา้ ห่อหุม้ หลาน
เอาไว้ แลว้ นำไปไวย้ งั โคนของพมุ่ ไมแ้ ห่งหน่ึง เพ่ือบงั แดดใหแ้ ก่หลานนอ้ ยน้นั ไว้ กจู ึงไดร้ ีบเดินทางต่อโดย
หวงั วา่ จะไดพ้ บกบั หม่บู า้ นท่ีใกลท้ ่ีสุดที่ซ่ึงมีน้ำเพื่อที่จะนำไปใหห้ ลานดื่มได้

เม่ือป่ ูเดินทางจนมาถึงตีนบา้ น ป่ ูกไ็ ดร้ ีบเขา้ ไปขอน้ำดื่มจากชาวบา้ นในหม่บู า้ นน้นั พร้อมกบั ไดร้ ีบ
นำน้ำใส่บ้งั ทิง (กระบอกใส่น้ำ ทำดว้ ยไมไ้ ผ)่ เพื่อท่ีจะนำไปใหห้ ลานด่ืม

13

ส่วนหลานน้นั เมื่อต่ืนข้ึนมาแลว้ ไม่พบป่ ู และดว้ ยความกลวั ตามประสาของเดก็ จึงไดอ้ อกวงิ่ ท้งั
เดินเพื่อตามหาป่ ูของตนวา่ อยไู่ หน ดว้ ยความนอ้ ยเน้ือต่ำใจวา่ ป่ ูน้นั ไม่รักตนเอง ปล่อยทิ้งใหห้ ลานอยเู่ พียง
ลำพงั คนเดียวดว้ ยความไม่ใยดี ในที่สุดหลานกไ็ ดห้ มดแรงและลม้ ลง

ป่ ูน้นั เมื่อไดน้ ้ำมาแลว้ กร็ ีบนำกลบั มาใหห้ ลานดว้ ยความเป็นห่วง แต่เม่ือมาถึงพมุ่ ไมท้ ่ีไดว้ างหลาน
เอาไว้ กไ็ ม่พบหลานเลย ป่ ูจึงไดร้ ีบออกคน้ หาหลานไปทว่ั บริเวณน้นั จนกระทง่ั ป่ ูไดม้ าพบหลานนอนตาย
อยกู่ ลางแดดจา้ ของทอ้ งทุ่งอนั แสนกนั ดารแห่งน้ี มีท้งั มด แมลง ไต่ชอนไชอยตู่ ามรูจมกู ใบหูและปากไปทวั่
คร้ันเมื่อป่ ูหินสภาพร้านดงั น้นั แลว้ กแ็ ทบใจขาด น้ำตาหล่นร่วงดว้ ยความสงสารในชะตากรรมของหลาน ที่
ตอ้ งมาตายอยา่ งทุกขท์ รมาน ท้งั ยงั โทษตวั เองวา่ ทำไมจึงไดท้ ิ้งหลานไวใ้ หอ้ ยคู่ นเดียว ป่ ูจึงค่อยๆ อุม้ ศพของ
หลานข้ึน แลว้ เดินพาหลานกลบั ไปยงั ตีนบา้ นแห่งน้นั ดว้ ยความเศร้าโศกเสียใจ ดงั กบั วา่ หวั ใจของป่ ูน้นั จะ
แตกสลายเสียใหไ้ ด้

ต่อมาเมื่อมีความเจริญข้ึนตรงบริเวณน้นั บริเวณบา้ นแห่งน้นั กถ็ กู เรียกวา่ เป็นบา้ น ปะหลาน ซ่ึง
หมายถึง บริเวณบา้ นท่ีป่ ูน้นั ไดพ้ บกบั ศพของหลานนน่ั เอง บริเวณน้ีเรียกวา่ บา้ นป๋ าหลาน เพราะคำวา่ ป๋ า
น้นั หมายถึง การถกู ทิ้ง ซ่ึงในบริเวณจงั หวดั มหาสารคามน้นั กม็ ีชื่อหม่บู า้ นน้ีวา่ เป็นบา้ นป๋ าหลานอยใู่ น
ทอ้ งที่ใกลๆ้ กบั อำเภอเมือง จงั หวดั มหาสารคามในปัจจุบนั

นิทานเรื่องป่ ูปะหลาน ใหข้ อ้ คิดดงั น้ี
ไม่ควรทิ้งเดก็ เลก็ ไวเ้ พียงลำพงั อาจเกิดอนั ตรายได้

14

บรรณานกุ รม

นริ นาม. ภมู ศิ าสตรท์ างภาคอสี าน. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทมี่ า:
https://th.m.wikipedia.org. (วนั ทค่ี น้ ขอ้ มลู : ๖ มกราคม ๒๕๖๕).

นริ นาม. วฒั นธรรมประเพณีภาคอสี าน. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า:
https://sites.google.com. (วนั ทค่ี น้ ขอ้ มลู : ๖ มกราคม ๒๕๖๕).

นริ นาม. นทิ านพนื้ บา้ นภาคอสี าน. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทมี่ า:
https://stbuu.blogspot.com. (วนั ทค่ี น้ ขอ้ มลู : ๘ มกราคม ๒๕๖๕).

นริ นาม. รวมเรอื่ งเลา่ นทิ านพน้ื บา้ นภาคอสี าน. (ออนไลน)์ . แหลง่ ทม่ี า:
https://hilight.kapook.com. (วนั ทคี่ น้ ขอ้ มลู : ๘ มกราคม ๒๕๖๕).


Click to View FlipBook Version